แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาสฯ- เอาถึงวิทยาศาสตร์หรือจิตวิทยาอะไรก็สุดแท้ แต่ถ้ามันแพร่ไปถึงขนาดวิศวกรรมแล้วก็น่าขัน
คณะแพทย์- ตอนนี้ยังหรอกครับ ยังไม่ถึง คือเราก็กำลังพยายามดันไว้...........นาทีที่ 0.35-0.40 ขณะนี้ เด็กได้รับความรู้นี้ลำพังด้านวิชาการ ทีนี้ทางด้านเกี่ยวกับจิตใจล่ะควรได้รับไหม? อย่างนี้ ถึงจะมากราบเรียนว่าท่านอาจารย์คิดว่าอย่างไร?....
ท่านพุทธทาสฯ- อาตมาขอยืนยันว่าควรอย่างยิ่งที่ทุกมหาวิทยาลัยควรมีแผนกจิตใจ
คณะแพทย์- ครับ แล้วจะทำอย่างไร?
ท่านพุทธทาสฯ- จะทำในรูปของวิชาอะไร? มันก็มีปัญหานิดหน่อย จะทำในรูปของวิชามานุษยวิทยา หรือปรัชญา หรืออะไร หรือจิตวิทยา เดี๋ยวนี้ เขาอายเขานี่ ที่จะให้มีคำว่าธรรมะ หรือศาสนาเข้าไปอยู่ในนั้น
คณะแพทย์- เรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่าใครอาย แต่ทางมหาวิทยาลัยมหิดลคงไม่อาย
ท่านพุทธทาสฯ- ที่คุณไม่อาย ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์นั้นมีแน่ เคยไปเถียงกันหน้าดำหน้าแดงมาทีหนึ่งแล้ว มันมองกันไปในแง่ที่ว่าไม่จำเป็น หรือครึ หรือว่าไปแย่งเวลาของวิชาอื่น เคยประชุมกันมาอย่าง...เถียงกันอย่างเต็มที่แล้ว ไปถามคุณสัญญา ธรรมศักดิ์พวกนี้ดู อาตมาก็ไปประชุม
ถ้าว่าไม่รังเกียจหรือไม่อายที่จะมีคำว่า ธรรมะ หรือศาสนาอยู่ในนั้นก็ดี แต่ทว่าถ้าเด็กๆ มันไม่ชอบ หรืออาจารย์ก็อายอย่างนี้ก็เปลี่ยนชื่อ ก็ให้มีชื่ออย่างอื่นซึ่งไม่อายซึ่งมันมีกันอยู่แล้วก็ได้ เขาไปชอบคำว่า ปรัชญา หรืออะไรทำนองนี้ ทีนี้ ปรัชญาไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติโดยตรง เป็นเรื่องหลักเหตุผลอะไรเสีย ในที่สุดมันก็เกิดผลอันนี้ไม่ได้ เรื่องปรัชญานี้เรียนกันไปเป็นฮิปปี้กันมากกว่า คือมันหนักเข้าๆไม่รู้จะเอาอย่างไรเรื่องปรัชญานี่ ไอ้ที่เรียก ปรัชญา นี้หนักเข้าไม่รู้จะเอาอย่างไรเพราะมันไม่ได้มีอะไรที่แน่นอน เพียงแต่ทุ่มเทความคิดแปลกๆ ลึกๆ เข้าไปรวมๆกันไว้ เด็กก็เอาไม่ถูก
อยากจะพูดนอกเรื่องนิดหนึ่งว่า ไอ้การศึกษาของฝรั่งนี้ มันเป็นในแง่ศึกษาเสียหมด ไม่เกี่ยวกับปฏิบัติ ผลสุดท้ายสรุปอะไรไม่ได้ที่เราจะปฏิบัติ เช่น คำว่า พระเจ้า หรือ คำว่า ศาสนา เองนั้น ศาสนาคืออะไร? พระเจ้าคืออะไร? อย่างนี้ มันมีหลาย หลายพัน หลายพันหัวข้อ หรือทฤษฎี Item นาทีที่ 3.40 ต่างๆ คือ ดูไอ้หนังสือชุดที่เขาว่าดีที่สุด ของ Britannica : The Great Book of the West นี้ ยาวตั้งวาหนึ่ง ๕๐ กว่าเล่ม ตั้งแต่ Home’s Iliad นั้นมาจนถึงปัจจุบันหยกๆ นี้ Goethe’s Faust อะไร อยู่ชุดนี้หมด ก็เป็นนักปราชญ์ หรือว่ามหาปราชญ์ หลายร้อยคน แล้วคนหนึ่งว่าเกี่ยวถึง God นี้ว่าอย่างไร? รวมทั้ง Bible ด้วยนะ Bible ทั้งหมดด้วยเลยในชุดนี้ที่เอามาอ้างถึง
ทีนี้ความคิด หรือความเห็น หรือความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับคำว่า God คำเดียวนี้ เมื่อมารวมเข้าหมดทุกๆมหาปราชญ์อย่างนี้มันหลายพันแง่นะ เด็กจับไม่ถูกว่า God คืออะไร? เอามาเทกองไว้ตรงนี้หลายพันแง่ อย่างอาตมานี้ก็ยังจับของเขาไม่ถูก จะเขาให้เอาความหมายคำว่า God ว่าอย่างไร? แล้วเด็กนักเรียนนี่ยิ่งไม่มีหวังเลย นี่มันดีกันเกินไปมัน มากเกินไปอย่างนี้ จนว่าฝรั่งเองก็ไม่รู้ ว่า God คืออะไร? แล้วเดี๋ยวนี้ก็ว่า God ก็ตายแล้ว คือทิ้งไปเลย แต่ในตำรานี้มี เขาก็บอกที่มาให้เลยว่า God ของ Homer อยู่หน้านั้นเลขนั้น ของคนนั้นหน้านั้นเลขนั้น หนังสือนั้นหน้านั้นเลขนั้น แม้กระทั่ง Bible เองก็บทนั้น ตอนนั้นเลย
นี่ฝรั่งรู้อะไรมากอย่างนี้ แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เป็นหน้าที่ของคนๆนั้นจะไปเลือกเอาเองว่าจะเข้าใจว่า God คืออะไร? คือ จะสนับสนุนความรู้ของผู้ใดมากกว่า ทีนี้คำว่าศาสนาก็ทำอย่างนั้น แม้แต่คำว่าการเมืองก็ทำอย่างนั้น ว่าประชาธิปไตยก็มีอย่างนั้น มันเป็นในแง่เทกระจาดให้คิดนึกเอาเอง แล้วก็วางไว้ในรูปที่เป็นปรัชญา ดูสิ ยิ่งเจริญมากขึ้นก็ยิ่งไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไรนะ จนกระทั่งว่าตายแล้ว เลิกแล้วนะ นี่โลกไม่มีพระเจ้า หรือว่าไม่มีศาสนามากกว่า มันเป็นปัญหาที่หนักมากอยู่ตรงนี้ที่ว่าคนจะไม่มีศาสนานี้เอง คนในโลกนี้ เพราะฉะนั้น ศาสนานั้นไม่ใช่ปรัชญา มันคนละรูป ที่ประเทศไทยกำลังจะตามหลังฝรั่ง คือจะไม่มีสิ่งที่เราเคยกลัว เคยถือเป็นหลักที่ว่าจะต้องกลัว กลัวบุญ กลัวบาป หรือว่ากลัวพระเจ้านี้ มันจะหมดไปด้วยกัน ศาสนาเหลือแต่คำพูดแง่ปรัชญา ไม่มีผลทางจิตใจ คือคนจะกลัวบาป และอยากได้บุญ และปฏิบัติ หมด.. หมดสิ่งที่เรียกว่าทำให้กลัวบาปหรือได้บุญ หรือเพื่อจะได้บุญ มันเปลี่ยนมาเป็นวัตถุ ได้เงิน ได้เกียรติ เขาก็ว่าดี ทีนี้ปัญหาก็เลยเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับเด็กๆ นี่คือไม่มองกันให้ลึกจนถึงว่ามีประโยชน์หรือจำเป็นอย่างยิ่ง
คณะแพทย์- อันนี้เป็นเพราะว่าเราไม่ได้สอนในโรงเรียนหรือว่าอะไรด้วย?
ท่านพุทธทาสฯ- มันสอนในรูปของปรัชญา หรือในรูปความรู้ ไม่เป็นตัวศาสนาสำหรับปฏิบัติ พวกฝรั่งเดี๋ยวนี้ก็ต้องการว่า อะไรจะมาแทนพระเจ้า หนังสือเมื่อเร็วๆนี้ก็เห็นหลายหัวข้อ Reader’s Digest นั้นยิ่งตะโกนใหญ่ว่าอะไรจะมาแทนพระเจ้าให้แก่เด็กๆ เมื่อเด็กถือว่าพระเจ้าตายแล้วหรือไม่มีจริง? อะไรจะมาแทนที่สิ่งนี้ให้แก่เด็กๆ?นี่คือไม่รู้ว่าพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ตายไม่ได้ คือไม่ตาย พ่อมันก็ถือว่าพระเจ้าตายแล้วตั้งแต่เด็กๆ ทีนี้ปัญหามันเกิดขึ้นที่เด็กๆมันเลวลงในทางจิตใจ จะเอาอะไรมาให้เด็กๆแทนพระเจ้า นี่คือปัญหาใหญ่มันมีขนาดที่ว่า ผู้ใหญ่ก็เห็นว่าพระเจ้าตายแล้วเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้แล้วมันยากนะที่ว่ามนุษย์จะมีศาสนา เมื่อมีความคิดอิสสระมันก็นำไปสู่การเป็นฮิปปี้ เป็นอะไรกันตามอิสระ ถ้าประเทศไทยเดินตามหลังกันในแนวนี้ก็ลำบากที่สุด หรือจะไม่ค่อยมีหวัง เพราะว่าตามหลังฝรั่งจนหลับหูหลับตา ถ้าฝรั่งมีพระเจ้า มีศาสนา โลกนี้ก็ดีกว่านี้ ทีนี้มันมีไม่ได้เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ จนเห็นเป็นของไม่จำเป็น หรือว่าขัดหลักวิทยาศาสตร์อย่างนี้
ทีนี้ ข้อใหญ่ใจความสำคัญก็คือจะต้องให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา กันนี้ ให้ถูกต้องจนถึงกับมองเห็นว่า มันจำเป็นที่สุดสำหรับคนทุกชนิด ทุกแบบ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกแขนงวิชา มันต้องแยกออกเป็น ๒ แขนงเสมอไป ที่ว่า
ทีนี้ ถ้าเรามีทุกสาขาในมหาวิทยาลัย ก็ต้องสำหรับคนทั่วไป มิฉะนั้นก็ต้องแยกเป็นสำหรับแพทย์ สำหรับวิศวะ หรือ สำหรับนักกฎหมาย หรืออะไรไปเลย ก็ต้องมีมากขึ้นไปอีก แต่สำหรับคนทั่วไปที่มีชีวิตทุกคนนี้ให้มันแน่กันก่อน ให้มันแน่เสียก่อนว่ามันช่วยได้อย่างไร? อย่างน้อยก็ให้มองเห็นว่า ทุกคนรู้ว่าเกิดมาทำไม? จะต้องได้อะไร? ในฐานะคนทั่วไป? ทีนี้ถ้าเราเป็นแพทย์ มันก็ต้องมีหลักธรรมะส่วนที่ช่วยให้แพทย์ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีที่สุด แล้วสนุกสนาน ไอ้คำนี้เขาไม่ค่อยเล็งถึงกัน คำว่า สนุกสนาน แปลไม่ออกจะเกิน สนุกสนาน แปลว่า ไม่มืดมัว ไม่เป็นทุกข์ ไม่ประหม่า ไม่เร่าร้อน อะไรอย่างนี้ ปฏิบัติหน้าที่ของตนไปโดยความรู้สึกอย่างนั้น
สำหรับธรรมะนี่ ถ้าเราดูโดยหลักใหญ่ๆที่สุด มันพูดได้อย่างวิทยาศาสตร์ว่าสิ่งที่ทำให้ใจคอปกติ คงสภาพนี้คือ ไอ้สิ่งที่มันช่วยให้คนเรามีใจคอปกติ หรือ Balance อยู่ตามสภาพ หมายความว่า คนในโลกนี้มีจิตที่เสียศูนย์ เสียสภาพปกติอยู่ตลอดวัน คือว่าไอ้นั่นเข้ามา ไอ้นี่เข้ามา ไอ้โน่นเข้ามา มาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มาทำให้เกิดความรู้สึกที่เอียงไปในทางชอบ หรือ รัก นี่อย่างหนึ่ง แล้วก็เกลียด หรือ ไม่ชอบ อึดอัด ขัดใจก็อย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ใช้ไม่ได้ คือจิตใจในทั้งสองลักษณะนี่ใช้ไม่ได้ สำหรับที่จะปฏิบัติงานอะไรก็ตาม งานออฟฟิศชนิดไหนก็ตาม ถ้าใจคอมันสูญเสียสภาพปกติเดิมอย่างนี้ คือ รัก หรือ โกรธเสียแล้ว พอใจ หรือไม่พอใจเสียแล้ว ก็เป็นการทำผิดทันที ไม่มากก็น้อยในการที่จะพูดอะไรออกไป หรือสั่ง หรือรับปฏิบัติอะไรก็ตาม ไอ้คำว่าใจคอปกตินี้คือความมุ่งหมายของธรรมะทางศาสนาที่เขาเรียกว่า ไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสเกิดขึ้นมา
ในบางพวกหรือส่วนมากแล้วเขาถือว่ากิเลสเกิดอยู่เป็นปกติ ส่วนเราบอกไม่ใช่ กิเลสนี้เพิ่งเกิดเมื่อมีอะไรเข้ามา เพราะฉะนั้น ระวังอย่าให้มันเข้ามาทำให้จิตสูญสภาพปกติ กิเลสหรือแม้แต่อวิชชาอะไรก็ตามเพิ่งเกิด นอกนั้นถือว่าไม่ได้เกิด คือ เรามีใจคอปกติ ฉลาดอยู่ในตัวมันเองตามการศึกษาที่มีมา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจิตที่ปกติเถิดมันรู้ว่าควรทำอย่างไร อย่างหมอจะผ่าตัดอย่างนี้มันต้องผ่าตัดด้วยใจคอปกติที่สุดใช่ไหม? ที่สุดได้เท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าไปรัก หรือไปเกลียดคนนั้น หรือไปรักคนนั้น รักมากเกินไป หรือว่าจะได้เกียรติในการมีฝีมือนี้ก็ตาม นี่ก็ใจคอไม่ปกติแล้ว ถือตามหลักธรรมะก็ใช้ไม่ได้ ถือว่าไม่มีธรรมะเพื่อจะทำการ เช่น ผ่าตัด อย่างนี้เป็นต้น
เพราะเราถือหลักธรรมะนี้คือสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์มีใจคอปรกติ แม้แต่ความตายมาจ่ออยู่ตรงหน้า หรือแม้ว่าเจอเสืออย่างนี้ในป่า ก็ต้องมีใจคอปกติ คือไม่กลัวนะ ไม่รู้สึกกลัว ที่จะขึ้นต้นไม้ก็ตาม จะวิ่งหนีก็ตาม จะชกเสือก็ตาม ก็ต้องมีใจคอปกติ นี่คือความต้องการของธรรมะเป็นอย่างนี้ ทีนี้ ที่เรียกว่าไม่หวั่นไหวในโลกธรรม คือแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายนี้ฝ่ายได้ ฝ่ายนี้ฝ่ายเสีย ได้ลาภ ได้ยศ ได้นินทา ได้สรรเสริญได้ ฝ่ายนี้ได้ ฝ่ายนี้เสียไป นี่คือสิ่งที่ทำให้ใจคอไม่ปกติ ธรรมะต้องการจะให้มีอำนาจเหนือโลกธรรม ก็คือมีใจคอปกตินั่นแหละ แล้วก็จะรู้เองว่าควรจะทำอะไร? ควรจะทำอย่างไรด้วย? เท่าใด? ไปมองดูก็จะเห็นว่ามันจำเป็นที่สุดสำหรับคนทุกคน ถ้าเราไม่รู้ไม่ชี้ หรือไม่ประสีประสา ว่าจะใช้ธรรมะกันในลักษณะนี้ แล้วมีคำว่าศาสนาสำหรับทำพิธีรีตองเท่านั้นแหละ ทุกหนทุกแห่ง ที่ไหนก็ตามใจ ที่มหาวิทยาลัยก็ตามใจ เป็นดงของนักศึกษา นักผู้มีปัญญาก็ยังทำศาสนาเป็นเพียงพิธีรีตองเท่านั้น ไม่ถึงตัวศาสนาจริง ไม่มีตัวธรรมะจริง
