แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปัญหาต่าง ๆ ที่ได้รับนี่มองเห็นชัดทีเดียวว่าถึงไอ้ที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่ ปัญหาของคนผู้ถามคนแรกมีว่า นักอภิธรรมพูดว่าจิตว่างไม่มีในพุทธศาสนามีแต่ในนิกายเซน เขาว่านักอภิธรรมว่าจิตว่างไม่มีในพุทธศาสนามีแต่ในนิกายเซนจริงหรือไม่อย่างไร นี้ก็อยากจะตอบว่าหรือแนะให้เห็นว่าไอ้จิตว่างน่ะเป็นตัวอภิธรรมเสียเอง เป็นอภิธรรมที่แท้จริงที่เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าและเป็นธรรมะกำมือเดียวที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งกำชับกำชาให้สนใจ ไม่ใช่อภิธรรมเฟ้อ นี้เราเห็นได้จากผู้ถามที่ถามนี่เพราะเขาไม่รู้แม้แต่จะรู้ว่านิกายเซนคือพุทธศาสนาแขนงหนึ่ง เขาจึงพูดว่าไม่มีในพุทธศาสนาแต่ไปมีในนิกายเซน นี่ก็หมายความว่าเขาไม่รู้ว่านิกายเซนก็เป็นพุทธศาสนาแขนงหนึ่ง ถ้าเขาไม่รู้ถึงขนาดนี้แล้วมันก็ไม่มีทางจะรู้ว่าอภิธรรมนี้ยังไงกันแน่ จิตว่างมีในอภิธรรมหรือไม่มี ที่แท้จิตว่างนี้เป็นตัวอภิธรรมเสียเอง จึงมองไม่เห็น ไอ้ที่เรียกว่านิกายเซนนี่คือพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งที่จะมีพุทธศาสนาตามวิธีของธรรมชาติตามวิธีของธรรมชาติ ไม่พึ่งตัวหนังสือไม่พึ่งหนังหนังหนังหาไม่พึ่งครูบาอาจารย์ไม่พึ่งอะไรแต่จะพึ่งธรรมชาติ นั้นเขาจึงจัดระบบวิธีศึกษาและปฏิบัติของเขาเองจากธรรมชาติโดยตรง ห้ามพูดห้ามสอนห้ามอะไรกันจนเฟ้อเหมือนพวกอื่น โลกทุกวันนี้ระส่ำระสายเพราะว่าขาดตัวอภิธรรมแท้คือเรื่องจิตว่าง แล้วก็ไปมีอภิธรรมเฟ้อหรืออภิธรรมส่วนเกิน
คนที่สองถามว่านรกสวรรค์มีจริงตามรายการที่กล่าวไว้ในอภิธรรมหรือไม่ ข้อนี้เท็จจริงอย่างไร นี้ดูจะถามว่านรกสวรรค์ที่กล่าวตามในอภิธรรมนั้นคือนรกทางวัตถุทางร่างกายตายแล้วจึงไปเกิดไปตกเหมือนที่เขียนไว้ตามฝาผนัง นี้เรียกว่านรกสวรรค์ตามภาษาคน นรกตามภาษาคนอย่างนี้ก็คืออภิธรรมที่ยังไม่ได้ปลอกเปลือก ดังนั้นนรกสวรรค์ทางวิญญาณที่เคยพูดกันวันก่อนนั่นนั้นเป็นนรกสวรรค์ตามภาษาธรรม นี่คือนรกสวรรค์ในอภิธรรมที่ปลอกเปลือกเสร็จแล้ว คนเราทุกวันนี้อย่าตกนรกทางวิญญาณ อย่าตกนรกที่แท้จริงที่ปลอกเปลือกแล้วนี่แล้วพอแล้วตายแล้วก็ไม่มีตกนรกอะไรที่ไหน นั้นอย่าไปสนใจนรกหลังจากตายแล้ว สนใจนรกที่กำลังตกอยู่นี่ดีกว่าแล้วทำอย่าให้ตก
มีคำถามว่าพระเครื่องรางทำให้มีกำลังใจและช่วยให้ไม่ลืมพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ถูกหรือไม่ ขอตอบว่าถูกอย่างยิ่ง นี่ถูกถึงที่สุดของการมีพระเครื่องราง ขอคนเราทุกวันนี้มีพระเครื่องรางกันในแบบนี้เถิด อย่าไปมีในแบบอื่นเหมือนที่เขามี ๆ กัน นั่นมันไม่ใช่ธรรมมันไม่ใช่พระพุทธศาสนา ถ้ามีพระเครื่องรางในลักษณะที่ว่าช่วยให้เกิดกำลังใจ ช่วยให้ไม่ลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่เดี๋ยวนี้เขามีกันอย่างอื่น ไม่พูด
