แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โฆษก : ครับท่านผู้ที่ต้องการมาร่วมในงานปีใหม่นะครับ ในสวนโมกข์ซึ่งทุกท่านก็คงเข้าใจแล้วนะครับว่าปีใหม่ในสวนโมกข์ของเราก็คงเป็นปีใหม่ที่คงไม่ใช่จมโลกแน่ เป็นปีใหม่แบบมีความสุขที่แท้จริงนะครับ ไม่เหมือนปีใหม่ที่มีความสนุกกันข้างนอกแต่น่าเสียดายว่า ประเภทนี้มันมีน้อยเหลือเกินประเภทที่ไม่ให้จมโลกนี้นะรู้สึกว่าข้างนอกมีมากแยะนะครับเข้าใจว่าข้างนอกประเภทที่มีความสนุกของเราน่ะประเภทที่มีความสุขที่แท้จริง ที่นี้ท่านเราก็ได้ฟังพระเดชพระคุณท่านอาจารย์กันมาตั้งสองชั่งโมงกว่าแล้วนะครับ ก็คงจะไม่มีใครโดนเวลากัดกินเอาแน่นะครับ ถ้าใครโดนเวลากัดกินเอาก็ไปพิจารณาใหม่เสียก็แล้วกันนะครับ ที่นี้ว่าเพื่อ เพื่อไม่เสียเวลา เอาอีกแล้วต้องเลยเวลากันอยู่เรื่อยนะ เพื่อไม่ให้เสียเวลานะครับและเพื่อไม่ให้เวลากัดกินเรา เราก็จะพยามใช้เวลานี้ให้มันถูกต้องที่สุด เพื่อจะให้เวลามันจะได้หมดไปเสีย เราจะได้เอาชนะเวลานะครับ ที่นี้ ทีนี้ว่า อา สิ่งที่เราที่อาจารย์พระเดชพระคุณได้ตั้งคำถามกันอยู่ ตั้งปัญหาไว้ก่อนจะจบนะครับ นะครับ ว่าทำไมนะฮะพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว เราก็ยังเดินผิดทางกันอยู่นะครับ ตัวแกะก็ยังอยู่จุ้นจ้านกันอยู่ในศาสนาคริสต์นะครับ รูปก็ยังอยู่เต็มไปหมดในศาสนาอิสลามหรืออะไรก็ตามที่ว่ายังไม่สำเร็จยังไม่สำเร็จนั้น ผมว่าสิ่งหนึ่งก็เราก็ยังมัวแต่ใช้จะเพียงแต่จะใช้ปีใหม่มันเวียนมาบันจบครบรอบนะครับ บางทีท่านพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวไว้แล้วว่า ปีใหม่ที่เวียนมาบันจบครบรอบก็เหมือนเดิมอยู่เรื่อยไป แล้วเราก็ยังเหมือนเดิมกันอยู่เรื่อยไป ทีนี้เราอย่าเอาแบบเวียนให้มาครบรอบเหมือนเดิมเลยครับ นะครับ เรามาต่อกันไปให้ใหม่ข้างหน้าจริงๆ ทีนี้ผมใคร่อยากจะให้ใช้เวลานี้เพื่อมาทำความเข้าใจนะครับ ก็เป็นเรื่องของปีใหม่เป็นเรื่องมันต้องใช้ปัญญานำไปข้างหน้า รู้รู้กันขนาดไหน รู้แจ้งไหมแทงตลอดไหม ใช้เป็นประโยชน์ไหม จัดให้มันเป็นปัญญาที่แหลมคมนำไปข้างหน้าจริงได้ไหม รู้ได้เพียงพอไหม นี่ล่ะครับเราจะช่วยกันหลายๆท่านที่มาในวันนี้นะครับ เพื่อให้มันสมควรกับเวลาที่เป็นจริงที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นโอกาสนี้นะครับ ผมก็ใคร่เปลี่ยนบรรยากาศนะ เปลี่ยนบรรยากาศจากพระเดชพระคุณท่านอาจารย์เราได้ฟังมาแยะแล้ว ทีนี้เราฟังดูผู้ที่พยายามที่จะทำให้ ปีนั้นมันใหม่นะฮะ โทษครับผมก็ใช้เรื่อยไป ผู้ที่ทำอ่า นำความสุขปีใหม่มาให้แก่คนส่วนมาก อยู่ในประเทศไทย ที่ทำๆกันอยู่เดี๋ยวนี้ และพวกเราก็รู้จักกันดี คนนั้น ก็คือคุณวิโรจน์นะฮะ คุณวิโรจน์ ศิริอัษฎ์ ซึ่งมีอะไรหลายๆอย่างที่ได้ปฏิบัติ ได้ทำอยู่นะครับ แต่จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ก็กำลังดิ้นลนกำลังทำกำลังต่อสู้อยู่ ครั้นตอนนี้ผมก็ใคร่ขอเชิญคุณวิโรจน์ ศิริอัษฎ์ ขึ้นมาเปิดรายการนะครับ นำสิ่งที่ได้ปฏิบัติได้กระทำหรือได้มาพูดกัดถึงปัญหาต่างๆ หรือว่าจะชี้แจงคุยอะไรกันก็เชิญครับ คุณผู้ชมครับ
อ.วิโรจน์ : กราบนมัสการท่านอาจารย์และก็พระคุณเจ้าที่เคารพและก็ท่านผู้ร่วมรายการวันปีใหม่ที่เคารพทุกท่าน อือ รู้สึกว่าคุณหมอยูรจะยกย่องผมมากไปหน่อย ในข้อที่ว่าผมพยามที่จะให้ความสุขแก่ผู้อื่นไอ้สิ่งที่ผมกำลังทำและพยายามทำต่อไปซึ่งทำมาแล้วในระยะ ๕ - ๖ ปีหลัง คือตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๑ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็คือว่าพยายามปลุกบุคคลหลายฝ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือครูบาอาจารย์ที่ผมเห็นว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดของบ้านเมืองหรือของโลก นะเราพยายามปลุกให้เขาตื่น และจุดหนึ่งที่เราต้องการปลุกมากที่สุดก็คือว่า ตัวอย่างที่ท่านอาจารย์ได้พูดเมื่อกี้นี้ คือความสุขที่ทำให้จมโลกกับความสุขที่ทำให้เหนือโลก อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่เราพยายามปลุกกันอย่างยิ่ง ตลอดระยะเวลา ๕ ปี ๖ ปีที่ผ่านมานี้จนกระทั่งมาสิ้นปีเอาวันนี้ เราไปทำงานมาแล้วเกือบ ๓,๐๐๐ แห่ง ซึ่งพระในสวนโมกข์นี้หลายองค์ครับที่ได้ไปช่วยงานในการที่ไปอบรมครู และก็ยังมีพระที่อื่นอย่างท่านอาจารย์มหาประทีป ที่เกาะทรายแก้วอาจารย์เจริญที่สวนวาง และก็มีอาจารย์มหาสมดีและพระองค์อื่นๆอีกเยอะฮะที่ไปช่วย ทีนี้พอมาระยะครึ่งปีของปีนี้ ของปี ๒๕๒๖ นี้ งานอบรมครูของพระองค์อื่นนี่เบาบางลงฮะ เพราะเหตุว่าส่วนใหญ่จะจองพระอาจารย์พยอมเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยพระองค์อื่นก็เลยงานน้อยลงไปหน่อยแต่คิดว่าในปี ๒๕๒๗ ก็คิดว่างานคงจะกลับรูปเดิมคือหมายความว่าคงจะมีงานวันหลายๆแห่งอีก เพราะเท่าที่ผ่านมานี้ บางวันนี้เรามีงาน ๓ แห่ง ๔ แห่ง พยามต้องแบ่งพระที่เป็นองค์บรรยายบ้างฆราวาสบ้าง ฆราวาสก็มีหมอเชาว์ที่มาร่วมงานในวันนี้ด้วย และก็มีอาจารย์ไสว แก้วสม และก็ยังมีคุณชาญ.......