แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อ.ประดิษฐ์กล่าวถึงการจัดพิมพ์หนังสือ บทความเกี่ยวกับการศึกษาที่มาจากความคิดเห็นของหลายๆคน และในทางศาสนาก็ได้เรียนถามท่านพุทธทาสถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการศึกษาโดยเฉพาะในระดับมหาวิทยาลัย ว่าจุดมุ่งหมายคืออะไรกันแน่ อยากทราบความเห็นในทางพุทธศาสนาที่เป็นที่ยอมรับในเรื่องการศึกษา เพื่อว่าในภายหลังจะได้มีแนวทาง ซึ่งทางอ.ประดิษฐ์จะได้ไปจัดพิมพ์รวมความคิดเห็นทางด้านการศึกษาจากหลายๆคน หลายๆความคิดซึ่งอาจจะเป็นความคิดเห็นส่วนตัวก็ได้ และได้ขอให้ท่านพุทธทาสบรรยายหรือให้ข้อคิดเห็น ให้ตัวอย่างในหัวข้อที่ต้องการไปได้เลย ไม่ใช่ในลักษณะถามตอบ)
ตามความรู้สึกตลอดเวลา เรื่องสนใจเรื่องศีลธรรมคือเรื่องการศึกษา ตลอด 40 ปีรู้สึกว่ากุศลอันแท้จริงของการศึกษาก็คือการมีศีลธรรมนั่นเอง ผลของการศึกษาที่เป็นอาชีพนั้นเรียกว่าเป็นเพียงเบื้องต้น แต่น้อยเกินไปในคุณค่า ทั้งที่เวลานี้คนทั้งโลกเห็นว่าอาชีพที่เป็นรากฐานทางเศรษฐกิจ การอยู่รอดของคน ของชาติ สำคัญ จึงพากันลืมหมดว่าถ้าปราศจากศีลธรรม สิ่งเหล่านี้จะไม่มีความหมาย อาชีพความเป็นอยู่ที่สบาย เป็นผลของอาชีพไม่มีความหมายถ้าอยู่กันอย่างไม่มีศีลธรรมเป็นพื้น สภาพที่ไม่มีใครยอมรับได้ ควรเอาไปคิดและมองเห็น แต่ที่ปฏิบัติกันจริงไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเห็นผลของการศึกษาเป็นความสมบูรณ์แห่งศีลธรรม ในโรงเรียนทั่วไปก็ดี ในระดับมหาวิทยาลัยก็ดี มีใครตั้งเป้าหมายว่าที่สุดของการศึกษาคือความมีศีลธรรม ในหลายสิบปีมาแล้ว ได้สังเกตเห็นว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมุ่งถึงกันเพียงแต่ความเป็นสุภาพบุรุษ และใช้คำนี้มาน ถ้าไปพลิกดูหนังสือเก่าๆ มหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษ เป็นต้น มุ่งผลแต่เพียงความเป็นสุภาพบุรุษ เป็นเพียงจุดมุ่งหมายอย่างเดียว ในความเป็นสุภาพบุรุษมันไม่ได้เป็นของต่ำหรือของกลางมันเป็นของสูงสุด มุ่งหมายแต่ความเป็นสุภาพบุรุษ ตามความหมายของภาษาไทยหรือภาษาบาลี สุภาพบุรุษ หมายถึงบุรุษที่ดีจนไม่มีที่ติ ทุกๆอย่างมันดี เรื่องอาชีพ ความเป็นอยู่ส่วนตัวเป็นว่าต้องดีแน่นอน...ความสมดุลย์ทางสังคม เป็นไปสูงสุด ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเราจึงมองเห็นชัดเจน....จึงมองเห็นว่ามันมีความสำคัญที่สุด เมื่อมีความเป็นสุภาพบุรุษแล้วปัญหาจะหมดโดยประการทั้งปวง ปัญหาส่วนรวม ปัญหาส่วนตัวก็จะหมด ปัญหาทางครอบครัวก็จะหมด ปัญหาทางสังคมก็จะหมด หน้าที่ต่อประเทศชาติ หมดปัญหา เพราะฉะนั้นความเป็นสุภาพบุรุษจึงควรเป็นจุดสุดยอดของความมุ่งหมายของมนุษย์ที่จะได้รับจากการศึกษา ในเวลานี้ ไม่มีใครพูดถึงคำว่าสุภาพบุรุษ การศึกษาแยกเป็นฝ่ายๆให้สูงถึงระดับสติปัญญาสูงสุด เป็นเทคโนโลยีไปหมด ไม่ว่าแขนงไหน วิชาไหนแม้แต่เรื่องของจิตใจ..