แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ เกล้ากระผมมีเรื่องจะถามท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องของสวนโมกข์ครับ ปัจจุบันนี้ เรื่องของสวนโมกข์ หรือกิจการสวนโมกข์นี้ ก็เป็นที่แผ่ขยาย หรือว่าเจริญไปมากทั้งในประเทศ และนอกประเทศ ทีนี้เกล้ากระผมอยากจะถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับการดำเนินงานของสวนโมกข์ ตั้งแต่เริ่มขึ้นมานี้ ได้มี ท่านอาจารย์มีนโยบายอย่างไร จึงทำให้เกิดเรื่องของสวนโมกข์ หรือกิจการของสวนโมกข์ขึ้นมาได้ครับ
ให้เล่าหรือ
ครับ คือว่า กิจการของสวนโมกข์นี้มันเกิดได้อย่างไรครับ
ให้ตอบอย่างเล่าให้ฟังใช่ไหม
ครับ เพียงย่อๆ ครับ
เพื่อประโยชน์อะไรหว่า
ก็เพื่อจะเป็นแบบอย่างว่าจะทำอย่างไร หรือคนที่ได้สร้างเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา
มันต้องว่า รู้วัตถุประสงค์ แล้วก็ช่วยกันรักษาไว้ อย่างนั้นหละค่อยยังชั่ว ที่จริงเรื่องนี้มันก็มีเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่หลายๆ แห่งแล้ว ว่าสวนโมกข์ ทีแรกทีเดียว ไม่ต้องการให้เป็นวัด ต้องการให้เป็นองค์การอิสระ ไม่ผูกพันกับคณะสงฆ์ ทำอะไรได้เป็นอิสระ หวังว่าเราจะพูด หรือจะทำอะไรได้เป็นอิสระ นั่นแหละจึงได้ต้อง จึงต้องตั้งสวนโมกข์ ถ้าทำอย่างวัดธรรมดา แล้วต้องก็ต้องทำไปตามระเบียบ ตามแบบ ตามกฎหมาย ตามอะไรของเขา ก็ต้องอาจจะสั่งห้ามก็ได้ เขาอาจจะบังคับอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นสวนโมกข์ เป็นองค์การอิสระก็ทำได้ วัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริม มันมีอยู่ชัดแล้วว่าเพื่อรื้อฟื้น และส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ไปสังเกตดูเถอะ ที่มันพิมพ์อยู่ในที่หลายๆ แห่ง มันมีอยู่สองคำว่า รื้อฟื้น และ ส่งเสริม การปฏิบัติธรรม ก็ที่ว่าการปฏิบัติธรรมแบบที่เป็นตัวพุทธศาสนามันหายไป ต้องรื้อกลับขึ้นมาให้มีการปฏิบัติชนิดนั้น ถ้ามีขึ้นมาแล้วมันก็ต้องส่งเสริมให้ก้าวหน้าถึงที่สุดด้วย เราจึงใช้คำพูดคราวเดียวติดกันไปสองคำว่า รื้อฟื้นและส่งเสริม การปฏิบัติธรรม ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์พุทธศาสนารายปีมาก ตั้งแต่แล่มแรกมาทีเดียวนั่นไปสังเกตดู มันมาพูดแล้ว มันก็คล้ายๆ กับว่ายกตัว ดูหมิ่นผู้อื่น ที่เราเห็นว่าไอ้การศึกษาปริยัตินั้นน่ะมัน มันก็พลอยตายด้านไปเพราะการปฏิบัติมันไม่มี ตอนนั้นก็เพราะสนใจกันแต่เรื่องการปริยัติ ไม่มีการส่งเสริมการปฏิบัติ ไม่ค่อยมีสำนักปฏิบัติที่เป็นจริงเป็นจัง นี้เราก็คิดว่าอันนี้มันสำคัญ คือหัวใจของพุทธศาสนามันกำลังจะหายไปๆ ก็เลยจัดสวนโมกข์เป็นสถานที่ที่จะเผยแผ่ทั้งหลักปริยัติ คือหลักที่เป็นหลักพระคัมภีร์ให้มันพอ ให้มันชัดเจนออกมา ให้มันพอด้วย แล้วก็เผยแผ่การปฏิบัติด้วย นี้มันก็ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นแบบฉบับเพราะมันกำลังไม่มี วิธีปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนามันกำลังไม่มี ก็ไม่เห็นว่าสำนักไหนที่มีอยู่เวลานั้น หรือดูเกือบจะไม่มี เรียกว่าเกือบจะไม่มี มีอยู่บ้างก็กะปริบกะปรอยเต็มที ก็ไม่พอใจ จึงคิดว่ามันจะต้องถอดออกมาใหม่จากพระบาลี ถอดจากพระบาลีโดยตรง จึงลงมือทำงานค้นคว้าพระสูตรที่เป็นหลักปฏิบัติออกมาใหม่ ที่ทำให้เกิดหนังสือชื่อว่าตามรอยพระอรหันต์ขึ้นมา ก็ทำไปได้สักครึ่งหนึ่งหนังสือเล่มนั้นไม่จบ นี้สวนโมกข์มีขึ้นเพื่อรื้อฟื้นการปริยัติที่ถูกต้อง หรือจำเป็นแก่การปฏิบัติ แล้วก็ให้มีการปฏิบัติ ว่าที่จริงมันมีเท่านี้เอง คือจะให้เกิดมีปริยัติที่จะใช้ปฏิบัติได้ และให้ปฏิบัติกันด้วย เท่านั้นมันกระชับแล้ว รื้อฟื้นและส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
แล้วท่านอาจารย์ ได้รื้อฟื้นแล้วก็ส่งเสริมนี่ อุปสรรค์ที่ทำให้หมดกำลังใจนี่ มีบ้างไหมครับ
ถามอย่างนี้มันก็ ถ้าว่าหมดกำลังใจนั้นมันก็เลิกแล้ว มันก็ล้มเลิกไปแล้ว ไอ้เราก็เตรียมพร้อมแล้ว ก่อนแต่ที่จะทำว่า ถึงอย่างไรๆ มันก็ต้องสู้ได้ ต้องทนได้ เกี่ยวกับอุปสรรค์ ก็เหมือนกับเขียนเล่าไว้ ละเอียดพอแล้วในเรื่องสิบปีในสวนโมกข์ แล้วก็ไปอ่านดูในรายละเอียด
แล้วท่านอาจารย์มีหลักใหญ่ๆ
เดี๋ยวก่อนสิ ยังไม่จบ อุปสรรค์มันต้อง ถ้าพูดตามความรู้สึกของคนทั่วไป โดยเฉพาะคนขี้ขลาดแล้วก็ต้องเรียกว่ามีมากนี่ มีมากขนาดจะล้มเลิก มีคนจำนวนมากแหละ ถือว่ามันเป็นเรื่องบ้า คือว่าไอ้เพียงแต่ดูภายนอก การเป็นอยู่ การอะไรขึ้นมา แล้วผู้คนพวกหนึ่งมันก็ว่าบ้า ก็ชาวบ้านบางคนมันก็มองเห็น คือบ้างอย่างภายนอก อย่างกิริยาอาการความเป็นอยู่ อีกพวกหนึ่งที่มันลึกไปกว่านั้น มันมองเห็นว่าไอ้วัตถุประสงค์อันนี้เป็นไปไม่ได้ หรือว่าไม่เชื่อว่าจะทำได้ หรือถือว่ามันเป็นการดูหมิ่นคณะสงฆ์ มันก็ว่าบ้าอีกเหมือนกัน มันคือบ้าโดยทางความหมาย ไม่ใช่รูปร่างภายนอกอย่างเด็กว่าพระบ้ามาแล้วโว้ย นั่นสำหรับเด็กๆ เขามองเห็นว่าวัตถุประสงค์ของเรานี้เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ นี่เรียกว่าอุปสรรค์ได้ ถ้าขี้ขลาด หรือไม่อดทนมันก็เลิกแล้ว แต่โดยเหตุที่ว่ามันไม่ คือมันไม่เคยย่อท้อ หรือไม่เคยกลัว ไม่เคยขลาด เราทำเหมือนกับว่าไม่มีใครมีอำนาจที่จะมาบังคับบีบคั้นเราได้ มันก็ทำมาอย่างนี้ จนกระทั่งต่อมาไม่เท่าไร ไม่กี่ปี มันก็มีคนเริ่มเห็นด้วย สักยี่สิบปีก็เริ่มเห็นด้วยมาก พระเถระที่เคยมองเราในแง่ว่าวิปริต หรือบ้าบิ่นอวดดีนั้นก็เริ่มเปลี่ยน กลับแต่จะยกย่อง อย่างกับท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ที่กำลังดำรงหน้าที่บัญชาการสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้านั้น อุตส่าห์มาที่นี่ มาที่สวนโมกข์ นี้แสดงว่ามันหมดแล้ว ไอ้ที่เขาเคยนั่น ก็พลอยหมดตามๆ กันไป คนอื่นที่เขาพลอยเห็นอย่างนั้นเขาก็ว่าเรามันไม่บ้าแล้ว มันไม่บ้าแล้ว ทั้งสมเด็จเฮง เขมจารี สมเด็จพระวันรัตน วัดมหาธาตุ เรียกตัวไป ก็สั่งมานะ หลวงบริบาลมาก็ให้ ให้ไปพบ พอไปเข้าจริงก็แสดงความยินดี ก็ว่าไอ้ที่ทำมีประโยชน์ ที่ไม่มีใครเคยทำ ให้ศีลให้พรอนุโมทนา ให้ผ้าไตร นี่สมเด็จที่วัดมหาธาตุ แล้วก็พระธรรมวโรดม ที่วัดราชาธิวาส องค์นี้ที่แรกท่านมองเราในลักษณที่เข้าใจผิดนะ แล้วตอนสุดท้ายท่านก็เรียกไปทำนองคล้ายๆ กับว่า จะใช้คำว่าอะไรดีก็ยาก ใช้คำว่าเลิก ขออภัยกัน แล้วท่านก็ให้ผ้าไตร ให้เครื่องสักการะ นี่ก็แปลว่าองค์นี้ที่เคยมองเข้าใจผิดนี่ก็เลิก ก็เลิกมอง ทีนี้นอกนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไอ้พวกที่เชื่อเรา เชื่อฝีมือเรา เชื่อความคิด ความรู้อะไรมันก็มีมากขึ้น มากขึ้น แต่กว่าจะมาถึงขึ้นนี้นั้นมันเรียกว่าต้องอดทนมาก ต้องกล้าหาญมากด้วย มันจึงทนทำมาได้ ทีนี้คุณก็สรุปเอาเองได้ว่ามันมีอุปสรรค์มาก แต่คำว่าท้อถอยท้อแท้นั้นไม่เคยรู้สึก มันทำมาเรื่อยจนเขาเห็นด้วย เลิกต่อต้าน เลยไม่มีคนต่อต้านอีกต่อไป นี่ข้อนี้มีอย่างนี้
