แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความประสงค์โดยเฉพาะเกี่ยวกับที่เรียกโรงมหรสพทางวิญญาณนี้ ก็มีความประสงค์คล้ายๆกับที่คุณสุลักษณ์ว่า คือว่าเป็นการปรับปรุงให้ทันสมัย ทีนี้คำว่าปรับปรุงนี้มันกว้างมันทำได้มากอย่างมากวิธี เราก็เลือกเอาบางอย่างบางวิธีเท่าที่จะทำได้ โดยถือว่าปัญหาที่เห็นอยู่นั้นคือคนไม่ค่อยสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนา ยิ่งกว่านั้นก็แสดงอาการเบื่อหันหลังให้ เราอยากจะแก้ข้อที่ไม่สนใจหรือเบื่อ จึงได้คิดว่าจะทำอย่างไรดี ทีแรกก็นึกถึงหลักที่สำคัญในพระพุทธภาษิตที่พระพุทธองค์ตรัสเองว่า ธรรมะนี้ไพเราะงดงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย จงแสดงธรรมให้เป็นอย่างนั้น และก็ลงท้ายว่าให้ผู้ฟังเค้าเกิดความรื่นเริงหรือเกิดความกล้าหาญที่จะทำตาม รวมความแล้วก็คือความพอใจและอยากจะทำตาม ทนอยู่ไม่ได้ ความที่กลัวว่าธรรมะนี้เหลือวิสัย ยากเกินไป หรือไม่เหมาะแก่ฆารวาสนั้นก็หมดไป เราก็เลยสรุปให้เหลือเพียงว่า ให้มันน่าสนุกสนาน จึงได้เรียกว่ามหรสพ คำว่ามหรสพนี้ถือตามหลักภาษาบาลี ก็แปลคล้ายๆกับว่า entertainment ให้ความบันเทิงแก่ผู้มาละกัน แต่เราไปเรียกสั้นๆทีหลังว่าโรงหนัง มีความมุ่งหมายเป็นโรงละครมากกว่า จึงเรียกว่า Spiritual Theatre นึกๆกันไว้ว่าจะใช้คำอย่างนั้นเป็นโรงละครทางวิญญาณ โรงละครก็หมายถึงสนุกสนานอยู่แล้ว ทางวิญญาณนั้นหมายถึงส่วนที่วัตถุช่วยไม่ได้ ถือเป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ลึกมากเข้าไป เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ โดยที่ถือว่าจิตหรือวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญกว่าร่างกาย มันจะมีพัฒนากับพัฒนาจิตยิ่งกว่าร่างกายจะทำให้มีความพอใจก็ต้องพอใจลึกไปกว่าทางกาย มหรสพ หนัง ละครทั่วๆไปในโลกนั้นมันเป็นเรื่องยั่วยุอารมณ์ ไม่ได้ทำให้เกิดการพักผ่อน แต่ทำให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยทางวิญญาณ เราจึงเห็นว่ามหรสพทางโลกๆทั่วไปนั้นไม่ใช่มหรสพแก่วิญญาณเพราะเป็นการทรมานวิญญาณ ธรรมะนี้เป็นมหรสพทางวิญญาณอยู่ในตัว ตัวธรรมะนั้นเป็นมหรสพทางวิญญาณ ไม่เป็นมหรสพทางวัตถุหรือทางโลกๆแต่เป็นมหรสพทางวิญญาณ คือถ้าใครไปเกี่ยวข้องกับธรรมะมีธรรมะกันจริงๆแล้วก็จะได้รับความปิติปราโมทย์เพลิดเพลิน มีกำลังแรงมากเหมือนกับความเพลิดเพลินทางโลกๆเหมือนกัน แต่มันเป็นความเพลิดเพลินอีกชนิดหนึ่งที่ทำให้จิตนี้พอใจสงบสุขบริสุทธิ์ด้วย สงบด้วย พอใจด้วย นั้นถึงเรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ
ถ้าถามอย่างนี้ก็ตอบตามเหตุผลที่มีอยู่โดยเฉพาะ ข้อแรกก็คือว่า เราเป็นเพียงการทดลอง เราไม่กล้าอวดอ้างว่าเรามีความสามารถหรือเรามีความถูกต้องถึงที่สุด มันเป็นการทำในขั้นทดลอง ที่นี้สะดวกสำหรับเราด้วย อีกทางหนึ่งในเรื่องทางจิตทางวิญญาณนี้มันเหมาะสำหรับสถานที่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นในคนที่สนใจจะต้องเสียสละบ้าง เพราะมันต้องการสถานที่อย่างนี้เป็นรากฐานเป็นพื้นฐาน เหมือนอย่างว่ามาที่นี้มันก็มีอะไรหลายอย่างผิดจากที่กรุงเทพ เราพูดทำนองว่าที่นี้ก้อนหินก็พูดได้ ต้นไม้ก็พูดได้ มานั่งข้างๆก้อนหินข้างๆต้นไม้ก็ได้ยินมันพูด นี้หมายความว่า ความสงบสงัดตามธรรมชาติเนี่ยมันให้เกิดความรู้สึกอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาเอง เหมือนประโยคที่เราเขียนไว้ที่โรงฉันว่า The Solitude is the resting place of the struggle souls. สถานที่สงบเป็นที่หยุดพักของวิญญาณที่กำลังกระวนกระวาย เราหาสถานที่สงบอย่างนั้นที่กรุงเทพยากแม้เราจะมีเงินจัดที่กรุงเทพ สามารถจัดขึ้นที่กรุงเทพ มันก็ยังไม่อำนวยให้ตามธรรมชาติ เดี๋ยวนี้พวกเราไม่มีเงินที่จะจัดที่กรุงเทพด้วยแต่สถานที่มันก็ไม่ได้ตามที่ต้องการด้วย จึงต้องจัดที่นี้แล้วไม่รู้สึกว่าไกลเพราะว่ามันจำเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้ว และมันก็มีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งว่า คนที่จะเข้าใจเรื่องธรรมะชั้นนี้ต้องมีการเสียสละ คือต้องสละการงาน สละครอบครัว สละทรัพย์สมบัติกันคราวหนึ่งในระยะนั้นจึงจะเกิดจิตใจอันใหม่ที่จะเข้าใจสิ่งอย่างนี้ได้ คือถ้าให้ดีมากก็ต้องถึงกับสละชีวิต คือตั้งใจว่าถ้ามาพักที่นี้อาจจะถูกโจรปล้น อาจจะถูกคนฆ่าตาย หรือสัตว์ร้ายเบียดเบียนทำอันตรายได้อย่างนั้นก็ยิ่งดี เพราะว่าต้องปลงเป็นการเสียสละล่วงหน้าแม้แต่ชีวิต หากว่าตั้งใจลงไปอย่างนี้แล้วจิตชนิดนั้นพร้อมที่จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่ามหรสพทางวิญญาณ
