แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ภาพต่อไปนี้เรียกว่าภาพชุดโทรเลขจากเซน คำว่าโทรเลขก็เป็นที่รู้กันได้ว่ามันเป็นเรื่องด่วนเรื่องข่าวด่วน ต้องรีบบอกหรือข่าวสำคัญ โทรเลขจากเซน โทรเลขจากพวกเซน มีความหมายดังภาพแต่ละภาพดังต่อไปนี้
ภาพแรกนี้เป็นภาพลำไม้ไผ่ ท่านเห็นได้ว่าเป็นภาพลำไม้ไผ่ นี่ขอทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า ภาพชุดนี้ไม่ได้สวยงามทางวิจิตรศิลป์ทางอะไรเลย เป็นศิลป์ในทางแสดงความคิดเห็น ในเมืองไทยไม่ค่อยจะพูดกันถึงว่ามีศิลป์ชนิดหนึ่งคือศิลป์ในการแสดงความคิดเห็น ถ้าว่าศิลป์แล้วก็มักจะด้วยเรื่องสวยงาม ประณีต บรรจง ไพเราะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ศิลป์ที่ดีกว่านั้นก็คือศิลป์แห่งการถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นภาพ ตลอดถึงการดำรงชีวิตอยู่เหนือความทุกข์ นั่นแหละเป็นยอดของศิลป์ เดี๋ยวนี้เราเห็นภาพ เราเห็นภาพไม้ไผ่ ลำไม้ไผ่ลำหนึ่งเท่านั้น เรียกว่าภาพเสียงขลุ่ยกลับมาหากอไผ่ ตามความรู้สึกธรรมดาคนทั่วไปที่รู้จักขลุ่ย ก็รู้ว่าขลุ่ยนี้ทำจากไม้ไผ่ที่ตัดมาจากกอไผ่ เอามาทำเป็นขลุ่ยแล้วก็เป่าเสียงไพเราะ เป่าแล้วเสียงนั้นไปไหน คนคนนี้เขาบอกว่าเสียงทั้งหมดนั้นกลับไปหากอไผ่ ที่หายไปในจักรวาลนี้คือมันกลับไปหากอไผ่ เป็นธรรมะชั้นที่ลึก ธรรมะชั้นที่ลึกว่า ไม่ว่าอะไรๆ ที่ปรุงแต่งกันขึ้นมาเป็นนั่นเป็นนี่มากมายเต็มไป ในที่สุดมันก็ดับไปสู่ความดับ คือสู่ความไม่มีอะไรเหมือนทีแรก ความไม่มีอะไรถูกปรุงขึ้นมาเป็นความมีอะไร มีอะไรไปพักหนึ่ง แล้วก็ดับไปสู่ความไม่มีอะไร เหมือนเสียงขลุ่ยเป็นต้น เป่าเป็นเสียงแล้วก็กลับไปหา กอไผ่ พูดให้เป็นธรรมะลึกหน่อยก็ว่าความเกิดนี้ เกิดเพื่อดับ สิ่งที่มีความเกิดย่อมมีความดับเป็นธรรมดา เสียงขลุ่ยก็เป็นความเกิด แล้วมันก็ดับเป็นธรรมดา เหมือนกับกลับเข้าไปในกอไผ่ ทุกอย่างที่เป็นสังขารนั้นจะมีลักษณะอย่างนั้น เช่นว่า ไอน้ำที่แดดเผาจากทะเลเป็นเมฆขึ้นไปเป็นเมฆฝน แล้วตกกลับลงมา แล้วก็กลับลงมาสู่ทะเลอีก หรือว่าอะไรก็ตามที่มันวุ่นวายโกลาหลกันขึ้นมาเป็นการใหญ่ ในที่สุดมันก็หมดฤทธิ์ แล้วมันก็ดับลงไปสู่ความว่างหรือความไม่วุ่นวายอีก
เราถือเอาคติข้อนี้ให้ได้ว่าบรรดาความวุ่นทั้งหลายนั้น เราจะจัดให้กลายเป็นความว่างในสภาพเดิมในเวลาอันเร็วที่สุด อย่าให้วิกฤตการณ์อันนี้อยู่นาน เผาผลาญให้เกิดความทุกข์ ความร้อน ความยุ่งยากลำบาก เพราะว่าทุกอย่างมันต้องดับ เกิดมาแล้วต้องดับ ฉะนั้นหาทางให้มันได้ดับ ส่งเสริมให้มันได้ดับ ดับในเวลาอันเร็ว ก็จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง คือไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความวุ่นวายนั้นมากเกินไป ข้อความทั้งหมดนี้สรุปได้เป็นคำกลอนว่า
เสียงขลุ่ยหวน กลับมา หากอไผ่ จงคิดให้ เห็นความ ตามนี้หนอ
ว่าไผ่ลำ ตัดไป จากไผ่กอ ทำขลุ่ยพอ เป่าได้ เป็นเสียงมา
เสียงก็หวน กลับมา หากอไผ่ เป่าเท่าไร กลับกัน เท่านั้นหนา
เหมือนไอน้ำ จากทะเล เป็นเมฆา กลายเป็นฝน กลับมา สู่ทะเล
เหมือนตัณหา พาคน ด้นพิภพ พอสิ้นฤทธิ์ ก็ตรลบ หนทางเห
วิ่งมาสู่ แดนวิสุทธิ์ หยุดเกเร ไม่เถล ไถลไป ที่ไหนเลย
อันความวุ่น วิ่งมา หาความว่าง ไม่มีทาง ไปไหน สหายเอ๋ย
ในที่สุด ก็ต้องหยุด เหมือนอย่างเคย ความหยุดเฉย เป็นเนื้อแท้ แก่ธรรมเอย ฯ
ผู้มีความสนใจในความจริงข้อนี้จะเป็นผู้ที่ไม่มีความหวาดกลัวอะไรๆ ที่จะเกิดขึ้นเป็นความวุ่นวายใดๆ ในที่สุดมันก็หวังได้ว่ามันจะกลับไปสู่ความสงบ อย่าตื่นเต้น อย่าตื่นตูมไปในทางที่จะรัก จะโกรธ จะเกลียด จะกลัว ขอให้เป็นผู้สามารถควบคุมชีวิตไว้ในลักษณะอย่างนี้ให้สมกับที่ได้รับโทรเลขจากเซน คือข่าวด่วนว่าจงมีวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิตแบบนี้