นี้ถามต่อไปว่าปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดจิตว่างและมีปัญญา นี่ก็ตอบในตัวปาฐกถาแล้ว ปฏิบัติอย่างที่อธิบายมาแล้วอย่างยืดยาวไปแล้วนั่นแหล่ะ สรุปความแล้วก็ว่าอย่าไปปล้นไปจี้เอาธรรมชาติมา เกิดเป็นความรู้สึกเป็นตัวกูของกูเป็นจิตวุ่นจนเห็นแก่ตัวจัดเหมือนคนทุกวันนี้ เพราะไม่เอาอย่างปู่ย่าตายายที่เห็นอะไรเป็นเพียงรูปธรรมนามธรรม ที่ว่าปฏิบัติอย่างไรนี่ถ้าจะสรุปให้ใช้ได้แก่ทุกคนแล้วก็ต้องว่า มันมีอุปสรรคอยู่ตรงที่บังคับตัวเองไม่ได้ ทั้งที่รู้ฟังแล้วเข้าใจแล้วรู้เข้าใจข้อความเหล่านี้โดยเหตุผลแต่แล้วบังคับไม่ได้ หรือได้เป็นครั้งเป็นคราวพอถึงเวลาเข้าจริงบังคับไม่ได้เผลอทุกที นั้นวิธีปฏิบัติก็คืออย่าเผลอ นี้ทำอย่างไรจึงจะไม่เผลอก็คือรู้จักละอายกันเสียบ้างรู้จักกลัวกันเสียบ้าง รู้จักกลัวว่าอย่าเป็นคนบ้าบิ่น รู้จักละอายก็อย่าเป็นคนหน้าด้าน เดี๋ยวนี้เมื่อจิตเกิดตัวกูเกิดของกูเกิดกิเลสแล้วไม่รู้จักอายไม่รู้จักกลัว มันก็เกิดเรื่อยมันก็เผลอเรื่อย ให้เปรียบเทียบทางวัตถุเป็นตัวอย่างว่าทำไมไม่เดินตกท่อข้างถนน ไม่ทำผ้านุ่งหลุดกลางถนนเพราะรู้จักอายเพราะรู้จักกลัว แต่ทีว่าไอ้ดวงใจดวงวิญญาณตกท่อถนนหรือทำผ้านุ่งหลุดในทางวิญญาณคือมีตัวกูของกูเร่า ๆ ขึ้นมานี้กลับไม่ละอายกลับไม่กลัว นั้นขอให้มีความละอายและความกลัวให้มากในทางฝ่ายวิญญาณนั่นแหล่ะ เหมือนกับที่เรามีมากในทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายวัตถุนี้ดูสิระมัดระวังกันเต็มที่แล้วก็ยิ่งแต่เนื้อแต่งตัวกันเต็มที่เพื่อสนับสนุนส่วนที่จะละอายหรือส่วนที่จะกลัว แต่ทางจิตทางวิญญาณไม่เป็นอย่างนั้น แล้วมันพลาดไปทีไรให้ละอายอย่างยิ่งให้น้ำตาไหลให้กลัวจนอกสั่นขวัญหายแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะพลาด หรือพลาดน้อยลง ๆ จนไม่พลาด นี่เรียกว่ามีสติ เท่านี้ก็พอ ปัญหามันอยู่ที่ตรงนี้คือมันเผลอเรื่อย ไอ้ความรู้น่ะมันรู้แล้วแต่ปฏิบัติปฏิบัติไม่ได้เพราะมันเผลอเรื่อย ในความอายความละอายความกลัวที่ที่เรียกกันว่าเป็นธรรมะหญ้าปากคอกน่ะ ที่จริงไม่ใช่หญ้าปากคอก ที่จริงเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ หรือช่วยให้เกิดสติสัมปชัญญะในขณะที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน
ข้อต่อไปถามว่ากรรมกับธรรมต่างกันอย่างไร เมื่อเกิดยิงกันตายถือว่าเป็นกรรมใหม่ของผู้ยิงหรือว่าเป็นกรรมเก่าของผู้ถูกยิง ต้องตอบว่าธรรมก็คือกรรม กรรมก็คือธรรมในความหมายที่สองคือกฎธรรมชาติ ไปนึกถึงคำบรรยายวันก่อนที่พูดถึงธรรมในความหมายสี่ประการคือตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ตัวผลตามกฎธรรมชาติ กรรมก็คือธรรมในความหมายที่สองคือกฎธรรมชาติ นั้นกรรมกับธรรมก็คืออันเดียวกัน ที่ว่าเมื่อเกิดยิงกันตายอันนี้จะถือว่าเป็นกรรมใหม่ของคนยิงหรือว่าเป็นกรรมเก่าของผู้ถูกยิง ก็เป็นได้ทั้งสองทางแล้วก็เป็นพร้อมกันด้วยก็ได้ ไปยิงใครตายเข้าไปก็เป็นกรรมใหม่ของคนผู้ไปยิงเข้าแล้วก็เป็นกรรมเก่าของผู้ที่ถูกยิงเพราะเคยทำอะไรไว้เหมาะสมที่ควรจะถูกยิงอย่างนี้ก็ได้แล้วมันก็เป็นได้พร้อมกันทั้งสองอย่าง เดี๋ยวนี้โลกทุกวันนี้มีลักษณะอย่างนี้มากขึ้นจึงยุ่งมากขึ้น ที่ฆ่ากันมากขึ้นที่มันเป็นกรรมใหม่ที่สร้างขึ้นและโดยกรรมเก่าของอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ แต่ว่ากรรมใหม่ที่ไปฆ่าเขามากขึ้น ๆ นี้ มันก็จะกลายเป็นกรรมเก่าของผู้ฆ่าแล้วก็จะถูกฆ่าอีก แล้วก็จะเป็นห่วงคล้องกันไปอย่างนี้เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือโลกทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าที่มีปัญหาว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าความเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความทุกข์จริงหรือไม่ นี่ก็คงจะเล็งถึงอนิจจังความเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความทุกข์จริงหรือไม่ก็ตอบว่าจริง ความเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความทุกข์จริง เพราะว่าคนนั้นไปถือเอาความเปลี่ยนแปลงนั้นว่าเป็นของกูไม่ใช่ของธรรมชาติ ความเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามมันเป็นของธรรมชาติแล้วคนที่ไม่รู้ก็ไปถือเอามาเป็นของกู มันก็เลยเป็นทุกข์ไปตามความเปลี่ยนแปลง นี้อย่าไปไปตู่เอาความเปลี่ยนแปลงนั้นมาเป็นของกู อย่าไปตู่ไปปล้นไปโกงเอาความเปลี่ยนแปลงนั้นมาเป็นของกู ให้เป็นของธรรมชาติเขา ความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ไม่เป็นทุกข์แก่บุคคลนั้น
ข้อต่อไปถามว่าพระเจ้าหรือ god ในศาสนาคริสเตียนกับพระพรหมในศาสนาฮินดูมีสภาวะเดียวกันหรือไม่ ข้อนี้ตอบว่ามันแล้วแต่จะมอง คือวิธีมองหรือวิธีอธิบาย ถ้ามองอธิบายให้เห็นเป็นสิ่งเดียวมันก็ได้ จะแกล้งว่าเห็นเป็นต่างกันไม่เข้ากันได้เลยก็ได้ ก็ได้อธิบายมาวันก่อนแล้วว่าศาสนาทุกศาสนามีเนื้อแท้มีนิวเคลียสเป็นอันเดียวกันทุกศาสนา เหมือนกับน้ำจะเป็นน้ำอะไรน้ำชนิดไหนก็ตามในนั้นมีน้ำแท้ ๆ อยู่ทั้งนั้น ไอ้ของที่จะมาทำให้เป็นน้ำนั้น ๆ นี้ใบนั้นมันไม่ใช่น้ำมันคือสสารอันหนึ่ง ที่ช่วยให้น้ำนั้นเปลี่ยนลักษณะภายนอก