ถ้าพูดถึงโรงมหรสพนี้ต้องเข้าใจได้เองว่าเท่าที่เห็นอยู่นี้มันยังไม่เสร็จเรียบร้อย เราตั้งใจไว้โดยหลักใหญ่ๆว่า จะให้ได้รู้ธรรมะอย่างลึกซึ้งโดยไม่รู้สึกตัวและด้วยความรู้สึกที่สนุกสนาน นี้สองประการนี้ ให้รู้ธรรมะชั้นลึกได้โดยไม่รู้สึกตัวและด้วยลักษณะที่เป็นการพออกพอใจสนุกสนาน สองสิ่งเหล่านี้จะมีอะไรบ้างมันก็เป็นปัญหาหนักมาตั้งแต่ต้น คิดนึกกันมาก ในที่สุดมันก็นึกกว้างๆไปทีก่อนว่า จะเลือกเอาสิ่งที่ยังไม่เคยมีในประเทศไทยมาแสดงให้สุดความสามารถของเราก่อน เราจึงได้เลือกภาพปั้น ภาพเขียนในชุดที่แปลกที่ยังไม่เคยมีในประเทศไทย พอเค้าได้เห็นเค้าก็จะได้ตื่นเต้นพอใจนี้ก็อย่างหนึ่งแล้วสมตามความประสงค์ข้อแรกที่จะให้คนเกิดความพอใจ ทีนี้ให้ความรู้ชั้นลึกนั้นน่ะหมายความว่าเราเลือกเอาเรื่องที่จะให้เกิดสติปัญญาชั้นลึก เพราะในพวกเหล่านี้โดยมากมันเป็นเรื่องที่ต้องคิดหรืออย่างที่เค้าเรียกกันว่า ปริศนา มันจะเห็นได้ทั่วไปว่า ภาพเขียนเนี่ยล้วนแต่เป็นภาพที่ต้องคิดหรือเป็นภาพปริศนา ไม่ให้คำบอกเล่าไปโดยไม่ต้องคิด ถามก็ไม่ต้อง อะไรก็ล้วนแต่ประสงค์จะให้คิด แม้แต่เรื่องเสาห้าต้นที่อาตมาติดไว้ในที่ต่างๆก็มีคนถามตั้งร้อยหลายเห็นจะได้ ก็บอกว่าเป็นสิ่งที่ต้องคิดเอาเอง อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นภาพที่เอามาเขียนมุ่งหมายจะเป็นภาพที่ต้องคิดอย่างลึกซึ้ง นี้เรายังทำอะไรได้ไม่ดี เหมือนเลือกเอาของพวกนักศึกษาฝ่ายนิกายเซนมาใช้ไปทีก่อน เพราะเรายอมแพ้เค้าทำได้ดีกว่าที่เราจะคิดเอง ฉะนั้นภาพเขียนชุดหนึ่งก็เป็นภาพเขียนจากนักศึกษาจากเซน แม้ภาพชุดอื่นที่ไม่ใช่ภาพจากนักศึกษาจากเซนก็เป็นภาพที่ล้วนต้องคิด ถ้าเราจะมีอะไรอีกนอกจากภาพปั้น ภาพเขียนเหล่านี้ ก็จะต้องมีหลักเกณฑ์ทำนองนี้ทั้งนั้น สำหรับภาพปั้นนั้นอะจะเห็นได้ทันทีว่ายังไม่เคยมีในประเทศไทยนั้นอย่างหนึ่ง แล้วแต่ละภาพต้องคิดอย่างลึกซึ้งเพราะไม่มีพระพุทธรูปซึ่งเป็นองค์พระพุทธเจ้า เอาความว่างเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า ฉะนั้นคนต้องคิดเอาเองว่าทำไมพระพุทธเจ้าคือความว่าง ความว่างคือพระพุทธเจ้า และเผอิญไปตรงกันกับที่พวกเซนอย่างฮวงโปพูดกันอย่างนี้เกลื่อนไปหมด ธรรมะคือความว่าง ความว่างคือธรรมะ พุทธะคือความว่าง ความว่างคือพุทธะอยู่กันไปอย่างนี้ ฉะนั้นก็เลยเห็นว่าดีที่สุดที่จะเลือกเอาพุทธประวัติชุดนี้มา รวมความแล้ว อะไรๆที่จะมาแสดงที่นี้ต้องคิด ต้องเป็นผู้ชอบคิด ต้องเป็นผู้ถือเอาการคิดเป็นอาหาร เอาปัญหาหรือปริศนานั้นเป็นอาหารเลยทีเดียว
ถ้าถามอย่างนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวเข้าไปมากทีเดียว คือมันเกี่ยวกับความสามารถของเรา เราจะสามารถช่วยคนทุกพวกหรือแต่บางพวกมันเป็นปัญหาที่เราเองก็ต้องคิดมาแต่ก่อน เราเคยคิดเรื่องอย่างนี้ปัญหาอย่างนี้มานานแล้ว เดี่ยวนี้เรายุติว่าเราจะทำ ทำอะไรก็ตาม เราจะทำเพียงเท่าที่อยู่ในความสามารถของเรา นี้พวกที่เป็นนักคิดนั้นมันก็ทำได้ง่ายที่จะให้เค้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกที่ไม่ชอบคิด หรือคนคิดไม่ได้ หรือไม่สามารถคิดได้นั้นก็ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเข้าใจอะไรได้อยู่แล้ว แม้แต่พุทธศาสนาก็ยากที่คนเหล่านี้จะเข้าใจ ฉะนั้นถ้ายังไงเราถือว่า ทำกันแต่ในพวกที่เป็นนักคิดหรือผู้ที่มีสติปัญญาพอสมควรก่อนแล้วถ้าเรายังมีเวลามีอะไรเหลือ เราค่อยทำให้มันลดหลั่นลงไป สำหรับเรื่องนี้จะต้องนึกถึงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เรียกว่าการคิดหรือวิธีคิดเรื่องนี้มันมีหลายแบบ อย่างน้อยก็ต้องยอมรับที่พวกฝ่ายมหายานเค้าถือว่าทุกคนมีเชื้อหรือมีธาตุหรือมีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอยู่ในตัวมาเสร็จ พูดอย่างคำหยาบแม้แต่ในสุนัขก็มีสิ่งเหล่านี้ มีสิ่งนี้ นี้เราก็จะลองดูในมัตติอันนี้ว่าทุกคนมีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะมาเสร็จ เพียงแต่ว่าของคนบางคนมันอยู่ในลักษณะที่พร้อมจะเบิกบานออกมาหรือว่ามีของหุ้มแต่เล็กน้อยแต่เพียงเบาบาง เหมือนที่พระพุทธเจ้ายอมรับว่าสัตว์ในโลกนี้ในบางจำพวกเป็นอัปปะระชัก ขะชาติ คือมีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อยสะกิดเข้าทีเดียวก็สว่างได้นี้ก็มีพวกหนึ่ง ทีนี้พวกที่มีของหุ้มหนามากขึ้นไปอีกมันก็ต้องมีวิธีเฉพาะเพื่อจะแกะหรือแก้ไขคนเหล่านั้น