(นาทีที่ 07.22) ซึ่งวันนี้ไม่ได้มานี่เราก็มาร่วมงานแล้วก็ยังมีเชิญอื่นๆอีกหลายท่าน ซึ่งผลที่ออกมาเราก็ได้แนวร่วม แนวร่วมในทางธรรมะนี้มากพอสมควร ครูบาอาจารย์เวลานี้ก็ได้รู้จักมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ และก็ชมรมครูศิลธรรมแห่งประเทศไทยนี่มากพอสมควร ทีนี้มาถึงประเด็นเกี่ยวกับวันปีใหม่ ก็คือเรื่องที่ท่านอาจารย์ได้ย้ำนักย้ำหนาคือความสุขที่ทำให้จมโลกกับความสุขที่ทำให้เหนือโลก ผมเองมีความรู้สึกว่าไอ้ความสุขที่ทำให้จมโลกนั้น มันเป็นอันตรายหรือเป็นพิษร้ายทั้งแก่ตัวเราเองด้วยและแก่ผู้อื่นด้วย แต่ว่าคนไม่รู้สึก ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะจะไม่รู้สึก แต่ความสุขอีกชนิดหนึ่งคือความสุข สงบ หรือความสงบสุขนั้น ไม่มีอันตรายแก่ผู้ใดเลย กับเป็นประโยชน์แก่โลก ที่จะช่วยโลกให้มีสันติสุขหรือสันติภาพได้ ทีนี้ไม่ทราบว่าจะเออ ท่านทั้งหลายจะสังเกตแค่ไหนอย่างไรนะครับ ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวที่นี้ก็คือ ไอ้ความสุขที่ทำให้จมโลกนั้นน่ะ มันทำให้เพิ่มความเห็นแก่ตัว ทีนี้ทำไม ทำไมความสุขที่ทำให้จมโลก ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย นี่ทำไมจึงเพิ่มความเห็นแก่ตัว ก็เพราะเหตุว่าไอ้ความสุขที่ทำให้จมโลกนั้น ก็คือความสุขอันเกิดจากกามารมณ์หรือความสุขทางเนื้อหนังหรือทางวัตถุนั้นเอง ความสุขทางกามารมณ์หรือความสุขทางเนื้อหนังหรือทางวัตถุนี้มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว ก็เพราะเหตุว่าไปติดอัสสาทะของมัน คือรสอร่อยของมันพอติดในรสอร่อยก็ต้องการจะสะสมให้มากๆ บริโภคมากๆจนคนอื่นขาดแคลน ท่านลองพิจารณาดูสิครับว่าถ้าคนเราแสวงหาความสุข ประเภทแรกนี้มากเท่าใด โลกจะวุ่นวายมากขึ้นสักเท่าไหร โลกที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้หรือบ้านเมืองเรานี้แหละที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเหตุว่าคนจมอยู่ในความสุขประเภทแรกนี้และก็ไม่ยอมเปิดหูที่จะรับฟังธรรมะเพราะฉะนั้นมันจึงเป็นหน้าที่พวกเรานี้แหละครับ ที่จะต้องช่วยกันเปิดหูเปิดตาให้ได้ฟังได้รับฟังธรรมะ ซึ่งผมเองก็กำลังคิดอยู่ และก็กำลังว่าจะกลับไปนี่ก็จะไปปรึกษาผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษา ที่จะต้องเปิดหูเปิดตาครูเป็นบุคคลประเภทแรกที่จะต้องเปิดกันต่อไป ซึ่งครูของเรานี่มีตั้งทั่วประเทศนี่มีตั้งห้าหกแสนคนไม่ใช่เล็กน้อย เพราะฉะนั้นที่ทำมาแล้วนี่ สักสองสามแสนอย่างมากแต่ว่า ก็อย่างว่านี่แหละครับตัวผมเองกว่าจะเข้าใจธรรมะกว่าจะนำธรรมะมาใช้ในชีวิตจริงๆได้นี่ มันก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะฉะนั้นไอ้การที่ได้ฟังเพียงครั้งสองครั้ง ก็รู้สึกว่ายากในการที่จะจับประเด็นได้และก็เอามาใช้ประโยชน์ได้
ทีนี้ในเรื่องของความสุขประเภทแรกดังที่ท่านอาจารย์กล่าวนี่ ท่านลองนึกดูว่าเพียงแต่กินเกินใช้เกินเท่านั้นน่ะ มันจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่โลกเท่าไรให้แก่เพื่อนร่วมโลกสักเท่าไร มีหมอคนหนึ่งครับ คือหมอประเวศ วะสี ท่านบอกว่า ถ้าเรากินเกินใช้เกินนี่ วินิจฉัยง่ายๆก็คือ ผิดศีลทั้ง ๕ ข้อ โดยไม่รู้ตัวเลย กินเกินใช้เกินสะสมเกินนี่ แต่ใครจะรู้ นี่ผมเชื่อว่าหลายท่านคิดออกและมองเห็นได้ ว่าถ้ากินเกินใช้เกินสะสมเกินนี่ ผิดศีลทั้ง ๕ ข้อ นี่อย่างต่ำที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นการเบียดเบียน การเอารัดเอาเปรียบการแย่งชิงการเข่นฆ่ากันทั้งหลายทั้งแหล่ในโลกนี้ ก็เพราะเหตุว่าคนไปติดอัสสาทะของโลก แต่ว่าไม่มีไม่มีใครที่จะมารับฟังว่า อาทีนวะ คือโทษอันต่ำทรามของๆๆความสุขประเภทแรกนี้ ประเภทที่ทำให้จมโลกนี้ มีใครที่จะรับฟังจากพระพุทธเจ้าหรือจากพระศาสดาทั้งหลาย เมื่อเขาไม่รับฟังเพราะฉะนั้นนิสสรณะ คือการเอาชนะในความสุขประเภทแรกมันจึงไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าจะเอาชนะไอ้ความสุขประเภทแรก เลื่อนชั้นขึ้นมาแสวงหาความสุขประเภทที่สองคือประเภทความสงบสุขทำได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมะทั้งหมดก็อยู่ตรงที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะให้เพื่อนร่วมโลกของเรารู้จักเลื่อนชั้นตัวเองจากความสุขประเภทแรกมาสู่ความสุขประเภทที่สอง ซึ่งไม่เป็นอันตรายและเป็นประโยชน์แก่โลกด้วย ตัวเราเองก็จะได้พบความสงบเย็นด้วยโลกก็จะมีสันติภาพด้วย นี่จะทำกันอย่างไร นี้ก็อยากจะฝากไว้สำหรับท่านทั้งหลายช่วยกันคิด ช่วยกันหาช่องทางว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เออ ฝ่ายผู้บริหารบ้านเมืองก็ดีหรือประชาชนทั่วไปก็ดีนี้หันเข้ามาหาธรรมะ เพื่อจะได้มีโอกาสเลื่อนชั้นตัวเองเพราะฉะนั้นปีใหม่ ความสุขปีใหม่ มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าว่า ผมนี้สรุปจากธรรมของท่านอาจารย์ก็คือว่า ไม่มีอะไรมากไปกว่าว่า เราเลื่อนชั้นจากการแสวงหาความสุขประเภทแรกประเภทจมโลกน่ะ มาสู่ความสุขสงบได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ไอ้นี้ใครตอบใครไม่ได้ นอกจากตัวเองจะตอบตัวเอง สิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์พูดมาเมื่อกี้นี้ก็คือว่า ถ้ามีความรักผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ มันก็จะเป็นช่องโอกาสเป็นช่องทางให้ได้พบกับความสุขประเภทที่สอง คือความสุขสงบได้ง่ายขึ้น หรือเออได้ๆๆๆ พบได้ง่ายขึ้นพบได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้น เออ มันก็ทำให้เรามองเห็นได้ว่า ถ้าเราได้ช่วยกันทำให้ธรรมะได้แพร่หลายออกไปเท่าไหร่เราเองก็จะได้พบกับความสงบสุข ความเยือกเย็นมากขึ้นเท่านั้น และนี้แหละครับ ผมก็ขอฝากไว้เพียงว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ธรรมะแพร่หลาย ไปทั่ว เอาๆ เอาแค่ภายในบ้านเราก่อนเถอะครับ ทั่วประเทศหรือทั่วกับครูทุกคน ก็เห็นจะเพียงพอในการที่จะสร้างความสงบสุขขึ้นมาในบ้านเมืองเรา เอาล่ะครับผมขอฝากไว้เพียงแค่นี้ครับ ขอขอบคุณครับ
โฆษก : ครับก็ขอขอบคุณ คุณวิโรจน์นะครับ ก่อนอื่นก็ คุณวิโรจน์ก็ได้เริ่มงาน ด้วยการปลุกคนให้ตื่นนะครับ พยายามหาแนวร่วมกันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นวันนี้ก็อย่างน้อยเราก็ได้แนวร่วมของเราแล้วละครับ นะครับ ที่นั่งอยู่นี้นะครับ ถึงแม้ว่ามันจะน้อยก็ตาม แต่ว่าถ้าเราได้เข้าใจกันจริง เราก็จะได้ไปหาแนวร่วมกันต่อกันไปอีกนะครับ เพราะว่าพอเราหันไปข้างนอกแล้วเนี่ยมันมีแต่ว่า มันไม่ใช้ปลุกให้ตื่นนะครับ มันกลับให้จม จมโลกอยู่ตลอดเวลานะครับ ดูคำโฆษณาหรืออะไรก็ตาม ส.ค.ส ส่งความสุขกันที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ว่านะ ส่งด้วยกระดาษ เดี่ยวนี้มันมีโฆษณาว่าความสุขดื่มได้ก็ยังมีอีกนะฮะ ยิ่งกว่าความสุขส่งไปให้กันได้ ความสุขดื่มได้ก็คือคอสเตอร์เบียร์หรือให้กินเบียร์ต่อไปกันอีกนะครับอะไรแบบนี้ มันมีแต่เรื่องของการที่ยั่วยุให้มันจมทั้งนั้น ที่นี้ว่าปัญหานี้แหละครับที่คุณวิโรจน์ได้นำมันขึ้นมา ได้มาช่วยกันพูด กันวิจารณ์ หรือว่ามองกันให้เห็นนะฮะ แต่ถ้ามองกันจริงๆมันก็มองไม่เห็นอีกนั้นแหละนะฮะ มันต้องมองข้างในกันฮะ มองด้วยตาในและก็ต้องมองโดยใช้เวลาหน่อย มองด้วยการปฏิบัติ ว่าความสุขที่แท้จริงมันต้องเป็นสุขที่สงบเย็นสันติสุขนะฮะ มันจึงจะเป็นความสุขที่พ้นขึ้นมาจากโลกได้ ถ้าไม่อย่างนั้นและมันเป็นความสนุกเสียมากกว่านะฮะ เป็นความสนุกที่ทำให้จมโลก ตรงนี้แหละครับมองเห็นหรือไม่เห็น นะฮะ เราจะใหม่หรือไม่ใหม่ กล้าจะก้าวไปข้างหน้าก็อยู่ตรงนี้ เราเลื่อนระดับตรงนี้ได้หรือไม่ได้นะฮะ แยกความสนุกออกจากความสุขที่ที่เป็นสันติสุขกันนี่ สุขที่แท้จริงสงบเย็นสันติสุข มันแยกกันได้หรือไม่ได้ ก็ตรงนี้แหละครับนะครับ ทีนี้ก็ขอเชิญคนอื่นครับนะครับ ช่วยกันมาให้ความเห็นครับ ขอเชิญคุณเป็งฮั้วเลยนะครับ ความจริงคุณเป็งฮั้วผมไว้ไว้อันดับหลังๆ แต่เชิญเลยครับอาจารย์ระบุมาแล้วครับ คุณสุมาลัยครับ นี่ที่เขียนระบุชื่อไว้ช่วยกันนะครับ ช่วยกันอยู่พูดจนถึงเวลาพอสมควรนะฮะ เป็นการพูดอย่างอิสระนะฮะ และก็ปลุกคนให้ตื่น
คุณเป็งฮั้ว : ขอนมัสการพระคุณเจ้า สวัสดีสาธุชนที่เคารพ มาชุมนุมในวันที่จะขึ้นปีใหม่ ใน เออ อีกประมาณสอง สองชั่วโมงข้างหน้า เพราะว่าการที่เรามาชุมนุมเรื่องขึ้นปีใหม่นั้น มันกลายเป็นประเพณีเสียแล้ว ฉะนั้นที่เรามาประชุมนี้นะ ก็ด้วยความอิ่มเอิบ เออ มีความเออดีใจว่าไอ้ปีเก่าได้พยายามส่งเราให้มาถึงปีใหม่จนบัดนี้ ฉะนั้นไอ้การที่เราจะขึ้นปีใหม่ ๒๕๒๗ นี่น่ะ เราก็มีความสุขใจ ที่มีความสุขใจก็คือว่าพระคุณเจ้าอาจารย์ของเราท่านพุทธทาสนี่ เออท่านก็เป็นห่วงใยเรื่องที่ว่ากลัวเราจะจมปลักอยู่ใน เออกามคุณแล้วก็ให้เราขยับชั้นขึ้นไป เออ ในหลวงของเรา เออ ก็เป็นห่วงใย เออ อยากจะให้เรานี่มีปีใหม่ขึ้นสุกใสขึ้น แล้วก็พระ อ่า พระพุทธเจ้าของเรา ก็เป็นห่วงใยอีกหนา คือว่าพระพุทธเจ้าของเราไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าท่านเสด็จปรินิพพานไปแล้วหนา แล้วก็ไม่มีนะ ที่จริงท่านยังอยู่ ท่านอยู่กับเราตลอดเวลาเป็นห่วงใย ที่เป็นห่วงใยเราว่า เราก็ เออ มีความเจริญ ขยับ ความคิดอ่านที่ดีขึ้น ดีขึ้นนะ ไอ้อย่างนี้เป็นต้น เอาล่ะครับ เออท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย จนกระทั่งครูบาอาจารย์พ่อแม่บิดามารดาญาติมิตรของเรานะ ก็เป็นห่วงใยเหมือนกันอีกนะ ว่า ปีใหม่นี้เราก็จะขยับฐานะแล้วก็มีจิตใจซึ่ง เออ สุกใสขึ้นกว่าปีเก่านะ ยังนี้ยังไม่พอนะ สิ่งซึ่งไม่มีวิญญาณนะ เพราะว่าเวลานี้เราพูดถึงเรื่องสัตว์ทั้งหลายซึ่งมีวิญญาณ จึงห่วงใยเรา จนในสากลจักรวาลโลกนี้ มันห่วงใยเราเหมือนกัน เพราะว่าเขาได้ส่งเรานะให้ผ่านพ้นปี ๒๕๒๖ นี้มาจนได้ จนบัดนี้ ก็เรียกว่า เอ่อ ได้เป็นห่วงใย ทีนี้สิ่งซึงไม่มีชีวิตไม่มีวิญญาณอย่างเช่นต้นไม้เป็นต้นนะ ดินฟ้าอากาศ สิ่งเหล่านี้เขาก็เป็นห่วงใย พยามส่งเราให้จึงมาถึงบัดนี้ ต้นไม้แต่ละต้นนี้ฮะ ปีหนึ่ง ปีเก่านี้เราก็มา ปีนี้นะ เขาก็มีอายุเพิ่มขึ้นปีหนึ่งแล้วนะ ก้อนหินนี้ ก็มีอายุเพิ่มขึ้นปีหนึ่งแล้ว ลมฟ้าอากาศก็เหมือนกันฮะ ถึงแม้ว่าเขาไม่มีวิญญาญเขาก็ช่วยเหลือเราอยู่ตลอดเวลานะ ฉะนั้นเรา เออ ได้มาถึงปี ๒๕๒๖ จนครบแล้วนะ เราก็เป็นผู้ที่มีโชคอย่างมากทีเดียวนะ แล้วเราภูมิใจที่ว่า บัดนี้น่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสิ่งซึ่งมีชีวิต สิ่งซึ่งไม่มีชีวิตกำลังช่วยเหลือเวลาตลอดเวลานะ ฉะนั้นในสิ่งแวดล้อมในตัวของเรานี้นะ เต็มไปผู้จะสนับสนุนเรา นะฮะ แต่ตัวเรารู้สึกหรือยัง ถ้าตัวของเรานี้รู้สึกแล้วเราจะภูมิใจเราจะมีจิตใจกล้าแข็ง เราจะมี เออ ความอดทน นะฮะ ความอดทน ซึ่งจะต่อสู้กับชีวิตซึ่งชีวิตนี้น่ะเป็นความทุกข์ ชีวิตเพราะชีวิตนี้เป็นความทุกข์แน่ๆ เพราะพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า สิ่งซึ่งเกิดขึ้นก็คือทุกข์ สิ่งซึ่งตั้งอยู่ก็คือทุกข์ สิ่งซึ่งดับไปก็คือทุกข์ ฉะนั้นเราจะตั้งอยู่ในโลกนี้ได้นะฮะคือเราเป็นสัตว์ซึ่งตั้งไว้ ก็เป็นผู้ซึ่งต่อสู้กับทุกข์ ฉะนั้นเราก็ต่อสู้กับทุกข์มาตลอดนะ ในปี ๒๕๒๖ นะ เราต่อสู้จนชนะแล้ว นะฮะ อีกสองชั่วโมงนะฮะก็จะผ่านพ้น ฉะนั้นน่ะในกำลังใจของเรานี้เราสามารถที่จะมารับ ต้อนรับในปี เออ ๒๕๒๗ นี้ อย่างภาคภูมิใจทีเดียวนะ เออพระคุณเจ้าท่านบอกว่า ๒๕ ศตวรรษมาแล้วนะ เออ พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้นำโลก แต่โลกก็กำลังเดินผิดทางอยู่ ก็เอ่อ พระผู้เป็นเจ้าที่เขาบอกว่าเลี้ยงแกะ มาถึงเอ่อ ๒๐ ศตวรรษแล้ว ก็ยังมีแกะหลงอยู่นะฮะ ผู้ที่ทำลายรูปศักดิ์สิทธ์ให้หมดไปน่ะ ๑๕ ศตวรรษแล้วก็ยังมีรูปศักดิ์สิทธ์เหล่านั้นยังมีอีกเยอะแยะ ก็เรื่องนี้แหละครับผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นเรื่องอมตะนะฮะ เป็นเรื่องอมตะฉะนั้นทำไมเรียกว่าเรื่องอมตะก็โลกมันเดินผิดทางจึงมีพระพุทธเจ้าอยู่ ก็โลกมันเดินผิดทางนะจึงต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นอมตะ ยังจะต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดนะ นะฮะ ก็ยังมีแกะที่หลงทาง ก็ยังมีคนที่เลี้ยงแกะเป็นอมตะอีก มันไม่หมดไปได้นะฮะ เป็นอมตะฉะนั้นยังมีผู้ที่จะทำลายรูปศักดิ์สิทธ์นั้นนะ จนบัดนี้ยังมีรูปศักดิ์สิทธ์ก็เป็นเรื่องอมตะนั้นนะ คือเป็นเรื่องที่ไม่ตายจะต้องมีอย่างนี้เรื่อยนะ เอ่อ อย่างมีความดีก็ต้องมีความชั่ว มีความชั่วก็มีความดีนะ เออ มันเป็นอมตะเหมือนกันนะฮะ ทีนี้เมื่อเราเข้าใจสิ่งนี้เราก็ วาง วางใจได้อย่างสบายนะฮะ คือไม่ต้องเป็นห่วง เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นสิ่งสมบูรณ์ตลอด สมบูรณ์ตลอดฉะนั้นเรามีชีวิตซึ่งอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ซึ่งเราได้ผ่านพ้นมาชั่วระยะเพียงหนึ่งปีที่ผ่านไปเพียงเท่านั้นเอง เราจะรู้สึกว่า แหมไอ้ปีที่ผ่านพ้นมาตั้งนานแสนนานนะ มันก็เป็นเช่นเดียวกัน และปีต่อไปหลังจากนี้ไปมันก็เป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้นไม่มีเรื่องอะไรแปลกนะ ฉะนั้นกาลเวลาซึ่ง กาลเวลาที่มันผ่านไปหรือการเวลาที่มันยังมาไม่ถึงนะ สิ่งเหล่านี้มันเป็นอมตะอีกนะฉะนั้นเราก็อยู่ในโลกของอมตะ ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างนี้นะ เราจะเป็นคนที่ เอ่อ มีความกล้าหาญ เราจะมีเป็นคนที่เรียกว่า ไม่ถูกสิ่งปิดกั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถจะปิดกั้นเราได้ เพราะเราเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่จริงๆนะฮะ คือไอ้ความที่เป็นยิ่งใหญ่อันนี้แหละ ถ้าเราเข้าใจสิ่งซึ่งเป็นอมตะว่า ไม่มีใครจะแย่งเราไปได้หรือไม่มีใครจะทำลายมันได้ นะอย่างนี้น่ะมันจะต้องทำให้เรานี่เป็นผู้องอาจขึ้นมานะ กล้าต่อสู้ต่อเหตุการณ์ทั้งหลาย ฉะนั้นไม่มีอุปสรรคอะไรที่สามารถจะกีดขวางทำให้เราต่อสู้กับความทุกข์นั้นได้ เอาละครับผม แสดงแค่นี้ ขอบพระคุณ
โฆษก : ครับก็คงจะต้อง คนต่อไปเลยนะครับ เป็นการ [เสียงท่านพุทธทาส : พูดน้อยนะ พูดน้อยนะ] นะครับ ซึ่ง ซึ่งเป็นการมาแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระนะครับ ซึ่งผมจะไม่พยายามที่จะสรุปอะไรของท่านทั้งหลายหรอกครับ เอาไว้ท่านจะได้นั่งพิจารณากันเองบ้าง ต่อไปขอเชิญคุณ คุณเชาว์หวังนะครับ นะฮะอุตสาห์มาก่อนเพื่อนนะฮะมาคอยอยู่ก่อนเพื่อนขอเชิญคุณเชาว์ครับ คุณเชาว์ คับคงอยู่ใช่ไหมครับ ครับ ตราบใดที่ยังมีอวิชชายังมีความโง่อยู่นะครับ เราก็ได้พูดกันอยู่เรื่อยไปนะครับ ตลอด ตลอดไปเรื่องอย่างนี้นะครับ ขอเชิญคุณเชาว์ครับ คือผมผ่านมาจากในตลาดมาเมื่อกี้นะครับ ทางโรงโน้นเขาส่งกันอย่างสนุกสนานครับในตลาด สีแสงไฟ เดี๋ยวพอใกล้จะดึกจริงๆ คอยดูครับมีเสียงดังถี่กว่านี้อีก ขอเชิญคุณ คุณ คุณเชาว์ครับเชิญครับ
คุณเชาว์ : ของสวนโมกข์ก็พระคุณเจ้าท่านอาจารย์ก็ได้มอบซึ่งคำที่จะให้จมหรือลอยแก่บรรดาผู้ที่มาร่วม ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ของญี่ปุ่น เขาก็คิดว่าวันนี้สำนักแห่งนี้ได้มารวมแห่งพละกำลังที่จะช่วยกัน ทำให้ทุกชีวิตประสบความสำเร็จของชีวิตนั้นเองให้เกิดขึ้น อยู่ในความที่ไม่จมและส่งตนเองขึ้นไปสู่ คือความลอยตัว ลอย ถ้าเราลอยบาป บุญ ในหนังของญี่ปุ่นเขาอ่านเขาวิเคราะห์ อิคิวซัง หรือว่าเพลงขลุ่ยสังหาร เขาบอกว่าบุญทำนิดหน่อยก็เป็นบุญบาปทำนิดหน่อยก็เป็นบาป ฉะนั้นจิตซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องถูกยกขึ้น คือความสุขที่แท้จริงย่อมอยู่เหนือทุกสิ่งในโลก แล้วจิตจะถูกยกขึ้นอยู่เหนือวัตถุ สิ่งนั้นจะนำให้ทุกคนประสบความที่จะต้องไม่ถูกยึดอยู่กับโลก จะมองเห็นสภาวะของชีวิตที่มีความสุขจากจิตที่ถูกยกขึ้นจากสิ่งที่เราจะเข้าไปยึดถือ โดยที่เราเข้าใจอยู่ที่ตัวเองดังที่พระคุณเจ้าท่านอาจารย์ได้สรุปทุกครั้งของเรื่องที่จะให้ทุกคนได้เข้าใจถึงตถาตา คำว่าตถาตาของท่านอาจารย์นั้น ท่านผู้อื่นจะเอาไปใช้อย่างไรพูดอย่างไร ก็ไม่ซึ้งถ้าหากว่าไม่ใคร่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง จากสภาวะของจิต สภาวะของโลกเราลืมตาขึ้นก็เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ส่องโลกแล้วก็กัดเวลาเหล่านั้น คือถอนชีวิตลงไปจนกระทั่งปิดตาลงตั้งแต่เปิดและตั้งแต่ปิดถ้าหากว่า อาจารย์จึงได้เขียนคำโครงประเดี๋ยวเปิดบ้างประเดี๋ยวปิดบ้าง อันนี้ขอให้บรรดาผู้ที่เข้ามาสู่ในสถานที่แห่งสวนโมกข์ หรือถ้าหากว่าจะเป็นสุนัขของที่เราชอบภาพยนตร์ที่ของญี่ปุ่น ก็คงจะทำให้ได้เกิดแนวความคิดที่จะนำจิตตนเองนั้นไปสู่ที่จะต้องส่งตัวเองขึ้นให้พ้นและนำตนให้สู่ตลอดเป็นความสงบอันแท้จริงของจิตนั้นแหละ ท่านจะพ้นแห่งที่ตัวที่ได้กำหนดไว้ว่าความทุกข์ทั้งมวลที่เกิดขึ้น ผมใคร่ขอให้ท่านจะเอาจมหรือท่านจะเอาลอยก็เพียงขอฝากไว้ให้แก่ผู้ที่เข้ามาที่ได้เสียเวลาเดินทางจากระยะไกลๆมาสู่สถานที่แห่งนี้ ได้เก็บเอาไปเท่าที่จะเป็นเครื่องทำให้ตัวเองได้ลอยขึ้นสู่ตามความปรารถนาผมขอจบเพียงเท่านี้ครับ
โฆษก : ครับ ก็คุณเชาว์ก็ได้ได้มาผ่านไปแล้วนะครับ ก็พยามที่จะได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเรานะครับ เราจะจบชีวิตลงแบบไหน นะเราจะเลือกชีวิตแบบไหน ทั้งทางด้านร่างกายและในทางด้านจิต ที่นี้ก็ลำดับต่อไปนะครับ ก็ขอเชิญคุณ คุณกัญญาเอาไว้ทีหลังนะครับ ขอเชิญคุณสุมาลัยก่อนครับ ไปเสียแล้วเหรอครับ ไม่เป็นไรครับ ไปเสียแล้วก็ไม่เป็นไร ขอเชิญคุณกัญญาเอาที่อยู่นะครับ คุณกัญญาคงยังอยู่นะครับ เชิญคุณกัญญานะครับ มาปลุกกันให้ตื่นในวันปีใหม่นะครับ กันดีกว่านะครับ คุณกัลยานะครับไม่ใช่คุณกัญญา คุณกัญญาครับ คุณกัญญาอยู่ไหมครับ อ๋อนั้นเหรอครับ ขอประทานโทษครับ เขียน คือไม่ใช่เขียนหรอกคุ้นหน้าชื่อก็
