แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(ท่านอาจารย์) อย่าหลงตัวหลงวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์หึงหวงอิจฉาริษยา มันก็ไม่มีมันก็ไม่เป็นโรคประสาท นี่แหละหวังอยู่ เข้าใจว่าเป็นโรงพยาบาลประสาทมันก็คือปัดเป่าปัจจัยที่จะทำให้โรคประสาทออกไปเสียก็คือธรรมะนั่นเอง ธรรมะเข้ามาก็ปัดเป่าปัจจัยแห่งโรคประสาทออกไป เรารู้ว่า โอ้, มันอย่างนี้เอง นี่ก็ช่างหัวมันอย่าเอามาใส่ใจ วิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ จิตมันก็เปลี้ยง อยู่ด้วยจิตเปลี้ยงก็ไม่มีทางที่จะเป็นโรคประสาท
(ผู้ถาม) พระอาจารย์ครับอยากให้พระอาจารย์ เล่าถึงเป้าหมายของการทำโรงมหรสพทางวิญญาณครับ
(ท่านอาจารย์) เป้าหมายและเจตนาอันแท้จริง คือเราเห็นว่าไอ้คนมันไปหลงมหรสพเนื้อหนังคือกามารมณ์ มหรสพกามารมณ์กันมากนักทั้งบ้านทั้งเรือนเต็มไปทั้งโลกศีลธรรมเสื่อม ทีนี้เราก็เห็นว่าไอ้คนเรานี่มันอยู่ไม่ได้โดยไม่มีสิ่งที่เหมือนมหรสพ ไอ้มหรสพนี่ก็สิ่งประเล้าประโลมใจ นี้คนเราอยู่ไม่ได้โดยปราศจากสิ่งประเล้าประโลมใจ ดังนั้นเขาก็ต้องไปหาสิ่งประเล้าประโลมใจจากอบายมุข คือมหรสพกิเลส มหรสพเนื้อหนัง ทุกๆ อย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ นี้เราต้องการจะดึงเขามาจากสิ่งนั้นซึ่งเป็นอันตรายของศีลธรรม เราก็ต้องมีอะไรให้เขา หมายความว่าต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจอย่างอื่นแทน ก็คือจะจัดให้ธรรมะเป็นสิ่งประเล้าประโลมใจแทน เป็นมหรสพทางวิญญาณที่เรียกว่าทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางกิเลสไม่ใช่ทางเนื้อหนัง ทำอย่างไรจะให้ธรรมะมีเรื่องสนุกเหมือนกับมหรสพ หายากมาก คิดจะไม่ออก เท่าที่คิดออกก็คืออย่างนี้ ให้มันได้รับความพอใจ เมื่อศึกษาธรรมะ เมื่อปฏิบัติธรรมะ เมื่อรู้ธรรมะหรือที่สุดเมื่อได้ใช้เรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องสนุกสนาน ดังนั้นภาพเขียนชนิดนี้จึงมันเกิดขึ้น เขาเกิดขึ้นกันที่อื่นๆ ก่อนแล้วนะ นี้เราไปยืมเขามาไปก๊อบปี้เขามาเขียนไว้ที่นี่นะ ถ้าดูแล้วสนุกได้รับความพอใจ มันก็มีความหมายแห่งมหรสพขึ้นมาทันที คือสิ่งประเล้าประโลมใจ ถ้าคนนั้นมันค่อยฉลาดขึ้นๆ มันจะได้รสประเล้าประโลมใจมากขึ้น ถ้าคนมันโง่เกินไปมันก็ธรรมะมันไม่ประเล้าประโลมใจอะไรได้ มันต้องกลายเป็นไสยศาสตร์ เป็นเรื่องหลอกทางไสยศาสตร์ให้ประเล้าประโลมใจไปทางไสยศาสตร์ เห็นอย่างนี้เราไม่ทำ แต่ว่าที่อื่นเขาอาจจะมีหรือมีอยู่ได้โดยอัตโนมัติ คือเขาไปเชื่อไสยศาสตร์แล้วสบายใจนั่นนะก็คือ มหรสพจากไสยศาสตร์ที่นี่เรามหรสพจากพุทธศาสตร์ มันก็ใช้ได้แต่เรื่องของสติปัญญา ผู้มีสติปัญญา เขาต้องมีสติปัญญาพอสมควรที่จะหาพบ ความรู้สึกสนุก พอใจ หรือประเล้าประโลมใจได้จากธรรมะนั้น ไอ้เรามันมุ่งชั้นสูงคือทางสติปัญญา เราไม่มุ่งชั้นต่ำคือพิธีรีตอง ความสวยงาม ศิลปะ ดนตรี อะไรก็ตามที่มันเนื่องกับศาสนา เขาก็ใช้กันเหมือนกัน และมีประโยชน์ประเล้าประโลมใจเหมือนกัน ที่อื่นเขาก็ทำ หรือว่าลัทธิอื่นเขาก็ยึดเป็นหลักก็มี แต่เราจะไม่ลงไปถึงนั่น จะไม่ลงไปถึงศิลปะแห่งเสียง แห่งความไม่สวยงามไพเราะแบบนั้น เราจะเอาความสวยงามความไพเราะของพระธรรมโดยตรง จึงเอาธรรมะที่มีความหมายพอรู้ความหมายแล้วสบายใจสนุกใจอย่างยิ่งมาแสดง แล้วแสดงเป็นรูปภาพ รูปภาพแต่ละภาพนั่น ถ้าว่าเขาเข้าใจธรรมความหมายของมันแล้วเขาก็จะสบายใจ หรือรู้สึกสนุก บางภาพมันก็ตลกอย่างยิ่งนะในภาพเหล่านั้น นี่เราเรียกว่า มหรสพทางวิญญาณ เจตนาเพื่อจะดึงคนที่ลุ่มหลงในมหรสพกิเลสเนื้อหนังมาสู่มหรสพทางธรรม ก็นี่ก็อย่างที่บอกแล้วว่าหลายสิบปีแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จเต็มตามที่เราต้องการ เห็นได้เป็นส่วนน้อยแต่ว่ามันก็ได้เพิ่มขึ้นๆ ทีละน้อยๆ นี้ยังเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ไป จนกว่าจะทำไม่ได้ ถ้ายังทำได้อยู่นั่นเอง แล้วก็จะทำต่อไป นี่คือ มหรสพทางวิญญาณ
(ผู้ถาม) ท่านอาจารย์ครับที่ว่าไม่ใช่เคร่งและไม่ใช่ไม่เคร่งคือความเคร่งที่ถูกต้อง อยากจะให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความ
(ท่านอาจารย์) เอ๊ะ, นี่คุณไปเอามาจากไหน
(ผู้ถาม) จากหนังสือของท่านอาจารย์
(ท่านอาจารย์) เอ๊ะ, ยังไม่ทันแจกนี่
(ผู้ถาม) ผมได้รับจากท่านอาจารย์เมื่อวานนี้ครับ
(ท่านอาจารย์) อ๋อ, เมื่อวานนี้ นั้นน่ะคำว่า “เคร่ง” มันมีความหมายกำกวม เคร่งจนเกินพอดี เคร่งเครียดไม่สำเร็จประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม ไม่เคร่ง มันก็ไม่ทำอะไรให้ถึงขนาดก็ไม่สำเร็จประโยชน์ในการปฏิบัติธรรม ต้องทำให้พอดีตรงนั้นแหละเรียกว่าความจริงจังของมันอยู่ตรงที่ทำให้พอดี ตั้งใจทำให้พอดีที่สุดนั่นคือความเคร่ง ที่พอดีเป็นความเคร่งที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้คนมันเคร่งด้วยโมหะ ด้วยความโง่เคร่งด้วยโลภะ เพื่อจะอวดตนก็มี นี้มันเคร่งเพราะกิเลส มีแต่เครียด มีแต่หลอก อันทำให้พอดี ใช้คำว่า “พอดีกับเทคนิค” อยากจะพูดว่าเทคโนโลยีคือเรื่องการทำให้พอดี ทำให้พอดีมันก็สำเร็จประโยชน์จริงเหมือนกัน ถึงเรียกว่าความเคร่งที่ถูกต้องของพุทธบริษัท เพราะมันมีลัทธิอื่นเคร่งอวดคน เคร่งอวดคนเหนือประมาณนี่ อย่างนี้มันยอมรับไม่ได้ในพุทธศาสนา เขาเคร่งด้วยโมหะ เขาเคร่งด้วยโลภะ เพื่อจะอวดตน ดังนั้นขอให้ทุกคนทำอะไร การงานก็ดีปฏิบัติธรรมะก็ดี ให้พอดีเถิดจะสำเร็จประโยชน์ นั่นเรียกว่าการเคร่งที่ถูกต้อง มันต้องใช้คำว่า “ถูกต้องให้ถูก” ถ้าถูกต้องโดยส่วนใหญ่คือพอดี พอดี เป็นรากฐานความถูกต้อง อย่างไรเรียกว่าถูกต้อง คือมันสำเร็จประโยชน์ ถ้าไม่สำเร็จประโยชน์ก็คือไม่ถูกต้อง เรามีความเคร่งที่พอดี คือถูกต้องขอให้เข้าใจตามนั้นมีเท่านั้น ไม่ลึกลับอะไรเกินไปแต่มีอะไรซ่อนอยู่นิดหน่อยที่ว่าประชาชนทั่วไปเขามักจะเอาไอ้เคร่งเครียดนั่นแหละน่าเลื่อมใส คนจึงไปเลื่อมใสอะไรที่มันเคร่งเครียด แค่คิดก็ล้มเหลวทั้งผู้แสดงและทั้งผู้ดู
