แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้ทุกคนตั้งใจอย่างถูกต้อง สำหรับการทำบุญตายาย ก็เคยทำกันมาหลายชั่ว หรือหลายสิบชั่วคนแล้ว ที่ว่าทำบุญตายาย ที่เราเป็นลูกหลานที่จะทำต่อ มันจะดี มันจะเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน ไม่ให้ภูตผีปีศาจสมัยใหม่มาสิงเอา พวกลูกหลานนั้นระวังให้ดี ๆ สมัยนี้นะภูตผีปีศาจสมัยใหม่ มันจะมาสิงเอา (นาทีที่ 0.54-0.55) ฟังไม่ชัด เขาจะไม่นุ่งผ้ากันแล้วนั่น นั่นแหละ นั่นระวังให้ดี อย่าไปเอามาสิงเอา เคยทำกันมาด้วยความสงบ ให้รักษาไว้ ที่นี่ยังรักษาไว้ แม้แต่สวดพิมพิสาร เด็ก ๆ ไม่ค่อยได้ฟังแล้ว ไม่สวดกันนี่ ถึงสวดก็ไม่ค่อยได้ฟัง มันไม่ค่อยได้ยิน แล้วชอบจะเลิกกันเสีย ไอ้ของเก่า ๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์น่ะอย่าเพิ่งเลิก ถ้าเลิกของใหม่มันจะเข้ามาแทรกแซง มันก็จะสมัยใหม่ขนาดที่ว่า ภูตผีปีศาจ มันจะมาสิงเอา แล้วคนมันจะใจบาป คนมันจะใจดำอำมหิต ถ้ามันชอบแต่เรื่องกิน เรื่องกิน เรื่อง เล่นเรื่องหัว เรื่องเอร็ดอร่อย สนุกสนานแล้ว บาปมันเกิดเข้ามาโดยไม่รู้สึกตัว ฉะนั้นขอให้ชวนกันตั้งใจให้แน่วแน่ ให้มั่นคง
ในการที่จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีให้ดีที่สุดของปู่ย่าตายายนั่นแหละ มันจะต้องพยายามมากแหละ จะต้องปล้ำมากจะต้องเหนื่อยมาก จะต้องใช้เวลานานด้วย เวลานี้มนุษย์เรา มันเปรียบเหมือนกับถูกคลื่น ถูกพายุ ไอ้โลกทั้งโลก มนุษย์ทั้งโลกน่ะมันเปรียบเหมือนกับถูกคลื่น ถูกพายุ มันกำลังบ้ากันใหญ่ ความเจริญทางเนื้อหนัง เขาเรียกว่า ความเจริญ ที่จริงความเจริญแต่ทางร่างกาย ทางเนื้อหนัง มัน ๆ ๆ มาก แต่ว่าทางจิตใจมันเลว จิตใจมันเลวลง มันฆ่ากันได้ทีละหมื่นละแสน (นาทีที่ 3.14-3.15) ฟังไม่ชัด แล้วมันก็จะกินจะเล่นอะไรให้สนุกสนานให้มากที่สุด จนคนจน ๆ มันโมโหขึ้นมา มันตั้งลัทธิยื้อแย่งคนมั่งมี ถึงมันได้รบกันเรื่อยไป แล้วมันไป ไอ้คนจน ๆ นี่มันก็ไปหลงใหล จะเอาอย่างคนมั่งมี มันไม่ควรจะมีรถยนต์ มันก็ไปมีรถยนต์ ไม่ควรจะมีอะไร มันก็ควรจะไปมีอันนั้น มันจะได้รับการบำรุงบำเรอให้เหมือนกับคนมั่งมี มันเลยเป็นอันธพาล มันข่มเหงคน หรือว่ามันแย่งชิง มันจี้ มันปล้น มันข่มเหงสตรีแม้แต่เด็กเล็ก ๆ กลับมายืนเฝ้ากันไม่ค่อยไหวแล้ว มันไปหลงในทางเรื่องเนื้อหนังร่างกายหนัก เขาเรียกว่าหน้ามันมืด ที่จิตใจมันมืด มันเห็นแต่ทางร่างกาย สมัยปู่ย่าตายายไม่เคยมี ข้อนี้พิสูจน์ได้ง่าย ๆ ไม่มีใครเถียงว่า เมื่อก่อนนั่น เราไม่ต้องใส่กุญแจบ้าน เราก็ไปไหนได้ เวลานี้ใส่กุญแจบ้าน มันก็ยังไม่ได้ เมื่อก่อนเรานอนบนแคร่ใต้ถุนเรือนจนสว่างก็ได้ ไม่มีใครมายิงตายเหมือนสมัยนี้ ควายปล่อยไว้ก็ได้ เดี๋ยวนี้ใส่คอกแล้ว ล่ามโซ่แล้ว ก็ยังไม่พ้น นั่นแหละความเลวของจิตใจของมนุษย์ในโลก เพราะมันไปเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ให้เข้าใจไว้ว่า ถ้าไปชอบความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง แล้วใจมันก็ไม่กลัวบาปกลัวกรรมขึ้นมาทันที มันต้องเอาให้ทางจิตใจไว้ให้มากเลยแหละ ให้กลัวบาปกลัวกรรมนั่นแหละ เหมือนกับสวดพิมพิสารท่านว่ามันใจบาปหยาบช้าไม่เคารพคนเฒ่าคนแก่ ไม่เคารพพ่อแม่ ไม่เคารพบิดามารดาครูบาอาจารย์ ในบทสวดพิมพิสารนั้น มีชัดเจนมาก แต่มันไม่ฟังนี่ ที่นี่หลายปีเข้า หลายปีเข้า มันลืมหมด จิตใจมันก็เลยไปอย่างที่ฉันเรียกว่า ภูตผีปีศาจสมัยใหม่ ที่จะอร่อยทางเนื้อทางหนัง