ภาพนี้เรียกว่า ภาพดอกไม้จัดคน มีความหมายลึกอยู่ไม่น้อย คือแต่ละคนคิดว่าตัวเองจัดอะไรได้ตามที่ตัวต้องการในสิ่งที่ตัวต้องการ แล้วก็พอใจว่าจัดได้ๆ ที่จริงนั้นมันไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อบุคคลคิดว่าจัดการกับสิ่งใด แต่ในภายในนั้นกิเลสมันจัดการกับบุคคลนั้น ให้คิดอย่างนั้น ให้ต้องการอย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้น กิเลสทำให้คิดไปว่ากูหรือตัวกูเป็นผู้จัดการ จัดการนั่น จัดการนี่ ทุกสิ่งทุกอย่าง เราทำได้ตามใจเรา แต่ที่แท้นั้นเป็นการบงการจากกิเลส เป็นการบังคับบัญชาของกิเลส มีกิเลสบังคับอยู่รอบด้าน ผู้รู้จัดการกับทุกเรื่องด้วยสติปัญญา คนโง่ก็จัดการทุกเรื่องด้วยอำนาจของกิเลส ลองเปรียบเทียบดูว่าคนหนึ่งจัดไปตามอำนาจของกิเลส คนหนึ่งจัดไปตามอำนาจของปัญญา แล้วผลที่ได้รับนั้นจะต่างกันอย่างไร จะต่างกันกี่มากน้อย และเราควรจะพอใจชนิดไหน รูปภาพนี้เป็นภาพล้ออย่างยิ่ง เป็นคนจำนวนหนึ่งถูกมัดไว้ด้วยเชือกในลักษณะเดียวกับที่ว่าคนเอาดอกไม้มามากๆ แล้วก็มัดไว้ด้วยด้ายหรือด้วยเครื่องผูกมัด คนก็คิดว่าเราจัดดอกไม้ เป็นคนธรรมดาสามัญก็คิดว่าเราจัดดอกไม้ตามความต้องการของเรา แต่ถ้ามีปัญญาลึกซึ้งก็จะรู้สึกว่า อ้าว,กิเลสตัณหาต่างหากที่บังคับเราให้จัดดอกไม้อย่างนั้นอย่างนี้ เราจึงเหมือนกับว่าถูกดอกไม้ที่มีความงามนั่นแหละนำให้เกิดกิเลสตัณหา แล้วจัดมันอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เราจัดดอกไม้นั้นมันมีความหมายน้อยเกินไป ส่วนที่กิเลสมันจัดหัวใจของเรานั้นมันมากนัก ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ บรรดาคนที่คิดว่าเราจัดดอกไม้ จะได้รู้เสียบ้างว่าเราถูกดอกไม้นั่นแหละจัดเอา กิเลสที่ปรุงมาจากความงามของดอกไม้นั่นแหละมันจัดหัวใจของคนที่นั่งจัดดอกไม้อยู่ตลอดเวลา ใจความข้อนี้จะผูกได้เป็นคำกลอนว่า
คนนั่งจัด บุปผชาติ ก็คาดคิด ว่าพิชิต มันได้ ตามใจหวัง
ความคิดนี้ ถูกดี แล้วหรือยัง มันจัดใคร เข้าให้มั่ง หยั่งคิดดู
คิดดูเถิด พวกถนัด จัดมาลัย ลิงโลดใจ ว่าจัด ได้สวยหรู
ใครจัดใคร แย่ไป ให้นึกดู อย่าหลงรู้ แต่ว่าคน จัดมาลัย
ดูให้ดี พวกคน หลงดอกไม้ มันมัดท่าน ใจไข้ อยู่ไหวไหว
ในทันที ที่คนจัด ดอกไม้ไป มันรวบใจ คนมัด ในบัดดล
ดอกไม้จัด คนบ้าง อย่างภาพนี้ คือพวกที่ หลงมัน ทุกแห่งหน
เด็กผู้ใหญ่ ไพร่ผู้ดี มีหรือจน ไม่เคยพ้น บุปผชาติ คาดมัดเอย ฯ
ทุกคำชัดเจนดีอยู่แล้ว ความหมายนั่นแหละจับเอาให้ได้ว่า คนจัดดอกไม้นั้นถูกดอกไม้จัดหัวใจคนอยู่เป็นนิตย์โดยผ่านทางกิเลสของคน เมื่อมันถูกจัดแล้วมันไม่สนุก ไม่ว่าอะไร ถ้าถูกอะไรจัด ถูกอะไรกระทำ ถูกอะไรบีบบังคับนั้นมันไม่สนุก เดี๋ยวนี้เราคิดว่าเราชนะดอกไม้ เราจัดดอกไม้ แต่ดอกไม้บีบหัวใจเรา จัดหัวใจเรา จนเป็นคนหิว หิวอยู่ด้วยความหิวในความสวย ความงาม ความหอม ความอะไรต่างๆ กระทั่งว่าต้องไปซื้อหามาด้วยราคาแพง กระทั่งว่าต้องลงทุนปลูกสร้างเพาะหว่านกันขึ้นมาด้วยความยากลำบาก จึงจะได้ดอกไม้มา นี่หวังว่าพวกที่ชอบดอกไม้คงจะได้สำนึก
ภาพถัดไปเรียกว่า ภาพไหว้พระพุทธรูป ท่านจงสังเกตดูให้ดี คือให้รู้ว่ามีภาพคนนั่งไหว้ก้อนหินรูปแปลกประหลาดที่วางอยู่ตรงหน้า เนื้อเรื่องก็เป็นการสนทนาระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ ลูกศิษย์ถามอาจารย์ว่า ก้อนหินที่บ้านลุกขึ้นโลดเต้นได้ ปลุกเสกให้เป็นพระพุทธรูปกันเถิดหนา อาจารย์ตอบว่า เออ,ทำได้ๆ เออ,ทำได้ๆ ลูกศิษย์ยังถามแกมย้ำอีกว่าได้แน่นะ,ได้แน่นะ อาจารย์ก็ตอบว่า เอ้อ,ถ้าอย่างนั้นมันไม่ได้แล้ว เพราะแกมันไม่แน่ใจ ยังมัวคิดอยู่ว่าได้หรือไม่ได้ ยังแน่หนาๆ อยู่อย่างนี้ ความเป็นพระพุทธรูปนั้นไม่ได้อยู่ที่ก้อนหิน