(ผู้ถาม) อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยเล่าถึงเจตนาหรือว่าเป้าหมายของการสร้างสวนโมกข์
(ท่านอาจารย์) เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่มาก ควรจะมาเล่าหรือ
(ผู้ถาม) ได้ครับ
(ท่านอาจารย์) ไอ้เรื่องการมีสวนโมกข์นี่ มันก็เป็นความรู้สึกส่วนตัวเป็นต้นเหตุ ถ้าให้เล่าส่วนตัวก็จะเล่าเต็มที่เลย เมื่อเรายังโง่อยู่นะ เราคิดว่าที่เขาไปเรียนกันที่กรุงเทพฯ นะ สามประโยค สี่ประโยค ห้าประโยค เก้าประโยค แล้วก็สรรเสริญเยินยอกันนัก เราเข้าใจว่าไอ้การไปเรียนได้หลายๆ ประโยคนั้นน่ะ คือการใกล้พระนิพพานเป็นการบรรลุมรรคผลกันเป็นตามลำดับ เราจึงไปเรียนที่กรุงเทพฯ กับเขาเหมือนกันด้วยความมุ่งหมายอันนี้นี่นะ พอไปถึงเข้าจริงไปเรียนเข้าจริง โอ้, มันไม่มีเลย มันไม่มีความหมายอย่างนั้นเลย แล้วบางอย่างผู้ที่เรียนชนิดนั้นน่ะ กลับใช้ไม่ได้ เหลวไหลน่าเกลียดน่าชังยิ่งกว่าคนที่บ้านนอกที่ไม่ได้เรียนเสียอีก มันจึงรู้ว่า โอ้, ไอ้เรียนนี่ไม่ใช่ใกล้พระนิพพาน ดังนั้นมันจึงเบื่อ มันจึงเบื่อไอ้การเรียนที่มันไม่ใช่ใกล้พระนิพพาน แต่มันก็ไม่เสียหลาย มันก็รู้ว่ามันต้องปฏิบัติตามเรื่องราวที่เราเรียนมานี้ ไม่ใช่เรียนไปเฉยๆ ไม่ใช่เรียนอวดเอาประกาศนียบัตรเอาเกียรติ หรือไปรับจ้างสอน เอาเงินเดือน ไม่ๆๆ ก็คือไม่มีเรียนแล้ว ไม่เรื่องเรียนจึงไม่มีอีกต่อไป มันจึงคิดว่าถ้าอย่างนั้นจะทำอะไร มันก็คิดว่ามันก็ต้องปฏิบัติอย่างที่เรียนมา มันก็เห็นได้ว่า ที่กรุงเทพฯ มันทำไม่ได้แน่ มันจึงนึกถึงในป่า เพราะข้อความในเรื่องที่เรียนมันก็บอกอยู่แล้วว่ามันอยู่กันในป่า พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกส่วนมากจะอยู่กันในป่า สอนกันในป่าปฏิบัติกันในป่า และความรู้สึกมันก็นึกมาทางป่า จึงออกมาบ้านนอกเพื่อหาป่า เพื่อสะดวกแก่การปฏิบัติตามที่เรียนมา สรุปว่าเราต้องมีสถานที่ที่สะดวกแก่การปฏิบัติตามที่เรียนมา เหตุผลอันนี้ คือเหตุอันนี้ที่ทำให้เกิดมีสวนโมกข์ขึ้น คือสถานที่ที่เราจัดขึ้นเพื่อให้สะดวกแก่การที่จะปฏิบัติตามที่เรียนมา ก็ให้ชื่อมันว่า โมกขพลาราม ป่าเป็นกำลังแก่ โมกขะ คือความหลุดพ้น โดยใจความมันก็มีแค่นี้ เพื่อให้มีสถานที่ที่เราเองหรือเพื่อนฝูงของเราสามารถประพฤติปฏิบัติ ได้โดยสะดวก ได้คนดีตามที่เรียนมา สวนโมกข์จึงเกิดขึ้น ก็รับผู้ที่เรียนแล้วเรียนนักธรรมเอกแล้ว เรียนบาลีแล้ว แม้จะไม่จบ แต่ว่าเรียนแล้ว พอปฏิบัติได้มา อยู่ มันก็อยู่เพื่อพื้นฟูการปฏิบัติ นี่คือความหมายอันแท้จริงของคำว่า “สวนโมกข์” นี้ต่อมาความคิดมันงอก งอกไวถึงว่ามันต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง การปฏิบัติจึงจะเป็นผลดี ความรู้เท่าที่เรียนมารู้มานั่นไม่พอ จึงมีแผนกค้นคว้าเพื่อกิจกรรมของสวนโมกข์โดยเฉพาะขึ้น สวนโมกข์จึงมีแผนกพระไตรปิฎก ได้เก็บหลักฐานการปฏิบัติจากพระไตรปิฎกออกมาเผยแผ่ กลายเป็นการเผยแผ่ธรรมะที่ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม เกิดเป็นงานขึ้นอีกแผนกหนึ่ง นอกจากการส่งเสริมปฏิบัติ แล้วมันยังมีการส่งเสริมความรู้ ทางปริยัติให้ถูกต้องให้เพียงพอแก่การปฏิบัติ การเผยแผ่มันก็งอกงาม งอกงามมากขึ้นจนกระทั่งเป็นหนังสือพิมพ์บ้าง เป็นปาฐกถาบ้าง เป็นอะไรบ้างอย่างที่เห็นอยู่เดี๋ยวนี้ งานนี้ยังทำง่ายกว่าได้ผลกว่าไอ้ตัวงานปฏิบัติเสียอีก ก็เลยถือเอาเป็นงานอันหนึ่งของสวนโมกข์ด้วยเหมือนกันในฐานะเป็นอุปกรณ์แก่การปฏิบัติ เราจึงมีสวนโมกข์ ที่ส่งเสริมการปฏิบัติ และส่งเสริมความรู้ที่จำเป็นแก่การปฏิบัติ ดังที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ นี่คือสวนโมกข์ ก็เกิดขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยอย่างที่ว่ามา
(ผู้ถาม) อาจารย์ครับ ทำไม ทำไม ที่สวนโมกข์นี่ถึงไม่มีตู้รับบริจาค
(ท่านอาจารย์) (หัวเราะ) เราชอบอย่างนั้น นี่คือเราไปที่อื่นเราเห็นตู้รับบริจาคแล้วเราไม่ชอบ เมื่อเราเที่ยวไปที่อื่นๆ ตอนนี้สวนโมกข์อยู่ข้างๆ เราไม่ชอบ พอมีสวนโมกข์ เราก็ไม่มีสิ่งที่เราไม่ชอบ เดี๋ยวนี้เราเขียนลงไปเป็นกดบัตรเป็นหลักแล้ว ตู้รับบริจาคนั้นคือการนั่งขอทานในนามของพระพุทธเจ้า นั่งขอทานในนามของพระพุทธเจ้าน่าเกลียดมาก อย่ามีมันเลย เราไม่มีมาตั้งแต่ปีแรก การนั่งขอทานในนามของพระพุทธเจ้านั้นมันทำให้พระพุทธเจ้าเสียชื่อ มีแค่นี้แหละ
(ผู้ถาม) อยากให้ท่านอาจารย์พูดถึงธรรมะที่จะทำลายความเห็นแก่ตัวของมนุษย์
