แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไอ้เรื่องที่ผมจะพูดไปรเวทนี้อาจจะฟังเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ที่จริงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวนะ เรื่องส่วนรวมรวมขนาดใหญ่คือเหมือนกับว่าของศาสนาเลยแหละ แต่มันเกี่ยวกับพวกเราแล้วมันก็ ส่วนที่เกี่ยวกับผมน่ะผมจะพูด พูดสิ แต่ผมนี้จะตายแน่ๆในไม่กี่ปีนี้แหละปีนี้ปีหน้าอะไรก็ไม่รู้ สังขารมันบอกเพิ่มขึ้นทุกที ทีนี้ก็มีความคิดว่าใครจะช่วยสืบต่อการงาน ก็การงานธรรมทูตนี่แหละแต่ว่าธรรมทูตขนาดเสียสละมากน้อยแล้วก็เรียกว่าพุทธทาส นานมาแล้วหลายครั้งแล้วผมเคยอธิบายให้ฟังว่าพุทธทาสนั่นไม่ใช่ผมคนเดียว ถ้าใครตั้งใจรับใช้พระพุทธเจ้าสุดชีวิตจิตใจแล้วก็เป็นพุทธทาสกันทุกคน ยิ่งกว่านั้นถ้าทำวัตรเย็นแล้วมีประกาศตัวเป็นพุทธทาส ธรรมทาส สังฆทาส กันทั้งนั้น ทุกๆครั้งที่ทำวัตรเย็น ธรรมทูตก็เสียสละขนาดพุทธทาสนั่นแหละแล้วก็ยังคงมีต่อไป แต่ผมนี่จะต้องตายแล้วในเวลาอันไม่นานนี้แหละ ร่างกาย ก็เลยคิดถึงว่าใครจะสืบต่อไอ้งาน จะพูดกับใครก็ดูเหมือนกับว่าคล้ายๆว่ายกตัวหรือว่าอ้างสิทธิมากเกินไป ที่จริงไม่ได้อ้างสิทธิหรอกคิดตามปกติธรรมดาสามัญนี่แหละ ไอ้งานของเรานี่มันควรจะรับช่วงกันไป เป็นทอดๆๆ จนไม่จำกัดเวลา ถ้าว่าตลอดไปอยู่ศาสนาหรือโลกได้ก็ยิ่งดี ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาอยู่ที่นี่หรือว่าจะทำเหมือนกับผมทุกอย่าง แต่หมายความว่าไอ้งานนี้ส่วนที่จะช่วยกันทำได้ต่อไปอย่าให้ขาดตอน แต่ว่าผมไม่ยกตัวนะก็หมายความว่าอย่าได้เข้าใจว่าผมทำนั้นมันดีที่สุดใครๆต้องทำอย่างผม แต่ถ้ามันไม่มีอย่างอื่นที่ดีกว่า ขอให้ทำอย่างนี้แหละคือเผยแผ่พระธรรมชนิดที่สำเร็จประโยชน์ ไม่ใช่ว่าเพียงแต่ว่าแก้ปัญหาทางที่เกี่ยวกับบ้านกับเมืองซะอย่างเดียว ไม่ใช่ มันต้องทั้งหมดที่จะทำได้ ต้องเข้าใจพระธรรมในพระไตรปิฎกดีที่สุดทั้งหมดที่ควรจะเข้าใจแล้วช่วยกันเผยแผ่ การที่ช่วยให้ศีลธรรมกลับมานี่มันเป็นงานส่วนหนึ่งเหมือนกันถ้าไปเทียบกับว่าพระศาสนาทั้งหมดหรือพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่ใช่ว่าจะทำให้ศีลธรรมกลับมาเป็นส่วนหนึ่งเสี้ยวหนึ่ง ถึงอย่างนั้นเราก็ยังไม่ค่อยจะได้ทำ คือบางคนจะปฏิเสธแต่ว่าทำไม่ได้ทำไม่ไหวทีนี้ใครจะทำ ส่วนในการค้นคว้าเรื่องละเอียดเรื่องลึกซึ้งเรื่องปรมัตถ์เอามาเผยแผ่ต่อไปนั้นมันก็เป็นหน้าที่แล้วมันสูงกว่าศีลธรรม ถ้าว่าจะอธิบายคำว่าศีลธรรมในความหมายพิเศษ เวลานี้ผมกำลังอธิบายคำว่าศีลธรรมในความหมายพิเศษแต่ใช้กันในเฉพาะวงในเท่านั้นไม่ใช่ทั่วไป เขาไม่รับเข้าไว้ในปทานุกรม ???(นาทีที่ 7:51)ชาวบ้านจะพึงทำกันตามประสาชาวบ้าน แต่ว่าเราพิเศษก็หมายถึงนิพพานเลย สิ่งที่ปกติที่สุดคือนิพพาน ศีลธรรมไม่ว่าทำกันปกติคือนิพพาน ไม่ใช่เรื่องจริยธรรมศีลธรรมแบบเด็กๆ(นาทีที่ 8:11) แม้แต่เพียงศีลธรรมธรรมดาความหมายธรรมดานี่มันก็หายไปหมด มันไม่อยู่ช่วยมนุษย์ ส่วนเรื่องในการที่จะจัดการเรื่องศีลธรรมธรรมดาให้กลับมาก็ดีหรือว่าศีลธรรมสูงสุดคือนิพพานก็ดียังต้องทำ ถ้าเรียกว่าธรรมทูตถ้าสมัครทำงานธรรมทูตแล้วก็ยิ่งต้องทำ ถ้าจับจุดหัวใจไม่ได้มันจะเพ้อเจ้อคือจะพร่า พร่าๆ มันก็จะไม่ค่อยสำเร็จประโยชน์ ผมจึงนึกถึงเรื่องนี้มากแล้วนึกมาสองสามปีแล้วแหละ ที่มาคราวก่อนๆปีก่อนๆก็นึกจะพูดอยู่เหมือนกันแหละแต่โอกาสไม่อำนวย ความจริงตั้งใจจะพูดเรื่องนี้โดยหวังว่าผมตายแล้วคงจะมีใครทำในแนวเดียวกันมันก็จะได้ผลอย่างเดียวกัน ไม่สิ้นสุดลงไปเพราะว่าผมตายไปมันต้องไม่สิ้นสุด นี่คือเรื่องที่อยากจะพูด จะถือว่าเป็นการมอบหมายก็ได้เหมือนกันแหละแต่ว่าถึงมอบหมายก็ไม่มีสิทธิหน้าที่ หรือสิทธิอะไรก็จะมอบหมายแต่ก็ได้แต่ขอร้อง เรื่องที่ต้องศึกษามันละเอียด ประณีต สุขุม ถ้าไม่ตั้งใจกันให้เพียงพอมันก็คงทำไม่ได้ นี่หมายถึงเรื่องที่จะเอาไปเผยแผ่ในฐานะเป็นธรรมทูตนั่นแหละ เข้าใจธรรมะให้จริงให้ถูกต้องถึงขนาด ถ้าผมพูดว่าเวลานี้ที่เรียนที่รู้กันอยู่นี้ยังไม่ถึงขนาดมันก็จะเหมือนกับลบหลู่ดูถูกในหลักสูตรของคณะสงฆ์ ด้วยว่ามาตรฐานก็ได้ตั้งไว้แล้วแต่ว่าสมบูรณ์หรือสูงสุดเราว่ายังไม่ถึง คืออาจจะเป็นการดูหมิ่นเพื่อนกัน อย่าคิด ไม่มีเจตนาที่จะดูถูก เพราะถ้ามีเจตนาจะดูถูกก็ย่อมจะไม่ปรับทุกข์สำหรับเพื่อช่วยกันสืบต่อต่อไป นี่ขอให้คิดดู นั้นผมเห็นว่าควรจะพูดกันได้แล้วเพื่อให้เอาไปคิดไปนึกกันพลาง ตัวอย่างหรือว่าข้อที่คิดค้นมาได้แล้วเป็นตัวอย่างมันก็มีมากพอแล้ว นิมนต์เอาไปศึกษาสังเกตดู มันก็ทำให้ส่วนที่ยังไม่ได้ทำให้มันนอบเข้าไปแปลกออกไป สมบูรณ์ๆยิ่งขึ้นไป คนเราจะสามารถทำอะไรได้ดีมันก็เนื่องกับอายุอานามอยู่เหมือนกัน คนที่อายุยังไม่ถึงสี่สิบปียังมีความหนักแน่นมีอะไรก็น้อย มีเดิมพันไอ้ความรู้ก็เป็นเดิมพันในเรื่องโลกในเรื่องชีวิตอะไรก็ยังน้อย แต่ถ้าได้รับการถ่ายทอดจากคนที่มีอายุมากแล้วมันจะพอเป็นไปได้ นั้นสิ่งไหนที่จะรับเอาได้จากคนที่มีอายุมากก็รับไป มันเป็นกำไรไม่ต้องไปค้นเอง ถ้าไปค้นเองมันก็เสียเวลาอีกมาก นั้นขอให้สนใจสิ่งที่ครูบาอาจารย์แต่ครั้งก่อนทำไว้ ก็ตั้งแต่ครูบาอาจารย์ปัจจุบันได้ทำไว้ให้มากเป็นพิเศษคือเพียงพอที่จะมาใช้เป็นประโยชน์ได้ ถ้าไม่พอมันไม่ได้นะแล้วคราวนี้เท่าไหร่พอนี่มันก็ไม่ใช่เล็กน้อย นั้นผมจึงว่าอายุยังไม่ถึงสี่สิบปีความเป็นรัตตัญญูยังน้อยที่จะเป็นบุคคลพิเศษ ถ้าเป็นบุคคลธรรมดารีบรับเอาถ่ายทอดเอาจากคนที่ตายไปแล้วให้หมด แล้วทำเพิ่มเติมเข้าไปส่วนที่มันแปลกออกไปหรือว่าเหมาะสมกับกาลเทศะหรือกรณีของเรา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าควรจะพูดกันบ้าง ความรับผิดชอบก็เหมือนกันแหละที่ได้พูดแล้วตอนกลางวันเป็นหน้าที่ของคน อยู่ที่ไหน เขตไหน ส่วนไหนก็ต้องรับผิดชอบส่วนนั้นแหละ อยู่ภาคใต้ก็รับผิดชอบทำภาคใต้ของประเทศนี้ให้มันปลอดภัยหรือเจริญขึ้น อยู่ชุมพร อยู่หลังสวน อยู่ไชยา อยู่นคร อยู่พัทลุง แบ่งกันออกเป็นส่วนๆอีกทีนึง แปลว่าส่วนที่ควรรับผิดชอบส่วนน้อยๆก็รับขยายก็ยังรับ เพราะมันรับผิดชอบได้ไม่เท่ากัน ถ้าจำกัดให้มันแคบเข้าก็ทำได้มากและเข้มข้นและควรอย่างยิ่งที่จะต้องทำ เกิดที่ไชยา เกิดที่ตรงไหนก็ตามใจต้องรับผิดชอบส่วนนั้นก่อน แล้วขยายออกไปทั่วประเทศหรือทั่วโลกทีหลัง นี่คำว่าธรรมทูตนี้มีเรื่องมากนะไม่ใช่มีเรื่องน้อย ไม่ใช่ว่าเราจะทำตามแค่แผนการณ์ที่ได้วางกันไว้แล้วจะเพียงพอ มันยังไม่พอ แล้วมันไม่ควรจะพอเพียงแค่ในบ้านเรานะ เราต้องเพิ่มความสามารถจนกระทั่งว่าขยายออกไปๆ จนกระทั่งว่าทำไปถึงต่างประเทศได้ก็ดี แล้วต่อไปมันก็จะต้องสัมพันธ์กันเพราะโลกมันมีคมนาคมที่รวดเร็วทำให้สัมพันธ์กันทางโลกได้ในเวลาอันเล็กน้อย ปัญหาก็มากขึ้นแหละเพราะคนหลายแบบหลายชนิดต้องมาสัมพันธ์กัน เราก็ต้องเตรียมตัวให้มากเป็นพิเศษจนว่ามีการสัมพันธ์กับศาสนาอื่น