แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ภาพปริศนาธรรมชุดนี้เป็นอีกชุดหนึ่งต่างหากจากชุดที่เคยฉายกันอยู่ก่อน โดยไปรวบรวมภาพสมุดข่อยในหอสมุดแห่งชาติมา มันกระท่อนกระแท่น หลายเล่มด้วยกัน มากบ้างน้อยบ้าง ต้องเอามาลำดับเรื่องกันใหม่ แบ่งออกเป็น ๓ ภาค คือภาคที่เกี่ยวกับมารหรือความทุกข์นี้ภาคหนึ่ง สำหรับเกี่ยวกับเกิดผู้มีบุญที่จะปราบมารหรือฆ่ามารนี้ภาคหนึ่ง แล้วก็ภาคที่สามภาคสุดท้ายก็คือการฆ่ามาร ท้องเรื่องมีลักษณะเหมือนกับนิยายที่เรียกกันว่านิยายจักรๆ วงศ์ๆ จึงมียักษ์ มีมาร มีพระเอก มีนางเอกทำนองนิยายเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ และยิ่งกว่านั้นที่น่าสนใจก็คือนิยายหลายอย่างแสดงว่าภาพชุดนี้ทำที่ภาคใต้ อย่างน้อยก็มีเหตุผลสองอย่าง คือถ้อยคำที่ใช้นี้เป็นสำนวนภาคใต้ ถ้าอ่านออกมาตรงๆ ตามตัวหนังสือเหล่านั้นจะเป็นสำนวนภาษาภาคใต้ นี่อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งก็หนังตะลุงมันเป็นเรื่องของภาคใต้ นี่มันมีลักษณะหนังตะลุง ภาคกลางภาคเหนือขึ้นไปเล่นหนังตะลุงไม่เป็น แล้วก็มีบันทึกจารึกอยู่ที่สมุดบางเล่มเป็นของในสมัยกรุงศรีอยุธยา เก่ากว่ากรุงเทพ นี้ก็สมจริงโดยที่ว่าแบบที่เขียนนั้นมันก็เป็นสมัยอยุธยาได้ แม้ว่าเป็นสมัยอยุธยาก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำที่อยุธยาเสมอไป คือทำที่ภาคใต้แต่ในสมัยอยุธยา เมื่อเอาพ.ศ.เป็นหลักมันตรงกับสมัยอยุธยา หรือว่าเค้าเรื่องเขาจะมีกันอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยาหรือสมัยอยุธยา แล้วคนภาคใต้ไปเอามาจำลองขึ้นตามความพอใจของคนภาคใต้ รูปภาพมันเลยเป็นภาพหนังตะลุง ถ้อยคำมันเป็นคำภาคใต้อยู่ทั่วๆ ไป นี่คือเรื่องที่จะต้องทราบเป็นลำดับแรก
ทีนี้ก็จะได้พูดถึงเนื้อเรื่องเป็นลำดับไป แล้วอธิบายไปทีละภาพ เค้าเรื่องใหญ่ๆ ก็มีเรื่องมารเที่ยวเบียดเบียนสัตว์ สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของมาร จนกว่าจะเกิดผู้มีบุญมาปราบมาร นี้เรียกว่าเป็นอุปมา ส่วนอุปไมยคือตัวจริงนั้นก็คือว่า เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลกเพื่อปราบมาร คือสอนคนให้รู้จักประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสกำจัดมาร แม้ว่าท้องเรื่องจะเป็นหนังตะลุง มันก็เป็นเรื่องลึก ลักษณะเป็นหนังตะลุงก็จริงแต่ว่าเนื้อเรื่องมันเป็นเรื่องลึก คือปราบกิเลสด้วยธรรมะชั้นสูงที่เรียกว่าอนัตตาสุญญตานั้น ฉะนั้นจึงมีเรื่องอุปมาธรรมะชั้นสูง เพราะอาวุธที่จะเอาไปปราบมารนั้น เอาเขากระต่ายมาทำคันศร เอาหนวดของเต่ามาทำสายศร เอานอของกบมาทำลูกศร แล้วก็ยิงให้ได้แก้วที่ยอดนพสูรคือเก้าดวง ก็คือได้มรรคผลนิพพานเก้าดวง นี่ใจความมันมีอย่างนี้ ทีนี้เขาพูดเป็นเรื่องอุปมา เป็นลูกศร เป็นยิงศรฆ่ามารอะไรต่างๆ ก็คอยดูต่อไป
ทีนี้ภาพที่ ๑ ภาพนี้เอามาเป็นภาพที่หนึ่ง เป็นเริ่มเรื่องว่า สัตว์ทั้งหลายแปดจำพวกทั้งแปดจำพวก ตกอยู่ในข่ายของกิเลส เหมือนนกแปดตัวติดอยู่ที่ใยแมงมุมแล้วกลายเป็นเหยื่อของแมงมุมไปในที่สุด นกแปดตัวก็คือสัตว์แปดจำพวก สัตว์แปดจำพวกนี้ก็ถ้าเอาแต่จากข้างล่างลงมาก็คือพวกอบายภูมิสี่พวก ได้แก่ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และพวกมนุษย์หนึ่งพวก แล้วก็พวกชาวสวรรค์อีกสามพวกคือกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร สวรรค์ชั้นกามาวจรคือเทวดาที่ลุ่มหลงในกามคุณ สวรรค์ชั้นรูปาวจรคือพวกพรหมที่มีรูปหรือพอใจในรูป และพวกพรหมที่เป็นอรูปาวจร ไม่มีรูป ไม่พอใจในรูป ไม่เกี่ยวกับรูป ชาวอบายมีสี่คือ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ชาวมนุษย์มีหนึ่ง ชาวสวรรค์มีสามคือเทวดากามาวจร เทวดารูปพรหม เทวดาอรูปพรหม รวมกันจึงเป็นแปด นี้ก็หมายความว่าหมดเลย ไม่ยกเว้นสัตว์ชนิดใดหมด นับตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานขึ้นไปจนถึงพรหมสูงสุด แบ่งเป็นแปดจำพวก แล้วก็ตกอยู่ในข่ายของกิเลสข่ายของมาร ทำเป็นอุปมาได้เป็นนกแปดตัวติดอยู่ที่ใยแมงมุมนั้น และเป็นเหยื่อของแมงมุมนั้นในที่สุด นี้เป็นภาพเริ่มแรก เป็นใจความ เป็นธรรมาธิษฐานว่า สัตว์ทั้งหมดติดอยู่ในข่ายของกิเลส
ต่อไปภาพที่ ๒ เรื่องนี้เขาสมมติหรืออุปมาให้เป็นเรื่องที่มีมารผจญสัตว์ การที่สัตว์ติดอยู่ในข่ายกิเลสนั่นแหละคือติดอยู่ในอำนาจของมาร ใยแมงมุมคือข่ายกิเลส ข่ายกิเลสก็คือข่ายของมาร มารก็คือสัตว์ผู้ทำลายล้าง ฉะนั้นเขาอุปมามารนั่นแหละเป็นยักษ์ เป็นรูปยักษ์รูปมารอย่างนี้ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวปุตตมารอะไรก็ตาม เมื่อเรียกว่ามารก็เขียนเป็นรูปยักษ์ ยักษ์สี่ตัวสี่ตนนี้ หนังสือนั้นเขียนว่ามารตนหนึ่งแผลงศรเผาสัตว์ในกิเลสกามวัตถุกาม มารตัวที่สองขว้างจักร ขว้างจักรไปทำจิตสัตว์ให้ยินดีอยู่แต่ในภพทั้งสาม คือกามภพ,รูปภพ,อรูปภพ ไม่ประสงค์ความหลุดพ้น และมารตนหนึ่งถือตะบองไล่ตีต้อนสัตว์ให้เวียนอยู่แต่ในวัฏฏะ ในสวรรค์ ในมนุษย์ ในเทวดา คือในแปดจำพวกอย่างที่ว่านั้น ให้มันเวียนว่ายอยู่แต่ในการเป็นสัตว์แปดจำพวกนั้น ไม่หลุดพ้นออกไปสู่โลกุตระได้ ทีนี้มารอีกตนหนึ่งฝ่ายขวามือสุดนั้น เป่ายาพิษให้สัตว์หลับอยู่เรื่อย ให้หลับอยู่ด้วยอวิชชา มันก็หลงอยู่ในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเรื่อยไป คือหลงอยู่ในโลกียสุขเรื่อยไป เรียกว่าเต็มไปด้วยอกุศลธรรม ๑๔ ประการ คืออกุศลเจตสิกที่เป็นฝ่ายกิเลส ๑๔ ประการ นี่เดี๋ยวนี้เขียนเป็นมาร เขียนรูปภาพเป็นยักษ์เป็นมารที่น่ากลัว เป็นบุคลาธิษฐานเต็มที่ เป็นรูปเปรียบของคำว่ามาร ซึ่งหมายถึงกิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวปุตตมาร
เอ้า,ภาพที่ ๓ ต่อไป ที่มีจอมมาร ที่นั่งชี้มือ รูปสวยนั่งชี้มือให้สี่คนนั้นคือสี่มารนั้นไปทำหน้าที่ของมัน หนังสือเหล่านั้นเขียนว่า อำมาตย์ทั้งสี่นั้นล้วนแต่มีฤทธิ์ต่างๆ กัน จำแลงรูปกายของตนเข้าแทรกอยู่ในทุกตัวสัตว์ จับเอาดวงจิตได้ทุกสิ่งทุกสัตว์ให้อยู่ในเงื้อมมือ แล้วก็นำเอามาถวายแก่พญามาร อำมาตย์ทั้งสี่นั้นชื่อกิเลสมารตนหนึ่ง ชื่อขันธมารตนหนึ่ง ชื่อมัจจุมารตนหนึ่ง ชื่อเทวปุตตมารตนหนึ่ง หมายความว่าเมื่อยาพิษคืออำนาจของมารแผ่ไปในสัตว์โลกในโลกแห่งหมู่สัตว์ทั้งหมดแล้ว พญามารก็ทำอาการเบียดเบียนสัตว์
นี่จะต้องรู้จักเปรียบเทียบว่า เมื่อตะกี้นั้นมารเขียนเป็นรูปยักษ์รูปมาร เดี๋ยวนี้กลับเขียนเป็นรูปอย่างนี้ คือเป็นรูปคนปรกติธรรมดา แล้วพญามารก็สวย นี่แสดงว่าเขาก็รู้เรื่องดีเหมือนกันว่า มารนั้นต้องมาในลักษณะที่สวยหรือที่คนเห็นแล้วไม่วิ่งหนี ถ้ามาในลักษณะที่คนเห็นแล้ววิ่งหนี มันก็หนีเสียหมดคือจับไม่ได้ ฉะนั้นก็มาในรูปคนธรรมดาสามัญที่ไม่รู้ว่าเป็นมาร แล้วยิ่งเป็นจอมมารแล้วก็ยิ่งสวยมาก แล้วก็อยู่ปราสาทที่สวยมาก จอมมารนี้มันเป็นความหมายของทั้งหมดของมารทุกชนิด ส่วนสี่คนนั้นแจกออกไปเป็นกิเลสมาร ขันธมาร มัจจุมาร เทวปุตตมาร หมายความว่าความหมายของมันมีความหมายเดียว แล้วก็แจกออกไปเป็นสี่ชนิด ใช้ให้อำมาตย์เหล่านี้ไปจับเอาสัตว์มาอยู่ในอำนาจ กิเลสมารก็ไปทำหน้าที่ของกิเลสมาร ขันธมารก็ไปทำหน้าที่ของขันธมาร อย่างที่เราเคยอธิบายกันว่า กิเลสมารนั้นก็คือปัญหาที่เกิดมาจากกิเลส ขันธมารคือปัญหาที่เกิดมาจากความแก่ชราของขันธ์ มัจจุมารคือปัญหาที่เกิดมาจากความตาย เทวปุตตมารคือปัญหาที่เกิดมาจากเพื่อนมนุษย์ที่เป็นอันธพาล เห็นแต่ประโยชน์ตัวเล่นหัวสนุกสนาน แต่เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อน
นี่ถ้าพูดอย่างนี้ก็ไม่น่าขัน เลยต้องพูดให้มันเป็นมารเป็นสัตว์ดุร้ายอะไรขึ้นมาทีเดียว ที่จริงกิเลสมารหรือมารอะไรมันก็อยู่ในตัวคนคนนั้น แต่แล้วมันก็เล่นงานตัวคนคนนั้นเอง นี่มันน่าหัวเราะอย่างนี้ กิเลสก็อยู่ในคนคนนั้น แล้วมันก็เล่นงานคนคนนั้นเอง ขันธมารมันก็อยู่ในตัวคนคนนั้น แล้วมันก็เล่นงานคนคนนั้นเอง มันก็คือความโง่ความหลงความหลับหูหลับตาไม่รู้อะไรนั่นแหละของคนเหล่านั้น มันจึงได้หลงไปอย่างนั้น หลงไปอย่างนี้ แล้วก็โทษว่ามาร มารมาล่อ มารมาลวง ทีนี้เขาก็เลยถือโอกาสเขียนเป็นการหลอกลวงของพญามารไปเสียเลย ทำนองเป็นเรื่องหนังตะลุง ให้เด็กจำง่าย
เอ้า,ภาพต่อไปภาพที่ ๔ หนังสือที่ภาพนี้เขียนไว้ว่า ไอ้โกหกทั้งสี่มันพูดจาดี เป็นอุบายล่อลวงไอ้ตาบอดทั้งหลายว่าอยู่ที่นี่ยาก มา,กูจะพาไปเมืองมัจจุราช เธอจะประสิทธิ์ประสาทความสุขให้อิ่มไปด้วยโภชนาหาร ตระการไปด้วยเบญจกามคุณ นี่สี่คนนี้มันป่าวร้อง มีลิ้นลมคารมดี หลอกคนตาบอดนั้นให้ตามไป คนตาบอดก็คือคนที่มีอวิชชาเป็นๆ อยู่ตามธรรมดานี่แหละ เรียกว่าคนตาบอดเพราะมันโง่ ก็ถูกหลอกลวงโดยพญามารที่มาในรูปของนักเลงโกหกนั้น รูปเสือนั้นก็หมายความว่าคนตาบอดไม่รู้จักเสือ ไม่มองเห็นเสือ คนนั่งอยู่คือคนตาบอด และคนโกหกนี้เขาอยู่ในป่า ป่าก็คือกิเลส เป็นที่ซุ่มซ่อนของนักเลงโกหก นี่มันเนื่องกันมาจากภาพที่แล้วมาว่า มารทั้งสี่นี้เดี๋ยวมาอยู่ในรูปอย่างนั้น เดี๋ยวมาอยู่ในรูปอย่างโน้น อย่างนี้ตามควรแก่เหตุการณ์ที่มันจะหลอกลวงสัตว์ได้โดยวิธีใด นี้เขาหลอกลวงว่า อยู่อย่างนี้อย่างธรรมดาที่อยู่กันนี้ไม่สนุก ไปอยู่ที่เมืองของนายของเรา เมืองนายของเราจะเลี้ยงจะเลี้ยงดู นายของเราชื่อพญามัจจุราช คนตาบอดมันก็ไม่รู้พญามัจจุราชนั้นหมายความว่าอย่างไร คือมันตาบอดคือมันโง่ แล้วมันก็ยอมไปตามความล่อลวง
ต่อไปเป็นภาพที่ ๕ นี่เป็นอาการอันหนึ่งของการล่อลวง มีมารแปลงรูปเพื่อลวงนางกษัตริย์ทั้งปวงให้ลุ่มหลงอยู่ในปรางค์ปราสาท พาเข้าไปในห้องแล้วบริโภคเป็นอาหารแล ใจความสั้นๆ ก็คือว่าเขามีอะไรที่จะหลอกลวงผู้หญิงแม้ชั้นดีชั้นสูงให้ตกเป็นเหยื่อได้ นี่อย่างหนึ่ง
ต่อไปอีก ภาพที่ ๖ นี้เป็นการหลอกลวงโดยตัวผู้ชายที่นุ่งผ้าแดงนั่นแหละ ตามหนังสือที่เขียนว่ากิเลสมานีเนรมิตกายให้เหมือนพราหมณ์ ประกอบไปด้วยทรัพย์สมบัติมีภูเขาเงินเป็นต้น ตั้งอยู่แถบหนทางเดิน แล้วกล่าววาจาว่า อาตมาเป็นพ่อหม้าย ลูกเมียล้มตายจนหมดสิ้น ยังเห็นแต่กองทรัพย์ ดูรานะเจ้าพี่ จำเดิมแต่นี้ เจ้าจงเป็นใหญ่ในกองทรัพย์ ในที่สุดมารก็ลวงและจับผู้หญิงมาขังไว้บริโภคด้วยกามคุณ กินตัวเป็นอาหาร เป็นผาสุกทุกทิพาราตรีมิได้ขาดสายเลย นี่เขาลวงผู้หญิงธรรมดาโดยพูดง่ายๆ ดื้อๆ ว่ามาเป็นเจ้าของทรัพย์ ทรัพย์เป็นเครื่องหลอกลวง
ภาพต่อไปภาพที่ ๗ นี้แทนที่จะลวงเอง เขาใช้ผู้หญิงลวงผู้หญิงอีกต่อหนึ่ง หนังสือเขียนว่า มาณพมารใช้นางทาสีให้พูดจากับหญิงทั้งหลายว่า ข้าแต่แม่เจ้า เจ้านายของข้า ถ้าได้หญิงเหมือนแม่ไปเป็นภรรยาแล้ว ก็จะยกให้เป็นใหญ่ในเรือนหลวง ทรัพย์ทั้งปวงจะอยู่ในเงื้อมมือ ตัวข้านี้หรือก็จะเป็นทาส จะฝากตัวอยู่ใต้บาทพระแม่เจ้า เชิญเข้าไปเถิด อย่าช้า หญิงนั้นก็รับว่าไป พร้อมใจกันแล้วก็เข้ามาสังวาสอยู่ด้วยขันธมาร ให้บริโภคเป็นอาหารสิ้นทั้งชมพูทวีปแล มีใจความสั้นๆ ว่า เขาก็ไม่ได้ลวงเอง ใช้ผู้หญิงลวงเพื่อนหญิงด้วยกัน นี่มันก็ต่างกับที่แล้วมานิดหน่อย โน่นมันลวงเอง นี้ใช้ผู้หญิงลวงผู้หญิงอีกทีหนึ่ง ใช้สัตว์ลวงสัตว์อีกทีหนึ่ง
ต่อไปภาพที่ ๘ หนังสือเขียนว่า นางยักษ์จำแลงไว้ซึ่งเรือนแก้ว มีภูเขาเงินยวง รัศมีโชติช่วงขาวผ่อง ทั้งดวงพักตร์ของนางน้องก็จะแจ่ม เมื่อเจ้าจะยิ้มแย้มเหมือนหนึ่งบัวทองจะเบิกบานซึ่งเกสร อรชรระทดอยู่ทั้งกาย เมื่อเจ้าจะกรีดกรายขยับย่าง พระเต้าของนางก็มาเต่งตั่งอยู่เต็มทรวง ดั่งดวงดอกปทุมมาลย์ทั้งคู่ ชายใดได้ลูบต้องดูเนื้อนางที่เป็นทิพย์ ได้หยิบเข้าแล้วก็เพลิดเพลินติดใจอยู่จนตายในสถานที่นั้นแล ทีนี้ลวงในภาพของผู้หญิงที่ลวงผู้ชาย เมื่อตะกี้ผู้ชายลวงเอาผู้หญิงมา เดี๋ยวนี้กลับตรงกันข้ามว่าผู้หญิงที่เป็นเครื่องมือของมาร คือมารที่จำแลงเป็นผู้หญิงแล้วก็ลวงผู้ชาย ในลักษณะอย่างนี้ พาเข้าไปสู่อำนาจของมารได้
ภาพต่อไป ภาพที่ ๙ นี้เป็นวิธีลวงวิธีหนึ่ง โดยเขาเอาเครื่องทรงของกษัตริย์ ชฎาเสื้อผ้าอะไรต่างๆ มาวางไว้ ทีนี้ถ้าใครมา ก็จะให้เป็นกษัตริย์ ผู้ชายโง่คนนี้ก็เลยยอม นางมารนั้นก็เอาน้ำมาอาบให้ แต่งเนื้อแต่งตัวให้เป็นกษัตริย์ แล้วก็พาเข้าไปสู่อำนาจของตน หนังสือเขียนว่านางมารเนรมิตเรือนทองกับทั้งเครื่องกกุธภัณฑ์ทั้งห้าประการ แลภูเขาทองเป็นของราชาบริโภคไว้ให้สัตว์มากินดีหลงอยู่ แล้วนางก็ถือเอาซึ่งชีวิตแห่งสัตว์ทั้งนั้นเป็นอาหารของตนแล นี่เป็นวิธีลวงอีกแบบหนึ่งโดยเอาเครื่องที่จะเป็นเครื่องหมายของกษัตริย์นั้นมาวางไว้ให้คนอยากเป็นกษัตริย์ แล้วก็ตกอยู่ใต้วิสัยของมาร
ภาพที่ ๑๐ ต่อไป นี้ก็เป็นวิธีลวงอีกแบบหนึ่ง เขาจัดให้มีดนตรีมีระบำมีอะไรต่างๆ ที่เป็นเครื่องขับกล่อมนั้นไว้ให้พร้อม ทีนี้ผู้ชายคนนั้นก็หลงเข้ามายินดีในการขับกล่อมนี้ หนังสือเหล่านั้นเขียนว่านางมารยักษ์ร้าย มาเนรมิตไว้ซึ่งปรางค์ปราสาททอง แล้วให้มีนางระบำขับกล่อม ดีดสีตีเป่าโทนทับกระจับปี่ ให้สตรีและบุรุษมาลุ่มหลงอยู่แล้วนางก็จะพาเข้าไปในปรางค์ถึงแท่นทิพย์บรรทม ให้หลับแล้วนางก็ถือเอาเนื้อนั้นเป็นอาหารตามอัธยาศัยแห่งตนแล นี่วิธีลวงอีกแบบหนึ่งด้วยเครื่องดนตรีฟ้อนรำ คิดเอาเองก็แล้วกันว่าหมายความว่าอย่างไร ว่าอะไรมันเป็นที่ตั้งแห่งความหลงของคนโง่ นั่นแหละคือเครื่องลวงของมัน
ภาพต่อไป ภาพที่ ๑๑ นี้เขาเล่นอีกแบบหนึ่ง มารเป็นนางยักษิณีอยู่ในสระบัว อยู่ในดอกบัว แล้วเขาก็มาขี่ชิงช้านี้อยู่ที่ต้นไม้ รูปร่างอย่างนี้ เป็นนาคห้าหัว ทำจริตกิริยาอาการยั่วเย้าอยู่ ทีนี้ผู้ชายโง่คนนี้มาถึงเข้า ก็เลยตกอยู่ใต้วิสัยแห่งมาร แม้ว่ามันจะมีดาบมาในมือ แม้ว่ามันจะมีเวทมนตร์อาคมคาถาเก่งกล้าสามารถ เป็นนักเลงหรือเป็นอะไรมาก็ตาม ก็เข้าไปสู่อำนาจของนางมารนั้นได้ ทั้งที่มีอาวุธมีเวทมนตร์คาถา นี้เขาเขียนเป็นต้นไม้ มีนาคเป็นหัวๆ อยู่ห้าหัวห้ากิ่งนั่นแหละ มันคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ/ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่เป็นอิฏฐารมณ์ นั่นแหละคือต้นไม้ แล้วมันก็ขี่ชิงช้าอยู่ที่นั่น แล้วมันก็คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนั่นแหละ เป็นเครื่องล่อให้คนเข้าไปตกอยู่ในวิสัยอำนาจของมาร นี่ก็เป็นวิธีหลอกลวงอีกแบบหนึ่ง
เอ้า,ต่อไป ภาพที่ ๑๒ นี้เป็นภาพติดแล้ว หมายความว่าเมื่อล่อลวงโดยวิธีต่างๆ อย่างที่ว่ามาแล้วเป็นต้นนั้น มันก็มีการติดเข้าไปในอำนาจของพญามาร ในที่นี้ซึ่งเปรียบเหมือนกับนายพรานคนนั้น พญามารเปรียบเหมือนนายพราน ดักแร้วไว้สามแร้ว เป็นเต่าแร้ว มาติดแร้วหนึ่ง เต่าก็มันน่าหัวเราะที่ว่ามันเป็นเต่ามันยังไปติดแร้ว แล้วอีเก้งนั้นก็แร้วหนึ่ง และนกก็แร้วหนึ่ง มันไม่เหมือนกันนะ นกอยู่บนฟ้ายังมาติดแร้วได้ เต่าอยู่ในน้ำก็ขึ้นมาติดแร้วได้ อีเก้งอยู่ตามป่ามันก็มาติดแร้วได้ นี่เป็นอุปมาของสัตว์ที่ติดอยู่ในกามภพ ในรูปภพ ในอรูปภพ ในกามภพคือภพที่มีกามคุณ ตั้งแต่สัตว์ที่ในอบาย มนุษย์ถึงเทวดาชั้นกามาวจร นี่เขาเรียกว่ากามภพ ทีนี้สวรรค์ชั้นพรหมก็เรียกว่ารูปภพ สวรรค์ชั้นอรูปพรหมก็เรียกว่าอรูปภพ รวมกันเป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ หมวดใหญ่ๆ ๓ หมวดนี้ ล้วนแต่ติดแร้วของพญามารทั้งนั้น หนังสือเขียนไว้อย่างนี้ น่าหัวเราะมาก แร้วทั้งสามได้แก่กามภพ,รูปภพ,อรูปภพ ผูกตัวสัตว์ไว้ให้สัตว์ดิ้นตาย ลำบากทั้งรูปทั้งกายและจิต สัตว์มิอาจจะคิดแก้ออกได้ ได้แต่ดิ้นไปดิ้นมาด้วยบ่วงพญามัจจุราช มิรู้ขาดมิรู้หรอ มาผูกคอรูดกระสัน นายพรานมันตีมันรัน เฆี่ยนขับจับเอาตัวมาคั่วมานาบ ทำหยาบทุกสิ่ง มาปิ้งมาจี่อยู่ทั้งเป็น กินเล่นเป็นแกล้มเป็นกับ จับเอาตัวผู้คนด้วยอวิชชา ตัณหา กิเลส อ่านไม่ออกสองสามคำแล้ว เอามาทำเป็นห่อหมกใต้ครอก ปรนนิบัตินอกพระศาสนา เป็นคุกไฟอกุสลา ขังไว้ให้ค่าทารกรรม ต้มยำแกงกินเป็นอาหาร ตามสำราญใจพระองค์ ที่ต้องประสงค์นั้นแล พญามารเอาสัตว์ไปทำห่อหมกกินเอาไปแกงกิน นี่พอหลังจากหลอกลวงแล้วมันก็ติด ติดอยู่ในบ่วงของมาร นี่ต่อไปนี้มันก็จะเป็นทุกข์
เอ้า,ภาพที่ ๑๓ นี่คืออาการที่เป็นทุกข์ อำมาตย์ของมาร เสนาของมาร เที่ยวจับผู้คนพาไปให้พญามาร ไม่ต้องอธิบายอะไรก็ได้ อ่านตามหนังสือที่เขามีอยู่นั้นดีกว่า ฝ่ายว่าทนายทั้งสี่ก็ไปจับเอาสัตว์มาผูกคอนั้นอย่างหนึ่ง ผูกเอวและศอกไว้อย่างหนึ่ง ผูกตีนไว้อย่างหนึ่ง นี่ดู แล้วก็จูงนำมาถวายแก่พญามัจจุราช ถึงแม้ว่าผู้ใดจะมีกำลังวังชา จะคุมพวกคนพหลมาเต็มทั้งหมื่นจักรวาล มีมือถือไปแล้วด้วยเครื่องศาสตรา สหัสถามธนูปืนน้อยใหญ่ กำซาบหอกดาบ ทรงพหลกำลังนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าจะแวดล้อมตัวอยู่ด้วยกำแพงทั้งเจ็ดชั้นก็ดี ก็มิอาจจะป้องกันทนายทั้งสี่นั้นได้ มันจับตัวได้โดยง่ายดายมาถวายแก่พญาผู้เป็นใหญ่กว่าโลกทั้งปวง ถึงจะเป็นใหญ่ในพรหมโลกนู้นก็ดี มันจับมาได้สิ้นแล แสนมหาแต่พระโมคคัลลานะมีกำลังมากก็ไม่พ้น พระสารีบุตรมีปัญญามากก็ไม่พ้น พระปัจเจกโพธิ์ทั้งปวงก็ไม่พ้นจากปากมัจจุราชนั้นได้ แสนมหาแต่พระเจ้าสร้างบารมีทั้งสามอย่าง ประเภทสัทธาธิกะ,วิริยาธิกะ, ปัญญาธิกะ ก็ยังบ่ายพักตร์เข้าสู่นิพพานแล/ ตรงนี้ผู้แต่งเรื่องนี้ ใช้ภูมิปัญญาที่ต่ำไปหน่อย เอาความตายไปปนกับนิพพาน ที่จริงเขาก็พูดถูกว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องนิพพานคือตาย แต่มันไม่ถูกอย่างยิ่ง เพราะมันอธิบายเป็นคำพูดสำหรับคนชั้นต่ำว่าทุกคนก็ต้องตาย แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องตาย จึงอยู่ในอำนาจพญามาร ให้กลัวพญามารมากเกินไป ถ้าอธิบายด้วยธรรมะชั้นสูง พระอรหันต์เหล่านี้อยู่เหนือความตาย ไม่มีความหมายเป็นความตาย เขาอธิบายไม่เป็นจึงเขียนไว้อย่างนี้ ฉะนั้นเราต้องถือเอาใจความเอาเองว่ามันพูดสำหรับคนทั่วไปว่าทุกคนต้องตาย ต้องไปสู่อำนาจของมาร มัจจุมารคือความตาย แต่ว่าอธิบายให้ง่ายกว่านั้นก็คือว่า มันต้องมีสัตว์ทั้งหลายนี้มันต้องถูกพญามารเอาไปทำให้เกิดความทุกข์