(ท่านอาจารย์) มันเป็นกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ มันแน่นอนอยู่ที่ว่าถ้าว่าเห็นแก่ตัวมันก็เกิดกิเลสโลภบ้าง โกรธบ้าง หลงบ้าง มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว ทั้งนั้น เห็นแก่ตัวมันก็โลภอยากได้มาก เมื่อไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการความเห็นแก่ตัวมันก็ทำให้โกรธ มันก็ทำให้หลงใหลในสิ่งที่มาบำรุงบำเรอตัว มันก็หลง เรียกว่าความเห็นแก่ตัวเป็นมูลเหตุแก่กิเลสทั้งปวงและก็ทำผิด เดือดร้อนกันทั้งโลก ศาสนาทุกศาสนาจึงมุ่งข้อนี้เป็นข้อสำคัญทุกศาสนามุ่งทำลายความเห็นแก่ตัว นั้นธรรมะที่จะช่วยโลกได้ก็คือทำลายความเห็นแก่ตัว เราก็เห็นความจริงข้อนี้ เราก็ช่วยเผยแผ่ข้อนี้ เราเรียกว่าศีลธรรม ส่วนหนึ่งคือทำให้เห็นแก่ตัว ส่งเสริมศีลธรรมคือความไม่เห็นแก่ตัว เหตุผลประจักษ์พยานมันก็มีอยู่ทั่วโลกเวลานี้ทั่วโลกกำลังทำลายล้างกันเพราะความเห็นแก่ตัว คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัวมันจึงได้ปะทะกันไม่มีที่สิ้นสุด เลิกเห็นแก่ตัวมันพูดกันรู้เรื่อง แล้วมันก็อยู่ด้วยกันได้ในโลก นั้นเอาความไม่เห็นแก่ตัวนี้เป็นหัวใจของหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องกระทำเพื่อสันติภาพของโลกนั่นเอง นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้และมันก็เป็นกฎของธรรมชาติที่เป็นอย่างนี้ มันจึงเกิดเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ ทำลายมันเสีย เราก็อยู่กันเป็นผาสุกในฐานะเห็นผลของธรรมะ แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยมองกันอย่างนี้เลยเห็นเป็นไม่สำคัญ และไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้ตัว โดยเข้าใจผิด ใช้คำพูดที่ผิดให้ความหมายที่ผิด เช่น การกินดีอยู่ดีคือเห็นแก่ตัว ถ้ากินอยู่แต่พอดีคือไม่เห็นแก่ตัว ก็ไม่มีค่อยใครชอบกินอยู่แต่พอดี ล้วนแต่ชอบกินดีอยู่ดีไม่มีขอบเขต แล้วก็เพิ่มการเห็นแก่ตัว ทั้งโลกแหละมันต้องการกินดีอยู่ดีอย่างไม่มีขอบเขต ทั้งโลกก็มีแต่การแข่งขันแย่งชิงวุ่นวายทำลายล้าง จนกว่าเขาจะเห็นโทษของความเห็นแก่ตัว เมื่อก่อนที่อาตมาจำได้เด็กๆ นี่รู้สึกว่าไอ้ความเห็นแก่ตัวนั้นน่ะเป็นคำด่าอย่างเลวร้าย เดี๋ยวนี้ไม่เป็นคำด่าแล้ว แต่กลายเป็นคำแนะนำให้ทำเสียด้วย ในสมัยโน้นฝรั่งเขาเข้ามาเมืองไทยนี้ เขาจะมองกันในแง่นี้นะ เห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัวถ้าไม่เห็นแก่ตัวเขาก็นับถือ แล้วเขาก็สอนความไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ขออภัยต่อฝรั่งทั้งหลายจะพูดว่าฝรั่งเป็นผู้นำในเรื่องความเห็นแก่ตัวให้เราเป็นเงาตามก้น โลกมันจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว โลกเป็นอย่างปัจจุบันแย่งชิงกัน ขูดรีดกัน อย่างที่น่าเกลียดน่าชัง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีไปเสีย เรื่องเห็นแก่ตัวกลายเป็นสิ่งที่ไปยึดถือเป็นหลักสำหรับการทำงานของตนไปเสีย เรียกว่ากำลังเป็นมิจฉาทิฏฐิ กำลังหลับตามืดบอดจมลงไปในความมืดที่สุด ขอให้พวกเราช่วยกันทำตนเป็นข้าศึกต่อความเห็นแก่ตัว ช่วยกันปราบปรามความเห็นแก่ตัว สอนลูกเด็กๆ อย่าให้วิชาความเห็นแก่ตัว ให้เติบโตขึ้นมาด้วยความถูกต้องนี้ การศึกษาเล่าเรียนมันให้เรียนแต่เพื่อเห็นแก่ตัว รู้หนังสือฉลาดมากก็ยิ่งเห็นแก่ตัวฉลาด รู้อาชีพก็ยิ่งเห็นแก่ตัวที่จะรวยมาก เรื่องเป็นมนุษย์ที่ดีไม่สอนกันคือไม่เห็นแก่ตัวไม่ได้สอน อย่างนี้เราเรียกว่าการศึกษาหมาหางด้วน สอนแต่สิ่งที่จะให้เห็นแก่ตัว ส่วนที่จะกำจัดควบคุมความเห็นแก่ตัวไม่ได้สอน นักเรียนนักศึกษาของเราก็สำเร็จออกมาก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว พูดกันไม่รู้เรื่องเลยทีนี้เพราะความเห็นแก่ตัวเป็นพระเจ้าเสียแล้ว จึงขอให้ทุกคนมองเห็นว่าศัตรูอันเลวร้ายของมนุษย์เราคือความเห็นแก่ตัว สิ่งตรงกันข้ามจะเป็นพระเจ้าเป็นเทพเจ้าเป็น ก็คือความรักผู้อื่น ก็คือไม่เห็นแก่ตัว ถ้าความรักผู้อื่นมาครองโลก โลกนี้ก็ดีที่สุด ถ้าความเห็นแก่ตัวมันครองโลก โลกนี้ก็เลวที่สุด เลวกว่าโลกสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานมีความเห็นแก่ตัวน้อยกว่ามนุษย์ มันทำได้น้อยธรรมชาติมันบังคับให้ทำได้น้อย มันสมองของมันทำไม่ได้มาก หรือมันจะทำไม่เป็นเอาเสียเลยในบางกรณี มนุษย์มีมันสมองเฉลียวฉลาดมากก็เลยใช้มันเพื่อเห็นแก่ตัวอย่างลึกซึ้ง มนุษย์จึงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานก็เพราะข้อนี้ คือว่าในโลกสัตว์เดรัจฉานไม่มีวิกฤตการณ์มากเหมือนในโลกของมนุษย์ นี่คือเรื่องความเห็นแก่ตัว
(ผู้ถาม) ผมจะเรียนถามท่านอาจารย์เท่านี้เพราะว่านี้ก็ ๑๑ โมงแล้ว
(ผู้ถาม) ครับท่านพระอาจารย์จะให้ท่านพูดอะไรสักนิดหนึ่งเกี่ยวกับการสอนในรายการตอนสั้น
(ท่านอาจารย์) เอาเวลาอื่นสิ เวลานี้มัน ๑๑ โมงแล้ว คุณไม่ลงโรงตั้งแต่ ๙ โมงนี่
(นาทีที่ 24.50-25.16 เสียงขาดหาย)
อีกข้อที่อยากจะให้พวกเราทราบกันทั่วไปโดยเฉพาะในเวลานี้ก็คือว่า พุทธศาสนานั้นอยู่ในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เป็นปรัชญา แต่เขาพูดให้เป็นปรัชญากันไปเสียหมดซึ่งก็ได้เหมือนกัน ที่ชื่อเป็นวิทยาศาสตร์นั่นก็คือว่าต้องมีของจริงเป็นวัตถุ สำหรับเพ่งมองลงไปศึกษาหาความจริงและรู้ความจริงของสิ่งนั้น ไม่ใช่ตั้งสมมติฐานขึ้นมาสักข้อหนึ่งและหาความจริงมาแวดล้อมแล้วลงมติตามแบบของปรัชญา ถ้าทำอย่างนั้นจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพุทธศาสนามาเลย ในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์หมายความว่าต้องมีปัญหาจริงมีตัวจริง เช่น ความทุกข์ก็ต้องเป็นความทุกข์ที่รู้สึกอยู่ในใจจริงๆ คือศึกษามันลงไปที่นั่นโดยไม่ต้องคำนวณ ให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไรจะดับมันอย่างไร เช่น รู้ชัดว่ามันทำผิดเมื่อเกิดตรรกะ เข้าใจผิดเมื่อเกิดตรรกะ ความคิดที่ผิดๆ ก็เกิดขึ้นเป็นกิเลสแล้วก็มีความทุกข์ คือถ้าเราทำถูกคือจิตคิดถูก ทำถูกเข้าใจถูก ในตรรกะความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ นี่เรียกว่ามันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ เจอของจริงมีตัวจริงเป็นวัตถุสำหรับพิจารณาศึกษาและจัดการลงไป ต้องให้เป็นวิถีทางวิทยาศาสตร์จึงจะเข้าถึงตัวของพุทธศาสนาได้ ถ้าใช้วิถีทางปรัชญาจะไม่เข้าถึงตัวพุทธศาสนานั่นคือไม่เข้าถึงตัวพุทธศาสนาด้วยวิถีทางการคำนวณอย่างปรัชญา ที่ว่าพุทธศาสนาจะมีกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ก็คือกฎอิทัปปัจจยตานั่นเอง เป็นกฎที่มีความเฉียบขาดแน่นอนสูงสุด พอที่จะเรียกได้ว่าพระเจ้า แต่มิได้เป็นบุคคล พระเจ้านี่เป็นเพียงอำนาจหรือกฎของธรรมชาติที่ทำหน้าที่ได้อย่างกับพระเจ้าที่เขากล่าวไว้อย่างบุคคล เช่นว่าพระเจ้าสร้างโลก พระเจ้าควบคุมโลก พระเจ้าทำลายโลก พระเจ้ามีอยู่ในที่ทั่วไป พระเจ้าเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง พระเจ้ารู้ทั้งหมด หน้าที่เหล่านี้เป็นตัวกฎอิทัปปัจจยตา ทั้งนั้น กฎอิทัปปัจจยตามีอยู่ก่อนมีโลกก่อนมีจักรวาลก่อนมีสิ่งใดๆ โดยกฎอิทัปปัจจยตาโลกหรือจักรวาลนั้นจึงเกิดขึ้นและก็เป็นไปตามกฎเอง ถูกควบคุมโดยกฎและจะแตกสลายโดยกฎไปเป็นคราวๆ กฎอิทัปปัจจยตา มีอยู่ในทุกสิ่งคือ ทุกๆ ปรมาณู ทุกๆ ปรมาณูของทุกสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลกหรือเป็นคน สำหรับคนๆ หนึ่งมันมีกี่ปรมาณูก็ตามเถิด ในทุกๆ ปรมาณูมีกฎของอิทัปปัจจยตาสิงอยู่ อย่างนี้เราเรียกว่ามันมีพระเจ้าอยู่ควบคุมอยู่ในที่ทั้งปวง แม้ว่าเราจะมีพระเจ้าในพุทธศาสนาก็มีอย่างวิทยาศาสตร์เป็นพระเจ้าชนิดที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้ ไม่ใช่พระเจ้าชนิดที่เป็นบุคคลสมมติกล่าวขึ้นแล้วนักวิทยาศาสตร์ยอมรับไม่ได้ ทีนี้อะไรๆ มันก็มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ดังนี้ จึงขอให้รู้จักพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นไปตามกฎของวิทยาศาสตร์มีลักษณะในตัวเป็นวิทยาศาสตร์ นี้เราก็จะใช้ประโยชน์ จะใช้พุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์คือดับทุกข์ได้จริงโดยวิถีทางของวิทยาศาสตร์อย่างนี้ นี่เรียกว่าพุทธศาสนาที่เราต้องรู้จักแต่เรายังไม่รู้จักเอาไปทำเป็นปรัชญาเพ้อเจ้อกันหมด ที่มากไปกว่านั้นก็ทำไปเป็นไสยศาสตร์ไปเสียก็มี มีพุทธศาสนาอย่างแบบไสยศาสตร์ไปเสียก็มีอย่างนี้มันไม่ถูก ขอให้เราช่วยกันกลับมาสู่ความถูกต้อง สถานะที่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้ นี่คือเรื่องที่อยากจะให้ทราบกันชัดเจน มาทราบกันเสียใหม่ถ้าเรายังไม่ทราบกันอย่างนี้
(ผู้ถาม) ท่านอาจารย์ครับ ผมขอกราบท่านอาจารย์ช่วยเล่าถึงที่มาของชื่อของท่านอาจารย์
(ท่านอาจารย์) ชื่อพุทธทาสใช่ไหม เดี๋ยวนี้ชื่อมันมีหลายชื่อ ชื่อตั้งแต่เกิดมา ชื่อเงื่อม ต่อมาก็เล่าเรียนเป็นมหาเงื่อม แล้วก็เป็นพระครูอินทปัญญาจารย์ ต่อมาเป็นพระอริยนันทมุนี ต่อมาเป็นพระราชชัยกวี ต่อมาเป็นพระเทพวิสุทธิเมธี แต่เดี๋ยวนี้เป็นชื่อที่เปลี่ยนเรื่อยมันลำบากกับชาวต่างประเทศมันลำบากอีกหลายๆ อย่าง เราเลยใช้ชื่อที่ไม่ต้องเปลี่ยนคือชื่อที่มาบวชนี่ อุปัชฌายะให้ชื่อฉายาว่า อินทปัญโญ ทีนี้ก็ใช้ชื่อตัวให้เขียนง่ายๆ ภาษาอังกฤษได้ว่า พุทธทาส ชื่อว่า เงื่อม นี่เขียนภาษาอังกฤษลำบากที่สุด และไม่เคยออก เขียนว่าเงื่อมได้ก็จะต้องใช้คำที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ตายตัว ใช้คำว่า “พุทธทาส” เป็นชื่อตัว อินทปัญโญ เป็นฉายา เรียกว่า พุทธทาส อินทปัญโญ ถ้าจะเอาให้สั้นที่สุดคำเดียวก็คือ พุทธทาส นี้เราเกิดความรู้สึกที่จะรับใช้พุทธศาสนาขึ้นมา ตั้งแต่เรียกว่าก่อนบวชนิดหน่อยหรือแรกบวชนั้นน่ะ เป็นจริงเป็นจังนี้ เมื่อก่อนบวชมันก็ยากที่จะรับใช้พุทธศาสนาพอบวชแล้วมันก็สะดวกที่จะรับใช้พุทธศาสนา โดยที่เราเริ่มเข้าใจพระพุทธเจ้าและเริ่มเข้าใจพุทธศาสนาว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ แต่แล้วมันก็ไม่ค่อยจะได้เป็นที่รู้จัก คือพระพุทธศาสนายังไม่ค่อยจะเผยแผ่ไปอย่างที่ควรจะมีเราจึงเห็นว่าไอ้สิ่งนี้แหละ มันจึงจะมีประโยชน์ที่สุดสำหรับมนุษย์เราควรจะกระทำอย่างยิ่ง นั้นจึงอุทิศตั้งจิตว่าเราจะทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา อย่างกับว่ารับใช้พระพุทธองค์ให้สมกับหน้าที่ของพระสาวกที่บวชแล้ว ทุกเย็นไม่ว่าวัดไหนก็สวดทำวัตรเย็น ในบททำวัตรเย็นมันก็มีคำชัดเลยว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า มันสวดอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ เป็นธรรมเนียมหรือว่าเป็นวินัยเป็นระเบียบที่จะต้องสวด มันก็ยิ่งเข้ารูป เข้ารูปกันกับเราที่ตั้งใจอยู่ว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นทาส สมกับที่เรียกตัวเองว่า พุทธทาส และก็ได้ทำงานอย่างนั้น สมกับความประสงค์และมีเรื่องแถมท้ายอีกหน่อยก็ได้ หนังสือพิมพ์ในกรุงเทพฯ ที่อยู่ในอิทธิพลของผู้นิยมคอมมิวนิสต์ ที่เขาเอาไปเขียนล้อ ล้ออาตมาว่า เดี๋ยวนี้เขาเลิกทาสกันหมดแล้ว พุทธทาสยังงมโข่งอยู่อีก สมัครที่จะเป็นทาสอะไรอีก อะไรทำนองนี้ อาตมาก็ได้อ่านเอง ก็บอกเพื่อนฝูงว่า โอ้ย, มันคนละทาส มันคนละทาส ผู้เขียนมันเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์หลับหูหลับตาไปเป็นทาสอย่างนั้นน่ะมันคนละความหมายกับที่เราเป็นทาสของพระพุทธเจ้า มันเป็นทาสด้วยความมองเห็นชัดเจนพอใจ ว่ามันมีประโยชน์แก่โลกเราก็ยินดีรับใช้ ไม่ใช่ทาสในความหมายที่เขาเลิกกันไปเสียแล้วเลิกนั่นมันเป็นทาสอีกชนิดหนึ่งทาสกดขี่ การเป็นทาสพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นี้ก็เกิดจากทำงานเผยแผ่ธรรมะอย่างสุดชีวิตจิตใจ เหมือนกันทาสที่ถูกบังคับใช้แต่เราไม่ใช่ถูกบังคับใช้เรามีความประสงค์ของเราเอง ทำอย่างเดียวกันเลย ทีคนไปเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นแหละน่าจะรังเกียจกว่า ซึ่งมันก็คือความเป็นทาสชนิดหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นพวกที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ควรจะมาตำหนิเราว่าเป็นทาส สมัครเป็นทาสพระพุทธเจ้า เพราะว่าเราเป็นทาสพระพุทธเจ้ามันดีกว่าเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์ นี่เรื่องที่พุทธทาสถูกด่า นอกนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรได้ทำงานในฐานะเป็นพุทธทาสเรื่อยๆ มา เรื่อยๆ มา จนกระทั่งที่เห็นๆ อยู่ งานทุกชิ้นทำเพื่อรับใช้พระพุทธเจ้าด้วยการเผยแผ่พุทธศาสนา ทั้งเนื้อทั้งตัวทั้งที่ทั้งวัดทั้งวานี้ทั้งจิตทั้งใจความคิดสติปัญญาเอามาใช้รับใช้พระพุทธเจ้าหมด นี่คือความหมายของคำว่า “พุทธทาส” เกิดขึ้นจากความรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีกว่า ชีวิตของเราจะอยู่ไปอีกกี่ปีก็ตามใจ มันก็จะใช้เป็นประโยชน์ที่สุดและสูงสุดมันก็ควรจะทำงานนี้คือรับใช้พระพุทธเจ้า ด้วยการทำให้พุทธศาสนาแพร่หลายไปมีประโยชน์แก่คนทุกคนในโลกก็แล้วกัน นี่คือต้นเหตุแห่งพุทธทาส การกระทำของพุทธทาส โดยผลที่มุ่งหวังของพุทธทาส มันคิดด้วยความรู้สึกบริสุทธ์ใจว่าพุทธบริษัททุกคนเป็นพุทธทาสอยู่แล้วในตัว ไม่ใช่เป็นแต่เราหรอกแต่เขาก็ทำงานอย่างพุทธทาสอยู่แล้วทุกคน ช่วยรักษาบำรุงเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่เขาไม่เรียกตัวเองว่าพุทธทาสก็ตามใจเขา แต่งานของเขาก็มีลักษณะเป็นพุทธทาสเหมือนกัน ดังนั้นเราก็ไม่ยกตัวไม่อวดดีไม่จองหองพองขนว่าเป็นพุทธทาสแต่เราคนเดียวเท่านั้น ทุกคนทำหน้าที่อย่างนี้แล้วก็เป็นพุทธทาสด้วยกันทุกคน นี่ความรู้สึกที่มีอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับคำว่า “พุทธทาส” เงื่อนงำอะไรที่เกี่ยวกับพุทธทาสที่พอจะพูดได้มันก็มีอยู่อย่างนี้แหละ
(ผู้ถาม) ท่านอาจารย์ครับ ๕๐ ปีของสวนโมกข์บังเกิดผลในด้านใดบ้างครับ
(ท่านอาจารย์) อย่างที่พูดกันเมื่อตอนเช้า จุดมุ่งหมายที่จะให้ความสะดวกแก่ภิกษุสามเณรที่ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วจะปฏิบัติเขาก็ได้รับความสะดวก ในส่วนนี้ก็ได้รับผลพอสมควร มีคนได้มาใช้สถานที่นี้ตามสมควร ที่ส่วนที่ว่าต้องเสริมความรู้ที่ถูกต้องหรือเพียงพอเกี่ยวกับการปฏิบัติ เราก็ได้สร้างคู่มือหรือจะเรียกว่าตำราก็ได้สำหรับการปฏิบัติขึ้นมา รู้สึกว่าเพียงพอแต่ก็ยังพยายามที่จะทำให้เต็มที่เรื่อยๆ ไป นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าประสบความสำเร็จพอคุ้มค่าไม่เสียทีที่ได้จับมันขึ้น ทีนี้ก็มีไอ้เรื่องเบ็ดเตล็ดช่วยทำให้เกิดความคิดหรือหัวข้อความคิดหลักที่จะยึดถืออย่างที่เรียกว่าสโลแกนอะไรอย่างนี้ก็มีเยอะเหมือนกัน ให้ง่ายแก่คนแก่ๆ ที่เขาจะยึดถือเป็นหลักปฏิบัติให้รู้จักปล่อยวางโดยหลักสั้นๆ คำพูดสั้นๆ ว่าสิ่งทั้งปวงมันเช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเอง คำว่า “เช่นนั้นเอง” หรือคำว่า “ตายเสียก่อนตาย” หรือคำว่า “ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น” อย่างนี้ก็เรียกว่าน่าดูเหมือนกัน เพื่อช่วยให้คนแก่ๆ เรียนอะไรไม่ได้มากได้รับความสะดวกมากที่สุดที่ได้ไปสักข้อหนึ่งสองสามคำ ก็สามารถทำให้ประพฤติปฏิบัติได้ ได้ผลเป็นที่พอใจอยู่เหมือนกัน ไอ้ที่เป็นตำรับตำราเล่มใหญ่ๆ นั่นน่ะกลับจะงุ่มง่ามสู้คำสองสามคำอย่างนี้ไม่ได้ก็มี นี่เรียกว่าเป็นเรื่องที่ช่วยให้เกิดเครื่องมือในการปฏิบัติรวมอยู่ในคำว่า “สร้างคำสอน” ระเบียบปฏิบัติอะไรก็ง่ายๆ ใหม่ๆ เดี๋ยวนี้ก็มีการแปลเรื่องที่จะใช้เป็นประโยชน์ได้นี้ไปเป็นภาษาต่างประเทศก็มีเพิ่มขึ้น แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วไปพิมพ์ที่ประเทศอเมริกาก็มี แปลเป็นภาษาเยอรมันพิมพ์กันที่บริษัทเยอรมัน แต่พิมพ์สวิตเซอร์แลนด์อย่างนี้ก็มี และก็ปรากฏว่าไอ้เรื่องที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ คือเรื่องภาษาคนภาษาธรรมนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ได้รับความสนใจในต่างประเทศมาก เมื่อรู้จักใช้ภาษาคนภาษาธรรมแล้วก็จะรู้ธรรมะได้ดี จะเข้าใจข้อความในคัมภีร์แห่งศาสนาของตนได้ดี ในเรื่องว่าไม่มีศาสนามีแต่สัจจะของธรรมชาติและก็ความจริงของธรรมชาติ ที่แท้นั้นมีแต่สัจจะความจริงของธรรมชาติเอาไปบัญญัติชื่อเรียกศาสนานั้นศาสนานี้ศาสนานั้น ไม่ควรจะหยุดอยู่ที่นั้นควรจะมองให้ลึกลงไปว่าไอ้ศาสนานั้นศาสนานี้นั้นนะเป็นเพียงความจริงของธรรมชาติเนื้อแท้ข้างในเป็นสิ่งเดียวกันเราเปรียบเหมือนกันกับน้ำ น้ำทุกชนิดมันจะต่างกันอย่างไร น้ำตาล น้ำส้ม น้ำปลา น้ำปัสสาวะ อะไรก็ตามแต่ข้างในนั้นมีน้ำบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น มันเอาของที่ไม่ใช่น้ำบริสุทธิ์ออกไปก็เหลือน้ำบริสุทธิ์ในน้ำทุกน้ำ ศาสนาทั้งหลายในโลกจะมีกี่ศาสนาเนื้อหาในนั้นมีเหมือนกันตรงกันที่ว่า ทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความรู้สึกว่ามีตัวและยึดถือตัวแล้วก็รักผู้อื่นได้โดยอัตโนมัติ มีเรื่องไม่มีศาสนามีแต่สัจจะของธรรมชาติ ที่แปลเป็นภาษาต่างประเทศนั่นคือเรื่องที่ได้รับความสนใจมาก นี่เราก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของกิจการงานของสวนโมกข์ เท่านี้ก็รู้สึกพอใจไม่ต้องคิดลึกให้มันฟุ้งซ่านมากไปอีก