แต่ภายในเนื้อแท้มันมีน้ำอยู่ในนั้น นั้นในน้ำอะไรน้ำสกปรกน้ำสะอาดน้ำอะไรก็มีน้ำ ให้มองดูกันในส่วนลึกอย่างนี้แล้วก็จะเป็นอันเดียวกันหมดไม่ว่าพระเจ้าหรือศาสนาไหน แต่ถ้าไปเอาเปลือกนอกเป็นเกณฑ์แล้วมันมีน้ำปลามีน้ำส้มมีน้ำตาลมีคลองน้ำหนองน้ำบ่อน้ำฝนน้ำกลั่นนี่มันต่างกันไปหมด มันก็ทะเลาะกันได้ ทีนี้เดี๋ยวนี้คนทุกวันนี้มันมีหัวเป็นชาตินิยมจัดคือตัวกูของกูมันเดือดจัด มีศาสนาของกูมีศาสนาคนอื่นมันเป็นชาตินิยมจัด นั้นจึงมองไปแต่ในทางที่ไม่เหมือนกันได้ ไม่มีทางจะเข้ากันได้ มันขัดขวางกันเรื่อยไป นี้มองผิด ที่แท้มันเป็นธรรมเหมือนกันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมดังที่กล่าวมาแล้ว ให้มองดูที่ตัวธรรมชาติ ตัวกฎธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามธรรมชาติ ทุกศาสนาจะสอนหน้าที่ตามธรรมชาติเพื่อให้คนมีลมหายใจอยู่ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว
นี้ปัญหาต่อไปว่าคนไทยที่นับถือพุทธศาสนาด้วยกันนี่ยังตอบปัญหาเดียวกันไม่ตรงกัน แม้ที่เมืองนอกก็คงหมายถึงว่าคนไทยที่ไปเมืองนอกถูกถามปัญหาพุทธศาสนาแล้วก็ตอบไม่เหมือนกันไปคนละทิศละทางน่าละอายแก่ชาวต่างประเทศ ทำอย่งไรจึงจะให้ตอบได้ตรงกัน จะจัดให้สอนในโรงเรียนเสียเลยจะได้ไหม ทีนี้ถามว่าทำไมคนที่นับถือพุทธศาสนานี่ตอบปัญหาเดียวกันไม่ตรงกันก็ลองคิดดู มันเป็นเรื่องตาบอดคลำช้างนี้มันแก้ยาก มันเป็นเรื่องการของคนตาบอดหลาย ๆ คนคลำช้างตัวเดียวกันแล้วพูดไม่เหมือนกัน ก็พื้นฐานแห่งความรู้แห่งสติปัญญาอะไรของเขานี่ไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเขาจึงคลำพุทธศาสนาได้ต่าง ๆ กัน เห็นสิ่ง ๆ เดียวผิดแผกแตกต่างกันไป จนพูดให้เหมือนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็ต้องเป็นธรรมดาอย่าไปเห็นเป็นเรื่องผิดธรรมดา นั้นต้องปล่อยนั้นไป ให้เขาค่อย ๆ เลื่อนขึ้น ๆ จนสามารถจะคลำได้ทั้งตัวก็คงจะตอบได้เท่ากัน แต่ถ้ามีวิธีสอนที่จะเข้าถึงจุดแท้ของพุทธศาสนาคือเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นเรื่องไม่มีตัวกูของกูกันเสียแต่ทีแรกแต่เนิ่น ๆ แล้วไอ้อาการที่จะเป็นตาบอดคลำช้างนี้ก็มีได้ยาก
ทีนี้ที่เขาถามว่าจะสอนให้ในโรงเรียนเสียเลยจะได้ตรงกันหมดนี้มันก็ยาก เพราะจะไปบังคับให้ท่องจำให้เด็ก ๆ ท่องจำเหมือนกันหมดนี่ ไอ้เด็ก ๆ เหล่านี้ก็จะไปแสดงบทบาทของนกแก้วนกขุนทองที่ร้องไปพร้อม ๆ กันเหมือนกันนี่มันคงจะน่าหัว มันน่าหัวน่าขันมากขึ้นไปอีก นั้นต้องให้ความรู้ให้การศึกษาไปตามระดับตามภูมิตามชั้น ไปร้องอะไรพร้อม ๆ กันเหมือนนกแก้วนกขุนทองนี้มันดูจะน่าหัวจะมีเรื่องอะไรยิ่งไปกว่าเสีย