คุณกัญญา : ขอนมัสการพระคุณเจ้า และเพื่อนชาวพุทธทุกท่าน ดิฉันก็ต้องขอออกตัวเสียก่อนว่า อย่างที่ท่านอาจารย์พูดว่าเวลานี่จะกัดกิน เพียงใช้แต่สังขาร นั้นพยายามอย่าให้เวลานี้กินในด้านจิตใจ นี่แหละอันนี้เป็นปัญหาที่ว่าเข้าประเด็นซึ่งดิฉันนี้ป่วยไม่สามารถที่จะคิดว่าจะมาไม่ได้นะฮะ ป่วยอยู่ก็ยังพูดโทรศัพท์กับคุณศรีธวัชเป็นแรงพลังหรือจะเรียกสิ่งว่าศรัทธาหรือจะกาลเวลาก็ตาม ซึ่งที่ไม่สามารถที่จะกินจิตใจในด้านจิตใจที่มีแรงศรัทธาท่านอาจารย์ก็ได้มีโอกาสได้มาพูดในที่นี้ฉะนั้นเสียงจะหายไปบ้าง ซึ่งป่วยในการนี้มีไอแล้วเป็นไข้หวัด ตอนนี้ก็ยังป่วยอยู่ ฉะนั้นในเมื่อกำลังจิตใจกาลและเวลาที่ไม่สามารถที่จะเกาะกิน หรือเราไม่ตกเป็นทาสแห่งที่ถึงแม้ว่าจะสังขารแสดงความเป็นอนิจจังหรือจะเรียกเป็นภาษาธรรมะก็ได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงอันนี้มีหลายท่านที่เคยคิดที่เคยเห็นเคยสนทนากันก็ว่า รู้สึกเปลี่ยนแปลงไปมากนี่แหละฮ่ะธรรมะที่ท่านอาจารย์สอนนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ดิฉันได้นำไปปฏิบัติและตอบโต้กับสังคม และพยายามจะต่อสู่ในลัทธิต่างๆคำว่าต่อสู้ในที่นี้ ดิฉันก็พยายามจะทำความเข้าใจและวันนี้ก็ได้นำหนังสือรู้สึกว่าเขาจะอ้างว่าเป็นพุทธศาสนาเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เท่าที่ดิฉันพิจารณาดูแล้ว ก็คงจะไม่ใช่ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของพุทธศาสนาซึ่งเป็นหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ต้องพูดในทางว่าทำอย่างไรจะยกให้ระดับจิตเหนือวัตถุได้ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุนี้ ซึ่งดิฉันก็ได้ศึกษาค้นคว้ามาก็ไม่ๆๆไม่เห็นไม่พบที่ใดได้สอนอย่างนี้ถึงแม้ร่างกายไม่สมบูรณ์จะป่วยไข้อย่างไรก็จะพยายามมาเคารพท่านอาจารย์ เมื่อตะกี้นี้ก็รู้สึกว่ามีไข้อยู่บ้างก็ยังเซไปนิดหน่อยนะคะแล้วพอดีคุณหมอพยนต์ให้ดิฉันมานั่งก็รู้สึกก็ก็พอจะมีกำลังที่ท่านอาจารย์ให้โอกาสมาแสดงโดยความเป็นอิสระ แต่เรื่องแก่นแท้ของพุทธศาสนานั้นท่านก็คงจะได้ฟังจากท่านอาจารย์นะคะ และดิฉันก็มีความตั้งใจมาเป็นเวลาไม่ใช่น้อยที่จะช่วยกันอ่าบอกพูดเรียกร้องผ่านทางคุณเทพว่าพุทธศาสนาและศิลธรรมนี้จะคืนกลับมาได้อย่างไร ฉะนั้นคำนี้ที่ท่านอาจารย์ฤทธิ์พิมพ์เป็นหนังสือก็ดีเป็นเทปก็ดี ซึ่งเหล่านี้ดิฉันก็ได้แง่คิดและมีหลายๆท่านซึ่งที่เป็นแรงดลใจมากที่สุด และทำงานที่เสียสละมากที่สุดก็มีหลายท่าน จะยกตัวอย่างเช่นว่า อย่างคุณวิโรจน์ ศิริอัษฎ์ นี้ ซึ่งท่านทุ่มเทในด้านจิตใจและกำลังมากดังท่านคุณหมอประยูรและอีกหลายๆท่าน ที่ได้มีโอกาสได้มีแรงดลใจให้คนที่ไม่เข้าใจในหลักธรรมที่แท้จริงแล้วได้มาเห็นสภาพและบรรยากาศที่สวนโมกนี้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจธรรมะลึกซึ้งแต่ก็สิ่งแวดล้อมต่างๆก็อาจจะช่วยได้ ซึ่งบางคนนี้มืดมามาเห็นบรรยากาศความสว่างลึกในด้านจิตใจก็อาจจะสงบได้ จะมีดวงตาเห็นธรรมถึงแม้จะเห็นไม่มากเล็กน้อยก็ยังดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สำคัญที่สุดคือคุณศรีทวัส ดิฉันคิดว่าคุณศรีทวัสนี่เหมาะสมมากที่จะเป็นไกด์หรือจะชักชวนให้ผู้ที่ไม่รู้ธรรมะ ได้มาเห็นแก่นแท้ของพุทธศาสนาที่สวนโมกข์ อันนี้ดิฉันก็ที่พูดมานี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเยินยอนะคะ พูดในทางที่ว่าดิฉันมีธรรมะอย่างไรนั้นบางท่านก็คิดว่าดิฉันก็คงจะเก่งในการพูด อันนี้ดิฉันต้องออกตัวว่ามาสถานที่นี้แล้วขอให้เพื่อนชาวพุทธที่มาต่างๆอำเภอ หรือต่างๆถิ่นฐานมารวมในที่นี้ก็ขอให้รับฟังจากท่านอาจารย์ อาจารย์ก็ให้ดิฉันมาพูดในวันนี้ก็เพราะว่าพูดในฐานะที่ว่าเราชาวพุทธควรจะทำอย่างไรและพุทธศาสนานี้ก็จะมีหลายๆศาสนาที่จะแซงเข้ามา คือหมายว่าบางคนก็คิดว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงนั้นจะเลือนลางหายไปจากประเทศไทย แต่เชื่อแน่เหลือเกินว่าถ้าเพื่อนชาวพุทธที่เข้าใจในภาษาธรรมะก็คิดว่าคงจะไม่สูญหายไปไหน พุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นย่อมมีอุปสรรคการพูดการจะเผยแพร่นั้นต้องเป็นคนที่หนักแน่นและอดทนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อแน่ว่าหลักท่านอาจารย์ที่ถอดมาจากพระไตรปิฏกนี้ ก็ได้มีหลายท่านที่ไปอ่านพบและเข้าใจและส่วนดิฉันนี้ก็ยังไม่ทิ้งหน้าที่อันนี้อยู่ที่ว่าจะเรียกว่าเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์พุทธทาสก็ก็ได้ แต่ว่าจะไอ้สติปัญญานั้นก็ยังไม่กล้าที่ว่าจะแสดงว่าจะพูดถึงเรื่องแก่นแท้นะคะ เนื่องในฐานะที่ท่านมาในที่นี้ ก็ทุกสิ่งทุกอย่างก็ท่านก็ได้รับฟังและท่านอาจารย์ก็บอกว่าพูดได้ตามเสรี ดิฉันก็พูดด้วยความจริงใจในด้านจิตใจว่าธรรมะที่ท่านสอนนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะใช้ชีวิตฆราวาส ให้สนุกกับงานและเพลิดเพลินกับงาน ซึ่งดิฉันกระทำอยู่หลายๆแผนก มีคนสงสัยว่าทำไมจึงแบ่งเวลาได้ ฉะนั้นการที่ดิฉันมานี่มาด้วยตนเองแต่ว่าไม่สะดวกในการเรื่องเดินทางคือว่าบัตรบัตรรถไฟตั๋วรถไฟเดี่ยวนี้วันนี้ก็มาในคณะของคุณศรีทวัส ซึ่งมีความสามารถที่จะทำให้สะดวกขึ้นก็ไม่มีปัญหาอะไร และอีกประการหนึ่งเป็นข้อที่ดิฉันอเป็นห่วงเหมือนหลายๆท่านเป็นห่วง ว่าไอ้การที่จะพูดภาษาธรรมะกับให้กับผู้ที่ยังไม่เข้าใจนี้ไม่ใช่ของง่ายๆ อย่างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ก็ได้ปรารภอยู่บ่อยๆว่า ภาษาธรรมะขอให้พูดง่ายๆ แล้วฟังเข้าใจแล้วไปนำไปปฏิบัติได้ ฉะนั้นอย่าใช้คำที่ยากๆจนผู้ฟังนี้ไม่เข้าใจและจะสายเกินแก้ในการที่จะเข้าถึงแก่นพุทธศาสนา