เกี่ยวกับเรื่องอุปสรรค์นี่ ท่านอาจารย์ เมื่อมีอุปสรรค์แล้วการแก้ไขนี่เราจะทำ ที่ท่านอาจารย์ได้ทำมานะครับ ท่านได้ทำอย่างไร คือว่ามีหลัก หรือว่ามีวิธีการเฉพาะเรื่อง เฉพาะไป หรือว่าทำอย่างไรทำให้อุปสรรค์ต่างๆ จะไม่มาเป็นเหตุที่จะมาขัดขวางการดำเนินงานได้ครับ
พูดแล้วมันก็จะเหมือนกับยกตัว อวดตัว ก็พูดได้นะ มันจะเป็นยกตัว หรือไม่ยกตัวก็ไม่รู้นะ คือไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ไม่ชี้ ก้มหน้าทำตะพรึด นี่คือวิธีการที่ผ่านอุปสรรค์ของผม ไม่รู้ไม่ชี้จริงๆ ด้วยนะ ไม่ใช่ว่าแกล้งพูดนะ ใครจะว่าอย่างไร ใครจะอะไรหรือไม่ ไม่รู้ไม่ชี้เลย แล้วก้มหน้าทำตะพรึดอย่างคงเส้นคงวา อะไรจะทำออกมาก็ทำ พอทำหนังสือพุทธประวัติจากประโอษฐ์ ออกมาได้เป็นครั้งแรกนั่นแหละ นั่นก็เริ่มเป็นอะไร เป็นประกาศนียบัตร เป็นสิ่งที่ทำให้คนไว้ใจในวิชาความรู้เรา ก่อนนั้นสองร้อยกว่าหน้านะ เล่มก็เท่านี้ มหาทองสืบก็ยังบอกว่าเอาไปให้ ตอนนั้น มหาทองสืบก็บัญชาการไอ้เรื่องสภาการศึกษาที่วัดบวรธรรมยุติอยู่ เขาบรรจุหนังสืออันนี้เข้าไปให้นักศึกษาเรียน พระเถื่อนแต่งหนังสือให้พระบ้านเรียน นี่เป็นตัวอย่างที่ว่ามัน มันผ่านไปโดยที่ไม่รู้ไม่ชี้ เราทำงานของเราเรื่อย พองานแสดงออกมาคนเขาก็ ก็ยอมรับ แล้วมันก็ยอมสลายตัวไปเองอุปสรรคทั้งหลาย บทพุทธคุณ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่เป็นบทนำของหนังสือตามรอยพระอรหันต์นั้น ได้รับคำยกย่องสรรเสริญมาก ว่าเป็นพุทธคุณที่แต่งดี ในรั้วในวังเขาเอาไปอ่านกัน พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภานั้นพิมพ์แจกเป็นการใหญ่ เฉพาะตอนนั้น ตอนพุทธคุณ ๙ ยังจะพอหาดูได้ หนังสือที่เขาพิมพ์นี้ แล้วผมไม่รู้ไม่ชี้กับอุปสรรค์ จะต่อต้าน หรือจะด่า จะว่า ไม่รู้ไม่ชี้ ก้มหน้าทำตะพรึด แล้วพอผลงานมันออกมา มันก็ทำลายอุปสรรคเหล่านั้นหมด จนกระทั่งมันไม่มี มันก็เปิดโล่ง จนกระทั่งว่า เราระวังให้ดี เมื่อมันเปิดโล่งแล้วมันจะเตลิด ก็จะผิดจะพลาดจะลงเหวไป ฉะนั้นการที่ นี่คุณช่วงฟังให้ดีหน่อยนะ การที่ใครรับรอง สรรเสริญเยินยอนั่นนะ คือยอมรับโดยง่ายนั้นมันอันตรายที่สุด อันตรายที่จะเตลิดเปิดเปิง เหลิง ล้มละลาย ไอ้ที่เขาคัดค้านไว้นั่นแหละดี ที่เหมือนเขาห้ามล้อไว้นั่นแหละดี เรียกว่าเป็นบุญเป็นกุศลที่มีคนห้ามล้อไว้ เราก็ระมัดระวังมากขึ้น แล้วก็ทำอย่างดีที่สุด มันจึงล่วงมาได้ ถ้ายอมรับหรือว่าเชิดกันเสียแต่ทีแรกแล้วอาจจะไม่ทำดีอย่างดีก็ได้ เผลอๆ เข้าก็จะเตลิดเปิดเปิงลงเหวก็ได้ นี้ก็เป็น ไปเป็นประวัติส่วนหนึ่งเหมือนกัน ที่จะบอกว่าได้รับการต่อต้านนั่นแหละเป็นบุญเป็นกุศล แล้วมันจะทำดีที่สุด ระมัดระวังที่สุด มันก็จะเป็นหลักฐานอยู่ได้ เพราะมันถูกต้อง ฉะนั้นการทำอะไรด้วยอุปสรรคเหมือนกับมันมีสอบไล่ มีอะไรอยู่เสมอ ดี เป็นเหตุให้เราทำดีสุด ก็มีเท่านะข้อนี้
แล้วการที่กิจการของสวนโมกข์ได้เป็นประโยชน์แก่สังคมที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้หละครับ ได้เป็นไปตามที่ท่านอาจารย์ได้กะเกณฑ์ หรือว่าได้วางไว้ตั้งแต่ทีแรกหรือเปล่าครับ
อันนี้มีคนถาม หลายคน ว่ากิจการสวนโมกข์นี้ลุถึงจุดประสงค์มุ่งหมายที่ตั้งไว้ทีแรกหรือยัง เราก็บอกว่า เมื่อดูโดยผลงานโดยตรง มันก็เรียกว่าพอจะได้ คือทำให้คนสนใจปริยัติแนวใหม่ สนใจปฏิบัติศีลธุดง กรรมฐานอะไรกันขึ้น แต่ผมนั้นไม่เคยคิดมากอะไรนัก ไม่ค่อยได้คิดมากมายอย่างที่คนเหล่านั้นที่เขาคิดกัน เพราะว่าเราหวังเพียงแต่จะจุดชนวน จุดชนวนให้เกิดความสนใจ ให้ช่วยกันพร้อมๆ กันทั่วทั้งประเทศ ช่วยกันหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา นี้ทำโดยหวังให้เป็นชนวนอย่างนี้เรียกว่าได้ผลสำเร็จเกินคาดหมายหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะว่าต้องการเพียงให้มันเป็นชนวน เดี๋ยวนี้คนก็ทำตามมากมายเกินกว่าที่เราหวังไว้ โดยข้อเท็จจริง อย่างนี้เรียกว่าได้ผลเกิน เต็มที่ หรือเกินกว่าที่หวังไว้ทีแรก ก็พอมีสวนโมกข์เท่านั้นอะไรๆ ก็ลุกฮือขึ้นมา หนังสือพิมพ์พุทธศาสนานี่มันไม่มี พอมีหนังสือพุทธศาสนาขึ้นที่บ้านนอกนี้มันก็ละอายขึ้นมา มีคนออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา หนังสือพิมพ์รายเดือน รายสามเดือนเกี่ยวกับพุทธศาสนามา มันออกแล้วก็ล้มแล้ว ก็เลิกไปแล้วเยอะแยะไป แล้วหนังสือพิมพ์ธรรมจักษุ ที่มันออกกันมาตั้งแต่สมัยสมเด็จกรมพระยาวิริญาณครั้งกระนู้นนี่มันสลบอยู่ มันออกไม่ได้ มันสลบอยู่ พอหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาออกขึ้นมาเท่านั้นหละ มันคงจะละอายแล้วก็ช่วยกันออกขึ้นมาอีก จึงกลับออกมาอีก คือฝ่ายธรรมยุติเขาช่วยกันทำให้หนังสือพิมพ์ธรรมจักษุคืนชีพขึ้นมาอีก นี่เพราะว่ามันมีหนังสือพิมพ์พุทธศาสนารายไตรมาสนี่ออกขึ้นมาในป่า นี่ก็เรียกว่ามันทำให้ลุกขึ้นมาใหม่ การศึกษาก็ศึกษาดีกันขึ้น แล้วการมีสวนโมกข์นี่ก็มีคนอยากจะมีกันมากขึ้น ที่มีแล้วก็เช่นวัดอุโมงค์ก็ชื่อนี้ก มันมีเพราะมีสวนโมกข์นี่ อุตส่าห์ตามมาดู มาศึกษา มาเข้าใจ ไปทำเป็นแบบเดียวกับสวนโมกข์ กระทั่งหลวงประดิษฐ์ ตอนนั้นมีอำนาจที่สุด มีวาสนาที่สุด อยากจะมีสวนโมกข์ที่อยุธยา ที่บ้านเกิดของแก ให้ผมไปช่วยดูที่อยุธยา ว่าตรงไหนพอจะจัดเป็นสวนโมกข์ได้บ้าง ให้เจ้าคุณพิมลธรรมนี่ เจ้าคุณพิมลธรรม เดี๋ยวนี้อาจเป็นอะไรอยู่หละ เป็นเจ้าคณะจังหวัด หรือเจ้าคณะภาคอยู่ที่นั่น แล้วก็อยู่ประจำที่วัดสุวรรณดารารามที่อยุธยา หลวงประดิษฐ์ขอร้องให้เจ้าคุณธรรมพิมลธรรมพาผมไปเที่ยวค้นจนหมดทั้งอยุธยา ไม่มี ผมบอกไม่มี ไม่เห็นตรงไหนเหมาะ ไม่ชอบใจ จึงกลับมาบอกว่าไม่มี นี่แสดงว่ามีคนอยากจะมีสวนโมกข์กันขึ้นมา ทีนี้ที่อื่นๆ สำนักอื่นต่างๆ ก็ลุกกันขึ้นมาใหม่ ทำเป็นกิจจะลักษณะ เรียกว่าแบบสวนโมกข์กัน แต่ไม่กล้าใช้คำที่ให้ ให้เข้าใจว่าเอาอย่าง หรือตามอย่าง แต่แล้วมันก็ได้เกิดขึ้นมากแห่ง และก็มาก ก็ว่าแบบมันจะเกิดขึ้นมากเท่าที่มันจะมากได้ทั่วเมืองไทย แล้วเรื่องปฏิบัติกรรมฐานก็สนใจกันมากขึ้น ก่อนใช้แบบพม่า ที่มาสอนอยู่ที่วัดปรก จนกระทั่งส่งชุดนี้ไปเรียนมาจากพม่าโดยตรง พูดแล้วก็ ก็เพราะเราเป็นผู้จุดชนวน คือว่าก็ขอใช้คำว่าเขี่ยลูกบอลให้กลิ้งเป็นคนแรก เมื่อลูกบอลมันกลิ้งแล้ว มันก็กลิ้งต่อๆ ไปด้วยการเตะการเขี่ยของคน หลายคน หลายสำนัก อะไรมันฮือขึ้นมาในทุกแง่ทุกมุม เราอยากจะอวดสักหน่อยว่าเราเป็นผู้จุดชนวน เมื่อเอาอันนี้เป็นหลัก ก็ถือว่าโอ้ ได้ผลเต็มที่เคยคิดเคยหวัง