วิชาเป็นไปทั้งหมดเพื่ออาชีพ ถ้ามีใครหยิบเอาเองของศีลธรรมหรือจริยธรรมทั้งหมดมาเป็นวิชาแขนงหนึ่งเพื่อที่จะศึกษากันถึงเทคนิค วิธีการเทคนิคที่จะให้มันสมบูรณ์ ศีลธรรมจะเปลี่ยนไปๆ จนไม่มีใครรู้จักศีลธรรมในความหมายอันแท้จริง ทีนี้เมื่อพูดถึงศีลธรรม ผู้ที่ถึงสุดยอดของการศึกษาคือถึงความเป็นสุภาพบุรุษนั่นเอง ความเป็นสุภาพบุรุษหรือความมีศีลธรรมนั่นเอง และเป็นที่เดียวกัน เป็นผลสุดท้ายของการศึกษา ก็จะพูดว่าผลสุดท้ายของการศึกษาคือศีลธรรมก็ถูกที่สุด ศาสนาหรือวัฒนธรรม ผลสุดท้ายของการศึกษาก็คือความเป็นสุภาพบุรุษนี่ก็กว้างดี มีความหมายครอบคลุมทั่วไปหมดรวมทั้งความมีศีลธรรม คุณธรรมด้วย ควรจะถือว่าเป็นสิ่งแรก มีความมุ่งหมาย มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน แม้ว่าเราจะแยกเป็นสองอย่างคือความมีศีลธรรมและความเป็นสุภาพบุรุษ นี่เป็นผลของการศึกษาในระดับสูงสุด เมื่อมีความเป็นสุภาพบุรุษหรือมีศีลธรรมแล้วจะหมดปัญหาอย่างไรข้อนี้ขอให้คิดกันให้มากๆ จะเรียกว่าปัญหาก็ได้ เรียกว่าวิกฤติการก็ได้ จะเรียกชื่อว่าความเลวร้ายอย่างไรก็ได้มาเป็นความไม่มีศีลธรรม คือความไม่เป็นสุภาพบุรุษนั่นเอง เมื่อทุกคนมองเห็นภาพในข้อนี้ แต่ไม่มอง ไม่ยอมมอง แกล้งไม่มอง เพราะไปมองแต่ทางที่จะได้รับประโยชน์เป็นวัตถุ มองให้เป็นอาชีพไปซะหมด คิดรวยลัด เรียนลัดรวยลัด อยู่ในเวทีการเมือง ไม่ได้สนใจที่จะใช้วิธีทางการเมือง ก็รู้ไม่เท่าทัน ถูกหลอกโดยนักการเมือง ในประเทศก็ดี ต่างประเทศก็ดีให้มันยุ่งกันไปหมด การศึกษาไปเป็นเหยื่อ เป็นไปเพื่อการเมืองไม่รู้เท่าทัน การเมืองถ้าเห็นแก่ได้แล้วก็เอาแน่นอนไม่ได้ เอาแน่นอนได้อย่างเดียวคือแสวงหาประโยชน์โดยไม่ต้องคำนึงถึงอะไรเลย ไม่ต้องมีศาสนา ไม่ต้องมีอะไรกันหมด เมื่อไม่มีศาสนา ไม่มีศีลธรรม การเมืองมันก็เล่นเป็นพรรคๆ พรรคใหญ่เรียกเป็นค่ายใหญ่ เป็นค่าย ต่อสู้กัน ผู้ใดมองเห็นประโยชน์จากค่ายใดก็สมัครเข้าไปค่ายนั้น สติปัญญาอันหมดไปเรื่อย ถ้าไปใช้เรื่องการเมืองแสวงหาประโยชน์ตามที่ตนมองเห็นโดยไม่ต้องคำนึงว่ามีศีลธรรมหรือไม่มีศีลธรรม นี่เป็นสุภาพบุรุษหรือไม่เป็นสุภาพบุรุษ ด่าทอ การเมืองในประเทศก็ดี ระหว่างประเทศก็ดี ไม่มีความหรือหาไม่พบความเป็นสุภาพบุรุษ มีแต่ประโยชน์ทางการเมือง ด่าทอ ทะเลาะวิวาทกันอย่างไม่น่าจะเป็นในที่ประชุมของผู้มีสติปัญญา เป็นผู้มีการศึกษา เป็นสุภาพบุรุษ โลกมีปัญหาอย่างนี้ถ้าแก้ปัญหากันไม่ได้ โลกก็จะไม่มีสุภาพบุรุษ จะมีหรือภาพต่อสู้ยื้อแย่งกันในทางการเมือง ลดลงมาจากการต่อสู้ระหว่างประเทศเป็นการต่อสู้ในประเทศ ลดลงมาเป็นการต่อสู้ภายในส่วนหนึ่งๆของประเทศ ในจังหวัด