ฉะนั้น พยายามให้ทุกคนรู้จักสิ่งที่เรียกว่าศาสนานี้ให้มันถูกตัวศาสนา ให้ถูกต้องและก็ให้พอด้วย ให้เพียงพอด้วย เดี๋ยวนี้ไม่ต้องพูดถึงเพียงพอ เพราะมันไม่ถูกต้อง มันกลายเป็นพิธีรีตอง ซึ่งไม่ใช่ตัวธรรมะ อีกทางหนึ่งก็ไปลิบไปเลย เป็นนักปรัชญาไปเลย อย่างมหาวิทยาลัยสงฆ์นี้กำลังหลับหูหลับตาไปทางนี้ กำลังหลับหูหลับตาจะให้นักศึกษา นิสิตนี้กลายเป็นผู้แตกฉานในทางเป็นปรัชญาที่เกี่ยวกับศาสนา ไปเอาปรัชญาในโลกทุกๆอันมาสอน แล้วสอนพุทธศาสนาก็สอนไปในรูปปรัชญา ซึ่งไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติจิตใจ มันบอกได้เหมือนกันว่าจิตใจเป็นอย่างไร? คืออะไร? ทำไมจึงต้องปฏิบัติ? แต่แล้วมันก็ไม่มีหลักปฏิบัติหรือแนวปฏิบัติโดยตรง นี่เรียกว่าไม่มีศาสนา มีแต่ Theory อย่างมาก แล้ว Theory นี้ก็พร่ากันอย่างที่ว่านี้แหละ จนไม่รู้จะเอาอันไหนเลย เรื่องปฏิบัติลงไปตรงๆเลยก็ไม่มี ฉะนั้นผลจากศาสนาจากธรรมะก็ไม่มี คือทุกคนไม่สามารถจะมีใจปกติ ดูพระ ดูเณร ดูอะไรก็ตาม ดูเถิด มันมีใจที่หวั่นไหวไปตามสิ่งมาแวดล้อม สิ่งที่มากระทบ
ทางที่ดีทุกมหาวิทยาลัยจะต้องสอนให้เข้าใจเรื่องนี้ว่า ศาสนานี่มันอยู่ที่ตรงไหน? ว่าศาสนานี้ไม่ใช่คำสั่งสอน ทีนี้มันยากตรงที่ว่าเราไปใช้คำว่าศาสนาเข้า ศาสนา แปลว่า คำสั่งสอน แต่ตัวศาสนาแท้ๆไม่ใช่คำสั่งสอน คือ ตัวการปฏิบัติที่ถูกตามเรื่องของธรรมชาติ สำหรับพระพุทธเจ้าจะพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าศาสนานี้ในสมัยโน้น พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดหรือใช้คำว่าศาสนาเลย ใช้คำว่า พรหมจรรย์ นี้ หรือใช้คำว่า ธรรมวินัย นี้ ธรรมะ ก็คือ ปฏิบัติส่วนจิตใจ วินัย ก็คือ ส่วนรอบนอกนี้ เรียกว่า ธรรมวินัย นี้ แกเข้ามาบวชใน ธรรมวินัย นี้ ถ้าเดี๋ยวนี้ก็เรียก แกเข้ามาบวชใน ศาสนานี้ ศาสนาธรรมนี้ แต่ส่วนมากใช้คำว่า พรหมจรรย์ - พรหม แปลว่า ประเสริฐ - จรรย์ นี้คือ จริยา พรหมจริยา มาประพฤติ พรหมจริยา เพื่อทำลายความทุกข์กันเถิด นี่ท่านก็พูดอย่างนั้น ไม่ใช่มาในศาสนานี้ซึ่งยังไม่รู้พระธรรม
เพราะฉะนั้น หลักสูตรอันหนึ่งก็จะต้องมีการทำให้เด็กนี้รู้ว่า ที่เราเรียกกันว่าพุทธศาสนานั้นคืออะไร? แล้วค่อยเปรียบเทียบ ถ้ารู้แก่นหรือหัวใจของพุทธศาสนาแล้วจะเหมือนกันทุกศาสนาเลย จะต่างกันเพียงระดับเท่านั้นเอง แต่ความมุ่งหมายเหมือนกันหมด คือ ทำลายไอ้อันนี้ ทำลายจิตใจที่ไม่สมดุลนี้ คือ ทำลายความเห็นแก่ตัวนี่เอง พุทธ คริสต์ อิสลาม อะไรจะต้อง ทุกศาสนาละกัน จะต้องทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ศาสนา ต้องปฏิบัติอยู่ด้วย ถึงกับทำลายความเห็นแก่ตัวด้วย โลกเดี๋ยวนี้ปัญหาโลกทั้งโลกคือความเห็นแก่ตัว มองให้เห็นข้อนี้ก่อนสิ ใครก็เห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที ประชาธิปไตยก็เห็นแก่ตัวจัด คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัวจัด ทุกคนก็เห็นแก่ตัวจัด มันจึงมีปัญหาที่ว่าโลกนี้จะรบราฆ่าฟันกันไปเรื่อย ไม่บรรเทาความเห็นแก่ตัว แต่พอไปเหลือบไปดูศาสนาจะเห็นว่ามันมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัวทุกศาสนา ตั้งแต่สูงสุดไปถึงต่ำสุดก็มีไปตามระดับ ถ้าทำอย่างอื่นไม่ได้ก็ให้เห็นแก่พระเจ้าเถิด พระเจ้าว่ายังไง ยังไงก็ทำตามนั้นเถิด ทำอย่างนั้นได้มันจะไม่มีความเห็นแก่ตัวเอง คิดดูว่าถ้าเราเห็นแก่พระเจ้า ทำอะไรก็มอบให้พระเจ้า มันเห็นแก่ตัวไม่ได้ ลักก็ไม่ได้ ขโมยก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้เพราะพระเจ้าไม่ต้องการ เพราะฉะนั้น ในศาสนาอิสลามจึงย้ำเพื่อเห็นแก่พระเจ้านี้ทุก Paragraph เลย ขึ้นหัวลงท้ายก็เห็นแก่พระเจ้า แล้วพระเจ้าก็มีชื่อให้เรียกแปลกๆกันไปตามกรณีที่จะต้องการจะพูด จึงมีคำว่า พระเจ้า ตั้งหลายสิบคำ ตั้งร้อยกว่าคำ นั้นมุ่งหมายให้ทำลายความเห็นแก่ตัวทุกศาสนา
แล้วศาสนาอย่างคริสต์ศาสนานี้ คำพูดมันพูดไว้ในรูปที่ต้องตีความ ถ้าไม่ตีความแล้วมันเป็นเรื่องบ้าที่สุดเหมือนที่เด็กๆเขาคิดกัน เด็กๆว่าพระเจ้าไม่ได้มีจริง ตายแล้วก็มี เพราะมันตีความคำว่า พระเจ้า ผิด บรรทัดแรก หน้าแรกของ Bible คัมภีร์แรก คัมภีร์เก่านั้นมันก็มีข้อความชนิดนี้ที่เด็กจะไม่ยอมรับ วันที่ ๑ พระเจ้าสร้างแสงสว่าง วันที่ ๔ สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แล้วเด็กที่เล่าเรียนมาอย่างเดี๋ยวนี้มันจะคิดจะเชื่ออย่างไรได้ เพราะเขาตีความคำว่าแสงสว่างนั้นไม่ถูก ใช้คำว่า Light เฉยๆ แปลจากภาษากรีก ซึ่งแปลจากภาษาฮิบรูนี่มาเป็นภาษาอังกฤษว่า Light นี้ถูกแน่ แปลถูกแน่ แต่ตีความนี้เดี๋ยวนี้เข้าใจไม่ถูก วันที่หนึ่งสร้าง Light ไอ้ Light นั่นนะ คือ กฎของธรรมชาติ พระอาทิตย์ พระจันทร์นี้เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติในวันที่ ๔ หรือยุคที่ ๔ Light นี้ไม่ใช่แสงอาทิตย์ ไม่ใช่ Physical Light มันคือกฎของธรรมชาติ เป็นความหมายอีกอันหนึ่งซึ่งจะทำให้สิ่งต่างๆเป็นไป เหมือนกับว่ามันนำทางไปแล้วนี้
แล้วเรื่องมนุษย์ Adam กับ Eve คนแรกเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น ถ้าตีความไม่ตรงแล้วมันจะเป็นเรื่องนิยายที่น่าหัวเราะเยาะ ที่จริงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่บอกถึงประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดของมนุษย์นะ ทีนี้ คัมภีร์ใหม่มาถึงยุคพระเยซูแล้ว คัมภีร์ใหม่เรื่อง Johan นี้ ไอ้สิ่งที่มีอยู่แรกที่สุด จุดตั้งต้นนั้นคือ The Word คำพูดนี้ มันไม่เข้าใจว่าThe Word นี่คืออะไร? แม้ฝรั่งบาทหลวงที่มาสอนศาสนาเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร อธิบายคำว่า The Word นี้ไม่รู้ว่าอะไร? แล้วก็พาลไม่อธิบาย ก็แปลว่า คำ ไปเฉยๆ ไปอ่านดูที่เขาแจกที่เขาขายนะ แรกที่สุดมีพระคำ พระคำนั้นคือThe Light พระคำนี่ Light, God นี้คือสิ่งเดียวกัน พระคำมีอยู่ก่อน God ถ้าเอาตามตัวหนังสือนี้ ไอ้ Word นี้คือ กฎธรรมชาติ คือ Light อย่างเดียวกับที่คัมภีร์เก่าพูด แล้วอันนี้คือ God เพราะฉะนั้น กฎธรรมชาตินั้น คือ God ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมดา แต่เขาไม่ยอมพูด พวกพระคริสเตียนจะไม่ยอมพูด เขาจะให้ศาสนานี้แพ้แก่วิทยาศาสตร์ไป คือกฎธรรมชาติมันเป็นเรื่องตรงๆเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมพูด แล้วทีนี้เราเลิกปัญหาปลีกย่อยอันนี้เสีย แล้วตัดรับไปว่า God ต้องการให้คนทำอะไร? ถ้าไม่ยอมเชื่อประวัติส่วนเกี่ยวกับ God ก็ไปตัดตรงว่า God ต้องการให้คนทำอะไรก็แล้วกัน มันถึงจะได้มีประโยชน์ที่สุด ไปดูให้เห็นความมุ่งหมาย มันลึกมาก ว่า God สร้างโลกขึ้นมาแล้ว สร้างอะไรขึ้นมาพร้อมแล้ว กระทั่งสร้างมนุษย์คู่นี้ขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ยอมให้มันรู้เรื่องดี เรื่องชั่วนั้น เคยอ่านหรือเปล่า Bible พอมันรู้เรื่องดีเรื่องชั่ว God บัญญัติ วันนี้มึงตาย คือ ตั้งต้นเป็นทุกข์ ทีนี้ฝรั่งมันไม่เข้าใจ เพราะฝรั่งมันโง่เกินกว่าที่จะเข้าใจว่า ทำไมคนจะต้องเป็นทุกข์และตาย เพราะไปรู้เรื่องดี เรื่องชั่ว มันเขียนชัดนะ Tree of Knowledge of Good and Evil ต้นไม้แห่งความรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว มันมีอยู่ในสวนของพระเจ้า ต้นแรก ต้นอันหนึ่ง ต้นสำคัญ พระเจ้าไม่ให้กินบอกว่า อย่ากินเข้าไป กินเข้าไปแล้วจะตาย ต่อมาไอ้สองคนนี้มันว่างู งูมันล่อลวงให้กิน พระเจ้าพูดไม่จริงหรอกให้ลองกิน พอมันกินเข้าไป พอกินเข้าไปแล้วมันรู้ดี รู้ชั่ว คือรู้ไอ้ Pair of Opposite ทุกคู่ ดี-ชั่ว บุญ-บาป หญิง-ชาย สุข-ทุกข์ ได้-เสีย แพ้-ชนะ นี้ มันรู้ไปหมด นั่นแหละ คือจุดตั้งต้นของความเป็นทุกข์ของมนุษย์ คือ มีเรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องดี เรื่องชั่ว ทีนี้ เด็กๆมันอ่าน Bible มันไม่ตีความอย่างนี้ มันถือว่าเป็นเรื่องโกหกไปหมดที่ไม่เห็นตายนี่ ไอ้ผัวเมียคู่นี้ไม่เห็นตายนะ พระเจ้าว่าตาย พระเจ้าก็โกหกซิ แต่เรื่องแท้จริงเขาต้องการจะพูดว่า ตายนี่คือ ลงมือเป็นทุกข์ แล้วก็เป็นทุกข์จริงๆแหละ มนุษย์ก่อนที่จะรู้จักเรื่องดี เรื่องชั่ว มันไม่มีความทุกข์หรอก มันคล้ายๆกับจะไม่มีปัญหาเรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องเขา เรื่องเรา ไม่มี ไม่มีทั้งนั้น ที่ว่าวันหนึ่งนั้นคือยุคหนึ่ง มนุษย์เกิดมีความรู้เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องมันก็เขียนไว้ชัดนะ พระเจ้าเรียกก็ อ้าว, ทำไมไม่ออกมา? วันนี้ไปไหน? มันซ่อนอยู่ในป่ารก บอกว่าไม่ได้นุ่งผ้า พระเจ้าก็รู้ว่า อ้าว, นี่มันกินผลไม้ที่ห้ามนี้เข้าไปแล้ว มันจึงรู้ว่าเปลือยอย่างหนึ่ง นุ่งผ้าอีกอย่างหนึ่ง มันเลยเกิดอายขึ้นมา ไม่ออกมา พระเจ้าจึงเรียกมาเอ็ดใหญ่ ลงโทษแล้วก็หาหนังสัตว์ให้นุ่ง ก่อนนี้มันนุ่งใบไม้ เอาใบไม้ปิดมานิดหนึ่ง อายพระเจ้า แล้วก่อนนั้นทำไมไม่อายเล่า? ก่อนนั้นทำไมเดินโทงๆมาหาพระเจ้ามาติดต่อกันเป็นปรกติ เพราะกินผลไม้ต้นนี้เข้าไป
มันเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดของมนุษย์ ทางจิตวิทยา ทางมนุษย์วิทยาอะไรก็ได้ ความทุกข์ตั้งต้นเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จัก Pair of Opposite ได้-เสีย ดี-ชั่ว บุญ-บาป สุข-ทุกข์ หญิง-ชาย นุ่งผ้า-ไม่นุ่งผ้า อะไรก็ตาม ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคู่ ก่อนนี้มันไม่รู้ นี่เป็นคัมภีร์ที่ดีที่สุด ที่ฝรั่งกลับไม่สนใจ ที่มันจะแก้ปัญหาเดี๋ยวนี้ได้ เพราะมนุษย์นี้ที่มันบ้ารบกันอะไรกันนี้ เพราะมันไปมีอุปาทานในเรื่องคู่ๆนี้ ได้-เสีย ชนะ-แพ้ บุญ-บาป สุข-ทุกข์ ทีนี้ มันยังมีอีกต้นหนึ่ง Tree of Life ในสวนนั้น ที่พระเจ้าเห็นว่าไอ้มนุษย์นี้เริ่มดื้อแล้ว ไม่เชื่อฟังแล้ว ที่เคยห้ามว่าอย่ากินก็ไปกินเสียละ เดี๋ยวมันจะไปกินผลไม้ต้นที่สอง Tree of Life แล้วมันจะมี Eternal Life แข่งกับพระเจ้า หรือเป็นพระเจ้าเสียเอง ก็เลยห้าม เทวดาถือดาบแกว่งรอบต้น มนุษย์เข้าไม่ถึงต้นไม้ต้นนี้ นี้คือเรื่อง โลกุตตระ หรือ นิพพาน ในพุทธศาสนาที่มันจะไปต่อไปอีก ไปต่อไปอีกจนถึงกับว่า ทั้งดี-ทั้งชั่วกูไม่เอาแล้วโว้ย เอาให้อยู่เหนือดี-เหนือชั่ว จึงจะดับทุกข์ แต่เขาเขียนไว้ในรูปพระเจ้าห้ามไม่ให้กินได้โดยเด็ดขาดนั้น มันมีความหมายเพียงว่ามันสูงเกินไป เกินที่ว่ามนุษย์จะเข้าถึงในยุคนั้นโดยเฉพาะ ทีนี้เขาก็มาเขียนดูถูกมนุษย์มากถึงอย่างนั้น เขียนว่าพระเจ้าห้ามซะเอง จนกว่าจะมาถึงยุคพระพุทธเจ้า หรือยุคพระเยซูนี้ ไอ้ Old Testament นี่ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปีก่อนโน้น ตั้งแต่ยุคมนุษย์ไม่นุ่งผ้า ทีนี้มาถึงยุคพระเยซู มาถึงยุคพระพุทธเจ้าดีกว่า เพราะไม่มีใครสอนแปลกไปกว่าพระพุทธเจ้า เรื่องที่จะอยู่เหนือดี เหนือชั่วจนไม่ทุกข์ นี่คือนิพพาน คือโลกุตตระ ถึงพระเยซูก็สอนทำนองนี้ สอนให้หมดตัว อย่ามีตัว อยู่กับพระเจ้า ถึงพระเจ้า เป็นอันเดียวกับพระเจ้า นี่เป็นคำสอนของพระเยซู เหมือนกับให้ได้กินผลไม้ต้นที่สองของพระเจ้ามี Eternal Life ขึ้นมา พระเยซูจึงพูดถึงแต่คำว่า Life, Life นี้มากที่สุด แต่ก็หมายถึงเป็น Eternal Life ทั้งนั้น ให้สละชีวิตเสียแล้วจะได้ชีวิต ใช้คำๆเดียวกันอย่างนี้ เด็กก็ยิ่งฟังไม่ถูก นั่นแหละคือข้อที่ฝรั่งโง่ที่สุด ไม่เอาประโยชน์อะไรได้จากคัมภีร์ Bible หรือ ศาสนาของตัว ซึ่งสอนเรื่องให้ทำลายความเห็นแก่ตัว แล้วขึ้นถึงขั้นสูงสุดคือโลกุตระ เหมือนกัน เมื่อมันไม่เข้าใจก็ว่าเรื่องนี้เป็น Mythology ตัดทิ้งไปเลย ถ้าเข้าปฏิบัติที่เหมือนกับพุทธศาสนาที่อยู่ใน Bible, New Testament นี้เหมือนกันเลย อย่ายึดถือว่า มีตัว สอนพวกคนที่ฉลาดกลุ่มหนึ่ง Saint Paul สอนเหมือนกับพุทธศาสนา คือ สรุปคำสอนของพระเยซูมาให้ชาวบ้านถือกันได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ข้อ คือ สอนว่าอย่ายึดถือนี้เอง มีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา นี่คือเรื่อง อนัตตา ในพุทธศาสนา มีภรรยาก็จงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยา ไม่ได้ห้ามว่าอย่ามีภรรยาหรือไม่ให้ทำอะไรกับภรรยา แต่ต้องมีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยานี้ มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข มีความทุกข์ก็จงเหมือนกับไม่มีความทุกข์ ซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา มันฟังไม่ถูกทั้งนั้นแหละ นี่แหละ มันเป็นเรื่องไม่มีตัวกูและของกู
ทีนี้ มาถามพวกหมอสอนศาสนาเองว่าคุณว่ายังไง? คุณอธิบายว่ายังไง? นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เคยนึกไม่เคยสนใจในข้อความเหล่านี้เลย อู้อี้ อู้อี้ หันหน้า หันหลัง ในที่สุดบอกว่า ผมไม่เคยสนใจ ดูสิ,กล้าพูดขนาดนี้ ไม่เคยสนใจข้อความตอนนี้ แล้วมันก็อยู่ไปทางปลายๆของคัมภีร์ใหม่ คือ Polynesian ว่าพระเยซูตายแล้ว เป็นการเอามาสอนให้ปฏิบัติทั้งหมดอีกที ทีนี้อาตมามาเลยบอกเขาว่า นี่ นี่คือหัวใจของพุทธศาสนาทีมาอยู่ใน Bible ของคุณรู้ไว้บ้าง คือ มายึดถืออะไรว่าเป็นเรา หรือ เป็นของเรา ก็เลยนั่นกันใหญ่เอะอะกันใหญ่เดี๋ยวนี้ การไปแสดงปาฐกถาที่เชียงใหม่คราวนั้น ๓ ครั้งกับพวกคริสเตียนนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแยะในการใช้คำพูด ในการอะไรกันใหม่ๆนี้ คำว่า The Word นั้นเดี๋ยวนี้แปลว่า พระธรรม แล้ว ที่จะแปลว่า พระคำ นี้เปลี่ยนเป็น พระธรรม At the beginning the word was …..ตัวของเขานั้น ไอ้ The Word นั้นก่อนนี้ก็แปลว่า พระคำ บ้าง พระโอวาท บ้าง เดี๋ยวนี้แปลว่า พระธรรม ฉบับหลังๆ จับศีล ๕ ไปพูดแล้ว
ทางพุทธเราก็มีอย่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าธรรมะมีอยู่ก่อนสิ่งใดโว้ย นี่พูดอย่างนี้เลย ธัมโม หะเวตา สุระโคตร พิ บุพเพ นาทีที่ 33.30 ธรรมะมีอยู่ก่อนสิ่งใดหมด มันก็ไปเข้ากันกับพวกนั้นเลย At the beginning the word was พระธรรมในที่นี้ไม่ใช่คำสอน-ให้รู้ไว้ พระธรรม คือ กฎของธรรมชาติ เพราะว่า กฎของธรรมชาตินั้นภาษาบาลีเรียกว่า ธรรม เฉยๆ ธรรม คือ ธรรมชาติ คือ กฎของธรรมชาติ มันเลยเหมือนกันขนาดนี้ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องแบ่งแยกศาสนาแล้วเป็นข้าศึกกันเหมือนที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้ พวกนี้มาในฐานะเป็นปรปักษ์ ทำลายพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เพื่อประโยชน์แก่คณะของตัว มนุษย์จึงแย่ เพราะว่าผู้ที่เป็นผู้สอนศาสนาเองกลับเป็นผู้ที่จะวิวาทกันเสียเอง ทำลายกันเสียเอง แล้วจะไปช่วยคนให้หยุดวิวาทได้อย่างไร
ที่พูดยืดยาวนี่เพื่อจะให้สรุปสั้นๆข้อเดียวว่า ทุกศาสนามันใช้ได้ คือว่าต้องการที่จะให้ทำลายความเห็นแก่ตัว ความรู้สึกที่เป็น ตัวกู หรือ ของกู ทุกชนิดเลย เพราะว่าถ้ามันเนื่องจากเรื่อง Egoistic แล้วก็ต้องเลิกละกันหมดเลยทุกศาสนา ทีนี้ในพุทธศาสนาก็เริ่มเหลวไหล ไม่สอนเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว สอนแต่พิธีรีตองเท่านั้น เด็กๆในโรงเรียนไหว้พระก็ไม่รู้ว่าไหว้อะไร จดไปท่องไปก็ไม่รู้ว่าอะไร ไอ้การทำลายความเห็นแก่ตัวไม่มี ในการสอนประจำวัน ที่จะให้พูดให้เห็นชัดทุกคราวที่เด็กเห็นแก่ตัวในห้องเรียน หรือจะเอามายืนหน้าชั้นแล้วมาบอกเรื่องความเห็นแก่ตัวนี้ ทุกกรณีที่มันเกิดขึ้นนี้มันไม่มี ถ้าสอนก็ต้องสอนอย่างนั้น ไม่ใช่สอนให้จดลงสมุด ต้องระบุความเห็นแก่ตัวที่มีอยู่ในการกระทำของคนใดคนหนึ่ง ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ในโรงเรียนนี้ แล้วให้อาย ให้ละอาย ให้กลัวความเห็นแก่ตัว ถ้าพูดอย่างพุทธศาสนาก็บอกว่ามันเป็นอันตราย ถ้าพูดอย่างคริสตศาสนาก็ว่าพระเจ้าไม่ยอมให้ทำ พระเจ้าไม่ต้องการ เพราะเขาเชื่อพระเจ้า เพราะฉะนั้น ในพวกคริสเตียนรุ่นแรกๆมันก็ดี มันก็ไม่มีทางที่จะคิดเบียดเบียนใคร มันเชื่อพระเจ้าก็ทำลายเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ยอมแล้ว ที่พระเยซูว่า ถ้าเขาตบแก้มซ้าย ก็ให้ตบแก้มขวาด้วย เดี๋ยวนี้มันว่าบ้า ถึงพระเยซูพูดก็พระเยซูบ้า มันไปเอาคัมภีร์ยิวก่อนพระเยซู สมัยที่ยิวมันอะไรกัน คำพูดที่ว่า ฟันต่อฟัน ตาต่อตา ก็เข้าใจผิด ไอ้ฟันต่อฟัน ตาต่อตา นี้เขาไม่ให้มนุษย์ใช้นะ มันไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์จะไปใช้กฎเกณฑ์อันนี้ มันสำหรับพระเจ้าใช้กับมนุษย์ ถ้าว่ามนุษย์ไม่เชื่อพระเจ้าเท่าไร คือดื้อต่อพระเจ้าเท่าไร พระเจ้าจะลงโทษเท่านั้น นี่เรียกว่าฟันต่อฟัน ตาต่อตา คือพระเจ้าจะทำกับมนุษย์อย่างที่ฟันต่อฟัน ตาต่อตา คือ แกทำผิดนิดหนึ่งฉันก็ลงโทษแกนิดหนึ่ง แกทำผิดมากฉันก็ลงโทษแกมาก ให้สาสมเสมอไป เพราะฉะนั้น ประโยคนี้อย่าเอามาใช้นี่ เดี๋ยวนี้พวกอเมริกันจะเอามาใช้กับพวกคอมมิวนิสต์อย่างนี้มันก็ไม่ได้ มันผิดคำสั่งพระเจ้า ต้องถือตามที่พระเยซูว่า ตบแก้มซ้ายให้ตบแก้มขวาด้วย ขโมยเสื้อไปแล้วให้เอาผ้าห่มไปให้ด้วยนี่ ถึงศาสนาอื่นก็เหมือนกันแหละ เพราะเขาไปยกให้พระเจ้า ทำตามพระเจ้า ปัญหาก็หมด ทีนี้ศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า เช่น พุทธ เช่นเต๋า เช่นอันนี้ มันอยู่ที่ตรงนี้ เหตุผลธรรมดาสามัญที่มองเห็นได้โดยหลักวิทยาศาสตร์ ถ้ามีตัวแล้วไม่ว่าง แล้วก็ทำอันตรายผู้อื่น และเบียดเบียนตนเองด้วย เต๋าก็ต้องการให้เลิก ให้ว่างจากตัวเสีย ให้เลิกตัวเสีย มันคืออันนี้คือ พุทธศาสนา เพราะฉะนั้น รวมความแล้วจะมีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้าก็ใช้ได้ทั้งนั้น เป็นเพียงอุบายว่าจะเอาอะไรเป็นสะพานสำหรับให้คนเลิกความเห็นแก่ตัว
ทีนี้มันเป็นสมัยวิทยาศาสตร์เราก็พูดตรงๆก็แล้วกัน ว่าดูที่ในโลกนี้แม้แต่บนรถ..ในรถประจำทางหรือกลางถนนอะไรนั้น ทีมันฆ่ามันฟันกัน มันระเบิดขวด มันอะไรก็ตาม มันมีมาจากจุดศูนย์กลางเพียงอันเดียว คือ ความเห็นแก่ตัว ทีนี้ ความเห็นแก่ตัวนี้มันมีมากเรื่อง จนกระทั่งสูงสุด จนกระทั่งละเอียดที่สุด จนแทบจะไม่เห็นว่าเป็นบาปก็มี แต่ก็ยังเป็นความทุกข์แก่บุคคลนั้น ถึงไม่ทำอันตรายใครเลย มันจะมีความเผาจิตใจคนนั้นให้เป็นทุกข์ ความเห็นแก่ตัวชนิดละเอียด เพราะฉะนั้น การสอนพุทธศาสนา คือ สอนเรื่องความเห็นแก่ตัว กับการทำลายความเห็นแก่ตัว ควรจะเป็นพื้นฐานสำหรับทุกคน เพราะฉะนั้นทุกมหาวิทยาลัยจะต้องสอนเรื่องนี้ ถ้าเด็กเป็นคริสต์ก็ยกให้พระเจ้า ถ้าเด็กเป็นไทยก็พูดอย่างเป็นปัญญา เหตุผล แต่ผลมันเหมือนกันคือว่าทำลายความเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นพระเจ้าไม่มีวันตายหรอก พระเจ้า คือ กฎธรรมชาติ พระเจ้า คือ The Light พระเจ้า คือ The Word นี้ไม่มีวันตาย ฉะนั้นฝรั่งโง่อย่างที่เรียกว่าบรมโง่ ที่ว่าพระเจ้าตายแล้ว หมดความหมาย หมดความจำเป็น เพราะฉะนั้น โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ เพราะฝรั่งมันนำโลกอยู่นี่เดี๋ยวนี้ มันมีความคิดผิด เข้าใจผิด มันก็นำไปในทางที่ตรงกันข้าม เห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ตัว หาพรรคหาพวกมารักษาความเห็นแก่ตัว