บางคนเขาคิดแค่สั้นๆว่าเราไม่รับผิดชอบ เราไม่ต้องรู้ต้องชี้ ไม่ต้องสัมพันธ์กับศาสนาอื่น นั่นเพราะเขาไม่รู้แล้วมองไม่เห็นหรือไม่เคยมองกับมันเพราะมันกำลังเข้ามา หลายๆศาสนามันจะคืบคลานไปจนทั่วโลก แล้วมันก็จะไปพบกันเอง หลายๆศาสนามันเกิดการสัมพันธ์กันขึ้น นี่ต้องนึกถึงบทบาทที่เราจะแสดงต่อศาสนาอื่นด้วยนี่ต่อไป ไม่ใช่ทำเฉพาะในวงพุทธเราแล้วมันจะพอ แล้วเวลานี้มันปรากฏชัดเหลือเกินว่าทุกศาสนาแหละมันหย่อนความสามารถกันแล้ว หย่อนความสามารถ ไม่ใช่ว่าเพียงศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ทุกศาสนาเรื่องหย่อนความสามารถในการกระทำมนุษย์ให้รอด จึงคิดไปในทางที่ว่ารวมกันร่วมสหกรณ์กัน ทุกศาสนาร่วมกันทำสหกรณ์แล้วก็จะทำให้มนุษย์นี้ได้รับผลดีกว่าการแยกกันทำแล้วแข่งขันกันทำ อิจฉาริษยากัน ผมได้สังเกตเห็นพวกคริสเตียน คริสตัง น้อมน้าวเข้ามามากจนว่ามาดีกับเราอย่างไม่เคยมีมาก่อนภายในห้าปีสิบปีนี้ดีมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จะเป็นเพราะเห็นว่ามันจะไปไม่รอดก็ได้ ถ้าขืนเขาไม่มาสัมพันธ์ไม่มาเนี่ยเขาเองก็จะไปไม่รอด นั่นมันก็เห็นแก่ตัวแต่มันก็ควรจะเห็นแก่ตัว คือบางทีเขาก็มองด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันเป็นงานที่ใหญ่เกินไปถ้าไม่ช่วยกันโลกนี้คงไม่รอด ที่สังเกตเห็นพวกคริสเตียนนี่มันมีเป้าหมายมากที่จะช่วยโลกเรียกว่ากว้างกว่าพวกเรา พวกเราไม่เคยคิดกันนะไม่เคยนึกถึงที่จะช่วยโลกแบบนี้ เราก็ยังไม่ฟัง(นาทีที่ 20:26) ด้วยซ้ำ แต่พวกคริสเตียนมันทำมากมันมีแผนการณ์มาก วิทยานิพนธ์(นาทีที่ 20:33)กว้างไปทั่วโลกนั่นแหละมันจะก้าวหน้ากว่าเรา นั้นเราก็ควรจะนึกถึงกันบ้าง ถ้ายังหนุ่มอยู่แล้วก็ช่วยอดกลั้นอดทนศึกษาเล่าเรียนให้มันสามารถจะทำงานให้มีผลกว้างไปทั่วๆโลกได้เหมือนกัน ข้อนี้เรายังเสียเปรียบพวกคริสตัง คริสเตียน ในเรื่องภาษาในเรื่องเครื่องมือเขาไปก่อนเรามาก เพราะว่าถ้าจะทำกับโลกเป็นส่วนรวมมันต้องใช้ภาษาสากล ภาษาฝรั่งนั่นแหละ อังกฤษนั่นแหละ มันคล่องกันอยู่แล้วแต่เรายังไม่ได้เรียนสักเท่าไหร่เลย แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ถ้าเราตั้งใจดีอย่างเดียว เรียนไปเรื่อยๆมันก็ต้องทำได้แหละอย่างน้อยก็พอพูดกันรู้เรื่อง ผมก็เพิ่งเรียนภาษาอังกฤษเมื่อบวชแล้วเมื่อเรียนนักธรรมแล้วตอนหลังๆเหมือนกันแหละ เมื่อก่อนเรียนไม่รู้ไม่เคยเลย ถือว่าทุกคนเรียนๆมาเรื่องที่เกี่ยวกับภาษานั้นก็ต้องจัดเวลาให้ดีๆอย่าไปเสียเวลาเรื่องที่ไม่จำเป็นเสียมากนัก แต่ว่าเวลานี้มันยังไม่ถึงขนาดนั้นยังไม่จำเป็นที่ว่ารู้ภาษาไปเผยแผ่นอกประเทศ ภายในประเทศเราก็ยังไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ เราตั้งเป้าหมายรับอยู่ในประเทศก็ได้เหมือนกัน เหมือนผมนี่ไม่ใช่จะต้องปกปิดหรือว่าอะไร รู้สึกว่าตัวสามารถที่ยังตั้งเป้าคอยรับอยู่ในประเทศเมื่อเขาเข้ามา ความคิดที่จะไปเดินออกไปข้างนอกเองนี่ไม่เคยมี เห็นว่ามันยังเกินไปเกินความสามารถบ้างหรือว่ายังไม่จำเป็น การที่เขาเข้ามาแล้วเราจะทำไม่ได้แล้วทีนี้เราจะเสียหายนี่แหละมันจำเป็น มันรีบด่วนก่อน ถ้าพวกฝรั่งไหนมันมาถึงในประเทศไทยแล้วต้องการจะรู้ธรรมะคราวนี้ยังทำให้ไม่ได้ก็น่าอายมาก เราก็เอากันแต่เท่านี้ก็ได้ หรือว่าถ้าจะเจียมตัวลงไปอีกชั้นหนึ่งก็ว่าทำประชาชนของเรานี่แหละไม่ต้องเกี่ยวกับพวกฝรั่งให้รู้ธรรมะ ให้เป็นประโยชน์ ที่เป็นประโยชน์ รู้ธรรมะที่ให้เป็นประโยชน์หมายความว่าปฏิบัติได้ให้รับประโยชน์ รู้ธรรมะมากๆ รู้ธรรมะท่องจำ รู้ไปถึงอภิธรรม ถ้ามันใช้อะไรไม่ได้นี่มันป่วยการ รู้ธรรมะก็ทำให้มันแก้ไขปัญหาในบุคคลได้พอ นิทานของบาทหลวงยอห์น ???(นาทีที่ 24:10) จะเล่าสำหรับแสดงความรู้สึกกันนี่น่าฟัง บาทหลวงคนนี้มันตลก นิสัยมันตลก บางทีการพูดของเขาก็จะมีตลก เล่าเปรียบเทียบหรือว่าประชด กระทบกระเทียบ ว่ามีอาจารย์สอนศาสนาสามคนเป็นคริสต์ เป็นอิสลาม ไปเจอกันเข้าแล้วก็พูดกันถึงเรื่องความรู้วิชชาสาขาไหนจะดีกว่ากัน ใครรู้ธรรมะพอที่จะช่วยมนุษย์ได้ เถียงกันไปเถียงกันมามันก็ไม่ตกลงกันได้ คราวนี้มาตั้งข้อกติกาสัญญากัน เอ้า ทำสมาธิแข่งกันเถอะสามคนนี้ ถ้าใครไม่พูดได้นานที่สุดก็จะเป็นผู้ที่ว่ามีสมาธิมากและเก่ง นั่นแหละไม่พูด พูดยังไม่สำเร็จที่จะพูดเข้าสมาธิ(นาทีที่ 25:55) ใครไม่พูดเรียกว่าพูดหลังที่สุดชนะ ทีนี้ก็ทำสมาธิกันไปสักครู่หนึ่งแล้วตะเกียงนี่มันหมดน้ำมัน ดับ ทีนี้อาจารย์ที่เป็นคริสต์ ก็คงจะ??? (นาทีที่ 26:32) ตัวเอง อาจารย์คริสต์ก็เลยเที่ยวคว้าหาน้ำมันเอาตะเกียงไปจุดตะเกียงใหม่ คว้าเท่าไหร่ก็ไม่พบ ก็ได้พูดขึ้น ??? (นาทีที่ 26:50) ไม่รู้เอาน้ำมันไว้ที่ไหน เขาเป็นคนพูดคนแรก ทีนี้อาจารย์อิสลามก็พูดว่า อ้าว ไหนสัญญาว่าไม่พูด คนพูดแพ้นะ คราวนี้อาจารย์พุทธก็พูดว่าถ้างั้นผมชนะสิผมไม่พูด มันก็แพ้กันทั้งสามคน มันพูดพร้อมๆกันสามคน นี่แสดงว่ามันยังใช้ไม่ได้สามศาสนา มันยังไม่จริงยังไม่เก่งทั้งสามศาสนา แปลว่ายอมรับแล้วว่าเป็นเพื่อนที่หย่อนความสามารถด้วยกัน เพราะฉะนั้นขอให้เรามีความสัมพันธ์ทางศาสนาเถิด มันจริง ก็พูดจริง เพราะเวลานี้มันมีการต่อต้านไม่ให้มีการสัมพันธ์ระหว่างศาสนา ที่ผมทำนั้นเขาหาว่าขบถ แหวกแนว ไปช่วยศาสนาอื่น ที่จริงผมก็ทำมา ??? (นาทีที่ 28:02) มาหลายปีแล้ว ที่จะช่วยสัมพันธ์ทางศาสนา แต่ก็จะเพิ่งเอาจริงเอาจังกันขึ้นเมื่อเร็วๆนี้แหละ แล้วมันก็ประสบปัญหาอย่างนี้ บาทหลวงนี้ก็เลยเล่านิทานประชดการที่ไม่ยอมมีความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา แต่เราจะไม่ถือเอาเรื่องอื่นเป็นสำคัญ ถือเรื่องที่ว่ามันยังหย่อนความสามารถกันทุกศาสนา ทั้งสามศาสนาที่หย่อนความสามารถ ยังไม่อาจจะช่วยโลกได้ ขอให้แข็งข้อ ตั้งหน้าสร้างความสามารถ สมรรถภาพ ในการที่จะยกศาสนา เผยแผ่ศาสนา เราก็ยอมรับแหละว่าเราศาสนาพุทธนี่ก็ยังออดแอดอยู่ ออดแอดๆ เราจะต้องช่วยกัน ผมนี่ตลอดเวลา ทำอยู่ตลอดเวลา พยายามอยู่ตลอดเวลา ในการจะแก้ข้อบกพร่องหรือความอ่อนแอของศาสนา แล้วผมก็หวังไกลออกไปว่าทุกคนที่รู้จักจะสัมพันธ์กันและรู้จักกัน คณะธรรมทูตหลังสวน ฉวี ชุมพร อะไรก็ตาม รู้สึกนึกถึง นึกถึงแล้วก็มีความเข้าใจ สามารถยกศาสนาทุกๆคน เวลานี้ผมไม่ได้แกล้งพูด ไม่ใช่พูดหลอกหรือพูดขู่นะ มันจะตายเร็วๆนี้แหละไม่ต้องสงสัย เพราะร่างกายมันแสดงออกมา แสดงออกมา จึงเป็นห่วง เป็นห่วง กังวลว่ามันจะชะงักหรือจะไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงนำมาหารือวันนี้ หารือในระหว่างพวกเรานี่ ช่วยกันนึกถึงงานธรรมทูตให้เป็นไปได้ ให้เป็นไปได้เรื่อยให้ก้าวหน้าทำกับโลกไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ แล้วก็ช่วยกันเรื่องมอบหมายให้ชั้นลูกศิษย์ที่ถัดไปจากรุ่นนี้อีก ลูกศิษย์ หลานศิษย์ เหลนศิษย์ ต่อไปในอนาคตนั้น