พวกมหายานโดยเฉพาะหรือนิกายเซนนี้ก็ถือว่าสามารถที่จะแกะออกได้ทุกคนแม้กระทั่งคนโง่ มันอยู่ที่ความสามารถของผู้เป็นอาจารย์ ที่จะใช้อุบายชนิดไหนแกะเปลือกหุ้มของคนที่ฉลาด ของคนที่จวนๆจะสว่าง คนที่หนามากคือคนที่โง่ที่สุด ใช้วิธีประณีตหยาบละเอียดต่างๆกัน ฉะนั้นเราก็ลองทำไปดูตามลำดับ แต่ถึงอย่างไรก็ดีมันต้องตั้งต้นมาจากคนที่มีสติปัญญา ใช้ระดับคนที่มีสติปัญญาเป็นมาตรฐานไปก่อนเพราะว่านี้เป็นสิ่งที่แน่นอนเพื่อไม่ให้การงานของเราล้มเหลวไปหมด จากนั้นก็มีที่หวังตรงผู้ที่มีสติปัญญา ขอให้สังเกตุว่าบรรดาพวกที่สนใจกับสวนโมกข์เนี่ย ถึงกับมาถึงที่นี้หรือไม่มาก็ตามที่มีความสนใจมากแล้วก็จะล้วนแต่เป็นผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เราประกาศออกไป โฆษณาออกไป นั้นย่อมแสดงว่าเค้ามีปัญญา เหมือนอย่างแรกเรามีสวนโมกข์ เป็นอยู่อย่างสวนโมกข์ทีแรกก็มีคนหาว่าบ้า แล้วก็มีคนหลายคนที่เห็นด้วย เห็นว่าเป็นการทำที่ถูก นี้มันช่วยไม่ได้ ฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาก็นับว่ามีบุญ ได้รับประโยชน์ก่อน คนที่เคยว่าเราบ้าก็ได้รับประโยชน์ที่หลัง แล้วก็เป็นความจริงอย่างยิ่งที่เขาก็ได้รับประโยชน์เพราะว่าเราได้ทำมานๆและได้เห็นมานๆ (นาทีที่ 22:41) ขออย่าได้เป็นห่วงในเรื่องนี้มากนักและอย่าถึงกับจะมาแยกคนที่ไม่ใช่นักคิดนั้นออกไปเสีย เพราะว่าถ้าใช้วิธีอย่างที่เรามุ่งหมายจะทำซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับที่พวกเซนเค้าทำเนี่ย ก็เกือบจะไม่ต้องแยกคนให้เป็นคนฉลาดหรือคนโง่ เพียงแต่แยกว่าคนนี้แตกต่างกัน คนหนึ่งก็ใช้อุบายอย่างหนึ่งคนหนึ่งก็ใช้อุบายอีกอย่างหนึ่ง คนหนึ่งก็ใช้อย่างแรงสำหรับอย่างที่เขาเปรียบพูดเป็นอุปมาเปรียบเทียบว่าต้องถลกหนังหัวออกจากฝ่ามือหนึ่งมันจึงจะเกิดความรู้สึก อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นมันก็เกิดความรู้สึกได้เช่นกัน
ถ้าพูดถึงเรื่องภาพยนต์หรือสไลด์อย่างนี้ เราต้องถือว่าเราคงทำได้ไม่ดีไปกว่าที่อื่นๆเค้าทำกันมากมายนัก แต่ก็อยู่ในความคิดที่จะมีที่จะทำที่จะปรับปรุงเท่าที่ทำไปได้ แต่ก็ยังไม่หวังมากเหมือนกับอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่ว่านั้นก็คือเรื่องธรรมชาติในบริเวณนี้ที่เรียกว่าสวนโมกข์นี้ เราอยากจะให้คนใกล้ชิดธรรมชาติ เข้าใจธรรมชาติ นั่งอยู่กับธรรมชาติได้เป็นชั่วโมงๆ แม้ว่าคนที่จะมีปัญญาน้อยที่จะต้องดูหนังดูภาพดูอะไรนี้ไปก่อน เราก็ไม่วายที่จะยุให้เค้าลองไปนั่งกับก้อนหินลองไปนั่งกับต้นไม้ลองไปนั่งกับธรรมชาติเงียบๆคนเดียว ไม่พูดกัน เนี่ยเราอยากจะให้เค้าได้พบกับสิ่งเหล่านี้ ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้
ที่เราก็มีความพิจารณาถึงความหมายของคำว่าสนุก อย่าลืมว่าเรามีคำว่าวิญญาณจ่อท้ายอยู่เสมอ สนุกตามทางจิตใจ ตามทางวิญญาณ สนุกตามทางชาวบ้านเรื่องโลกๆนั้นมันก็อีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อใครเข้าถึงสนุกส่วนไหนได้แล้วมันก็พอใจอย่างยิ่งทั้งนั้น พวกที่หลงความสนุกทางฝ่ายโลกๆมันก็หลงไปได้เท่าไหร่พวกที่เข้าถึงความสนุกทางจิตมันก็หลงได้มากเท่าๆกัน เหมือนกับที่เค้าพูดว่าพวกฤาษีมุณีก็หลงอยู่กับการเข้าฌานทำสมาธิอยู่กับธรรมชาติอยู่กับสัตว์ ก็หลงอย่างยิ่งได้เหมือนกัน นี้เรียกว่าความสนุกในทางวิญญาณ เข้าฌานนานนับเดือนไม่เขยื้อนเคลื่อนกายาจำศีลกินวาตาเป็นผาสุกทุกคืนวัน บทกลอนเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงถึงความสนุกทางจิตทางวิญญาณ ทีนี้ที่ว่าที่นี้มีอุปกรณ์สมัยใหม่ตลอดถึงเครื่องมือสมัยใหม่นี้ ก็อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเราจะใช้มันไปในทางของสมัยใหม่ เราเอาของสมัยใหม่เหล่านี้มาใช้เป็นอุปกรณ์ในเรื่องทางจิตทางวิญญาณ จะเป็นเรื่องของไฟฟ้าหรือวิทยุหรืออะไรก็ตาม เพื่อจะเอามาเป็นอุปกรณ์ช่วยให้คนเข้าใจเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ ถ้าสมมุติเราจะทำภาพยนตร์ขึ้นมาสักเรื่องหนึ่งมันก็ต้องเป็นเรื่องช่วยคนให้เข้าถึงเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ ภาพเขียนภาพอะไรก็ตามมันเป็นเรื่องช่วยส่งเสริมความเข้าใจความสนุกในทางจิตทางวิญญาณ ฉะนั้นจะเอาอุปกรณ์เครื่องใช้เหล่านี้เป็นหลักเกณฑ์จำแนกแบ่งแยกไม่ได้ อุปกรณ์เหล่านี้จะมาเป็นบริวารของเรื่องทางจิตทางวิญญาณหมด ฉะนั้นทุกอย่างมันจะกลายเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณอย่างที่พุทธศาสนาต้องการไปหมด นี้ก็เราจะต้องทำความเข้าใจกับคนที่มาเกี่ยวข้องให้เค้าเข้าใจถูกต้องต่อไป
ก็หมายอย่างนั้น มันแล้วแต่ว่าเจ้าตัวคนนั้นเค้ามีจิตใจหันเหไปทางไหน ถ้าเค้ามีจิตใจหันเหเป็นทางวัตถุเค้าก็จะใช้เครื่องอุปกรณ์ไปทางวัตถุไปหมด ถ้าเค้ามีจิตใจไปทางลึกหรือทางจิตทางวิญญาณอย่างว่า เค้าก็จะใช้เครื่องอุปกรณ์ทันสมัยเหล่านี้ไปทางจิตทางวิญญาณไปหมด อุปกรณ์เหล่านี้จะใช้ไปทางไหนก็ได้แล้วแต่ผู้ใช้
เมื่อพูดถึงปัจจัยสี่ตามปกติก็เป็นเรื่องทางร่างกายทางวัตถุ เรื่องเครื่องนุ่งห่ม เรื่องอาหาร เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องยาแก้โรค มันเป็นอุปกรณ์หรือเป็นปัจจัยแก่เรื่องทางวัตถุ เครื่องจักร์เครื่องยนต์กลไลเค้าทำให้มันก้าวหน้าขึ้น มันก็เพื่อส่งเสริมปัจจัยสี่ทางวัตถุ มันต้องนึกให้ดีว่าปัจจัยทางวิญญาณมันต้องการอย่างหนึ่ง ถ้าพูดว่าปัจจัยสี่ต้องเป็นเรื่องทางร่างกายชีวิตในด้านร่างกายยังไม่ใช่ในด้านจิตด้านวิญญาณ ฉะนั้นจึงพูดได้โผงผางเลยว่าการที่มนุษย์ได้แต่เพียงปัจจัยสี่นั้นไม่ได้ทำให้มนุษย์ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานกี่มากน้อย ถ้าทำผิดวิธีจะทำให้เป็นสัตว์เดรัจฉานยิ่งขึ้น ก็ไปหลงในปัจจัยสี่ ถ้ามนุษย์จะเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์หรือให้ยิ่งขึ้นจะต้องมีปัจจัยที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ที่แปดมาช่วยอีก คือถ้าเราจะไม่เอามาเข้าแถวกัน เราก็ต้องนับเป็นปัจจัยที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม อีกชุดหนึ่ง เป็นปัจจัยในทางจิตทางวิญญาณ ปัจจัยสี่ที่โลกรู้จักและข่วนขวายกันแล้วก็เอาใจใส่กันเต็มที่นั้นเป็นเรื่องทางวัตถุทางร่างกายทำได้ดีที่สุดก็เป็นเพียงอยู่ดีกินดี พอเผลอตกไปเป็นทาสของมันก็มีจิตเลวจิตทรามจิตต่ำแล้วเป็นมูลเหตุของการเบียดเบียน ฉะนั้นจึงว่าระวังให้ดีปัจจัยสี่นั้นเป็นทั้งโทษและทั้งคุณ ถ้าเราจะมีปัจจัยที่ห้าที่หกที่เจ็ดที่แปด สำหรับจิตสำหรับวิญญาณ มันก็ต้องแปลตรงกันข้าม คือเป็นเรื่องสนับสนุนให้จิตใจเป็นไปในทางที่เรียกง่ายๆว่าสะอาด สว่าง สงบ สามคำนี้เป็นความมุ่งหมายของพุทธศาสนา หรือ ย่อมาจากความมุ่งหมายทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ความสะอาดคือความบริสุทธิ์ ไม่มีความชั่วไม่มีความลับ ความสว่างคือรู้สิ่งที่มนุษย์จะต้องรู้อย่างสมบูรณ์ที่ควรรู้ ความสงบก็หมายถึงความสงบสุขส่วนบุคคลและส่วนสังคม ถ้าจิตใจไม่เป็นไปด้วยความสะอาด สว่าง สงบแล้ว มันเรียกว่าความเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ไม่ก้าวหน้าไปถูกทาง ปัจจัยสี่อย่างที่เค้าหลงใหลกันอยู่ในโลกเวลานี้ไม่มีอำนาจไม่มีคุณภาพที่จะช่วยส่งเสริมให้จิตใจสะอาดสว่างสงบเพียงแต่มีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ ผู้ที่มีชีวิตชนิดนี้ยังไม่แน่ว่าจะมีจิตใจสะอาดสว่างสงบ ยังเรียกว่าไม่พอ แม้จะก้าวหน้าในทางจักรกลเท่าไหร่ส่งเสริมปัจจัยสี่ได้มากเท่าไหร่ก็ไม่เป็นเครื่องรับประกันว่าโลกนี้จะมีความสงบสุข และจะมีทางที่จะเป็นฝ่ายวุ่นวายมากที่จะปกติเพราะยิ่งก้าวหน้าก็ยิ่งทำให้หลงใหลเพลิดเพลินเกินความจำเป็น ในเรื่องเกินความจำเป็นนี้จะฝากไว้ให้ทุกคนจำไว้ด้วยว่า ถ้าแสวงหาเกินความจำเป็น ได้มามีไว้ครอบครองกินอยู่ใช้สอยเกินกว่าความจำเป็นต้องถือว่าเป็นคนทำบาป ส่วนเกิน เกินความจำเป็นนั้นจะเป็นความโง่ ความเข้าใจผิด และจะเป็นความบาปเสมอไป จะเป็นมูลเหตุของความวุ่นวายความเบียดเบียนต่างๆในโลก ฉะนั้นเราจะต้องรู้ความพอดีในการที่จะทำอะไรขึ้นมาให้ก้าวหน้าในทางวัตถุ ถ้าทำขึ้นมามากเกินก็ต้องควบคุมไว้ให้ได้ อย่าให้มาใช้สอยเกินกินอยู่เกินอะไรทำนองนี้ ที่เค้ามีความคิดกันว่าต้องให้ปากท้องอิ่มสบายเสียก่อนจิตใจจึงจะดีนั้น ฟังดูแล้วแม้แต่พวกที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็ยังคิดอย่างนั้น พวกคอมมิวนิสต์ก็ถูกหาว่าคิดอย่างนั้นไปแล้วแต่พวกที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็ยังคิดอย่างนั้น คิดว่าปากท้องอิ่มไปก่อนจิตใจถึงจะดี อยากจะพูดว่าทั้งคอมมิวนิสต์และไม่ใช่คอมมิวนิสต์ที่มีความคิดอย่างนี้ยังเดินคนละทางกับพระพุทธเจ้า เราจะต้องควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้พอดี คือถ้าจะอยู่อย่างผาสุกทางร่างกายและก็ฉวยโอกาสที่เราอยู่อย่างผาสุกนี้ศึกษาทางจิตทางวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของมนุษย์เพราะเป็นส่วนเนื้อใน ร่างกายเป็นเพียงเปลือกนอกถ้าจะสมบูรณ์สวยสดงดงามอย่างไรมันก็เป็นเรื่องเปลือก จิตใจจะสมบูรณ์สวยสดงดงามนั้นต้องด้วยธรรมะ ในร่างกายที่มีจิตใจสวยสดงดงามนี้จึงจะเรียกว่าสมบูรณ์ทั้งเปลือกทั้งเนื้อใน ความเป็นมนุษย์นั้นสมบูรณ์ มนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างนี้มีอยู่ในโลกจึงจะทำโลกให้มีสันติภาพได้ ถ้ามีแต่มนุษย์เปลือกคือสมบูรณ์แต่ทางเปลือกทางเนื้อในไม่สมบูรณ์หรือกลับเป็นของผิดของร้ายไปแล้ว ไม่มีทางที่จะทำโลกนี้ให้มีสันติภาพได้ แม้จะเจริญในวัตถุเครื่องจักรเครื่องกล หรือยิ่งไปกว่านั้นก็จะมีแต่ยุ่งยากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกเกี่ยวกับปัจจัยสี่มีอยู่อย่างนี้