ภาพต่อไป ที่ ๑๔ นี่คืออาการทนทุกข์ต่างๆ นั้นมันถูกตัดคอ ถูกตัดหัว ถูกตัดคอ ถูกมัดด้วยงูสี่ตัว นี่มานั่งร้องไห้กันอยู่ แสดงอาการเป็นทุกข์ทั้งนั้น หนังสือนั้นเขาเขียนไว้ว่า พญามัจจุราชมาตั้งไว้ซึ่งหัวตะแลงแกงทั้งสี่ทิศ ให้มีนายเพชฌฆาตที่จะฆ่าซึ่งฝูงสัตว์ทั้งปวง ชื่อนายชาติคนหนึ่ง นายพยาธิคนหนึ่ง นายชราคนหนึ่ง นายมรณะคนหนึ่ง มีเครื่องจำสำหรับมือนั้นคืออสรพิษทั้งสี่ คือคนที่มันมีงูสี่ตัวพันตัวอยู่นั่น เครื่องจำสำหรับมือนั้นคืออสรพิษทั้งสี่ ตัวหนึ่งตอดเอาปฐวี ทำให้กายผอมแห้งแข้งก็ด่าง ตัวหนึ่งตอดเอาอาโป ทำให้เปื่อยเน่าพุพอง ตัวหนึ่งตอดเอาเตโช ทำให้เกิดพิษร้อนเผาไหม้เกรียมกรมไปทั่วทุกตัวสัตว์ ตัวหนึ่งตอดเอาวาโย ขบเข้าแล้วก็ตายลงในที่นั้นแล ทีนี้ก็ว่าทนายของพญามัจจุราชตัดหัวสัตว์ทิ้งไปเต็มทั้งหมื่นโลกธาตุ สัตว์ทั้งหลายก็ยังมารักร่างกายแห่งตนทั้งหญิงและชาย ไม่รู้ว่านี้เป็นเครื่องจำแห่งพญามัจจุราช คือกิเลสตัณหาที่เป็นตัวเรานี้แล สะอื้นไห้ร้องไห้รักอยู่ในชีวิต สองคนข้างล่างนี้มันร้องไห้รักร่างกาย นี่ก็เป็นความทุกข์ เป็นภาพของความทุกข์ เป็นอุปมาของความทุกข์อย่างหนึ่ง
ทีนี้ภาพต่อไป ที่ ๑๕ นี่ต้องดูให้รู้ว่ามันเป็นภาพอะไรเสียก่อน ผู้หญิงคนที่เดินนั้น ไฟติดอยู่ในอก ผู้หญิงถัดมาลูกศรเสียบอยู่ที่อก ผู้หญิงที่ตัวเป็นสัตว์นั้นไฟลุกอยู่ในตา แล้วก็มีเด็กคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ เพลิงลุกอยู่ในอกได้แก่กามราค เปลวของมันได้แก่โทโส ควันของมันได้แก่โมโห ทีนี้ศรนั้นได้แก่ความรักความหวงแหนทิฏฐิมานะปักอยู่ในดวงจิต ทีนี้ไฟที่ลุกอยู่ในตานั้นเผากายแห่งตนแล้วไปไหม้เอาสัตว์โลกทั้งปวง ทำให้สัตว์ทั้งหลายไม่รู้จักศีลทานการกุศล ปราศจากปัญญาแล ทีนี้เด็กร้องไห้นั้น อยากกินนมแม่ ฉันใดก็ดี จิตก็มิพอใจที่จะจากไปจากกิเลสแม้แต่ขณะจิตหนึ่งได้ สัตว์รักกิเลสเหมือนเด็กรักแม่ อธิบายว่าอย่างนั้น ความหมายว่าสัตว์นี้มันรักกิเลสเหมือนเด็กรักแม่ ไม่อยากจะจากแม่ นี้ก็เป็นเรื่องความหมายของความทุกข์อีกแบบหนึ่ง คือเมื่อพญามารทำอันตรายเอา มันก็มีความทุกข์ ฉะนั้นความทุกข์นี้ก็เป็นแบบหนึ่งๆ หลายๆ แบบ
เอ้า,ภาพต่อไปที่ ๑๖ ทีนี้มันมาถึงอุปมาอีกก่อนอื่น ซึ่งเป็นอุปมาที่เล็งถึงมารเหมือนกันพญามารเหมือนกัน เมื่อตะกี้มารเป็นยักษ์ มารเป็นคนล่อลวง เป็นอะไรต่างๆ ทีนี้ผู้ร้อยกรองเรื่องนี้เขาเอาฤาษีพระเจ้าอะไรมาเป็นมารหมดเลย หมายความว่าแม้แต่ฤาษีนี้ก็ยังมีที่เป็นมาร หรือว่าแม้แต่มารนี้ก็แปลงร่างไปเป็นฤาษี ตัวมารจะแปลงร่างเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้นตามที่มันต้องการเพื่อให้มันหลอกลวงสัตว์ได้ก็แล้วกัน ฉะนั้นในบางกรณี มารมาอยู่ในสภาพของฤาษี ฤาษีประเภทที่เป็นมาร ทีนี้ฤาษีสองตนนี้ มันถือตราชูแล้วก็จับสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงใส่ลงไปในจานตราชูของแก ซึ่งมีความหมายว่าจับสัตว์มาไว้ในอำนาจแห่งตน หนังสือเขาเขียนว่า ดาบสมารหยิบเอาดวงจิตแห่งสัตว์ด้วยกำลังพระเวทย์มนตรา นำมาใส่ลงในตราชูอันวิเศษ ให้สัตว์นั้นมันมาหลงอยู่ในปฏิสนธิ ให้สัตว์มาหลงอยู่ในการเวียนว่ายตายเกิด มั่นคงอยู่ดั่งลิ้นตราชูของกูคือเบญจกามคุณแล มาอยู่ในจานนี้แล้วก็คือออกไปไม่ได้ เพราะมีเบญจกามคุณเป็นเครื่องดึงไว้ ทีนี้ฤาษีองค์ทางโน้นนะ ขวามือ ดาบสมารมาอ่านซึ่งมนตร์ชื่อว่ามหาจินดา ให้สัตว์ทั้งปวงต้องลุ่มหลงอยู่ด้วยบุตรภรรยาสามี อย่าให้จิตมันมายินดีในศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาได้ ให้มันทำแต่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นอกุศลอยู่เป็นนิจขึ้นชื่อว่าผิด ให้เร่งทำอกุศลกรรมใส่ตัวของตนนั้นแล ฤาษีนั้นนั่งอ่านมนต์เพื่อทำให้สัตว์หลงอยู่แต่ในความหลงในที่ตั้งของความหลง อย่าให้มันไปรู้จักของจริงได้ มันจึงให้ทำแต่อกุศล นี่ดาบสมาร มารที่มาอยู่ในรูปของดาบส
เอ้า,ต่อไป ภาพที่ ๑๗ ฤาษีตัวนี้ซัดพญานาคไป ฤาษีตัวโน้นโปรยยาไปทั่วโลก ตัวซ้ายมือนั้นหนังสือเขียนไว้ว่า ดาบสมารมาสำแดงฤทธิ์แล้วก็ปล่อยไปซึ่งพวงนาคบาศก์ ให้มันไปผูกรวบรัดสัตว์ไว้ทั้งหมื่นโลกธาตุ ให้มันมาเผาไหม้อยู่ในกามโอฆะ ทิฏฐิโอฆะ และอวิชชาโอฆะ กามโอฆะ น้ำคือกาม, ทิฏฐิโอฆะ น้ำคือทิฏฐิ, อวิชโชฆะ น้ำคืออวิชชา ให้มันมาจมอยู่ในน้ำทั้งสามคือกามโอฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ บ่วง,นาคนี้คือบ่วงไปคล้องสัตว์มาให้จมน้ำอยู่ในน้ำทั้งสาม นี่ฤาษีตัวขวามือ ดาบสมาร อ้อ,เดี๋ยวก่อน มือข้างนี้ มือขวาของฤาษีตัวที่ถือนาคนี้มีจักรอยู่ในมือ แล้วก็บางทีก็ขว้างจักรไป จักรที่อยู่ในมือทางขวานี้ ขว้างจักรไปให้เผาไหม้จิตสัตว์ ด้วยอำนาจของราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ คือไฟ ไฟทั้งสามคือราคะ โทสะ โมหะ มือซ้ายของแกซัดนาคไป ทำให้สัตว์จมอยู่ในน้ำทั้งสาม มือขวาของแกขว้างจักรไปทำให้สัตว์ไหม้อยู่ในไฟทั้งสาม ทีนี้ดาบสตัวนู้นโปรยยา ดาบสมารมาทิ้งแท่งยาไปให้ถูกทุกตัวสัตว์ ให้มันหลงอยู่ ให้มันหลงรักอยู่ด้วยคาถายาแฝดแพทย์มนต์ดล คงทนล่องหนอิทธิใจ ที่เป็นเสนียดจัญไรให้อยู่แก่จิตมันนั้นทั้งสิ้น ให้คนทั้งหลายมันมาผูกมั่นอยู่ในกามวิตก วิหิงสาวิตก พยาปาทวิตก หวั่นไหวอยู่ในโลกธรรมนั้นจงเป็นนิจ หมายความว่ายาที่ซัดไปนั้น ไปถูกสัตว์โลกเข้าแล้ว มันก็จะกรุ่นอยู่ด้วยอกุศลวิตกสามประการ คือวิตกในกาม วิตกในเบียดเบียน วิตกในทำผู้อื่นให้ลำบาก วิตกในพยาบาท เขาถือว่าเป็นเพราะอำนาจดาบสมาร สัตว์จึงได้มีอาการอย่างนี้ มารในรูปของดาบสเขาเล่นละครแบบนี้