ให้มันรู้จักค่าของสิ่งนี้ ให้มันกล้าเสียสละชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทำงานนี้ เวลานี้ชั้นลูกศิษย์นั้นไม่ไหวแล้วนะ มันจะมุดหัวเข้ารูกันเสียหมดแล้ว มันก็ล่มจมแบบไม่ต้องสงสัย มันล่มจมชนิดที่เรียกว่าไม่มีทางจะกู้ได้หรือว่าเป็นธรรมชาติธรรมดาที่สุด ความยั่วยวนทางวัตถุมันมาก แรงขึ้น ต้องช่วยกัน เราน่ะรีบทำการช่วยตัวเองให้มันรอดออกมาได้ แล้วทำไปจนกว่าจะตาย ไม่มีอะไรดีกว่างานนี้แล้วแหละเกิดมาทีนึง ก็ต้องนึกถึงชั้นลูกศิษย์ หลานศิษย์ เหลนศิษย์ ต่อรุ่นหน้าอีก ให้มันมีคนสืบทอดรับช่วงไปเรื่อยๆ เพื่อพุทธศาสนาจะยังอยู่ ยังอยู่ตามพระพุทธประสงค์ นี่คือใจความสำคัญที่เป็นเครื่องกระตุ้นใจให้พูด ให้นิ่งอยู่ไม่ได้ เอาล่ะทีนี้ก็มาพูดถึงเรื่องงานที่เรากำลังทำ ปัญหาปลีกย่อยทั้งหลายที่เรากำลังทำ เมื่อตั้งใจว่าจะทำต้องแก้ไขปัญหาอุปสรรคทั้งหลายที่มีอยู่ให้มันลุล่วงไป ให้งานของเราดำเนินไปได้ ชุมพรก็ดี ฉวีก็ดี อะไรก็ดี ให้งานธรรมทูตดำเนินได้ คงจะมองเห็นกันแล้วทุกองค์ว่าถ้าไม่ร่วมมือร่วมแรง คือไม่สามัคคีกันทำไม่ได้หรอกที่จะไปต่อต้านกับพวกอื่นที่มันกำลังเป็นปึกแผ่นร่วมแรงสามัคคีกันดี ผมอ่านแถลงการณ์ของพวกอื่นอยู่เป็นประจำวันรู้สึกว่ามันจะสามารถ มันสามัคคี แต่ละคนก็สามารถ แล้วมันรวมเป็นพลังสามัคคี การสอนศาสนาพร้อมๆกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจนี่เวลานี้พวกคริสตังกำลังทำหัวปั่น ทำอย่างสุดเหวี่ยงอย่างหัวปั่น นั่นแหละผลงานจะออกมา เรายังทำแต่ในวัดในวงวัดหรือว่าตามแบบอย่างวัดๆไม่ค่อยจะได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานพัฒนาสังคม พวกคริสตังก็ไปจับสมาคม จับสภาสังคมสงเคราะห์แน่นแฟ้น แล้วก็ร่วมมือทุกอย่างทุกประการของทางราชการและสภาสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ พอดูรายงาน เอ้า ไม่มีนี่นา สายพุทธสายเราไม่มี เขาชิงโอกาสที่ว่าทำ??? (นาทีที่ 35:00) ทำแข่งกันไปเลยกับสภาสังคมสงเคราะห์ แล้วก็ร่วมมือกันด้วย ร่วมมือกัน ไม่ต้องร่วมมือกันทำแข่งขันกัน คือเขามองเห็นแล้วว่าเพียงแต่ตั้งโรงพยาบาล แจกของนั้นไม่พอ ไม่พอที่จะให้เป็นล่ำเป็นสัน จึงหันมาพัฒนาสังคม มีทั้งการงาน การเศรษฐกิจ การอะไร การพัฒนา พัฒนาเกือบทุกอย่าง ??? (นาทีที่ 35:35) อะไรก็จะทำได้ มันเก่งแบบนี้ ทางฝ่ายอิสลามนั้นกำลังตื่นตูม ยังไม่ทันพวกคริสเตียน คริสตัง แล้วฝ่ายพุทธเรานี่ดูเหมือนจะแก่ชรา ไปงุ่มง่ามกับความแก่ความชรา กลับไปเป็นหนุ่มกันเสียบ้าง ย้อนไปเป็นหนุ่มกันเสียบ้าง ช่วยทำให้ถูกต้องและทันสมัย ที่ทำปรัมปราสืบๆมามันก็เหมือนคนชรา จะไม่เข้ากับปัญหาอันแท้จริงของสังคม นี่ธรรมทูตจะกลายเป็นผนวกด้วยสังคมสงเคราะห์ต่อไป นั่นแหละคือพื้นฐาน ชั้นต่ำที่สุดพื้นฐานที่สุดก็ผนวกอยู่กับสังคมสงเคราะห์ ถ้าสูงไปกว่านั้นแล้วก็ต้องมีความรู้ยิ่งกว่าที่แล้วๆมาในทางธรรม ทางปรมัตถธรรม ได้แก้ปัญหาของโลกได้ ขนาดพวกฝรั่งมันสนใจมันอยากจะรู้วิธีของพุทธศาสนาก็ต้องอธิบายให้ถูกต้องได้ ฝรั่งส่วนมากไม่ได้ถือคริสเตียน มันเปิดจิตใจกลางๆ คริสเตียนมันก็หมดท่าแล้วมันก็มีแต่เรื่องพระเจ้าอะไรแบบนั้นไม่มีเรื่องปรมัตถธรรมที่น่าสนใจเหมือนกับของพุทธศาสนา พวกครูบาอาจารย์ที่เป็นฝรั่งที่มันมีปัญญาหัวแหลมหันมาสนใจพุทธศาสนา แต่แล้วเรามันยังไม่รู้นี่ มันยังหลับอยู่ ยังไม่รู้ถึงขนาดนั้น คือขนาดที่จะโต้ตอบกับฝรั่งได้ อยากสนใจกันบ้างสิ หามาอ่านมาศึกษาหนังสือหนังหา เป็นการทำให้ทันสมัยขึ้น ไม่ใช่ว่าเห่อหรือไม่ใช่ยกตัว แต่ถ้าเราวางมาตรฐานไว้สูงขึ้นเราจะสำเร็จประโยชน์ในส่วนที่มันกลางๆหรือต่ำๆ เราตั้งเป้าหมายไว้สูงแล้วไม่สำเร็จ ตั้งให้สูงไว้แต่มันจะพอดีกับสำเร็จประโยชน์ในระดับกลางๆหรือระดับต่ำๆ ตอนนี้เราก็ยอมรับทำระดับต่ำๆแล้ว แต่เราต้องตั้งเป้าหมายไว้สูงแล้วมันล้มเหลวมามันก็ยังเหลืออยู่ในระดับต่ำที่สมบูรณ์ที่สุด ก็เป็นศีลธรรมอีกนั่นแหละในที่สุด ถ้าทำเรื่องอื่นไม่ได้ขอให้ทำให้สำเร็จสมบูรณ์ในเรื่องศีลธรรมกลับมา แล้วผมว่าพอ พอสำหรับทั่วๆไประดับทั่วๆไป ช่วยโลกได้ นี่ถ้าเรามีเวลาเราไม่ต้องสัมมนา สัมมนาคือซักไซ้หาข้อเท็จจริงต่างๆตามสติปัญญาของคนแต่ละคน เอามากองรวมกัน ไม่ต้องลงมติเด็ดขาด ไม่ต้องลงมติว่าอย่างไร แต่ว่าให้เอามาเทๆๆ กองกัน แล้วทุกคนก็เอาไปตามที่ได้ยินได้ฟังตามพอใจไปทำได้ แบบนี้เขาเรียกสัมมนา symposium seminar symposium ถ้าจะบังคับให้ยอมรับมตินี่มันฝืนธรรมชาติ ผมก็ไม่เคยยอมรับแล้วไม่ตั้งใจจะขอร้องหรือบังคับให้ใครยอมรับความคิดความเห็นของผม อย่าว่าแต่บังคับเลย ขอร้องก็ไม่ค่อยมี มีแต่เทให้เห็น เทออกมาให้เห็นไม่ปิดบังไม่หวงแหน เทออกมาให้เห็นอันไหนที่เอาไปใช้ได้ชอบใจเอาไปเลย เอาไปทุกคนๆเลย ไม่ปิดบังไม่หวงแหน แต่ถ้าเรามีโอกาสทำสัมมนามันดี เป็นส่วนๆ เป็นส่วนๆไปเลยว่าศีลธรรมมันคืออะไร แล้วภาวะเสื่อมทรามของศีลธรรมนั้นมันเป็นอย่างไรเวลานี้ แล้วต้นเหตุที่มันเกิดความเสื่อมทรามนั้นเป็นอย่างไร มันเกี่ยวเนื่องอยู่กับใครอย่างไรกี่ทิศทาง แล้วเราจะแก้ไขกันได้อย่างไร ในคืนเดียวนี่ไม่พอหรอก พูดคืนเดียว แต่เพียงว่าศีลธรรมกลับมานี่ก็กินเวลาหลายคืนแล้ว ทีละประเด็นๆ เมื่อมีโอกาสจะทำแล้วก็ผมก็ขอฝาก ฝากไว้ทุกองค์ กลับไปถึงฉวีก็ประชุมและสัมมนาแบบนี้ เข้าใจศีลธรรมโดยถูกต้องตามความหมายหรือว่าความหมายที่เขาใช้อยู่ในปัจจุบัน มันเสื่อมอย่างไร มีมูลเหตุอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร แต่ละข้อๆนี่มีหลายแขนงปลีกย่อย แล้วเรายังต้องแยกออกไปว่าศีลธรรมของชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนาข้างๆวัดนั้นเป็นอย่างไร มีเหตุมีปัจจัยอย่างไร ศีลธรรมของข้าราชการ ของรัฐบาล ของสภาผู้แทนอะไรก็ตามเป็นอย่างไร แล้วของโลกทั้งหมดเป็นอย่างไร มันเนื่องกัน ต้องช่วยกันสัมมนา ผมคนเดียวนึกมันนึกไม่ออกหรอก บางทีนึกสู้เด็กๆก็ไม่ได้ก็มี เด็กๆอาจจะชี้ให้เห็นหรือว่าตอบให้ฟังดีกว่าเรา นี่ก็เรียกว่าหลายหัวหลายสมองมารวมกัน เป็นนักปราชญ์เต็มขั้น ต้องรวมกันตั้งสามคนจึงจะมีปัญญาเท่ากับปัญญาของมัญชุศรีโพธิสัตว์ รูปภาพที่เขียนที่เสาของญี่ปุ่นก็มี ท่านนักปราชญ์ถึงสามคนรวมกันแล้วก็จะมีปัญญาเท่ากับปัญญาของมัญชุศรีที่เป็นจอมปัญญา จึงจะแก้ปัญหาได้หรือว่าจึงจะไปนิพพานได้ อะไรก็แล้วแต่ แต่มัญชุศรีเขามีหน้าที่ช่วยโลก แก้ปัญหาให้มนุษย์ ต้องช่วยกัน ช่วยกันออกความคิดความเห็น สติปัญญา เทลงมารวมกัน แล้วหาข้อเท็จจริง จะเรียกว่ามติอันสุดท้าย แต่อย่าเถียงกันอย่าทะเลาะกัน อย่าบังคับให้คนอื่นรับความคิดความเห็นของตน พูดกันให้เข้าใจสิไม่ต้องมีการฝืนความรู้สึก ก็เลยจะพบจะทำอย่างไรดี จนในที่สุดมันจะพบต่ำลงมาแล้วถึงจะเป็นปัญหาที่มีอยู่จริง ที่ชาวไร่ชาวนา ประชาชนข้างวัดนี่จะต้องแก้ไข