แต่อยู่ที่สติปัญญาอันแน่วแน่ลงไปในเรื่องของสิ่งที่ควรจะรู้ว่าจะดับทุกข์กันอย่างไรเป็นต้น ถ้าจิตนี้เป็นสมาธิดีเพียงพอแล้ว ก็พร้อมที่จะมีปัญญาหรือวิปัสสนาเกิดขึ้นเป็นความรู้ เช่นเดียวกับก้อนหิน ถ้ามันได้ที่แล้ว มันก็พร้อมที่จะทำเป็นพระพุทธรูป ก้อนหินที่พร้อมที่ทำให้เป็นพระพุทธรูปมันก็ทำได้ เหมือนกับจิตที่เป็นสมาธิแล้วมันก็ง่ายที่จะทำให้เกิดวิปัสสนาเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไม่อย่างนั้นมันทำไม่ได้ พระพุทธรูปที่ทำด้วยก้อนหินหรือทำด้วยอะไรก็ตามนั้น เป็นพระพุทธรูปฝ่ายวัตถุ เป็นเพียงวัตถุ เป็นของภายนอก เป็นสัญลักษณ์สำหรับให้นึกถึงพระพุทธเจ้าองค์จริง แต่คนก็มักจะมาติดอยู่เสียแค่พระพุทธรูปที่ทำด้วยหิน ทำด้วยแก้ว ทำด้วยไม้ ทำด้วยอะไรต่างๆ พระพุทธองค์จริง พระพุทธรูปนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริง พระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริง พระพุทธเจ้าองค์จริงคือจิตที่มีความรู้แจ่มแจ้งถึงที่สุดจนดับทุกข์ได้ เรามาหลงติดเปลือกของพระพุทธเจ้าคือพระพุทธรูปกันเสียเป็นส่วนใหญ่ จนเป็นเรื่องกระทบกระเทือน แม้แต่เศรษฐกิจของประเทศชาติ ถ้ามีการถามว่า รูปของใครถูกพิมพ์ขึ้นมากที่สุด เด็กคนหนึ่งก็ตอบว่า รูปของพระเจ้าอยู่หัว เพราะพิมพ์ในธนบัตรประเทศไทยนี้ นิยมพิมพ์รูปพระเจ้าอยู่หัวในธนบัตร รูปพระเจ้าอยู่หัวถูกพิมพ์มากที่สุด ทีนี้ถามว่า รูปของใครถูกหล่อขึ้นมากที่สุด เขาก็ตอบว่ารูปของพระพุทธเจ้าถูกหล่อขึ้นมามากที่สุด องค์เล็กองค์ใหญ่ กระทั่งองค์กระจิดริดนี้ นับไม่หวาดไม่ไหว นี่คนมีความต้องการ มีคนบูชาจัดการกันเป็นการใหญ่กับพระพุทธรูปที่เป็นภายนอกของพระพุทธเจ้า ถ้าเขามีพระพุทธเจ้าที่เป็นภายใน ภายในจิตใจแล้ว เขาก็ไม่ต้องการพระพุทธรูป เพราะมันมีอยู่ในภายในแล้วมันจะลืมอะไร ไม่ต้องมีอะไรมากันลืมหรือมาเตือนกันอีก เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนรีบมีพระพุทธเจ้าองค์จริงที่เป็นภายในกันเถิด เตรียมที่จะมีพระพุทธเจ้าภายในก็โดยทำจิตให้ดี ทำจิตให้เป็นสมาธิ ฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา แล้วฝึกต่อไป จิตที่เป็นสมาธินั้นก็จะมีปัญญา มีวิปัสสนาเห็นแจ้งในจตุราริยสัจจ์ คือความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ แล้วก็จะแน่นอน จะแจ่มแจ้ง จะสว่างไสวในการที่จะปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ให้ได้ นั่นคือการมีพระพุทธเจ้าองค์จริงในภายใน หวังว่าจะพยายามปรับปรุงกันเสียใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้มีพระพุทธเจ้าองค์จริงในภายใน ให้ได้ไหว้พระพุทธเจ้าองค์จริงในภายใน ไม่ต้องมีปัญหายุ่งยากลำบากรกรุงรังด้วยสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าเหมือนที่กำลังลำบากกันอยู่ ข้อความเหล่านี้ถ้าจะสรุปเป็นคำกลอนก็จะมีดังต่อไปนี้ว่า
อาจารย์ขา ก้อนศิลา บ้านข้าเจ้า ลุกขึ้นเต้น เร่าเร่า น่าเลื่อมใส
ทำพระพุทธรูป กันเถิดหนา เลิศกว่าใคร เออ,ทำได้ แน่หนา ท่านอาจารย์
ถ้าอย่างนั้น ไม่ได้ ไม่ได้แน่ เพราะเหตุแก สงสัย ไม่ฉาดฉาน
ขืนทำไป ไม่มั่น มันป่วยการ พุทธรูป ตายด้าน เพราะลังเล
ถ้าในใจ เชื่อมั่น มันก็ได้ ถ้าในใจ สงสัย มันก็เขว
เป็นพุทธจริง ตรงที่ใจ ไม่เกเร มันไหลเท ออกจากใจ ข้างในเรา
พุทธะจริง ข้างในมี ดีอยู่แล้ว พุทธรูป หินหรือแก้ว มักพาเขลา
มีพุทธจริง แล้วจะวิ่ง เที่ยวหาเอา อะไรเล่า มาหมอบไหว้ ให้ยุ่งเอย ฯ
เข้าใจว่าทุกคนจะสามารถสร้างพระพุทธรูปจริงหรือเป็นพระพุทธองค์จริง ไม่ใช่เป็นแต่เพียงพระพุทธรูปขึ้นมาในจิตใจของตนได้ยิ่งกว่าที่แล้วๆ มา