ฉะนั้นที่วันนี้ดิฉันมาพูดนี่ก็จะพูดอย่างอิสระก็น่าเป็นห่วง และดิฉันก็จะขออวยพรท่าน เพื่อนชาวพุทธทุกท่าน ในเมื่อฐานะเราที่มาในวันนี้ก็ตั้งใจจะมาเคารพอาจารย์ถึงแม้การเดินทางจะลำบากอย่างไรก็ตาม แต่ก็ได้มาถึงแล้วคิดว่าการในวาระดิถีวันปีใหม่นี้ท่านกลับไปก็คงมีความเจริญในด้านในด้านวัตถุด้วยในด้านจิตใจด้วย แต่ขออย่างไรก็ยังท่านอาจารย์ที่พูดไว้ว่าให้ยกระดับจิตให้เหนือวัตตุอันนี้เป็น เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ฉะนั้นไอ้วิธีที่จะยกระดับจิตให้เหนือวัตถุนั้นท่านอาจารย์ก็คงจะมีโอกาสจะมาพูดให้เพื่อนชาวพุทธฟังในที่นี้นะคะ ก็ไม่มีอะไรมาก ก็ๆคงจะมีท่านผู้รู้หลายท่านซึ่งอาจจะมาแสดงความคิดเห็นโดยอิสระ ฉะนั้นเรื่องแก่นแท้ของพุทธศาสนาที่ดิฉันค้นคว้าแล้วนึกคิดว่าทำอย่างไรจะไปพูดให้ชาวผู้ที่สนใจนั้นก็จะไม่พูดในที่นี้นะคะ ถ้าเรื่องการจะสนทนาธรรมกันจริงๆ เรื่องอริยสัจหรือเรื่องอิทัปปัจจยตาหรืออะไรนี้ก็ขอโอกาสที่ว่างที่ในขณะนี้อาจารย์ก็คงท่านก็คงจะบรรยายให้เพื่อนชาวพุทธฟังคือฟังจากท่านอาจารย์ดีกว่าที่ว่าไอ้ฉันก็ยังไม่มีเอ่อ ความรู้มากนัก ก็ขอขอบคุณขอสวัสดีกับท่านทุกท่านนะคะ
โฆษก : ครับขอขอบคุณคุณกัญญามากนะครับ แล้วก็พอดีเมื่อคณะของท่านทั้งหลายพวกๆเราทั้งหลายก็อยู่ต่อไปอีกพรุ่งนี้นะครับ จนกระทั่งคืนพรุ่งนี้ด้วยอะไรก็ตามก็คงจะได้มีโอกาสนะฮะ ฟังพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ในวันพรุ่งนี้กันได้ถ้าพวกเรามีความพร้อมมีความต้องการ เมื่อเรายังจะใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์นะครับเรื่องอย่างนี้ไม่ต้อง คงไม่ต้องเป็นห่วงในสวนโมกข์นะครับมาแล้วคงจะได้เวลาเป็นประโยชน์แน่และโดยเฉพาะในคืนนี้ที่เราต้องการกันเพื่อจะยกฐานะเพื่อทำความปีใหม่ให้แจ่มแจ้งโดยเฉพาะประเด็นที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้ยกขึ้นมาเวลากินสรรพสัตว์ทั้งหลายนี้แหละ ผมเห็นพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ใช้เกือบทุก มาไม่เว้นแต่ละเกือบทุกปีแหละครับเกี่ยวกับวันเกี่ยวกับกาลเวลาวันปีใหม่นี้ ก็ใช้อย่างนี้กันมาอยู่เรื่อยเพื่อให้เราได้เข้าใจสิ่งนี้ และสิ่งนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องอันลึกซึ้ง ก็ตามนะครับแต่ก็คงไม่เหลือวิสัย คงไม่เหลือวิสัย เพราะว่าพวกเราพอเอ่ยถึงด้านจิตใจแล้วก็มักขอร้องกันเรื่อยไปนะฮะ ว่าอย่าอย่าให้ลึกนักอย่าให้สูงนักอย่าให้แรงนักเดี๋ยวจะไม่เข้าใจนะครับ เวลาใครมาหาพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ก็เหมือนกัน มักจะบอกผมไว้ก่อนเสมอให้ผมเรียนพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ด้วย ว่าอย่าพูดให้สูงนักอย่าลึกนักอย่าให้นานนักยังมีเลยครับ ก่อนมาต้องการธรรมะนะครับแล้วมาขอร้องว่าพูดว่าอย่าให้พูดให้นานนัก ผมก็ต้องบอกบอกพระเดชพระคุณท่านอาจารย์อีกแล้ว บอกรายการนี้เขาต้องการแค่ ๓๐ นาทีครับ รายการนี้เขาต้องการแค่ ๑๕ นาทีครับ นี้แหละครับท่านลองดูอย่างนี้แหละครับ อุตสาห์เดินทางมาไกลมาหาพระเดชพระคุณท่านอาจารย์แล้วก็มาบอกว่าอย่าให้นานนักอย่าให้ลึกนักอะไรแบบนี้ นี้เวลาทางด้านจิตใจแต่พอเวลาทางด้านวัตถุละโอ้โฮ,เราไม่มีการเบรกกันเลยนะครับ กระทั่งมีคอมพิวเตอร์จิปาถะไปหมดแล้วอะไรต่ออะไรไม่รู้ลึกซึ้งจนไม่รู้จะลึกซึ้งอย่างไรแล้วทางด้านวัตถุแล้วเกิดความวุ่นวายทั้งนั้น แต่พอด้านจิตใจแล้วก็เราไม่เรามักจะไปเบรกเสียไปห้ามตัวเองเสียไปจำกัดตัวเองเสีย ว่าอย่า ว่าอย่าไปให้ลึกนักอะไรแบบนี้นะครับ ฉะนั้นคือฉะนั้นผมใคร่จะอ่า อยากจะนำว่าถ้าด้านจิตใจแล้วเราก็ต้องไปให้ลึกให้หนักไปเหมือนกันครับให้มันทานกับฝ่ายวัตถุไปเหมือนกัน บางทีไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอกครับ นะฮะ ธรรมะมันสูงจริงลึกจริงแต่ถ้าเราตั้งใจจริงทำจริงว่ากันไปก็คงไม่เท่าไรแต่ว่าอยู่ที่สำนวนและวิธีการพูดอย่างคุณกัญญาพูดนั้นและครับว่าเราจะใช้วิธีการอย่างไรเอาสำนวนอะไรเอาคำพูดอะไรมาพูดตัวอย่างอะไร อะไรดีและลงท้ายก็คือการปฏิบัตินี้เรื่องของธรรมมันต้องปฏิบัติจึงจะรู้ไปได้ใช้จิตเป็นวิทยาศาสตร์ ทีนี้เราก็ถ้าเกิดในเมื่อเรามาอยู่ในสวนโมกข์กันอย่างนี้ เราก็ใช้สวนโมกข์เป็นห้องแลปให้ตัวเราเป็นตัวทดลองจริงๆสวนโมกข์นี้เป็นห้องแลปตัวเราเป็นตัววัตถุสำหรับทดลอง ครับทีนี้เราก็นำต่อมาเลยนะครับถึงว่าเวลากินสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อกี้ก็ว่าสังขารต้องกินไปโดย อิทัปปัจจยตาโดยกฎของอิทัปปัจจยตานะครับ ส่วนจิตใจนั้นมันก็กินไปโดยตัณหาโดยความอยากของเราที่มาจากความโง่ เกิดความอยากเมื่อไหรก็เกิดเวลาขึ้นมาทันทีจนเมื่อไหรหยุดอยากหายโง่เวลาก็หมด นั้นทางด้านจิตใจทีนี้ทางด้านร่างกายทางด้านสังขารนั้นนะมันจะยอมให้เวลากินจริงๆเช่นนั้นและหรือ นะครับจะมีช่องทางไหมนะเป็นอย่างไรบ้าง สังขารถึงแม้ว่าจะต้องแก่ตายไปโดยสังโดยอิทัปปัจจยตานั้นแหละ แต่โดยเหตุและก็โดยผลทีนี้เราก็ต้องมีทางครับ ให้มันเป็นไปได้โดยเหตุของมันอาจจะถูกต้องทำให้เหตุถูกต้องสังขาร ถึงแม้จะเสื่อมจะตายไปก็คงจะไปในทางที่ถูกต้องนะครับ ฉะนั้นในโอกาสนี้ผมทราบว่าคุณหมอเสริมทรัพย์นะฮะคุณหมอเสริมทรัพย์มาด้วย คงจะอยู่กระมังครับผมใคร่ขอเชิญคุณหมอเสริมทรัพย์ถ้าอยู่ลองมาคุยเรื่องเวลามันกินสังขารบ้างนะครับ มันจะกินกันอย่างไรมากน้อยแค่ไหน จะมีทางที่จะให้มันกินไปอย่างถูกต้องได้ไหม ครับขอเชิญๆคุณหมอเสริมครับ ในฐานะแพทย์ก็ลองมาคุยกันเรื่องทางด้านๆร่างกายบ้างนะครับ แล้วกรุณาคนอื่นด้วยนะครับก็ช่วยๆกันก็ต่อไปก็คงจะไม่ข้ามคงจะไม่เลยคุณธีรวัฒน์และนะฮะ นั่งๆคอยไว้ได้ครับขอเชิญคุณหมอเสริมทรัพย์ครับ