เท่าที่กล่าวนี้ก็เป็นที่พอใจอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ที่นี่ก็เป็นศูนย์กลางที่จะรับการอบรมธรรมะแก่บุคคลที่ต้องการจะอบรมธรรมะ อบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาก็มาหลายรุ่นละ ก่อนนี้อาตมาไปอบรมให้ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ไปไม่ไหวเขาก็มากันที่นี่จนกระทั่งไม่ไหวให้เขาบอกเลิกหยุด พวกที่เป็นคริสเตอร์อยากรู้ธรรมะในพุทธศาสนาไปสั่งสอนเขาก็มากันที่นี่ อย่างพวกคริสเตียนนี่ก็มากันเป็นรุ่นๆ ก็รู้หลักธรรมะไปสอนลูกศิษย์ให้รู้จักหลักธรรมะเพื่อเปรียบเทียบก็มี หรือเพื่อไปประกอบกันเข้ากับหลักธรรมะในศาสนาของตนให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไปก็มี นี่กำลังทำงานแขนงหนึ่งที่แขนงหนึ่งขยายตัวไปคือ ความเข้าใจกันได้ระหว่างศาสนานี่ก็เป็นงานอีกชิ้นหนึ่งที่เป็นเจตนาของสวนโมกข์ คือความเข้าใจกันได้ระหว่างศาสนา เมื่อแต่ละศาสนาต่างเข้าใจศาสนาของตนดีแล้วมีโอกาสมากที่จะทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนา และโอกาสที่จะร่วมมือกันได้มันก็มีมากขึ้นและโอกาสที่จะยกโลกกู้โลกช่วยโลกออกมาจากวิกฤตการณ์มันก็มีมากขึ้น นี้เรายังพอใจอยู่ที่จะทำงานที่เรียกว่าทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนา สิ่งเหล่านี้เราก็เลยทำมาและประสบความสำเร็จตามสมควรเรียกว่าตามสมควรไม่ถึงที่สุดนี่คือผลที่เราได้รับอยู่เป็นที่พอใจ
(ผู้ถาม) ครับผมจะเรียนถามท่านอาจารย์เท่านี้ครับ
(ท่านอาจารย์) ผลงานทางวรรณกรรมช่วง ๕๐ ปี ไม่ถึงนะ ผลงานวรรณกรรม
(ผู้ถาม) ท่านพระอาจารย์ครับ ตอนประมาณบ่ายสองใช่ไหมครับ ที่จะมีการสวดปาฏิโมกข์
(ท่านอาจารย์) ธรรมดาบ่ายสาม
(ผู้ถาม) บ่ายสาม
(ท่านอาจารย์) ประเทพ มีไหมวันนี้
(ประเทพ) มีครับ เขาตีระฆังบ่ายสองโมงครึ่ง
(ท่านอาจารย์) บ่ายสองโมงครึ่ง ดังนั้นบ่ายสามก็ไม่มี พอบ่ายสองโมงครึ่งก็ไปนั่ง มีเป็นวิวที่สวย แล้วก็สถานที่ที่นั่งธรรมนะดินน่ะ
(ผู้ถาม) เป็นลานกว้าง
(ท่านอาจารย์) เป็นฐานของพระเจดีย์โบราณ พระเจดีย์โบราณหมายถึงศรีวิชัย ๑,๓๐๐ ปีแล้ว พระเจดีย์ถูกขุด ถูกขโมยขุดหาทรัพย์มันก็พังลงเป็นหลุมลึก เราก็ไปเกลี่ยให้เสมอ เป็นลานนั่งทำสังฆกรรมได้ และยอดเขานั่นนะเป็นสีมา ได้รับการอนุญาตเป็นวิสุงคามสีมาแล้ว คือเขาสร้างโบสถ์กันแต่ละหลังเป็นล้านๆ เลยเรายังไม่ได้จ่ายสักบาท ดีเหมือนกันนะเอาทรายมาถม แล้วก็ให้รู้ว่านั่นนะคือโบสถ์แบบเดียวกับครั้งพุทธกาล ครั้งพุทธกาลโบสถ์ก็นั่งตามดินในที่โล่งที่แจ้งกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโบสถ์ ดังนั้นสวนโมกข์คือวัดสวนโมกข์มีต้นไม้เป็นผนังโบสถ์ มีใบไม้เป็นหลังคาโบสถ์แทนที่เป็นพื้นเลย นั่นทำให้รู้จักโบสถ์วัดสวนโมกข์ โบสถ์ทางวิญญาณ
(ผู้ถาม) ผมอยากจะให้หลวงพ่ออธิบายเรื่องแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
(ท่านอาจารย์) ไปอ่านเอาเถิด มีแล้วๆ ไปหาอ่านเอง มันยาวนะพูดไม่ไหวหรอก
(ผู้ถาม) ครับ อยากจะทราบถึงใจความน้อยๆ ครับ
(ท่านอาจารย์) มันก็ต้องไปย่อเอาเอง ไปย่อเอาจากใจความ นั่นนะ คำว่า “แก่นพุทธศาสน์” ก็มีเป็นเล่ม ที่ร้านอาหารหน้าวัดก็อาจจะมี ถ้าไม่มีมีกรุงเทพฯ ร้านธรรมบูชา แก่นพุทธศาสน ๐๐วิญญานนที่นี่ อย่างพวกคริสเตอ์ก็ไปตั้งชื่อกันเอง ที่จริงเราบรรยายเรื่อง สุญญตา ว่างจากตัวตน เมื่อมีใครคนหนึ่งเอาไปเสนอประกวดยูเนสโก ยูเนสโกเขาให้รางวัล เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัล
(ผู้ถาม) หนังสืออะไร แก่นพุทธศาสน์
(ท่านอาจารย์) ชื่อว่า แก่นพุทธศาสน์
(ผู้ถาม) ที่นี่ไม่มี
(ท่านอาจารย์) ไม่มี ที่นี่ไม่มี
(ผู้ถาม) มีขายที่ร้านอาหารหรือครับ
(ท่านอาจารย์) ที่ร้านอาหารหน้าวัด เขาไปรับมาขาย รับจากกรุงเทพฯ ที่นี่มีแต่เพียงตัวอย่างให้ดูอย่างละเล่มในตึกนั้นมีอย่างละเล่มพอเป็นตัวอย่าง ไม่อาจจะแจกไม่อาจจะขายไม่อาจจะแสดง ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างอย่างนั้น แต่บางเล่มก็ไม่ได้เอามาแสดงเพราะมันหาไม่เจอ มันตั้ง ๕๐ ปี บางเล่มมันก็หายไปแล้ว
(นาทีที่ 56.00-01.03.43 เป็นเสียงพูดคุยระหว่าง ท่านพุทธทาสกับกองถ่ายทำ ถอดได้ไม่ครบ เนื่องจากบางตอนเสียงฟังไม่ชัด)
(ผู้ถาม) ท่านอาจารย์ครับ ที่ทางผมจะส่งมาให้ท่านอาจารย์นี่ผมจะไปฝากไว้ที่ร้านธรรมบูชานะครับ
(ท่านอาจารย์) ได้ เขาส่งกันอย่างนี้ ส่งอะไรมาที่นี่ไปส่งที่ คุณวิโรจน์ เขาไปมากันเสมอก็เอามาส่งเอง คุณวิโรจน์บ้าง คุณศรีสวัสดิ์บ้าง คนอื่นบ้าง
(ผู้ถาม) ครั้งที่แล้วผมติดต่อคุณศรีสวัสดิ์ วันนี้ผมจะพักแค่นี้เดี๋ยวจะถ่าย
(ท่านอาจารย์) แล้วทำไมไม่ถ่ายเสียวันนี้
(ผู้ถาม) ตอนนี้เดี๋ยวจะขึ้นไปถ่าย สวดปาฏิโมกข์ แล้วลงมาแบตเตอรี่ก็หมด มันตัดไป
(ท่านอาจารย์) ตรงไหล่เขา ตรงนี้นะขึ้นไป มีก้อนหินอย่างนี้วางอยู่ในบริเวณกว้างพอสมควร ๑๘๐ ก้อน สำหรับนักเรียน ๑๘๐ คน เรียกว่าโรงเรียน อบรมผู้พิพากษาอย่างนี้อบรมเยอะแยะนักศึกษาและอบรมซิสเตอร์โรงเรียนหญิง นั่นแหละเดินทางนี้เดินขึ้นนี่ จะมีก้อนหินอย่างนี้ อย่างนี้ตั้งอยู่ ตะพุ่มๆๆ สัก ๑๘๐ ก้อน โรงเรียน โรงเรียน โบสถ์ก็ดีโรงเรียนก็ดีโรงธรรมก็ดี ก็เราไม่มีสถานที่ดี อันนั้นถ่ายแล้ว สระนาฬิเกร์
(ผู้ถาม) ยังครับ บ่ายนี้จะถ่าย เท่าที่ตัดรูปได้
(ผู้ถาม) เดี๋ยวจะขอขึ้นไปข้างบน
(ท่านอาจารย์) นี่คุณพรเทพ นี่คงจะช่วยได้ ไปแนะตรงนั้นตรงนี้ ท่านนิกรมาเมื่อไร
(ท่านนิกร) ผมมาถึงเมื่อตะกี้เองนะหลวงพ่อ
(ท่านอาจารย์) ไม่ใช่มาจากเชียงใหม่นะมาเมื่อไร