รูปนี้เรียกว่า ภาพเต่าหินตาบอด พวกเซนโทรเลขมา ขูดเกลาความโง่ความงมงายความวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาเล่าเรียนด้วยตำรับตำราอย่างจัง ขอให้ทุกคนฟังและสังเกตดูให้ดีๆ ดูภาพนี้เถิดว่า เต่าตัวหนึ่งเป็นเต่าทำด้วยหินแล้วก็ตาบอด แล้วก็มีพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ทางพระศาสนาวางอยู่บนหลัง ทีนี้คนคนหนึ่งผ่านมาทางนั้นเห็นดังนั้นก็พูดว่า เอ้ย,ไอ้เต่าโง่ ไอ้เต่าโง่ พระคัมภีร์อยู่บนหลังก็ยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ทีนี้เต่ามันก็ตอบออกมาว่ามนุษย์โง่ เราต่างหากเล่าเป็นพระธรรม พระคัมภีร์นั้นเป็นเพียงกระดาษ เป็นเพียงใบลาน เป็นเพียงวัตถุ หาใช่พระธรรมไม่ พระธรรมที่แท้จริงนั้นเป็นคุณธรรม เดี๋ยวนี้มีอยู่ในเรา เรา ดูสิ,ตัวเป็นหิน คือเย็น เป็นความหมายของนิพพาน หินเย็นอย่างนิพพาน ตาบอดนี้ก็คือว่าไม่รับอารมณ์ทางตามาปรุงแต่งอะไร ไม่ใช่ว่าตาบอดอย่างพวกคุณ ตาบอดคือไม่รับอารมณ์ทางตามาปรุงแต่งเป็นอะไร หูหนวกก็เหมือนกันไม่รับอารมณ์ทางหูมาปรุงแต่งเป็นอะไร นี่แหละมนุษย์เอ๋ย พวกท่านทั้งหลายไม่รู้จักธรรมะ รู้จักแต่กระดาษหรือใบลานที่เขาใช้จารึกธรรมะ แล้วก็บูชากระดาษหรือใบลานเสียอย่างเป็นวรรคเป็นเวร ในใจไม่มีธรรมะเลย เป็นคนโง่เป็นคนงมงายขนาดนี้
นี่แหละคำสนทนาระหว่างมนุษย์กับเต่า มนุษย์ดูถูกเต่าว่ามีพระธรรมอยู่บนหลังคือคัมภีร์ เต่าว่าไอ้มนุษย์โง่ คัมภีร์นั้นไม่ใช่พระธรรม มันเป็นสักว่าคัมภีร์ คุณธรรมที่มีอยู่ในตัวฉัน เช่น ความเย็นเป็นหิน ความหนวกความบอดในการที่จะรับอารมณ์อะไรมาปรุงกิเลส นั่นแหละเป็นตัวธรรมะแท้ จะหาธรรมะที่แท้จริงที่อื่นไหนมาให้ยิ่งไปกว่าธรรมะนี้เป็นไม่มี ข้อความนี้สรุปได้เป็นคำกลอน เป็นคำสนทนาระหว่างคนกับเต่า ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่าตอนไหนเป็นคำของคน ตอนไหนเป็นคำของเต่า ถ้าปนกันแล้วมันก็ฟังไม่รู้เรื่อง
(คนพูด)
โอ้,เต่าเอ๋ย ขอถาม ความสักอย่าง ดูท่าทาง ของเต่า เรานึกขำ
ตัวเป็นหิน ตาก็บอด ยอดเวรกรรม มีพระธรรม อยู่บนหลัง ยังไม่รู้ ฯ
(ทีนี้เต่าก็ตอบ)
มนุษย์เอ๋ย เราจะบอก กรอกหูเจ้า ตัวเราเอง แหละคือธรรม ตำตาอยู่
ธรรมของเจ้า คือตำรา บ้าพอดู ธรรมของตู คือตัวตู อยู่ที่ธรรม
ที่เป็นหิน หมายถึงเย็น อย่างนิพพาน เพราะประหาร อวิชชา ไยว่าขำ
ความหนวกบอด ยอดสงบ ลบล้างกรรม เป็นความว่าง มีประจำ อยู่ร่ำไป
อันตำรา นั้นมิใช่ พระธรรมเลย คิดดูเถิด คนเอ๋ย อย่าไถล
จะมีธรรม กันบ้าง ช่างกระไร คว้าเอาไว้ แต่คัมภีร์ ดีนักแล ฯ
เรื่องนี้เป็นโทรเลขด่วนจากพวกเซนถึงพวกที่กำลังมัวเมาในพระคัมภีร์ ติดตังอยู่แต่เพียงแค่พระคัมภีร์ ไม่เข้าถึงเนื้อหาสาระที่เป็นผลแห่งการปฏิบัติตามพระคัมภีร์ จงจัดการโดยด่วนให้สมกับที่เขาโทรเลขมา
ภาพนี้เรียกว่า ภาพยิ่งคัดลอกยิ่งเลอะเทอะ ท่านจงสังเกตดูให้ดีว่าคนที่มีท่าทางเป็นเจ้าขรัวคนหนึ่ง นั่งเขียนพระคัมภีร์อยู่,นั่งเขียนพระคัมภีร์อยู่ หมายความว่าคัดลอก แต้มเติม ปรับปรุงอะไรก็ตาม คัดใหม่เขียนใหม่ เป็นคัมภีร์ใหม่อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งที่ว่าพระคัมภีร์นี้มันอยู่ในอำนาจของผู้เป็นเจ้าของ ถ้ายิ่งมีเกียรติมาก มีชื่อเสียงมาก มีอะไรมาก ก็มักจะทำได้มาก คือคัดลอกได้มาก เพิ่มเติมได้มาก ยิ่งเป็นปราชญ์มากก็ยิ่งแก้มาก ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน มันจึงมีหนทางที่จะผิดมาก ผิดไกลออกไปเท่านั้นเหมือนกัน ตัวธรรมะแท้ไม่ใช่ตัวคัมภีร์ ตัวธรรมะนั้นเป็นกฎความจริงของธรรมชาติ กระทั่งเป็นตัวธรรมชาติ เป็นกฎความจริงของธรรมชาติ อย่างนี้มันคัดลอกไม่ได้ มันมีแต่ว่าคำบรรยายเรื่องของกฎธรรมชาตินั้นคัดลอกได้ แล้วก็ผิดเพี้ยนไปตามผู้คัดลอกที่ชอบจะแก้ไข หรือมีความคิดเห็นใหม่ๆ ก็แก้ไข ไม่เห็นด้วยก็แก้ไข ธรรมะแท้ๆ เป็นความจริงอันเด็ดขาดของธรรมชาติ ผิดอีกไม่ได้ หรือจะว่าถูกอีกก็ไม่ได้ มันถูกเท่านั้นแล้ว มันจะผิดจะถูกอีกไม่ได้ จึงไม่ควรจะคัดลอกหรือคัดลอกไม่ได้ จะถ่ายทอดกันด้วยวิธีบอกกล่าวอย่างนี้ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ สอนกันด้วยวิธีบอกกล่าวอย่างนี้ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ มันต้องถ่ายทอดหรือสอนกันด้วยการประพฤติปฏิบัติด้วยตนเองจนมีกฎของธรรมชาตินั้นปรากฏแก่จิตใจโดยแท้จริง มันจึงเลอะเทอะไม่ได้ จะมอบหมายกันก็ด้วยการบอกให้ประพฤติให้ปฏิบัติจนลุถึงความจริงข้อนั้นด้วยจิตใจของตนเอง มันก็เป็นการรู้ได้เฉพาะตัว เรียกว่าคัมภีร์แท้ๆ นั้นมันจะมีแต่เล่มเดียวคือกฎความจริงของธรรมชาติ มีความลึกล้ำที่สุดที่ชีวิตจะต้องหยั่งลงไปในธรรมะนั้นด้วยชีวิตเอง ชีวิตจะต้องหยั่งลงไปในธรรมะนั้น กฎความจริงของธรรมชาตินั้นด้วยชีวิตเอง สรุปความว่า ความจริงของธรรมชาติไม่อยู่ในวิสัยที่จะคัดลอกได้ ไม่อยู่ในวิสัยที่จะเพิ่มเติมแก้ไขให้ผิดถูกได้ ไม่อยู่ในวิสัยที่จะสอนกันได้ด้วยปาก แต่จะสอนกันได้ด้วยการบอกให้ประพฤติปฏิบัติจนบรรลุถึงความจริง อันนั้นแล้วรู้สึกอยู่ได้ด้วยตนเอง ข้อความทั้งหมดนี้ถ้าสรุปเป็นคำกลอนก็จะมีดังนี้ว่า
พระคัมภีร์ ยังมิใช่ องค์พระธรรม มีไว้เพียง อ่านจำ เมื่อศึกษา
ครั้นนานเข้า คัดลอก กันสืบมา เพียงแต่เขียน อักขรา ให้คล้ายกัน
คัดพลาง ฉงนพลาง ช่างอึดอัด ตัวไม่ชัด เดาไป คล้ายในฝัน
ยิ่งเป็นปราชญ์ ยิ่งแก้ไป ได้ไกลครัน ยิ่งแก้มัน ก็ยิ่งเลอะ ไม่เจอะจริง
ส่วนพระธรรม ล้ำเลิศ ประเสริฐแท้ ไม่มีใคร อาจแก้ ให้ยุ่งขิง
ธรรมของใคร ใครเห็น ตามเป็นจริง มิใช่สิ่ง คัดลอก หรือบอกกัน
ทั้งมิอาจ ถ่ายทอด วิธีใด มีแต่การ จัดใจ ให้สบสันต์
ไม่มีทาง ซื้อขาย หรือให้ปัน หรือลอกกัน ให้เลอะไป ไม่หยุดเอย ฯ
โทรเลขถึงคนที่ติดคัมภีร์ เมาคัมภีร์ ฟังดูให้ดีแล้วจัดการกันเสียใหม่ อย่าให้พระคัมภีร์กลายเป็นของเป็นพิษขึ้นมา
ภาพต่อไป ภาพนี้เรียกว่า ภาพฝนอิฐเป็นกระจกเงา พวกเรามักจะได้รับคำสั่งสอนมาแต่กาลก่อนว่าให้มีความขยันขันแข็ง ให้ขยันหมั่นเพียร อย่ายอมแพ้แม้แต่จะฝนทั่งให้เป็นเข็มก็ได้ หรือแม้แต่จะฝนอิฐให้เป็นกระจกเงาก็ยังจะได้ ตามข้อความนี้ ฝนอิฐเป็นกระจกเงานี้เป็นคำประชดหรือเป็นคำด่าอย่างนักปราชญ์ แล้วก็กลายเป็นคำปริศนา เป็นคำปริศนาที่มีความมุ่งหมายเป็นศัพท์ตรงกันข้ามเป็นปฏิเสธ หรือเป็นคำบอกว่าบ้าหรือไม่ต้องทำ เช่น มีใครมาด่าว่ามึงฝนอิฐเป็นกระจกเงา ก็หมายความว่าไปทำในสิ่งที่ทำไม่ได้หรือไม่ควรจะทำ แต่ถ้าจะถือเอาความหมายตื้นๆ ก็หมายความว่ามีความพยายามในหน้าที่ของตนอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน
ในเนื้อเรื่องมีว่า ศิษย์วอนถามอาจารย์ว่า ทำอย่างไรจึงจะไปนิพพาน อาจารย์ก็ตอบว่า โอ้ย,ง่ายนิดเดียว คือฝนอิฐให้เป็นกระจกเงาสิ ทีนี้ลูกศิษย์ก็แย้งว่าถ้าอย่างนั้นเขาคงว่าเราบ้า ฝนไปฝนมาก็ตายเปล่า นั่นแหละเน้อ มันสอนให้แล้วไม่เบาว่า ให้เราหยุดหา หยุดบ้าไป ไม่มีใครฝนอิฐเป็นกระจก ไม่ต้องยกมากล่าวเข้าใจไหม นี่เป็นการสวนกลับตรงกันข้ามว่าที่บอกนั้น มันเป็นเรื่องทำไม่ได้ หรือทำไปก็ตายเปล่า อย่างนี้เป็นคำอธิบายอย่างตรงไปตรงมา แต่ถ้าเป็นคำอธิบายชั้นต่ำๆ เป็นศีลธรรมก็ยังอธิบายได้อีกว่า จิตโง่ของคนธรรมดาเหมือนก้อนอิฐ มีลักษณะเหมือนก้อนอิฐ จงพยายามฝึกฝนจิตที่เหมือนก้อนอิฐนี้ให้กลายเป็นแก้ว เป็นเพชรเป็นพลอยอะไรขึ้นมา คือให้จิตนั้นหายโง่ หายความเป็นจิตปุถุชน มาเป็นจิตของพระอริยเจ้า มันก็จะพอเข้าเค้าที่ว่าฝนอิฐเป็นกระจกเงาได้เหมือนกัน แต่ความหมายอันลึกซึ้งนั้น มันเป็นการบอกชนิดประชดอยู่ในตัวว่า อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำ ไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วสิ่งทั้งหลายมันก็จะเป็นไปเอง