จะโลภ หาเงินให้มาก ทำบ้านให้เป็นวิมาน ที่เขาพูด ที่เขาเล่ามา ที่เคยเห็นก็มี ว่าห้อง ห้องส้วม ห้องที่อาบน้ำนี่มีส้วมด้วย ราคาตั้งแสนหนึ่ง บ้านนั้น รา ราคาหลายล้าน หลายสิบล้าน เฉพาะห้องส้วมอย่างเดียว ราคาเป็นแสน ๆ นะ นั่นแหละ ถ้ามันมีอย่างนั่นมาก อีกฝ่ายหนึ่งก็จะต้องขาดแคลนมากแหละ เมื่อฝ่ายหนึ่งรก ๆ ดกขึ้น รวยขึ้น ฝ่ายหนึ่งก็ต้องขาดแคลนมากแหละ มันไม่เฉลี่ยกัน แล้วมันก็ต้องรบราฆ่าฟันกันแหละ นี่เรายังไปกับเขาไม่ได้ ยินดีแบบเก่า ๆ ไปก่อนนะ แล้วก็ปู่ย่าตายายเคยประพฤติกระทำกันมาแหละ ถ้าตายก็ตายกับความดีแหละ อย่าตายกับความชั่วแหละ นี่ฉันขอร้องว่า ให้ยึด ยึดถือปู่ย่าตายายเป็นหลักไว้เรื่อย กลัวบาป กลัวบาปให้มากที่สุดแหละ เพราะว่าถ้าทำบาปแล้ว ถึงจะรวยมันก็มันเป็นคนรวยบาป คิดดูทำบาปแล้วรวย มันก็รวยบาป คนไม่เห็น มันก็ยังสรรเสริญกันไป พอคนเขาเห็น เขาก็แช่งกันวันทั้งวันทั้งคืนแหละ มันหามีอะไรดีไม่
นี่วันนี้เป็นวันสำคัญ วันหนึ่งเหมือนกัน คือให้ระลึกถึงปู่ย่าตายาย ของดี ๆ ของปู่ย่าตายาย ก็ยังมีมาก คือความรัก ความเมตตา ความกรุณา ความไม่เห็นแก่ตัวเกินไปนั่นแหละ คนสมัยก่อนมันไม่โลภมาก มันไม่จึง มันจึงไม่เห็นแก่ตัวมาก ก็เห็นแก่ผู้อื่นได้บ้างแหละ ถ้าเราโลภหมดคนเดียว นี่มันก็ไม่มีอะไรที่จะเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ตามกลาง ทางตลาด ตามถนนหนทาง มันไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะคนเห็นแก่ตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ มันมีมากนัก มันจะทำอันตรายเมื่อไหร่ก็ได้ ในเมืองหลวงยิ่งเป็นแรง บ้านเรายังดีนะ ในเมืองหลวงเป็นแรง ต้องระวังทุกกระเบียดนิ้ว คนอันธพาล คนเห็นแก่ตัวมันจะทำร้ายเอา นั่นน่ะความเจริญ มันอยู่กันอย่างนั้น นี่ช่วยกันบอกลูกบอกหลานว่า ความจริงนะมันเป็นอย่างนั้น อย่าไปบ้ากับมันนัก ให้มองเห็นแก่ความสงบ ให้ช่วยกันรักษาความสงบ อุตส่าห์ทำการทำงานที่สุจริต แล้วอย่าไปใช้ในสิ่งที่มันไม่จำเป็น อย่าไปใช้เรื่องอุบายมุข ดื่มน้ำเมา ดูการเล่น เล่นการ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ที่เรียกว่า อบายมุข ๖ อย่าง แล้วมันมากขึ้น เวลานี้ ชอบสนุก ชอบสวย ชอบเล่น ชอบหัวอะไรมากขึ้น จนว่าถ้ามีหนังมีเพลง มีละคร อะไรก็ไปกันเต็ม ถ้าว่าเรื่องเทศน์เรื่องธรรมเรื่องการอบรมสั่งสอน ไม่มีใครสนใจนั่น ผิดจากเมื่อก่อน เราไปดูหนังดูอะไรพรรค์นั้นนะ ไอ้สตางค์เสียไม่กี่สตางค์ แต่ว่าจิตใจเสียมันแพงมาก จิตใจน้อมไปในทางรักเนื้อรักหนัง รักเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง นั่นเสียมาก เสียค่าบัตรผ่านประตู ๑๐ บาท ซื้อตั๋วดูหนัง แต่ว่าจิตใจเลวลงไปมาก เสียเป็นร้อยเป็นพันเลย ดูหนังมันทำให้จิตใจเลวลง เสียลง อย่าไปดูมัน เห็นหนังสือพิมพ์ลงไว้ หนังที่กำลังทำ นี่ว่า มีอยู่เรื่องหนึ่ง นางเอกไม่นุ่งผ้าตลอดเรื่องเลย แต่ยังมี มีปัญหาว่า ตำรวจจะยอมให้ฉายหรือไม่ คุณคอยดู ถ้าคุณไปดูกันแล้วมันก็จะเป็นอย่างไร คนหนุ่ม ๆ ไปดูกันแล้วมันจะเป็นอย่างไร มันจะเป็นอันธพาลกันเต็มไปทุกหัวระแหงไปหมดเลย มันไม่รู้จักศิลปะ ถ้าพูดว่าศิลปะ มันไม่รู้จัก มันก็ดูในแง่กามารมณ์หมด เหมือนกับเด็ก ๆ นี่นะ เขาเอาหนังสือตำราเรื่องวิชาความรู้ เรื่องสรีระเรื่องร่างกายเรื่องการสืบพันธุ์การคลอดบุตร เป็นตำราแท้ๆ ให้อ่าน มันก็ไม่รับ ไม่ ความรู้ในฝ่ายนั้นไม่รับ รับแต่ไปในทางแง่กามารมณ์เรื่องเพศเรื่องอะไรทั้งหมด