คุณหมอเสริมทรัพย์ : กราบนมัสการพระเดชพระคุณท่านอาจารย์และพระคุณเจ้าทุกรูป และก็ผู้สนใจในธรรมทุกท่าน คือพระอาจารย์ให้โอกาสขึ้นมาพูดในวันนี้ก็ เกี่ยวกับเรื่องเวลาที่มันกินในทางร่างกายก่อนก็แล้วกันนะคะ ปกติเราก็คงจะทราบว่า ร่างกายนี้มันก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งอายุมากขึ้นแล้วก็แก่แล้วก็เจ็บแล้วก็ตาย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคนคนก็เห็นได้นะฮะ ทีนี้อันนี้มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติหรือสัจธรรมที่มันจะต้องเป็นไปตามนั้นแต่ว่าก็ขึ้นอยู่กับการกระทำ หรือการปฏิบัติตนของเราด้วยว่าเราได้ปฏิบัติร่างกายของเรานี้ถูกต้องตามธรรมชาติหรือเปล่านะ เราจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่เรามักจะไม่ค่อยได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินะฮะ ยกตัวอย่างเช่นว่าการประพฤติตัวของเราเรามักจะนำเอาสิ่งซึ่งเป็นอันตรายนี้เข้าไปในร่างกายนะฮะ ตั้งแต่อย่างวัตถุที่เราเห็นได้ง่ายๆก็เช่นอาหารนะฮะ อาจจะกินเกินหรืออาจจะกินอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ ยกตัวอย่างเช่นบุหรี่หรือเหล้านะฮะ อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายซึ่งเป็นเรื่องของวัตถุนะฮะ ซึ่งกินไปแล้วก็อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นซึ่งเราไม่ค่อยจะมองเห็นก็คือเรื่องของอารมณ์ เมื่อเราได้รับอารมณ์ทางหูตาจมูกลิ้นกายใจอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามแล้วเราก็เกิดอารมณ์พอใจบ้างไม่พอใจบ้างรักบ้างโกรธบ้างเกลียดบ้างนั้น ซึ่งเป็นอารมณ์ขณะที่เราเกิดอารมณ์อย่างนั้นนี้นะฮะ ถ้าเราปล่อยไปตามอารมณ์นี้ร่างกายนี้มันจะขับสารออกมา ซึ่งสารที่ขับออกมาจากต่อมหมวกไตหรือต่อมที่อยู่เหนือไตในร่างกายนี้มันจะมากระตุ้นให้หัวใจทำงานมากขึ้น เราก็จะรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วนะฮะถ้าจับชีพจรขณะนั้นชีพจรจะเร็วความดันจะขึ้น นะถ้าทำบ่อยๆ เป็นบ่อยๆนี้ในที่สุดเราก็จะลงเอยด้วยอาการของโรคนะฮะ อาจจะเป็นโรคหัวใจโรคความดันโลหิตสูงต่างๆได้นะฮะ ซึ่งถ้าเผื่อเราได้รู้จักวิธีแก้ใข เราๆสามารถจะนำเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ง่ายพอสมควรนะคะ ถ้าหากเราพอจะรู้หลักแค่เพียงแต่ว่าเราศึกษาเรื่องอานาปานสติการทำลมหายใจแค่ลมหายใจยาวแค่นี้นะฮะ เราก็ทราบว่าลมหายใจมันจะทำให้ร่างกายนี่สงบระงับ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเรามีสติขณะที่เราได้รับผัสสะนะฮะ เช่นจะโกรธเพื่อนหรือว่าไม่พอใจอะไรก็ตามถ้าเกิดเรามีสติทันนี่ เราสามารถที่จะสูดลมหายใจสามสี่ครั้งยาวๆนี้เราก็จะแก้ปัญหาได้นะฮะว่าแทนที่เราจะโกรธหรือเราจะไม่พอใจอะไรอย่างนี้ มันก็จะสงบขึ้นนะ ฉะนั้นร่างกายเรานี้เราจะจะดีขึ้นสุขภาพเราก็จะดีขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเราไม่แก้ไขอารมณ์เราการกระทำของเราอย่างนี้อยากจะเรียกว่าเป็นการฆ่าตัวตายผ่อนส่ง โดยเราไม่รู้เท่าถึงกาล นี้ถ้าเผื่อเราสามารถเอาธรรมะมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรานี้เราสามารถจะดำรงชีวิตได้อย่างผาสุกพอสมควรนะคะ นี้หมายถึงในด้านจิตใจส่วนด้านร่างกายนี้ก็เราก็คงจะเป็นอยู่ตามอัตภาพตามขีดความสามารถของเรา ในการที่เราจะหาวัตถุมาบำรุงร่างกายเราได้มากน้อยต่างๆ กันนะฮะ แต่เรื่องของจิตใจนี้ทุกคนมีความสามารถที่จะทำได้เท่ากันนะ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเรียนมากหรือเรียนน้อยหรือเป็นคนพิการหรือไม่พิการอะไรยังไงก็ตามนะฮะ ถ้าเขายังรู้สึกตัวดีอยู่เขาก็สามารถที่จะเอ่อคือปรับปรุงจิตใจเขาได้ นะฮะ คือเท่าที่ตัวเองได้สนใจธรรมะมานี่ ก็อยากจะเรียนให้ทราบว่าช่วยในร่างในเรื่องทั้งร่างกายและจิตใจมากนะ เมื่อก่อนนี้ก็จะต้องอยู่ด้วยยาบ้างเวลามีอะไรต่อมิอะไรต่างๆนี้นะฮะ ตั้งแต่ได้สนใจธรรมะมากๆนี้ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ยาถ้าไม่จำเป็นนะฮะ และก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดทั้งปีโดยใช้ยาน้อยที่สุดเลยนะฮะ และก็เคยปรารภอยู่บ่อยๆว่าถ้ารัฐบาลนี่ได้สนใจเอาธรรมะนะฮะ ให้แนะนำให้ประชาชนสนใจธรรมะในทางที่ถูกและเอามาใช้ได้ในชีวิตประจำวันนี้ เราสามารถจะลดเศรษฐกิจลดการใช้จ่ายของประเทศชาติได้อย่างมากมายเหลือเกินนะฮะเพราะว่าคนไข้ทุกวันนี้นี้ส่วนใหญ่มามากกว่าครึ่งที่มาตรวจนะฮะจะจริงๆแล้วคือไม่ได้เป็นโรค แต่ว่าเป็นโรคทางระบบประสาทอะไรอย่างที่ท่านอาจารย์ว่านี้ นับวันก็มากขึ้นเรื่อยๆๆเพราะปัญหาการครองชีพปัญหาการดำรงชีวิตที่ไม่ถูกต้องนะฮะ แต่พอเราบอกว่าให้เขาสนใจธรรมะพยายามเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันบ้างอะไรบ้าง เขาก็รู้สึกไม่ค่อยอยากจะได้นะฮะ เขาอยากจะได้ยามากกว่าที่จะต้องมาทำอะไรเองนะฮะ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าคนนี้ส่วนใหญ่ชอบของง่ายนะ ชอบให้คนหยิบยื่นมาช่วยมีวัตถุมาช่วยมียามาช่วยแต่ให้อะไรที่จะต้องทำเองนะฮะ จิตใจนี้ต้องประพฤติปฏิบัติเองนี้เขาไม่ค่อยอยากจะเอานะก็พยามยามที่จะพูดพยามยามที่จะหว่านล้อม แต่ส่วนใหญ่คนไข้เขาก็ยังไม่ค่อยจะเอานะฮะ นี่ถ้าเผื่อเราได้ปฏิบัติและเราได้รับผลในตัวเราเองนิดๆหน่อยๆนี้นะฮะ จากความเย็นใจที่เกิดขึ้นนี้มันก็มีความสุขและมันก็อยากให้อย่างน้อยคนที่ใกล้ชิดของเรานะฮะจะเป็นครอบครัวพ่อแม่พี่น้องเพื่อนที่สนิทมันก็จะค่อยๆแพร่กันออกแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ ซึ่งก็คิดว่าธรรมะนี้เป็นสิ่งซึ่งมีประโยชน์มากนะฮะ ถ้าเผื่อทุกคนได้สนใจและเอาไปปฏิบัติให้ได้นะฮะ เราสามารถที่จะมีชีวิตยืนยาวได้นะฮะปราศจากทั้งโลกทางกายและโรคทางจิตนะฮะดิฉันคงจะพูดแค่นี้คะ