หรือเกินไปเสียอีก แต่ถ้าจะพูดมากกว่านั้น คือไม่ใช่เป็นเรื่องจุดชนวนหรอก เป็นเรื่องทำกันจริงๆ คุณก็มองดูแล้วกัน ว่าได้ทำอะไรออกไป เท่าใด แล้วก็จะเรียกว่าควรจะพอใจหรือยัง สำหรับผมเองนั้นพอใจแม้แต่เพียงหนังสือสองเล่มนี้ได้ออกไป ก็พอใจ คุ้มค่าชีวิตที่เกิดมา คือหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ กับหนังสือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ เพียงหนังสือสองเล่มนี้ก็พอใจแล้ว แล้วมันก็ไม่เคยมี แล้วมันก็ไม่เคยมีหนังสือชนิดนี้ ที่มีประโยชน์มากเท่าหนังสือสองเล่มนี้ นี้ต่อไปถ้าว่าอริยสัจจากพระโอษฐ์ ได้ทำขึ้นมาอีกสักเล่มหนึ่งในลักษณะเดียวกันนี้ก็จะยิ่งสมบูรณ์มากขึ้นไปอีก ไอ้เรื่องขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์นั้น ไม่ค่อย ไม่ค่อยจะนั่นเท่าไหร่ ไม่ค่อยจะ คือว่ามันค่อนข้างจากรุนแรง หรือมันไม่ มันไม่น่าดู ไม่น่ารักเท่ากับหนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หรือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ส่วนเรื่องอริยสัจจากพระโอษฐ์นั้นวางโครงไว้ดี ถ้าเอาออกมาได้แล้วก็ไม่แพ้หนังสือสองเล่มนี้ แต่นี้มันยังคาราคาซังตายด้าน โอกาสยังไม่เหมาะ เรี่ยวแรงยังไม่มี ที่คนอื่นเขามองกันอย่างอื่น แต่ผมนั้นมองว่าหนังสือสองเล่มนี้ทำความพอใจให้ ถึงกับเรียกว่าไม่เสียชาติเกิด ว่าอย่างนั้นหละ มันคุ้มค่าข้าวสุก เพื่อสนองคุณพระพุทธเจ้า พอเป็นที่พอใจ สำหรับผมรู้สึกอย่างนี้ สำหรับคนอื่นเขาอาจจะมองอย่างอื่นก็ได้ นี้ก็อยากจะสรุปความว่า ได้ผลตามที่ตั้งใจ แม้ว่ามันยังจะทำได้ดีกว่านี้อีกมากมายหลายเท่าก็ตามใจ แต่ว่าเราถือว่าเท่าที่ทำมาได้นี้ ได้ผลสมตามความปรารถนา เดี๋ยวนี้หนังสือชุดธรรมโฆษณ์ออกมาตั้งสามสิบกว่าเล่มแล้ว ถ้าว่ายังไม่ตายถ้าได้ทำกันไปมันคงจะถึงห้าสิบเล่ม ก็ควรจะพอใจกันมั่ง เกี่ยวกับในแง่ของปริยัตินี้ ก็มีเท่านี้หละเรื่องนี้
ท่านอาจารย์ครับ เมื่อความประสงค์ที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมเกี่ยวกับพุทธศาสนา แล้วก็กิจการของสวนโมกข์ก็ได้เจริญมาตามลำดับ เป็นประโยชน์แก่สังคมจนถึงปัจจุบันนี้ก็ พ.ศ. ๒๕๒๓ แล้ว ท่านอาจารย์ยังคิดว่า กิจการของสวนโมกข์นี้ ต่อไปนี้ ควรจะดำเนินต่อไปอย่างไรอีกต่อไปครับ
ต่อไปนี้ คุณหมายถึง
ต่อไป หรือว่าขณะนี้ แล้วต่อไปที่ท่านอาจารย์ได้วางโครงไว้ว่าควรจะดำเนินไปในรูปไหนครับ
ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ผมจะตายแล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลง นี่ความหวัง ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าใครจะช่วยกันทำให้มันเป็นไปได้หรือไม่นั้น มันก็แล้วแต่ข้อเท็จจริงของส่วนนั้น ที่ว่าไม่เปลี่ยนแปลงหมายความว่าไอ้ความหวังที่จะรื้อฟื้นการศึกษาปริยัติและการปฏิบัตินั้นไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ไอ้ที่อธิบายอะไรแปลกออกมานี้ก็คือ คือผลของการรื้อฟื้น เช่นอธิบายนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ นิพพานต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ทำนองนี้นะ กระทั่งอธิบายปฏิจจสมุปบาทเสียใหม่ ต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่คืองาน คือผลงาน แล้วมันก็ได้รับความสนใจ หรือยอมรับเพิ่มขึ้นทีละนิด ทีละนิด ฉะนั้นเรามีหลักว่าจะต้องทำให้พระธรรมะ พระธรรม หรือธรรมะ เป็น สันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก ถ้าผมยังอยู่ก็ทำอย่างนี้หละ ก็ทำอย่างนี้คือทำให้ธรรมเป็น สันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก กันเรื่อยไป ถ้าตายแล้ว อยู่ข้างหลัง ก็ทำตามรอยแค่นั้นหละ ไอ้เรื่องอย่างว่าขยายออกมาเป็นสอนธรรมะด้วยรูปภาพ หรือว่าอะไรเหล่านี้มันเป็นแขนงย่อยออกไปในหลักการเดิม ที่สอนธรรมะด้วยรูปภาพนี้ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมะลึก ธรรมะที่เข้าใจถึงใจความ ความหมายของมัน หรือว่าจะใช้สอนโดยวิธีธรรมชาติต่างๆ ที่มีอยู่ที่นี่ มันก็อย่างเดียวกันแหละ เพื่อให้คนเข้าใจลึกถึงหัวใจของพระธรรม บทนั้นๆ คำสอนนั้นๆ หลักเกณฑ์นั้นๆ เรียนจากหนังสือคนก็เข้าใจอย่างหนึ่ง เรียนจากธรรมชาติก็เข้าใจอย่าง เรียนจากตัวจริง ที่ว่าจากจิตใจมันก็ยิ่งดี เราพยายามกันในส่วนนี้ อย่าให้เพื่อนมนุษย์มันหยุดอยู่เพียงแค่อ่านหนังสือ ให้มันออกเลยมาถึงอ่านจากธรรมชาติ แล้วก็อ่านจากจิตใจ ความรู้สึก คิดนึก ซึ่งเป็นงานที่ละเอียดประณีตมาก คนที่มีนิสัยสันดานทำอะไรหยาบๆ หวัดๆ นี่คงทำไม่ได้ ที่จะอ่านธรรมะจากรูปนามโดยตรง มันละเอียด มันเป็นงานที่ละเอียดมาก นำสัยหยาบๆ นี่ทำไม่ได้ เราจะพูดเรื่องนี้ พูดเรื่องให้พุทธบริษัทสามารถศึกษาธรรมะจากรูปนามของเขาเองโดยตรงนี้จะต้องพูดกันอีก แม้ว่าพูดมามากแล้ว ก็ต้องพูดต่อไปอีก นี้จึงเตรียม เตรียมเพื่อจะพูดอย่างนี้เอาไว้เรื่อยๆ ถ้าผมยังอยู่ ก็ผมก็ทำอย่างนี้หละ ถ้าพวกคุณเห็นว่ามันพอที่จะมีค่า มีอะไรบ้าง ก็สนใจศึกษาไว้เพื่อเลียนแบบ เพื่อทำต่อนะ ถ้าเห็นว่านี้มันดีจริงนะ ควรจะสนใจศึกษาไว้เพื่อทำต่อ แต่ต้องทำด้วยความละเอียดประณีต ไม่ใช่ทำหวัดๆ หยาบๆ แล้วก็ต้องทำอย่างที่เรียกว่าเป็นธรรม เป็นวินัย ไม่ใช่บ้าบิ่น ไม่ใช่เห่อ หรือตื่นอะไร นี่เราไม่เคยทำแบบ แบบที่พวกคอมมิวนิสต์ปักกิ่งเขาว่าก้าวกระโดดไกลนั่น ถ้าหมายถึงว่ากระโดดออกไปผลุนผลันอย่างนี้ก็เราไม่เคยทำ เราทำมาอย่างช้า อย่างระมัดระวัง อย่างประหยัด เราไม่ค่อย ไม่ค่อยนิยมการใช้เงิน นั่นถือว่าโง่ พอมีทางจะใช้เงินได้ก็บุกนี่ เคยสั่งใครไปถึงคุณวิโรจน์ว่าขืนทำบุกอย่างนี้ก็โง่ บ้า จะล้มเหลว ไม่ต้องมีไฟฟ้าใช้มาตั้งยี่สิบ สามสิบปี ก็ใช้เครื่องเล็กๆ ๓๐๐ วัตต์ไม่รู้ตั้งกี่ปีนี่ วัดนี้ ไม่ใช่โผล่ขึ้นมาจะมีไฟฟ้าอย่างนี้ คือเราไม่บุกนี่ ไอ้บุกเรียกว่าบ้านี่ คนบ้า พอมีเงินอะไรมาก็จะบุกๆ บุกๆ ออกไปโดยใช้เงินนั่นแหละว่ามันคือคนบ้า แล้วไม่ค่อยสำเร็จ ฉะนั้นอย่าบุกเพราะจะบ้า คุณนิดเขาอุตส่าห์ท่องประโยคนี้ เคยบอกคุณนิดไว้ ผมว่าอย่าบุก บุกแล้วจะบ้า นั้นใครอยากออกไปตั้งสำนักใหม่ จะดำเนินงานอะไรขึ้นมาใหม่ก็อย่าบุก เพราะถ้าบุกแล้วจะบ้า ไม่ว่าชุดไหน กลุ่มไหน ที่จะเอาไปตั้งขึ้นใหม่ ให้ทำไว้ด้วยความระมัดระวัง อดกลั้นอดทนเหมือนกับว่ากินเกลือ กินข้าวกับใบมะขาม ยังไม่กินหมูกินไก่ จนกว่ามันจะค่อยๆ มีอะไรขึ้นมาเหมาะสม เหมาะสมแล้วมันจึงจะค่อยแสดงออกมาในระดับกินหมูกินไก่ นี่จีนคนหนึ่งที่ชุมพรเขาตั้งตัวมาอย่างนั้น กินข้าวกับใบมะขามต้มอยู่หลายปี มันเสื่อผืนหมอนใบ เขาถามว่าทำไมไม่ซื้อปลามากินบ้าง บอกไม่ได้ มันไม่สบาย ในตัวมันมีโรค นี่เขาโกหกขนาดนี้นะ ไอ้การโกหกขนาดนั้นน่ะมันช่วยเขาได้ กินข้าวกับใบมะขามต้มเกลืออยู่เรื่อย จะซื้อไก่ขาย เที่ยวหาแบบเจ๊กขวด ขายขวด ขายน้ำปลานี่นะ จนเขามีบ้าน ฝาขัดแตะ มีร้านริมถนน ขายของเป็นร้านชำ ทีนี้มันก็เปลี่ยนเป็นกินหมู กินไก่ กินปลา ไอ้คนที่เคยถามเมื่อครั้งกระนู้น มาถามอ้าวเดี๋ยวนี้ทำไมรื้อกินหมูแล้ว เจ๊กคนนั้นมันก็เลยหัวเราะว่าให้ ก็เดี๋ยวนี้หายแล้วนี่หว่า เดี๋ยวนี้ไอ้โรคมันหายแล้ว กินหมู กินปลาได้ นี่เราทำอย่างนั้นแหละในการมีสวนโมกข์ ฉะนั้นอย่าบุก บุกแล้วจะบ้า แล้วจะหยาบ ไอ้งานมันจะหยาบ นี่ใครจะไปตั้งสวนโมกข์ใหม่ ก็อย่าบุก บุกแล้วจะบ้า ทำไปอย่างกัดฟันทนเหมือนกับที่ได้ทำมาแล้ว มาเดี๋ยวนี้มันก็เท่าไหร่แล้ว ยี่สิบห้าปี ไปนี้ยี่สิบสามปี ๔๘ ปี อีกสองปีสวนโมกข์จะมีอายุครึ่งศตวรรษแล้วนะ ก็ได้ผล ถ้าว่าเขาตีค่าไอ้วิชาตามยุติธรรมแล้วก็เรียกว่ามันได้ผล แล้วเราก็ไม่ได้หวังอะไรมากกว่าว่าถ้ายังไงก็เป็นสิ่งจุดชนวนก็พอแล้ว และเราตายแล้วมันก็ลุกลามเอง ถ้าเราจุดชนวนขึ้นแล้ว ที่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ได้เพียงแต่จุดชนวนขึ้นแล้ว เราก็ได้ทำมาจริงๆ มาเป็นชิ้น เป็นอัน เป็นโครง เป็นอะไรขึ้นจริงๆ ก็กลายเป็นนำ ทีนี้กลายเป็นนำ เมื่อผู้อื่นเขาอยากจะทำบ้าง เราก็กลายเป็นผู้นำ ทำให้เห็นความก้าวหน้า ทั้งในแง่ปริยัติก็ดี ในแง่ปฏิบัติก็ดี แม้แต่ในแง่วัตถุนี่ การเจริญทางวัตถุนี้ก็ได้ทำให้เป็นตัวอย่าง การแสดงธรรมะด้วยรูปภาพ ด้วยภาพปั้น หินสลักนี่ มันไม่มีใครเคยทำ ก็เห็นไหม นี่เราก็ได้ทำเป็นตัวอย่าง ก็เรียกว่า ถ้าผมพูดตามความรู้สึกผมมันก็ได้ผล เต็ม ตามที่หวัง วัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทั้งที่มันยังอาจจะไปได้ไกลกว่านี้อีก ทำอะไรได้มากกว่านี้อีก แต่เดี๋ยวนี้เราก็เต็มตามความประสงค์ เราก็ไม่ได้หวังให้มันมากมายมโหฬารเป็นเรื่องบ้า หวังเท่าที่ควรจะหวัง เท่าที่ควรจะหวังนี้มันก็ได้เต็มแล้ว เหลือต่อไปข้างหน้ามันก็มีแต่กำไร ถ้ามันจะมาอีกมันก็มีแต่กำไร เกินหวัง แล้วมีอะไรอีก
ท่านอาจารย์ครับ สภาพปัจจุบันของสวนโมกข์ที่เห็นกันอยู่ ก็เป็นในลักษณะที่ดี ตามที่ท่านอาจารย์ก็ได้มุ่งหวังเอาไว้ คราวนี้สภาพเหล่านี้ ถ้าท่านอาจารย์ยังอยู่ ก็คงจะรักษาพื้นที่ หรือว่าวัตถุสิ่งของ หรือสภาพที่เป็นสวนโมกข์อย่างนี้ไว้ได้ แล้วเมื่อท่านอาจารย์ได้สิ้นบุญไปแล้ว ก็ไม่ทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นอย่างไร เกล้ากระผมอยากให้ท่านอาจารย์โปรดแนะนำสิ่งที่ควรจะทำ หรือว่าควรจะจัดการ หรือว่าควรจะดำเนินงานให้เป็นในสภาพที่คงอยู่ในลักษณะที่เป็นอย่างสวนโมกข์ ที่จะให้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วยครับ
ถ้าพูดถึงต่อตายแล้วนู้นมันก็เป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ข้างหลังเขานะ ไม่ใช่หน้าที่ของผม คือคนที่อยู่ข้างหลังจะทำได้หรือไม่ นั้นก็แล้วแต่ ไอ้คนเหล่านั้น ถ้าเขาเห็นว่ามันดี มันมีประโยชน์ คุ้มค่าที่จะรักษาเอาไว้ ก็รักษาเอาไว้ ให้อยู่ในสภาพเดิมเหมาะสมนั่นแล้ว มันเป็นเรื่องงอกงามอยู่ในตัวมันเอง แม้เราไม่หวัง ไม่เจตนา ถ้ามันจะงอกงามออกไปด้วยในตัวมันเอง มันก็เหลืออยู่แต่ว่าระวัง ให้มันได้มีโอกาสงอกงาม เพราะว่าเราได้สร้างอะไรที่ สร้างความเชื่อถือ ความไว้ใจ ที่เขาเรียกว่า Good view นั่นหละ ได้สร้างไว้มาก แล้วมันจะกำลังจะงอกงามของมันเองต่อไป คือว่าคนเขาเริ่มคิดว่าเราดี ดีมากขึ้น มากขึ้น มันเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเราจะไม่ได้ดีจริงถึงขนาดนั้น แต่คนก็คิดว่าเราดีถึงขนาดนั้น แล้วจำนวนคนที่คิดว่าเราดีถึงขนาดนั้นจะเพิ่มเรื่อย นี่มันเป็นโรคติดต่อ เหมือนกับเรียกว่าเริ่มจุดชนวนแล้วมันระบาด ก็ทำให้มันสมกัน ไอ้คนที่จะมาที่นี่โดยหวังว่าแม้แต่เพียงจะได้เห็นนี่จะมากขึ้น ดูเดี๋ยวนี้มันก็มากขึ้น ลองทำบัญชีสถิติไว้ แม้วันนี้ก็หลายคน มาทำไมหละ ก็มาอยากจะมาเห็น อยากจะเห็นท่านอาจารย์เท่านั้นหละ ไม่ได้มีอะไร แล้วก็สนใจจะทำบุญ ทำอะไรมากๆ อยู่เหมือนกัน คนเช่นนี้จะมากขึ้น หรือคนที่ว่ามันเป็นโรคประสาท มันจะมาหาที่พักผ่อนมันก็จะมากขึ้น กระทั่งว่าชาวต่างประเทศนี่มันก็จะมากขึ้น ทั้งที่ผมไม่ค่อยแยแสน่ะ แต่มันก็มีคนไปทำให้มีคนรู้จักและสนใจ และมามากขึ้น ที่ผมเคยบอกวันนั้นที่บนภูเขาที่เขาเอาปริญญามาให้นี่นะ บอกความทุกข์ของเราเดี๋ยวนี้มีแต่ว่าคนมันไปสรรเสริญเกินความจริง ที่เมืองนอกนั่นมีคนเอาสวนโมกข์ หรือเอาผมไปสรรเสริญเกินความจริง คุณก็ดูหนังสือบางเล่มนี่ ที่เขียนถึงผมนั่นมันสรรเสริญเกินความจริงนั่นน่ะ และโดยเฉพาะหลายเรื่องนี่ มันเขียนเสียเลิศลอย แล้วเดี๋ยวนี้ คาร์โบ (นาทีที่ 46:25) คนฝรั่งเศส อาจารย์ฝรั่งเศส เห็นร่าง ที่เขียนร่างไว้ โอ้ยมันเขียนหยด เกินความจริงโว้ย ทำให้เราลำบาก ที่พิมพ์เป็นเล่มหนังสือแล้ว อย่างแจ็คคอลฟิน (นาทีที่ 46:40) เล่มนั้นน่ะมันเขียนเกินความจริง มันใช้คำว่าผมพูด Excellent English นี่ พูดอังกฤษดีเลิศ ทั้งที่ที่จริงมันก็ธรรมดา มันทำยังไงเนี่ย แล้วพวกเขาว่ากันนะ ทั้งที่เราไม่ได้พูดอังกฤษอะไรได้มากมาย ไม่ใช่เด็กๆ คือว่าเขา มันไปสรรเสริญวิชาความรู้ วิธีดำเนินการอะไร ซะไปเลือกคำว่าว่าผมคือนาคารชุนคนที่สอง ผู้ปฏิวัติชำระสะสางไอ้ ปฏิรูปพุทธศาสนา เขายกให้นาคารชุน ที่อยู่ที่นาลันทาสมัยนู้น ก็เดี๋ยวนี้มีคนที่สองคือผมนี่ ไอ้พวกนี้มันไปโฆษณากันอย่างนี้ ว่าเป็นผู้ปฏิรูปให้พุทธศาสนา เหล่านั้นแหละ แล้วแต่จะเรียกให้มันถูกต้องขึ้น สะอาดขึ้น ก้าวหน้าขึ้น อะไรขึ้น เราชักจะละอาย ยิ่งหนังสือที่มันจะไปขายด้วยแล้วมันยิ่งเขียนมากเกิน เขียนให้ยกย่องเรานั่นมันมากเกิน เพราะหนังสือนั่นมันอยากจะขายนี่ ฉะนั้นไอ้ชาวต่างประเทศมันก็จะหลับหูหลับตามากัน ทั้งที่เราไม่ได้สนใจแยแส แล้วพวกที่จะมา มาขออะไรให้ช่วยอธิบายชี้แจงก็จะมีมากขึ้นๆ พวกครูบาอาจารย์ที่มากันเป็นหมู่ๆ ฝูงๆ ก็ดี ที่มากันคนๆ แต่ละคนก็ดี จะมากขึ้น นี่ผมกล้าพูดอย่างนี้คุณคอยดูเองก็แล้วกัน แม้ผมจะตายแล้ว มันก็ยังจะมากขึ้น ถ้าว่าดำเนินงานไว้ให้ดีนะ ผมพูดไว้เลยว่าให้ทำอย่างกับผมไม่ตาย อย่าโง่เง่าทำอย่างกับผมตาย แต่ให้ฉลาดพอที่จะทำอย่างว่าผมนี้มิได้ตาย เพียงแต่เปลี่ยนที่นอน เปลี่ยนที่นอนลงไปนอนในใต้ดินก็แล้วกัน เรียกว่าเปลี่ยนที่นอนและไม่ได้ตาย ฉะนั้นจะไม่มี ถ้าทำตามคำสั่งมันก็จะไม่มีการตาย ไม่มีพิธีศพ ไม่มีอะไรของผม นอกจากว่าใช้เวลาสักชั่วโมงหนึ่งเปลี่ยนที่นอนให้แล้วก็เสร็จ ให้ถือว่ามิได้ตาย ถ้าว่าฉลาดจริงมันก็ใช้อาคารที่จะกำลังทำนี่ให้เป็นประโยชน์ ให้เหมือนกับว่าผมมิได้ตาย ทุกคนก็จะได้รับประโยชน์เหมือนกับที่ผมมิได้ตาย จะโง่มากแล้วก็ทำให้มันระบือลือชาไปว่าตายแล้วนั่นหละ ถ้าฉลาดคือสามารถจะทำให้ใครๆ รู้สึกว่ามิได้ตาย เพียงแต่เปลี่ยนที่นอน ลงไปอยู่ในหลุม ในบ่ออันถาวร มาพูด มาคุย มาถก มาเถียง มาปุจฉา วิสัชชนาอะไรกันเหมือนกับว่าผมก็นั่งอยู่ด้วย เพราะว่าเทปมันมีแยะนี่ แล้วหนังสือทุกเล่มมันต้องเอามาไว้เป็นหลักฐานพยาน ถ้าผู้มาเหล่านั้นเขาเกิดเถียงกันว่ามันถูกยังไงแน่ ก็ค้นเอาที่ในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งซึ่งมันจะเป็นคำพิพากษาว่ากระผมว่าอย่างนี้ หรือในเทปไหนก็ได้ มันก็มีคำตัดสินว่าผมว่าอย่างนี้ เหมือนกับว่ายังรับแขกอยู่ ยังไม่ตาย ถ้าทำได้อย่างนั้นจะดีมาก คือไม่รู้ ไม่ประกาศเรื่องตาย เรื่องอะไร ไม่มีการทำศพ ไม่มีการทำพิธีรีตรอง ว่าผมตายแล้วอย่างนี้ไม่มี ไม่ให้ใครรู้ได้เลยก็ยิ่งดี ให้มันรู้ไปว่ามิได้ตายอย่างนั้นหละ นั่นแหละไอ้สิ่งที่ทำไว้จะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อไป โรงหนังก็ดี อะไรก็ดี จะมี คงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อไป ถ้ามันทำกับเสมือนหนึ่งว่าผมมิได้ตาย เรื่องนี้ถ้าทำตามคำสั่งผมมันก็ได้ ไม่มีปัญหา แล้วจะไม่พูดเหล่านี้ เพราะพูดเหล่านี้มันฉาว มันเป็นคนโง่ไปเสีย คนโง่ชอบพูด อะไรนิดก็ชอบพูดให้ฉาวไปหมด เราไม่อยากจะพูด ไม่อยากจะให้รู้ด้วยซ้ำไป ว่าเราจะทำอย่างไร หรือทำอะไร ถ้าพูดจะเกิดอุปสรรค์ต่อด้าน พอเขารู้เท่านั้น ถ้าไม่ให้เขารู้เราก็ไม่มีอุปสรรค์ต่อต้าน เหมือนที่ผมเขียนกลอนไว้ว่า ทำกับฉัน อย่างกับฉันนั้นไม่ตาย จะเอาไว้ปิดที่หน้าฮวงซุ้ย ทำกับฉัน อย่างกับฉันนั้นไม่ตาย อยู่กับท่านทั้งหลาย เหมือนหนหลังนี่ เพื่อนเก่าให้มาเยี่ยม มาพูด มาสนทนา มาอะไรกัน เหมือนที่เคย ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา ที่ว่าจะทำอย่างไรมันจึงจะยังอยู่ แล้วมันจะเจริญต่อไป ให้มันเป็นที่ค้นคว้า ให้มันเป็นที่ตอบปัญหา โดยมันต้องเปลี่ยนรูปงานที่ทำบ้างนะ อาจจะต้องใช้วิธีการอย่างที่เขาทำกันอยู่ทั่วโลก อาจารย์ตายไปคนหนึ่งแล้วมันก็มีคณะกรรมการเกิดขึ้นแทน คอยทำอะไรได้ทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ รวมทั้งตอบปัญหา แล้วหนังสือเล่มไหนมันมีอะไร ถ้าได้ทำสารบาญไว้อย่างละเอียด ก็จะสะดวกมาก คือจะตอบคำถามได้ทันทีโดยพลิกดูสารบัญ เรื่องนั้นอธิบายไว้ในเล่มไหน เช่นว่าเรื่องนิพพานนี้มีอยู่ในหนังสือเล่มไหนบ้าง เรื่องอนัตตา เรื่องสุญตา เรื่องกรรม เรื่องวัฎสงสาร เรื่องอะไรก็ตามน่ะมันมีอยู่ในสารบาญ พอเกิดปัญหาขึ้นมาก็พลิกดู เดี๋ยวนี้ไม่มีพระองค์ไหนสนใจจะทำ คือไม่เห็นคุณค่า ถ้าทำแล้วมันจะมีประโยชน์แก่คนนั้นเอง ว่าเรื่องอะไรมันอยู่ที่ไหนบ้างในหนังสือ เล่มใหญ่ๆ ๓๐ กว่าเล่ม หรือว่าเท่านั้นก็พอ ไม่ต้องไปคำนึงถึงเล่มเล็กๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ เขาอาสาทำ หรือก็จะกำลังทำอยู่ แต่คงใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะทำสารบาญเหล่านี้หมด เรื่องอะไร มีอยู่ในเล่มไหน ไอ้การกระทำนี้ยังไม่รู้เรียกว่าอย่างไร ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Concordance คอนคอร์แดนซ์ มันไม่ใช่ Dictionary มันเป็นที่ มันจะบอกที่มาว่าเรื่องนี้อยู่ในหนังสือเล่มนั้นๆ เล่มนั้นๆ เรื่องนี้อยู่ในหนังสือเล่มนั้นๆ เล่มนั้นๆ หมด นี่ถ้ามันมีก็ดี ไม่ใช่ปทานุกรม แต่ว่าเป็นบอกที่มาให้ไปค้นได้ ถ้าสมมติว่าคนข้างหลังเขาเถียงกันว่าผมอธิบายเรื่องนิพพานว่าอย่างไรนี่ มันก็ดูอันนี้ แล้วพรึบเดียวมันดูได้จากหนังสือทุกเล่ม ว่าอธิบายไว้ที่เล่มนั้นอย่างนั้น เล่มนั้นอย่างนั้น แล้วเอามารวมกันหมดแล้วสรุปได้ความว่าอย่างไร นี้คนที่เขาอยากรู้เรื่องนิพพาน ต้องมาหาที่นี่ มาถามที่นี่ ภายในไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมงมันก็รู้หมด มันควรจะมีหนังสือทุกเล่มมารวมอยู่ เทปทุกม้วนมารวมอยู่ ตลอดทั้งอะไรต่างๆ ที่มันจะแสดงให้เป็นประโยชน์ได้ก็มารวมอยู่ เป็นอนุสาวรีย์ นี่ก็ว่าเป็นอนุสาวรีย์ หรือมีรูปปั้นสักรูปหนึ่งก็พอจะได้มาดูว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น และได้พูดอะไรไว้เท่าไร อย่างไร หรือว่าได้ทำงานอะไรค้างคาอยู่ ถ้าทำได้อย่างนี้สวนโมกข์มันอยู่ได้ตลอดไป ในความหมายว่าผมไม่ได้ตาย ยังอยู่กับท่านทั้งหลาย ยังนั่งคุยกันอยู่กับท่านทั้งหลาย ไม่ต้องจัดให้มีการตาย การสวด การเลี้ยง การฉัน แล้วประกาศโฆษณาว่าตายเมื่อวันนั้นวันนี้ นี่ไม่ต้องมีดีกว่า ไม่ต้องมีเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าตายแล้ว นั่นแหละฉลาดหละ ถ้าอะไรนิดนึงก็ไปปาวๆ ปาวๆ นี้คงไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ตายเพียงแต่เปลี่ยนที่นอน ทำให้เสร็จภายในสี่ ห้า ชั่วโมง ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด ว่าจะทำกันอย่างไร นอกจากพูดว่าทำ รักษาไอ้ที่มันมีๆ อยู่แล้วไว้ตามความมุ่งหมายเดิม เพราะว่าอันนี้ไม่ได้ทำเพื่อใครโดยเฉพาะ แล้วอย่าคิดว่าทำเพื่อผมนะ มันเล็กเกินไป แม้ทำเพื่ออาจารย์นี้มันก็ยังเล็กเกินไป นิดเดียวเกินไป ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อประโยชน์กับทุกคน หรือว่าพระศาสนา ถ้าว่าสถาบันนี้มันมีประโยชน์แก่พระศาสนา ก็ช่วยกันรักษาไว้เท่านั้นเอง มันก็เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ก็คือแก่ทุกคนในโลก มันก็เป็นไปได้ก็ได้ มันไม่เป็นไปได้ก็ได้ เช่นว่าคนที่อยู่ข้างหลังนั่น มันแปลข้อความเหล่านี้ออกเป็นภาษาต่างประเทศหมดทุกเล่มมันก็ทำได้ ก็มันอาจจะเป็นไปได้ หรือมันไม่อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ มันแล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ถ้ามันเป็นไปได้ คือคนสืบชั้นหลังมันยังรักอยู่ มันยังทำอยู่ มันขวนขวาย มันช่วยกันแปลเป็นภาษาต่างประเทศ นั่นแหละคืองานที่มันแผ่ขยายสูงสุด แล้วมันก็คงสนุก ถ้าว่าไอ้เรื่องเหล่านี้ถูกแปลเป็นภาษาต่างประเทศ สนุกตรงที่ว่าไอ้บางเรื่องมันไม่มีใครเห็นด้วย ก็จะค้านกัน ด่ากันเป็นการใหญ่ แต่เราเอาเพียงว่าเรามีหลักฐาน เรามีอย่างนี้ พูดอย่างนี้ อธิบายอย่างนี้ เช่นเรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น แล้วต่อไปข้างหน้ามันก็ต่อสู้กันเอง ไอ้ความคิดมันก็ต่อสู้กันเอง ไอ้ที่ไม่เคยเห็นด้วยมันก็จะเห็นด้วย ผมเชื่อเหลือเกินว่าไอ้ต่อไปข้างหน้า ในอนาคตนี้การศึกษา หรือนักศึกษาจะมองเห็นอย่างที่เรามองเห็น แล้วจะมองอย่างตามเรามา ในการอธิบายปฏิจจสมุปบาทก็ดี นิพพานก็ดี อะไรก็ดีนี่ คนในอนาคตจะมองตามเรามา ยิ่งไปทำให้มันแพร่หลายในต่างประเทศมากนะ จะยิ่งมีคนมองตามเรามา แต่คนที่ไม่เห็นด้วย แล้วมีนิสัยอันธพาลมันก็ด่า คัดค้าน ด่ากันเป็นการใหญ่ พวกหนึ่งทีเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้มันก็มี แม้ในวงแคบในเมืองไทยนี่ ก็พวกหนึ่งก็ด่ากัน ไอ้พวกหนึ่งก็เห็นด้วย นั่นในอนาคต มันจะมีอย่างนั้นผมพยากรณ์ และกล้าท้าว่าไอ้การศึกษา การตีความหมายแห่งธรรมะนี่ เขาจะต้องเอาอย่างเรา นี่คุณจำไว้แล้วกัน เพราะคุณอาจจะยังไม่ตาย อยู่ไปอีกนาน เขาจะเอาอย่างเรา คือจะอธิบายอย่างเราอธิบาย ไอ้พวกที่มันไม่เอา ไม่ยอม มันก็มี มีอยู่ตามเดิม แต่เราได้พยายามถึงที่สุด แล้วเดินไปข้างหน้า แล้วก็ดักไว้ข้างหน้าว่ามันต้องมาอย่างนี้ อย่างอื่นมันไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ก็ถือว่าไม่ถูก นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้นี่หละ นิพพานมีอยู่แล้ว มีอะไรมาแทรกแซงเสียเป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้น อบรมจิตเสียใหม่ อย่าให้มีอะไรมาแทรกแซงได้ นิพพานก็อยู่กับเราตลอดกาล โดยหลักพระบาลีจิตประภัสสร ฉะนั้นผมไม่กลัวที่ว่าเขาจะด่า หรือไม่กลัวที่ว่าจะมาพิสูจน์ คัดค้าน แต่ไม่ใช่ทะเลาะกันนะ ต้องพูดกันอย่างนักศึกษา สุภาพบุรุษ เมื่อก่อนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ใหญ่ที่เขานับถือกันเกือบจะทั้งโลก เช่นญาณดิลก อธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบพุทธโฆษาจารย์ คราวนี้ไม่ตรงตามพุทธวจนะ แต่มันแบบพระพุทธโฆษาจารย์ เพื่อมีตัวตน เพื่อมีศีลธรรมดี นี่ก็ดูว่าผู้ที่เรารับกันว่าฉลาดที่สุดก็ยังเอาแบบนี้ คือญาณดิลก ลังกา พม่า ทั้งหมดเขาก็อธิบายกันอย่างนั้นน่ะ ไม่มีใครอธิบายอย่างเรา มันอาจจะมีบ้าง แต่เราก็ไม่พบ เรายังค้นไม่พบ นี่เดี๋ยวนี้มันก็มีคนที่อธิบายอย่างนั้นหนักขึ้นไปอีก หาเหตุผลทางการศึกษาปัจจุบันไปสนับสนุนไอ้อย่างนั้น เช่นหนังสือเล่มนี่ ผมบอกแล้วว่ามันบ้าที่สุดน่ะ หนังสือเล่มนี้ออกมาแล้วสองสามปี อธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบนั้น อธิบายไปทางปรัชญา ยกย่อง อธิบายสนับสนุนอภิธรรม มันอร่อยสำหรับมันสมอง แต่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ต้องอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องกรรม เรื่องอะไรต่างๆ นั้นให้ใช้ประโยชน์ได้ ให้ได้ประโยชน์กันที่นี่ ไม่ใช่ต่อตายแล้ว ต้องมีนิพพานกันมากขึ้น ถ้าเราทำถูกต้อง ไอ้นิพพานมันจะมีขึ้นในหมู่มนุษย์มากขึ้นๆ ในความหมายของคำว่านิพพาน จนกว่าจะสมบูรณ์ แล้วก็ก่อนตายด้วย ถ้าว่าจะเอากันหมื่นชาติ แสนชาติกันหลังจากที่เข้าโลงแล้ว เข้าโลงอีกมันก็เอาไว้ให้พวกอื่น เราไม่คัดค้าน เราไม่ยกเลิกเขา ที่พระพุทธเจ้ากำชับไว้มากที่สุดในหลายๆ สูตรนั่น คุณไปดูในพระไตรปิฎก ท่านว่าอย่าไปคัดค้านเขา เราไม่ยอมรับเขา แต่เราก็ไม่คัดค้านเขา เราก็จะบอกว่าเราเห็นว่าอย่างนี้ อย่างนี้ ฉะนั้นเรื่องที่มันเหมือนกับพลิกแผ่นดิน เราจะไม่คัดค้านใคร แม้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับเขา แต่เราจะพูดว่าเราขอแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ เทียบคู่กันไว้ในโลกนี้ ฉะนั้นคำสอนประเภทมีตัวตน ประเภทพวกนั้นก็ ก็คงไว้ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องอะไรอย่างที่เขาอธิบายกันนั่นก็คงไว้สำหรับคนพวกนั้น แต่เราขอเสนออย่างอื่น ให้เป็นสวรรค์จริงกว่านั้น นรกจริงกว่านั้น เป็นสันทิฎฐิโกที่สุด อกาลิโกที่สุด เอหิปัสสิโกที่สุด สิ่งใดที่เราพูดว่าท่านจงมาดูนั้น มันต้องมีอยู่ในใจของเรา จะเป็นเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องนิพพานอะไรนั่น ถ้าเราพูดว่าท่านทั้งหลายจงมาดูนี่ก็ มันต้องมีอยู่ในใจของเรา ไม่อย่างนั้นก็พูดแต่ปาก ท่านทั้งหลายจงมาอยู่ แล้วนิพพานอยู่กี่ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติแล้วดูอะไรกันเล่า มันดูไม่เห็น โกหก เหลวคว้าง แล้วมันก็ไม่ ทำมามันก็ไม่จริง ฉะนั้นช่วยกันให้ที่สุด ทำให้พระธรรมะเป็นของจริง คือสันทิฏฐิโก มันมีอยู่ในใจ รู้สึกอยู่ในใจที่นี่ และเดี๋ยวนี้ อกาลิโก ไม่ต้องรอต่อกี่ชาติกี่อะไร เอหิปัสสิโก มานี่ มาดูเดี๋ยวนี้ นี่มีให้ดู ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ ก็รู้ได้เฉพาะคนที่ไม่โง่เกินไป นี่เราทำให้มันใกล้ชิดความจริงข้อนี้มากขึ้นทุกที ให้ธรรมะเป็น สันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ เมื่อได้อย่างนั้น จึงจะกล่าวได้ว่า สวากขาโต ภควตา ธัมโม ถ้ายังไม่ได้อย่างนั้นไม่มี ไม่มีทางที่จะเป็นสวากขาโต นี้เราก็ทำ ดำเนินกิจการไปในลักษณะที่ธรรมะจะเป็นอย่างนั้น มากขึ้นๆ ฉะนั้นจึงต้องศึกษาเพียงพอสามารถชี้แจงให้เห็นนิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้ และทุกข์อย่างให้ถูกต้องหมด คือให้ดับทุกข์ได้หมด นั่นแหละเป็นอภิธรรมแท้ อภิธรรมจริงซึ่งเราชอบ อภิธรรมมีตัวตนเที่ยวแบกมหากุศล หวังมหากุศลอยู่นี่ อภิธรรมอย่างนี้ ไม่ใช่อภิธรรมในพระพุทธศาสนา อภิธรรมของพวกใดพวกหนึ่งซึ่งเพิ่งเขียนขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แต่งขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ แล้วยังขู่ไว้ด้วยนะ ว่าถ้าใครไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าแสดงอภิธรรมบนสวรรค์ แล้วก็ขู่ตกนรกกันเท่าไหร่ก็ไม่รู้ นี่มันมีคำขู่ไว้อย่างนี้ ถ้าใครไม่เชื่อว่าคัมภีร์อภิธรรมปิฎกนี้พระพุทธเจ้าได้ขึ้นไปแสดงบนสวรรค์ แล้วก็จะสาปแช่งไว้ด้วยนะ นี้เราไม่ได้ต้องการอย่างนั้นอีก เราต้องการที่จะดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้จำกัดไว้ว่าถ้าฉันพูดแล้วให้รับเอาทันที ท่านยังว่า โอ้แกต้องไปคิดดู อย่าถือเอาโดยเหตุสักแต่ว่าสมณนี้เป็นครูของเรา กาลามสูตร เรื่องกาลามสูตรนั้นเป็นประโยชน์มากที่จะช่วยกู้พุทธศาสนาไว้ได้ ฉะนั้นช่วยสนใจกันให้ดีที่สุด เอามาใช้ให้เต็มความหมายของกาลามสูตร จะตายแล้วเกิด ตายแล้วไม่เกิดนี้เราบอกว่าไม่ต้องเอามาพูดกัน เก็บไว้ก่อนก็ได้ เราทำอย่างนี้ อย่างนี้ดีกว่า จะตายแล้วเกิดก็ยังได้ประโยชน์ ตายแล้วไม่เกิดก็ยังได้ประโยชน์อยู่นั่นแหละ ก็เราจะดับทุกข์เท่านั้น ถ้าไปเกิดอีกมันก็ต้องดับทุกข์อีก ถ้าไม่เกิดมันก็ไม่มีเรื่องจะดับทุกข์ ฉะนั้นเราก็ดับทุกข์ที่นี่ดีกว่า แม้ในพุทธภาษิตก็ยังใช้คำว่า ถ้าเผื่อว่าโลกหน้ามี ก็ยังมีพุทธภาษิตว่า เผื่อว่าโลกหน้ามี การกระทำนี้ก็ไม่เป็นหมัน ยังได้รับประโยชน์ แม้ว่าโลกหน้าไม่มี เอ้าถ้าว่าโลกหน้าไม่มี เราก็ได้รับประโยชน์ที่นี่แล้ว ฉะนั้นเราไม่ต้องทะเลากันเรื่องว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังต้องตรัสอย่างนั้น เพราะมุ่งหมายแต่จะให้ดับทุกข์กันที่นี่ ดับทุกข์กันที่นี่ ถ้าเมื่อดับทุกข์ได้แล้วมันก็หมดปัญหา โลกหน้าจะมีหรือจะไม่มีก็ยังได้รับประโยชน์นั่นเอง