ทีนี้ต่อไปภาพที่ ๑๘ นี่ไปเล่นงานเอาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์เข้าแล้ว ให้พระคเณศ ให้พระอิศวรให้อะไรมาเป็นมารหมด ตรงนี้ผู้อธิบายต้องออกตัวสักหน่อยว่า ภาพนี้เขาเขียนไว้ไม่ใช่เราเขียน การที่ผู้เขียนไปเอาพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์มาเป็นมารนี้ สันนิษฐานว่าผู้ประดิษฐ์ภาพปริศนาธรรมชุดนี้ขึ้นนั้นเป็นผู้มีความรู้ความคิดไปในทางที่ว่าศาสนาพราหมณ์นั้นเป็นศาสนาผิด ฉะนั้นเมื่อผิดก็ให้โทษและเป็นมาร เขาจัดให้ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาผิดหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิไป แล้วก็ลามปามไปถึงพระเจ้าของศาสนาพราหมณ์ว่านี้ก็เป็นตัวการที่ทำให้สัตว์เป็นทุกข์หรือหลงอยู่ในกองทุกข์ นี่พระคเณศก็ถูกจัดให้เป็นมาร หนังสือเหล่านั้นเขียนไว้ว่า พระคเณศ,พระพิฆเณศมารร้าย มาอ่านพระเวทย์มหาวิเศษจินดามณี แล้วก็ยื้อแย่งทุบตีฝูงสัตว์ทั้งปวง จับกระชากฟาดให้ลำบากเวทนาเจ็บไข้อยู่งกงัน ทุกตัวสัตว์ให้ล้มตายไม่เลือกว่าหนุ่มแก่ ให้สอยอายุทุกตัวสัตว์ แก่ชราหัวหงอกฟันหักเอามากินอายุกำลังชีวิตสัตว์ และมอบให้แก่พระกาฬนั้นแล พ่อพระคเณศนี้เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยอายุของสัตว์แล้วก็มอบให้แก่ความตาย เราก็อธิบายไปตามตัวหนังสือที่เขียนไว้ ไม่ได้เจตนาที่จะทับถมศาสนาอื่น ให้รู้ความประสงค์ของผู้ทำภาพปริศนาชุดนี้ว่าเขาเพ่งร้ายต่อศาสนาพราหมณ์ จัดไว้เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นมารด้วย จึงจัดให้มารมาอยู่ในรูปของพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์เช่นนี้
ภาพถัดไปภาพที่ ๑๙ นี้เขาเล็งถึงพระอิศวร อิศวรมารร้ายผู้เป็นใหญ่มานั่งอยู่เหนือยอดคีรีกาฬบรรพต ปรากฏไปด้วยฤทธิ์ เนรมิตซึ่งกาย อ่านพระเวทอาคมให้สัตว์ทั้งปวงมาหลงรักอยู่ในวัน คืน เดือน ปี รูปกายยศถาบรรดาศักดิ์ อย่าให้ยินดีในศีลทานการกุศล ให้สัตว์เวียนว่ายอยู่ในบ่วงคือลูกรักและเมียงาม สามีภรรยาพี่น้องญาติมิตรนั้นเถิด เพราะเหตุว่ากลัวอาชญาแห่งกูพระอิศวร ทำให้พระอิศวรเป็นมาร ในฐานะที่มาอ่านคาถาพระเวท ทำให้สัตว์มาหลงรักอยู่ในวันคืนเดือนปี ก็คือสัตว์ไม่อยากตาย สัตว์หลงรักอยู่ในวันคืนเดือนปี หมายความว่าสัตว์ไม่อยากตาย สัตว์ไม่ยอมตาย รักความเป็นอยู่ หลงอยู่ในอายุ การหลงอยู่ในอายุนี้หมายความว่าไม่ยินดีในการกุศล มัวเมาอยู่ในเรื่องของอายุ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็เลยว่าให้มันเวียนว่ายอยู่ด้วยบ่วงคือลูกรักและเมียงามสามีภรรยาพี่น้องญาติมิตรนั้นเถิด นี่หน้าที่ของพระอิศวรมารร้าย
ทีนี้ต่อไปภาพที่ ๒๐ นี้พระนารายณ์ คว้ารวบหมด พระนารายณ์ มารร้าย อิศวร ยักษ์อะไรก็ตาม อยู่เขาแก้วกาลา มีอาชญาแผ่ไปเหมือนหนึ่งไฟกาฬ อ่านแล้วซึ่งคาถา รักษาไว้ซึ่งปีตามฤดู ผูกดวงชะตาสัตว์ไว้ในราศีให้หมดทั้งสิบสองนักษัตร ทั้งหมื่นโลกธาตุ จะได้จับเอามาบริโภคเป็นอาหาร สิ้นทั้งท้าวพญาสามล เศรษฐีคหบดีพ่อค้าชาวนาอินทร์พรหมยมยักษ์พญาสัตว์ พุทธภูมิ ปัจเจกโพธิสาวก เข้ามาอยู่ในปากเราสิ้น ตอนนี้ผู้ทำปริศนาธรรมชุดนี้รู้ธรรมะน้อยอีกตามเคยที่ให้พระพุทธเจ้านั้นมาอยู่ในปากของมารนี้สิ้น แกหมายถึงความตายธรรมดาทางร่างกาย แต่ตอนต้นนี้ว่าดี คือให้สัตว์ติดอยู่ในนักษัตรสิบสองราศี ให้มันโง่มันหลงอยู่ในเรื่องราศี โชคชะตาราศีเกี่ยวกับดาวดวงนั้น ดาวดวงนี้ ดาวดวงโน้นสิบสองนักษัตร ให้มันโง่หลงอยู่ในเรื่องโหราศาสตร์สิบสองนักษัตร หมายความว่าเขาเล็งถึงว่าการโง่หลงอยู่ในการเชื่อโชคชะตาราศีก็เป็นฝีมือของพญามารเหมือนกัน นี่ปันหน้าที่ให้พระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ทำหน้าที่หลอกลวงสัตว์เบียดเบียนสัตว์อย่างนี้ในฐานะที่เป็นมารด้วย จึงเรียกว่าอิศวรมารร้าย พิฆเณศมารร้าย นารายณ์มารร้าย
เอ้า,ภาพต่อไปที่ ๒๑ นี้พรหม,พระพรหม แสดงตัวออกมาทางพวกพราหมณ์ พวกพราหมณ์ก็สอนให้บูชายัญ เอาสัตว์มาบูชายัญ เอาวัวเอาควายเอาม้าเอาเป็ดเอาไก่เอาแพะมาบูชายัญ กระทั่งเอาคนมาบูชายัญ นี่ก็คล้ายๆ กัน หนังสือเขียนว่า อกุศลพรหมกระทำเพศบูชายัญ จะให้ไฟกัลป์กินแผ่นดิน เผาสิ้นทั่วไปทั้งมนุษย์และสัตว์ให้เวียนเกิดตายอยู่ในสังสารวัฏ ให้แคล้วจากสวรรค์นิพพานอยู่ที่นี่ สมมติว่าจบอกุศลสังเขป เอาแต่ใจความเถิดพ่อ ยังรู้แล ยังพอรู้แล เรื่องพระเจ้าของฝ่ายศาสนาพราหมณ์ ถูกเอามาทำให้เป็นฝักฝ่ายของพญามารหมดอย่างนี้ เป็นเรื่องอุปมา เป็นบุคลาธิษฐาน ทีนี้ตรงนี้อาตมาเห็นว่า เอาเรื่องที่เป็นข้อความธรรมะตรงๆ มาแทรกไว้ตรงนี้เลยก็ดี เพราะว่ามันมีภาพด้วยเหมือนกัน
อันต่อไปเป็นภาพที่ ๒๒ เราจะเปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องธรรมะที่ไม่ไปด่าใครแล้ว ไม่ไปกระทบกระทั่งใคร นี้ก็มาเริ่มด้วยเรื่องอินทรีย์ นกอินทรีย์ นกตัวใหญ่นั้นคือนกอินทรีย์ แล้วมันก็กินคนนั่นแหละ เหลือแต่กระดูกแต่ก้าง ทีนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้อยู่เพราะว่าคนหนึ่งถูกกินไปแล้ว และกลัวจะถูกกินด้วย นี่ที่เรียกว่ามารๆ นั่นแหละ ทีนี้เรามามองกันในแง่ที่มันใกล้ชิดเข้ามาอีก คือมาอยู่ในตัวเรานี้มากเข้ามาอีก คือเป็นนกอินทรีย์ที่อยู่ในตัวเรา หนังสือเขาเขียนว่า อินทรีย์ตัวร้ายกินกายสัตว์ทั้งปวงเป็นอาหารอยู่เป็นนิจ ทำลายชีวิตทุกภพทุกปักษ์ เกิดที่ไหนกินทั้งนั้น ไม่สำคัญว่าหนุ่มแก่ ไม่เลือกเลย ทุกตัวสัตว์ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์มาร้องให้รัก ส่งเหยื่อให้แก่นกอินทรีย์กินรูปกายแห่งตน นี่เขียนไว้ดีมาก อินทรีย์ก็คือกิเลสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วมันก็ทำให้คนลำบากหรือถึงตาย นี้เรียกว่ามันกินกายแห่งสัตว์ ตา หู จมูก ลิ้น กายแห่งสัตว์นั่นแหละ มันกินกายแห่งสัตว์ คือมันทำกายแห่งสัตว์ให้เป็นทุกข์จนถึงกับเรียกว่าตาย