ดังนี้ ควรจะสอนเรื่องนี้วิชานี้แก่นิสิต นักศึกษา ทุกมหาวิทยาลัย ทุกโรงเรียน ทั้งพระ ทั้งฆราวาส แล้วจึงไปคิดถึงการประยุกต์ธรรมะเฉพาะข้อ เฉพาะแก่ผู้ที่จะเป็นแพทย์ แก่ผู้ที่จะเป็นนักกฎหมาย แก่ผู้ที่จะเป็นวิศวะกรอะไรนี้ นั่นอีกส่วนหนึ่งมันมี แต่แล้วก็ไม่พ้นหลักที่ว่า มีจิตที่ปรกติ จิตที่ Balance คือ ปกติ ก่อนที่เราจะพูดอะไร จะคิดอะไร จะสั่งอะไร ต้องมีใจคอปกติ ทีนี้ปัญหามันมีอยู่นิดเดียวที่ว่าเรานี้มีใจคอปกติยาก ตามลำพังเรามันทำไม่ได้ หรือการศึกษาที่มีอยู่ในโลกแล้วตอนนี้ก็ทำไม่ได้ มันต้องไปหาเรื่องที่ทำได้โดยเฉพาะก็คือเรื่องศาสนา ทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้เกิดโลภขึ้นมา ไม่ให้เกิดโกรธขึ้นมา ไม่ให้เกิดหลงขึ้นมา หรือที่กำลังเกิดอยู่นี้จะสลัดออกไปอย่างไร? นี้เป็นเรื่องศาสนาโดยเฉพาะ โดยตรง แล้วก็มีอยู่เท่านี้ ถ้ากิเลสไม่เกิดอีกต่อไปก็คือเป็นพระอรหันต์ ทีนี้เราธรรมดาก็เกิดบ่อยๆ ก็สลัดออกไป ก็ต่อสู้ไปได้ ให้มนุษย์ทุกคนรู้จักเป็นอยู่โดยถูกต้อง พระพุทธเจ้าก็ใช้คำว่าอย่างนี้ เป็นอยู่โดยชอบ เป็นอยู่โดยถูกต้อง สัมมา วิหะเทยยุง ถ้าอยู่กันโดยถูกต้องแล้ว โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ใช้คำที่ฟังดูแล้วเด็กๆไม่เชื่อ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าเป็นอยู่โดยถูกต้องนั้นคืออะไร? เป็นอยู่โดยถูกต้องนั้น คือ เป็นอยู่โดยที่กิเลสเกิดไม่ได้ ความโลภเกิดไม่ได้ ความโกรธเกิดไม่ได้ ความหลงเกิดไม่ได้ ทีนี้พอเป็นอยู่โดยถูกต้องเช่นนี้นานเข้า นานเข้ากลายเป็นนิสัย เกิดไม่ได้จริงๆ ก็เลยเป็นพระอรหันต์ไป ถ้ายังเกิดได้อยู่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังต่ำกว่าพระอรหันต์จนกระทั่งเป็นปุถุชน ที่เกิดเก่ง เกิดมาก
มันไม่ใช่ปรัชญาซึ่งจะต้องอาศัยเหตุผลที่อะไรก็ไม่รู้ มันเป็นวิทยาศาสตร์ที่แสดงอยู่ชัดๆว่า ต้องอย่างนี้ แล้วเห็นอยู่ด้วย เห็นๆอยู่ด้วย มันเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมาอย่างไร? ป้องกันอย่างไร? ไม่ต้องฝากเอาไว้กับคำนึงคำนวณอย่างปรัชญาเลย อันนี้ก็ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่ามันไม่ใช่ปรัชญา ไอ้ศาสนานี้ไม่ใช่ปรัชญา คือ ระบอบประพฤติสำหรับคนเป็นอยู่โดยถูกต้องไม่เกิดกิเลสนี้ ถ้าพูดถึงปรัชญาก็พูดเพียงเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น? แล้วทำอย่างนั้นมันได้แน่ แล้วก็ไม่ได้ทำ แล้วมันพูดมากเกินจำเป็นด้วย - ปรัชญา หรือยิ่งไปตั้งต้นเอาปรัชญาตั้งแต่แรกสร้างโลกมาจนไม่มีเวลาจะปฏิบัติ ความเข้าใจผิดยังมีอยู่ในนักศึกษา แม้ในประเทศไทย แม้ที่เป็นพระที่ดำเนินงานการศึกษานี้ยังเข้าใจพุทธศาสนาว่าเป็นปรัชญา ที่จริงพุทธศาสนา ตัวพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา เป็นตัวศาสนาตามเดิม คือ ระเบียบที่ปฏิบัติด้วยความรู้สึกชัดๆมีเหตุผล มีอะไรไปเรื่อยเพื่อไม่ให้กิเลสเกิดนี้เป็นตัวศาสนา ทีนี้ พวกคริสเตียนก็โง่มานานแล้วเหมือนกัน ที่ไปจัดคริสต์ศาสนาให้เป็นปรัชญาขึ้นมา เพราะโลกนี้ไปนิยมปรัชญา ถ้า Christianity ไม่ใช่ปรัชญามันก็เลวเกินไป เลยพยายามจะพูดศาสนาคริสต์ธรรมนี้ให้เป็นปรัชญาขึ้นมาให้ได้ แล้วก็ให้บาทหลวงเรียนปรัชญาของ Christianity ทีนี้มันก็เลยผิดหลายซับหลายซ้อน มันไม่ใช่เรื่องปรัชญา แล้วจะไปทำให้เป็นปรัชญา แล้วจะเกณฑ์ให้เรียนอย่างเรียนปรัชญานี้ และทั้งพระบาทหลวงก็ไม่เข้าใจ God ว่า God คืออะไร? ไม่เข้าใจ Bible แม้แต่หน้าแรก บรรทัดแรกเลย ซึ่งในนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุด ที่ถูกต้องที่สุด ศาสนาคริสเตียนกลับถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจหน้าหนังสือเหล่านั้น อาตมาเลยไปบอกอันนี้ พูดกันโดยไม่ต้องเกรงใจเลยว่า ถ้าคุณตีเข้าใจความหมาย Bible ถูก คริสเตียน - Christianity นี้เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด เป็นประวัติศาสตร์ทีดีที่สุดว่ามนุษย์เป็นมาอย่างไรโดยถูกต้อง เรื่อง Adam กับ Eve นั่นแหละ และมันเป็นเรื่องจิตวิทยาลักษณะวิทยาศาสตร์เสมอ พอไปหลงเรื่องดี-เรื่องชั่ว มันก็มีความทุกข์เมื่อนั้น กิเลสเกิดเมื่อนั้น ตายเมื่อนั้น ทางพุทธศาสนานี้ก็พูดได้ พอกิเลสเกิดเมื่อไร ถือว่าคนนั้นตายเมื่อนั้น จนจะหมดกิเลสมันก็โผล่ขึ้นมาใหม่ เกิดมามาใหม่ จนกว่าจะมีกิเลสอีกก็ตายอีก คัมภีร์ Bible มันพูดถูกที่สุดแล้ว ว่าถ้าแกรู้เรื่องดี-เรื่องชั่วแกก็ตายทันที คำว่า รู้ นี้คือจะไปยึดถือว่าดี-ว่าชั่ว ทีนี้ความหมายมันกำกวม รู้เรื่องดี-เรื่องชั่วทำไมจะต้องเป็นทุกข์เล่า? ที่จริงแล้วมันควรจะดีสิ มันควรจะมีความสุขสิ ทีนี้ มันมีอยู่สองอย่างรู้เรื่องดี-เรื่องชั่วก็ Intellect เพื่อจะเอาดีไปเปลี่ยนเป็นชั่ว อย่างนี้คือตาย ถ้ารู้ได้จริงๆ Enlightation (นาทีที่ 45.23) - Intuitive Wisdom อะไรก็ตาม คือรู้ โอ้, ดี-ชั่วนี้มันเอาไม่ได้เว้ย อย่าไปเอามาเป็นกู-ของกู จิตให้เป็นอิสระอยู่เสมอ อย่างนี้การรู้เรื่องดี-เรื่องชั่วนั้น คือ ทางให้พ้นทุกข์ จะไม่ตาย คือ Eternal Life ต้นไม้ที่ ๒ นั้นเขาให้รู้ดี-รู้ชั่วว่าเอาไม่ได้ เป็นเรื่องสมมุติ เรื่องบ้า มีภรรยาก็เหมือนไม่มีภรรยา มีทรัพย์ก็เหมือนกับไม่มีทรัพย์ ซื้อของที่ตลาดไม่เอาอะไรมา มันหมายความว่าหิ้วของมาจากตลาดนี่ไม่คิดว่าของฉัน ของพระเจ้า เพราะตัวฉันยังเป็นของพระเจ้าเสียแล้วมันจะมีอะไรเป็นของฉันได้ ฉะนั้นของที่ไปซื้อมาจากตลาดนั้นก็ของพระเจ้า ของที่กินเข้าไปก็ของพระเจ้า ถ่ายออกไปก็ของพระเจ้า Concept ว่า ฉัน-ของฉันนั้นมีไม่ได้ ต้องไม่มี นี่เรียกว่าเข้าใจพระคัมภีร์นั้นถูกต้อง ซื้อของที่ตลาดก็อย่าเอาอะไรมา
ทีนี้เขาไม่เข้าใจก็เลยไม่มีทางปฏิบัติเป็นประจำวันที่จะไม่ยึดถือว่า ของฉัน-ว่าตัวฉัน นั้น พวกฝรั่งถึงเป็นตัวฉัน-ของฉันจัด เพราะการศึกษาในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยล้วนไปส่งเสริมการเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเดี๋ยวนี้ Technology นี้เป็นของที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ไม่ว่า Technology แขนงไหน มันเกิดขึ้นเพราะค้นคว้าให้มันได้มากๆ ถ้าต้องการจะให้สำเร็จให้ได้มากๆนั้นมันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ทีนี้มันต้องมีอีกอันหนึ่งมาเป็นคู่ปรับกันมันถึงจะBalance อันนี้มันเคยเรียกกันมานานแล้ว กระทั่งเดี๋ยวนี้ก็เรียกที่เรียกว่า Spiritual Enlightenment หรือเรียกสั้นๆ ว่า Enlightenment ความเข้าใจสิ่งทั้งปวงอย่างถูกต้องในทางฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายนามธรรม บางทีใช้คำว่า Moral Enlightenment บางทีใช้คำว่า Spiritual Enlightenment อันนี้คือสิ่งหนึ่งซึ่งต้องมีคู่กันกับ Technology เพราะว่าTechnology มันจะพาไปหาความเห็นแก่ตัว ไอ้อันนี้มันจะดึงออกไปจากความเห็นแก่ตัว คือ เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่ธรรมะ อะไรก็ตาม มนุษย์ก็สบายเพราะมีไอ้ของมาทำ Balance กันอยู่ ไม่สูญเสียสภาพเดิม ไม่สูญเสียความปกติของสภาพเดิม เพราะมี Technology ก้าวหน้าทางวัตถุ ทางทำมาหากิน ทางอะไรต่ออะไร เป็นไปดี Spiritual Enlightenment นี้มันก็คุมไว้ไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตัว ทีนี้ความโลภก็เกิดไม่ได้ ความโกรธก็เกิดไม่ได้ ความหลงก็เกิดไม่ได้ มันก็เป็นความถูกต้องอย่างที่พระพุทธเจ้าต้องการ ถ้าอยู่กันโดยถูกต้องเท่านั้น โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ไปสอนให้เด็กๆให้มันรู้จักความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เห็นแก่ตัวมันก็ไม่รู้จัก มันจึงได้บูชาความเห็นแก่ตัว ยิ่งเราสอนกันแต่เรื่อง Technology อย่างเดียวมันก็ตายเลย มันก็เป็นความเห็นแก่ตัวมโหฬาร มหึมาทั้งสากลจักรวาล โลกนี้มันก็เป็นนรก คือ เบียดเบียนกัน รบราฆ่าฟันกัน ถึงจะสอนอะไรกันอีกกี่วิชา มันก็ช่วยให้โลกนี้มีความสงบไม่ได้ จะเรียนกฎหมาย เรียนแพทย์ เรียนอะไรก็ตาม มันก็ทำให้โลกนี้มีความสงบไม่ได้
ทีนี้ถ้าทางการแพทย์เจริญ มันก็คือช่วยให้คนบ้าๆบอๆมีชีวิตอยู่ในโลกมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งรอดอยู่เท่าไหร่มันก็ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่านั้น แพทย์ไปช่วยให้มันรอดตายมาได้ ก็คือช่วยให้มีไอ้ผีเห็นแก่ตัวนี้เพิ่มในโลกตัวหนึ่ง เหลืออยู่ในโลกตัวหนึ่ง แล้วโลกนี้มันก็ยิ่งแย่ลงทุกที อย่างนี้มันต้องแก้ไขคนให้ดีเสียก่อนควรจะมีชีวิตอยู่ในโลก แล้วก็แพทย์จึงมาช่วยอย่าให้เขาต้องตาย อย่างนี้มันก็ดี เป็นการบุญ การกุศล เดี๋ยวนี้ไปช่วยไอ้คนที่ไม่ควรจะมีอยู่ในโลกให้มันรอดชีวิตอยู่ได้ สำหรับเป็นภัยในโลกต่อไปอีก โลกนี้ก็เต็มไปด้วยอันธพาล อันธพาลทางวิญญาณ คือ ผู้ที่ทำโลกให้ปั่นป่วนเดือดร้อน ก็เลยทำให้วิชาแพทย์นั้นไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร เพียงแต่ช่วยให้คนในโลกให้อยู่ ให้มันบ้ามากขึ้น อย่าให้ตายเร็วๆ วิชาอื่นก็เหมือนกันอีก เราจะให้ความยุติธรรมแก่มนุษย์อย่างไร อย่างไร มันก็ให้แก่คนคดโกงทั้งนั้น ให้แก่คนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น มันไม่ทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ ทีนี้ ประชาธิปไตยของคนชนิดนี้นั้นมันคือบ้าที่สุดเลย มันเห็นแก่ตัว ทั้งหมดมันก็โอนออกเสียงให้แก่ความเห็นแก่ตัว มันก็บ้าที่สุด โลกนี้บ้าที่สุด นี่ประชาธิปไตย มันไม่มีหลักธรรมะที่ถูกต้องยืนอยู่ข้างหลัง ทุกคนเห็นแก่ตัว เป็นโลกของคนเห็นแก่ตัว ก็คือโลกที่เลวที่สุด นั่นแหละพระเจ้าเรียกว่า ตาย ตาย ตายสนิทเลย ไม่มีอะไรดีเลย
ก็ไปช่วยกันคิดดู ว่าจะบรรจุความรู้อันนี้เข้าไปได้อย่างไร? ความรู้ที่มีจุดมุ่งหมายทำลายความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นตัวศาสนาแท้ๆในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย จะบรรจุเข้าไปในแขนงไหน? แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันบ้าปรัชญา ไม่บ้าการปฏิบัติ อย่างมากที่ทำได้ก็ใส่เข้าไปในจิตวิทยา หรือในมานุษยวิทยา หรือว่าศีลธรรม วัฒนธรรม อะไรก็ตาม มันก็ทำได้เพียงแค่นั้น มันไม่เกิดเป็นศาสนาขึ้นมาในชั้นเรียนได้ มันเป็นเพียงวิชาจิตวิทยา หรือปรัชญาอยู่เรื่อยไป ก็ไปแก้จุดนี้ให้มันลงมาเป็นจริยธรรม เป็นศีลธรรมในที่สุด เป็นศีลธรรมฝ่ายสูง ฝ่ายที่เกี่ยวกับวิญญาณ
ยังมีน่าหัวอีกเรื่องหนึ่ง เช่น ฝรั่งมันก็รู้อะไรมากอย่างที่ว่า เช่น คำว่า God เช่น คำว่าศาสนา คำว่าประชาธิปไตยแล้ว มันมีหัวข้อเป็นพันๆเลย แล้วก็จับอะไรไม่ถูก ก็ให้รู้แต่ว่ามันคืออะไร เอามาให้ถูก เอาคำว่า God มาให้ถูก ให้มี God ให้ได้ มนุษย์ไม่มี God ก็คือว่ามีซาตาน มันมีเท่านั้นเอง