ข้อนี้จะต้องขอตอบตรงๆ ว่าไม่เห็นด้วยโดยประการทั้งปวงและข้อที่จะให้บรรพชิตเข้าไปร่วมมือเกี่ยวกับการงานของสังคมสงเคราะห์หรือการงานพัฒนาอะไรของประชาชนโดยตรงเพราะมันเป็นเรื่องซ้ำรอยบ้างเป็นเรื่องเอามะพร้าวไปขายสวนบ้าง ถ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับประชาชนเหล่านี้อย่างยิ่งแต่ต้องเป็นไปในฝ่ายที่จะทำให้ประชาชนเหล่านั้นมีความเจริญก้าวหน้าและปลอดภัยในทางจิตทางวิญญาณ ฉะนั้นพระจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำในทางวิญญาณประคับประคองในทางจิตทางวิญญาณอยู่เสมอ ไม่ใช่ไปร่วมงานร่วมการในการสร้างทางวัตถุกับชาวบ้านเสียเองแต่ไปเป็นผู้พิทักษ์ชาวบ้านไม่ให้เกิดความทุกข์ความร้อนความโง่ความหลงในการประกอบการงานของตน นี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือว่าไม่ว่ามนุษย์ชาติไหนภาษาไหนเมื่อเค้าประกอบการงานไปตามภาษาของชาวโลก มันก็ต้องมีความทุกข์หรืออุปสรรค์นานาประการเกิดขึ้นเช่นเค้าเข้าใจผิดในเรื่องชีวิตในเรื่องการงาน เค้าก็เป็นผู้ไม่อยากทำงานแต่แล้วต้องฝืนทำงานเพราะความจำเป็นบังคับ คนอย่างนี้เรียกว่าตกนรกทั้งเป็น พระอย่าไปช่วยทำการงานให้เขา แต่ไปช่วยเปลี่ยนแปลงนิสัยจิตใจของเขา ให้กลายเป็นผู้ที่รู้จักว่าชีวิตคืออะไรการงานคืออะไร จนเขารักในการทำงานมีความสุขแม้ในการทำงานเรียกว่าทำงานก็มีความสุข เค้าก็เลยเป็นคนที่เรียกว่าขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ที่ละเอียดออกไปอีกก็คือมนุษย์เป็นผู้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ต่อความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือกิเลส ราคะ ตัณหาอย่างอื่น เป็นเหมือนอยู่ในความทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น พระไม่ไปช่วยทำการทำงานแก้ความยากจนของเขาโดยตรงแต่ไปช่วยให้เค้าฉลาดในการที่จะต่อสู้ความโลภความโกรธความหลง ราคะตัณหาอะไรต่างๆ ให้เค้าเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์เข้มแข็งเป็นอยู่ด้วยสุขภาพในทางจิตที่ดี ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคจิต ไม่เป็นคนฆ่าตัวตายง่ายๆอะไรทำนองนั้น นี้เรียกว่า เราได้ทำประโยชน์แก่เขาอย่างใหญ่หลวง จนเปรียบกันไม่ได้กับการที่พระจะไปสมัครทำเรื่องสังคมสงเคราะห์ช่วยการงานกันเหมือนอย่างช่วยทำสวนครัวอย่างนี้ เรียกว่าไม่ถูก
หลักว่าพระเป็นผู้นำในทางวิญญาณอยู่เสมอไป เป็นมัคคุเทศทางวิญญาณอยู่เสมอไป สามารถหรือสมควรที่จะให้คำแนะนำชี้แจงช่วยเหลือทุกอย่างทุกประการที่ให้เกิดบริการสร้างความสูงในทางจิตทางวิญญาณอะไรแก่ใครก็ได้ แก่ฆารวาสพวกไหนก็ได้ ก็บอกแล้วว่าแม้แต่พระก็ทำเองก็ได้ในลักษณะอย่างนี้ มันเป็นหน้าที่โดยตรงที่จะมีมือรองๆลงไปเป็นพวกฆารวาสก็ทำกันเองโดยคำแนะนำควบคุมของพระมันก็ยิ่งดี แต่เราต้องมีข้อกำจัดบางเขตแบ่งแดนกันว่า เรื่องของศาสนา เรื่องของพระ หรือเรื่องของอุบาสก หรือแม้แต่เรื่องของพุทธสมาคมยุวพุทธิกสมาคมอะไรก็ตาม ถ้าไม่เป็นเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกแล้วต้องเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณนั้น ถ้าสมมุติว่าไปเยี่ยมนักโทษก็ไม่ต้องเอาข้าวปลาอาหารไปให้ก็ได้แต่ไปทำให้จิตใจของนักโทษดีขึ้นหรือถ้าไปเยี่ยมคนเจ็บในโรงพยาบาลก็ไม่ต้องเอาขนมลูกไม้ดอกไม้อะไรไปให้ก็ได้ แต่ต้องไปทำให้คนเจ็บนั้นมีผลดีขึ้นในทางจิตใจ แต่ว่าถ้าพระจะเอาดอกไม้ ขนมไปให้ด้วยก็ได้เหมือนกันเพราะว่ามันจะเป็นสื่อให้ได้ทำในทางจิตทางวิญญาณแต่ว่าอย่ามอบหมายให้หน้าที่เหล่านั้นเป็นหน้าที่ของพระ เพราะว่าพระนั้นต้องไม่ร่ำรวยในทางวัตถุ และหน้าที่ก็ไม่ใช่หน้าที่ที่จะให้ทางวัตถุ ฉะนั้นถ้าเราจะมีสมาคมยุวพุทธิที่จะไปเยี่ยมนักโทษเยี่ยมคนเจ็บมันก็ต้องให้มีหน้าที่ที่เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณเป็นหลักสำคัญ วัตถุสิ่งของกลายเป็นสิ่งเล็กน้อย หรือว่าถ้าเราจะมีห้องสมุด มีวรรณคดี