ชวนกันไปดูให้ถึงบ้านถึงเรือนกันเพื่อจะพบแล้วแก้ไขได้ อาจจะต้องแก้ไขในเล้าหมู เล้าไก่ คูบ้าน คูอะไร ไปเรื่อย แล้วเรื่องบนเรือน เรื่องบุคคลในบ้านเรือน ยังไม่ได้คิดถึงขนาดนี้ใช่ไหมถามกันจริงๆ ธรรมทูตของเรายังไม่ได้มองถึงขนาดนี้ มันมองแต่เรื่องตามแบบฉบับ เหมือนที่ว่าทำตามกรอบตามแบบฉบับมากเกิน มามองปัญหาอย่างนี้แหละแล้วเขาเรียกว่ามันประยุกต์ ประยุกต์หมายความว่าเรื่องมันจริงเรื่องที่มันต้องเป็นอยู่จริงๆ ไม่ใช่เป็นวิชชาที่ว่าไว้มากๆ นั่นมันไม่เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่แล้วมันแก้ไขไม่ได้ ต้องไปมองที่ปัญหาแท้จริงแล้วแก้ไขให้ได้ ก็อย่างไรก็เอากันเป็นพวกๆไปเลย เป็นระดับๆไปเลยไม่ต้องปรมัตถ์อะไรมาก ความรู้สึกธรรมดาบังคับตัวเองได้นี่แหละประชาชนจะเลิกอบายมุขได้ ประชาชนจะพัฒนาบ้านเมืองให้มีประโยชน์ ให้สวยงามให้ดีได้ ญี่ปุ่นก็ทำมากพระในศาสนา พึ่งพระพึ่งฆราวาส(นาทีที่ 46:35) ก็ทำงานแบบนี้งานสังคมสงเคราะห์นี้มาก เราก็ลงมือได้แล้วสังคมสงเคราะห์บวกกันเข้าไปกับศีลธรรมของศาสนา ว่าพัฒนาวัดให้เป็นวัดตัวอย่าง น่าหัวมากแหละเวลานี้ ผมว่าไปพัฒนาบ้านชาวบ้านเสียดีกว่า ธรรมทูตเข้าไปเกี่ยวข้องยกกองกันไปก็ได้หรือว่าครึ่งกองก็ได้ไปจัดไปแก้ไขความล้าหลังความโง่เขลาอะไรของชาวบ้านประชาชน แถวนี้ผมยังเดินไปมามองเห็น บ้านก็กว้างแล้วก็รกไปหมด ความจริงมันก็มีคูอยู่แล้วด้วยซ้ำรอบๆบ้าน มันไม่ได้พัฒนาคู เป็นน้ำสะอาดเลี้ยงปลาเลี้ยงผักในคู รั้วบ้านก็ไม่ได้ทำให้ดี เล้าเป็ดเล้าไก่ก็ไม่ได้ทำให้ดี ที่ดินที่อยู่ในระหว่างนั้นก็จะทำสวนครัวได้ก็ไม่ได้ทำ เป็นหญ้ากกหญ้ารกอะไรเสียหมด บนเรือนก็รกอะไรก็รก มันมีเวลาที่จะกินเหล้ากินน้ำหวาน มีเวลาไปนั่งเล่นคุยกันเล่น กลางวันมันยังไม่ทำแล้วจะไปพูดถึงกลางคืนได้อย่างไรกลางคืนจะมาทำนี่ แต่พวกคอมมิวนิสต์มันทำพวกที่อยู่ในคอมมูน(นาทีที่ 48:37)ทำทั้งกลางวันกลางคืน พวกญี่ปุ่นมันก็ทำ บางอย่างมันต้องไปทำกลางคืนต้องสนใจเอาใจใส่ กลางคืนจึงจะพ้นอันตราย ปลอดภัย นี่กลางวันมันก็ยิ่งทำ พอกลางคืนมันจะทำอย่างไร (นาทีที่ 48:54) ทำรั้วบ้านให้สวยให้สะอาด ที่รั้วบ้านให้มันมีพืชผักที่มันขึ้นถั่วขึ้นอะไรก็ได้ แล้วถัดลงมาเป็นคูน้ำกันขโมยรอบบ้าน ให้มันเต็มไปด้วยปลาที่มีประโยชน์ ผักที่ในคูที่มีประโยชน์ แล้วขึ้นมามีกล้วย มีอ้อย มีสวนครัว มีเล้าเป็ดเล้าหมูเล้าไก่ มันก็วิเศษแล้วบ้านนั้นบ้านตัวอย่าง ก็พยายามทำกันให้เป็นแบบนั้นแหละ ทุกบ้านๆไปเลย นี่มันขี้เกียจทำรั้วแล้วก็โทษว่าควายเหยียบบ้างอะไรบ้าง มันเลวมันเหลวไหลที่จะไปโทษควายน่ะคิดดูสิคนไปโทษควาย นี่ผมเห็นว่างานธรรมทูตต่อไปจะต้องสัมพันธ์กับงานสังคมสงเคราะห์ แล้วจะเป็นไปได้คือเขาก็มีกินมีใช้ แล้ววัดก็มีกินมีใช้ แล้วศาสนาก็มีกำลัง ประเทศชาติก็มีกำลัง มันก็ไปกันได้พร้อมๆกัน นี้จึงเรียกว่าธรรมทูตที่แท้จริง นี่ระดับศีลธรรมระดับต่ำๆ แล้วก็เหตุไรจะต้องมีชั้นระดับปรมัตถธรรม ตอบได้ หัวหน้าธรรมทูตตอบ เหตุไรที่ต้องมีระดับปรมัตถธรรมที่ไป???(นาทีที่ 50:50)ชาวบ้านที่ดี ???(นาทีที่ 51:00)ธรรมทูตต้องมีความรู้เรื่องระดับปรมัตถธรรม หมายความว่าต้องสามารถเหนือจิตใจ ชนะจิตใจ จูงจิตใจ ถ้าเราไม่มีความรู้ในระดับปรมัตถธรรมแล้วมันชนะจิตใจเขาไม่ได้นะ ไม่รู้เรื่องทางจิตทางใจไปชนะจิตใจเขาไม่ได้ แล้วถ้าเราไม่มีความรู้ทางปรมัตถธรรม เราจะช่วยชี้แจงให้เขาทำงานสนุกสนานเหมือนกับที่พูดเมื่อตะกี้นั้นไม่ได้นะ มันก็ล้มละลายเท่านั้นแหละ ถ้าคนนั้นมันไม่มีอะไรที่กระตุ้นใจให้ทำงานสนุก สนุกในการงาน มีนิพพานอยู่ในการงาน ไม่ได้มันก็ล้มเหมือนกัน ความรู้ข้อนี้เป็นความรู้สูงถึงขั้นปรมัตถธรรม รู้เรื่องจิตใจ รู้เรื่องพฤติของจิตใจ รู้เรื่องความกลับกลอกหลอกลวงของจิตใจต่างๆ ดังนั้นธรรมทูตก็ต้องรู้ปรมัตถธรรม แล้วก็มีแผนการที่จะไปใช้ในระดับศีลธรรม แล้วก็สังคมสงเคราะห์พร้อมไปในตัว ที่แล้วมาเราบกพร่องแม้แต่ความรู้ทางปรมัตถธรรมในพระคัมภีร์ก็ไม่มีใครรู้ รู้ผิดๆกันบ้าง เพียงแค่สอนนักธรรมตรี โท เอก นั่นไม่พอ แล้วมันไม่ถูกก็มี ไม่ถูกต้องก็มี นี่ต้องเรียนกันใหม่ในส่วนหนึ่งศึกษากันใหม่ให้พอ บางทีความรู้เกี่ยวกับประชาชน กับสังคม กับโลกอะไรก็ไม่พอ จับ(นาทีที่ 52:46)ตัวเขาไม่ได้ก็เลยไม่มีปัญญาที่จะพัฒนาแก้ไขสังคม ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ นั้นไปปรับความรู้ระดับจิตใจที่จะแก้ไขจิตใจหรือว่าปรมัตถธรรมให้เพียงพอด้วย แล้วรู้เรื่องสังคม เรื่องโลก เรื่องบ้านเมือง ปัญหาของมนุษย์นี่ก็ให้เพียงพอด้วย แล้วรู้เรื่องพัฒนาให้ดีกว่าชาวบ้าน ให้สอนชาวบ้านได้แล้วชาวบ้านจะนับถือเอง เมื่อก่อนพระเก่งกว่าชาวบ้าน สอนชาวบ้านได้ทุกอย่างชาวบ้านก็นับถือ เดี๋ยวนี้พระล้าหลังชาวบ้านหลายๆประการ ชาวบ้านเลยไม่ค่อยนับถือยิ่งขึ้นๆ ธรรมทูตนี้ต้องเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวปรับปรุงตัวเอง ผม??? (นาทีที่ 53:47)ขอให้รับช่วงต่อๆ ต่อๆกันอย่าให้มันขาดตอน ไม่ใช่ผมเก่งหรือจะดีวิเศษอะไรหรอกไม่ใช่ ผมตายแล้วจะมันหมด??? (นาทีที่ 54:03) แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่ากลัวจะไม่มีใครช่วย ถ้ามองในแง่ว่านี่คือหน้าที่ที่ต้องทำ ทำเพื่อพระพุทธประสงค์ก่อน แล้วมันจึงลงมาถึงเพื่อมนุษย์ เพื่อโลก เพื่อมนุษย์ เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ พอจะเห็นได้แล้วนะว่าระบบงานใดๆก็ตามมันต้องมีอุดมคติ ก็เรียกว่าเหตุผลหรืออุดมคติหรือวัตถุประสงค์นั้นต้องมีชัดเจนก่อนถึงจะทำกันไปถูก นั้นเมื่อวางรูปงานของธรรมทูตแล้วก็ต้องเขียนวัตถุประสงค์ อุดมคติ เหตุผล ให้ชัดจึงจะปฏิบัติได้ นั้นไปสัมมนาปรึกษากันโดยรายละเอียด อุดมคติมันมีแบบไหนบ้างกี่แง่กี่มุม วัตถุประสงค์ควรจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วมาถึงวิธีการจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วข้อสุดท้ายก็ช่วยจำที่ผมกำลังพูดนี่ว่าไม่มีอะไรดีสำหรับมนุษย์เราเกิดมาชาติหนึ่ง ไม่มีอะไรดีเท่ากับจะช่วยเพื่อนมนุษย์ ช่วยยกเพื่อนมนุษย์ที่เรียกว่าธรรมทูตนี่ ธรรมทูตถ้าถูกต้องตามความหมายแท้จริงมันคือการยกมนุษย์ขึ้น เป็นผู้ยกวิญญาณ เป็นผู้ยกสถานะทางวิญญาณ นี่ธรรมทูต มีพระเถระบางองค์ที่เกลียดคำนี้ ธรรมทูตแปลว่าผู้ประทุษร้ายธรรม ก็มีจริงแล้วมันมีทางจะแปลได้ ธรรมทูโต(นาทีที่ 56:23) มันแปลภาพเดียวกับ ทูสะโต(นาทีที่ 56:27) เป็นผู้ประทุษร้ายธรรม ก็คือแกล้งว่าแกล้งประชด มันก็มีกันมากเหมือนกันแหละธรรมทูตแบบไม่จริงคือประทุษร้ายธรรม ประทุษร้ายพระศาสนา ผมไม่มีอะไรที่ดีกว่าการทำงานนี้ชีวิตที่เกิดมา แล้วก็ที่ยังเหลืออยู่ไม่มีอะไรดีกว่านี้ ผมอยู่มาได้ก็ด้วยความรู้สึกแบบนี้ ไม่มีอะไรที่มันดีกว่าทำงาน งานที่พอใจสนุกสนาน กิเลสไม่ครอบงำ กิเลสก็เป็นเหตุลาสิกขาเพียงแต่เยี่ยงๆกรายๆเท่านั้นแหละไม่กล้ารังแก แล้วก็กลับไป มันจึงอยู่มาได้ นั้นถ้าไม่ให้เข้า??? (นาทีที่ 57:33) มันรวนเร มันโน่นนี่ ผลสุดท้ายแล้วมันก็ลา ลาสิกขาก็ได้ มันเข้าไม่ถึง มันไม่ทันจะเข้าถึงไอ้โน่นมันแรงกว่ามันเลยทำล้มละลาย ควรจะรีบทำให้เข้าถึง มีความมั่นคงแห่งจิตใจและ???(นาทีที่ 58:00) ก็เหมือนกับเราๆแบบนี้แหละทั้งคุณทั้งทุกคน ไปทำอะไรให้ดีกว่านี้คิดดู ไปมีลูกมีเมียไปตามกันเองแหละ(นาทีที่ 58:13) มันโง่ดักดาน มันไม่มีทางมันไม่มีอะไรที่ไปได้ไกล นับจากนี้???(นาทีที่ 58:22) ที่มันอยู่ทำแบบนี้ โอ้ ไปไกล ไปไกลจนคำนวณไม่ได้ มีคุณค่ามีความประเสริฐไกล จนกระทั่งว่าถึงระดับสมกับพระพุทธประสงค์ เป็นคนมีค่ากับโลกเหมือนพระพุทธองค์ นี่มันเป็นแนวเท่านั้นที่ผมพูดนี่เป็นแนวสังเขป ??? (นาทีที่ 59:01) เป็นแนวเป็นแนวที่แกน แต่รายละเอียดไม่ได้พูด รายละเอียดต้องไปสัมมนากันเอง หยิบขึ้นในส่วนไหนก็สัมมนาส่วนนั้นๆ ให้มันตลอดแนว แล้วคงสนุกในการปฏิบัติ นี่บอกให้สนุกในการงาน สนุกในการอะไรให้มันพร้อมหมดแหละ ในการเล่าเรียนการปฏิบัติ การก้าวหน้าของตัวเอง การช่วยเพื่อนมนุษย์ การยกย่องพระศาสนา การสืบอายุศาสนา พร้อมกันไปทุกอย่างโดยความเป็นธรรมทูต อย่าเข้าใจว่าธรรมทูตคือผู้ที่คอยพูด คอยพูด เอาแต่พูดอย่างเดียว ถ้าเป็นธรรมทูตความจริงมันจะดีหมดตั้งแต่ตัวเองก้าวหน้าทางธรรมแล้วทำให้ผู้อื่นก้าวหน้าด้วย ดับทุกข์ของตัวเองได้ ให้ผู้อื่นดับทุกข์ได้ด้วย สรุปแล้วก็ว่าขอให้ปีนี้ก้าวหน้ากว่าปีที่แล้ว ปีต่อไปก็ให้ก้าวหน้ากว่าปีนี้ แล้วมันก็แนวนี้การกระทำให้ก้าวหน้ากว่าปีนี้ ให้ก้าวหน้าทุกปีๆ สนุก มีความสุขในการทำ นี่ผมพูดนี่เรื่องที่ผมจะพูดนี่หมดแล้วมีเท่านี้ มีใครมีความคิดความเห็นมีอะไรแบบไหนก็ลองว่ามา หรือแม้จะซักไซ้ผมก็เถอะก็พูดกันได้เพื่อกิจการธรรมทูต การที่สอนเด็ก การที่สอนชาวบ้าน สอนประชาชนสอนอะไรมันรวมอยู่ในนี้หมดแหละ แม้แต่โรงเรียนศาสนาวันอาทิตย์ก็ดีอะไรก็ดีจะรวมอยู่ในหัวข้อนี้หมด ก่อนมันมีคำว่าธรรมทูตที่กว้างขวาง โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์อะไรก็งานธรรมทูต??? (นาทีที่ 61:45) จัดขึ้นกี่แห่งแล้วโรงเรียนศาสนาวันอาทิตย์ ??? เด็ก มีทุกแห่งหรือยัง ทุกหน่วยแล้ว? (ตอบ:ไม่ทุกแห่งครับ) เอาแหละให้มันทุกหน่วยแหละ หน่วยนึงต้องมีอันนึง หน่วยนึงให้มันมีอันนึง ที่มีแล้วก็ให้มันก้าวหน้าให้มัน เขาเรียกว่ามีผลให้มันเป็นผล งั้นก็ไปเขียนแผนผังไว้ งานธรรมทูตของเราตั้งต้นแต่นี้ไป ตั้งต้นแต่เด็กวันอาทิตย์เรื่อยขึ้นไป พัฒนาสังคมสงเคราะห์แก่ประชาชน ชาวบ้าน จนกระทั่งให้เขารู้ธรรมะแล้วก็ได้ทำงานสนุก แล้วภิกษุสามเณรก็จะเป็นผู้รับทอดมรดกเมื่อเราตายกันแล้ว??? (นาทีที่ 63:05) ผมเดี๋ยวนี้กำลังทำมากเกี่ยวข้องกับว่าจะแก้ข้อกล่าวหาที่เขาว่า ที่เขามักจะพูดว่าไม่มีหนังสืออ่าน ไม่มีหนังสือจะศึกษาพุทธศาสนา ผมรู้สึกตัวว่าถ้าลงตัว???(นาทีที่ 63:33) ว่าผมได้ทำไปมากแล้ว จะแก้ปัญหาที่เขาจะหาว่าไม่มีหนังสือจะศึกษาเนี่ย ทุกวัน(นาทีที่ 63:45) พอพูดขึ้นมาว่าไม่มีหนังสือที่จะอ่านรู้เรื่องเข้าใจหรือว่าจะอาศัยได้ เมื่อยี่สิบปีมาแล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ มันไม่มีหนังสือให้อ่าน ทีนี้เราก็ได้ทำให้มันมีหนังสืออ่านพอสมควร ยังเหลือแค่ช่วยกันใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ พวกคริสเตียนมันยังได้เปรียบอีกอย่าง มันอบรมในส่วนที่มอบกายถวายชีวิตนั้นมาก มันทำจริงในข้อนั้น ในระดับที่ยังเป็นเณรก็ดี กระทั่งเป็นพระแล้วก็ดี แม้เป็น??? (นาทีที่ 64:37) แล้วมันก็ยังอบรมกันเรื่อยๆ ให้มอบกายถวายชีวิตแก่พระเจ้า มันเป็นนิสสัยไปเสีย เลยมันไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย มันไม่เกี่ยงไม่งอน มันไม่อะไร มันทำเพื่อพระเจ้าจริงๆ แต่ถ้าเราได้รับการอบรมให้มอบกายถวายตัวแก่พระรัตนตรัยให้เพียงพอก็เหมือนกันได้ วันๆก็นึกถึงพอตื่นนอนมาก็นึกวันนี้ทำเพื่อพระพุทธเจ้า ค่ำลงก็ปิดบัญชีทำเพื่อพระพุทธเจ้า ทำแบบนี้เรื่อยๆไม่ทันไรก็จะมีนิสัย ??? (นาทีที่ 65:25) ทำเพื่อพระพุทธเจ้าจริงๆ เรายังมีกิเลสเราทำเพื่อตัวเรา แต่ผมขี่กิเลสอันนี้โดยการทำเพื่อพระพุทธเจ้าให้หนักขึ้น หนักขึ้นๆ เรามันจะดีเท่าไรมันจะสู้พระพุทธเจ้า ??? (นาทีที่ 65:46) คนทั้งโลกได้ ถ้าขืนทำเพื่อตัวเราไม่เท่าไรเดี๋ยวก็เกิดมานะทิฏฐิ ??? (นาทีที่ 65:58) จะอิจฉาริษยา จะทะเลาะวิวาท ความอิจฉาริษยาไม่ร่วมมือนี่ก็เป็นเรื่องที่ร้ายกาจอันนึงที่ขัดขวางความก้าวหน้าความเจริญ อบรมกันให้ดีๆไม่ให้มีการอิจฉาริษยาและจะเป็นผู้ต่อต้านการอิจฉาริษยาของคนที่มันมีความอิจฉาริษยาได้ แล้วก็หัวเราะเยาะได้ถ้าใครมาอิจฉาริษยาเราหัวเราะเยาะ แล้วเราก็ไม่มีทางอิจฉาริษยา ความไม่ร่วมมือก็ต้องถือว่าเป็นความริษยาอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าไปคิดทำลาย ทำเพียงความไม่ร่วมมือก็เพราะความริษยา แล้วงานของส่วนรวมเป็นไปไม่ได้เพราะไม่ได้รับความร่วมมือ บาลีมันมีอยู่สองคำ อรติ กับมีอยู่คำหนึ่ง อิสสา หรือ ริษยา อีกคำหนึ่ง อรติ แปลว่า ความไม่ยินดีด้วยนั่นคือความไม่ร่วมมือ ความไม่ยินดีด้วยนี่ไม่ถึงขนาดริษยาหรอก ริษยาหมายถึงอิสสา ริษยาน่ะวินาศเลย แต่ว่าความไม่ยินดีด้วย ความไม่ร่วมมือนี่ก็ร้ายกาจพออยู่แล้ว ทำให้งานของส่วนรวมเป็นไปไม่ได้ มีกิเลสหลายๆอย่างที่ทำให้เกิดความไม่ร่วมมือ ถ้าสรุปแล้วคือความเห็นแก่ตัวนั่นเองมันทำให้ไม่ร่วมมือ ต้องชำระสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็เรียกว่าเห็นแก่พระพุทธเจ้าแล้วก็ละความริษยาเสียได้ ถ้าว่าเราไม่ละความริษยาเราจะไม่ร่วมมือซึ่งกันและกัน แล้วงานของพระศาสนามันก็ล้มละลาย แต่แล้วก็อย่างว่าอย่าไปกลัว ใครจะอิจฉาริษยาก็ไม่ต้องกลัว ถึงเขาจะเป็นอุปสรรค ศัตรูต่อต้านอย่างรุนแรงอย่างนี้เราก็ไม่กลัว เราจะทำให้จนได้ ไม่กลัวเขานินทา ไม่กลัวเขาแกล้งประณาม ดูถูกดูหมิ่น ไม่กลัวแม้แต่ความตาย แล้วจะทำได้แล้วก็จะทำได้ ถึงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ต้องทำได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์ อย่าลืมนะไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วเอาไปนอนคิดนะ สึกออกไป เอ้าไปทำอะไรที่ดีกว่านี้ สึกออกไปคิดทำอะไรให้ดีกว่านี้ มันไม่มีจริงๆ เว้นไว้แต่ว่ามีจิตใจลดต่ำเกินไปโง่เกินไป เห็นว่าความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังนี้ดีกว่าประโยชน์สูงสุด นี่ต้องระวัง ต้องระวังอย่าให้มันมาครอบงำ จิตที่มันตกต่ำในบางคราวมันจะไปเห็นแก่ประโยชน์เนื้อหนัง เพราะจิตมันดวงเดียวเนี่ยจิตมันทำงานได้ทีละอย่างเท่านั้น ก็ถ้ามันลงไปแบบนี้แล้วไอ้นี่ก็ไม่ได้ มาช่วยไม่ทัน นั้นพยายามดึงให้มันมาแบบนี้เป็นนิสัย ??? (นาทีที่ 70:00) (ถาม: ถ้าต่อไปนี่การเผยแผ่ศาสนานี้จะแพ้สิ่งแวดล้อม) เอาแหละ เรื่องนี้ก็เอาไปสัมมนา มันจะแพ้ได้ด้วยวิธีอะไร อย่างไร ที่ไหน นี่มันแน่นอนแหละมันเห็นอยู่แล้วที่เราไปสู้ผู้ต่อต้านไม่ได้ สู้อุปสรรคไม่ได้ เพราะสิ่งแวดล้อมมันดึงดูดผู้ฟังผู้รับการอบรมเกิน แล้วมิหนำมันซ้ำจะดึงดูดเอาเราเข้าด้วยนั่นระวังให้ดีๆ ???