แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนจนก็เป็นทุกข์ คนรวยก็เป็นทุกข์ แล้วที่เป็นอันธพาล ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนน่ะมันทั้งคนจนและคนมั่งมี คนจนก็เป็นอันธพาลไปอย่าง คนมั่งมีก็เป็นอันธพาลไปอย่าง ทำโลกให้เดือดร้อน เพราะฉะนั้นจึงต้องเผยแผ่ธรรมะให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ มันก็ยากแหล่ะ จะให้ทั้งคนมั่งมีและคนยากจนยอมรับธรรมะ มันก็ยาก ไอ้คนธรรมดามันยังจะง่าย ไอ้คนจนมันก็ยากที่จะมีธรรมะ ไอ้คนมั่งมีมันก็ยากที่จะมีธรรมะ ไอ้คนที่อยู่ตรงกลางๆ ง่าย คนจนมันก็ มันก็มัวแต่เรื่องปากท้องไม่ยอมรับธรรมะ ไอ้คนมั่งมีมันก็เพลินไปเรื่องร่ำรวยไม่ชอบธรรมะ ไอ้คนที่อยู่กลางๆน่ะพอที่จะมีหูตามองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร เดี๋ยวนี้ยาก ยากเพราะผมมันประสบอยู่ว่ายาก เช่น จะไปพูดวิทยุวันอาทิตย์ ส่งไปพูดให้มันมีประโยชน์ ทั้งแก่คนมั่งมี สำหรับคนยากจน ให้เป็นประโยชน์หรือให้น่าฟังให้มันชวนฟังทั้งแก่คนมั่งมีและแก่คนยากจน มันก็ยาก และเชื่อว่าไม่สำเร็จเต็มที่แหล่ะ สำเร็จบ้างเท่านั้นเอง ที่พูดๆอยู่ทุกวันอาทิตย์ที่เขาให้พูด เพราะมันยาก ทั้งแก่ผู้มีอำนาจและผู้ไม่มีอำนาจ เช่นรัฐบาลนี่เป็นผู้มีอำนาจ แล้วประชาชนไม่มีอำนาจ เราจะพูดอย่างไรให้มันมีประโยชน์ทั้งแก่รัฐบาลและแก่ประชาชน ที่พูดไปแล้วก็ประโยคนี้ว่า ถ้าว่ามันมีธรรมะกันบ้าง มันไม่ต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ ผมก็มุ่งหมายจะให้มันกระทบกับรัฐบาลหรือว่ากับคนรวย แล้วเขาจะฟังกันหรือไม่ก็ไม่รู้ เขาฟังแล้วจะคิดยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเรามีธรรมะกันแล้ว ก็ไม่ต้องสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ นี่ไม่ใช่ผมพูดเปรยๆ พูดเล่นๆไม่คิดไม่นึก พวกคุณอย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องพูดพร่อยๆ พูดไม่มีความหมาย แต่นี่มันคือให้ธรรมะ มีปัญหาแก่ประชาชน ให้บ้านเมืองยึดถือธรรมะเป็นหลัก แก้ปัญหาเศรษฐกิจก็ดีอะไรก็ดี ถ้ามีธรรมะแล้ว มันก็ไม่มีปัญหา ถ้าประชาชนมีศีลธรรม มีธรรมะแล้วปัญหาทางเศรษฐกิจก็ไม่เกิด ปัญหาทางการเมืองก็ไม่เกิด ปัญหาการปกครองก็ไม่เกิด การผิดการซื้อการขายการอะไร ก็ไม่เกิด ปัญหาทางสังคมที่อยู่กันก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้มันไม่มีธรรมะนี่ มันทำให้เดือดร้อน ไอ้สั่งน้ำตาลสีแป้งมานี่แปลว่าต้องชดเชยกันเป็น สองร้อยล้านหรือกี่ร้อยล้านก็ไม่ทราบ เงินที่ต้องเสียไป ไม่ใช่เอาน้ำตาลมาแลก ๑ ต่อ ๑ อย่างนี้ มันต้องมีเสียเงินเป็นร้อยๆล้าน จึงจะแลกได้ แล้วก็จะต้องยุ่งยากลำบาก เดี๋ยวนี้ก็ควบคุมกันเหมือนคุมเพชรคุมพลอย กลัวน้ำตาลรั่วไหล มันก็ไม่พ้นที่จะรั่วไหล ลำบากยุ่งยาก เราว่าจะต้องบีบราคาอ้อยให้ต่ำที่สุดเพื่อได้น้ำตาลทรายสีรำไปใช้หนี้เขา พอให้รัฐบาลทำไหว ถ้าซื้อน้ำตาลทรายสีรำตามธรรมดาแล้วรัฐบาลจะไม่มีเงินซื้ออยู่ร่ำไป มันเป็นอย่างนี้ นี่ของนิดเดียว ถ้าเรามีธรรมะกันเสียบ้างก็ไม่ต้องไปสั่งน้ำตาลสีแป้งมากินแทนน้ำตาลสีรำ ถ้ามีธรรมะนิดเดียวนะ นี่มันไม่มี ต้องสั่งซื้อน้ำตาลสีแป้งมา ก็เสียเงินเสีย ลำบากยุ่งยาก เดือดร้อนกันเป็นการใหญ่ นี่ก็ คุณไปคิดเถอะว่า ไม่ใช่ผมจะเล่นการเมืองหรือว่าจะเสือกเข้าไปในเรื่องของการเมือง ก็ยังคงพูดเรื่องธรรมะ แต่พูดในลักษณะที่ให้เอาไปแก้ปัญหาทางการเมือง เพราะว่าหากโลกหรือประเทศชาติมันถูกบีบคั้นอยู่ด้วยปัญหาทางการเมือง ไม่มีอะไรแก้ได้นอกจากธรรมะ คงจะมีบางคนหลายคน แม้แต่พระมหาเถระ เถระบางคนที่กรุงเทพนี่ คงจะนึกด่าอยู่ในใจแล้วว่าผมนี่ พูด เล่นการเมืองนี่ล่ะ เป็นอย่างนี้ก็ได้ เขาอาจจะคิดอย่างนั้นก็ได้ว่า ผมเดี๋ยวนี้ทำไมพูดเป็นการเมืองมากขึ้น มากขึ้น เพราะเขาไม่รู้ว่าการเมืองนั้นคืออะไร และจำเป็นอย่างไรที่จะต้องมีธรรมะ เราไม่ได้พูดเพื่อการเมืองแต่พูดเรื่องธรรมะเพื่อจะแก้ปัญหาการเมือง เพราะฉะนั้นต้องพูดอย่างนี้เรื่อยๆไปสักพักหนึ่งก่อน ก่อนจะหมดเรื่องช่วยการเมือง ช่วยโลกช่วยทางการเมือง แล้วก็จะพูดทางธรรมะล้วนๆ ผมก็เห็นว่าพวกคุณก็ควรจะพูดเป็น ควรจะพูดเป็น เพื่อให้มันเป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง พูดธรรมะให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองแล้วมันหลีกเรื่องการเมืองไม่พ้น ต้องยกมาเป็นตัวอย่างบ้างอะไรบ้าง เขาเรียกว่า อะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องรู้จะต้องทำ ขวนขวายสักหน่อยเถอะ รู้และทำ ทำให้ได้ อย่าประมาทไปอวดดีว่ามันเป็นของง่ายและก็ทำชุ่ยๆ ผมมัน มันอยู่ใน ความคิดนึก สังเกตุจดจำมาอยู่เรื่อย มันจึง จึงมีอะไรที่สำหรับจะพูด ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผมนี้มันควรจะเส้นโลหิตแตกตายเสียมาหลายปีแล้ว เพราะสมองไม่เคยหยุด คิดเรื่องหลายเรื่อง แต่มันก็ด้วยอะไรก็ไม่รู้มันไม่ได้เป็นเส้นโลหิตสมองแตกตาย เพราะว่ามันมี พระนิพพานที่นี่ ช่วยคุ้มครองอยู่ มันสมองผมไหลเรื่อย ไม่ได้หยุด มันควรเส้นโลหิตแตกตาย ผมรู้สึกมานานแล้ว แต่มันก็ยังไม่เป็นสักที เพราะมันมีการไหลที่ไม่ร้อน มันจึงไม่มีเส้นโลหิตฝอยแตกตาย แล้วอีกทีหนึ่งมันก็เพราะไม่ได้คิดเพื่อเรา ไม่ได้คิดเพื่อเรา ไม่ได้มุ่งหมายเพื่อเรา อันนั้นมันก็ไม่เป็นกิเลสหรือเป็นไฟ มันจึงอยู่มา มันจึงไม่ค่อยมีเรื่องปวดหัว เรื่องนอนไม่หลับ เรื่องอะไรนี่ มันไม่มี อันนี้ก็เป็นเรื่องไม่ใช่พูดเล่นนะ ที่ว่า คุณระวังให้ดีอย่าละอายแมว ที่พูดอยู่บ่อยๆนี่ เป็นมนุษย์ยังเลวมาก ยังน่าละอายแมว ละอายสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งไม่ปวดหัว ซึ่งไม่นอนไม่หลับหรือว่าซึ่งไม่เป็นโรคประสาทไม่เป็นโรคจิตไม่ฆ่าตัวตาย ไอ้คนมันยังมีเพราะฉะนั้นคนยังเลวกว่าสัตว์ ช่วยกันดูในข้อนี้แล้วแก้ไข อ้าว..มีอะไรอีกล่ะ (มีอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์และก็กระผมรู้สึกว่า หลายคนที่มีความเคารพรักท่านอาจารย์นี้เป็นห่วงกันมาก แล้วก็ดูจะมีความกังวล เพราะหาคำตอบไม่ได้ ในโอกาสนี้จึงขอโอกาสกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เรื่องเกี่ยวกับว่าเมื่อท่านอาจารย์ได้สิ้นบุญลงไป พวกลูกศิษย์ลูกหานี้ควรจะจัดการกับร่างกายของท่านอาจารย์อย่างไรดีครับ) นี่ก็บอกแล้วว่าไม่ ไม่ตอบ พวกปากบอนปากโหว่มันก็จะกระพือกัน ลือกันไปหมดไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น จะเขียนใส่ซองปิดผนึกไว้ให้ พอตายแล้วฉีกออกมาดู รับรองว่าคุณจะจัดการเสร็จภายใน 2-3 ชั่วโมง เปลี่ยนที่นอนให้เท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องมีอะไร เราไม่รู้จะพูดทำไม จะไม่มีพิธีรีตรองอะไรเกี่ยวกับว่าตายแล้ว ให้ถือว่าไม่ตายแค่เปลี่ยนที่นอน มันอาจจะมีปัญหาทางสังคมทางอะไรที่เขาจะรบกวนวุ่นวาย แล้วก็จะทำเป็นหลักฐานไว้ให้ว่านี่มันมีอยู่อย่างนี้ ใครที่เป็นลูกศิษย์ ทำตัวเป็นลูกศิษย์ ก็ทำตามคำสั่งก็หมดเรื่อง ไม่อยากจะพูด เพราะพูดแล้วมัน พอพูดต่อแล้วมันก็ฉาว คนโง่ก็พูดไปอย่างโง่ คนฉลาดก็ ก็ยังเข้าใจเลยว่า ว่าเราทำไมจึงต้องทำอย่างนี้ สรุปความสั้นๆว่า อย่าทำ อย่างกับว่าตาย ให้ทำอย่างกับว่าไม่ตาย ให้ยังอยู่ด้วยกันตลอดไป (เรื่องที่กระผมได้คิดจะถามก็มีแค่นี้ครับ ไม่ทราบว่าจะมีใครถามอะไรอีกไหมครับ) จะทำอะไรให้มีประโยชน์ พูดว่ามีประโยชน์ แล้วก็ยังมีว่าแยบคาย แยบคายเป็นกุศลหรือเป็นฉลาด อย่าชอบโว อย่าชอบโวย อย่าชอบพูด (นาทีที่ 12.55 เสียงขาดหายครับ) ผมไม่อยากจะให้รู้เลย ว่านี่ทำอะไร ทีนี้มันก็ไม่บอกก็ไม่ได้ มันก็เดากันไป แล้วในที่สุดมันก็รู้แต่เพียงว่า นี้จะทำอนุสาวรีย์ ใครถามผมบอกว่าอาคารหลังสนามหญ้านี้ ทำอนุสาวรีย์ที่เรารู้จักกัน บรรจุสิ่งของหรือพิธีการกระทำต่างๆไว้ในนั้น ให้เป็นประโยชน์แก่คน เรื่อยๆไปเหมือนกับว่าไม่ได้ตาย เพราะยังทำประโยชน์อยู่เหมือนกับเมื่อไม่ตายก็ต้องถือว่ามันไม่ได้ตาย เรื่องอะไรที่จะเป็นประโยชน์ให้คนอยู่ รู้ธรรมะรู้อะไรก็จะหามารวมๆกัน ใครเข้าไปก็จะมองออกว่าอะไร พวกนี้เขาทำอะไรกัน คือรับใช้พระพุทธเจ้า ชื่อว่าพุทธทาส ก็คือจะต้องรับใช้พระพุทธเจ้า ถ้าคนไหนเขามองออก ก็คือ รับใช้พระพุทธเจ้าตามพระพุทธประสงค์ แก่เทวดาและมนุษย์ตลอดธรรม นี่อยากจะขอร้องให้ทุกคนทำอย่างนี้ไม่ว่าที่ไหนก็แล้วแต่ หรือจะทำอย่างไรก็ได้ขอให้เป็นผลออกมา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเกิดขึ้นแห่งตถาคตก็ดี การมีธรรมวินัยอยู่ในโลกนี้ก็ดี การสืบอายุธรรมวินัยไว้ในโลกนี้ก็ดี มีอะไรอีกหลายๆอย่าง แต่ว่ารวมความแล้วให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ ทั้งคนทั้งเทวดา จุดประสงค์มันมีเท่านี้ ให้เป็นประโยชน์ทั้งเทวดาและมนุษย์ตลอดธรรม (นาทีที่ 15.58 ทำอะไรก็ได้ ..........ในรูปนั้นให้มันรวมอยู่ในนี้ เรียกว่า ห้องแสงสว่าง ให้ช่วยกันส่งเสริม ธรรมะเปรียบเหมือนแสงสว่าง ทำอะไรให้อยู่ในแสงสว่าง อย่าอยู่ในความประมาท มืดมนโง่เขลา) อยากจะให้คิด สรุปกว้างๆว่า เราอย่าทำเพื่อเรา ให้ถือว่าวัดทุกวัดเป็นสำนักงานทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า ถ้าจะพูดว่า ให้เกียรติพระพุทธเจ้าของมนุษย์ทั้งหมด มันก็ได้เหมือนกันล่ะ ก็ถูกเหมือนกันล่ะ เดี๋ยวนี้เรามันอยู่ในสภาพอย่างนี้ มันโกนหัว นุ่งเหลือง บวชในธรรมวินัยแบบพระพุทธเจ้า อยากจะใช้คำอย่างพระพุทธเจ้า ทำเพื่อพระพุทธเจ้า ทำตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า เพื่อรักษามรดกของพระพุทธเจ้า คนอื่นเขาว่าตามพระเป็นเจ้าของศาสนา แต่ถ้าเป็นจริยธรรมสากล ไม่เกี่ยวกับศาสนาไหนก็ต้องเรื่องนี้ ทุกคนมนุษย์ทั้งหลายทุกคน นี้อยากให้ทุกวัดทุกวาทุกหนทุกแห่งทุกคน ทำเพื่ออย่างนี้ เพื่อพระพุทธประสงค์ เลิกหมู่เลิกพวกอิจฉาริษยาด่าทอกัน มุ่งร้ายต่อกัน อ้าว...ไม่มีอะไรแล้ว (.....................เขียนคำสั่ง แต่ว่ามันมีปัญหาอยู่อันหนึ่งคือว่า สมมติว่าท่านอาจารย์สิ้นบุญไปนี้นะ คิดจะไม่ให้คนอื่นรู้นี้น่ะ คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ปากคนนี่มันเหลี่ยมเหลือเกิน ทีหลังถ้าสมมติว่าคนที่อื่นรู้ คนจะมากันมาก ถ้าเกิดว่าจะขัดแย้ง ไม่ต้องการจะทำตามความประสงค์ สมมติว่ามีการทะเลาะกันอะไรกันกับพวกที่หวังดีพวกที่ต้องการทำตามความประสงค์ของท่านอาจารย์ แต่ว่ามันเคยเห็นทั่วๆไปที่ว่าอาจารย์เคยสั่งเอาไว้ ไอ้ลูกศิษย์มันแยกออกเป็นสองพวก พวกหนึ่งมันอยากจะทำตามที่เขาเห็นว่าควรจะทำ ถ้าสมมติว่ามีอาการอย่างนี้เกิดขึ้นนี่ครับ ควรจะทำอย่างไร) คล้ายๆกับว่าสองพวกแยก แย่งกัน ต่างฝ่ายต่างมันจะทำเพื่อตัวเอง มันจะทำอย่างไรดีล่ะ อาจารย์ก็ตายไปแล้วไม่มีทางจะเห็นแล้ว เรื่องนี้ก็บอกแล้วนี่ว่าไม่ต้องการให้ใครรู้ ทำเสร็จภายใน 3 ชั่วโมง แล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไร จะรู้อะไรก็รู้ไปเถอะ มันจะรู้ทีหลังก็รู้ไปเถอะ เรามีปัญญานะ ทำเสร็จภายใน 3 ชั่วโมงนะ ไม่ทันมีใครรู้นี่ บางที่ตลาดก็ยังไม่ทันรู้ มันจะเกิดอะไรล่ะ (นี่ล่ะเป็นเรื่องยากสำหรับที่) ไม่ยากหรอก ยังไม่บอก ยังไม่บอก (หมายความว่าถ้ายืดเวลานี่ ยังไม่ยาก แต่ว่าเวลาน้อยเป็นเรื่องที่ยากมาก) นั่นล่ะยังไม่บอก ถ้าบอกแล้วจะฉาว จะโง่เสียนี่ ยังไม่บอกนะว่าทำอย่างไร แต่รับรองว่าทำเสร็จใน 2-3 ชั่วโมง แล้วใครจะมาทำอะไรก็ไม่ได้ ตามกฏหมายก็มีก็เขียนไว้เสร็จเลย มันไม่มีกฏหมายแบบนั้นนะไอ้เรื่องสมณศักดิ์มันไม่มีกฏหมาย มันตั้งกันเอาเอง แล้วไอ้พระราชทานเพลิงศพอย่างนี้เขาก็มีกฏหมาย ต้องขอนู่น ก็ถ้าเราจะไม่ขอใครจะทำอะไรเราล่ะ อย่าพูดดีกว่าเรื่องนี้ เดี๋ยวมันจะ มันจะฉาวเสียก่อนอีก เดี๋ยวมันจะโง่ไปอีกแหล่ะ ไม่พูดนั่นแหล่ะดี แล้วมันมีเรื่องที่ทำได้ เพราะเป็นเรื่องที่มันคิดมานาน แล้วกฏหมายก็รู้อยู่ (เรื่องนี้อาจารย์ว่าแบบนั่นก็จริงแต่ว่าความหนักใจของลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่นี่ หนักใจมาก นี่กระผมลองถาม ยกตัวอย่างอาจารย์ไสวนี่ อาจารย์ไสวจะรู้สึกอย่างไรถ้าอาจารย์จะทำแบบนี้ ภายใน 3 ชั่วโมงนี่ อาจารย์ไสวจะรู้สึกว่าทำได้ไหม) ฉันจะยุให้เหลือซัก 2 ชั่วโมง อย่าพูด มันจะเอาไปพูดกันฉาวไปหมด แล้วทีนี้ของเราจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องได้สิ ไม่ได้จะพูดทำไม (นี่สมมติว่านะ สมมติว่า สมมติเรื่องยังไม่เกิด แต่สมมติไปก่อน ยกตัวอย่างว่าถ้าท่านอาจารย์สิ้นบุญกลางคืนแบบนี้ ประมาณว่าเที่ยงคืน) ต้องเสร็จใน 2 ชั่วโมง (2 ชั่วโมงเสร็จ ยังไม่ทันสว่าง) อื้อไม่ทันสว่าง แล้วก็ไม่บอกใครว่าตายแล้ว บอกว่าไม่ตาย บอกไม่ตาย ให้ทำอย่างไม่ตาย (วันนั้นได้ปรึกษาที่ทาง... อาจารย์ไสวยังพูดว่าถ้าทำอย่างนี้ มีลูกศิษย์ลูกหาบางคนจะหาว่าแกล้ง แกล้งทำให้ท่านอาจารย์สิ้นบุญไป แล้วจะไปขุด ขุด รื้อเอามาใหม่ เอามาพิสูจน์เอามาผ่าตัด ทำกันใหม่แบบนี้ จะมีปัญหาเหมือนกัน) ไม่ มันมีหนังสือที่ทำไว้ให้เป็นหลักฐานอย่างนี้ มีคำสั่งพินัยกรรม เป็นหลักฐาน น่าหัวเราะนะ เรื่องไม่มีทำให้มี เรื่องเล็กทำให้ใหญ่ เรื่องโง่ เรื่องฉลาดทำให้โง่ เรื่องฉลาดทำให้โง่ (........) เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันก็ไม่ใช่กฏหมาย แพทย์ตรวจแพทย์อะไร มีสิทธิเต็มที่แหล่ะ สมมติว่าพระตั้งสิบกว่าองค์เป็นพยานแบบนี้ จะไม่เชื่ออีกเหรอ ก็ไม่มีปัญหาอะไรและก็ไม่สามารถทำอะไรได้หรอก (อีกอย่างหนึ่งคือว่าพระ สมมติว่าที่อยู่ในวัดนี้มันยังเป็นพระเด็กๆ พระผู้น้อย ที่นี้ฝ่ายผู้ใหญ่ฝ่ายปกครอง สมมติว่าเป็นเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เกิดทำกันแบบนี้ พระผู้ใหญ่นี่เขาจะหาว่าพระที่นี่มันใช้ไม่ได้ เหลวไหล ไม่มีการพิธีกรรม) นั่นมันคิดออกนอกเรื่องไป โปรดทำตามคำสั่งเถอะ (คือว่าคำสั่งของท่านอาจารย์นี่ก็ถูกแล้ว แต่ว่าสมมติว่าพระที่อยู่ที่นี่ต่อไปก็ต้องอยู่ในการปกครองของคณะสงฆ์ ทีนี้เมื่อพระผู้ใหญ่เขาว่าพระที่นี่ทำกันอย่างไม่มีการศึกษาอะไรนี่ ต่อไปอาจจะทำให้เกิดอุปสรรคสำหรับพระที่อยู่ต่อไป ก็เป็นได้ รู้สึกแบบนี้) มันก็แล้วแต่พระที่อยู่ต่อไป แต่ว่าในเรื่องนี้ทำตามคำสั่ง คำสั่งที่ให้ทำอย่างกับว่าไม่ตาย ไม่ได้ตายอะไร (คือว่าโดยความจริงนี่ลูกศิษย์ลูกหาทุกคนนี่ อยากจะมาเห็นมาในโอกาสนั้นกันทุกคน อย่างน้อยให้ได้มาเห็น) นั่นมันบ้ามันโง่ เพราะว่าเราไม่ต้องการ ไม่ต้องการ เพราะว่าเราไม่ตาย จะมาเห็นตายอะไรเรา (ถ้าเวลามันยืดนี่เขาจะต้องรีบมา ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้) ไม่บอก