เพราะใจมันเป็นอย่างนั้น เด็กมันไม่รู้ เดี๋ยวนี้คนมันโง่ สอนเรื่องเพศศึกษาเรื่องอะไรตั้งแต่เล็กอย่างนี้ เด็กมันรับไว้แต่ฝ่ายกามารมณ์ ฝ่ายความรู้บริสุทธิ์มันรับไม่ได้ มันไม่รับ เด็กอันธพาลในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ๆ มันฆ่ากันตาย ในสนามกีฬามันฆ่ากันตาย แล้วมากขึ้น ๆ กีฬาโอลิมปิกวิเศษที่สุด แต่ว่าเมื่อ ๒-๓ วันนี้ ตาย ๑๘ คน กีฬาโอลิมปิกที่วิเศษที่สุด ไม่กี่วันนี้ ลงทุนเป็นเท่าไร เขาว่าเป็นหมื่นล้านบาท สถานที่ แล้วอย่างอื่นอีกมาก เสียเงินหลายหมื่นล้านบาท แต่ผลก็คือว่า คนมันเลวลง มีจิตใจเลวลง โง่ลง ลุ่ม ลุ่มหลงลง ยังไม่ทำผิดอะไร ลุ่มหลงโง่ลง ๆ ได้เห็นชัด ๆ ฆ่ากันตาย ฝ่ายโจรก็ตาย ๕ คน ฝ่ายถูกฆ่าก็ตั้ง ๑๑ คน ตำรวจตายคนหนึ่ง นั่นแหละกีฬาโอลิมปิก ของบุคคลสมัยปัจจุบัน ที่มันโง่เง่า บูชาไอ้ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังทางวัตถุอย่างเดียว จิตใจไม่สนใจ
ฉะนั้นวันนี้ขอให้นึกถึงปู่ย่าตายาย ที่อยู่ด้วยความสงบ นอนใต้ถุนบ้านได้สว่าง ไม่มีใครมายิงตาย ไปไหนก็ปิดประตูบ้านแล้วไป ซื้อของก็หยิบเอาเอง ฉันเมื่อเล็ก ๆ เห็นกับตา บ้านย่าขายของ เล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ของกินของอะไร เล็ก ๆ น้อยนี่ หัวหอมกระเทียม มาซื้อหยิบเอาเอง วางตังค์ไว้ตรงนั้นเอง เจ้าของไม่ได้มาดู ตามใจใครมาซื้อ เวลานี้ทำไม่ได้ ทำแบบนั้นน่ะ นี่ความที่มันเปลี่ยนแปลง ผิดกันมากนะ ถ้าอย่างไรก็นิยมของปู่ย่าตายายไว้ก่อนได้ อย่าเผลอไปนิยมไอ้สมัยใหม่ให้มันมาก มันจะลำบาก ยิ่งนุ่งผ้าน้อยกันเท่าไร ยิ่งฆ่ากันตายมากขึ้นเท่านั้นแหละ นี่กล้าพูดเลย ขอให้สังเกตเถอะ ฉะนั้นวันนี้ตั้งอกตั้งใจให้ดี นึกถึงตายายมีบุญคุณ ถ้าไม่มีตายาย มันก็ไม่ได้เรา เรา ไม่ได้มีเราเกิดมาแหละ นี่เรามานั่งตรงนี้เพราะตายายเกิดเรามา ต่อกันมา ๆ ๆ จนพ่อแม่เกิดเรามา ได้มานั่งกันอยู่ตรงนี้ ไม่เท่าไรพ่อแม่ของเราเป็นตายายแล้ว และอีกไม่เท่าไร เราก็นั่ง ๆ ตรงนี้กลายเป็นตายายแล้วแหละ ก็สอนลูกสอนหลานให้ดี ๆ ให้ลูกหลานมันรู้สานะ อย่ามานั่งงมงายเสียไม่พูดไม่จา ไม่จำไม่ฟังไม่อะไรแล้ว ไม่ไปสอนลูกสอนหลานให้ดีๆ บางทีเราไม่ทันตาย ลูกหลานจะเป็นอันธพาลเสียนั่น
วันนี้มานึกถึงพระเจ้าพิมพิสารกันบ้างนะ ทำบุญให้ตายายอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร (นาทีที่ 13.35 – 13.36) ฟังไม่ชัด คำสวดพิมพิสาร อย่าเห็นว่าชื่อกล้า อดทนฟัง แล้วข้อที่หนึ่งสำคัญที่สุด คือ ให้เคารพพ่อแม่นั่น นั่นแหละข้อที่หนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสมัยนี้ คือ ให้เคารพพ่อแม่ คนสมัยนี้มันอวดดี มันเรียนมากเข้าแล้ว มันยกหูชูหาง มันไม่เคารพพ่อแม่ ถึงเคารพก็เคารพแต่ปาก ถึงแม้มันจะเคารพด้วยใจจริงมันเคารพได้นิดเดียว เพราะมันไม่รู้คุณของพ่อแม่ เราเป็นหนี้บุญคุณของพ่อแม่ทั้งเนื้อทั้งตัว พ่อแม่เกิดมา ถ้าพ่อแม่ไม่ได้เกิดมา เราไม่ได้มาเป็นนะ ถ้าเราไม่นับถือว่าพ่อแม่ เราก็เป็นหมา หมาไม่ได้นับถือพ่อแม่ แมวไม่ได้นับถือพ่อแม่ เป็ดไก่ไม่ได้นับถือพ่อแม่ เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ได้นับถือพ่อแม่ คนนั้นมันก็เป็นหมาเป็นหมูเป็นแมวเป็นเป็ดเป็นไก่ เพราะว่าเป็นคนต้องนึกได้ ว่าชีวิตนี้มันได้มาจากพ่อแม่ มันเกิดเองไม่ได้ มันจะเกิดขึ้นลอย ๆ ก็ไม่ได้ จะเกิดจากโพรงไม้ก็ไม่ได้ ต้องเกิดจากพ่อแม่ คือ ชีวิตทั้งหมดต้องเป็นของพ่อแม่ พ่อแม่จะเอาอย่างไหน ต้องได้อย่างนั้น ถ้าสมมติว่าไม่ตกลงกัน เห็นคนละทางกัน ก็ต้องยอมให้พ่อแม่ เราตายดีกว่า ดีกว่าจะฝืนความประสงค์พ่อแม่ ถ้ายุติธรรม มันต้องเป็นอย่างนี้ ก็ที่มันพูดกันรู้เรื่องแหละ เพราะพ่อแม่มันรักลูกมาก นี่มันตามใจผิด ๆ อยู่ตั้งมากมายแล้วนั่น ไม่ต้องกลัวว่าเด็ก ๆ จะทะเลาะกับพ่อแม่ จนพูดกันไม่รู้เรื่อง เด็ก ๆ มันเถลไถลเอง มันจะเอาในสิ่งที่ไม่ควร พ่อแม่ก็ต้องห้าม มันขัดคอแล้วมันโกรธ แล้วก็มันก็เลยไปทำแบบที่ว่ามันผิดประเพณีผิดอะไร มันดันทุรังไปสมัครตายดีกว่า ถ้าไม่ได้ของที่จะเอาแล้ว ตายดีกว่า ไอ้ของเหล่านั้นมันก็โง่เหลือเกิน แต่มันจะเอา เชื่อพ่อแม่ มันไม่เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วจะมีความสุขกันกว่านี้ นี่มันสลับพ่อแม่กันตั้งแต่เล็กๆ สมัครไปเป็นอันธพาล ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปเป็นอันธพาลมากขึ้น ๆ เพื่อได้สนุกสนานตามความต้องการของกิเลสนั้น เรื่องกิเลสตัวเดียวนั่นแหละ ไม่มีอย่างอื่น ก็ทำให้ไม่เคารพพ่อแม่ แล้วก็เข้าโรงเรียนก็ไม่เคารพครูบาอาจารย์ พอเรียนสำเร็จก็ไม่รู้จักรักเพื่อนมนุษย์ รักแต่ตัวเอง แล้วมันก็มีแรงขึ้น ๆ มากขึ้น ๆ ก็ได้เบียดเบียนกัน อย่า (นาทีที่ 16.13) ฟังไม่ชัด ลังเลเลยว่าไอ้สมัยเก่า กับสมัยใหม่ อันไหนมันดีกว่า ทางจิตใจสมัยเก่าดีกว่า ทางสมัยใหม่ทางร่างกายสมัยใหม่เก่งกว่า แต่มันบ้าเกินไป ฟังอีกทีก็ได้ ว่าถ้าเป็นทางจิตใจสมัยเก่าดีกว่า ดีกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แล้วทางร่างกายทางเนื้อทางหนังนั่นแหละ สมัยใหม่มันเก่งกว่า แต่มันบ้าเกิน มันเกินจำเป็น มันธุระอะไรที่ต้องไปทำห้องน้ำตั้งแสน เอาไปแจกเพื่อนที่ยังไม่มีอะไรจะกิน กินไม่ค่อยดี นี่เรื่องความเจริญของสมัยใหม่มันเก่ง มันไปโลกพระจันทร์ก็ได้ แต่มันบ้าเกินไปนี่ มันไม่ทำให้โลกสงบได้ จิตใจอันถูกต้อง มันจะทำให้โลกสงบได้
พระพุทธเจ้าว่า มันจะรอด หรือมันจะตาย ก็เพราะว่าจิตใจตั้งไว้ถูกหรือผิด สำคัญอยู่ที่จิตใจ ตั้งไว้ถูกหรือตั้งไว้ผิด ถ้าจิตใจตั้งไว้ผิด มันก็จมลงไป ในนรกทั้งเป็น ๆ ถ้าจิตใจตั้งไว้ถูก มันก็เป็นสวรรค์ทั้งเป็น ๆ เป็นนิพพานทั้งเป็น ๆ ขอให้สนใจเรื่องจิตใจให้มากเป็นพิเศษนะ นั่งตรงนี้สบายใจนะ ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ธรรมชาติมันบริสุทธิ์ มันทำให้ลืม ความยึดมั่นถือมั่น ไม่เห็นแก่ตัว นี่นะมันเหมือนกับจิตใจของปู่ย่าตายาย ว่าจะทำแต่บุญแต่กุศล สมัยนี้มีตังค์ก็ไปดูหนังดูละคร มันไปเจอเรื่องบำรุงบำเรอ นั่นแหละอย่างไรก็ดี วันนี้ เฉพาะวันนี้ โดยเฉพาะช่วยนึกถึงปู่ย่าตายายกันที นึกถึงบุญคุณของปู่ย่าตายายที่เกิดเรามาก่อน แล้วก็นึกถึงบุญคุณที่ปู่ย่าตายายได้สร้างสรรค์ไว้ดี ในทางจิตทางใจ เขาเรียกว่า วัฒนธรรมประเพณี ปู่ย่าตายายได้สร้างไว้ดี ขอร้องเรื่องทำบุญตายายนี่ อย่ายกเลิกเป็นอันขาด สิ่งไหนควรทำ ขอให้ทำ แม้แต่สวดพิมพิสารก็ขอให้สวด แม้แต่ขนมพอง ขนมลา อะไรก็ขอให้ทำไว้เป็นที่ระลึก เดี๋ยวมันจะลืมเสีย มันจะลืมปู่ย่าตายายเสีย
วันนี้ต้องทำเหมือนกับว่าเราอยู่กับปู่ย่าตายาย เมื่อหลายสิบปี หลายร้อยปีมาแล้วแหละ ธรรมเนียมประเพณีนี้ ที่มาทำบุญวันนี้ มันหลายๆๆๆ ชั่วคน หลายสิบชั่วคน อยากจะเปลี่ยน ก็เปลี่ยนแต่ปิ่นโต เมื่อก่อนใส่กระเชอ ใส่กระด้ง ใส่อะไรมา เวลานี้มันหิ้วปิ่นโตมา นี่มันผิดไปบ้าง แต่ว่าความมุ่งหมาย ขอให้เหมือนกันแหละ อุตส่าห์เหน็ดเหนื่อย หมดเปลืองวันนี้ ก็เพื่อปู่ย่าตายายแหละ เพื่อบรรพบุรุษแหละ คนมันดี มันมีกตัญญูกตเวทีอย่างสูงสุดนะ แต่ทำบุญตายายนี่ มันดี ๆ หลายประการ ข้อที่หนึ่ง จิตใจดี มีกตัญญูกตเวที ข้อสองก็รักๆๆ ความสงบ รักษาประเพณีแห่งความสงบไว้ได้ มาวัดทีใจมันมั่นคงทันทีแหละ คือมันเกลียดบาปแหละ มาวัดทีหนึ่ง จิตใจมันไปในทางบุญทีหนึ่ง เกลียดบาปทีหนึ่ง มาวัดทีหนึ่ง แล้วมันเกลียดบาปรักบุญทีหนึ่ง มันรักษาไว้ได้ นี่ลองไม่มาวัด ลองไปกินเหล้าทั้งปี ๆ กันนะ เห็นคุณไหม เอาสิ พิสูจน์กันง่ายๆ ลองไม่มาวัด ลองไปกินเหล้า ไปเล่นการพนันทั้งปีๆ นะ จะเห็นคุณไหม แล้วลูกหลานก็จะตามอย่างกันไปหมดแหละ เหลนมันก็ตามอย่างกันไปหมด มันก็เห็นคุณแหละ ขอให้วันนี้เป็นวันที่อุทิศให้ปู่ย่าตายาย ทำให้ดีที่สุดเลย ถ้าจะรับศีล ก็รับเพื่ออุทิศให้ตายายแหละ ถวายทาน ก็เพื่ออุทิศให้ตายาย จะฟังเทศน์ ก็อุทิศให้ตายายแหละ ทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งวันทั้งคืน นี่จะนึกถึงแต่เรื่องตายายสักที ทำได้อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า ทำบุญตายายโดยแท้จริง แล้วจะมีสวัสดีมงคล เหมือนที่ในคำสวดพิมพิสารว่า ปู่ย่าตายายให้ศีลให้พร ปู่ย่าตายายมา ไม่เห็นลูกหลาน มาทำบุญ เห็นไปอยู่ตามบ่อนเหล้าบ่อนไก่ มันแช่งนะ เห็นลูกหลานมา ทำบุญทำทาน ให้ศีลให้พร ให้ขอให้นึกข้อนี้นะ แล้วมันจริงที่สุดเลย แม้ตายายจะไม่ให้พร มันก็ดีเองแหละ เรามาทำบุญทำทานตามแบบพระพุทธเจ้า ถึงตายายไม่ให้พร ก็ดีเองแหละ แล้วตายายให้พร มันก็ยิ่งดีมากขึ้นแหละ ขอให้เชื่อได้ว่า มันตรงกันแหละ ทั้งสองอย่างนี้ ทำความดี ก็ดีเองแหละ ทำความชั่ว ก็ชั่วเองแหละ ที่เราทำความดี ก็ทำ ทำเพื่อเห็นแก่ตายายก็ทำ ให้มันมีกตัญญูกตเวที เพื่อเพิ่มความดี ให้มันหลาย ๆ ดี ให้มันหลาย ๆ อย่าง
เอาละเวลามันก็พอสมควร ก็ตั้งอกตั้งใจ บูชาอาราธนาศีล
(นาทีที่ 21.46-22.19) เป็นการสวดมนต์
พยายาม ตักบาตรให้เสร็จ เมื่อกี้พูดว่า ปู่ย่าตายาย มีจิตใจสูง คนบางคนมันไม่รู้ว่า สูงแบบไหน ปู่ย่าตายายไม่รู้หนังสือ จิตใจจะสูงอย่างไรได้ นั่นลูกหลานโง่ ๆ มันว่า ไอ้ลูกหลานที่ยิ่งรู้หนังสือนี่ จิตใจมันยิ่งต่ำยิ่งเลว ไอ้ลูกหลานที่มันไม่รู้คุณพ่อแม่ มันฆ่าพ่อฆ่าแม่ เวลานี้มันรู้หนังสือ ไปเรียนมาจากเมืองนอกก็มี ไม่รู้คุณพ่อแม่ อย่าเข้าใจว่า รู้หนังสือจิตใจมันจะสูง มันต้องๆๆ ฝึกฝนอีกทีหนึ่งกว่าจิตใจมันจะสูง ปู่ย่าตายายไม่รู้หนังสือ แต่จิตใจสูง กลัวบาป คนสมัยนี้ยิ่งรู้หนังสือ ยิ่งไม่กลัวบาป เพราะมันรู้ไปในทางผิดนี่ หนังสือก็เรียน มันเรียนผิด ๆ นี่ หลักฐานพยานเรื่องมะพร้าวนาฬิเกนั่นแหละ ฉันพูดให้จนนึกไว้บ่อย ๆ จะรำคาญก็รำคาญไปเสีย ฉันไม่กลัวหรอก เพราะเรื่องมะพร้าวนาฬิเก มันแสดงความสูงของจิตใจ ของปู่ย่าตายาย ปู่ย่าตายายมันรู้ ๆ ถึงเรื่องนิพพาน เอามากล่อมลูกให้นอนเรื่องนิพพาน มะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน นอนเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง นอนเลขี้ผึ้ง ต้นเดียวเปลี่ยวลิงโลดเอย นั่นมันเรื่องนิพพาน เขากล่อมลูกให้นอน มันยังมีเรื่องธรรมะ เรื่องนิพพาน เขาจะร้องเพลงเล่น เขาก็ร้องเรื่อง ร้องเพลงเรื่องสั่งสอนจิตใจให้มันดี คนสมัยนี้มันร้องเพลงอะไร คุณฟังดู อย่างดี ก็ร้องเพลงไอ้ทุย ซึ่งไม่มีความหมายอะไรหนัก แต่กลัวมันจะเลวกว่าเพลงไอ้ทุย ไอ้ลูกหลาน หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่มันร้องเพลง