ยิ่งไปเสียกว่าในการที่ต่างคนจะต่างพูดไปตามความคิดเห็นก่อนเถอะ แล้วก็ซักไซ้ไล่เรียงกันไปไล่เรียงกันไปในที่สุดมันก็ไปถึงจุดได้เหมือนกัน เพราะนี่มันเป็นการทำไปด้วยสติปัญญาด้วยใจจริง ๆ ดังนั้นถ้าจะไปสอนกันในโรงเรียนนั้นไม่ใช่เรื่องบังคับให้ท่องให้จดไปพูดพร้อม ๆ กันเหมือน ๆ กัน ต้องเป็นเรื่องชี้แจงเข้าใจถึงจุดสำคัญหรือหัวใจพุทธศาสนาเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องกินยาฆ่าแมลง สอนเรื่องนั้นน่ะก่อน หน้าที่ของเราทุกวันนี้ก็เห็นจะมีแต่ตรงที่ช่วยกันพูดพยายามช่วยกันพูดเรื่องที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามีกำมือเดียวนี่กันให้มาก คนมักจะคิดว่าต้องเรียนมากต้องเรียนอะไรเป็นภูเขาเหล่ากาแต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น คือท่านนั่งพักอยู่ในป่าไม้แห่งหนึ่งท่านกำใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่งชูให้ภิกษุทั้งหลายดูแล้วถามว่ากำใบไม้ในกำมือนี่เราเทียบกับใบไม้หมดทั้งป่าทั้งประเทศดูสิว่ามันมากน้อยกว่ากันเท่าไร นี่คิดดูใบไม้กำมือเดียวกับใบไม้หมดทั้งป่าทั้งประเทศมันมันผิดกันมาก พระพุทธเจ้าท่านเลยบอกว่านี่ที่ฉันรู้มันเท่ากับใบไม้ทั้งป่าทั้งประเทศแต่ที่ฉันสอนเท่ากับใบไม้กำมือเดียว ก็แสดงหัวใจพุทธศาสนาไว้ด้วยบทว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ อะไรทั้งหมดอย่าไปสำคัญมั่นหมายยึดมั่นว่าตัวกูว่าของกู ถ้าเราสอนกันแต่เรื่องนี้นี่ซึ่งเป็นเหมือนใบไม้กำมือเดียวแล้วล่ะก็พอจะทำได้ในทุกวันนี้
นี้ปัญหาต่อไปมีว่าเมื่อถือว่าไม่มีใครคือไม่มีตัวไม่มีตนของใครแล้ว เราก็ไม่ควรกราบไหว้ผู้ใดใช่หรือไม่ ขออธิบายอย่างแจ่มแจ้ง ถ้าไม่มีตัวมีตนแล้วเราก็ไม่ควรกราบไหว้ผู้ใดใช่หรือไม่ ก็ตอบว่าแน่นอนแน่นอนใช่ไม่ต้อง แต่ว่าเดี๋ยวนี้เรามันกำลังมีตัวมีตนอยู่นี่เพราะฉะนั้นเราก็ต้องขยันกราบขยันไหว้พระพุทธเจ้าผู้สอนเรื่องไม่มีตัวไม่มีตน เพื่อให้เราจะได้ไม่มีตัวไม่มีตนแล้วไม่ต้องลำบากเที่ยวกราบไหว้ใครอีกต่อไป แต่อีกทางหนึ่งอย่าลืมเรากำลังอยู่ในโลกรวมกันอยู่กับผู้มีตัวมีตนเพราะฉะนั้นเราต้องประพฤติปฏิบัติให้สมคล้อยกันในลักษณะที่อยู่จะอยู่ร่วมกับเขาได้ อยู่ร่วมกับผู้มีตัวมีตนได้ ถึงพระพุทธเจ้าเองท่านก็ทำอย่างนี้ ท่านพูดท่านอะไรเหมือนชาวบ้านพูด ท่านทำกิริยาอาการตามธรรมเนียมเหมือนที่เขาต้องทำกัน เหมือนกับว่ามีตัวตนอย่างนั้นแหล่ะแต่ใจของท่านไม่มี เหมือนกับพระเจ้าท่านสอนเราให้หลิ่วตาตามเมื่ออยู่ในเมืองของคนตาหลิ่วอย่าให้มันเกิดเรื่อง จนกว่าจะช่วยกันทำให้โลกนี้ไม่มีคนตาหลิ่ว