ทีนี้ปัญหามันคงหนักมากเพราะกำลังตามก้นฝรั่ง ซึ่งลบล้างศาสนาให้หมดสิ้น เหลือไว้แต่พิธีรีตองนิดๆหน่อยๆ เมื่อมันกลัวขึ้นมาเท่านั้นเอง เมื่อมันหมดท่าแล้ว เมื่อมันก็พึ่งอะไรไม่ได้แล้วก็ออกชื่อพระเจ้า ในกองทัพมีพิธีไหว้พระเจ้า ออกชื่อพระเจ้า แต่มันทำอย่างละเมอ อย่างคนตายแล้วละเมอทำ ไม่รู้ว่า God คืออะไร มันเหลือแต่พิธีตามธรรมเนียม อย่างดีก็เป็น Tradition ซึ่งไม่ได้มีความหมายอะไร ถ้าเราไปตามหลังฝรั่งอย่างนี้แล้วก็ เราก็จะแย่ทุกที พระพุทธศาสนาก็จะหมดไปจากคนไทย เหลือแต่พิธีนิดๆหน่อยๆ จึงฟื้นเรื่องความไม่ยึดมั่น-ถือมั่น เรื่องไม่มีตัวกู-ของกู เรื่องว่าง จิตว่างจากตัวกู-ของกู ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนามาพูดกัน ในครั้งแรกก็ไม่มีใครฟังหรือฟังไม่ถูก แล้วก็ค่อยๆรู้ขึ้นทีละนิด ทีละนิด ฟังถูกขึ้นทีละนิด ละนิด เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด ก็คือ เห็นแก่ตัวเมื่อไหร่ก็คือจิตไม่ว่าง มีตัวแล้วก็เห็นแก่ตัว ถ้าเอาอันนั้นออกไปเสียมันคือจิตว่าง คือสภาพเดิมของจิตที่ปกติ ที่ Balance ที่ฉลาดอยู่ในตัว ตามประสาของจิตที่มันจะต้องทำไปแต่ในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น ที่ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำก็เพราะว่าไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เพิ่งจะเกิดขึ้นมาครอบงำจิต ถ้าอันนี้ไม่มีจิตเป็นอิสระแล้วมันจะทำไปอย่างถูกต้องของมันเอง ไม่มีทางผิดหรอก เพราะอย่างน้อยสุดมันไม่ต้องการอะไร มันไม่ต้องการดีและชั่ว เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นอยู่เหนือทุกข์เรื่อยๆไปตามธรรมชาติของมัน มันจะไปฆ่าใคร มันจะไปเบียดเบียนใครไม่ได้ มันจะอยู่เฉยๆยังดีกว่า แต่ที่แท้แล้วมันมีมากกว่านั้น มันมีสติปัญญารู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ และรู้ว่าอยู่ว่างๆก็ยังไม่ดีเท่าไปช่วยคนอื่น มันจะรู้ได้อย่างนี้ เรียกว่า สติปัญญาที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเดิมของจิตนั้น มันเป็นอย่างนั้น ถ้าโลภ โกรธ หลงเข้ามาเมื่อไหร่ มันก็ไปตามโลภ โกรธ หลงพักหนึ่ง
สอนจิตวิทยาที่ไม่เพ้อเจ้อ หลักธรรมะนี้ ไม่ใช่จิตวิทยาเพ้อเจ้อจนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร มันมีอยู่ชัดๆจากเรื่องที่รู้อยู่แล้วทำลงไปอย่างนี้ บังคับจิต ควบคุมจิตนี้ มันก็น่าจะเรียกว่าจิตวิทยา แต่เดี๋ยวนี้คำว่า จิตวิทยานั้นมันมีความหมายเปลี่ยนไปแล้ว เป็นเครื่องมือสำหรับโกงผู้อื่น เมื่อพูดถึงจิตวิทยาที่ชาวบ้านพูดนั้นคือวิธีโกงคนอื่น เอาเปรียบคนอื่น คำว่าจิตวิทยา แล้วมันก็ตายเลย ไอ้จิตวิทยาบริสุทธิ์ เรื่องจิตทั้งหมดมันก็มากเกินไปกว่าที่เด็กจะเรียนก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องเหลือเพียงว่า จิตวิทยาที่รู้จักบังคับจิต ควบคุมจิต ปกครองจิตของตัว อย่าให้มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ นั่นแหละ คือ จิตวิทยา ตั้งไว้อย่างไร ความโลภ ความโกรธ ความหลงครอบงำไม่ได้ นั่นแหละคือจิตวิทยา และเป็นวิทยาศาสตร์ด้วย ไม่คำนึงด้วยเหตุผลที่ไม่รู้หรอก มันรู้ รู้ยิ่งกว่ารู้ นับตั้งแต่ Experience มันมาจาก Experience แล้วก็มี Experience เวลานั้น แล้วมันก็มี Experience เป็นผลของสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา แต่มันไม่ใช่วัตถุเท่านั้น มันเป็นเรื่องจิต เป็นวิทยาศาสตร์เรื่องจิต ฝ่ายจิต
ฉะนั้น แทรกลงไปเถิดในทุกแขนงวิชา ที่สอนจิตวิทยาก็สอนให้มันถึงนี่ ที่สอนเรื่องมานุษยวิทยาก็สอนให้รู้เรื่อง Adam กับ Eve ว่ามันตั้งต้นมีความทุกข์เมื่อมันไปหลงในเรื่อง Pair of Opposite ซึ่งเป็นมนุษย์สมัยที่ยังไม่มีความทุกข์ แล้วเริ่มมีความทุกข์ แล้วก็มากขึ้น มากขึ้น หรือว่าจะสอนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมอะไรก็สอนมาให้มันแจ่มแจ้งในข้อนี้อยู่เรื่อยแหละ วัฒนธรรมมันตั้งต้นอย่างไร? เมื่อก่อนมนุษย์-คนเป็นอย่างไร? ใช้เรื่องใน Bible นั้นดีที่สุดเลย อาตมาเลยเอามาชี้ให้ดูว่านี่ตำราที่ดีที่สุด ที่จริงที่สุด แต่ถูกหาว่าบ้าที่สุด เขาพูดว่าพระเจ้าสร้างแสงสว่างวันที่ ๑ แล้วก็สร้างดวงอาทิตย์วันที่ ๔ นี้ตำรานี้บ้าที่สุด หรือว่าเรื่องกินผลไม้นี้เข้าไปรู้จักดี-รู้จักชั่ว แล้วก็เริ่มมีความทุกข์ตั้งแต่ตอนนั้น คือตายนี่เอง มันไม่เข้าใจ
ทีนี้ ถ้าถามอาตมาว่าจะประยุกต์อย่างไร? ก็อยากจะพูดรวมๆไปว่า ให้มันเข้าไปมีอยู่ในวิชาทุกแขนงที่เรียนนี้ ในจิตวิทยาก็ตาม ในปรัชญาก็ตาม ให้รู้ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งมารวมกันก็เป็นตัวศาสนา ถ้าเราจะเรียนปรัชญาก็ให้รู้จักใช้เหตุผล ที่มาให้เข้าใจเรื่องนี้ อย่าให้มันพร่าออกไปเรื่องไม่รู้จักจบ ถ้าเป็นจิตวิทยา เรื่องจิตอะไรก็ช่างแล้วมารู้เรื่องนี้ในที่สุด ว่าความทุกข์เกิดขึ้นต่อเมื่อจิตไปเกิดความยึดมั่น เห็นแก่ตัว แล้วตามโลภ ตามหลงโกรธแล้วจึงมีความทุกข์ เรื่องจิตที่สำคัญคือเรื่องนี้ เรียนประวัติศาสตร์ก็เรียนให้รู้ว่า มนุษย์ประมาณ ๘,๐๐๐ ปีมานี้มันน่าจะถูก มนุษย์พวกที่ Bible พูดว่ามนุษย์เพิ่งเกิดเมื่อราว ๘,๐๐๐ ปีนี้ เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ Adam กับ Eve นี่ราว ๘,๐๐๐ ปีนี้มันถูกที่สุด แต่ทีนี้คนไปเข้าใจว่าคัมภีร์นั้นบอกว่า มนุษย์เพิ่งมีเมื่อ ๘,๐๐๐ ปีนี้มันไม่ถูก มนุษย์ต้องมีมาเป็นแสนปี หรือล้านปีอะไรก็ตามแต่ แต่มันเป็นมนุษย์ก่อนกินผลไม้นั้น มนุษย์ที่จะเจริญถึงขนาดว่ารู้เรื่องดี-เรื่องชั่ว แล้วไปยืดถือดี-ถือชั่วนั้น มันเมื่อสัก ๘,๐๐๐ ปีมานี้จริงๆ ถ้าเราศึกษาทางโบราณคดีจะรู้สึกว่าจริง เมื่อ ๘,๐๐๐ ปีมานี้เองที่เกิดเรื่องระหว่างพระเจ้ากับ Adam กับ Eve นี้ ก่อนนั้นเขาไม่มีปัญหา ไม่นุ่งผ้าก็ได้ นุ่งก็ได้ ไม่นุ่งก็ได้ มันไม่มีปัญหา แต่เดี๋ยวนี้มันมีปัญหามากเรื่องต้องนุ่งผ้า และนุ่งมากเกินไปด้วย แต่มันไม่สำคัญหรือไม่ร้ายเท่าเรื่องดี-เรื่องชั่ว ความยึดมั่นถือมั่นเรื่องดี-เรื่องชั่วนี้มันเพิ่งตั้งรูปหรือก่อรูปแน่นหนาเมื่อสัก ๘,๐๐๐ ปีมานี้ เราก็เริ่มมีความทุกข์ เพราะเราหวังจะดี เราอยากจะกลัวชั่วนี้ มันก็มีปัญหาสุมทับอยู่ในใจเสมอเหมือนกับว่าตายแล้ว ที่พระเจ้าเกิดขึ้น สอนให้รู้จักอยู่เหนือดี-เหนือชั่วนั้น นี่มัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมานี่ นี่มัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมานี่ เมื่อถูกทำลาย...ไอ้การป้องกันต้นไม้ต้นนั้นถูกทำลาย เมื่อมีคนมาพูดให้คน...ให้มนุษย์นี้ได้กินผลไม้ต้นที่ ๒ คือ Eternal Life คือมาสอนความยึดมั่น-ถือมั่น เรื่องดี-เรื่องชั่ว ตรงนี้สอนกันให้มากนะในแง่จิตวิทยา เรามีความทุกข์เพราะเกิดมาจากเรื่องดี-เรื่องชั่ว ที่มันทำเลวมันก็...มันอยากจะดีแหละ แม้แต่ไอ้โจรมันทำโจรกรรมนี้ เพราะมันก็อยากจะได้ มันคิดว่าได้นั้นคือดีนี่เอง
ทีนี้คนทำบุญทำกุศลเหนื่อยยากลำบากก็เพราะคิดว่าจะดีเหมือนกัน คิดว่าจะได้ดีเหมือนกัน มันแล้วแต่ว่าใครถือว่าไอ้ดีนั้นคืออะไร ทีนี้ ถ้าเด็กๆมันถือว่าดีนี้คือเอาระเบิดขวดปาเข้าไปซิ มันคือกูดี กูเก่งนั้นมันก็ต้องการดี ปัญหาเรื่องดี-เรื่องชั่วนี้เป็นปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ในโลกที่จะมีความทุกข์ พวกอเมริกันรักษาหน้า รักษาเกียรติของตัวเกินขอบเขตนี้ ก็เพราะอยากดีตัวเดียว มันผิด-ถูกไม่รู้จะรักษาหน้าไว้เรื่อย มันจึงต้องทำอย่างนี้ไปเรื่อย หว่านเงินเป็นโปลิศโลกอยู่นี้ก็เพราะอยากจะดี หรือมันไม่อยากจะตาย ไม่อยากจะล่มจม ไม่อยากจะสูญชาติอย่างนี้ มันก็คือมันอยากจะดี กลัวว่าคอมมิวนิสต์จะครองโลกกลัวตัวเองจะสูญไป มันคือติดอยู่ที่-ดี ฉะนั้นต้องจัดการไอ้สิ่งที่เรียกว่าดีนี้ให้ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นชนวนของวิกฤติการณ์ทั้งหมดเลย อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้
แล้วทีนี้ เราไม่นึกถึงผู้อื่นที่ทำให้ผู้อื่นรู้จักเหมือนๆเรา เราไปด่าเขาทุกวันนี่คิดดูสิ แล้วมันจะทำความเข้าใจกันได้ยังไง ฝ่ายนี้ก็ด่าฝ่ายนั้นทุกวัน ฝ่ายนี้ก็ด่าฝ่ายนี้ทุกวัน มันเท่ากับเพิ่มความเลว คือโลภะ โทสะ โมหะยิ่งขึ้น มันก็หนามากขึ้นจนแก้ไม่ไหว เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า God นั้นถ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว คอมมิวนิสต์ก็ยอมรับทันที The Word ก็คือ กฎธรรมชาติ คอมมิวนิสต์ก็ปฏิเสธไม่ได้ The Word คือ God นี้ แล้วมันก็ค่อยๆรู้ว่ากฎของธรรมชาติมันวางไว้อย่างไร แล้วตัวเองก็จะเดินถูกตามกฎธรรมชาติเหมือนกับเขาเหมือนกัน ทางที่ดีที่ว่ามันจะระงับสงครามคู่วิวาทระหว่างค่ายนี้ได้ก็เพราะเข้าใจศาสนาดีเท่านั้น ทีนี้ อย่าเอาศาสนาบ้าๆบอๆไปให้คอมมิวนิสต์สิ เพราะมันเกลียดแล้วมันด่าอยู่ทุกวัน ศาสนาพิธีรีตองอย่างงมงายนั้น เราต้องเอาศาสนาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า หรือของพระเยซู ของไอ้ที่ว่ามันมีเหตุผลอยู่ในตัวอย่างที่อาตมาว่ามานี้ แล้วคอมมิวนิสต์มันก็รับได้ มันก็จะเบื่อ หรือจะสังเวชขึ้นมาในการที่ไปเสียเวลาฆ่ากัน คงจะพูดกันรู้เรื่อง ประนีประนอมกันได้ หรืออะไรกันได้ ในฐานะที่ว่าเราอยู่ใต้กฎธรรมชาติ หรือว่าเป็นของ God อะไรเหมือนกันทั้งนั้น
ทีนี้การจะสร้างพื้นฐานเช่นนี้ขึ้นมาในใจของคนเดี๋ยวนี้ อาตมาคิดว่าต้องชั่วคนหนึ่งนะ เพราะเด็กๆมันกำลังเปลี่ยนไปลิบแล้ว จะเรียกกลับมาใหม่นี้บางทีต้องชั่วคนหนึ่งนะ แต่ทางอื่นก็ไม่มีแล้วที่จะให้โลกมีสันติภาพได้ ทางอื่นไม่มี เพราะฉะนั้น มีแต่ทางนี้ที่จะต้องลงทุนมาก หรือว่านานเท่าไหร่ก็ต้องทำ อันนี้ก็เป็นความคิดที่ถูกที่จะต้องฝังเข้าไปในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ในอะไรทุกๆแขนง เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะประยุกต์เฉพาะวิชาแพทย์นั้นกลายเป็นเรื่องเล็กไป ประยุกต์ให้ทุกคนเป็นมนุษย์เสียก่อน ให้มันมีความเป็นมนุษย์กันเสียก่อนนี่ปัญหาใหญ่ เพราะฉะนั้นตัวมหาวิทยาลัยนี้ช่วยคนให้เป็นมนุษย์ดีกว่า
คณะแพทย์- .... ท่านอาจารย์คิดว่าแต่ละแขนงจะต้องเอาผู้เชี่ยวชาญไปสอน เช่นว่า เอาประยุกต์เข้าไป อาจารย์สอนวิชาการก็จะต้อง....