(ท่านนิกร) มาเมื่อวานนี้ครับหลวงพ่อ
(ท่านอาจารย์) เอารถมา
(ท่านนิกร) มาเครื่องบิน
(ท่านอาจารย์) ลงสุราษฎร์ฯ ฯ เลย
(ท่านนิกร) ครับ
(ท่านอาจารย์) มาจากเชียงใหม่ลงสุราษฎร์ฯ ฯ เลย
(ท่านนิกร) มาจากแม่ฮ่องสอน เมื่อวานยังอยู่แม่ฮ่องสอน ฉันเพลที่แม่ฮ่องสอนเสร็จก็ขึ้นเครื่องที่แม่ฮ่อนสอนต่อมาเชียงใหม่ จากเชียงใหม่ต่อมากรุงเทพฯ จากมาถึงกรุงเทพฯ คืนหนึ่งแล้วเช้าแปดโมงก็มาที่นี่
(ท่านอาจารย์) เรามาเครื่องบินจากเชียงใหม่ลงกรุงเทพฯ รอชั่วโมงครึ่งแล้วก็ต่อมีเครื่องบินมานี่ จากเชียงใหม่เช้ามาถึงนี่เที่ยง
(ท่านอาจารย์) มาจากไหนกัน
(ผู้ถาม) การท่องเที่ยวครับผม
(ท่านอาจารย์) มาจะมา
(ผู้ถาม) นี่คุณนิพัน พรหมโยธี ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการครับ มาเป็นผู้อำนวยการอบรมวิชาการโรงแรม ที่คราวก่อนนี้ทางการท่องเที่ยวมาจัดสัมมนา แล้วท่านกรุณาปาฐกถาธรรมเรื่องธรรมะทัศนาจร ถูกอกถูกใจกันมากเลย
(ท่านอาจารย์) นี่ที่ไม่เคยมาเข้าไปในตึกนั้น
(ผู้ถาม) เข้าไปแล้วครับ
(ท่านอาจารย์) ที่ไม่เคยมา ไปดูการสอนธรรมะโดยรูปภาพ
(ผู้ถาม) ข้างในมีคนบรรยาย หรือไม่ครับหลวงพ่อ
(ท่านอาจารย์) มี มีพระ มี
(ผู้ถาม) เดี๋ยวเข้าไปดูตึกนี้ก่อน เข้าหรือยัง
(ท่านอาจารย์) มีหนังสือกับเทปที่เป็นผลงาน ๕๐ ปีของสวนโมกข์
(ผู้ถาม) เดี๋ยวว่าจะวนไปข้างหลังไปดู
(ท่านอาจารย์) เปิดอยู่ใช่ไหม
(ผู้ถาม) เปิดอยู่ครับ
(ท่านอาจารย์) เดินเข้าไปดู
(ผู้ถาม) อันนี้วีดีโอเทปของที่ไหนนะครับ
(ท่านอาจารย์) ช่องเจ็ด
(ผู้ถาม) ตอนเย็นนี้ผมจะไปพูดถึงเรื่องหลวงพ่อ จะให้ผมเน้นหนักในเรื่องอะไรดี
(ท่านอาจารย์) ก็แล้วแต่ผู้พูดสิ ผู้พูดต้องพูดเรื่องที่ถนัดสิ เราพูดต้องพูดเรื่องที่เราถนัด ถนัดเรื่องอะไรพูดเรื่องนั้นอย่าให้ผู้อื่นกำหนดให้ จงพูดเรื่องที่เราถนัด เรื่องที่มีประโยชน์แก่พุทธบริษัทจะได้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป หนทางของพุทธบริษัทอย่าให้มีความงมงายอะไรเหลืออยู่มีแต่ความถูกต้องแจ่มแจ้ง
(นาทีที่ 01.03.43)
(ผู้ถาม) มีคนเคยถามผมว่าแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออะไร ผมก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาก็คือ บรมสุข ที่แปลว่าความสุขที่สุด คือการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือการได้มาเกิดในเมืองแก้ว นิพพาน จะถูกหรือไม่ครับ
(ท่านอาจารย์) ก็ถูก อันนั้นพูดภาษาสมมติ เมืองแก้ว นั่นคือสมมติ
(ผู้ถาม) ครับ ที่ว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นะครับ
(ท่านอาจารย์) ถูกแล้ว ให้จิตเข้าถึงความไม่มีทุกข์เลย เข้าสู่ความไม่มีทุกข์เลยอย่างนั้น
(ผู้ถาม) คือแก่นแท้ของพุทธศาสนา
(ท่านอาจารย์) การทำให้ไม่มีความทุกข์เลย แก่นแท้ของพุทธศาสนา
(ผู้ถาม) บางคนถามผมว่า การที่ว่าเราจะเป็นชาวพุทธมีอะไรเป็นเครื่องหมายว่าคนนี้เป็นชาวพุทธแท้หรือไม่แท้ จะเอาธรรมข้อไหนเป็นข้อสู้
(ท่านอาจารย์) เอ้า, มันต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้รู้ก็ปฏิบัติถูกต้องโดยเฉพาะศีลสมาธิปัญญาหรืออธิกมรรค ปฏิบัติถูกต้องมันก็ประพฤติได้ เบิกบาน เป็นผู้รู้เป็นผู้ตื่นจากหลับ เป็นผู้รู้เป็นผู้เบิกบาน
(ผู้ถาม) คือผมก็ทำงานเกี่ยวกับด้านประชาชน ก็มักจะถูกปัญหาเยอะแยะเลยครับ
(ท่านอาจารย์) เป็นธรรมดา เป็นธรรมดา อย่าเห็นเป็นของประหลาด
(ผู้ถาม) บางคนก็ถามว่าตายแล้วไปไหน ผมก็ตอบเขาว่า ตายแล้วไปสู่ภูมิทั้ง ๘ แล้วก็กรรมเป็นเครื่องนำทาง
(ท่านอาจารย์) ตายแล้วก็ไปตามเหตุปัจจัย เราจะไปไหนไม่ได้ ใครจะไปชี้มันได้ มันไม่เหมือนกัน แต่ว่าไปตามเหตุปัจจัยที่ทำไว้ตามกรรมที่ทำไว้
(ผู้ถาม) กรรมที่ทำไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใช่ไหม
(ท่านอาจารย์) ไปตามกรรมที่ทำไว้ ถ้าทำไว้ถึงที่สุดก็ไม่ไปไหน ถ้าทำไว้ไม่ถึงที่สุดก็ไปดีไปชั่วตามปัจจัยที่ทำไว้
(ผู้ถาม) ถ้าเขาถามว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป ผมก็ตอบว่าสิ่งใดที่ทำให้เกิดความทุกข์นั่นแหละบาป สิ่งใดที่ทำให้เกิดความสุขนั่นก็คือบุญ
(ท่านอาจารย์) ก็ถูก มันไม่มีทางจะสุข มันไม่มีทาง ที่ล้างบาปได้นั่นแหละคือบุญ แต่บาปนี่สกปรก บุญคือล้างบาป
(ผู้ถาม) เวลามีคนมาถามเรื่องนรกสวรรค์หลวงพ่อว่าอย่างไร
(ท่านอาจารย์) นรกสวรรค์ชนิดไหน
(ผู้ถาม) ที่ว่านรกเป็นขุมๆ แหละนะ สวรรค์เป็นชั้นๆ อย่างพรหมโลก
(ท่านอาจารย์) ดังนั้น เราจะไม่ค่อยพูด เราจะไม่ค่อยพูด เพราะเราไปเอามาให้ดูไม่ได้ เอามาให้ดูไม่ได้ นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เอามาให้ดูไม่ได้ ถ้าจะพูดนรกสวรรค์ที่เอามาให้ดูได้คือว่าเมื่อร้อน เหมือนกับไฟเข้าไปสุมอยู่ข้างในนั่นคือนรกอยู่ในหัวใจคุณ พอใจสบายเยือกเย็นนั่นแหละสวรรค์อยู่ในหัวใจของคุณ และก็เดี๋ยวนี้ที่นี่ไม่ต้องรอกันนานนัก ไอ้นรกใต้ดินนั่นไม่รู้ เขาว่าไว้ก่อนแต่ฉันไปเอามาดูไม่ได้ นี่ก็ยังไม่พูด สวรรค์บนฟ้าไปเอามาดูไม่ได้ยังไม่พูด จะพูดแต่ที่เอามาให้ดูได้ เช่นว่าร้อนเป็นไฟอยู่ในอกนั่นคือนรก เมื่อเย็นสบายดีอยู่ในใจคือสวรรค์ (ช่วงที่พูดภาษาใต้และเสียงขาดฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนาทีที่ 01.08.15 - 01.10.0)
(ผู้ถาม) ตั้งแต่หลวงพ่อเขียนมาถึงปัจจุบันทั้งหมดมีกี่เล่มแล้วครับ (เสียงแทรกฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนาทีที่ 01.10.05 - 01.11.53)
(ท่านอาจารย์) ไอ้ต้นไม้ต้นนั้น ที่อยู่ตรงข้างบันไดใบใหญ่ๆ มีแท่งหินเขียนว่าต้นสาระ
(ผู้ถาม) เมื่อวานท่านปัญญา เออ...