ทีนี้ก็จะมีภาพต่อไป เป็นภาพที่ ๒๓ จำแนกนกอินทรีย์ให้เห็นง่ายขึ้น นับดูมันจะมีนกอินทรีย์หกตัว ข้างบนห้าตัว ข้างล่างหนึ่งตัว เป็นหกตัว หนังสือเขียนไว้ว่า อินทรีย์ตัวหนึ่งจิกกินลูกกะตา อินทรีย์ตัวหนึ่งจิกกินแก้วหู อินทรีย์ตัวหนึ่งจิกกินจมูก อินทรีย์ตัวหนึ่งจิกลิ้นเป็นอาหาร อินทรีย์ตัวหนึ่งเอากายเป็นอาหาร อินทรีย์ตัวหนึ่งกินดวงจิต จับอยู่ที่ต้นมะเดื่อ มะเดื่อนั้นเป็นลูกแล้วสุกขึ้นเป็นโอปปาติกะอยู่ในนั้นแล อินทรีย์ตัวหนึ่งจิกกินลูกตา หมายความว่าอินทรีย์ทางตา มันทำความทรมานที่ตา อินทรีย์ทางหู มันทำความทรมานที่หู อินทรีย์ทางจมูก มันทำความทรมานที่จมูก อินทรีย์ทางลิ้น มันก็ทรมานลิ้น อินทรีย์ทางผิวหนัง มันทรมานผิวหนัง อินทรีย์ทางจิต มันก็ทรมานจิต ทั้งหมดมันจับอยู่ที่ต้นมะเดื่อ ต้นมะเดื่อนั้นคือร่างกายนั่นเอง ต้นมะเดื่อไม่มีแก่น เขาเปรียบเหมือนร่างกายนี้ ...เสียงขาดหายไป (นาทีที่ 59.21) มะเดื่อมันเป็นลูก เป็นโอปปาติกะ หมายความว่าแม้มันเป็นต้นมะเดื่อ เป็นมะเดื่อนี้ ไม่มีแก่นนี้ มันยังเป็นลูก คือทำให้เกิดเป็นรู้สึกเป็นตัวกูเป็นของกูขึ้นมาทีไร ก็เรียกว่าเป็นอุปปาติกะทีนั้นทุกที ตัวกูของกูนี้ก็เกิดผุดขึ้นมานี้ก็เป็นใหญ่เลย ไม่ต้องเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่เต็มที่เลย เดือดจัดเต็มที่เลย แล้วก็ดับไป แล้วก็เดี๋ยวเกิดทางโน้นอีก เดี๋ยวเกิดทางนี้อีก นี่อย่าทำเล่นกับร่างกายที่เปรียบเหมือนต้นมะเดื่อ นี่นกอินทรีย์มีอยู่หกตัว แต่ถ้ารวมเรียกกันแล้วก็คือหนึ่งตัว เป็นนกอินทรีย์ก็แล้วกัน เดี๋ยวมันทางตาที เดี๋ยวมันทางหูที ทางจมูกที อย่างนี้ก็ถูกกว่า แต่เดี๋ยวนี้เขาพูดให้มันง่ายกว่านั้นว่ามีนกอินทรีย์ทั้งห้าตัวหกตัวประจำอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร้อนเป็นไฟอยู่เสมอ
เอ้า,ภาพต่อไปที่ ๒๔ นี่เป็นภาพที่เอามาต่อเข้าตรงนี้ในฐานะที่มันเกี่ยวกับต้นมะเดื่อหรือร่างกายด้วยกัน นกอินทรีย์มันจับอยู่ที่ต้นมะเดื่อ เป็นอุปปาติกะขึ้นมาบ่อยๆ ภาพนี้ก็เป็นภาพเกี่ยวกับต้นมะเดื่อและลูกมะเดื่อ นกเงือกไข่แล้วให้ผัวฟัก เอาดินปิดปากโพรงไว้มิให้ออกได้ ตัวเองไปเที่ยวหาเหยื่อ ได้ลูกมะเดื่อมาป้อนผัว ลูกมะเดื่อตกจากปากนกเข้าไปอยู่ในโพรงไม้นั่นแล ที่ตรงดำๆ ต้นที่สองนั้นมันมีโพรงไม้ มีนกตัวหนึ่งโผล่หัวออกมา นกตัวบนนั้นเป็นนกตัวเมียไปหาเหยื่อมาป้อนผัวที่ถูกบังคับให้ฟักไข่แล้วเอายางเหนียวมาไล้ปากโพรงไว้หมด ออกมาไม่ได้ นี่ตัวเมียเอาลูกมะเดื่อมาป้อนตัวผัว แล้วตัวผัวทำลูกมะเดื่อตกลงไปในโพรง แล้วลูกมะเดื่อนั้นจะเป็นมนุษย์ขึ้นมา
เอ้า,ภาพต่อไปที่ ๒๕ นั่นแหละมีต้นไม้และมีโพรง ลูกมะเดื่อตกลงไปในโพรงไม้ ทีนี้แมลงหวี่ในลูกมะเดื่อนั้น มันเกิดเป็นนางกุมารีกับเจ้าจิตตกุมารขึ้นมา นางกุมารีกับเจ้าจิตตกุมารนี้อาศัยอยู่เป็นสุขสบายในโพรงไม้รังนั้นเป็นนิจ วันที่จะเกิดเหตุ นางกุมารีเกิดไปเห็นนางชาติ นางพยาธิ นางชรา นางมรณะเข้า แล้วนางก็ลืมเผลอสติไป ชวนนางเหล่านั้นมาให้เป็นทาสีรับใช้ก่อไฟตักน้ำเฝ้าประตูให้อยู่รักษาตัว ไม่รู้ว่านั่นเป็นทูตของพญามัจจุราชแล นางที่นั่งอยู่ข้างต้นไม้ ทีแรกมันอยู่กันสบายกับพระกุมารนั้น พอต่อมามันไปรับสี่คนนี้ที่เป็นคนแปลกหน้ามา เลยชักชวนมาอยู่ด้วย ไม่รู้ว่านั่นคือชาติ ชรา พยาธิ มรณะ มันจึงมีปัญหาเรื่องชาติ ชรา พยาธิ มรณะขึ้น ทีนี้ภาพข้างบนที่นกอินทรีย์ถูกยิงนั้นเขาเอามาแกมไว้เป็นเรื่องของฝ่ายมาร หมายความว่านกอินทรีย์นั้นถ้าถูกยิงให้ตายแล้ว เรื่องนี้ก็จะจบจะสิ้น เรื่องชาติ ชรา พยาธิ มรณะนี้จะจบจะสิ้น ทีนี้พญามารก็สั่งให้นางสาวใช้ทั้งสี่นี้คอยหลอกคอยปิดบังอำพรางไว้ให้ดี อย่าให้กุมารากุมารีสองคนนี้รู้จักยิงนกอินทรีย์ได้ ฉะนั้นมันก็ไม่รู้จักการฆ่านกอินทรีย์ ฉะนั้นเด็กสองคนนี้ก็ต้องมีความทุกข์ เพราะถูกนกอินทรีย์จิกกินตา จิกกินหู จิกกินจมูก จิกกินลิ้น จิกกินกาย จิกกินหัวใจอย่างที่ว่ามาแล้ว
ภาพต่อไปที่ ๒๖ นั่นนกอินทรีย์มันจิกกินตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่เรื่อย นี่ก็เลยนั่งร้องกันใหญ่ พอรู้ว่านกอินทรีย์นี้คือยักษ์ร้าย เขาก็เลยคิดหนี หนีกันเลย หนังสือเขียนว่า เจ้าชาตบุตรกับนางจิตตกุมารีนี้หนีนกอินทรีย์และมารร้ายมาร้องไห้อยู่ที่ต้นโศก ประชุมกันอยู่ อุปมาดีไหม นี้คือต้นโศก มานั่งโศกกันอยู่ สัตว์ทั้งหลายมานั่งโศกกันอยู่ที่ต้นโศก ทีนี้ก็มีเทวดาชนิดไหนก็ไม่รู้แอบอยู่ในต้นไม้นั้น คือรุกขเทวดานั้น พูดออกมาว่า อ้าว,ทำไมมาร้องกันอยู่ที่นี่ล่ะ ทีนี้เด็กๆ นั้นก็บอกว่า หนีนกอินทรีย์มา หนีมัจจุราช ความตายที่เกิดจากนกอินทรีย์ มา,มาขออยู่ด้วย ขอให้ช่วยเถิด เทวดาก็ว่าได้ๆ อย่ากลัว เราจะบอกให้ ให้ไปเอาแก้วที่หอไตร คือพระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ เอามาให้ได้สิ แล้วแกก็จะพ้นจากนกอินทรีย์ เทวดาเขาแนะแนวให้อย่างนั้น นี่เราเอามาเป็นภาพที่เป็นเรื่องราวของความทุกข์ แล้วก็มีวี่แววมีลู่ทางที่ว่าจะดับทุกข์ได้ก็เพราะแก้วที่หอไตร
เอาล่ะ,ก็จะปิดฉากภาคหนึ่งนี้ด้วยภาพต่อไปอีกสองภาพคือภาพที่ ๒๘ จะสรุปความว่าอะไรๆ มันอยู่ที่อวิชชา ภาพนี้ตั้งชื่อเอาเองว่า ความรักของอวิชชา ความเอ็นดูของอวิชชาที่มีต่อสัตว์ มันเป็นกินนรสองตัวผู้เมีย มันเห็นลูกชาวบ้านเขาทิ้งไว้ไม่ดูแลนี่ มันเลยไปเอามา มันรัก,มันรักจริงๆ มันจึงได้เอามา เอาเด็กทารกนั้นมา ทีนี้มันเป็นนก ไม่มีนมให้กิน ในที่สุดทารกมันก็ตาย นี่คือความรักของอวิชชา ความเอ็นดูของอวิชชา ความรักความเอ็นดูที่อวิชชาจะมีให้แก่เรามันมีอย่างนี้ ระวังให้ดี อย่าให้อวิชชามันรักนัก อย่าให้อวิชชามันเอ็นดูเลย ช่วยตัวเองดีกว่า
ทีนี้ภาพสุดท้าย ต่อไปเป็นภาพที่ ๒๙ นั่นแหละอวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูป นามรูปให้เกิดอายตนะ อายตนะให้เกิดผัสสะ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส คือความทุกข์ทั้งปวง นับดู ได้สิบสอง สิบสองใบจักร แต่ละใบจักรๆ มีคนอยู่คนหนึ่ง คือมันแทนธรรมะหนึ่งๆ ในปฏิจจสมุปบาท ๑๒ นับตั้งแต่อวิชชาไปจนถึงความทุกข์ นี่จักรแห่งอวิชชา หมุนติ้วอยู่นี้ โดยการส่งต่อ ต่อๆ กันไป เขาเข้าใจเขียน คนนี้มีความคิดเก่งมากนะ ที่เปรียบคนสิบสองคนอยู่ในใบจักร เป็นเครื่องหมายของปฏิจจสมุปบาท วนเวียนอยู่ในกองทุกข์วันหนึ่งไม่รู้กี่รอบไม่รู้กี่ครั้ง เจอตัวกูของกูทีหนึ่งก็เรียกว่ามีปฏิจจสมุปบาทรอบหนึ่ง แล้วก็ถูกกินแหละ ทางตา ทางหู ทางอะไร ก็เจ็บปวดรวดร้าวอะไรทีหนึ่ง นี่เรียกว่าวงหนึ่งล่ะ ๑๒อาการอย่างนี้ นี้เราก็จบ