ในอำเภอ ในครอบครัว ผัวกับเมียต่อสู้กันเมื่อมีความเห็นขัดกันเรื่องผลประโยชน์ นี่ความไม่มีศีลธรรมทำให้คนรุนแรง กระทำต่ำที่สุดถึงสูงที่สุด ขอให้ทำความเข้าใจในความหมายของคำว่าศีลธรรมอันดี การศึกษาเพื่อประโยชน์ของการมีศีลธรรม การมีศีลธรรมก่อให้เกิดประโยชน์คือสันติภาพทั่วไป มีสันติสุขของบุคคล คำว่าสันติภาพหรือสันติสุขนี้มาถึงยุคที่พูดกันแต่ปาก เหมือนบางคนออกชื่อพระเจ้าเปล่าๆแล้วไม่ปฏิบัติตาม ออกชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เปล่าๆแล้วไม่ปฏิบัติตาม มันไม่มีประโยชน์ เวลานี้สันติภาพ ออกปากว่าสันติภาพ นับวันก็จะลืมเลือนๆไปเพราะเห็นว่าทำไม่ได้ คนต้องการแต่ประโยชน์ สันติภาพมันไม่ยอมให้คนแสวงหาประโยชน์เลย ความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวมักไม่ต้องการสันติภาพ สันติภาพเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น คำว่าสันติแปลว่าสงบ คำว่าศีลก็แปลว่าสงบ ปกติคือไม่วิปริต สันติภาพสูงสุดคือการไม่วิปริต นี่คือสิ่งเดียวจริงๆ ผู้ที่มีปัญญาเฉียบแหลม บริสุทธิ์มักจะนิยมกันไปในทางว่าเราไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ไปศึกษาวิชาอักษรศาสตร์บริสุทธิ์ วรรณคดีบริสุทธิ์ เรื่องโบราณคดี ไปลึกซึ้งธรรมชาติวิทยา แต่ในประเทศไทยไม่กล้าเอ่ยปากเรื่องการเมืองไม่กล้าพูดปัญหาของศีลธรรม กลัวถูกหาว่าเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่กล้าพูดถึงคำว่าสันติภาพหรือวิจารณ์สิ่งที่เรียกว่าสันติภาพ กลัวว่าจะถูกหาว่าเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะเกลียดและกลัวคำว่าการเมือง เกลียดเพราะเห็นว่าการเมืองเป็นของสกปรกและตลบตะแลงนี่ก็มี กลัวเพราะว่าถ้าเกี่ยวข้องกับการเมืองจะอันตราย จะถูกระแวงสงสัยในที่สุด ถูกจับกุมโดยผู้นั้นไม่ได้ทำผิดเลย ด้วยเหตุนี้จึงมีเหตุที่จะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองขึ้นมาแก่ผู้มีสติปัญญา คล้ายๆแต่จะเหลือให้แต่คนโง่ หรือมีสติปัญญาแบบชาวบ้านชาวโลกที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง ผู้มีสติปัญญาแท้จริง บริสุทธิ์ ตีตัวออกห่างจากความเลวร้ายของโลก สติปัญญาไม่ถูกใช้สำหรับสันติภาพที่มีที่มาอยู่ที่ความมีศีลธรรม มาถึงตอนนี้การศึกษาของโลกเป็นไปเพื่อความมีศีลธรรม มุ่งหมายถึงความเป็นสุภาพบุรุษต่อไป คือว่ามีศีลธรรมและความเป็นสุภาพบุรุษ มาถึงตอนนี้มีความสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าอย่าได้คาใจว่าศีลธรรมกลับมามันเป็นการถอยหลังเข้าคลอง เด็กๆก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดีผู้มีอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจก็ดีมักจะมองเห็นศีลธรรมหรือศาสนาเป็นการถอยหลังเข้าคลอง กระทั่งปู่ย่าตายาย