ค่ำเช้า(นาทีที่ 70:42) เข้านอนทุกเวลานึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็มอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้าโดยแท้จริงทุกวันๆ นั่นแหละที่จะให้เกิดกำลังที่ต่อต้านสิ่งแวดล้อมได้ คือการทำวัตรเย็น ทำวัตรเช้า ไหว้พระสวดมนต์ ขอให้ทำให้จริงมันจะป้องกันดี ทำด้วยจิตใจแหละว่าเราก็พูดอยู่นี่มอบกายชีวิตนี้แก่พระพุทธ แก่พระธรรม แก่พระสงฆ์ เป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (คำบาลี) ก็สอนให้ชาวบ้านและประชาชนรู้จักยึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เช่นเดียวกับพวกคริสตังเขาสอนให้ประชาชนยึดพระเจ้าแล้วก็ทำ???(นาทีที่ 71:40) เป็นระยะยาวนานแล้ว เวลานี้ชาวประชาชนคริสตังก็ยังยึดมั่นในพระเจ้าก็ยังมีมากนะยังมีมากเหมือนกัน แต่ว่าที่ทิ้งพระเจ้านี่มากขึ้น มากขึ้นๆ ไปบูชาวัตถุ แล้ว??? (นาทีที่ 72:04) มันวินาศ เมื่อทำให้วินาศมันก็กลับมาหาพระเจ้า ที่เมืองนอกเขาพูดถึงคล้ายๆว่าจะต้องกลับไปหาพระเจ้าอีก หลังจากที่ทิ้งพระเจ้ามาเสียกันยกใหญ่ (เดี๋ยวนี้พ่อแม่เด็กไม่ได้สนใจ ครูที่โรงเรียนนี่ไม่มีใครสนใจเสียแล้ว เด็กจะไหว้พระไม่เป็นเสียแล้ว) นั่นแหละก็พ่อแม่ไม่ต้องการเพราะว่าพ่อแม่ก็ไม่ได้รับการอบรมที่ถูกต้อง พ่อแม่ก็เกิดมีความคิดเห็นว่าเราต้องการให้ลูกเราเรียนเก่ง หาเงินได้มากๆเร็วๆ ต้องการแบบนั้น ก็เลยไม่ส่งเสริมให้ลูกเรียนศาสนาแม้แต่เพียงโรงเรียนวันอาทิตย์ ทีนี้เด็กก็เตลิดเปิดเปิงเพราะพ่อแม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว ครูนี่ก็ลำบากครูสมัยนี้ครูวัยรุ่นทั้งนั้นไม่ไหว ไม่รู้จักศาสนาแล้วยังดึงเด็กออกไปจากศาสนา เอ้อ เรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่งคือวิธีสอนถ้าเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าช่วยกันไปคิดไปนึกให้ดีนะ มันทำผิดอยู่ มันทำผิดอยู่ ที่จะทำให้คนไม่เชื่อพระพุทธเจ้าโดยเห็นว่าเป็นเรื่องปรุงขึ้น ไม่มีตัวจริงหรือหลอกลวงอันนี้มันมีมากขึ้น โดยมันสอนผิด แทนที่จะสอนไปแบบนี้มันสอนไปแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่นว่าเราจะต้องบอกเด็กว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสามารถทำได้ในเวลาอันสั้นให้ประชาชนในเจ็ดแคว้นหรือเจ็ดประเทศยอมรับได้ทันที จนถึงกับเขากล่าวข้อความเป็นอุปมาไว้ว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วเดินได้เจ็ดก้าว อย่าสอนเรื่องเดินได้เจ็ดก้าว??? (นาทีที่ 74:30) ต้องสอนแบบนี้เสียก่อนว่าสำเร็จให้เป็นที่ยอมรับได้เจ็ดประเทศ จนถึงเขาต้องเขียนเป็นรูปคำอุปมาทำนองปาฏิหาริย์ว่าพอเกิดมาถึงเดินได้เจ็ดก้าวเด็กก็ไม่มีทางค้าน ครั้นถ้าไปบอกมันว่าเกิดมาถึงเดินได้เจ็ดก้าวมันก็ไม่เชื่อ มันยกเลิกหมดแหละ เรื่องอะไรก็ตามไปกลับมันเสียอย่างนี้ อย่าสอนเหมือนกับสอนในโรงเรียนให้ได้ฟังว่าเกิดมาเดินได้เจ็ดก้าวก่อนแล้วก็ไม่ได้อธิบายว่าอย่างไร แล้วก็ถึงอธิบายก็เด็กมันไม่เชื่อเสียแล้ว เพราะมันเห็นมันไม่ยอมเชื่อนี่ ครูก็ไม่เชื่อเด็กก็ไม่เชื่อ ยกเลิก เกิดมาถึงเดินได้เจ็ดก้าว นี่มันเป็นอุบายหรือความฉลาดของบัณฑิตในยุคนั้นยุคที่เขียนคัมภีร์พุทธประวัติว่าอย่างนี้ เพราะว่าจะเขียนภาพหรือสลักภาพหินให้ได้ความว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสอนประชาชนได้ตั้งเจ็ดประเทศในเดือนเดียวสมัยนั้นน่ะมันเขียนไม่ได้ มันสลักหินเป็นภาพไม่ได้ แต่ถ้าสลักว่าเกิดมาถึงเดินได้เจ็ดก้าวนี่มันก็สลักได้ มันสลักได้ง่ายๆ แล้วความหมายมันซ่อนอยู่ในนั้น เมื่อผมศึกษาภาพหินสลักเพื่อจะอธิบายให้คนเข้าใจเกิดความคิดเรื่องนี้ทั้งนั้น เกิดความคิดความเข้าใจเรื่องนี้ทั้งนั้น เขาก็ต้องสลักภาพนามธรรมให้เป็นรูปวัตถุธรรม เช่นว่าขึ้นดาวดึงส์ ขึ้นไปสอนเทวโลกอะไรก็ตามมันก็แบบนี้แหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ทันกี่เดือนกี่ปี??? (นาทีที่ 76:29) ก็สามารถจะทำให้ประชาชนให้คนในระดับสูงสุดยอมรับนับถือ พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายนั่นแหละ ถ้าจะบันทึกข้อความนี้ในทางรูปธรรมก็ต้อง???(นาทีที่ 76:45) ขึ้นไปสอนบนเทวโลก บนดาวดึงส์ เก่งถึงขนาดนี้ นี่มันยกตัวอย่างทุกเรื่องไม่ได้แต่ผมพูดได้คำเดียวว่าไปทำเสียนะ ทุกเรื่องที่เป็นปาฏิหาริย์ที่มันเหลือเชื่อ เพราะพระพุทธเจ้าคลอดจากท้องมารดาลงมาเหมือนกับธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์นั่นแหละ นั่นเวลาอธิบายคือว่ากลับไปทางนี้จะไม่มีอุปสรรค มีอุปมาเปรียบเหมือนกับว่าธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ แล้วเด็กก็จะไม่มีทางสะดุดหรือค้าน ก็มันยอมรับอุปไมย แล้วอุปมามันก็??? (นาทีที่ 77:40) นี่ถ้าสอนอุปมาก่อนอุปไมยมันก็ตาย เด็กก็ไม่ยอมเชื่อในวันแรก ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้วเดินได้เจ็ดก้าว (มีเด็กถามมาถามว่าที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ พ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แต่พระพุทธเจ้ายังแก่ ยังเจ็บ ยังตาย) นั่นแหละธรรมทูตจะต้องศึกษาให้เข้าใจแล้วตอบให้ได้ หมดปัญหาเกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ราวกับว่าเราไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็มันหมดปัญหา มันไม่มีปัญหา ปัญหาที่เกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันไม่มีปัญหา มันไม่มีความทุกข์ไม่มีอะไร จึงกล่าวว่าชนะหรือหมดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เราต้องชี้ตัวเด็กให้มันตอบในความรู้สึกของมันว่ามันกลัวเรื่องนี้หรือเปล่า เป็นปัญหา เป็นความทุกข์ ถ้าปัญหานี้หมดไป มีจิตใจที่ไม่กลัวเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่จะเรียกว่าอะไรดี ต้องเรียกว่าเรานั้นพ้นขึ้นเหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ดีแล้วแหละที่ได้เคยนึกแบบนี้ เคยเผชิญมาแล้วแบบนี้ นี่แหละเอาไปทำเอาไปประชุมสัมมนากันทีหลัง ให้มันเป็นที่รู้กันเลยว่าเราจะตอบปัญหาข้อนี้ว่าอย่างไรในระดับเด็กก็ดีในระดับผู้ใหญ่แล้วก็ดี เรื่องปาฏิหาริย์ทั้งหลายในพุทธประวัติจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางที่ไม่ให้คนเชื่อ พระพุทธเจ้าโดยร่างกายก็แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย เห็นอยู่แล้ว เหตุไหนว่าไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แต่มันไม่มีปัญหาสำหรับท่าน ไม่มีความหมายสำหรับท่าน ไม่มีความทุกข์เพราะเหตุนั้น แต่ปุถุชนธรรมดามันมีปัญหากลัวล่วงหน้าเป็นทุกข์ล่วงหน้า ทรมานขึ้นทุกวันๆ เรื่องปัญหาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องมันสอนได้มันอธิบายได้และสอนได้แต่เรามันไม่ทำกันเอง (คำถาม: มีคนเคยถามว่าพระองค์นิพพานแล้วอยู่ที่ไหน) มันต้องพูดกันหลายปี อะไรเป็นพระองค์ อะไรเป็นพระองค์ ร่างกายเป็นพระองค์หรือว่าจิตใจเป็นพระองค์หรือว่าภาวะแห่งจิตใจเป็นพระองค์ พระองค์มีหลายชั้น ถ้าว่านิพพานอันแท้จริงในความหมายถูกต้องก็พอพระองค์นิพพานแล้วก็กลายเป็นบุคคลขึ้นมาอีกคนนึงที่ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป ??? (นาทีที่ 81:00) เรียนท่องๆกันอยู่ เพราะว่านิพพานนั้นมันคือตายแห่งกิเลส ดับแห่งกิเลสไฟคือความร้อน ยังมีได้คราวเดียวกันกับต้นโพธิ์โคนต้นโพธิ์ในวันเพ็ญ ประสูติก็ดี ตรัสรู้ก็ดี นิพพานก็ดี ในคราวเดียวกันในวันนั้นในวันวิสาขะ ถ้าแบบนี้ก็นิพพานแล้วก็จะเดินอยู่ แต่ทีนี้มันกลายเป็นไม่มีความทุกข์ เหนือความทุกข์ แต่เด็กมันได้รับการสั่งสอนว่านิพพานคือตายเข้าโลงอยู่เรื่อยเพราะในโรงเรียนมันสอนมาผิด แล้วความโง่ของคนก็พูดขึ้นทีแรกบัญญัติกันทีแรกว่านิพพานแปลว่าตายสำหรับพระพุทธเจ้า นั่นมันผิดใหญ่ นั่นแหละมันผิดมันเป็นคำพูดที่ผิด พระพุทธเจ้านิพพานคือตายอย่างพระพุทธเจ้านั่นก็เราก็ต้องพูดให้มันถูกคือดับสังขารที่เรียกว่าตาย การดับสังขาร แต่ว่าท่านดับสังขารนี้ดับด้วยปรินิพพานธาตุซึ่งเป็นอนุปาทิเสสะ ปรินิพพานธาตุก็คือดับกิเลสหมด เย็นๆๆ อยู่เป็นปรินิพพานธาตุแบบนี้ ถึงวาระสุดท้ายดับสังขารร่างกายลงไปด้วยภาวะของปรินิพพานธาตุ นั้นพระพุทธเจ้าดับสังขารด้วยปรินิพพานธาตุ ??? (นาทีที่ 82:50)พระพุทธเจ้านิพพานคือตาย ปัญหาเหล่านี้แหละเป็นตัวอย่างเห็นอยู่แล้วที่จะเอามาสัมมนาปรึกษาหารือกันในหมู่ธรรมทูต สภาธรรมทูต คนอื่นไม่ทำก็ช่างเราทำ จะไม่เท่าไรจะมีคนเห็นดีด้วยแล้วจะทำเหมือนๆกัน ทำรวมๆกันก็ได้ แล้วปัญหาที่สอนไม่ได้ที่ไม่เชื่อนี่จะหมดไปๆ คือเราจะทำสัมมนาที่นี่ด้วยเวลาวันเดียวคืนเดียวทำไม่ได้ พูดกันได้แต่หัวข้อหัวข้อใหญ่ รายละเอียดเอาไปสัมมนากันเอง ไม่อยู่แค่ฉวี แค่ชุมพร มีโอกาสที่จะประชุมกันบ่อยๆ ทุกครึ่งเดือนหรือว่าทุกเดือนก็ตามใจ มีโอกาสเมื่อไรก็สัมมนากันให้หมดทุกข้อ ทุกข้อๆ ตามที่นึกได้ก่อน แล้วครั้งหลังอีกก็สัมมนาต่อไปหมดทุกข้อๆ เมื่อมันปรากฏขึ้นมา ไม่เท่าไรปัญหาหมด ปัญหาในการธรรมทูต อุปสรรค เคยทำแล้วไม่สำเร็จจะหมด พวกคริสตังเขากำลังทำงานนี้ทำอย่างสุดเหวี่ยงทีเดียวเพราะว่าคำพูดคำอะไรมันไม่มีเหตุผล มันขัดต่อเหตุผลทั้งนั้นเรื่องพระเจ้า นี่เขาก็ต้องประชุมกันปรึกษาหารือกันว่าจะใช้คำพูดใหม่ให้มันรอดไปได้ เราก็ต้องทำเหมือนกันต้องทำไปตามระดับของเรา ซึ่งเรามันได้เปรียบมากเราไม่ได้พูดอย่างฝืนธรรมชาติในเรื่องพระเจ้า เราก็มีพระเจ้ามีกฎแห่งอิทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้าที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ต้องช่วยแก้ให้ ไม่ต้องไปช่วยอะไรถ้าใช้คำนี้ว่าเลี้ยง การเลี้ยง การช่วยถนอมช่วยเลี้ยงอะไรของสาวก อาจจะไม่เคยพบอาจจะไม่สังเกต มีพระพุทธภาษิตพูดถึงพระองค์ว่าเราไม่ต้องการในความช่วยประคบประหงมที่เชิดชูของพวกเธอเพราะว่าคำพูดของเรามันไม่ผิด เธอไม่ต้องมาช่วยสนับสนุนช่วยให้คะแนนเสียงหรือว่าช่วยทำให้คนเชื่อ แต่ว่าศาสดาบางองค์ได้สอนไปไม่สมบูรณ์ไม่ถูกต้อง ต้องให้สาวกนี่ช่วย ช่วยหล่อเลี้ยงคำนี้ไว้ ??? (นาทีที่ 86:06) มีหลายสูตรผมพบหลายแห่งแล้ว ??? ยืนยัน ท้าทาย
งานที่เราทำไปแล้วมันจะสอนให้ในตัว แต่ขอให้มีสติสังเกตแล้วกำหนดพิจารณาให้ดีมันจะสอนเรื่อยไป เราทำอะไรลงไปแล้วมันจะสอนให้ในตัวแต่เราไม่สังเกต มันไม่ก้าวหน้า มันจับไม่ได้ ต้องให้มันสอนให้ มันไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีงานที่ทำนั้นสอนคนทำ อีกเรื่องหนึ่งนึกออกก็พูด ก็ต้องระวังต่อไป ที่แล้วมามันสอน ที่แล้วมานี่มันสอน เป็นผมสังเกตเห็นแล้วจับได้ว่าเราไม่แยกหาทางกันแยก ว่านี่มันสอนศีลธรรมอย่างมีตัวตนสำหรับคนที่ถือหลักว่ามีตัวตนยังมีความรู้สึกว่าตัวตนคือปุถุชนนี่แหละ ทีนี้คำสอนฝ่ายนี้มันสอนเรื่องไม่มีตัวตน อย่าไปปนกันเข้าแล้วมันก็ไม่มีปัญหา นี่ถ้าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนนี่มันสอนคนมีตัวตนมีศีลธรรมอย่างแบบศีลธรรม (นาทีที่ 88:10) ทีนี้ฝ่ายนี้ไม่มีตัวตน อัตตาหิ อัตตะโน นัตถิ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ...อะไรแบบนี้ ตัวตนยังไม่มีลูกจะมีเมียจะมีมาแต่ไหนบุตร(นาทีที่ 88:19) จะมีมาแต่ไหน เรื่องกรรมก็เหมือนกัน เรื่องอะไรทุกเรื่องแหละมันจะมีผ่ากลาง(นาทีที่ 88:35) ถ้าเรื่องกรรมสอนอย่างมีตัวตน มีผู้ทำมีผู้ทำกรรม คนได้รับกรรมตายแล้วได้รับกรรมนี่อย่าไปยกเลิกอย่าไปคัดค้านคือว่าสอนอย่างมีตัวตนสำหรับผู้ที่ยังมีความรู้สึกเพียงเท่านั้น คราวนี้ฝ่ายนี้ไม่มีตัวตน ฝ่ายนี้ไม่มีใครทำ อยู่เหนือกรรม หมดกรรมสิ้นกรรม แล้วไม่มีผู้กระทำกรรม ไม่มีตัวตนที่จะทำกรรม มีแต่การกระทำคือการปรุงแต่งตามความรู้สึกคิดนึกตามกฎของปฏิจจสมุปบาท นี้เรียกว่าฝ่ายนี้ปรมัตถธรรม แล้วไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นจึงเป็นว่าอัตตาก็ถูก อนัตตาก็ถูก ผ่ากลาง(นาทีที่ 89:18) อัตตาของศีลธรรม อนัตตาของปรมัตถธรรม เรื่องกรรมที่ว่ามีผู้ทำกรรมตายแล้วได้รับการ??? (นาทีที่ 89:30) เพราะว่ามันดีนี่มันมีประโยชน์ เราควรเชื่อและถือไว้ปฏิบัติแบบนั้นแหละมันมีประโยชน์ แต่เมื่อมันทำกรรมดีได้รับผลกรรมดีแล้วทีหลังมันก็มาสังเกตเห็นทีหลังอีกว่ากรรมดีไม่เที่ยงยึดถือก็เป็นทุกข์ มันจึงมาสอนอย่างไม่มีกรรม ไม่มีบุคคลผู้กระทำกรรม ไม่มีตัวตนที่จะไปยึดถือ ให้มันมาถึงเขตนี้แหละสอนมีตัวตนมาถึงขีดนี้เป็นเส้นเขตกลางแล้วก็ข้ามไปฝ่ายโน้นก็เป็นเรื่องอนัตตา แล้วธรรมทูตจะไม่ถูกค้านเรื่องที่อธิบายให้มันเข้ากันไม่ได้ เดี๋ยวอัตตาเดี๋ยวอนัตตา ปัญหานี้พวกฝรั่งจะถามมากที่สุดถ้าเราไม่รู้ทันแล้วตอบผิดมันก็จะเสียหายหมดแหละ มันจะพาลไม่เชื่อทั้งหมดเลย เดี๋ยวอัตตาเดี๋ยวอนัตตา ตายแล้วเกิดมันก็ต้องเป็นเรื่องของมีตัวตนมีอัตตานั่นแหละ แต่ถ้าพูดตามความจริงตามปรมัตถ์มันไม่มีคนอยู่แม้แต่บัดนี้ จึงไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย แล้วไม่มีเกิดใหม่ เพราะมันไม่มีคนมีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทล้วนๆ คือถ้าว่าคำตอบยังไม่กระจ่างก็ไปสัมมนากันเอง คือมีคำตอบที่กระจ่างที่ค้านไม่ได้ ถ้าเหลือกำลังที่จะสัมมนาที่ชุมพรก็เอามาสัมมนาที่นี่บ้างก็ได้เป็นครั้งเป็นคราว ปัญหาที่มันสัมมนากันไม่ลงที่โน่นก็มาสัมมนาที่นี่ แต่ปัญหาปลีกย่อยทั้งหลายนั้นสามารถจะสัมมนากันตรงที่โน่นแหละ ภายในประชุมเล็กๆ (ปัญหาสำคัญผมคิดว่าการสอนมันก็ควรที่จะรู้จักยึดตำรับตำราให้เหมาะสมกับภูมิปัญญาของเด็ก แล้วสอนพุทธบริษัทก็ต้องเลือกชุมนุมชนที่ภูมิปัญญาเหมือนๆกัน) นั่นแหละ นั่นแหละสัปปุริสธรรม สัปปุริสธรรมเจ็ดประการจะเป็นเครื่องมือตลอดเวลา ??? (นาทีที่ 92:09) ขึ้นใจอยู่เหรอสัปปุริสธรรมเจ็ดประการ ขึ้นใจอยู่เหรอ ว่ายังไง (ตอบ: เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล บริษัท บุคคล) นั่นแหละดีรู้จักย่อคำให้สั้นเหลือแค่นั้นแหละ เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล บริษัท บุคคล มันจะออกแบบนี้จะมาช่วยแก้ปัญหาแบบนี้ (ทีนี้ทางด้านสังคมกับด้านศีลธรรมอีกคือว่าให้สังคม???