ทีนี้ก็มาถึงภาคที่ ๒ คือเป็นภาคที่จะเกิดสิ่งที่จะกำจัดมาร ในนามของคำว่าผู้มีบุญ ผู้มีบุญจะมาเกิดแล้วก็จะทำลายมารจะฆ่ามาร ผู้มีบุญนี้เขาเรียกชื่อต่างๆ กันว่าพญาจักรบ้าง อะไรบ้างแล้วแต่เขาจะสมมติให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ภาคที่ ๒ นี้ก็จะเริ่มขึ้นมาด้วยพวกเทวดา ในตอนท้ายของภาคที่ ๑ มันก็เท้าความอยู่แล้วว่าเด็กๆ นั้นมันไปร้องไห้กับเทวดา เทวดาว่าอย่าร้อง จะช่วย ให้ไปหาแก้วที่หอไตรมา แล้วก็จะหมดปัญหา นี่ก็หมายความว่า สัตว์ทั้งหลาย เด็กๆ นั้นก็คือสัตว์ทั้งหลาย หันไปหาเทวดา ก็หมายความว่าผู้ที่มีสติปัญญาหรือมีอำนาจบ้าง แล้วก็เป็นเทวดาสัมมาทิฏฐิไม่ใช่อันธพาลที่จะลุ่มหลงอยู่ในกองทุกข์ ฉะนั้นก็คือธรรมะ เทวดาในที่นี้ก็คือธรรมะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่จะพอจะมีอยู่ได้ในจิตใจของสัตว์ทั้งหลาย ธรรมชาติฝ่ายสูง ธรรมชาติฝ่ายฉลาดมันก็มีอยู่ในใจสัตว์ แล้วมันแบ่งภาคออกมาเป็นเทวดาประเภทนี้
ในภาพที่ ๓๐ นี้ มีข้อความเขียนไว้เต็มไปหมดนั้นว่า ฝ่ายว่าฝูงคนทั้งปวงกลัวภัยมัจจุราช กลัวฝูงนกอินทรีย์ กลัวยักษ์ที่กินสัตว์ทั้งปวงเป็นอาหาร แล้วจะยังไฟกาฬให้ลุกไหม้แผ่นดินจะถึงแก่กาลสิ้นแห่งกัปป์ จึงได้พากันตั้งสัจจาธิษฐานว่า อย่างไรหนอ ที่จะพ้นจากไฟกาฬ ขอเทพยเจ้าจงดลบันดาลให้ปรากฏเฉพาะหน้า บอกมรคาหนทางที่จะหลีกลัดจากสงสาร แก่ข้าผู้วอนขอโดยสัตย์โดยจริง ด้วยคำสัจจาธิษฐานจะบังเกิดกุศลเข้าดลใจ พรหมทั้งปวงลงมาบอกแก่ฝูงคนให้เร่งจำศีลภาวนา จึงจะได้พบพระเจ้าที่สร้างบารมี จึงจะพาหนีออกจากพญามัจจุราชได้ไปสู่เมืองพระนิพพาน อย่ากลัวแก่พระกาฬมัจจุราช จงถือเอาดวงแก้วอุทกประสาท เพราะอาจจะสอดส่องตามคลองพระกรรมฐานได้ถึงบานประตูพุทธจักรอันประเสริฐ จะพาเข้าไปบังเกิดตามพระเจ้าในอดีตที่อยู่ในนิพพาน ตั้งอยู่เป็นเอกันตบรมสุข อย่าเป็นทุกข์เลยที่ว่าจะกลัวพระกาฬ เร่งหาเถิด นี่ถ้าไม่เข้าใจก็อาจจะฉงนว่า เมื่อตะกี้นั้นเอาพระพรหมเอาเทวดาพระเจ้าอะไรเป็นมารไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ก็มามีเทวดามีพรหมมาอีก ที่มาเป็นคู่ปรึกษาหารือกับสัตว์ทั้งปวงที่จะพ้นจากมาร ฉะนั้นขอให้เข้าใจว่ามารพระเจ้าเทพเหล่านี้ก็มีฝ่ายที่เป็นมาร เทวดาฝ่ายที่เป็นมารก็มี เทวดาฝ่ายที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็มี ข้อนี้ต้องนึกถึงในจิตใจของสัตว์ บุคคลคนหนึ่งบางคราวมันเป็นฝ่ายต่ำ บางคราวมันเป็นฝ่ายสูง เมื่อฝ่ายต่ำมันพาไปสู่ความทุกข์ทนทรมานหนักเข้าๆ มันก็เบื่อมันก็เอือม มันก็เป็นโอกาสของฝ่ายสูง ความรู้สึกฝ่ายสูงจะแวบออกมาทำหน้าที่ นี่จึงเรียกว่ามีเทวดามีพรหมอะไรมากระซิบบอกแล้วว่าต้องทำอย่างนี้ๆ สัตว์นั้นคือจิตใจนั้นมันก็เลยเห็นลู่ทางเห็นแสงสว่าง มันก็เลยหันไปหาความรู้สึกชนิดสูง ก็จะไปกันได้ ฉะนั้นในภาพนี้เขาเขียนน่าดูมาก ปรับทุกข์กัน ข้างบนนั้นเป็นเทวดา แล้วมีกิริยาอาการเป็นทุกข์ด้วย ข้างล่างนี้ก็วอนขอ เป็นทุกข์เต็มที่ ก็แปลว่าเห็นอกเห็นใจกันที่จะแก้ปัญหาเรื่องความทุกข์นี้
ทีนี้ภาพถัดไปที่ ๓๑ นี่เทวดาทั้งหลายประชุมกันปรารภพระธรรม ที่อยู่ในผอบทองนั่นแหละคือพระธรรม คือพระอภิธรรม พวกเทวดาทั้งหลายก็หมายความว่ามันก็มีความรู้สึกคิดนึกสูงกว่าชาวบ้าน ฉะนั้นจึงเกิดเป็นฝ่ายที่ชอบพระธรรม บูชาพระธรรม หรือสนใจในพระธรรม ตั้งอกตั้งใจที่จะเชิดชูพระธรรมเอามาเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก นี่เขาประชุมกันที่จะเอาพระธรรมนำมาเป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก โดยพวกเทวดาก่อน ก็คือความรู้สึกฝ่ายสูงมันเริ่มหันไปหาพระธรรมแล้ว เริ่มไปฝากเนื้อฝากตัวกับพระธรรมแล้ว
ภาพต่อไปที่ ๓๒ นี่เขาก็เลยเอาพระธรรมมาเทิดทูนกันเป็นการใหญ่ เทวดาทั้งหลายทุกชนิดเอาพระธรรมมาวางลงแล้วก็สมโภช สมโภชพระธรรมให้เป็นหลักฐานเสียที นี่ทางออกของสัตว์ที่ร้องไห้อยู่ มันก็เริ่มตั้งขึ้นแล้ว เริ่มตั้งต้นแล้ว และการที่ว่ามันหันมานิยมพระธรรม ก่อนนี้มันเป็นวัตถุนิยมจัด บ้าไปในเรื่องเนื้อหนังไม่มีสร่าง เดี๋ยวนี้มันสร่างขึ้นมาแล้ว มันก็เลยแน่ใจว่า โอ้,พระธรรมนี้จะช่วยได้ คนมีปัญญาก็เอาก่อน คนโง่ก็เอาทีหลัง นี่กำลังนิยมยินดีสมโภชพระธรรมกันเป็นการใหญ่
เอ้า,ทีนี้ภาพต่อไปภาพที่ ๓๓ นี้เป็นอุปมาที่น่าดูที่สุดเลย นี่พระธรรมมาบนหลังราชสีห์ ให้ว่าพระธรรมนี้ขี่ราชสีห์ นี้ถ้าพูดอย่างอุปมาก็ว่า ราชสีห์เอาพระธรรมมาให้ เทวดาเป็นบริวารตามหลังพระธรรมมา มาให้สัตว์โลก พระธรรมขี่ราชสีห์มา
เอ้า,ต่อไปภาพที่ ๓๔ นี้ราชสีห์อีกชนิดหนึ่ง บรรทุกพระธรรมมา คือพระธรรมขี่ราชสีห์อีกชนิดหนึ่งมา
ต่อไปภาพที่ ๓๕ นี่ก็ราชสีห์อีกชนิดหนึ่งบรรทุกพระธรรมมา กลายเป็นว่ามีราชสีห์อยู่ ๓ ชนิด เอาพระธรรมมาแต่ละชนิดๆ เขาคงจะเล็งถึงพระสูตรพระวินัยและพระปรมัตถ์,วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก แห่กันมาสำหรับสัตว์โลก ที่ได้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลก ที่น่าคิดก็คือมันขี่ราชสีห์มา หมายความว่ามันมีอำนาจ ไม่มีอะไรต้านทานได้ แต่ถ้าจะอธิบายให้เด็กๆ ฟังก็ว่า โอ้,เดี๋ยวนี้แม้แต่สัตว์ป่าสัตว์ร้ายนี้มันก็ยังมาสมทบด้วย,โว้ย ที่จะมาช่วยกันกู้โลกหรือแก้โลกให้พ้นจากความทุกข์นี้
เอ้า,ภาพต่อไปภาพที่ ๓๖ นี้เทวดาเตรียมกันใหญ่สำหรับผู้มีบุญจะมาเกิด เพราะบัดนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าผู้มีบุญหรือพญาจักรจะมาเกิดเพื่อจะล้างมารให้สิ้นไปจากโลก เทวดาทั้งหลายก็ตระเตรียมกันใหญ่ อาศัยความรู้ความฉลาดนี้ ก็มีการตระเตรียมถึงขนาดที่เรียกว่าเอาซากศพมาชุบให้เป็นคนขึ้นมา เอาน้ำรดลงบนโครงกระดูก ชุบซากศพให้เป็นคนขึ้นมา ๓ คน เป็นนาง ๓ นาง แล้วก็ตั้งชื่อนางคนที่หนึ่งว่านางทัศนจักรแก้วมณีโชติ และนางคนที่สองชื่อว่านางอัศจักรแก้วอุทกประสาท และนางคนที่สามชื่อว่านางปัญจกัลยาณีแก้วมโนหรจินดา แล้วยังแถมชุบนางทาสีขึ้นมาอีกคนเรียกว่านางศรีศีลขันธ์ เป็นนางรับใช้นางทั้งสามนั้น ชื่อนี้น่าฟังและไม่เพียงแต่น่าฟัง มันน่าคิดด้วย คือนางทัศนจักรแก้วมณีโชติ แล้วก็นางอัศจักรแก้วอุทกประสาท แล้วก็นางปัญจกัลยาณีแก้วมโนหรจินดา สามนางนี้จะไปเป็นคู่บารมีของพญาจักรที่จะฆ่ายักษ์ และมีนางคนใช้อีกคนชื่อว่านางศรีศีลขันธ์ ชุบแล้วก็จัดการต่อไป