ชั่วอายุคนมันเหมือนถอยหลังเข้าคลอง ความจริงมาถึงยุคที่จะต้องถอยหลังเข้าคลอง เพราะว่ามันเริ่มผิดคลองมานานแล้วจนถึงขีดอันตราย ที่ว่าผิดคลอง คลองอะไร คลองสันติภาพ ความถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่มนุษย์จะมีสันติภาพ มนุษย์ที่ไม่มีสันติภาพจะกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานเพราะผิดคลอง ทีนี้เรามากลับให้มันถูกคลองเพื่อจะได้ไม่ต้องตาย ทำอย่างไรต่อไป ต้องมีศีลธรรมโดยไม่ต้องตาย นี่เป็นเรื่องทางวัตถุง่ายๆ ให้มองเห็นว่าเรือวิ่งออกนอกร่อง มันก็พลิก วิ่งไม่ได้ มันต้องถอยหลังให้ลงคลอง มันต้องเข้าคลองมันถึงจะปลอดภัย เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ เรือออกจากปากน้ำไปแล้วเมื่อเป็นว่ามีพายุร้ายแรงเขาก็ต้องรีบถอยหลังเข้ามาในคลอง มาอยู่ในคลอง หมอพายุแล้วถึงออกไป จะปลอดภัยดีกว่า มนุษย์อยู่ในสภาพที่เรียกว่าเดินออกนอกคลองแห่งสันติภาพ โลกจึงมีวิกฤติการณ์แล้วแต่จะเรียก แต่ยิ่งออกห่างจากสันติภาพขึ้นทุกที แก้ไขไม่ได้ ต้องการการป้องกันมากกว่า ไม่มีอะไรดีกว่าการจัดการศึกษาที่จัดให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ธรรมชาติกำหนดให้มีการศึกษาขึ้นมาในโลก เรียนหนังสือเพื่อฉลาด ฉลาดในวิชาชีพ เพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้ เพื่อดำรงชีพอยู่ได้ในลักษณะของความสงบสุข หรือความวุ่นวาย นีก็มีปัญหาต้องแยกทางกันเดิน ถ้ามีความหลงใหลในวัตถุมาก ก็ทำตัวเองให้ปกติสุข กินหรือใช้เหลือเฟืออย่าคิดว่าทำให้เรามีความสุข คือเป็นปกติสุขที่เราต้องยุ่งมากขึ้น ต้องการกินเหลือเฟือให้มากขึ้นเกินไป กินเหลือเฟือกำลังก้าวหน้ารุ่งเรืองก็เพราะว่ามันเป็นความต้องการของมนุษย์โง่ๆที่ผู้ผลิต ผู้สร้างขึ้นขายตั้งหน้าตั้งตาผลิต ขึ้นมาใช้เพื่อความร่ำรวย มนุษย์ผู้เข้าใจผิดเรื่องความฟุ่มเฟือยเป็นเหยื่อนั้น ต้องหามาใช้ เราเรียกว่าเป็นเรื่องเศรษฐกิจแต่ว่าไม่ได้เป็นไปเพื่อสันติภาพ ให้ความเฟ้อลดลงแล้วมันจะง่ายในการมีสันติภาพ การศึกษาช่วยให้มีอาชีพ แล้วเราต้องศึกษาต่อว่าจะอยู่กันอย่างไรดำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีสันติภาพ ถ้าถือตามหลักพระพุทธศาสนาหรือแม้ศาสนาอื่นก็ดี ที่ถือเราจะต้องอยู่อย่างถูกต้อง พอดี อย่าให้ขาดแคลนและอย่าให้เฟ้อให้ถูกต้องและพอดีเท่าที่มนุษย์จะอยู่ได้ด้วยความปกติสุข คำว่าพอดีคงจะไม่สามารถกำหนดเอาเองได้ ต้องอาศัยหลักที่ผู้มีปัญญาแต่ปางก่อนได้ศึกษาค้นคว้ากันมาเป็นร้อยปีพันปีที่สุดแล้วสรุปเป็นหลักสั้นๆว่าอย่าให้มันอย่าให้มันเกิน อย่าให้มันเกิน ขาดนั้นคงไม่ค่อยจะขาดเพราะมนุษย์มีกิเลส ทำขึ้นมา ไม่ขาดแล้วทำจนเกิน กินดีอยู่ดีมีความหมายไปในทางเกิน เรื่องกินก็ดี เรื่องปากก็ดีมันเป็นไปในทางเกิน