ท่านพุทธทาสฯ- นั่นก็เรียกว่าการวางแผน ให้ความรู้นี้เข้าไปอยู่ได้ในทุกแขนงของวิชา โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ วิชาจิตวิทยา มานุษยวิทยา โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ศีลธรรมนี้ มันเข้าไปได้สนิทนะ แล้วมันจะซึมเข้าไปเด็กโดยไม่รู้สึกตัว
คณะแพทย์- ...อย่างนี้คนสอนต้องเก่งมากเลย ....
ท่านพุทธทาสฯ- เอ้า, นั่นมันอีกปัญหาหนึ่ง นั่นมันอีกปัญหาหนึ่ง อย่าเพิ่งพูดสิ เดี๋ยวนี้เราพูดถึงว่าไอ้หลักการใหญ่มันผิดนะ มันผิดนะ ทำหลักการใหญ่ให้ถูกให้ชัดขึ้นมาก่อน แล้วจึงแบ่งหน้าที่กันทำ ก็คือทุกคนมาเรียนเรื่องนี้เรื่องเดียว แล้วก็ไปเป็นหน้าที่สอนในแขนงนั้นๆ แล้วก็ใส่ลงไปตามที่ตัวเห็นว่าเป็นโอกาส
คณะแพทย์- พวกกระผมที่มานี่ก็รู้สึกมุ่งมั่นในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มากัน แล้วก็เราถึงรู้สึกว่าในการวางแผนที่ของเราที่จะทำนี้ ในด้านสังคมวิทยาซึ่งฝรั่งก็กำลังตื่น........เรื่องก็คือว่า ไปเท่าไร เท่าไรเสร็จแล้วก็คือว่าสังคมเรานี้จะอยู่กันได้อย่างไร ในเมื่อมัน....(นาทีที่ 65.40-66.00)
ท่านพุทธทาสฯ- นั่นสิ นั่นมันเป็นปัญหาที่ดี แล้วก็ไม่พบคำตอบที่ถูกต้อง
คณะแพทย์- ใช่ครับ บอก God ตายแล้วอย่างนี้นะครับ แล้วใครจะมาแทน God ผมก็ติดตาม มันจะกลายเป็น Self ไป ที่จริง Self นี้พวกเราชาวพุทธนี้ก็รู้สึกแล้วว่ามี Self เมื่อไร เราก็แย่เมื่อนั้น
ท่านพุทธทาสฯ: นั่นหละมันคนละความหมาย
คณะแพทย์- ใช่ครับ ทีนี้เด็กกับพวก พวกนี้ พวกฝรั่งอะไรนี่ แล้วมันจะเอา Self เข้ามาแทน อย่างในทางที่ผิด
ท่านพุทธทาสฯ- ถ้าสร้าง Self เราก็บอก Selfish ฉะนั้นเราใช้คำอื่นก็ได้ หรือถ้าใช้คำว่า Self ต้องบัญญัติใหม่บัญญัติคำใหม่ เป็นSelf ที่บริสุทธิ์ เป็น Self ที่แท้จริง นี่มัน Self ของ Selfishness ไป มันไม่ใช่ Self ที่แท้จริง
คณะแพทย์- ฉะนั้น Period ที่มองเห็นกันต่อไปนี้ อย่างที่ท่านอาจารย์ว่านี้ก็ยิ่งลึกใหญ่ ว่าสังคมข้างหน้าของเรานี้จะไปข้างหน้านี้ ก็คือจะต้องเป็น Period ที่ ๒ อย่างที่ว่า เป็น Period ของ Pair of Opposition นี้ รู้กันไปแล้ว บัดนี้จะเป็น Period ของพุทธศาสนาจริงๆอย่างที่ว่า ว่ามันจะต้องไปในระดับที่ว่าจะต้องไปทางนั้น เพราะฉะนั้น พวกกระผมก็นึกกันนะครับว่า นี่มันจะต้องมีเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยให้เห็นให้ชัดเลย และไม่ควรเรียกว่า พุทธ.... ไม่ควรเรียกว่า.....
ท่านพุทธทาส- ไม่ควรเรียกว่า พุทธ อย่างมี Authority ต้องว่า พุทธ แปลว่า ผู้รู้ พุทธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่นนอน ใช้คำว่า พุทธ ต้องใช้คำ Common Noun ว่า ผู้ตื่นนอน / พุทธนี้ แปลว่า ผู้ตื่นนอน
คณะแพทย์- ต้องมีเป็น Geology หรืออะไรที่ว่าเป็น.....นาที่ที่ 67.29 - 67.33
ท่านพุทธทาสฯ- มันไม่รู้จะเรียกว่าอะไร อันนี้เป็นปัญหามานานแล้ว มันไม่มีคำที่ได้เคยพูดขึ้นและใช้อยู่ มันใช้แต่คำว่า Religion ปัญหามันก็เกิดว่า เจ้าของคำว่า Religion นั้นเขาหมายถึงมีพระเจ้า ทีนี้ถ้าตีความ พระเจ้า ผิด มันก็ว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ Religion ทีนี้เราบอกว่า ธรรม นั้นคือ พระเจ้า เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาก็เป็น Religion และ Religion นั้นไม่ต้องเกี่ยวกับอื่น เกี่ยวกับว่าทำมนุษย์ให้รอดเท่านั้น นั่นแหละคือ Religion เมื่อปรัชญาหรือเมื่อความรู้อย่างอื่นมันทำมนุษย์ให้รอดไม่ได้ ต้องไว้เป็นหน้าที่ของ Religion ต้องว่า as a religion จะ Christianity ก็ตาม พุทธก็ตาม ต้องเป็น Religion
คณะแพทย์- พวกกระผมก็มีความรู้สึกเหมือนกัน ที่บากบั่นมานี้ก็เพราะว่า รู้สึกว่าจะต้องมาตั้งต้นที่พระคุณเจ้าคือท่านอาจารย์ เราไม่ค่อยจะถึงใจในวิธีที่มหาวิทยาลัยสงฆ์หรืออะไรนั้น....ไม่ค่อยพอ....
ท่านพุทธทาสฯ- นั่นแหละมหาวิทยาลัยสงฆ์จะพาเข้าไปหาดงปรัชญา อาตมาค้านกันอยู่บ่อยๆ หรือด่าก็มี ไม่อยากพาคนไปเข้าดงปรัชญา มันจะยิ่งเวียนหัวใหญ่ มันต้องคง Religion หรือศาสนานี้ไว้
คณะแพทย์- ในที่สุดมันจะต้องไปหาความว่างเปล่าให้จนได้
ท่านพุทธทาสฯ- มันต้องหาที่อยู่เหนือดี-ชั่วให้จนได้
คณะแพทย์- ครับ จะต้องไปจนได้ เพราะฉะนั้นจะยึดใครๆ นี่มันก็ไม่ใช่ใครๆอีก
ท่านพุทธทาสฯ- เออ, ก็น่าคิดที่ว่ากระทรวงยุติธรรมนี้ริเริ่มขึ้นมาว่า ที่จะเป็นผู้พิพากษานี้ต้องรู้หลักพุทธศาสนาด้วยเสียก่อน แล้วก็มาให้อาตมาช่วยไปบรรยายกับผู้ที่จะถูกแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษา สอบได้แล้วกำลังฝึกอยู่นี้ ก็บรรยายเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่ผู้พิพากษาจะต้องรู้ ทีนี้ ก็มีหลายคนนะแม้ในกระทรวงยุติธรรมนี้ว่ามันเกินไป ที่จะไปให้ผู้พิพากษารู้เรื่องมนุษย์โดยวิญญาณ โดย Spirit โดยอะไรนี้ แล้วก็จะไปเป็นผู้พิพากษาที่ดีได้ แต่โดยหลักการเขารับและผู้ใหญ่หลายคนเขาก็เห็นด้วย แต่ก็มีคนหลายคนเหมือนกันแหละในวงกระทรวงยุติธรรมนี้ที่ว่านี่มันเกินไป ที่สอนเรื่องว่าง เรื่องไม่ยึดมั่น-ถือมั่นแก่ผู้พิพากษานี้ มันเกินไป ก็เลยน่าหัว
เพราะฉะนั้น มันมีปัญหาที่จะต้องแก้ก็คือว่า เมื่อจบ Graduate อะไรก็ตาม ก่อนที่จะออกไปรับปริญญานั้นนะ มันต้องรู้เรื่อง คน เสียก่อน ในฐานะที่เป็นเรื่องคน เรื่องมนุษย์ เรื่องคน คือ หลักธรรมะอย่างที่ว่านี้ แล้วคนเหล่านี้จะไปเป็นครูมันก็รู้จักสอน เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ทำอย่างนี้ ก่อนได้รับปริญญาให้มันรู้เรื่องคนนี้เสียก่อน ใช้เวลาสัก ๒๐ ชั่วโมง ๒๐ ครั้ง ๒๐ ชั่วโมงอะไรก็พอ เรียกว่าจะสำเร็จจากแขนงไหน ศาสตร์ไหนก็ตาม ก่อนจะรับปริญญาต้องรู้เรื่อง คน นี้กันเสียก่อน อบรมเรื่อง คน นี้เป็นอันสุดท้ายเพื่อไปรับปริญญา แต่ว่ามันต้องสอนในชั้นนักเรียนในเด็กขึ้นมาตามลำดับก่อนแล้วมันจึงจะรับได้ คือในนั้นถือว่าโตแล้วพูด ๒๐ ชั่วโมงก็พอเข้าใจได้ เหมือนอย่างที่เรากำลังพูดกันอย่างนี้ ว่าไอ้ทางรอดของมนุษย์นั้นมันอยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ที่วิชาในปริญญาที่ตัวได้รับ แพทย์ศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ อะไรศาสตร์นั้น มันช่วยคน ช่วยโลกไม่ได้ เป็นเพียงการทำงานหน้าที่การงานแขนงหนึ่ง เป็น Technology ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง Spiritual Enlightenment นั้นยังไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องมารับส่วนที่เป็น Spiritual Enlightenment คู่กันไปกับ Technology อย่างนี้อาตมาใช้คำอุปมาให้จำง่ายกันลืมว่า ชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว หรือวัว ๒ ตัว ตัวหนึ่งTechnology อีกตัวหนึ่ง Spiritual Enlightenment แล้วก็มีความปลอดภัย เดี๋ยวนี้มันเอาควายเปลี่ยวตัวเดียวคือ Technology พาไป มันก็พาไปหาความเห็นแก่ตัว พาไปหาซาตาน
ฝรั่งมันรู้จักแต่ Technology ไม่มี Spiritual Enlightenment ทีนี้ฝรั่งเกิดมาสนใจทางนี้ก็เพื่ออันนี้แหละ เพื่อ Spiritual Enlightenment เขารู้สึกว่าเขามันเฟ้อด้วย Technology แล้ว ยังขาด Spiritual Enlightenment แล้วก็มาสนใจพุทธศาสนา หรือเต๋า หรืออะไรก็ตาม แต่ก็ยังไม่ประสพ ทั้งที่แท้ที่จริงแล้ว Spiritual Enlightenment มีอยู่สมบูรณ์แล้วใน Bible ซึ่งฝรั่งมองข้ามไปเสียแล้วจะมาหาจากพุทธศาสนา หรือจากตะวันออก นี่ก็มันคือ หลับตา หาสิ่งนี้ตัวมีอยู่แล้ว แล้วมาหาในสิ่งเดียวกัน ในชื่อนั้นแล้วก็ไม่พบอีกเหมือนกัน มันอยู่ในสภาพอย่างนี้ ปัญหาของโลก ถ้าเข้าใจ Bible ดีก็มี Spiritual Enlightenment พอเหมือนกันที่จะไม่ไปติดเรื่องดี-เรื่องชั่ว แล้วก็เป็นอิสระ อยู่ใน Bible แล้ว หลักพุทธศาสนาก็มีอยู่ใน Bible นั้น เพราะฉะนั้น เราก็เลยเป็นเพื่อนกันได้ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างนี้กันได้ โดยไม่ต้องมีใครเป็นลูกศิษย์ใครตามก้นใครก็ได้ มันดีกว่าที่จะให้มาเป็นลูกศิษย์ ต่างคนต่างมีเกียรติกันอยู่
คณะแพทย์- .........มองเห็นว่าเป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งก็เป็นของที่มีอยู่แล้ว
ท่านพุทธทาสฯ- มีอยู่แล้วในคัมภีร์ Bible ไม่แพ้ในพุทธศาสนา แต่เขาพูดไว้ในในรูป Mythology ทีนี้ของเราพูดไว้ในภาษาธรรมดา
คณะแพทย์- ที่ท่านอาจารย์กล่าวมานี้คือ เรื่องการลดความเห็นแก่ตัวนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ต้องทำในทุกระดับ ทีนี้ทางประยุกต์นี้ผมยังมองไม่เห็น ใครจะเป็นคนสอนเขา? ให้มีความเป็นแก่ตัวน้อยลง แล้วก็จะสอนอย่างไร?