ภาพที่ ๓๗ เทวดาพานางนางหนึ่งเหาะไปไว้ในปรางค์ปราสาทเบื้องอุตตรกุรุทวีป เพื่อจะกระทำราชาภิเษกกับพญาพุทธจักรซึ่งพระดาบสจะชุบขึ้นเพื่อจะปราบมาร เป็นคู่สร้างพระโพธิญาณกับนาง นี่พานางคนหนึ่งไปไว้ที่อุตตรกุรุทวีป
ภาพต่อไปที่ ๓๘ แล้วก็พานางอีกคนหนึ่งไปไว้ในปราสาทที่อมรโคยานทวีป สำหรับจะได้ทำราชาภิเษกกับพญาธรรมจักร ปราบฝูงยักษ์และมารให้อยู่ในเงื้อมมือ
นี่ภาพต่อไปที่ ๓๙ เทวดาพานางอีกตนหนึ่ง นางที่สามไปไว้ในปราสาทที่อยู่ในปุพพวิเทหทวีป สำหรับจะได้ทำราชาภิเษกกับพญาสังฆจักร นี่รวมความว่านางทั้งสามนั้นถูกแยกกันไปไว้คนละทวีปๆ ก็ไปคิดเอาเองว่ามันหมายความว่าอะไร นางสามคนแยกไปไว้สามทวีป เดี๋ยวก็จะพอรู้ นี้เป็นการเตรียม เป็นการตระเตรียมอย่างใหญ่หลวง คือพวกเทวดาก็เตรียมพระธรรม พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ ใส่ราชสีห์เอามา ทีนี้เทวดาพวกหนึ่งก็ชุบนางสามนางพร้อมกับทาสีอีกคนหนึ่งเตรียมไว้สำหรับผู้มีบุญที่จะมาเกิด นี่มีการตระเตรียมมากขนาดนี้ ทีนี้ต่อไปนี้ก็จะเป็นเรื่องการเกิดของผู้มีบุญหรือพญาจักรนั้น
ต่อไปเป็นภาพที่ ๔๐ ฤาษีหรือดาบสนี้ชื่อว่าพุทธดาบส ดาบสองค์ขาวนั้นชื่อว่าพุทธดาบส อยู่ในถ้ำทอง เลี้ยงศิษย์คนเป็นศิษย์ไว้ ๖ คน พร้อมที่จะชุบสัตว์ผู้มีวาสนา คนหนึ่งไม่มีตาก็รู้ดู คนหนึ่งไม่มีหูก็รู้ฟัง คนหนึ่งไม่มีปากก็รู้พูด คนหนึ่งไม่มีจมูกก็รู้กลิ่น คนหนึ่งไม่มีตีนก็รู้เดิน คนหนึ่งไม่มีมือก็รู้จับ คนไม่มีมือก็รู้จักจับจักฉวย คนเหล่านี้ที่ไม่มีมือไม่มีปากนี้มันทำหน้าที่ของมันเมื่อถึงเวลาถึงโอกาส คนที่ไม่มีมือนั้นมันไปถอนเอาเขากระต่าย กระต่ายตัวนั้นมีเขา ก็ถอนเอาเขากระต่ายมาถวายแก่พระดาบสเพื่อจะชุบเป็นคันศรสำหรับคนมีวาสนา จะได้เป็นพญาบรมจักร จะได้หักฤทธิ์แห่งฝูงมาร จะประหารให้สิ้น แล้วจะไปตั้งพระศาสนา ทีนี้คนทั้งหกคนนั้นไปนำเอามาซึ่งกเลวระคือซากศพที่เหลือแต่กระดูกโครงหนึ่ง เอามาให้พระดาบสชุบขึ้นด้วยกำลังฤทธิ์ของพระองค์แล นี่ผู้มีบุญนี้เขาชุบขึ้นมาจากซากศพคนหนึ่ง ซึ่งใครก็ไม่รู้
เอ้า,ภาพต่อไปที่ ๔๑ นี่เขาชุบจากกองไฟนั้น เอาซากศพมาเผาไฟ เอาโครงกระดูกมาเผาไฟแล้วเกิดเป็นคนขึ้นมา เป็นเด็กขึ้นมา พระดาบสชุบผู้มีบุญ เด็กคนนี้คือที่จะเป็นผู้มีบุญ ชุบขึ้นมาโดยพระดาบสชื่อพระพุทธดาบส แล้วก็เอาพระขรรค์และศรคันศรให้ คันศรที่ชุบขึ้นมาจากเขากระต่ายให้เด็กคนนี้ พร้อมทั้งพระขรรค์อีกอันหนึ่งด้วย ตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่าพญาพุทธจักร แล้วก็ให้มีคันศรชนิดที่เรียกว่าสหัสสถามธนู สหัสสถามธนูแปลว่าคันธนูที่พิเศษมาก ที่ต้องใช้คนพันคนจึงจะโค้งคันธนูน้าวสายธนูปล่อยลูกศรได้ เขาเรียกว่าสหัสสถามธนู และคันศรที่ชุบขึ้นมาจากเขากระต่ายนั้นมีลักษณะเป็นสหัสสถามธนู ขนาดใช้คนพันคนจึงจะโค้งคันศรยิงได้ แต่แล้วเด็กคนนี้เป็นเด็กผู้มีบุญมาเกิด มันจึงใช้ธนูนี้ได้ นี่ก็เลยบอกไว้ต่อไปว่า สหัสสถามธนูนี้ เขาจะเอาไปยิงยอดปราสาทที่เมืองนพบุรีที่เป็นเมืองยักษ์ จะทำลายเมืองยักษ์ จะบุกเข้าไปเมืองยักษ์ด้วยการยิงศรนี้ แล้วเดี๋ยวก็จะแนะวิธียิงศรโดยพระดาบสอีกองค์หนึ่ง
เอ้า,ภาพต่อไปที่ ๔๒ นี่พระดาบสมอบคันศรอันนั้น พระกุมารก็พาคันศรไม่มีสายนี้ไป โดยพระดาบสพุทธดาบสนี้บอกว่า ให้ไปพบพระธรรมดาบส ให้เด็กนี้ไปหาพระธรรมดาบส เธอปรากฏอยู่ในถ้ำแก้วมณี ประกอบไปด้วยกำลังฌาน เธอพิจารณารู้แจ้งเห็นปรากฏแล้ว ก็จะชุบสายศรแก้วด้วยขนเต่าให้แก่เจ้าโดยตรง พระองค์จะมอบซึ่งฤทธิ์ จะใช้คนทั้งห้ามารับที่ท่ามกลางมรคา ไม่มีโพยภัยอันตราย เธอไปเถิด ให้เป็นสุขสบาย จะได้เป็นพญาบรมจักรแล้วไปด้วยแก้วเจ็ดประการนั้นแล พระฤาษีก็บอกเด็กคนนั้นว่าอย่างนี้ ให้เด็กคนนี้พาคันศรไปหาพระธรรมดาบส แล้วพระธรรมดาบสจะช่วยต่อไป
ภาพต่อไปที่ ๔๓ นี่พระกุมารนี้ก็ไปหาพระธรรมดาบส ไปเพียงครึ่งทางเท่านั้นแหละ คนใช้หรือลูกศิษย์ของพระธรรมดาบสมันมารับครึ่งทาง นี่หนังสือเขาเขียนว่า คนใช้ของพระธรรมดาบสคนหนึ่งมีตาข้างเดียวบอดอยู่แต่ในครรภ์ จะมีตาเป็นสองนั้นหามิได้ แต่ว่าแลเห็นไปทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการ อีกคนหนึ่งหูหนวกมาแต่ในท้อง อีกคนหนึ่งมีจมูกไม่รู้หอมไม่รู้เหม็นไม่หายใจ อีกคนหนึ่งเป็นใบ้มาแต่ในท้อง ไม่รู้ร้องไม่รู้พูด คนหนึ่งนั้นตีนกุดแค่เข่าไม่รู้นั่งไม่รู้เดิน ดูเถอะ,มันเขียนให้ตาบอด หูหนวก ไม่มีจมูก ไม่พูด ตีนกุด นี่พอถึงเวลามันทำหน้าที่ได้หมด ต้องนึกถึงคำอธิบายธรรมะที่ว่ามีตาเหมือนตาบอด มีหูเหมือนหูหนวก มีอะไรก็เหมือนกับไม่มี คือไม่รับอารมณ์ใดๆ มาปรุงแต่งให้เป็นทุกข์เหมือนเรื่องเต่าหินตาบอด ภาพในตึกนั้น คือเป็นการเขาอุปมาคนห้าคนนี้มันควบคุมตาหูจมูกลิ้นกายได้ เป็นผู้มีธรรมะอย่างใหญ่หลวงนั่นแหละ ทีนี้พอพระกุมารมาพบกันครึ่งทางนี้ ที่เป็นใบ้ก็พูดได้ ที่ขากุดก็เดินได้ ที่ตาบอดก็เห็นได้ ที่หูหนวกกูก็ได้ยินได้ ที่ไม่มีจมูกกูก็หายใจได้ มันก็ทำหน้าที่ของตัวได้ในการที่จะช่วยพระกุมาร เขาก็เลยพาพระกุมารไปหาพระธรรมดาบสโดยสะดวก มารับถึงครึ่งทาง นี่ธรรมะชนิดนี้มันช่วยคนได้ครึ่งทางที่จะไปนิพพาน ฉะนั้นหัดเป็นตาบอด หูหนวก อะไรกันเสียบ้าง
ทีนี้ภาพต่อไปที่ ๔๔ นี่พระกุมารก็เข้าไปหาพระธรรมดาบส พระดาบสถาม ก็บอกความว่า มาแต่พระพุทธดาบสบอกให้มาสู่สำนักของพระองค์ จงกรุณา ข้าจะขอเรียนวิชาการ พระฤาษียินดีชื่นชมภิรมย์รัก เจ้านี้จะได้เป็นพญาธรรมจักรอันประเสริฐ เธอจึงชุบให้ซึ่งสายศร ให้ทำไตรเภทพิธีของพระดาบสนั่นแล นั่นดูในภาพนั้นมันมีเต่าอยู่ตัวหนึ่ง พระดาบสก็เอาหนวดของเต่านี้มาชุบเป็นสายศรให้แก่พระกุมาร//