ต้องต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อให้ได้เกินมากที่สุด โลกก็อยู่แต่กิเลส เป็นเหตุให้แสวงหา มีไว้เพื่อบริโภคเป็นลักษณะของการเกิน ทางที่ถูกนั้นเราจะหาให้มากก็ได้ให้สุดความสามารถที่เราจะหาได้แต่เราเอาส่วนเกินไปช่วยเหลือผู้อื่น ไปช่วยเหลือประโยชน์ส่วนรวมเพราะยังมีผู้ที่ขาดแคลน ประโยชน์ส่วนรวมตั้งขึ้นไว้เป็นสวัสดิการ ตั้งขึ้นไว้เป็นส่วนรวมมันก็ดี เอาส่วนเกินไปช่วย อย่าเอาส่วนเกินมาเป็นอยู่กินอยู่อย่างเกินจะทำให้ชีวิตมนุษย์ไหลไป ไม่มีความสงบสุขได้ กินเข้าไปเกินสบายเกิน อย่าไปเข้าใจว่ามันเป็นความสุข ความถูกต้อง จะนำมาซึ่งปัญหาอย่างอื่น ในที่สุดแล้วโรคภัยไข้เจ็บถามหา กินอยู่อย่างเกินเป็นอยู่อย่างเกิน มีทางเป็นหนี้อย่างเกิน เจริญทางวัตถุ โรคภัยไข้เจ็บแปลกประหลาดเกิดขึ้น ปัญหาที่ไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น การต่อสู้ การทำลายกันโดยที่ไม่จำเป็นก็จะเกิดตามมา เราศึกษาเพื่ออะไรกันแน่ ดูตามนี้มันเหมือนศึกษาเพื่อความโง่มากขึ้น ความหลงมากขึ้น ไม่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เลยไม่มีสันติภาพ สันติสุขเกิดขึ้น ยิ่งศึกษามากเจริญมากยิ่งไม่มีสันติภาพ ถ้าพิจารณาก็จะมองเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ทำผิดขนาด ถอยหลังเข้าคลองอย่างที่ว่าแล้ว จึงหวังว่าผู้นิยมรักการศึกษา นิยมการศึกษา กำลังทำการศึกษา ตลอดจนสถานการศึกษาจัดการศึกษาจะได้ร่วมกันมองเป็นปัญหาข้อนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เด็กๆ เป็นผู้ใหญ่ควรจะมีสติปัญญาตามอัตภาพ ทีนี้ถ้าไปถือว่าการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมันสูงสุด มันจบ เพราะการศึกษามันต้องเห็นผลสุดท้ายของการศึกษาจัดให้มันถูกต้องจะได้หมดปัญหาในโลก ให้เป็นความถูกต้องเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือสันติภาพ คำว่าสันติภาพฟังง่ายกว่าสันติสุข สันติสุขมักเลยเฟ้อ สันติภาพมันเลยไม่ได้ ยิ่งสันติยิ่งไม่เพิ่ม เมื่อมุ่งหมายถึงสันติภาพต้องมองลึกถึงธรรมชาติ ว่าธรรมชาติต้องการให้มีสันติภาพ ถ้าไม่มีสันติภาพมันจะพินาศฉิบหาย ให้ความหมายหลายๆอย่าง ความหมายที่ร้ายกาจคือมองเห็นได้ยาก มีแต่ความฉิบหายแต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แม้ในสภาพปัจจุบันที่เรามีวิกฤติการณ์ มีความเดือดร้อน ระส่ำระสาย แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ทั้งที่ความจริงมันมาจากความไม่มีศีลธรรม เราไปมองแง่อื่นไม่มองในแง่ของศีลธรรม ความไม่มีศีลธรรมมาจากการศึกษาที่ผิด การศึกษาไม่พอ ที่จริงไม่ใช่ไม่พอ มันมีมากเราไปใช้ทางอื่น ไปศึกษาในทางอื่น ไม่ศึกษาในทางที่รู้จักสันติภาพ ศึกษาแต่เรื่องปากเรื่องท้อง ไม่ได้ศึกษาสันติภาพ การศึกษามันจึงควรเป็นเรื่องสันติภาพ การศึกษาไม่พอ การศึกษามันเฟ้อและเดินผิดทาง โดยเฉพาะอาชญากร ไม่เคยเรียนระดับมหาวิทยาลัย เรียนแค่ ป.4 ดังนั้นการจัดการศึกษามันผิด จบ ป.4สอนเรื่องความรู้อย่างเดียว ไม่สอนเรื่องความรับผิดชอบ รู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือศีลธรรม เรียกว่าการศึกษามันไม่ถูกทาง คนเรียนระดับมหาวิทยาลัยก็มีมากมันควรจะถูกทาง มันก็ยังไม่เป็นไปเพื่อสันติภาพ ยิ่งแยกแขนงเฉพาะวิชาจนรวมกันไม่ได้เรื่องสันติภาพ ยิ่งเรียนยิ่งไกลไปคนละทิศคนละทาง ใครมีหน้าที่จัดการศึกษา มีอำนาจในการจัดการศึกษาก็ต้องรับผิดชอบในข้อนี้ จะให้ใครรับผิดชอบ จะให้ใครไปปรับจะให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ในที่สุดมันก็ไม่ต้องการรู้ความหมายที่จะแก้ไขให้มันกลับไปหาสันติภาพ ความเจริญทางวัตถุ ความเจริญทางอาชีพ เรื่องกิน เรื่องกาม ยัดเยียดเข้าไปตามเดิม การเป็นอยู่ในสภาพเช่นนี้ทางศาสนา เรียกว่าเหยียบย่ำพระเป็นเจ้า ศาสนาที่มีพระเป็นเจ้าถือว่าลบหลู่พระเป็นเจ้า ไม่ทำตามประสงค์ของพระเป็นเจ้า พระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ไม่มีพระเป็นเจ้าต้องพูดว่าลบหลู่เหยียบย่ำสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม เป็นอย่างเดียวกัน เหยียบย่ำศีลธรรมก็ดี เหยียบย่ำพระเป็นเจ้าก็ดี ศัตรูของมนุษย์คือพญามาร มีผลเป็นความสับสนวุ่นวาย วิกฤติการ ไม่มีสันติภาพ ในที่สุด ก็อยากให้มองดูว่าเราก็เป็นนักการศึกษาบ้าง นักศึกษาบ้าง อยู่ในการศึกษาบ้าง ถ้าให้พยายามจับหรือถือว่าการศึกษาให้ถูกต้องเพื่อให้ได้ผลที่ถูกต้องของการศึกษา คือความเป็นสุภาพบุรุษ หรือความมีศีลธรรม แล้วแต่จะชอบคำไหน ถ้าทางศาสนาก็ความมีศีลธรรม แต่ถ้าทางโลกก็ความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงไม่มีอันตราย ใช้ได้ ความมีศีลธรรมก็ไม่มีอันตราย ใช้ได้เหมือนกัน ขอให้เจาะจง มุ่งหมายความมีศีลธรรม หรือความเป็นสุภาพบุรุษ แล้วมนุษย์จะอยู่เป็นสุข ตามชอบ ถูกต้องของมนุษย์ แล้วทุกคนก็จะมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างถูกต้องโดยง่าย แน่นหนาและมั่นคง มีสันติภาพ เป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้เป็นแน่นอน ให้เรามีเจตนาดีต่อทุกคน ช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้ ปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้มันกลับสู่ความถูกต้อง ความเป็นทุกข์ ความโง่ ความไม่พึงประสงค์ทุกอย่างทุกประการก็จะหมดไป มีแต่ความไม่เป็นทุกข์ ความสงบสุข มีสันติภาพอย่างถาวรทุกทิวาราตรีกาล
(ตอนท้ายเป็นสนทนาระหว่างท่านพุทธทาสกับ อ.ประดิษฐ์ โดยท่านพุทธทาสบอกว่า ถ้าจะเอาไปพิมพ์ก็ให้พิจารณาเอง อันไหนจะตัดออกเสียก็ได้ คนพิมพ์รับผิดชอบ ตัดทอนแก้ไขได้)