เราเอากาลามสูตรมาเผยแพร่มาก เมื่อแรกมีสวนโมกข์ใหม่ๆ ออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาใหม่ๆ นี่เน้นแต่เรื่องกาลามสูตร มาพิมพ์แผ่นๆ แจกมาก สอดไปในหนังสือ เพราะต่อไปมันจะมีปัญหาใหญ่หลวงคือว่า ข้อความที่มันค้านกันเองในประไตรปิฎก ก็จะปรากฏออกมา แล้วข้อความที่ในพระไตรปิฏกมันค้านกับอรรถคถาทั้งหลายอย่างธรรมบทนี้เป็นต้น มันจะปรากฏออกมา มันจะมีคนหยิบขึ้นมาชูให้เห็น แล้วจะทำอย่างไร เมื่อในประไตรปิฏกเองมีข้อความที่ค้านกัน ฉะนั้นมันต้องมีหลักที่ตัดสินว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนใช้ได้ เรื่องกาลามสูตรนี่จะช่วย ให้มีการกล้าวินิฉัย เรื่องมหาปเทสสี่ ในมหาปรินิพพานสูตร ที่ตรัสว่าจะนิพพานนั่นหละ จะเป็นเครื่องตัดสิน กระทั่งมหาปเทสในวินัยก็จะช่วยตัดสิน มีหลายสูตรเลยที่เป็นเครื่องช่วยตัดสินว่าอะไรผิด อะไรถูก ฉะนั้นทุกคนน่ะ ผู้ที่จะสืบอายุพระศาสนาต่อไปข้างหน้าทุกคน ต้องแตกฉานในหลักเหล่านี้นะ นี่ผมพูดอย่างนี้มันถูกหรือไม่ถูกหละ ถ้าใครจะตั้งตัวเป็นผู้สืบอายุพระศาสนาในอนาคต แล้วก็จะต้องแตกฉานที่สุดในหลักตัดสินธรรมวินัย กาลามสูตรก็ดี โคมีสูตร (นาทีที่ 72:59) ก็ดี มหาปเทสวินัยก็ดี มหาปเทสสุตตันตก็ดี และสูตรอื่นๆ อีกหลายสูตร ต้องแตกฉานนะ คุณจึงจะสืบอายุพระศาสนาไปได้ ต่อไปนี่งานจะยากขึ้นทุกที เพราะว่าการศึกษาในโลกมันก้าวหน้า มันเจริญ คนก็เป็นอิสระในทางความคิดความเห็นมากขึ้น ถ้าเราไม่แตกฉาน ไม่รู้ทันเขาเราก็พูดให้เขาเชื่อไม่ได้ ฉะนั้นศึกษาไอ้สูตรชนิดนี้กันไว้ เพียงพอให้แตกฉาน ทีนี้หัวข้อเพียงไม่กี่ข้อนี้ก็ยังจำกันไม่ได้ นี่คิดดูน่าสมเพชไหม หัวข้อหลักๆ ไม่กี่คำนี้ยังจำกันไม่ได้ นี้ถ้าจะสืบศาสนาต่อไปก็ไม่มีทางอื่นนอกจากศึกษาพระศาสนานั้นให้ถูกต้อง ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง แล้วอธิบายให้เข้ากันได้กับบทธรรมคุณนี่ สันทิฎฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ นี่ผู้สืบอายุพระศาสนาจริงๆ จะต้องทำได้อย่างนั้น ทุกอย่างมันจะอยู่ได้หรือจะสลายไปมันก็เพราะบุคคลนั่นแหละ เพราะบุคคลที่เกี่ยวข้องนั่นแหละ ไม่ใช่คนนอกมาแต่ไหน พุทธศาสนาจะหมดก็เพราะภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่เพราะคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่เพราะอิสลามอะไร นี้ไปโทษเขาเปล่าๆ ว่าอิสลามทำให้พุทธศาสนาหมดในอินเดีย เราไม่เชื่อ เราสังเกตเห็นว่ามันอธิบายผิด อธิบายพุทธศาสนาผิดจนเป็นฮินดูไปเสีย มีตัวตนเวียนว่ายตายเกิด ก็เป็นฮินดูไปเสีย แล้วก็มองไปยังพุทธโฆษาจารย์นี่ตัวดี ที่ทำให้มีตัวมีตนเวียนว่ายตายเกิดเป็นฮินดูไปเสีย เรื่องนี้ก็มีคนเขียนด่าผม ผมพูดอย่างนี้ออกไปแล้ว มันว่าด่าพระพุทธโฆษจารย์ว่าเป็นฮินดู มาจากพราหมณ์แล้วก็อธิบายเป็นพราหมณ์ ไอ้คนที่ด่าผมมันเชื่อไอ้เรื่องเวียนว่ายตายเกิดอย่างฮินดูมาก และเอามาเป็นพุทธศาสนา เราบอกว่านี่อธิบายพุทธศาสนาผิด มันเป็นฮินดู พุทธศาสนาก็หมด ไม่ต้องมีใครมาทำมันหมดไปเอง โดยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในพุทธศานานี่ช่วยกันอธิบายพุทธศาสนาให้ผิด พุทธศาสนาก็หมดไป ไม่มีคอมมิวนิสต์ที่ไหนมาทำให้หมดได้ ในเมืองไทยนี่น่ะ คอมมิวนิสต์ยังไม่ทันมาพุทธศาสนามันก็หมดได้ และมันจะหมดอยู่แล้วนั่นดูให้ดี คอมมิวนิสต์ยังไม่มาพุทธศาสนามันหมด แต่เขาชวนให้ช่วยกันประกาศว่าคอมมิวนิสต์มาพุทธศาสนาหมด นี่ผมว่าคอมมิวนิสต์ยังไม่ทันมาพุทธศาสนาหมด แล้วจะว่ายังไงเล่า ไปคิดดูนี่ ถ้าขืนอธิบายพุทธศาสนาผิดแล้วมันก็หมดแหละ ก็หมดจริงๆ ด้วย แล้วมันไม่ใช่คอมมิวนิสต์นะที่ทำให้พุทธศาสนาหมด ไอ้ที่ตรงกันข้ามนี่ เสรีประชาธิปไตยนี่แหละ อย่างอเมริกานี่ เสรีประชาธิปไตย เป็นผู้นำที่ให้แยกศาสนาออกไปจากการศึกษา ศาสนาคริสเตียนก็ถูกแยกออกไปจากการศึกษา มันก็ไม่มีศาสนาในการศึกษา เขาก็หมดเอง แล้วเราก็ไปตามเขา เอาแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา ไม่สอน มันก็หมดได้ มันไม่ใช่คอมมิวนิสต์เสียแล้ว มันพวกเสรีประชาธิปไตย วัตถุนิยมนี่หละ พวกเสรีประชาธิปไตยนี้มันเป็นวัตถุนิยม มันส่งเสริมแต่วัตถุนิยมจนคนเกลียดศาสนา เราพูดอย่างนี้เขาก็จะจัดเราเป็นคอมมิวนิสต์อีกแหละเนี่ย มันหลีกไม่พ้น แต่ความจริงมันก็มีอยู่อย่างนี้ พุทธศาสนาหมดเสียก่อนคอมมิวนิสต์มานี่ไปดู แล้วคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้ไปทำให้พุทธศาสนาและศาสนาทั้งหลายในโลกหมด วัตถุนิยมต่างหากมันทำให้ศาสนาหมด ทีนี้วัตถุนิยมมันก็มีในฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ต่อไปปัญหานี้คงจะเกิดขึ้นในวงสังคม ในโลกนี้ ว่าใครทำให้ศาสนาหมด นี้ก็อุตส่าห์ศึกษากันไว้ให้มันถูกต้อง ถ้าจะสืบอายุพระศาสนา ถ้าทำตัวเป็นผู้สืบอายุพระศาสนาแล้วก็ ศึกษากันไว้ให้ถูกต้องว่ามันมีอยู่ได้อย่างไร มันหมดไปอย่างไร ผมยืนยันว่าอย่าอธิบายพุทธศาสนาให้ผิด พออธิบายผิดมันก็หมด ไม่ต้องมีคอมมิวนิสต์อะไรที่ไหนมา คนที่เกี่ยวข้องอยู่โดยตรงนี่มันทำให้หมด เหมือนกับมันทำแกงหกมันก็หมด ไม่ต้องมีใครมาช่วยทำ มันทำมันเอง เอาแล้วสรุปความว่า ช่วยกันศึกษาพุทธศาสนาให้ถึง ถึงความหมาย ถึงเนื้อแท้ แล้วก็รู้จักตัดสินวินิจฉัยเมื่อมันเกิดปัญหาขึ้นมา นี้ก็สามารถชี้ให้เขาเห็นพุทธศาสนา ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมะที่นี่และเดี๋ยวนี้ มาดูในเนื้อในตัวของฉันนี่มันมีอยู่อย่างนี้ แล้วคนก็จะชอบธรรมะ ชอบศาสนามากขึ้น ไอ้คำว่าโมกข์คือหลุดพ้นนั่น มันจะเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ ผมเกือบจะไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าหากว่า ถ้าคนที่อยู่ข้างหลังสนใจในคำที่ได้พูดไว้แล้ว ให้เข้าใจก็พอแล้ว เกินพอเสียอีก แล้วก็เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือเผยแผ่กันต่อไป มันจะพูดอะไรได้เวลานิดเดียวอย่างนี้จะพูดอะไรได้ ที่พูดไว้แล้วเป็นมากมายนั่นแหละ เข้าใจให้ดี ไปทำความเข้าใจให้ดี เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้ ในการสืบอายุพระพุทธศาสนา เพราะว่าคำอธิบายทั้งหมดมากมายนั้นน่ะ ผมได้พยายามที่สุดแล้ว ที่จะให้มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฎฐิโก เป็นปัจจัตตัง เป็นอกาลิโก เป็นเอหิปัสสิโก ส่วนเรื่องทางวัตถุสิ่งของอะไรเหล่านี้ มันก็คอยทำไปตามเหตุตามปัจจัย และมันเป็นเพียงเครื่องประกอบ เป็นอุปกรณ์เครื่องประกอบ ช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ดีขึ้น ถ้ามันมีมันก็ดี ถ้ารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์ มันอยู่ที่คนใช้ เช่นวัตถุอุปกรณ์ในการเผยแผ่ธรรมะ ให้วัดนี่มันเป็นสำนักงาน ถ้าจัดเรื่องราวในสำนักงานดี มันก็ทำประโยชน์ได้มาก ถ้าจัดในสำนักงานไม่ดี มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร นั่นวัดเกือบทั้งหมดมันยังไม่มีประโยชน์อะไร ยังไม่เป็นประโยชน์ยังไง เพราะว่าจัดมันไม่ดี สำนักงานของพระศาสนา ไอ้คนที่อยู่ที่นั่นที่จัดนั่น จัดไม่ดี จัดไม่เป็น จัดไม่ถูก จัดตรงกันข้ามเสียก็มี แต่ว่าเราคงไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเอาไว้ให้ผู้อื่นที่เขาไม่ยอมลืมหูลืมตา ก็คงจะทำผิดๆ กันไปอีก เราคงจะไม่ถึงอย่างนั้น อะไรที่ได้ลง ได้วางหลักลงไป ได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างถูกต้อง รักษากันไว้ สืบต่อกันไป เดี๋ยวมันจะเกิดความท้อแท้อย่างที่คุณพลเทพ (นาทีที่ 83:41)ชอบพูดนั่น ถ้าผมจะพูดว่าผมพอใจแล้ว ไอ้ผลที่ได้นี้คุ้มค่าหมดแล้ว ถ้าสมมติว่าสวนโมกข์นี้ตีราคาสักสิบล้านนี้ แล้วเงินทองข้าวของที่ลงไปแล้วนั่นผมว่ามันคุ้มค่าแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกก็ได้ เลิกกันเดี๋ยวนี้ก็ได้ นั่นตามความรู้สึกของผม ฉะนั้นจึงไม่กลัวที่มันจะร้าง หรือมันจะไม่ร้างอะไรนี่ เพราะผมถือว่ามันคุ้มค่าแล้วเลิกกันเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันคิดเป็นทำนองที่ว่า เพื่อกำไรยิ่งขึ้นไป เพื่อเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายก็ต้องช่วยกันรักษาไว้ ให้เป็นประโยชน์ต่อไป โดยเราถือเสียว่าแสงสว่างที่เราได้ให้ไปแล้วนั่นมันเป็นเงินเป็นทองมากแล้ว คุ้มค่าไอ้วัตถุอะไรที่มันตีราคาได้แล้ว แสงสว่างทางธรรมะมันดีราคาไม่ไหว มันตีกันไม่ได้ แล้วมันก็ได้มาตามสมควรแล้ว ก็มีคนถามบ่อยที่สุดแหละ ว่าจะดำเนินการอย่างไร มีใครอยู่เป็นผู้รับช่วงอันนี้ไว้หรือไม่ แต่นี่ถือว่ามันคุ้มค่าแล้ว แต่ถ้ามาคิดว่าจะให้ได้มากขึ้นไปอีกมันก็ได้แหละ ถ้าทำอย่างที่ว่า สนใจในธรรมะกันให้มากกว่าอย่างอื่น และเผยแผ่ธรรมะโดยตรงนี้ให้มันมากขึ้น แล้วไอ้เครื่องมือ เครื่องมือที่จำเป็นนั่นผมว่ามันพอ ที่ได้พูดไว้แล้ว ที่พิมพ์ขึ้นแล้วนี่มันพอ ที่ยังจะพิมพ์อีกต่อไปมันก็ยังมีอีก มันก็จะยิ่งพอ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีหลัก ไม่มีมือเครื่องมือ ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มี ไม่ต้องกลัว ถ้ารู้จักใช้แล้วมันก็มี ถ้าไม่รู้จักใช้แล้วมันก็เท่ากับไม่มี จะมีมากกว่านี้หลายเท่าถ้ามีรู้จักใช้มันก็เท่ากับไม่มี ถ้ารู้จักใช้หนังสือเพียงสองสามเล่มแล้วก็พอที่จะสืบอายุพระพุททธศาสนาได้ นี่ก็ได้ทำขึ้นแล้ว ได้ทำไว้ให้แล้ว เหลืออยู่แต่คนข้างหลังเขาจะใช้มันหรือไม่เท่านั้นเอง แล้วคุณมีอะไรอีก
เรื่องต่อไป เกล้ากระผม กราบขออภัยที่ต้องเรียนถามเรื่องสวนตัวของท่านอาจารย์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่พระหนุ่มที่จะได้อยู่กันต่อไป เรื่องที่ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะเข้ามาบวช ท่านอาจารย์นึกอย่างไร ถึงได้เข้ามาบวชในพุทธศาสนา แล้วท่านอาจารย์ได้มีแนวทางอย่างไรจึงได้ดำรงเพศสมณไว้ได้จนตลอด จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ครับ
ไม่มีนี่ ไม่มี ไม่มีความหมาย ไม่มีหลักเกณฑ์อะไร คือว่าเรามันบวชตามธรรมเนียม แล้วก็มาพบเข้าว่ามันดี ก็จึงไม่สึก มันก็มีเท่านี้นี่ มันไม่ต้องพูดอะไรมาก บวชตามธรรมเนียมอย่างบวชสามเดือนนั่นหละ คิดอย่างนั้นแล้วก็บวช พอบวชก็พบไอ้นี้เข้า ก็อ้าวนี้มันดีกว่าอะไร อะไรที่เราจะกลับสึกออกไปเอานั่นน่ะ ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันไม่มีความหมาย ไม่มีค่า ไอ้พระธรรม พระศาสนา ประโยชน์ของคนทั้งโลกนี้มันดีกว่า ฉะนั้นจึงยังไม่สึกออกไป สึกออกไปนั้นมีแต่ปัญหา ไม่รู้จักเลือกผู้หญิง คนไหนเป็นโสเภณี ผู้หญิงคนไหนเป็นคนดีเท่านี้ก็มีปัญหา แล้วก็ไม่กล้าสึก ไม่มีความรู้ มันไม่ได้นึกถึงไอ้เหล่านั้น เพราะมันมัวนึกถึงแต่เหล่านี้ ไม่มีคำตอบ บอกว่ามันจับพลัดจับผลูบวชตามธรรมเนียมมา มาพบอันนี้เข้ามันก็ชอบใจ แล้วมันก็ทำไปลืม จนลืมสึกนี่ พออายุมันเข้ามาถึงปูนนี้แล้วมันก็ไม่อำนวยการสึกแล้ว สึกไปมันทำอะไรไม่ได้ อายุขนาดนี้แล้วถ้าอยู่ไม่สึกมันทำอะไรได้มาก ยังทำอะไรได้มาก อย่าไปคิดไอ้อย่างนั้นให้มันมากนัก อย่าไปหวังไอ้ร่องรอยชนิดนั้นให้มันมากนัก คือว่ารีบทำตัวให้พบธรรมะเสียเร็วๆ ให้มากพอเถอะ ให้มันมากพอแล้วมันไม่สึกเอง มันไม่มากพอมันก็สู้กิเลสไม่ได้มันก็ต้องสึก อายุมากมันก็อาจจะสึกก็ได้ ถ้ามันไม่รู้ธรรมะพอสำหรับเป็นที่พอใจ เดี๋ยวนี้เรามาพบสิ่งที่ใหญ่หลวง มีประโยชน์ใหญ่หลวง งานใหญ่หลวงทำได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันก็สนุก ถ้ายิ่งไปสนใจในพระพุทธประสงค์นั่นมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้ไม่สึก ฉะนั้นพวกคุณก็ไปสนใจในพระพุทธประสงค์มากขึ้นอีกเถอะ ว่าพระพุทธเจ้าประสงค์อย่างไร แม้ที่สุดแต่ว่าจะทำอะไร จะดำเนินงานอะไรก็ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนน่ะ ว่าถ้าทำอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสว่าอย่างไร ทำอะไรให้ถามพระพุทธเจ้าก่อน จะกิน จะนอน จะอยู่ จะใช้ จะอะไรก็ตามเถิด หาอะไรมาแล้วก็ตาม อย่างจะมีโทรทัศน์หรือไม่ นี่ก็ถามพระพุทธเจ้าก่อน ว่าพระพุทธเจ้ามาพบมาเห็นแล้วท่านจะว่าอย่างไร แต่ความรู้สึกของผม รู้สึกว่าท่านคงสั่นหัว จะมีคนเอาโทรทัศน์มาให้ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ผมบอกไม่เอา ไม่เอา แม้แต่วิทยุนี่มันก็ยังเกินไปแล้ว ไอ้โทรทัศน์ก็ยิ่งเกินไปอีก งั้นไม่เอา หมอไพบูรณ์ที่ตายไปแล้วนั่น จะยกมาให้เรื่อย เดี๋ยวก็มาถามอีก เดี๋ยวก็มาถามอีก ก็บอกว่าไม่เอา หมอไพบูรณ์ให้เครื่องไฟ เครื่องกำเนิดไฟฟ้ามาตั้ง ๓ เครื่องนี่ คนเดียวน่ะ เขามันอยากให้ขนาดนั้น ฉะนั้นจะขยายอะไร จะทำอะไร จะเปลี่ยนแปลงอะไร นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเถิดแล้วจะไม่ผิด จะไม่เกิน จะไม่บุกแล้วบ้า แล้วพระพุทธประสงค์มีอย่างไรนี่ ให้ทำประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่เป็นพุทธประสงค์ อย่าทำเล่นกับเรื่องนี้ ถ้าทำเล่นแล้วมันก็ไม่เป็นประโยชน์หรอก ผิดพลาดไปได้ ชวนกันทำให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ เทวดาคือคนสบายแล้วในเรื่องการเป็นอยู่ มนุษย์คือผู้ที่ยังลำบาก ทุกข์ยาก ทรมานในเรื่องการเป็นอยู่ ระบุก็คือคนจนนั่นแหละเรียกว่ามนุษย์ เทวดาก็คือนายทุนทั้งหลาย ผู้มั่งมี แล้วเราจะต้องเผยแผ่ธรรมะให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ เพราะว่าเดี๋ยวนี้พวกร่ำรวย นายทุนทั้งหลายมันก็ยังเป็นทุกข์อย่างยิ่งอยู่เหมือนกัน