นี้ปัญหาต่อไปว่าความรักความเคารพความกตัญญูสามอย่างนี้ต่างกันอย่างไร ทีนี้เขาใช้คำว่าความรัก คงจะหมายถึงคำว่ารักพ่อรักแม่รักครูบาอาจารย์ ก็มาคู่กันกับความเคารพความกตัญญู ถ้ามันหมายถึงอย่างนี้ก็ต้องถือว่ามันแทนกันได้ ความรักความเคารพความกตัญญูโดยพฤตินัย โดยการเป็นอยู่จริงแทนกันได้ ถ้ารักก็ต้องเคารพต้องกตัญญู ถ้ากตัญญูก็ต้องรักต้องเคารพอย่างนี้เป็นต้น แต่ทางปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ธรรมชาติมันก็มีกฎเกณฑ์อย่างนี้อยู่แล้ว ลองไปรักจะเคารพจะกตัญญู แต่ทาง...นี่ ทางทฤษฎีพูดได้แยกออกจากกันไปได้ใช้เราหยิบพยายามแบ่งแยกกันไปได้ อย่าไปเอาเลยอย่างนั้น เราอย่าไปใช้เราหยิบใช้หลักจิตวิทยาจะแบ่งแยกอะไรก็แยกไปตามภาษาจิตวิทยาเห็น เราไม่ต้องการจะทำตัวเป็นทนายแก้ตัวให้คนสมัยนี้ซึ่งมีแต่จะหาทางเหยียบย่ำพระธรรมนั้นเราก็มีการปฏิบัติโดยตรงดีกว่า
ปัญหาต่อไปว่ากรุณาให้ความหมายและคุณค่าของเวลาที่แบ่งเป็นชั่วโมงนาทีวินาทีกระทั่งขณะจิต ทั้งในทางภาษาคนและในทางภาษาธรรมจนในที่สุดไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเวลา กรุณาให้ความหมายและคุณค่าของเวลาของสิ่งที่เรียกว่าเวลา นี่ถ้าถือตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาก็ต้องตอบว่า เวลามีค่าหรือมีความหมายขึ้นมาได้ก็สำหรับแต่คนที่กำลังมีความต้องการอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยกิเลสตัณหา ฟังดูให้ดี ๆ เวลา มีเวลาเป็นสิ่งที่มีขึ้นมาได้หรือมีค่ามีความหมายขึ้นมาได้มันมีได้แต่คนที่กำลังมีความต้องการอะไรด้วยกิเลสด้วยตัณหามีตัวกูมีของกูทั้งนั้น มีความรู้สึกเป็นตัวกูของกูกำลังต้องการอะไรอยู่ด้วยกิเลสตัญหา นี่สำคัญอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าต้องการอะไรอยู่ด้วยสติปัญญานั้นไม่เกี่ยว แต่ถ้าต้องการอะไรอยู่ด้วยกิเลสตัณหาแล้วเวลามันมีขึ้นมาทันที มีค่ามีความหมายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาทันที ยิ่งต้องการมากเท่าไรไอ้เวลายิ่งมีปัญหามากเท่านั้น ยิ่งต้องการมากเท่าไรจะยิ่งนึกว่าเวลานี้มันช่างช้าเหลือเกิน เพราะฉะนั้นเวลาหนึ่งวินาที ยกตัวอย่างเวลาหนึ่งวินาทีของคนแต่ละคนนั้นมันไม่เท่ากัน มันเท่ากันแต่เวลาของนาฬิกาเท่านั้นเวลาหนึ่งวินาทีนี่มันเท่ากันแต่เวลาของนาฬิกาแต่เวลาวินาทีนี้ในหัวใจของแต่ละคนละคนนี้ไม่เท่ากัน บางคนต้องการมากบางคนต้องการน้อยบางคนไม่มีความต้องการเลย ไอ้คนที่มีความต้องการมากเวลาก็มีปัญหามากมีค่ามากช้ามาก ภาษาที่เราพูดกันชั่วโมงนาทีนาทีนี้มันเป็นภาษาชาวบ้านพูด บัญญัติเพื่อเรื่องทางวัตถุแต่เรื่องทางนามธรรมนั้นไม่มีความหมายอย่างนั้น ยิ่งมีความต้องการในกิเลสตัณหามากยิ่งมีเวลานาน ไม่มีความต้องการมากก็มีเวลาสั้น ไม่ต้องการเลยก็ไม่มีเวลาเลย