(นาทีที่ 92:50) ตามด้วยศีลธรรมแล้วก็เขาจะเกิดความเชื่อถือศรัทธาต่อพระธรรมทูตมาก ???(นาทีที่ 93:00)ที่ผมมองเห็น) ถูกแล้ว มันต้องตรงกับปัญหาของสังคม แล้วแก้ปัญหาของสังคมได้จึงจะมีประโยชน์ นั้นก็ต้องศึกษาสังคมในแง่ที่เราจะแก้ปัญหาของสังคม ไม่ใช่ไปศึกษาสังคมให้ลุ่มหลงในสังคม ศึกษาสังคมเพื่อจะแก้ปัญหาของสังคม นั้นผมจึงยังอ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ฟังวิทยุบ้างอยู่เสมอเพื่อจะรู้จักปัญหาของสังคม ไม่ใช่จะไปสนุกเพลิดเพลินไปกับสังคม และจะต้องมีขยายไปถึงว่าวิชชา วีชา วิชารอบตัวที่เป็นประโยชน์แก่สังคม ธรรมทูตจะต้องรู้ ต้องรู้ตามสมควร พอจะตอบถูก พอจะแสดงว่าไม่โง่เขลา ไม่ว่าจะเรื่องเจ็บเรื่องไข้ เรื่องวิชาการแพทย์ก็ดีอะไรก็ดี เรื่องกสิกรรมอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์อะไรก็ดี ควรจะรู้ ระดับนึง (นาทีที่ 94:28) พอจะตอบปัญหาสังคมได้หรือพอที่เขาจะไม่เห็นว่าพระนี่ไม่รู้อะไร (สรุปความว่าความจำเป็นของ ??? (นาทีที่ 94:57) ของชาวบ้านมี ของพระก็เรียกว่าเสมือนกับว่าเป็นผู้แก้สถานการณ์หรือว่าปลดเปลื้องความทุกข์ ปัญหา แก้ให้เขาได้แล้วก็ ??? (นาทีที่ 95:09)) นั่นแหละเป็นคำกลางๆทั่วๆไป ปัญหาธรรมดาสามัญที่ชาวบ้านเขายังแก้กันได้นี่ ทำไมพระจะไม่ช่วยแก้ให้ได้ ถ้ามันเกิดเรื่องที่ว่าแม้แต่ว่าทำมาหากิน ปัญหาปลีกย่อยต่างๆนี้ พระก็จะต้องช่วยขจัดความสงสัยให้ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงมีความคิดในข้อนี้ขึ้นมาคราวนึงอย่างรุนแรงแต่ไม่ได้ทำ ไม่มีแรงจะทำ แต่ความคิดมันมีเลยคิดออก เราจะมีตำราขึ้นชุดนึงเท่าที่พระเราควรจะรู้ เท่าที่พระเราควรจะรู้ นับตั้งแต่วิทยาศาสตร์แหละเท่าที่พระเราควรจะรู้ ประวัติศาสตร์ก็ดีพระเราควรจะรู้ ศาสนาอื่นเท่าที่พระเราควรจะรู้ไม่ใช่รู้ทั้งหมดนะ ไม่ใช่รู้ทั้งหมดแต่ว่าเท่าที่ควรจะรู้ เท่าที่จะกู้หน้าของพระเราได้ว่าไม่งมงาย นี่เขาจะได้ไว้ใจว่าเราพูดนี่ควรจะฟัง เช่นเดียวกับวินัยข้อนึงมีอยู่ว่า จะอธิบายว่าภิกษุสะสมอาหารไม่ได้ แต่ว่าให้มีข้าวสารทะนานสองทะนานได้เผื่อว่าโจรมันมา มันขอข้าวสารไม่ให้มันตีหัวเขกหัวเอา นี่เพื่ออย่างนี้เพียงเพื่อเท่านี้ ไม่ใช่สะสมข้าวสารไว้หุงกินเอง แต่ว่าเผื่อว่าพอโจรมันมา ต้องการข้าวสารบ้างพระไม่มีให้อันธพาลมันจะเขกหัวเอา หรือว่าศึกษาดาราศาสตร์บ้างเท่าที่ประชาชนควรจะรู้ แต่ไม่ใช่โหราศาสตร์นะอย่าไปปนกันนะ ดาราศาสตร์ที่เป็นปฏิทินน่ะควรจะศึกษาบ้างตามที่ว่าชาวบ้านเขามาถามแล้วจะได้ตอบถูก เพราะว่ามันมีพระองค์นึงมันไม่รู้อะไรเสียเลยนี่ที่เขาถามว่าขึ้นแรมกี่ค่ำนี่มันก็ไม่รู้ แล้วชาวบ้านก็นินทา พระพุทธเจ้าจึงอนุญาตว่าให้ศึกษาเรื่องนักษัตรเท่าที่จะตอบปัญหาชาวบ้านได้ แต่ไม่ใช่โหราศาสตร์ไม่ใช่นักษัตรชนิดโหราศาสตร์ ศึกษาวิถีนักษัตรก็คือปฏิทินถ้าในปัจจุบันนี้เองควรจะรู้บ้าง ทีนี้บางคนเอาข้อนี้แหละไปอ้างว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ศึกษาโหราศาสตร์ ยุ่งกันใหญ่ เป็นคัมภีร์หรือตำราหรืออะไรเท่าที่พระควรจะรู้ เรื่องสุขภาพอนามัย เรื่องสรีรศาสตร์ โรคภัยไข้เจ็บอะไรก็ตาม เท่าที่พระควรจะรู้ มันก็ไม่มากมายเกินไป ไม่ใช่ว่านี่ผมรู้เรื่องนี้รู้เท่าที่พระควรจะรู้ รู้วิทยาศาสตร์ รู้ประวัติศาสตร์ ก็เท่าที่พระควรจะรู้ แล้วทำงานมาได้ราบรื่นเพราะมันรู้ไอ้สิ่งเหล่านี้เท่าที่ควรจะรู้บ้าง นี้ใครมีปัญญาสามารถรวบรวมมาเถอะ รวบรวมจากตำรานั่นตำรานี่มาเท่าที่พระควรจะรู้ เช่น ศาสนาคริสต์เท่าที่พระควรจะรู้ ดีมั้ยล่ะ ดีกว่าเราไม่มีไม่รู้อะไร วิทยาศาสตร์ก็เหมือนกัน วิทยาศาสตร์แขนงไหนเท่าที่พระควรจะรู้เอามาใส่ไว้ให้หมด ไม่กี่หน้าแหละไม่กี่หน้ากระดาษ เรื่องหนึ่งๆ เท่าที่พระควรจะรู้แล้วรวมเข้าเป็นหนังสือเล่มใหญ่สักเล่มก็พอเท่าที่พระควรจะรู้ เท่าที่ภิกษุสามเณรควรจะรู้โดยทั่วไป ถ้าว่าเท่าที่ธรรมทูตควรจะรู้ก็ควรจะขยายมากออกไปบ้าง แต่ว่าเท่าที่ภิกษุสามเณรธรรมดาควรจะรู้ ไม่เท่าไรหรอก อักษรศาสตร์ก็ดี วรรณคดีก็ดี วรรณกรรมก็ดี บทการประพันธ์ก็ดี เท่าที่พระควรจะรู้ ฝรั่งเขามีคำคำนึงเรียกว่าสังคมศาสตร์ ทุกอย่างแหละเท่าที่ประชาชนควรจะรู้ ดังนั้นประชาชนในมาตรฐานอันนั้นจะรู้สิ่งเหล่านี้เท่าที่ควรจะรู้ กฎหมายก็รู้เท่าที่ควรจะรู้ การแพทย์ก็รู้เท่าที่ควรจะรู้ วิทยาศาสตร์ก็รู้เท่าที่ควรจะรู้ ศาสนาก็รู้เท่าที่ควรจะรู้ นี่ประชาชนของเรามันยังทำไม่ได้เพราะชาวไร่ชาวนามันยังยากจนหรือมาตรฐานของฝรั่งมันสูง แต่ทีนี้ถ้าพระเณรนั้นทำได้เท่าที่ควรจะรู้ ก็เก็บรวมรวบไว้เพราะว่าเราไปสอนไปเทศน์ไปอะไรมันจะมีปัญหานี้เกิดขึ้น เราแก้ได้เราเก็บรวบรวมมันเท่าที่ควรจะรู้ เท่าที่ควรจะรู้ๆ เช่นเดียวกับว่าหลักธรรมเท่าที่ควรจะรู้ ผู้ที่จะเป็นธรรมทูตต้องรู้หลักธรรมเท่าที่ควรจะรู้ แต่ว่านั่นจะต้องมากแหละมากที่ว่าวิทยาศาสตร์เท่าที่ควรจะรู้ หรือประวัติศาสตร์เท่าที่ควรจะรู้ นั่นมันน้อย ต้องถือว่ามันพอดีกันแล้วแหละ จังหวะที่ว่าเราเกิดมาในโลกนี้ในสภาพเช่นนี้ในเวลานี้ อาจจะช่วยโลกที่มีความทุกข์ยากลำบากด้วยกิจการนี้ได้ เราผสมโรงกับมันเสียดีกว่าเพราะเรานี่ก็มีโชคดีเกิดมาในยุคที่โลกเป็นแบบนี้แล้วเราอาจจะช่วยได้ตามสมควร หรือว่าโลกนั้นก็มีโชคดีที่โลกมันมีเราเกิดขึ้นมาในโอกาสนี้ในกาลนี้ที่จะช่วยโลกได้ตามสมควร จะเป็นกำลังใจให้ศึกษาเล่าเรียนให้ทำงานธรรมทูต มันจะมีกำลังใจสูงขึ้นทันทีแหละ ถ้าเรากล้าคิดและมองเห็น เราโชคดีที่เราจะเกิดมาเห็นได้มาทำ ได้มาแก้ปัญหา แล้วโลกก็โชคดีเหมือนกันที่เราได้เกิดมาในระยะนี้ มาช่วยกันช่วยโลก ถ้าว่าโลกทั้งใหญ่ๆไม่ได้ก็โลกบ้านเราก็ได้ โลกชุมพร หลังสวน ไชยา อะไรก็ตาม คือมนุษยโลก นี่จะมีรถกลับหลังสวนมั้ย (กลับคันนึงครับ) ดึกๆอย่างนี้เหรอ (ครับ) ไม่กลัว (รถบัสมีเข้าคิว) แล้วนี่จะกลับกันมั่งไหมที่นั่งอยู่นี่ (ผมกลับครับ นัดไว้เที่ยงคืน) นัดไว้เที่ยงคืน (ครับ) เดี๋ยวถ้าจะต้องแวะกุฏิ มีหนังสือพิเศษไว้ให้คนละชุด (นี่เขากำลังจะออกแล้วนะครับ) นี่เท่าไหร่แล้วนาฬิกา (เหลืออีก 15 นาที) เอ้า ไปเถอะถ้าอย่างนั้น ปิดประชุม ปิดประชุม