มีการให้ความรู้ทางการศึกษาให้บริการในทำนองนี้ก็ต้องให้มันแน่นอนว่ามีผลในด้านจิตด้านวิญญาณเสมอไป อย่าให้เป็นเรื่องลำพังทางโลกๆและเอียงไปทางวัตถุอย่างเดียวเหมือนที่มันเป็นอยู่เองแล้ว ก็จะมากขึ้นเป็นสองเท่าแล้วมันจะเฟ้อ มันจะเกิน โดยควบคุมให้ส่วนหนึ่งมันเอียงไปทางเรื่องจิตเรื่องวิญญาณเสมอ เพราะฉะนั้นมีความเห็นด้วยที่เราจะมีสมาคมหรือหน่วยอะไรต่างๆที่ทำการสังคมสงเคราะห์ให้บริการต่างๆอย่างที่เค้าทำๆกันนั้น แต่อย่าหลับหูหลับตาทำเหมือนที่เค้าทำๆกัน โดยมุ่งเอาผลทางวัตถุรู้จักผลแต่เพียงทางวัตถุ ผู้ทำก็ไม่ขวนขวายปรับปรุงตัวเองให้ก้าวหน้าในทางจิตใจแล้วจะเอาอะไรไปให้แก่ผู้อื่น ถ้าตอบก็จะตอบว่าเห็นด้วย แต่ว่าหัวใจของเรื่องหรือวิธีหลักการของเรื่องนั้นจะต้องเป็นอย่างนี้
เรื่องที่พูดนี้ก็เป็นเรื่องที่เห็นอยู่แล้วเห็นมานานแล้วและวิตกอยู่แล้วเหมือนกันว่าต่อไปในวัดในวาพระศาสนาจะเหลือแต่คนโง่ชนิดหนึ่ง เหลือแต่คนที่จะเอาศาสนาบังหน้าหากิน ถ้าจะมีคนฉลาดก็ฉลาดในทางเอาศาสนาบังหน้าหากินในวัดก็จะเหลือแต่คนสองพวกนี้ แล้วศาสนาก็จะพินาศได้ แต่เมื่อดูไปๆมันก็มองเห็นอีกอย่างหนึ่งว่ามันคล้ายๆกับว่าเป็นเรื่องหมุนเวียนไปตามราศีไปตามจักรราศี เดี๋ยวนี้มันกำลังเป็นจังหวะ หรือ จักรราศีที่ให้เป็นอย่างนี้ มันตามความเป็นไปของโลก มันเปลี่ยนแปลงมาแล้วได้ มันเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ได้ ฉะนั้นข้างหน้ามันคงเปลี่ยนแปลงไปในทางอย่างอื่น เป็นไปทางดีก็ได้ เราก็ไม่ถึงกับตกอกตกใจมากนักแต่รู้อยู่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันแก้ไข ช่วยกันป้องกันแน่นอน จึงต้องพิจารณาถึงมูลเหตุว่าอะไรเป็นเหตุให้คนมีสติปัญญาหันหลังในวัดวาอารามไปหาเรื่องทางโลก นี้มันก็เป็นจังหวะที่โลกนี้เจริญทางวัตถุ มีสิ่งยั่วยวนมาก ความนิยมหันเหไปในทางวัตถุ คนที่มีปัญญาหาโอกาสได้มากกว่า หาประโยชน์ได้มากกว่าก็เลยไปกันใหญ่ เอียงไปเรื่องทางโลก เป็นความนิยมของคนหมู่มาก เราจึงเห็นว่าทั้งโลกทั้งชาววัดทั้งชาวบ้านกำลังหมุนไปในทางนั้นแต่ว่าเรื่องนี้มันคงไม่ถึงกับว่าไม่เปลี่ยนแปลงหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามจังหวะ ซักวันหนึ่งเรื่องทางโลกก็จะพิสูจน์ความล้มเหลว แม้จะร่ำรวยกันยังไง หรูหร่ากันยังไง ฟุ่มเฟือยกันยังไง สนุกสนานกันยังไงก็ยังมีความทุกข์ หรือมีความทุกข์มากขึ้น เช่นกับเดียวนี้เรายอมรับว่ามีคนเป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้น มีเรือนจำมากขึ้น มีโรงพยาบาลมากขึ้น คนวิกลจริตในท้องถนนในประเทศที่เจริญมีมากขึ้น คนในสังคมส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นส่วนนี้โดยเฉพาะก็ต้องมาจากต้นตอทางพวกที่เจริญ คือพวกฝรั่งน่ะโดยเฉพาะพวกฝรั่ง พวกฝรั่งเจริญทางวัตถุคนไทยเดินตามก้นฝรั่ง คนเหล่านั้นเห็นภัยอันตรายเปลี่ยนทิศทางเดิน พวกหางแถวนั้นก็เดินตามหันไปเรื่องทางจิตทางศาสนากันมากขึ้น เดี๋ยวนี้เราก็ได้แต่บอกว่าในขณะที่ลุ่มหลงกันอยู่เบียดเบียนกันอยู่ก็ลองคุยธรรมะ หรือทำความเข้าใจเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนากันบ้าง มันจะได้ทันจังหวะมันพอดี พอดีเห็นภัยในเรื่องทางโลกทางวัตถุ ก็เลี้ยวมาทางธรรมทางศาสนา ข้อนี้ต้องอย่าลืมว่าศาสนาไหนก็ได้ ไม่เฉพาะศาสนาพุทธ ถ้าใครก็ตามที่เป็นพุทธบริษัทที่ดีเนี่ยต้องใช้คำว่าที่ดี ถ้าเค้าเป็นพุทธบริษัทที่ดีจริงๆ ไม่ใช่ปลอม เค้าก็จะเป็นคริสต์เตียนที่ดี เป็นอิสลามที่ดีด้วยเสมอไป ต้องใช้คำว่าที่ดี คริสต์เตียนที่ดีหมายถึงประพฤติตรงตามคำสอนของพระเยซู ไม่มีอะไรส่วนที่มันเกินไปจากคำสอนของพระเยซูเกิดขึ้นที่หลังหรือแปลกออกไปนั้นเราไม่ถือว่าเป็นส่วนของคริสต์เตียนที่ดี มันอาจจะผิดกันแย้งกันก็ได้ ถ้าเป็นพุทธที่ดีก็จะเป็นคริสต์เตียนที่ดีเท่าที่พระเยซูต้องการ เป็นอิสลามที่ดีเท่าที่พระมูฮัมหมัดต้องการ ในข้อปลีกย่อยเปลือกนอกนั้นอย่าเอามา ฉะนั้นจงถือว่าเป็นคริสต์เตียนที่ดีก็ได้ เป็นพุทธบริษัทที่ดี เป็นอิสลามที่ดีอย่างน้อยก็จะต้องชาวพุทธที่ดีอยู่ส่วนหนึ่ง นี้ก็เพื่อจะแสดงว่าศาสนาไหนก็ได้ มันมีโอกาสด้วยกันทั้งโลกเพราะว่า แต่ละพวกๆก็มีศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นของตนอยู่แล้ว ยิ่งถ้าถูกความโง่หรืออวิชชาในทางโลกๆตบหน้ามากๆเข้ามันก็จะหันไปหาศาสนาของตน ทีนี้คนก็จะก้าวใหม่คือเป็นไปในฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณกันอีกทีหนึ่ง จังหวะก็จะพอดีกัน เมื่อคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศทั้งโลกนิยมอย่างนี้แล้ว พวกพระพวกเณรในวัดก็ต้องหมุนไป ไปตามได้ คนฉลาดก็จะวิ่งมาที่วัด ในวัดก็จะมีคนฉลาดหรือมีคนที่เป็นมนุษย์ที่พิเศษขึ้นอีก คนโง่ที่ใช้ศาสนาบังหน้าหากินมันก็ลดปริมาณลง เป็นจักรราศีที่วนเวียนอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นเดี๋ยวนี้มันอยู่ในราศีที่เป็นอย่างนี้ เราจะไปต้านทานด้วยพละกำลังแบบนี้เราก็จะกลายเป็นคนโง่เสียเองเหมือนกับเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง หักปากกาด้วยหัวเข่ามันยังทำไม่ได้ มันต้องรอจังหวะรอวิถีของมัน แต่ว่าเรามีทางที่จะทวงไม่ให้มันเป็นอย่างนั้นเร็ว มีทางที่จะทำไปเรื่อยๆ เพื่อหันเหทิศทางให้เป็นไปในทางดีขึ้นและควรตั้งใจทำอย่างยิ่ง
ที่พูดกันว่าจักรราศีนี้ก็หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่มีกำลังมาก เราจะไปหยุดชะงักมันไม่ได้ แต่เราอาจจะถ่วงหรือดึงหรืออะไรได้ ถ้าเราฉลาดเราก็ทำได้มากเหมือนกัน มันจะกลับหลังหันทันทีไม่ได้ จึงใช้คำว่าเป็นเรื่องไปตามจังหวะตามจักรราศี แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย ที่พูดนั้นเราหมายถึงเราอย่าไปท้อใจอย่าไปเสียใจกับเรื่องอย่างนี้มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ นอกจากนั้นเราก็พยายามแก้ไข ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ทำให้ถึงสุดความสามารถของเรา เราทำให้สุดความสามารถของเราอยู่เสมอไปเพื่อจะถ่วงอะไรหรือจะแก้ไขไปทางดีก็ตาม เรื่องที่จะยกเข้าไปในกรุงนั้นมันก็ได้ มันก็ได้ในระดับหนึ่ง เรื่องทางจิตทางวิญญาณนั้นอย่างน้อยมันก็สองสามระดับ ระดับที่ต้องการความสงบมากมันก็ต้องทำในป่า เหมือนกับว่าแรกๆเนี่ยฝึกหัดสมาธิในป่า ถ้ามันง่ายกว่าที่จะฝึกในโรงละครเหมือนอย่างกรุงเทพ เคยเขียนนานแล้ว ทำสมาธิในป่าง่ายกว่าในโรงละคร แต่ว่าไม่ใช่ว่าไม่ควรทำซะเลยในโรงละคร ถ้าในกรุงเราอาจจะจัดกิจการแบบมหรสพทางวิญญาณได้แต่มันต้องเป็นระดับที่หยาบกว่าแต่ถึงแม้เป็นระดับที่หยาบกว่าก็ยังดี เดี๋ยวนี้เห็นได้ว่าเรายังไม่เข้าใจกันทั้งกรุงจึงไม่สมัครไม่เสียสละที่จะจัดวัดนี้ให้เป็นที่พักที่พึ่งของจิตของวิญญาณ อย่างสมมุติเราเคยพูดกันครั้งหนึ่งว่าวัดบางวัดเป็นพุทธสมาคมก็จัดเสียใหม่นี้ก็มีคนหัวเราะเยาะเพราะเค้าว่า ไปดูสิ ไปดูพระในวัด วัดไหนเค้าจะยอม แม้วัดที่อยู่กลางเมืองอย่างยิ่งอย่างวัดสุทัศน์เนี่ยไม่มีทางที่จะยินยอมให้เปลี่ยนให้เป็นวัดที่สงบสงัด หรือกระทั่งเป็นพุทธสมาคมเพราะคนเหล่านั้นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว อาศัยวัดหาประโยชน์ส่วนตัวอยู่ จะไปแก้ไขให้เขาต้องออกจากวัด เขาไม่ยอมแน่ ฉะนั้นอยากจะเรียกว่าคนในกรุงทั้งกรุงยังหลับหูหลับตายังโง่เง่าในเรื่องนี้ ไม่พร้อมเพรียงกันบีบบังคับจัดเรื่องนี้ให้เป็นในความที่ควรจะเป็นได้ และยังต้องเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยไป ฉะนั้นถ้าเราจะจัดแบบสงบสงัดขึ้นในกรุงก็ไม่มีที่จะจัด ต้องจัดแบบพอดี สุดท้ายแล้วก็ยังดีกว่าไม่จัด ฉะนั้นถ้าใครคิดจะจัดก็เห็นด้วยเหมือนกัน มันคงจะได้ผลในระดับหนึ่ง เราจะให้เป็นเหมือนที่จัดที่บ้านนอกที่ภูเขาที่ป่านี้มันคงเป็นไปไม่ได้ แม้แต่จัดจะให้เป็นพาร์คนี้มันยังเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว ถ้าจะจัดได้ก็คงไม่ใช่ที่วัด ที่วัดพระไม่ยอม เค้าจะเอาที่ไว้ปลูกห้องแถวเก็บค่าเช่าบำรุงวัด พาร์คก็ต้องไปจัดที่อื่น ไปลองคิดดูถึงข้อนี้ ต้องไม่ใช่วัดหรือไม่ใช่เรื่องของศาสนาเสียแล้ว
ถ้าพูดถึงเรื่องแก้นี้ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด เป็นเรื่องที่มองเห็นและเคยคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นเรื่องต้องแก้ต้องปรับปรุงและมากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดจนถึงกับท้อ ส่วนของพระเองที่ไม่เกี่ยวกับชาวบ้านนั้นน่ะที่ต้องแก้ก็แก้จนไม่เหลือวิสัยจะแก้แล้ว นี้มีส่วนที่เกี่ยวกับชาวบ้านเข้ามาอีกมีเรื่องที่จะต้องแก้มากมายยิ่งขึ้นไปอีก กว่าจะไปเข้าหลักที่ว่าพระหรือวัดวาอารามนี้เป็นผู้นำในทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้มันไม่นำทางวิญญาณแล้ว มองไปดูถึงครูบาอาจารย์ตามโรงเรียนที่ถูกก็ควรเป็นผู้นำทางวิญญาณ มันก็ไม่เป็นผู้นำในทางวิญญาณไปแล้ว ฉะนั้นการแก้จึงดูเป็นปัญหาหนักยิ่งขึ้นทุกทีเพราะคำว่าครูเนี่ยไม่ทำหน้าที่ผู้นำทางวิญญาณเสียแล้ว กลับทำตัวเป็นผู้เจ็บเป็นคนเจ็บคนไข้คนหลงทางคนอะไรเสียเอง เป็นอย่างนี้ ดูที่วัดก็ตามครูที่บ้านที่โรงเรียนอะไรต่างๆ ชาวบ้านก็ตาม มันล้วนแต่มองเห็นว่าสรณะสูงสุดก็คือเงิน เกียรติยศ ชื่อเสียง เพื่อมันได้เงิน เงินก็เพื่อความสนุกสนานทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจ มีเท่านี้ วิญญาณอย่างนี้คือวิญญาณที่ตกต่ำมาก อาจจะเรียกว่าวิญญาณของสัตว์นรก หลงในทาง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อย่างเดียว พวกครูที่จะเป็นผู้นำทางวิญญาณ ทั้งครูที่วัดทั้งครูที่บ้านนี้ไม่นำในทางวิญญาณเสียแล้ว ถ้านำก็นำไปให้ผิดทาง นำไปให้เป็นทาสของวัตถุ ไม่ใช่ให้เป็นนาย เป็นอิสระเหนือวัตถุ ก็ลองคิดดูว่าจะแก้กันได้ยังไง จะแก้ครูเหล่านี้ได้ยังไง ในเมื่อกำลังอยู่ในสภาพที่มึนเมายิ่งกว่าเมาฝิ่นเมากัญชาเมาสิ่งเสพติดทุกชนิดจึงเห็นว่าแก้ยาก รวมความแล้วก็เรียกว่ามันแก้ยาก ก็ได้แต่ถือหลักของพระพุทธเจ้าว่า ก็พยายามแก้ไป เผื่อมันจะมีคนที่แก้ได้อยู่ส่วนหนึ่ง มันก็จะมีประโยชน์แก่คนส่วนนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านจัดแสดงธรรมะชั้นสูงเพราะเห็นแก่คนส่วนน้อยส่วนหนึ่งที่จะเข้าใจได้
แน่นอน ถ้าทำได้มันก็ได้ผลก็น่าทำ แต่ว่ามันต้องนึกถึงกำลัง กำลังที่จะทำไปได้ กำลังกายก็ดี กำลังใจก็ดี กำลังวัตถุก็ดีอะไรก็ดีมันทับอยู่หลายอย่าง แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าทำมากอย่างนักมันก็พร่า ท่านจึงตัดสินโดยเลือกเอาแต่ส่วนใดส่วนหนึ่งแนวใดแนวหนึ่งแล้วทำไปตามเท่าที่จะทำได้ ชนิดที่ไม่เป็นอันตรายกับตัวเองและที่มันแน่นอน ให้มันก้าวไปอย่างหนักแน่นก็ทำได้เพียงเท่านั้น สิ่งที่พูดมานั้นก็เห็นด้วยทุกอย่างแต่ว่ามันเหนือกำลัง
อย่างนี้เห็นด้วยเพราะมันเคยโดนมาแล้ว คือรวมความว่าจะแก้ปัญหาส่วนใหญ่นั้น ทั้งหมดนั้นมันมีอาการเหมือนกับว่าเอาลูกพรวนไปผูกคอแมว หนูตัวไหนจะเอาลูกพรวนไปผูกคอแมว มันก็เรียกได้ว่าเหนือวิสัย นี้มันก็มีลดลงมาเหลืออยู่แต่เพียงว่าพูดกันรู้เรื่องกี่คน ก็รวมๆกันไว้ก่อนรวมพวกกันไว้ก่อน มันมีไม่กี่คนที่จะพูดกันรู้เรื่อง ควรจะรวบรวมกันไว้ก่อนเหมือนกับที่คุณว่า เข้าใจกันได้กี่คนก็รวมกันไว้ก่อน มันจะค่อยๆมากขึ้นเอง ถ้าจะแก้ปัญหาทั่วโลกทั้งโลกก็ต้องใช้วิธีอย่างนี้ อย่าไปท้อใจแล้วไม่ทำ เข้าใจกันได้กี่คน พูดกันรู้เรื่องกี่คนก็ทำกันไปก่อน มันค่อยๆมากขึ้นไปเอง ในที่สุดมันก็จะถึงเวลาหนึ่งที่มันมีมากพอ เราก็คิดเห็นแก่ส่วนรวม โดยที่ว่าเราคงจะตายแล้วหลายหนกว่าเรื่องนี้จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เราไม่ทันจะเห็นมันไม่ทันอยู่ดูมัน เราก็พยายามทำไปสุดความสามารถ เพื่อมนุษย์ก็แล้วกัน เพื่อมนุษย์โดยมนุษย์ ไม่ใช่โดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง สิ่งนี้มันต้องทำแน่เพราะฉะนั้นจงพยายามหาคนที่เข้าใจกันและกันได้ รวมไว้เป็นสมาคมน้อยๆจนกว่ามันจะถึงเวลาของมันเอง มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด และมันก็แน่นอนที่สุดที่มันต้องปะทะกันบ้าง จัดตั้งหน่วยเรื่องแบบนี้มันก็ต้องปะทะกับส่วนใหญ่ ฉะนั้นก็ต้องเตรียมเสียสละไว้ล่วงหน้า มันอาจจะถูกต้านทานหรืออาจจะถูกทำร้ายอะไรสักอย่าง แต่ว่าอย่าทำมากเกินไปจนถึงกับเป็นอันตรายเสียก่อน ท่านก็ต้องระวังในข้อนี้ ข้ออย่าให้เค้าเข้าใจผิดมากจนขนาดให้เค้าจะมาฆ่าเราเสียก่อน เราทำไปในลักษณะที่ไม่ถึงอย่างนั้นและมันก็เป็นไปได้ด้วย แล้วมันก็เพาะเชื้อให้เป็นคนที่สามที่สี่แม้จะถูกฆ่าตายสักสิบคนก็ยังเหลือเก้าสิบคนร้อยคนก็ได้
เอาพวกที่ไหนมาทำกรมธรรม์ เพราะเรามันน้อยกว่าเขามาก พวกกรมธรรม์หมายความว่า เราต้องมากกว่าเขา เขาเป็นส่วนน้อยเราถึงรวมกรมธรรม์กับเขาได้ ทีนี้ส่วนใหญ่เขามากกว่าเราตั้งมหึมา แล้วเราจะไปลงกรมธรรม์กับเขาไม่ต้องพูดถึง ก็มีทางเดียวที่ว่าพยายามทำความเข้าใจให้ถูกต้อง นี้เป็นหลักพุทธศาสนา ทั้งหมดทุกอย่างตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิแปลว่ามีความเข้าใจถูกต้อง ฉะนั้นทำความเข้าใจให้ถูกต้องในระหว่างกันและกันด้วย แม้ปัญหาของโลกทั้งโลกที่รบลาฆ่าฟันกันอยู่นี้เพราะมันขาดสิ่งสิ่งเดียวคือความเข้าใจถูกต้อง นับตั้งแต่เบื้องต่ำที่สุดจนถึงเบื้องสูงที่สุดคือนิพพาน มันก็รวมอยู่ที่คำว่า ความเข้าใจถูกต้อง มันน่าจะตั้งหน่วยหรือสโมสร หรือสังคม สมาคมอะไรก็ตามที่ทำความเข้าใจถูกต้องกันไว้เรื่อยไป เป็นสมาคมสัมมาทิฏฐินี้ ให้มีประจำอยู่เสมอ มันลงรกลงรากของมันเอง มันแผ่ขยายออกไปเอง มันเกิดกำลังเกิดอะไรขึ้นมาเอง เช่นเดียวกับลัทธิต่างๆ ลัทธิการเมือง ลัทธิศาสนาต่างๆ มันลงรกลงราก มันขยายออกไปเอง เมื่อทำถูกวิธี