อย่างพระอริยเจ้าพระอรหันต์ไม่ต้องการอะไรเลย ไม่ต้องการอะไรมาเป็นตัวกูของกูเลยนั้นไม่มีเวลา เวลาบีบคั้นจิตใจท่านไม่ได้ คนปุถุชนมีตัวกูของกูจะต้องการอะไรมากเวลาจึงมีและบีบคั้นหัวใจของเขามาก นั้นเราแก้ด้วยวิธีเดียวกันอีก อย่าต้องการอะไรด้วยอวิชชาด้วยกิเลสตัณหา ถ้าต้องการจะทำจะพูดจะกินจะใช้ก็ต้องการด้วยสติปัญญาที่รู้ว่าเป็นของธรรมชาติยืมเอามา อย่างนี้เวลาก็ไม่ทำอันตรายอะไรแก่เราถึงจะเรียกเวลาว่าไม่ย่ำยีหัวใจของเราจะไม่บีบคั้นเราไม่ทำอะไรแก่เรา นั้นเรารีบคืนอะไร ๆ ที่เราปล้นของธรรมชาติมาเป็นของเรานั่นแหล่ะให้ธรรมชาติไปเสีย แล้วเวลาก็จะไม่บีบคั้นเรา
นี้ปัญหาว่าคนเราตายแล้ววิญญาณของเราเป็นอย่างไร วิญญาณทั้งดวงของเราจะไปวนเวียนใช้กรรมแล้วไปเกิดเป็นอะไรต่อไป หรือว่าวิญญาณของเราจะแปลธาตุเป็นส่วน ๆ แล้วปนเปไปกับธรรมชาติอื่น ๆ มีหลักฐานอะไรยืนยันบ้างหรือเปล่า นี่ขอตอบว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงห้ามมิให้ถามหรือมิให้ตอบปัญหาที่ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยัน นี่ฟังดูให้ดีตามพระพุทธภาษิตในกาลามสูตรหรือสูตรอื่น ๆ พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้ถามปัญหาหรือไม่ให้ตอบปัญหาในลักษณะที่ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยัน ขืนตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากจะทำให้ผู้นั้นไม่รู้อะไรมากขึ้นไม่แน่ใจอะไรมากขึ้นดังนั้นจึงตอบปัญหาของท่านผู้นี้ไม่ได้ แต่อยากจะตอบว่าปัญหาถามอย่างนี้ไม่จำเป็นไม่รีบด่วน ควรจะตั้งปัญหาว่าทำอย่างไรวิญญาณนี้จึงจะไม่เวียนว่าย วิญญาณอย่างนี้จะไม่เวียนว่าย ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ลักษณะเป็นตัวกูของกูวันหนึ่งไม่รู้จักกี่ครั้งกี่หนนี่ควรจะถามอย่างนี้ เพราะถ้าถามอย่างนี้แล้วปัญหาเรื่องวิญญาณจะสิ้นสุดกันไปเอง จะไม่มีตัวคนจะไม่มีวิญญาณที่เป็นคนมีแต่ธรรมชาติแล้วก็ไม่มีความทุกข์เกิดเพราะไม่มีตัวกูของกูคืนให้ธรรมชาติหมด วิญญาณก็เป็นบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่ไปเกิดไม่ไปอะไรที่ไหน ไม่เวียนว่ายอะไรที่ไหน ปัญหาก็หมดไป
เป็นอันว่าเวลาหมดสำหรับวันนี้ขอให้ทุกท่านพยายามคิดนึกทบทวนไอ้หัวข้อธรรมะต่าง ๆ เอาให้ได้ในส่วนที่เป็นเนื้อหาเป็นหัวข้อแล้วสรุปให้ได้ว่าพุทธศาสนานั้นมีแต่ว่าว่างจากความยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นตัวเราหรือของเราเรื่องก็จะจบและหมดกัน ปัญหาที่ซึ่งจะยื่นให้เมื่อกี๊นี้ตอบไม่ทัน ถ้าสนใจจะเอาไปตอบคราวอื่นที่วัดวรนาถหรือที่ไหนก็ได้ ขอโอกาสยุติการบรรยายในวันนี้ก็สมควรแก่เวลาหรือเกินเวลาแล้ว เพียงเท่านี้