ท่านพุทธทาสฯ- นี่แหละ ที่ว่าเมื่อกี้นี้ ว่ามันต้องมีอยู่ในทุกแขนงของวิชาที่เด็กจะเรียน ทีนี้ปัญหาว่าใครจะสอน มันก็ต้องเริ่ม ....
คณะแพทย์- ครูถ้ายังเห็นแก่ตัวเสียแล้วจะไปสอนเด็กไม่ให้เห็นแก่ตัวได้อย่างไร? ปัญหาเขาก็ไม่ฟัง
ท่านพุทธทาสฯ- นั่นแหละถูกแล้ว ปัญหามันจะเข้าเรื่องลูกกระพรวนผูกคอแมว ก็ไปคิดดู มันไม่ถึงขนาดนั้นนะ มันมีหลักสำคัญที่สุดอันหนึ่งซึ่งยังมองข้ามกันอยู่ ถ้าเราดูทั่วไปในเหตุการณ์ในโลกก็ดี หรือว่าจะไปดูไอ้สิ่งต่างๆที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ที่แล้วมาแต่หลังก็ดี มันมีสิ่งซึ่งอันหนึ่งจำเป็นมาก คือ ความสลด สังเวชในความผิดที่กำลังมีอยู่นี้ ถ้าอันนี้ไม่มีแล้วมีไม่ได้ ทางศาสนาเขาเรียก Repentant, Repentant คล้ายกับว่า มองเห็นสิ่งที่ตัวกำลังทำผิดแล้วสลด วูบลงไปเลย ถ้าอันนี้ไม่เกิดแล้วมันชวนกันทำอะไรไม่ได้ ถ้า Repentant ส่วนบุคคลก็ช่วยบุคคลนั้นได้ คือเปลี่ยนเลย เปลี่ยนชีวิตเลย ฉะนั้นถ้า Repentant กันทั้งหมด พร้อมทั้งโลกมันก็เปลี่ยนโลกเท่านั้นแหละ เดี๋ยวนี้พวกอเมริกันมัน Repentant หรือยัง? มันมองเห็นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าเศร้า น่าสังเวช น่าละอายหรือยัง? ถ้ามันเกิดมองเห็นมันก็เปลี่ยน
ทีนี้เราก็ต้องช่วยกันพูดให้เด็กๆนี้เข้าใจจนเกิดความคิดที่จะเปลี่ยน ถ้าทำได้ก็สำเร็จ ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีทางสำเร็จ ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ความสังเวช ความสังเวชทำให้เกิดการเปลี่ยนอันใหม่ขึ้นมา ทีนี้เราสังเวชไม่พอ หรือไม่สังเวชเลยก็ได้ ยังจะเอาตะบึงตะบันไปตามนั้นอยู่เรื่อย ไม่สังเวช ไม่ดูแล้วคิดที่จะเปลี่ยน แล้วไปสร้างความคิดที่ให้เข้าใจแล้วเปลี่ยนนี่ก็พูดกันเรื่อยไปในชั้นเรียนนี่ สอนอะไรก็ตาม ให้สังเวชในความเลว ความทำผิด หรือให้ปลงอนิจจังโลกในปัจจุบันนี้ก็ได้ เด็กๆก็พอจะทำถูก มันมีอะไรที่ตรงไหนในโลกนี้ที่เป็นสันติภาพ ล้วนแต่ยุ่งยาก ในที่สุดเด็กๆจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการฮิปปี้ เพราะมันไปไม่ถูกไม่รู้ไปทางไหน ฉะนั้นเอาช่องนี้ไว้ก่อนดีกว่า ไม่เสียทีที่เกิดมามันยังเป็นอย่างนี้ได้ นั่นเพราะว่าสอนผิด ฝรั่งเป็นเจ้าตำรับตำรา เป็นผู้จัดมหาวิทยาลัยดีกว่าใครแล้วผลออกมาเป็นฮิปปี้ เด็กหนีมหาวิทยาลัยมาเป็นฮิปปี้นี่ ก็คิดดูสิว่าการสอนมันเป็นยังไง มันถูกหรือผิด
ทีนี้ถ้าพ่อ-แม่มองเห็นแล้วเศร้า สังเวช เกิดเปลี่ยนอันนี้ มันก็ช่วยกันสิ พ่อ-แม่ เดี๋ยวพ่อ-แม่ก็ยังอยู่ในสภาพที่งอมืองอเท้า ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไอ้ที่ว่านี้แทนคำพูดพ่อ-แม่ว่าอะไรจะมาแทนพระเจ้า นี้คือคำพูดของพ่อ-แม่ แสดงพ่อแม่กำลังมองเห็นแต่ว่าแย่แล้ว แย่แล้ว ไม่มี God นี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะมาแทน God ให้แก่เด็กๆ ที่จริงGod ไม่ได้ตาย แต่มันโง่ว่า God ตาย จะเอาอะไรมาแทน God, God ไม่มีวันตาย The Word หรือ The Light นี้ไม่มีวันตาย คือ กฎธรรมชาติ ถ้าเข้าใจถูกมันก็มีประโยชน์ เข้าใจไม่ถูกมันก็ไม่มีประโยชน์
ฉะนั้นลองมาคิดดูว่า เริ่มด้วยชี้ให้พวกเราทุกคนนี้กันอย่างนี้ก่อนว่า น่าสังเวช ที่อยู่ในสภาพที่น่าสังเวช น่าสังเวชยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ทุกค่ำ-เช้าเข้านอนมาคิดดูความน่าสังเวชนี้ ให้เรามันแตกฉานเรื่องน่าสังเวชนี้เสียก่อน ถึงจะเอ่ยปากพูดกับลูกศิษย์ ว่ามันน่าสังเวชไหม? มันดูสิว่าน่าสังเวชไหม? หรือว่าน่าสนุก? นี่เด็กมันจะเลือกเอาทางเป็นฮิปปี้นี้ เพราะไม่ต้องเกี่ยวกับความสังเวช การสังเวชนี้ใครๆก็ไม่ชอบ มันไม่สนุก นี่ปัญหามันจะอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ป้องกันเด็กไทยนี้เสีย ให้มันมองเห็นความน่าสังเวชอันนี้ แล้วมันไปเป็นฮิปปี้ไม่ได้
ฉะนั้น ครู ครูเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ครูซะแล้ว มันเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ ไม่ใช่ผู้นำวิญาณเหมือนที่ความหมายโบราณที่ครูเขาเป็น Spiritual Guide นั่นแหละครู เดี๋ยวนี้มันเป็นคนงานสอนหนังสือ ลูกจ้าง หรือคนงานสำหรับสอนหนังสือ มันไม่สอนอะไรให้รู้ที่มันนอกไปจากที่เขาบังคับไว้ เท่าที่เขาบังคับไว้มันก็ยังไม่พอเสียอีก มันสอนไม่เต็มเสียอีก แล้วเท่าที่หลักสูตรของกระทรวงบังคับไว้นั้นเป็นเรื่อง Technology ของการรู้หนังสือ หรือการเรียนไปทาง Technology ไม่มาทาง Spiritual Enlightenment นี่เป็นความโง่ของมนุษย์ ของกระทรวงศึกษาธิการ ทุกโลก ทุกประเทศแหละ มันไม่รู้เรื่อง Spiritual Enlightenment ฉะนั้นครูจึงไม่ได้มีโอกาสเป็น Spiritual Guide เป็นลูกจ้างสอนหนังสือเท่านั้น
แล้วยิ่งกว่านั้นอีกก็คือว่า ครูนั้นเขากำลังคิดจะไปเป็นอื่นนะ ที่เป็นครูนี่เพราะจำเป็นนะ เขาจะไปเป็นอื่นที่ดีกว่าครูเสมอไป ฉะนั้นไอ้ความเป็นครูมันไม่มี ที่จะนำทางวิญญาณไม่มี อาตมาว่า ครู คือ เป็นผู้นำทางวิญญาณ หัวเราะกันใหญ่เลย พวกครูนั้นหัวเราะกันใหญ่ อันนี้บ้าแล้ว บ้าแล้ว ให้ครูเป็นผู้นำทางวิญญาณนี้บ้าแล้ว พระ คือ ผู้นำทางวิญญาณ อาตมาบอกอย่างนั้น และครูนี่ก็เป็นผู้นำทางวิญญาณ พระพุทธเจ้านั้นเป็นจอมโจกของผู้นำในทางวิญญาณ ครูนี้สังกัดพระพุทธเจ้าไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ บอกอย่างนี้ เพราะคุณต้องเป็นผู้นำทางวิญญาณ เป็นลูกศิษย์ เป็นลูกน้องของบรมครู เขาเลยหัวเราะกันใหญ่ ยิ่งไม่เอาใหญ่ จะให้ครูสังกัดพระพุทธเจ้าเลยยิ่งไม่เอาใหญ่ จะเป็นลูกจ้างสอนหนังสือ พอเผลอก็ไปสอบธรรมศาสตร์เป็นผู้พิพากษาเสีย ต้องการอย่างนี้
คณะแพทย์- เมื่อกี้ท่านอาจารย์เอ่ยถึงว่า ๒๐ ชั่วโมงนี้ แล้วท่านอาจารย์เคยนึกเตรียมอะไรไว้หรือเปล่าว่า ๒๐ ชั่วโมงนี้....
ท่านพุทธทาสฯ- ก็ให้รู้จักพุทธศาสนา พูดอย่างนั้นพูด อย่างนี้ ให้รู้จักตัวพุทธศาสนา
คณะแพทย์- อาจารย์เตรียมไว้หรือเปล่าไม่ทราบว่า ๒๐ ชั่วโมงนี้.....กะ กะเอาไว้
ท่านพุทธทาสฯ- ไม่ได้จัดไว้สำหรับ ๒๐ ชั่วโมง จัดไว้สำหรับ ๑๐ ชั่วโมง ทุกๆ ปีที่ไปอบรมผู้พิพากษา ๑๐ ชั่วโมงเท่านั้น แล้วอบรมมา ๑๐ ปีแล้ว ปีละ ๑๐ ชั่วโมง ก็เป็น ๑๐๐ ชั่งโมงแล้ว ไปเก็บเอาจากนั้นเลยคุณก็ได้ ๒๐ ชั่วโมงแน่ เพราะพูดมา ๑๐๐ ชั่วโมง ไม่ให้ซ้ำกันเลย
คณะแพทย์- ผมจะพูดแทนมหาวิทยาลัยมหิดล อยากจะกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์อีกสักครั้งหนึ่ง....
ท่านพุทธทาสฯ- เออ, อาตมาบอกไปเมื่อ ๒-๓ วันนี้เองว่าเดี๋ยวนี้ไปไหนไม่รอดแล้ว ขอหยุดที่กระทรวงยุติธรรมเป็นอันสุดท้ายแล้ว คือขอหยุดมาเรื่อยๆ เหลืออยู่แต่ที่กระทรวงยุติธรรม พอเขาสอบไล่เสร็จ มีผู้พิพากษาฝึกอยู่ จวนจะได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัว อาตมาไปอบรม ๑๐ ชั่วโมง ทำอย่างนี้มา ๑๒ ปีแล้ว บางปีผู้พิพากษาสอบไม่ได้ก็ไม่มีอบรม ถ้าปีไหนสอบได้ ๕๐ กว่าคนก็ไปอบรม ๑๐ ชั่งโมง เพื่อให้รู้ว่าเกิดมาทำไม? พูดแต่ให้รู้ว่าเกิดมาทำไม?
คณะแพทย์- ....ทางที่รับผิดชอบของกระผมนี้ มีคนที่จะออกไปเป็นครูของมหาวิทยาลัยในสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจจะเป็นพยาบาลหรือแพทย์ในอนาคต ปีหนึ่งก็จะออกมาประมาณ ๕๐ คนทุกๆปี
ท่านพุทธทาสฯ- นั่นแหละ พวกขนาดนี้ต้องรู้วิชานี้
คณะแพทย์- แล้วผู้ที่จะเป็นอาจารย์ใหม่นะครับ ที่เป็นแพทย์ที่จะเป็นอาจารย์ใหม่มาจากเมืองนอกบ้าง อะไรบ้างนี้ที่จะต้องเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยนี้ก็อีกประมาณ ปีหนึ่งอีกประมาณ ๓๐-๔๐ คน...เกือบจะ ๑๐๐ คน...
ท่านพุทธทาสฯ- นี่แหละตัวสำคัญ ตัวสำคัญเพราะว่าคนเขาเชื่อคนเหล่านี้เพราะมันแบกปริญญามา
คณะแพทย์- กระผมนี้ว่าทางวิทยาศาสตร์สายชีววิทยานี้ พอจะตามพระคุณเจ้านี้ได้ เพราะที่พระคุณเจ้าพูดนี้จะมาเป็น เป็นค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์ ค่อนข้างเห็นเป็น.... นาทีที่ 83.10 ของวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น พอดีเหมาะเลย แต่ว่าบังเอิญเรามากราบเรียนท่านช้าไป เพราะว่าเราเอง....