กันเวลานี้ มันจะ จะเลวกว่าเพลงไอ้ทุย มันเป็นเพลงเรื่องหยาบโลนเรื่องกามารมณ์ เรื่องอะไรมากขึ้นทุกที หายใจเป็นกามารมณ์มากขึ้นทุกที น่ากลัว ลูกหลานต่อไปข้างหน้านี่ มันไม่รู้เรื่องของดี ๆ ของปู่ย่าตายาย ฉันอุตส่าห์ลงทุนสร้างสระนาฬิเก ที่ตรงโน้น เสียเงินค่าน้ำมัน ไปขุดสระตั้งหลายๆๆ ตังค์ นี่ก็เพื่อจะรักษาของดี ของปู่ย่าตายาย ต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง แล้วก็สระใหญ่เหมือนกับทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง ทะเลขี้ผึ้ง บางคนว่าถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ บางคนถึงได้แต่ผู้ บางคนว่า ต้นเดียวเปลี่ยวลิงโลดเอย บางคนว่าถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ บางคนว่าถึงได้แต่ผู้มีบุญ บางคนว่าคำนึงถึงพร้าวนาเกเอย ก็มี คราวนี้ว่า ๒-๓ วันนี่มาจากหลังสวน มาจากบางพังกา คนแก่ ฉันใช้ให้ร้อง ก็ร้องได้เหมือนกันแหละ ที่บางพังกา กับหลังสวน ร้องมะพร้าวนาฬิเก ต้นเดียวโนเน นอนเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง นอนเลขี้ผึ้ง ถึงแล้วแม่ร้อยชั่งเอย วิเศษเลย มันมาถึงแล้วแม่ร้อยชั่งเอย ร้องโง่ ๆ ไม่รู้จะถึงเมื่อไร แต่บางพังกา บอกว่า ถึงแล้วแม่ร้อยชั่งเอย ไม่กี่วันนี่ เรื่องมะพร้าวนาฬิเกนี่ บทท้าย ตอนท้าย ร้องกันหลายแบบ ไอ้แบบที่ถูกที่สุดคือ ต้นเดียวเปลี่ยวลิงโลดเอย เพราะว่า นิพพานมันไม่มีของคู่ นิพพานมันเดี่ยวที่สุด ไม่มีอะไรเปรียบ ที่ว่าถึงได้แต่ผู้มีบุญน่ะ ต้องมีบุญมาก จนไม่เอาบุญแล้ว จนพ้นบุญ นั่นแหละจึงถึงนิพพาน ที่หลังสวนเราว่าคำนึงถึงพร้าวนาเกเอย นี่ก็ดี ไม่นึกถึงเรื่องอื่นเลย นึกแต่เรื่องนิพพาน ไอ้นี่มันดีกว่าที่ว่า ถึงแล้วแม่ร้อยชั่ง ถึงแล้วแม่ทองร้อยชั่งเอย คล้าย ๆ เขาจะพูด จะ จะคู่รักหรือว่าแฟนหรืออะไร ว่าถึงแล้ว แม่ทองร้อยชั่งเอย นึกถึงไอ้มะพร้าวนาฬิเกนะ คนแก่ ๆ ร้องได้ ฉันจะให้รางวัล พอสักทีแล้วก็เอา ให้คนแก่ ๆ ร้องได้ให้รางวัล ไม่มีอะไรก็ให้ยาลม ยาอะไรไปตามเรื่อง
แต่ว่าขอบใจคนที่มาจากบางพังกา หลังสวน ว่าถึงแล้วแม่ร้อย แม่ทองร้อยชั่งเอย ก็เลยให้รางวัล ให้หนังสือให้อะไรต่ออะไร อย่าดูถูกปู่ย่าตายาย ตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงพัทลุง สงขลา ร้องมะพร้าวนาฬิเกเป็น นี่มันเรื่องนิพพาน อยู่นอนเลขี้ผึ้ง ฟ้าตก ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง คือ มัน มันไม่มีความทุกข์เลย ถึงบทอื่น ๆ มันก็ต้องตีความ มะม่วงหิมพานต์ สุกงอมหอมหวานอยู่กลางแม่น้ำทะเลหลวง พ้นลิง พ้นค่าง พ้นสัตว์ทั้งปวง (นาทีที่ 27.36-27.38) ฟังไม่ชัด พ้นหมดนี่ นี่ก็จะ จะแสดงถึงคำว่า พ้นหมด พ้นความทุกข์ทุกชนิด ทุกชนิดเล็กชนิดใหญ่ ชนิดตรง ชนิดอ้อม นี่มันพ้นหมดก็แล้วกัน ที่ว่า ลูกส้มซ่าลูกดกหราร่า ร่มฟ้าร่มดิน กาไหนหาญเจาะ เราะไหนหาญกิน ร่มฟ้าร่มดิน ร่มหัวคนทั้งเมืองเอย คนทั้งเมืองมันโง่นี่ มันโง่ดักดาน นี่มันไม่รู้อะไร ที่ร่มหัวตัวได้ มันไม่รู้ พระธรรมนั้นนั่นแหละ ที่จะร่มหัวคนทั้งเมืองได้ มีแต่พระธรรมเท่านั้น ที่ว่าพูดถึงส้มซ่าร่มฟ้าร่มดินน่ะมันจะเอาต้นส้มไหนมาร่มฟ้าร่มดินได้ มันบ้าแหละ แต่มันมี ที่ร่มฟ้าร่มดินได้จริง ก็คือ พระธรรมนั่น ไอ้ต้นส้มซ่านั่น พระธรรม มันร่มฟ้าร่มดิน ร่มไปหมดทุกโลก ๆ ร่มหัวคนทั้งเมืองได้จริง แต่ว่าไม่สนใจ