ไม่บอก บอกว่าสั่งไว้ไม่ให้บอก ไอ้คนสั่งในที่สุดมันต้องเปิดเผย มันก็ต้องเปิดเผย มันจะเก็บไว้อีกเหรอ ก็ทำไปแล้ว มันแปลกจนเข้าใจไม่ได้ มันทำแปลกเพื่อนจนเข้าใจไม่ได้ คนอื่นเขาทำสำหรับตายทั้งนั้น ทำสำหรับตาย มีการตาย อะไรไปตามแบบของการตาย นี่ทำสำหรับไม่ได้ตายนี่ ไม่มีการตาย (ธรรมศักดิ์มีอะไร......) ในทางกฏหมายไม่มีปัญหาอะไร (........) นั่นมันเป็นเรื่องควรจะรู้ได้ ว่าตายหรือสลบ ถึงสลบก็ทำอย่างไม่ตายนี่ ทำอย่างไม่ตายนี่ สลบก็ได้ ถ้าไม่โง่ (ถ้าอย่างนั้นก็หมดเรื่องครับ หลายคนต้องช่วยกันดู อย่างนั้น ได้ทดลองแล้ว จับชีพจรแล้ว อะไรแล้ว) ถ้าจะดูให้แน่ เปิดตาดู ถ้าม่านตามันกว้าง แบบนี้ล่ะตายแน่ๆ ไม่มีสลบ ถ้าตายังปกติเหมือนเดิมให้ยังสงสัยว่าสลบ ถ้าหัวใจหยุดหนึ่งชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา มันได้เหมือนกัน (ถ้าหัวใจหยุดแล้วก็หน้าตาเปลี่ยนทันทีครับ) ม่านตาเปิดโล่งกว้างหมดเลย (.......ต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่ นั่นมันต้องไปแจ้ง แจ้งว่าตาย ไอ้นั่นก็ตามกฏหมาย) ค่อยแจ้งทีหลังก็ได้ 24 ชั่วโมงไม่ใช่เหรอ 24 ชั่วโมง (นี่สมมติว่า...จะไม่บอกเจ้าคณะอำเภอนี่) อ้าว เราบอกว่าเสร็จแล้ว หลังจาก 2 ชั่วโมงไปแล้ว (อย่างที่ท่านอาจารย์ทำไว้อย่างนี้ บอกทีหลังก็ได้) นี่มันฉาวเดี๋ยวไปพูด ฉาว ฉาว อย่าไปพูด แสดงความโง่ (อย่างที่กระผมเคยเฝ้าคนป่วย เวลาจะสิ้นจริงๆนี่ มือกำนิดหน่อย แล้วเส้นคอกระตุกๆนิดหน่อย นั่นไปแล้ว แน่นอน เห็นหลายคนแล้ว ต้องมือเกร็งนิดหน่อย เส้นคอกระตุกๆ แล้วทีนี้จะเงียบแล้วครับ อย่างบิดากระผมก็ดูอย่างนั้น แล้วหลายคนที่กระผมเคยเฝ้าไข้มาเป็นอย่างนั้นครับผม ต้องมือกำนิดหน่อย เกร็งนิดหน่อย แล้วทีนี้ก็เส้นคอกระตุกๆ แล้วทีนี้ก็นั่นแล้ว) เลนส์อันเล็กของตาดำนั่นแหล่ะมันจะเปิด อะไรแบบนี้ (โดยมากที่ผมเห็นเป็นแบบนั้น คล้ายๆเกร็งนิดหน่อย แล้วก็เส้นคอกระตุกๆ แต่ไม่เคยดูที่ม่านตา) หมอเขาสอน เขาแนะนำ ยืนยันที่แน่นอนที่สุดคือม่านตาเปิดหมด (ได้ทราบอย่างนี้ก็พอมีทาง ถ้าไม่อย่างนั้นก็หนักใจอยู่เรื่อย ถ้าใครได้เฝ้าแล้วได้เห็นอย่างนั้นแล้วก็นะ ได้รู้หลายคนว่าต้อง เหมือนมีหลักฐาน ของท่านอาจารย์ก็มีหลักฐานอยู่แล้ว) เรามีทรายอยู่ตรงนี้แล้ว มีหินกองอยู่แล้ว ปูนซีเมนต์อยู่แล้ว (ทำตามได้ทำอย่างนั้น รู้อย่างนี้ก็หมดสงสัย ไม่มีอะไรที่จะสงสัย) มันชอบบอกกันนัก วันนั้นผมก็หยาบคาย ผมตวาดเอาคุณเฉิง (นาทีที่ 33.40 ไม่แน่ใจชื่อครับ) ใครปากสว่างไปบอกคุณเฉิงว่าทำฮวงซุ้ย คุณเฉิงเอาเงินมาให้ มันไม่ควรให้รู้เลย นายคล่องก็ไม่รู้จากไหน เอาเงินมาให้ทำฮวงซุ้ย บางทีผมต้องยอมรับ ทำฮวงซุ้ย ทำฮวงซุ้ย เผื่อไว้ แต่ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าทำอะไร (.......) เราว่าทำอนุสาวรีย์ บางทีมันจะเป็นหัวใจของวัด คือมันมีอะไรรวมอยู่หมดตรงนั้น หนังสือก็มี อะไรก็มี จึงจะทำให้เหมือนกับไม่ตายนั่นแหล่ะ ถึงจะมีความหมายว่าไม่ตายให้มันรวมอยู่ที่อนุสาวรีย์ ที่จริงเรียกอนุสาวรีย์มันก็ไม่ถูก (แต่ความดำริของท่านอาจารย์กระผมก็ทราบมาตั้งแต่บวชใหม่ๆนู้น ท่านอาจารย์เคยดำริอย่างนี้ ยิ่งเดี๋ยวนี้ท่านอาจารย์ก็ยืนยันอย่างนี้ก็ไม่แปลกอะไร) ผมเกลียดพิธีศพ เกลียดพิธียุ่งยากทำศพ เราไม่ต้องมีศพ ไม่ต้องมีพิธีทำศพ เพราะมันไม่ตายนี่ มันจะไปทำศพอะไรกัน ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย เปลี่ยนที่นอน (ใช่แล้ว อันนี้คือถูกต้องแล้วครับผม แล้วก็เรียกคล้ายๆว่าน่าที่ดีที่สุด.....