เป็นไปได้โดยในตัวมันเอง ถ้าเราไม่ทำอย่างที่เรียกว่าฝนอิฐให้เป็นกระจก มันก็หมายความว่าไม่มีความอยากใหญ่ ไม่มีความปรารถนาใหญ่ ไม่มีความต้องการใหญ่โตมโหฬารอะไรที่ไหน มันก็หยุดทำอะไร การหยุดทำอะไรนั่นแหละเป็นการบรรลุธรรมอย่างยิ่ง หยุดต้องการอย่างเดียวเท่านั้นเป็นพอ เป็นการบรรลุธรรมะอย่างยิ่ง หรือจะเรียกว่าเป็นพระนิพพาน ความอยากย่อมจะนำไปสู่ความหยุดอยาก ถ้าหยุดอยากมันจึงจะถึง ฝนอิฐเป็นกระจกนี้มันทำไปด้วยความอยาก มันเป็นบ้าหลัง มันก็ไม่ถึง ถ้าจะแก้ลำกันให้ได้ในเรื่องนี้ก็คือฝนจนให้อิฐนั้นมันหมดไปเลย ให้อิฐกลายเป็นความว่างไปเลย ก็พอจะเป็นไปได้ ความว่างนี้มันยิ่งกว่ากระจกเงา ฝนให้หมดไปเลยจนกลายเป็นความว่าง ข้อความเหล่านี้ถ้าจะร้อยกรองเป็นคำกลอนโดยสมบูรณ์ก็จะมีว่า
ศิษย์วอนถาม อาจารย์ ฐานร้อนใจ ทำอย่างไร ไปนิพพาน อาจารย์ขา
อาจารย์ตอบ อ๋อ,มันง่าย นี่กระไร บอกให้นา คือคำว่า ฝนอิฐเป็น กระจกเงา
ศิษย์แย้งว่า อาจารย์ครับ เขาคงว่า เราบ้าใหญ่ แม้ฝนไป ฝนไป ก็ตายเปล่า
อาจารย์ก็ว่า นั่นแหละเน้อ มันสอนให้ แล้วไม่เบา ว่าให้เรา หยุดหา หยุดบ้าไป
ไม่มีใคร ฝนอิฐ เป็นกระจก ไม่ต้องยก มากล่าว เข้าใจไหม
นิพพานนั้น ถึงได้ เพราะไม่ไป หมดตนไซร้ ว่างเห็น เป็นนิพพาน
ถ้าฝนอิฐ ก็ฝนให้ ไม่มีเหลือ ไม่มีเชื้อ เวียนไป ในสงสาร
ฝนความวุ่น เป็นความว่าง อย่างเปรียบปาน ฝนอิฐด้าน ให้เป็นเงา เราบ้าเอง ฯ
หวังว่าผู้ฟังจะรู้จักแยกแยะความหมายในเรื่องนี้เป็นสองชั้น ชั้นธรรมดาก็คือสอนให้มีความเพียรไม่หยุดหย่อน ชั้นลึกก็คือฝึกฝนจิตของปุถุชนที่ยังโง่เหมือนก้อนอิฐให้เป็นจิตของพระอริยเจ้าที่มีสติปัญญามีแสงสว่างจนสามารถตัดกิเลสและดับทุกข์ได้ แล้วแต่ผู้ใดจะถือเอาความหมายชั้นไหน มันเป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้ จะพูดกันชั้นศีลธรรมหรือจะพูดกันชั้นปรมัตถธรรม มันก็มีเรื่องให้พูดอย่างที่มีประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะถือเอาประโยชน์ได้ตามที่ควร
โทรเลขจากเซนฉบับนี้มีเรื่องว่า แม่น้ำคด น้ำไม่คด ท่านทั้งหลายต้องฟังดูให้ดีๆ แม่น้ำคด น้ำไม่คด แต่คนมองไปที่แม่น้ำ เห็นแม่น้ำคดไปคดมา ก็เลยคิดว่าน้ำนั้นคดไปเสียด้วย เดี๋ยวนี้เขาบอกให้มองให้ดูให้ดีๆ ว่าที่คดไปคดมานั้นมันลำน้ำ ส่วนน้ำนั้นเป็นอณูน้อยๆ ไม่มีทางที่จะคด ความรู้สึกจึงขัดกันอยู่หรือไขว้กันอยู่ อธิบายข้อนี้มีประโยชน์ ในเมื่อเอามาจับกับสิ่งที่เรียกว่าจิต ในจิตนั้นมันมีกิเลสประกอบอยู่ด้วย กิเลสต่างหากเป็นผู้คด แต่คนดูไม่ดีกลายเป็นหาความเอากับจิตว่าจิตคด ตามหลักทั่วไปจิตล้วนๆ จิตเดิมแท้หรือจิตประภัสสรด้วยแล้วยิ่งไม่มีคด แต่ครั้นความเป็นประภัสสรเสียไป มีกิเลสเกิดขึ้นแก่จิต อาการคดของกิเลสทำให้ดูเป็นว่าจิตนั้นก็คด หน้าที่ของคนก็จะต้องควบคุมจิตไม่ให้เกิดกิเลส เมื่อมีอารมณ์แห่งกิเลสเข้ามาก็รู้สึกตัว ป้องกันเอาไว้ได้ จิตก็อยู่ในสภาพเดิมที่ไม่คด ข้อนี้ก็เพื่อจะป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดไปหาความเอาผิดๆ กับจิตว่าจิตคด ผู้ที่เคยมองอย่างสะเพร่าๆ เคยเห็นเป็นน้ำคดก็ควรจะดูน้ำเสียใหม่ ที่คดที่เห็นคดไกลไปสุดสายตานั้นมันเป็นลำน้ำ เป็นแม่น้ำลำคลอง ส่วนตัวน้ำแท้ๆ เป็นธาตุชนิดหนึ่งนั้นไม่ต้องมีคดมีตรงอะไร แม้ว่ามันจะเปลี่ยนรูปไปตามลำคลอง ตัวน้ำแท้ๆ มันก็ไม่ได้คด ขอให้เข้าใจกันเสียใหม่ ความข้อนี้เป็นคำกลอนอ่านได้ดังนี้
แม่น้ำคด ส่วนน้ำนั้น ไม่คด ไม่แกล้งปด ดูให้ดี มีเหตุผล
กายกับใจ ไม่ลามก ไม่วกวน แต่กิเลส แสนกล นั้นเหลือคด
จิตล้วนล้วน นั้นเป็น ประภัสสร กิเลสจร ครอบงำ ทำยุ่งหมด
กิเลสเปรียบ ลำน้ำ ที่เลี้ยวลด จิตเปรียบน้ำ ตามกฎ ไม่คดงอ
อันจิตว่าง มีได้ ในกายวุ่น ในน้ำขุ่น มีน้ำใส ไม่หลอกหนอ
ในสงสาร มีนิพพาน อยู่มากพอ แต่ละข้อ งวยงง ชวนสงกา
พระตรัสให้ ตัดป่า อย่าตัดไม้ ไม่เข้าใจ ตัดได้ อย่างไรหนา
รู้แยกน้ำ จากแม่น้ำ ตามว่ามา จึงนับว่า ผู้ฉลาด สามารถเอย ฯ
คำที่ต้องการคำอธิบายก็คือ จิตว่างมีได้ในกายวุ่น กายวุ่นคดๆ งอๆ เหมือนแม่น้ำ ส่วนจิตว่างนั้นคือจิตแท้ๆ ไม่มีกิเลสนั้น ไม่คดไม่งออะไร ดูให้ดี ดูกระทั่งให้เห็นว่าในน้ำขุ่น ขุ่นสักเท่าไหร่ก็ตามใจ ในนั้นก็มีน้ำใสอยู่ ทีนี้ก็ดูต่อไปถึงกับว่าในวัฏสงสารอันวุ่นวายโกลาหลนั้น มีความดับของมันที่จะหาได้อยู่ เรียกว่ามีนิพพาน หาพบได้ในวัฏสงสาร อีกอย่างหนึ่งก็ว่าความดับไฟนั้นมันต้องหาที่ไฟ ต้องมีที่ไฟ ไปหาความดับไฟที่อื่นมันก็หาไม่ได้ ในที่ซึ่งมิใช่ไฟมันก็หาความดับไฟไม่ได้หรือหาไม่พบ คนมักจะแยกออกจากกันแล้วก็เที่ยวหา หาไม่พบ ก็พูดพาโลเพ้อเจ้อไปว่าพบๆ พบอะไรก็ไม่รู้ อีกคำหนึ่งซึ่งชวนฉงนก็คือว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตัดป่าอย่าตัดต้นไม้ คือให้ตัดแต่ความรกรุงรัง ซึ่งเป็นอันตรายที่มีอยู่กับต้นไม้ ตัดเสียให้เกลี้ยง ตัดป่ารกออกเสียโดยไม่ต้องตัดต้นไม้ อย่างนี้เรียกว่าตัดป่าอย่าตัดต้นไม้ ถ้าไม่เข้าใจก็ทำไม่ถูก ปฏิบัติตามไม่ถูก ถ้ารู้จักแยกป่าออกจากต้นไม้ก็สามารถที่จะตัดป่าเสียได้ ได้รับประโยชน์จากความโล่งเตียนหรือความปลอดภัย หวังว่าท่านทั้งหลายจะรู้จักแยกน้ำออกจากแม่น้ำให้เห็นว่ามิได้เป็นสิ่งเดียวกัน แม่น้ำนั้นจะคดก็คดไป แต่จิตนั้นอย่าให้คดเลย กิเลสไม่มี ปัญหาไม่มี ความทุกข์ไม่มี เรื่องมันก็จบ นี้ต้องถือว่าเป็นโทรเลขด่วนฉบับหนึ่งจากเซน มีข้อความรุนแรงที่บอกคนสะเพร่าๆ ให้คิดเสียใหม่ ให้ดูเสียใหม่ว่า แม่น้ำคด น้ำนั้นไม่คด
ภาพถัดไป ภาพนี้มีชื่อว่า สาหร่ายเขียนพระไตรปิฎก ฟังดูก็น่าตกใจว่าสาหร่ายเขียนพระไตรปิฎก คนธรรมดาฟังไม่ออกว่าสาหร่ายจะเอามือที่ไหนมาเขียน จะเอากระดาษ ดินสอ ปากกาที่ไหนมาเขียน แต่ผู้ที่มีปัญญารู้จักสังเกตเห็นลวดลายต่างๆ นานาของสาหร่ายที่มันแสดงอยู่ในน้ำ คนจะต้องไปนั่งดูสาหร่ายในสระในหนองว่ามันมีลวดลายเลื้อยไปเลื้อยมาอย่างไร แปลกประหลาดกันไม่มีที่สิ้นสุด นี่ถ้าอ่านออก ก็จะอ่านออกเป็นความไม่เที่ยง คือเป็นความปรุงแต่งจากภาพต้นสาหร่ายที่มันงอกขึ้นมา มีอะไรปรุงแต่งให้ออกไปทางนั้นยอด ให้ออกมาทางนี้ยอด ให้ออกไปทางโน้นยอด จนเป็นลวดลายสลับซับซ้อน ก็ยิ่งแสดงความไม่เที่ยงหรือความเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น ทำไมจึงเรียกลวดลายเหล่านี้ว่าพระไตรปิฎก เพราะความหมายมันอย่างเดียวกัน พระไตรปิฎกแม้จะมากมายสักเท่าไหร่ เอากันแต่ความหมายแล้วก็คือเรื่องความไม่เที่ยงเป็นเรื่องแรก เมื่อเห็นความไม่เที่ยงแล้วก็จะเห็นความเป็นทุกข์ แล้วก็จะเห็นความเป็นอนัตตา จะไปนั่งพิจารณาดูลวดลายแห่งสาหร่าย เห็นความหมายแห่งความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จึงรู้สึกเสมือนหนึ่งกับว่าสาหร่ายนั้นมีลวดลายที่แสดงข้อความอย่างเดียวกันกับพระไตรปิฎก คือบันทึกความเปลี่ยนแปลงเรื่อย ความไม่มีอะไรต้านทาน ความเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ความไม่มีตัวตนอันแท้จริง นี่มันปรากฏให้เห็นได้ที่สาหร่ายนั้น ลวดลายทั้งหมดนั้นจึงเหมือนกับบันทึกพระไตรปิฎก ข้อความเหล่านี้รู้แล้วก็จะเหมือนกับว่ารู้พระไตรปิฎกจากธรรมชาติ เรียนพระไตรปิฎกจากธรรมชาติ เนื้อความเหล่านี้อาจจะเขียนเป็นคำกลอนได้ดังนี้
เส้นสาหร่าย ก่ายกัน หนาหนั่นนัก เป็นลวดลาย ย้ายยัก หลายหมื่นท่า
ประสานสอด ทอดไป ไม่ลดรา จนทั่ววา- รีใส ในบึงบัว
คือมันเขียน คัมภีร์ ที่ครบครัน ทั้งวินัย สุตตันต์- ภิธรรมทั่ว
สภาพธรรม สัจธรรม ประจำตัว ธรรมชาติ พันพัว ทั่วถึงกัน
เป็นหลักชี้ ชีวิต ไม่ผิดพลาด แสดงซึ้ง ถึงขนาด ประสิทธิ์สันต์