ปู่ย่าตายายไม่รู้หนังสือ แต่รู้ธรรมะมาก แล้วรู้ธรรมะชนิดสูงสุด เอามาพูดกันอยู่เสมอ ให้มันได้ยินอยู่ทุกวัน กล่อมลูกให้นอน กล่อมน้องให้นอน ให้มันได้ยินกันอยู่ทั่วไปทั้งบ้าน อยู่บ่อย ๆ ได้เตือนสติ นี่ไม่สนใจ นี่เด็ก ๆ ก็เลยไม่รู้จักของดี ของปู่ย่าตายาย มันก็ต้องโทษปู่ย่าตายาย ที่ไม่ค่อยสอนไม่ค่อยอธิบาย ลูกหลานสมัยนี้กำลังจะเตลิดเปิดเปิงนั่นบอกให้รู้ ทีนี้ปู่ย่าตายายช่วยพูดช่วยจา ช่วยเหนี่ยวช่วยรั้ง ช่วยสั่งช่วยสอนเสียบ้าง ว่ามะพร้าวนาฬิเกนั้นมันคืออะไร มะม่วงหิมพานต์นั้นคืออะไร ต้นส้มซ่านั้นมันคืออะไร นี่เป็นเรื่องพระธรรมทั้งนั้น ไอ้เรื่องคนก็คนจริง ไอ้เรื่องร่มดินก็ร่มดินจริง เรื่องไม่มีทุกข์ก็ไม่มีทุกข์จริงแหละ ขอให้สนใจแต่เรื่องอย่างนี้
เอาละตักบาตรกันเสร็จแล้ว มานะ มานั่งถวายพานตามธรรมเนียมนะ เอ้า,เตรียมตัวนะ เตรียมตัวถวายพาน (นาทีที่ 29.54-30.03) เป็นช่วงที่ไม่ได้พูด
รับส่วนกุศล แล้วก็อุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ ฉันบอกแล้วว่า วันนี้ทำบุญตายาย ตัวเองอย่าเอาเลย วันนี้ให้ตายายหมด มีบุญมีกุศลอะไรเกิดขึ้น วันนี้ขอให้บูชาตายายทั้งหมด ไอ้เรื่องนี้มันละเอียดพูดยากนะ แต่ว่าพูดพอเป็นคร่าวๆ ว่าคนเรา เกิด ว่าตายแล้วเกิดแล้ว ไปเกิด แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ อันนั้นแบบหนึ่ง เขาเรียกว่าแบบศีลธรรม ถือกันอยู่ทั่วไป ก่อนพระพุทธเจ้า สอนกันอย่างนี้แหละ สอนก่อนพระพุทธเจ้า มันตายไปแล้ว มันไปเกิด แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้มัน ได้รับ ถึงเราเหมือนกันแหละ ตายแล้วก็ไปเกิด แล้วบุญกุศลทำไว้ก็ได้รับ แต่มันยังมีตายเกิดอีกชนิดหนึ่ง เมื่อไม่ทัน ๆ เข้าโลงนี่ มันตายเกิด ตายเกิดอยู่ เห็นแก่ตัวทีหนึ่ง เรียกว่าเกิดทีหนึ่ง เห็นแก่ตัวที หนึ่ง เรียกว่าเกิดทีหนึ่ง แล้วมันก็ตายไปทีหนึ่ง นี่เกิดปัญจุปาทานักขันธ์ ทีหนึ่งเรียกว่าเกิดทีหนึ่ง แล้วก็ เดี๋ยวก็ดับไปตามวาระ แล้วก็เดี๋ยวเกิดปัญจุปาทานักขันธ์แล้ว เกิดทางตาก็มี ทางหูก็มี ทางจมูกก็มี ทางลิ้นก็มี ไอ้นี่มันก็เรียกว่า ตายแล้วเกิดเหมือนกันแหละ ถ้าทีแรกมันเกิดโง่ แล้วก็เลิกเสีย แล้วก็ตั้งใจทำดี ให้มันเกิดดี ถึงเกิดที่นี่ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศล แล้วเกิดทีหน้า มันก็ได้รับส่วนกุศล มันก็ดีแหละ แล้วมันทันตาเห็น มันหยกๆ ในนี้ ใน ในชาติ ในเวลานี้ สันทิฏฐิโก อกาลิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ หมายถึงเห็นได้ชัด ๆ เวลานี้ เราคิดทีแรกโง่ แล้วกลัวตกใจ เลิก คิดใหม่ ฉลาด เกิดดี บางคนก็โง่แหละรีบตายเสีย บางคนก็ดีแหละ ไม่โง่แหละ เกิด อุทิศให้มันเกิดดีเรื่อยไปแหละ ตั้งอกตั้งใจความโง่ความพลาดอย่ามาเกิดอีก ให้เกิดเป็นตัวกูของกู แล้วมันดีขึ้น ๆ ฉลาดขึ้น ๆ นี่มันได้ผลทันตา เขาเรียกว่าในจิตธรรมนี้เลย จิตดี จิตถูก แล้วก็เกิดดีเรื่อยไป มีสติสัมปชัญญะ มันเกิดดีเรื่อยไป อย่างนี้ก็ได้ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า เรามันจะต้องเกิดดีเรื่อยไป เกิดในใจ เกิดดีเรื่อยไป จนกว่าจะเข้าโลง เช่นเวลานี้ ๆ มันเกิดดีทุกที ๆ จนเข้าโลงแล้ว ถ้าไปเกิดแล้วมันเกิดดีแล้วแหละ ไม่ต้องสงสัย ถ้าเกิดดีกันตรงนี้ ๆ เกิดดีเรื่อยไป อย่าให้มันเปลี่ยนเป็นเกิดชั่วได้ พอเข้าโลงแล้ว มันก็ไม่ต้องกลัว ต้องเกิดดีแน่ ดีที่เราทำเพื่อได้แก่เรา มันก็ได้ มันไม่มีใคร ไม่มีใครห้ามได้ ไม่มีพระเจ้าอะไรมันจะห้ามได้ ว่าคนทำดีแล้วจะไม่ดี คนทำชั่ว แล้วจะไม่ชั่ว มันห้ามไม่ได้ มันอุตส่าห์ทำแต่ดี พอดี ก็ พอทำดีก็ดีนั่นแหละ พอทำชั่ว ก็ชั่วนั่นแหละ ไม่น่ามีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แล้วมันก็ชิน แล้วจะทำชั่ว แล้วมันก็ชิน ทำดีนี่เขาเรียก อาสวะ อาสวะกิเลส ไอ้จะดีจะชั่ว ก็เรียกว่า กรรม ทำกรรม ทำดีทำชั่วเสร็จแล้ว ก็ได้รับผลกรรม แล้วก็มีอาสวะสะสมไว้ ทำชั่วก็ชั่วเก่งขึ้น ทำดีก็ดีเก่งขึ้น ก็ชั่วเก่ง ดีเก่ง นั้นก็เรียกว่า อาสวะ สันดานดองสันดาน