(ท่านอาจารย์) ต้นสาระ พระพุทธเจ้าประสูติที่ต้นสาระและก็นิพพานที่ต้นสาระ และส่วนมากท่านก็เกี่ยวข้องกับต้นสาระ เพราะมันเป็นไม้ที่แพร่หลายอยู่ทั่วๆ ไปในอินเดีย แสดงธรรมะหลายเรื่องเปรียบเทียบด้วยต้นสาระ เผื่อใครอยากรู้จักต้นสาระ มันมีหลักหินเขียนว่าต้นสาระ ต้นไม้นี้ควรจะปลูกตามวัดแทนต้นโพธิ์หรือว่าปลูกพร้อมกับต้นโพธิ์ เพราะต้นโพธิ์ใช้ไม่ได้ ไอ้ต้นสาระนี้ไม้ดีอยู่ เนื้อไม้ดีที่สุด ต้นโพธิ์ใช้อะไรไม่ได้ โค่นลงก็ทิ้งเปล่า สาระนี่ตระกูลเดียวกับไม้เต็ง ไม้เต็งในประเทศไทย ทำเกวียนก็ดีทำหมอนรถไฟก็ดีทำบ้านเรือนก็ดี
(ผู้ถาม) ต้นสาระที่หลวงพ่อพูดนี้เหมือนกับที่ในอินเดียหรือไม่ครับหลวงพ่อ
(ท่านอาจารย์) ไม้นี้แหละเขาเอามาจากอินเดีย
(ผู้ถาม) ครับอยู่ตรงหน้าโรงมหรสพ
(ท่านอาจารย์) อืมๆ เอามาจากอินเดียโดยตรง อินเดียก็จะเป็นว่า “ซาล” “ซาล” เฉยๆ คนฮินดูมันชอบสะกดเฉยเลย “สาละ” เป็น “ซาล” เปลือกมีแทนนินสูงที่สุด และมันหนาด้วยเปลือกหนา ในเปลือกนั้นมีธาตุแทนนินอยู่ นาก (นาทีที่ 1.13.54) แยกออกมา ใช้ในการฟอกหนังดังนั้นเปลือกของมันก็ขายได้แพง เนื้อของมันก็ใช้อย่างไม้ แล้วเม็ดของมันบีบออกมาเป็นน้ำมันใสๆ นั้นก็แพงอยู่ มันแพงอย่างน้ำมันคันออย(นาทีที่ 1.14.13) ไม้มีค่าหมดเลย ทั้งเปลือกทั้งแก่นแม้แต่ราก รากเขาก็มาชั่งขายเป็นฟืน เอารากตัดๆๆ แล้วขายเป็นฟืน เป็นไม้ทำเงินให้ประเทศอินเดีย นะทางการค้านำหน้าไม้อื่นๆ เดี๋ยวนี้ประเทศอินเดียระดมปลูกกันเป็นการใหญ่ แต่ละไร่ๆ สุดหูสุดตารถไปนี่เป็นชั่วโมงๆ ปลูกต้นสาละนี่ ถ้าไปอินเดียก็จะเห็น โอ้, นี่ปลูกสาละกันเป็นว่าเล่นเลย เขาปลูกถี่วาหนึ่งวาหนึ่งเอง เพื่อให้มันขึ้นเร็วๆ มันจะไม่มีกิ่งต้นมันก็เกลาๆ ไปหมด พอมันขึ้นสูงพอสมควรแล้วก็ตัดเสียระหว่างต้นระหว่างต้น มันก็ยังแน่นน่ะพอมันยิ่งสูงขึ้นเท่าไรมันก็ยิ่งชิงกันขึ้น ประเทศอินเดียขายไม้สาละ ใช้เองกับหมอนรถไฟ ทำบ้านเรือน เขาใช้เหมือนกับเราใช้ไม้สัก
(ผู้ถาม) อาจารย์ไสวท่านยังอยู่หรือไม่ครับหลวงพ่อ
(ท่านอาจารย์) อยู่ ไปคุยด้วยสิ
(ผู้ถาม) เมื่อไม่นานมานี้มีปัญหาถกเถียงกันที่กรุงเทพฯ ระหว่างพระกัน มีพระอนันต์เสนาขันกับพระโพธิรักษ์ พระโพธิรักษ์นี่ก็พูดถึงว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่บริโภคเนื้อสัตว์แล้วพระอนันต์ก็บอกพระพุทธเจ้าบริโภคเนื้อสัตว์ ในทัศนะความเห็นหลวงพ่อเป็นอย่างไรดี ถกเถียงกันใหญ่เลยตอนนี้ ในสมัยครั้งพุทธกาลพระองค์ท่านฉันทั่วไปหรือฉันอย่างไรหลวงพ่อ
(ท่านอาจารย์) พระพุทธเจ้าไม่ฉันทั้งเนื้อสัตว์ไม่ฉันทั้งผัก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่สำคัญเหมือนว่าเนื้อสัตว์หรือผัก คนโง่เท่านั้นที่จะไปสำคัญอันนี้เป็นเนื้อสัตว์อันนี้เป็นผัก ถ้ารู้ธรรมะจริงมันสักว่าธาตุตามธรรมชาติ ไม่มีสัตว์ไม่มีเนื้อ พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ฉันทั้งเนื้อและทั้งผัก คงเห็นนะอย่างนี้
(ผู้ถาม) ที่เมื่อวานท่านอาจารย์พูดว่าคนเราทำงานแล้วเป็นการทำธรรมะนี่นะครับ แล้วถ้าเกิดคนที่เขาเจองานที่เขาไม่ชอบแล้วเขาต้องทำนี่เขาจะทำอย่างไร
(ท่านอาจารย์) เอ้า, ก็ไม่ชอบจะมีปัญหาอะไร เขาก็ไปเลือกที่เขาชอบ แต่ทำงานทำหน้าที่ของตัวให้ดี คือการปฏิบัติธรรมะ อย่าเอาหน้าที่เป็นพาลหน้าที่ผิดๆ ลักขโมยนั้นไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่ที่จะเป็นประโยชน์แก่เราและผู้อื่นนั้นแหละนั่นคือธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์แก่เราและแก่ทุกคน
(ผู้ถาม) อย่างๆ ที่ธำรงค์ ถามนะครับผมเข้าใจว่าธำรงค์อยากจะถามว่า อย่างสมมติว่านาย ก นี่นะครับต้องไปทำงานซึ่งตัวแกเองไม่ชอบจะทำขัดกับนิสัย
(ท่านอาจารย์) ก็ไปหางานอื่นทำสิ
(ผู้ถาม) แต่ถ้าเขาไม่อาจหาได้ แต่ว่าถ้าเขาจำเป็นต้องทำเพราะว่าความบีบคั้นทางเศรษฐกิจหรือว่าจำเป็นจะต้องหาเลี้ยงชีพ
(ท่านอาจารย์) ดังนั้นก็หางานอื่นทำ ธรรมดามันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วถ้างานนี้ทนไม่ไหวเขาก็หางานอื่นทำ ก็เป็นปฏิบัติธรรมอีกอย่างหนึ่ง ไอ้ทำไม่ได้นั่นคือไม่ได้ปฏิบัติธรรม ด้วยเหตุใดก็ตามทำมันไม่ได้ก็คือไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็ดิ้นรนไปหาอันอื่นที่ทำได้ก็เป็นได้ปฏิบัติธรรม หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำนั่นคือธรรมเป็นธรรมะ ขึ้นชื่อว่าหน้าที่ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่เราและแก่ผู้อื่นทั้งนั้น เราทำนานี่เราก็ได้ประโยชน์ได้ข้าวและเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นที่เขาไม่ต้องทำนาเขาซื้อกินได้สะดวกๆ ก็ดีแล้ว เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น