แล้วเป็นการสอนไปในตัว) ฝืนความรู้สึกไม่มีใครเอาอย่าง ถามดู อยากให้ตายหรือยากไม่ให้ตาย ถ้าอยากไม่ให้ตายต้องทำแบบนี้แหล่ะ ไอ้ร่างกายนี้มันไม่มีความหมาย อย่าทำให้มากมายเสียเงินกันเป็นหมื่นๆ เสียเวลา (......) นั่นแหล่ะเราอยากให้มันฉลาดเสียบ้าง อย่าให้มันโง่ (รู้สึกว่าท่านอาจารย์ พูดอะไรเป็นวาจาสิทธิ์..... สิ้นบุญไปแล้ว ถ้าเขาเกิดเถียงขึ้นมาทำอะไรขึ้นมา......) เราก็ไม่เอา บอกว่าอยู่ในวัด ไม่ทำไม่เอา ไม่ต้องการ เราไม่ทำเหมือนกับที่เขาตายๆกัน เพราะคนนี้มันไม่ตาย อยู่ที่เข้มแข็งหรือกล้าหาญบ้าง คนที่ยังอยู่นี่นะ รวมความว่ามันไม่ซ้ำใคร มันไม่ให้มันซ้ำกับใคร ควรจะเข้าใจกันได้ (....เรื่องคนทีหลัง อันนั้นคนทีหลัง ก็แล้วแต่เขา ทีนี้ถ้าเราทำตามคำสั่งได้แล้วก็หมดเรื่องกัน แล้วก็ปลอดภัยกับผู้ที่กระทำ เพราะมีพยานหลักฐานทำตามพินัยกรรม ก็หมดเรื่อง อย่างท่านอาจารย์มั่นเวลาสิ้น เขาเอาขมิ้นมาทาที่เท้าแล้ว เอาผ้าขาวมาปัก กรรมการเขาเห็นว่าทำอย่างนี้มันไม่ถูกก็ต้องห้าม ท่านอาจารย์มั่น นี่ถ้าทำอย่างเร็วก็ไม่มีอยู่แล้ว ไม่มีอย่างนั้น ชั่วโมงนั้นก็บอกพระในวั ด ท่านก็รู้กันเอง ตรงนั้นไม่ต้องบอก ไม่ต้องบอกใคร) คุณจะเอาไปทำอะไร ไอ้รูปหรือไอ้รอยเท้าเอาไปทำอะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่ให้ไว้แล้วคือธรรมะ มันมีค่าเกินกว่าอะไรๆหมด (ทรมาน ผู้ที่สิ้นไปแล้วได้ทำ ที่ท่านอาจารย์ได้เขียนไว้ ถ้าเกิดปัจจุบันทันด่วนขึ้นมาแล้วทำอย่างไร เป็นปัญหาสำคัญ) ก็เขียนไว้แล้ว พอตายแล้วก็ฉีกจดหมายดู (แสดงว่าเดี๋ยวนี้ของท่านก็มีอยู่แล้ว รู้อย่างนั้น ไม่ต้องว่า ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท ไม่ต้องว่า ตรงนั้นไม่ต้องว่าดีกว่า ใครจะรู้) ถ้าไม่เขียนก็ทำได้ ถ้ากล้าหาญพอ เพราะมันยืนยันนี่ว่ามีเป็นพยานกันตั้งสิบคน (ถ้าเรายังอยู่ก็ทำได้อย่างนี้) คิดไว้ว่าจะยังอยู่อีกซักห้าปี แค่คิดนะ แปดสิบ ยังอีกห้าปีแล้ว (......) อยู่ให้ลำบากทำไม (อยู่ยังไม่ลำบาก) จะเขียนหนังสืออีกสักเล่ม และคิดว่ามันคงจะสำเร็จประโยชน์ เขียนหนังสืออีกสักเล่มสำหรับเป็นประโยชน์ให้มันถึงที่สุดอย่างที่พูดๆกันนี่ ธรรมะเล่มเดียวจบ ธรรมะเล่มเดียวจบ หัวข้อของธรรมะอย่างชัดเจนสำหรับทุกคน อย่าให้ต้องเปลืองอะไร อย่าให้ต้องเปลืองอะไรเลย ในงานศพมันเปลืองมาก แล้วทำให้คนยึดถือมาก ถ้าคนเข้าใจ จะรู้ว่ามันไม่มีความหมายร่างกาย ซากศพ เหลือแต่ร่างกายซากศพเน่าเปื่อย ยังเสียเงินกันอีกมากมาย เสียเวลายุ่งยากลำบาก (.......) นั่นมันธรรมเนียม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ยึดถือ เวลาเจ็บเวลาไข้เวลาเป็นเวลาตาย ขนบธรรมเนียมที่มันยึดถือ ไม่ใช่ธรรมะ (......) เดี๋ยวผมลงไปเองก็ได้ ไม่มีใครนี่ ที่แน่ๆผมลงไปเองแล้วถมเลย ไม่ต้องว่าใคร เพราะเห็นว่าแน่นอนแหล่ะ ลงไปเอง รอสี่ห้านาทีเอง แล้วถมอย่างนี้นะ ถ้าว่าเจตนาดี ฉันไม่เห็นว่าแปลกประหลาดอะไร ถึงจะทำแบบนี้ก็ไม่แปลกประหลาดอะไร เป็นเรื่องธรรมดา ของสติปัญญา มันมีอิสรภาพที่จะคิดจะนึกจะต้องการ แล้วก็ทำเถอะไม่เห็นว่าแปลกประหลาดอะไร พอเห็นไม่สบายหนักก็ยกไปตรงนั้น ฉันลงไปเองก็ได้ คลานลงไปเอง (.......) ทำพระพุทธรูปสักองค์ ถ้าไม่มีองค์ไหนเหมาะก็เอาองค์ที่มีนี่แหล่ะ ตั้งไว้บนหัวแล้วปิดฝา ถมปิดฝาแล้วเอาพระพุทธรูปตั้งไว้บนหัวสักองค์ (.....) ไม่ อย่าวางบนนั้น วางข้างๆก็ได้ วางริมประตูนั่นแหล่ะ เรารับใช้พระพุทธเจ้า แม้แต่ตายแล้ว มันมีแต่ ไม่มีชีวิตแล้วก็ยังมี มันต้องมีแหล่ะ ที่ตั้ง ข้างๆมันต้องมี (เมื่อก่อนนี้เขียนในรูป เขียนในรูป) รูปที่ออกแบบไว้รูปหนึ่ง ที่หน้าปกหนังสือแหล่ะ มีความหมายมากนะ เจตนานั่นแหล่ะ รูปที่คนแบกวงกลมสามวงหน้าปกหนังสือแหล่ะ เจตนาออกแบบ สัญลักษณ์ของพุทธทาสนะ ต้องพูดอย่างนั้น คือชอบใจหินสลักของสมัยคันธาระ ที่คนแบกล้อสามล้อ เราไปบอกให้คนนี้เขียน (......) ถ้าได้สักสามพันปี ฉันให้คนข้างหลังทุบออกมาดูศึกษาดู ได้ความรู้ทางวัตถุนะ มันเคยคิดเล่นๆมานานและคิดหลายๆอย่าง ไอ้ที่แบบนี้มันจะมีประโยชน์ในการเผยแพร่ธรรมะ (........) ถ้าอย่างนั้นเราไม่ต้องรับผิดชอบ อย่าไปคิดให้มันมาก ให้คนสบายใจได้บ้าง ทีหนึ่งเคยคิดว่า เห็นว่าคนจะตายแล้วก็ไป ไปทะเล ไปเกาะสมุย มันหล่นทะเลตายหายเลยนี่ เหมือนคุณธีนั่นแหล่ะ ก็เคยคิดนะว่าไม่ต้องทำอะไร ไปที่ท้ายเรือแล้วทำว่าให้มันพลัดตกทะเล ไม่ต้องมีอะไร ผมเคยสังเกตเมื่อไปเกาะสมุย ไปทะเล แล้วก็เอามานั่งพิจารณาดู เออนี่ถ้าว่าเราล้มลงไป คงเงียบดี เงียบไม่มีใคร เห็นเขานอนกันหมดเลย มันยกเลิกกันเลย เหมือนกับว่าปิดฉากเลย ทะเลกว้างพอ คงไม่ลอยขึ้นมาให้ใครเก็บมาเผา (.....) ต้องไปถึงแหล่ะ ไปถึงปลายนู้นแล้วจึงจะรู้ว่าหาย อย่าทำให้ใครเห็น เขานอนกันเงียบหมด เราไปส้วมไปอะไร เห็นว่าเงียบนี่ น่า น่าโดดลงไปเลย อย่าไปยุนะอย่ายุนะไม่ต้องมี คงไม่มีใครรู้จนกว่าจะถึงนู้นแหล่ะ ถึงปลายทางฝ่ายนู้น อ้าว..นี่หายไปไหนคนหนึ่ง ก็สงสารกัปตันเรืออีกแหล่ะ แต่ว่ามันก็ดีแหล่ะ มันง่ายที่สุดแหล่ะ (......) มันไม่ต้องรอให้เจ็บปวดทรมาน เห็นว่าควรตายก็ตายอยู่แล้ว ควรปิดฉากก็ปิดฉากไป ปัญหาธรรมะ หรือปัญหาวินัย การฆ่าตัวตายจะเป็นผิดหรือถูก บาปหรือบุญ ยังไม่ตกลงกันนะ ในบาลีมีพระอรหันต์ฆ่าตัวตาย พวกที่ยึดถือ ไม่ยอมเชื่อ หรือว่าไม่ยอมเป็นไปได้ มีกิเลสสงบเป็นคราวๆ เขาไม่เรียกวิมุตติ เขาถือโอกาสว่าสงบดีแล้วฆ่าตัวตาย เขาไม่ฆ่าด้วยกิเลสต้องฆ่าด้วยสติปัญญาจริงๆ (พระพุทธเจ้าตรัสว่า..........) ตรงไหน (........) น่าจะพิจารณา มีบาลีตรงไหนน่าจะพิจารณา คือเราไม่เชื่อเหมือนกันว่าสูตรที่ว่า พระฉัน พระอะไรที่ฆ่าตัวตายสองสามองค์ ยังเป็นปัญหา จะเป็นตามคำนั้นจริงหรือเปล่า แต่ว่าถ้าไม่จริงก็หมายความว่าพระไตรปิฎกบางอันมันเชื่อไม่ได้ ต้องไม่รู้ไม่ชี้ จะไปตัดออกมันก็ไม่จำเป็นเหมือนกัน ข้อความในพระไตรปิฏกบางตอนมันเป็นไปไม่ได้ ถือว่านี้ไม่ใช่ของจริง หรือของเดิม เป็นของเพิ่มใหม่ ช่วยกันเฉยเสียบ้าง จะลบออกก็มันจะยุ่งยากอย่างอื่น ตรงไหนมันขัดหลัก ขัดศีลธรรมวินัย แล้วช่วยกันเฉยอย่า อย่าปฏิบัติ อย่าเอามาถือเป็นหลักปฏิบัติ พระไตรปิฎกที่เชื่อถือได้ก็คือสุตตันตะ ส่วนวินัยนี่เมื่อก่อนมันรวมอยู่ในสุตตันตะ ขุททกนิกาย เมื่อทำสังคายนา แยกธรรมเป็นวินัยเป็นธรรมะ ก็มาถึงจัดหมวดหมู่ มันจัดเป็นห้านิกาย ไม่มีอภิธรรมปิฎก คำพูดอย่างอภิธรรมปิฎกก็รวมอยู่ในขุททกนิกาย มันจึงมีกันห้านิกาย ทีนี้อภิธรรมปิฎกเขาแต่งกันทีหลัง มากมายมหาศาล ของเดิมก็มีอยู่ในขุททกนิกาย เช่น ปฏิสัมภิทามรรค มหานิทเทส นั่นคืออภิธรรมเมื่อก่อน อยู่ก่อน อภิธรรมปิฎกใหญ่นี่แต่งขึ้นเมื่อหลายร้อยปีต่อมา แล้วเขียนขู่ไปสมทบว่า ถ้าใครไม่เชื่อให้ตกนรก ส่วนวินัยปิฎกมันเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่ในขุททกนิกาย นั่นเขาก็ศึกษากันห้านิกายนั่นแหล่ะ ไม่ได้มีพระไตรปิฎกสามปิฎก ตอนหลังจากทำอภิธรรมปิฎกขึ้นมาแล้ว จึงแยกวินัยปิฎกออกไปอีกด้วยกัน คือแยกออกไปจากขุททกนิกายไปเป็นวินัยปิฎกเสียอันหนึ่ง ไปเป็นอภิธรรมปิฎกเสียอันหนึ่ง รวมเป็นสาม ปิฎก นี่ให้พระพุทธเจ้าตรัสอะไร (นาทีที่ 55.24 ไม่แน่ใจชื่อครับ “กุบาล”) กุบาล เรียนปิฎก ปิฎกหนึ่งหรือสามปิฎกนี่ชื่อว่า คันถธุระ น่าหัวเราะเลย ยังไม่มีพระไตรปิฎกที พระพุทธเจ้าพูดเหรอว่ามี (ทั้งห้านิกายนี่เรียกว่าสุตตันตะก่อนเหรอ) ไม่เรียก เรียกห้านิกาย เรียกห้า อาคม หรือว่า ห้า อะไรมีคำว่าแบบนั้นแหล่ะ ถึงฝ่ายมหายานก็เรียก ห้าอาคม ไม่มีคำว่าปิฎก ไอ้คำว่าปิฎกมันควรจะมีเมื่อเขียนลงในใบลานหรือในอะไรแล้ว มันจึงทำเป็น ห้าตะกร้า ห้ากระจาด ห้ากระบุง เมื่อยังไม่เขียนเป็นใบลานเป็นหนังสือ มันไม่จัดเป็นกระบุงได้ ห้าปิฎก หรือ ห้ากระบุง ห้าตะกร้า ห้ากระจาด พอเข้าเรื่องกันแหล่ะ ไอ้เรื่องฝ่ายอื่นที่ไม่ใช่พุทธ สมัยโบราณพอมีอะไรเขาก็เขียนไปลงบนในไม้ มันไม่มีหนังสัตว์ หรือมันไม่มีเปลือกไม้ใช้กับเหมือนพวกฝรั่ง เขียนลงในใบไม้ ยันใบลาน ใบเตย ใบตะโหนด พอเขียนแล้วก็ใส่ลงในตะกร้าหรือกระบุง มากเข้าๆ เต็มกระบุง เลยเรียกว่าปิฎก ถึงก่อนพุทธกาลฝ่ายอื่น ฝ่ายพวกอื่น ก็ทำกันแบบนั้น พวกพรามหณ์ พวกฮินดู พวกสมัยอุปนิสัตว์ พอนึกอะไรได้ เมื่อมีการเขียนแล้ว ก็เขียนใส่ใบไม้แล้วใส่ลงในตะกร้าหรือกระบุง เราจึงมีคำนี้ใช้มาจนถึงในพระพุทธศาสนา เรียกว่า สามปิฎก สามตะกร้า สามกระบุง คำนี้ต้องมีเมื่อมีการเขียนแล้ว เมื่อทำกันด้วยปาก ไม่มีการเขียน ลองไปอ่านดูเถอะที่มันเป็นหลักฐานจริงๆในวินัย ปัญจสติกขัน สัตตสติกขัน ไม่มีพูดเรื่องปิฎกเรื่องอะไร พูดทำสังคายนาธรรมวินัย ไม่มีพูดถึงการสังคายนาอภิธรรม แล้วเมื่อจัดให้เป็นหลักมหาประเทศก็เรียกว่า สุตเต โอสาเร ตัพพัง วินเย สันทัสเส ตัพพัง สองอย่างเท่านั้นแหล่ะ มีแต่ สุตเต กับ วินเย ไม่มีอภิธรรม ไม่มี แต่ว่าคนกลับยึดถืออภิธรรมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ ว่าสูงสุดอะไรยิ่งกว่าสุตตันตะ และวินัย นี่พวกฝรั่งที่มันมาศึกษา แล้วมันถือว่า สุตตันตะนั่นแหล่ะคือของเดิม มันจะใช้คำว่าโอลด์ (old) สุตตันตะเก่านะ เช่นว่าเรื่องนี้ไม่มีในสุตตันตะเก่า มีแต่ในอภิธรรม จะพูดแบบนั้นแหล่ะ เขาถือเอาเรื่องที่มีในสุตตันตะเก่านั่นแหล่ะเป็นของแน่นอนศักดิ์สิทธิ์ จริง ควรแก่การเชื่อถือ ไอ้เรื่องกรรมสิบสอง กรรมอะไร นั่นมันไม่มีในสุตตันตะ มันมีในอภิธรรมปิฎก มันพูดให้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอีก คนนั้นแหล่ะไปเกิด คนนั้นแหล่ะไปเกิด กรรมนั้นทำให้ไปเกิด กรรมนั้นส่งเสริม กรรมนั้นตัดรอน พวกแบบนี้แหล่ะ ละเอียดหรือว่าน่าอัศจรรย์แบบนี้แหล่ะคืออภิธรรมปิฎก เมื่อก่อนจะสอนแต่ว่าไม่มีตัวตน ไม่ต้องมีอะไรไปเกิด สอนให้ไม่อยากเกิด จึงไม่พูดถึง ว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด เราต้องตั้งใจว่าไม่เกิด แล้วจะพูดทำไมว่าเกิดหรือไม่เกิด ก็จะดับทุกข์ในใจให้หมด ไม่ต้องให้มีตัวตนสำหรับเกิดหรือไม่เกิด เรื่องก็สั้น สั้นเหลือนิดเดียว ไอ้เรื่องเผาตัวของพระญวนนี่ก็น่าคิดน่านึกนะ คืนก่อนเขาเอาน้ำมันราดแล้วไปนั่งแล้วจุดเลย มันก็ดีเหมือนกัน เมื่อถึงคราวมันก็หยุดทันทีจุดทันที เห็นแล้วน่าเกลียดทุเรศแหล่ะไอ้ศพถูกไฟไหม้อย่างนั้น น่าเกลียดมาก เขาไปประท้วงทางการเมือง (......) ผีอะไรผูกคอ (....) มันไม่เกี่ยวกับธรรมะ (.......) ไอ้เผาตัวนี่เขาหมายถึง เอาบุญ นายอะไรก็มีในประวัติศาสตร์ไทยรัชกาลที่ ๒ รัชกาลที่ ๓ ว่าเผาตัว นายนก นายอะไร นั่นว่าจะบูชาพระพุทธเจ้า บูชาด้วยชีวิต บูชาพระพุทธเจ้าด้วยการเผาตัว เขาเขียนจดลงในหนังสือพงศาวดาร ที่พวกญวนทำนั้นเพื่อท้วงสิทธิ ท้วงสิทธิ ให้คนทั้งหลายยอมรับว่านี่คือถูกต้อง เมื่อไม่ให้เรา เราก็ประท้วงเอาถูกต้องด้วยการเผาตัว เหมือนมหาคานธีอดข้าวอะไรนั่นแหล่ะ เพื่อเรียกร้องความถูกต้องยุติธรรม (แล้วที่คนทำฮาราคีรี คว้านท้อง) อย่าต้องมีความทุกข์ก็ใช้ได้ (หมดปัญหาแล้วยัง) หมดปัญหาปิดประชุม เดี๋ยวจะดึก