อุทิศส่วนกุศลต้องอธิษฐานจิต ว่า ไอ้ตายไปแล้ว ชั่วไปแล้วเลิกกัน ต่อไปนี้จะมีแต่ดี นี่อุทิศกุศลแบบนี้ ปัจจุบันนี้ก็ได้ อุทิศ ข้ามภพข้ามชาติ สำหรับคนที่ตายแล้วไปเกิด หรือตัวเองตายแล้วไปเกิดมันก็ได้ หามีผิดไม่ แต่ว่าอันไหนมีประโยชน์กว่า เร็วกว่า ทันใจกว่า ควรจะเอาแบบนั้นแหละ ไว้ก่อน นี่ประสงค์จะอนุโมทนาในการกระทำของญาติโยมทั้งหลาย ให้ญาติโยมทั้งหลายอุทิศส่วนกุศลด้วยว่า ด้วยใจ เมื่อพระว่า ยถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ ให้อุทิศส่วนกุศลด้วยใจ ถ้ามีน้ำ กรวดด้วยกาย แต่วาจาว่าอย่างที่เมื่อกี้นี้นี่ว่าวาจา อุทิศส่วนกุศลพร้อมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือให้ด้วยความชั่วของตัวเอง ไอ้ตัวกู ตัวโสที่มันตายไปแล้ว อย่าให้มัน อย่ามาเกิดอีก ให้มาเกิดเป็นดี ๆ อย่างนี้ก็ได้ นี่อนุโมทนา ตาม มีความหมายอย่างนี้
พอว่า สัพพีติโย ก็ให้ศีลให้พร รับศีลรับพร ที่นี่ถ้าพระ ขอให้เข้าใจ เรื่องอุปโลกน์ การอุปโลกน์ทำไปแล้ว มีความหมายว่า ส่วนใดเขาไปประเคนที่องค์ใด องค์นั่นแหละ มีสิทธิที่จะฉันในนามของสงฆ์ เพราะว่าทำการอุปโลกน์แล้ว เพราะมันอาจจะผิดกันบ้าง ไม่เหมือนวันสาธิต วันสาธิตทำเหมือนกันทุกบาตร จึงไม่อุปโลกน์แบบนี้ วันนี้ปิ่นโตต่างกัน มากบ้างน้อยบ้าง อะไรบ้าง จึงต้องอุปโลกน์แบบนี้ ว่า ส่วนที่หนึ่ง ถึงแก่พระเถระ ส่วนนอกนั้นถึงแก่ภิกษุทั้งหลาย ตลอดถึงสามเณร แล้วแต่ว่าทายกทายิกาน้อมนำให้ ส่วนใดเข้าไปถวายภิกษุใด ไม่มีผิดวินัย และให้ถือว่ายุติธรรม
วันนี้ก็ขอให้ภิกษุสามเณรตั้งใจ ว่านี่เขาถวายด้วยศรัทธา เราต้องฉันด้วยการฉลองศรัทธา ฉันให้ทั่วถึง เราจะต้องทำความพอใจให้ทายกทายิกา โดยการฉลองศรัทธาให้ทั่วถึง ขอยกตัวอย่างพระพุทธเจ้า รู้ รู้แล้วว่านี่ฉันเข้าไปแล้วตาย ท่านก็ยังฉัน คือสูกรมัททวะ ที่บ้านนายจุน พระพุทธเจ้ารู้ว่า นี่ฉันเข้าไปแล้วตายนะ พระพุทธเจ้าก็ยังฉัน เป็นโรคบิดขนาดหนัก แล้วนิพพานในวัน ค่ำวันนั้นเองนี่ แต่ภิกษุอื่นห้ามไม่ให้ฉัน เดี๋ยวมันจะตายกันไปหมด นี่ขอให้นึกว่า ไอ้หลักของภิกษุที่เป็น (นาทีที่ 36.32-36.34) ปรศัตรูกับชีวี อาศัยผู้อื่นเป็นอยู่นั้นให้เห็นแก่น้ำจิตน้ำใจของทายกทายิกาผู้ถวาย นี่ทำแต่ดึกนะ อุตส่าห์เอามาหิ้วมา เหนื่อยมากเปลืองมาก ฉะนั้นฉลองศรัทธา ช่วยเปิดให้ทั่วทุกปิ่นโตเถอะ อย่าให้มีปิ่นโตไหน ที่ไม่ได้เปิด เขาเสียใจ พระเห็นแก่ตัวนะ ไม่ค่อยยอมเหน็ดเหนื่อย ยังไม่เก่ง พระที่ว่าจะเห็นแก่ผู้อื่น ฉลองศรัทธา ต้องเปิดหมดทุกปิ่นโต ให้มันมีรอยตักทุกปิ่นโต ก็ดีแหละ ก็รู้เอาเองแหละ อะไรควรฉัน อะไรไม่ควรฉัน ให้ฉลองศรัทธาด้วยเรายอมเป็นฝ่ายเหน็ดเหนื่อยแหละ ผมเคยพูดว่า ถึงจะต้องตายก็ช่าง ก็ยังดีกว่าไม่ฉลองศรัทธานั่น ทีนี้ก็ให้ยถา อนุโมทนา
ตั้งใจกรวดน้ำ ด้วยใจ ถ้าใครมีน้ำก็กรวดน้ำ ไม่มีน้ำ ก็กรวดด้วยใจ จิตเป็นสมาธิ มีความกตัญญูกตเวที นึกถึงบุญคุณให้ใจมันแน่วแน่ อุทิศส่วนกุศลให้ตายาย