อยู่ในเส้น สาหร่าย ที่ก่ายกัน สารพัน สัญลักษณ์ หลักพระธรรม
ตาผู้ใด ไม่บอด สอดส่องดู ก็จะรู้ ความหมาย ได้ยังค่ำ
ดังศึกษา ปิฎกไตร ได้ประจำ เป็นเครื่องนำ สัตว์รอด ตลอดเอย ฯ
สาหร่ายเขียนพระไตรปิฎก อ่านออกเฉพาะบุคคลที่รู้จักอ่านความหมายจากลวดลายจากอาการต่างๆ คนธรรมดาจะไม่เห็นว่าเป็นการเขียนพระไตรปิฎกหรือเป็นพระไตรปิฎกที่ตรงไหน ไปดูเถิด สาหร่ายนั้นทอดยอดก่ายกันจนเป็นแน่น จนแน่นเป็นปึกไปทั่วทั้งบึงบัว ถ้ามองดูความหมายบางอันก็เป็นเรื่องกฎบังคับที่จะต้องรักษาปฏิบัติตามเหมือนกับวินัย ถ้าเป็นลักษณะทั่วๆ ไป บอกความจริงตามธรรมดาสามัญก็เป็นสุตตันตะ ถ้าเป็นรายละเอียดซ่อนเร้นลึกซึ้งอยู่แทบจะมองไม่เห็น มันก็เป็นอภิธรรม ฉะนั้นไปอ่านปิฎกทั้งสามในหนองที่เต็มไปด้วยสาหร่าย นี้คือความหมายของภาพภาพนี้ นับว่าเป็นโทรเลขจากเซนอีกฉบับหนึ่งด้วยเหมือนกัน เป็นโทรเลขด่วนถึงคนโง่ จะได้ลืมหูลืมตาเสียโดยเร็ว
ภาพต่อไป ภาพนี้เรียกว่า ภาพไส้เดือนเขียนจดหมายถึงมนุษย์ ทุกคนรู้จักไส้เดือนที่ชอนไชไปตามพื้นดินแล้วก็ส่งขุยดินขึ้นมาตามแนวที่มันชอนไชไป เกิดเป็นลวดลายต่างๆ ขึ้นมาที่ผิวดิน นายคนนี้ เขาบอกว่ามันเป็นจดหมายที่เขียนถึงมนุษย์ จดหมายที่เขียนถึงมนุษย์ที่ไส้เดือนเขียนถึงมนุษย์ ถ้ารู้จักตีความก็จะพบใจความเสมือนหนึ่งว่าให้ระมัดระวังสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่คนพอมองเห็นไส้เดือนก็ขยะแขยง ไม่อยากจะสนใจ ยิ่งเห็นรอยของไส้เดือนก็ยิ่งเห็นว่าไม่มีราคา ไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไร ก็เลยไม่ได้อ่านจดหมายฉบับนั้น ที่จริงมันก็เป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องสาหร่าย คือบอกความแปรปรวน ความต่อเนื่องกันของความแปรปรวน ความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความดับไปของสิ่งทั้งหลายอันสรุปความแล้วก็ได้ความว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตนของตน ทีนี้คนที่ไม่รู้เรื่อง ก็เป็นคนหลับหูหลับตาไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งที่ไส้เดือนบอกว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ก็เลยไม่ได้รับประโยชน์ เมื่อไหร่เขาอ่านจดหมายของไส้เดือนเข้าใจ เมื่อนั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง คือมองเห็นเจตนารมณ์ของพระธรรมทั้งหลายที่มุ่งแสดงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาดังที่กล่าวแล้ว คนเราจะถือเอาประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกมากมาย เพราะอาจจะถือเอาได้แม้แต่รอยของไส้เดือนดังนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้พิจารณาดูให้ดี อย่าให้เสียทีที่ว่ามันมีจดหมายให้อ่านแล้ว มันก็ไม่รู้จักอ่าน ข้อความเหล่านี้สรุปเป็นคำกลอนได้ดังต่อไปนี้
รอยไส้เดือน เกลื่อนไป ในผิวดิน เป็นลวดลาย หลายระบิล หลายท่วงท่า
มีความหมาย ว่ากระไร ใครสงกา หรือเห็นว่า ไร้สิ่ง น่าสนใจ
คือจดหมาย ไส้เดือน เตือนมนุษย์ ไม่รู้สิ้น รู้สุด มาแต่ไหน
ทั้งคืนวัน ขยันเขียน เพียรทำไป มนุษย์อ่าน หรือไม่ ไม่อาวรณ์
มันพร่ำบอก พร่ำสอน พร่ำวอนว่า พร่ำพรรณนา ให้ระวัง ให้สังหรณ์
ว่าสรรพสิ่ง เปลี่ยนไป ไม่ถาวร ทุกทุกตอน อนิจจัง อนัตตา
มันให้อรรถาธิบาย หลายแสนอย่าง อุทาหรณ์ ต่างต่าง ครบทุกท่า
รอยไส้เดือน เกลื่อนทั่ว พสุธา ก็เพราะว่า ไส้เดือนรัก คนนักเอย ฯ
ถ้อยคำที่จะต้องสนใจก็อยู่ตรงที่ว่าไส้เดือน ความหมายที่น่าสนใจก็คือข้อที่ว่าไส้เดือนรักคนนัก จึงอุตส่าห์เขียนจดหมายเสียทั่วทั้งแผ่นดิน แต่คนก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เดินข้ามไปข้ามมา เหยียบย่ำให้รกไปเสียอีกด้วยซ้ำ นี่เป็นการทำลายความหวังของผู้หวังดีอย่างน่าเวทนาสงสาร อ้าว,หมดแล้วเหรอ/