ท่านพุทธทาสฯ- อ๋อ, ไม่ใช่ ไม่ช้าหรอก เวลายังมีอีกข้างหน้า ทั้งหมดนั่นแหละต้องทำแล้วแหละ ทำทันทีนี้ไม่ได้หรอก ปีเดียวทั้งปีนี้ไม่ทันหรอก ต้องเปลี่ยนหลักการสำหรับหยอดให้เด็กๆๆๆ ชั้นแรกที่เข้ามาเป็นนักเรียนเตรียมไว้ด้วย แล้วก็ครู กระทั่งเป็นอาจารย์อะไรนี้ ก็ต้องรู้เรื่องนี้ดี ซึ่งไม่อยู่ในหลักสูตรสาขาไหนโดยเฉพาะ มันเป็นหลักสูตรธรรมะนี่ ธรรมะหรือศาสนานี้มันต้องต่างหาก แต่ว่าเราเอาไปใส่เข้าไว้ในทุกแขนง ถ้าสอนจิตวิทยาก็สอนให้รู้ว่าความทุกข์เกิดแต่จิตชนิดนี้แหละ ถ้าสอนประวัติศาสตร์ ก็บอกว่ามนุษย์มันเคยไม่มีทุกข์ แล้วมันมีความทุกข์เพราะยึดดี-ชั่ว แล้วมันจะรอดตัวได้ก็ต่อเมื่ออยู่เหนือนั้น เดี๋ยวนี้ก็มีผู้รอด คือ พระพุทธเจ้าเป็นผู้รอด แล้วก็สอนเรื่องนี้ แต่ว่าไม่กี่คนที่จะทำตามพระพุทธเจ้า มันเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ในทางจิตวิทยาด้วย ในทางสังคมด้วย ในทางอะไรด้วย พูดได้มากมาย มนุษย์สมัยหนึ่งนอนไม่ต้องปิดประตูบ้านเพราะประตูบ้านไม่มี นี่คุณคิดดูสิ เขาไม่ต้องทำประตูบ้านเพราะว่าไม่มีโจรไม่มีขโมยไม่มีอะไรซึ่งเมื่อรุ่งเรืองด้วยธรรมะนี้
คณะแพทย์- ......ผมมองเห็นนี้ก็คือ ถึงแม้ฝรั่งบางคนที่ไม่ได้ดีถึงขนาดแบบนี้ เราจำเป็นจะต้องการให้การศึกษาเขามากขึ้น มากขึ้น เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ที่เขาจำเป็นเพราะจะต้องมีอันตรายมากขึ้น คือคนไม่ดีเข้าไปเรียน ฆาตกรอย่างนี้ การเรียนชั้นสูงนี้มันให้กับคนที่.... เข้าไปเรียนชั้นสูงนี้ มันได้แต่จบมา
ท่านพุทธทาสฯ- นั่นนะคือบ้า ประเทศไทยกำลังบ้าที่จะให้ทุกคนได้รับการศึกษาทั่วถึงกันมันบ้านะ เพราะคนไม่อาจเรียนได้ทั่วถึงกัน คนมันต่างกัน คนที่ไม่ควรจะเรียนมหาวิทยาลัยนี้มีมากกว่า ที่ไปคิดว่าให้ทุกคนได้เข้ามหาวิทยาลัยนี้มันบ้าที่สุดเลย นโยบายของรัฐบาล ของกระทรวงศึกษาธิการอะไรก็ตาม มันผิดหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมมันจำแนกสัตว์ กัมมัง สัตเต วิภชตีติ กรรมจำแนกสัตว์ให้เป็นคลาสๆ คนนั้นต้องไปเป็นชาวนา คนนั้นต้องไปเป็นนี่ ทีนี้จะให้มันเรียนมหาวิทยาลัยให้หมด มันบ้า มันฝืนพระเจ้า มันฝืนความต้องการของ God ไม่ต้องการให้คนเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยทั้งหมด มันแล้วแต่ว่ากรรมมันจะจัดไว้สำหรับอะไร นี้ไปยุให้เด็กๆบ้าๆบอๆไปเข้ามหาวิทยาลัย ให้พ่อแม่เสียเงินเสียทอง ให้เด็กๆบ้าๆบอๆไปเข้ามหาวิทยาลัย ก็ทำเรื่องขึ้นมาใหม่ ทำปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น
คณะแพทย์- นี่ก็มีปัญหา เช่น สอบตก
ท่านพุทธทาสฯ- ที่จะให้ทุกคนรู้หนังสือนั้นได้ ให้ทุกคนรู้หนังสือย่างพอรู้หนังสือนะ แต่จะให้ทุกคนเข้ามหาวิทยาลัยนี้-บ้า เป็นเรื่องบ้า
คณะแพทย์- ไปหาอาชีพที่พอกับระดับ
ท่านพุทธทาสฯ- ต้องไประดับเพียงว่ารู้หนังสือ แล้วก็ไปทำอาชีพ แล้วก็เป็นชาวนาธรรมดากันให้มากหน่อย อย่าไปเป็นชาวนามีเครื่องจักร มันเร็วเกินไป เดี๋ยวนี้เด็กไปเสียเวลาที่ไม่รู้จะเป็นอะไรมากขึ้น มากขึ้น ไปตามก้นฝรั่งโดยไม่ดูตัวเอง บางทีจะก้าวหน้าล้ำฝรั่งไปบ้าง จะให้คนไทยทุกคนได้เข้ามหาวิทยาลัยนี้ถ้ามันทำได้ เพราะแม้แต่รู้หนังสือนี้ก็ยังทำยาก ก็ยังทำไม่ได้ ประเทศไทยยังทำไม่ได้ อย่าง ป. ๔ นี่ ไม่รู้หนังสือนะ ป. ๖ ป. ๗ นี่ก็ไม่รู้หนังสือ น่าหัว อาตมานึกแล้วน่าหัว สมัยโน้นที่อาตมาแรกบวช เขาก็มาขอร้องให้ไปเป็นครูประชาบาลเหมือนกันนะ อาตมานี่นะ ศึกษาธิการอำเภอมาเกี้ยวขอให้ไปเป็นครูประชาบาล สมัยนั้นเงินเดือน ๘ บาท ครูประชาบาลนะ สมัยนี้ครูประชาบาลเงินเดือน ๕๐๐-๖๐๐ บาทเป็นอย่างน้อย ความรู้ ป. ๔ ของเด็ก ยังเท่ากันหรือเลวกว่า ความรู้เด็ก ป. ๔ เมื่อครูเงินเดือนแปดบาทนั้นนะ ยังเท่ากันกับสมัยนี้ หรือสมัยนี้จะเลวกว่า เพราะมันเล็กเกินไป มันไปเข้าโรงเรียนเล็กเกินไป มันไปเสียเงินเปล่าๆ เลย หรือถ้าว่าเทียบส่วนแล้วมันผิดกันหลายร้อยเท่า ๘ บาท กับ ๖๐๐ บาท นี่มันกี่เท่า จ่ายเงินไปเพื่อให้เด็กรู้หนังสือเท่านี้เท่าเดิมนี่ ก่อนนี้เคยจ่าย ๘ บาท เดี๋ยวนี้จ่าย ๖๐๐ บาท และเดี๋ยวนี้ครูโรงเรียนประชาบาลนี้ชั้นโท หลายคนนี่เป็นครูเป็นชั้นโทโรงเรียนประชาบาล ก็สอนเด็กได้เท่านี้เอง ดูสิ มันไม่บ้าแล้วเรียกอะไร การจัดแบบนี้มันหลับตาที่สุดเลย ชั้นโทตั้ง ๑,๐๐๐ กว่า ๒,๐๐๐ อะไรนี้ ก็เป็นครูประชาบาลอยู่นั่นแหละ แถวนี้ก็มีหลายคน โรงเรียนนั้น เขาจัดเป็นโรงเรียนชั้นไหนก็ไม่ทราบ แต่แล้วเด็กของเขาก็ไม่รู้หนังสือมากกว่าที่เมื่อครูเงินเดือน ๘ บาท นี่จะเรียกว่าก้าวหน้าอย่างไร? ถ้าเพิ่มครูชนิดนี้ให้มากขึ้นมันก็เรื่องบ้ายิ่งขึ้นไปอีก คือเปลืองเงินมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นจะว่าอย่างไรก็โทษใครไม่ได้ ต้องมาจับจุดที่ว่ามันเนื่องจากไม่รู้หนังสือแน่หรืออย่างไร? หรือว่ารู้หนังสือกันแค่ไหน? คนสมัยก่อนเขาไม่รู้หนังสือแต่เขาไม่เป็นอันธพาล คนทั่วไป เดี๋ยวนี้ยิ่งรู้หนังสือยิ่งเป็นอันธพาล หรืออันธพาลอย่างวิเศษเสียด้วย อันธพาลที่ออกมาจากโรงเรียนมัธยมหรือมหาวิทยาลัยก็ตาม เป็นอันธพาลอย่างดีเสียด้วย สมัยปู่-ย่า ตา-ยายโน้นไม่ค่อยรู้หนังสือ หรือบางคนไม่รู้หนังสือเลยก็ไม่เป็นอันธพาล เป็นพลเมืองที่ดี ทำมาหากินดี ไปคิดดูใหม่ว่าไอ้เรื่องรู้หนังสือนี้อย่าไปตามฝรั่งนัก รู้แล้วไปเป็นฮิปปี้ในที่สุด ก็อย่าเอาเลย
คณะแพทย์- ....มีวิธีการที่ให้เรียนทั้งทางธรรมทางโลกแบบที่วิทยาลัยที่บาง... นาทีที่ 90.00 มีไหมครับ? ท่านอาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรครับ?
ท่านพุทธทาสฯ- ก็อะไรที่ทำขึ้นนี้ คอยดูไปก่อนว่าจะทำอย่างไรก็ยังไม่ทราบ เพราะเขายังไม่ได้ทำ อย่างน้อยอาตมาก็ยังไม่ทราบเรื่องยังไม่เคยไปพูดจา หรือไปดูกิจการ
คณะแพทย์- ....ให้มีเอาเณรไปตั้งแต่เล็กๆ ไปบวชแล้วก็ให้เรียนวิทยาศาสตร์ เรียนคำนวณ เรียนอะไรต่ออะไรอีก แต่ว่า เรียนธรรมะด้วยและก็ให้มีปฏิบัติด้วย
ท่านพุทธทาสฯ- ถ้าว่าทำอย่างมหาวิทยาลัยสงฆ์ อย่างนี้ก็พิสูจน์อย่างมหาวิทยาลัยสงฆ์ว่ายังไม่พอ ว่ายังเขว ที่ไปเรียนปรัชญา หรืออะไรวิเศษวิโสสำหรับไปสอนฝรั่งนั้น มันยังเกินไป
คณะแพทย์- มี ๒ แห่งใช่ไหมครับ? ที่มหามกุฏฯนี้....
ท่านพุทธทาส: มีวัดมหามกุฏฯ วัดมหาธาตุฯ ที่มหาจุฬาฯ กับมหามกุฎฯนั้นแหละ ถ้าไปเกิดตามก้นฝรั่ง ให้พระเรียนอย่างฝรั่งแล้วมันก็ตามก้นฝรั่งอยู่นั้นแหละ ไม่ช่วยให้โลกดีขึ้นได้ คือไปเรียนปรัชญาเพ้อเจ้อ ไปเรียนจิตวิทยาเพ้อเจ้อ ไปเรียนอะไรไม่มาสู่จุดนี้ แต่ถ้าเขาทำมาสู่จุดนี้ได้ก็ดี จุดที่มนุษย์รู้ว่าเป็นคนอย่างไร? เกิดมาทำไมนี้? แล้วทำให้ได้ตามนั้น ก็ได้ เป็นคำพูดที่ถูกที่ว่าให้เรียนธรรมะพร้อมกันไปกับวิชาที่จำเป็นแก่มนุษย์ มันถูก ทีนี้กลัวว่าธรรมะนั้นจะไม่รู้ จะเป็นธรรมะแต่ตัวหนังสือ ธรรมะแต่ในสมุดโน้ต แล้วเป็นในรูปปรัชญาเพ้อเจ้อไม่มีประโยชน์อะไร ซึ่งมันเป็นมาแล้ว ผ่านมาแล้ว
มันต้องให้มีธรรมะในคนนะ ครูต้องมีธรรมะแล้วก็คอยจี้เด็กเมื่อเด็กทำผิดธรรมะ แล้วก็ฝึกหัดทำการงานด้วยธรรมะ ที่นี่เราพูดกันภาษาบ้าๆบอๆของที่นี่ว่าทำงานด้วยจิตว่าง ให้ทุกคนนี้ทำงานเพราะงานนั้นคือค่าของมนุษย์ แล้วก็ทำด้วยจิตว่างหมายความว่าไม่ใช่ตัวฉันทำ เพื่อฉัน หรือได้ผลแก่ฉัน หรือว่าอาจารย์จะขอบใจ อย่างนี้ไม่เอา ให้เลิก ให้ไปไกลกว่านั้น ทำงานด้วยความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ ไม่ใช่ทำงานเพื่อเงิน ให้ทำงานเพื่องานนี้ ให้ทำงานด้วยจิตว่าง ไม่ได้รับแม้แต่คำว่าขอบใจ อาตมาไม่ยอมพูดว่าขอบใจ เพราะว่าคุณที่ทำนี่เพื่อ Development ทางวิญญาณของคุณ ใครจะมาขอบใจเล่า ถ้าทำงานให้อาตมาสิจะได้ขอบใจ นี่เป็นบทเรียนของเราที่เป็นพื้นฐานที่นี่ที่ว่า ทำงานด้วยจิตว่าง เพราะงานนั้นนะคือความเป็นคน ค่าของความเป็นคน ที่ว่าทำอย่างนี้ไม่เท่าไหร่จะนิพพาน คือ จะหมดความเห็นแก่ตัว แล้วก็ต้องให้อยู่ต่ำ ให้มี Mode of Life นี้-ต่ำ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างตายแล้วนี้ ให้อยู่อย่างทาส เป็นอยู่อย่างทาส กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส ไม่มีตัวฉัน มีธรรมะเป็นนาย แล้วอยู่อย่างตายแล้ว ก็คือ ไม่มีตัวฉัน ให้ฝึกอย่างนี้ไปเรื่อยๆความเห็นแก่ตัวเกิดไม่ได้ มันป้องกันความเห็นแก่ตัว
ทีนี้ ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยมันยังไม่ใช่ทำงาน มันยังเป็นการเรียน ก็บอกว่าเรียนให้รู้ว่า คนคืออะไร? เกิดมาทำไม? แล้วก็ต้องสอนล่วงหน้าไว้ว่า ทำงานเพื่องาน อย่าทำงานเพื่อเงิน มันผิดใหญ่ผิดโตที่ไปสอนให้เด็กเห็นว่าทำงานเพื่อเงิน แล้วเงินคือสารพัดนึกทุกอย่างนี้-มันผิด ที่จริงฝรั่งมันเก่งทุกอย่างแหละ แต่มันเก่งสำหรับวางหลัก เดี๋ยวอย่างพวกเราจะไปซ้ำรอยอีกคือเก่งแต่วางหลัก ไอ้หลักจริยธรรมสากลนั้นวิเศษที่อาตมาเอามาพูดเสมอว่า นี่คือพุทธศาสนา Summum Bonum ของจริยธรรมสากลที่เดี๋ยวนี้ก็ถึงที่สุดแล้ว มันพูดอะไรดีกว่านี้ไม่ได้ แล้ว
มัน ๔ ข้อเท่านี้ ที่เรียกว่า Summum Bonum มันก็วิเศษอยู่แล้ว เป็นพุทธศาสนาทั้งหมดอยู่แล้ว แล้วมันก็ไม่เอานี่ พวกฝรั่งนี้มันก็ไม่เอา หมายถึงฝรั่งทั่วไปนะ เว้นไว้แต่นักจริยธรรมไม่กี่คนซึ่งก็ได้แต่พูด แล้วก็จะไม่ทำด้วยซ้ำไป มันเป็นเพียงแต่ประชุมกันตกลงหลักของ Ethic Morality นี้ แล้วก็วางไว้ดีมากนะ ๔ ข้อนี้
และความรักสากลมันก็วิเศษทั้งนั้น