โฆษก : ครับ ก็ขอขอบคุณคุณหมอเสริมทรัพย์ไว้นะครับ จะชี้ให้พวกเราเห็นได้ว่า เราจะได้ ถึงแม้ว่าสังขารมันถูกกินไปโดยเวลา น่ะเวลาจะกินสังขารก็ตาม แต่สังขารนั้นจะได้ถูกกินไปตามระเบียบ ไม่ได้ตายผ่อนส่ง ไม่ได้กินแบบผันผวน นะครับก็คงเป็นไปแบบ แบบถูกต้องนะครับ เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจยตา ทีนี้ผมก็ใคร่เสริมหรือสนับสนุนอีกเหมือนกันครับในฐานะแพทย์และเป็นประโยชน์สำหรับปีใหม่ด้วย จะช่วยสนับสนุนคุณหมอเสริมทรัพย์ว่าคนเราเดี๋ยวนี้ หมอทั้งหลายแหล่นี้พยายามใช้ยา แต่ยานั้นมันรักษาได้แต่เพียงโรคเท่านั้นเอง ผมใคร่เรียนให้ทราบอย่างนั้น ว่ายานั่นมันรักษาได้แต่เพียงรักษาโรค แต่ละโรคของคนเท่านั้นเอง สุดท้ายก็ต้องรักษาแล้ว รักษาอีก รักษาซ้ำซากกันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำให้คนนั้นสิ้นเปลืองเอามาก เพราะว่าไอ้ยานั้นมันรักษาโรค แต่ถ้าหากว่าธรรมะสิครับมันรักษาคน ผมขอเรียนให้ทราบไว้อย่างนั้น ถ้าต้องการรักษาคนกันแล้ว คือต้องใช้ธรรมะรักษา แต่ถ้ารักษาโรคมันคือยา คือยามันรักษาได้เฉพาะโรค แต่ถ้ารักษาคนกันทั้งหมดแล้วละก็ คือใช้ธรรมะนี่ถูกต้อง แล้วเมื่อ รักษาคนจริงๆแล้วนะครับ คนมันจะมีแรงต่อต้านหลายต่อหลายโรคเลยครับทีนี้ มันจะโดน แม้แต่เวลา ทีหลังมันก็กินอะไรไม่ได้เลยทีนี้ มันก็เป็นไปเอง ตายไปเองตามกฎอิทัปปัจยตาของมัน นั้นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าใช้ธรรมะแล้ว มันใช้รักษาคนได้ ผมขอเรียนให้ทราบอย่างนี้ แต่ถ้ายานั้นมันรักษาได้แต่โรค แล้วรักษาแล้วรักษาอีกและมันสิ้นเปลือง เพราะว่าคนเป็นโรคเพราะขาดศีลธรรม นั่นมันไปแบบนั้น นี้ถ้าพอเอาธรรมเข้าไป อยู่ในกรอบของศีลธรรม อยู่ในกรอบของศีล ส่วนเกินในชีวิตประจำวันมันไม่มี มันทำถูกต้อง ทำถูกต้องก็การบริหารร่างกายมันไปตามกฎอิทัปปัจยตาของมันเรื่อยๆถูกต้อง ถึงแม้ว่ามันจะเสื่อมไป ดับไป ก็ไปตามวัย ตามอายุของมัน ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร มันก็สบายดีนั่นนะครับ นี่คือธรรมะมันรักษาคนได้แบบนี้นะครับ แล้วโรคอื่นๆ โรคมันมาจากความไม่มีสมดุลความผิดปกติมาเกิด ครับ ก็คงจะได้ประโยชน์กันนะครับ ตอนนี้เราทุกฝ่ายเรานำธรรมะมาใช้ ทางฝ่ายศึกษา ฝ่ายโรงเรียนก็นำธรรมะมาเพื่อสร้างคนนะครับ นำธรรมะก็เพราะว่าฝ่ายศึกษาเป็นฝ่ายสร้างคนก็นำธรรมะมาเข้ามาเพื่อสร้างคนให้เป็นคนที่แท้จริง ฝ่ายกระทรวงสาธารณะสุขฝ่ายแพทย์ เราก็พยายามนะครับ พยายามที่จะนำธรรมะมาเพื่อรักษาคนเช่นเดียวกัน มันจะได้ต่อสู้ได้กันเกือบทุกเชื้อโรค แล้วเป็นงานที่รัฐบาลกำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้ คือมุ่งไปสู่ชนบทให้ สอนให้คนรู้จักรักษาตนเอง หมอที่ดีต้องรักษาคนตั้งแต่ยังไม่ทันเป็นโรค ต้องเข้าใจว่าอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็ต้อง นโยบายใหม่ก็ว่าอย่างนั้น สอนให้คนเข้าใจถึงความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นโรค นี่แหล่ะคือใช้หลักธรรมะนั่นเอง ให้กินให้อยู่ให้ถูกต้อง กินให้พอดี หลักการมีแค่นั้น เอาล่ะครับ ที่นี้มี ผมได้รับเสียงกระซิบมาว่ามีคุณหมอปณิตาอีกท่านนะครับ ขอเชิญครับ คงจะได้ร่วมกับพวกเรา ช่วยกันสนับสนุน ขอเชิญครับคุณหมอครับ มาคุยกันเรื่องนี้แหล่ะครับ หรือว่าอาจารย์บอกแล้วว่าเปิดได้อย่างอิสระนะครับ เพื่อจะอย่าให้เวลามันกินจิตใจเรา เพื่อจะนำไปการกินเวลามันเสีย ขอเชิญนะครับ
คุณหมอปณิตา : ขอกราบนมัสการท่านอาจารย์และพระคุณเจ้า และเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย อันที่จริงคุณหมอเสริมทรัพย์ก็พูดเอาไว้เกือบหมดแล้วนะคะ เกี่ยวกับเวลากัดกินร่างกายเราอย่างไร ก็มีอีกจุดหนึ่งซึ่งละเอียดเล็กลงไปอีกหน่อย ที่เรามองไม่ค่อยเห็น เอ่อ เกี่ยวกับทางด้านจิตใจที่มีอารมณ์รับเข้ามาผ่านตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วเราเกิดความพอใจไม่พอใจนี้ นอกจากจะมีสารที่เรียกว่าอะดรีนาลีนออกมาแล้ว มันยังไปทำลาย เอ่อ เม็ดเลือดขาวในร่างกายของเรา โดยปกติร่างกายของเราจะมีเม็ดเลือดขาว เปรียบเหมือนทหารที่ป้องกันชาติ เม็ดเลือดขาวช่วยป้องกันร่างกายเราให้ปราศจากโรค ถ้ามีเชื้อโรคอะไรเข้าไปในร่างกาย เม็ดเลือดขาวนี่จะทำหน้าที่ทำลาย หรือกัดกินเอาเชิ้อโรคนั้น ทีนี้จากจิตใจของเรา ซึ่ง เอ่อ ที่เรียกว่า ท่านอาจารย์ใช้คำว่า จิตไม่ว่าง อยู่ในสภาพที่ไม่ว่างอย่างนั้นน่ะ มันทำลายเม็ดเลือดขาวของเรา อันนี้ถ้าเปรียบเทียบกับเวลามากัดกินร่างกายเราอย่างไร มันก็ทำให้เราตายก่อนเวลา แล้วอีกอย่างก็ยังจะทำลายความต้านทานของเรา โดยปกติธรรมชาติได้ให้มาแล้ว ให้ร่างกายเราต้านทานโรคต่างๆได้ โดยไม่ต้องใช้ยา อันนี้เป็นส่วนหนึ่ง แล้วก็อีกส่วนหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องใช้ยา แต่ว่าสิ่งที่ธรรมชาติให้มามันมากกว่า ป้องกันได้มากกว่าการใช้ยา ถ้าคนเราเกิดมาไม่มีความต้านทานของตัวเองเลย ยาอะไรในโรคนี้ก็ไม่สามารถรักษาได้ ฉะนั้นเมื่อธรรมชาติให้เรามาแล้วแต่เราเป็นผู้ทำลายเสียเอง ทำลายความต้านทานนั้นเอง เราก็จะต้องตายก่อนเวลา ทุกๆโรคเราต้องอาศัยความต้านทานของเราทั้งนั้นมากกว่าครึ่ง ไม่ว่าโรคธรรมดาเช่นไข้หวัด และไม่จำเป็นต้องใช้ยามันก็หายได้ หรือโรคหนักๆ เช่นพวกมะเร็ง ความต้านทานของเรานี่ก็ยังป้องกันได้ไม่ให้เกิด และเมื่อเกิดแล้วก็ยังยืดระยะเวลาออกไปได้ ถ้าเรามีความต้านทานดีพอ แต่สำหรับยานั้นน่ะ ช่วยเพียง ถ้าจะเรียกว่าเศษหนึ่งส่วนสี่แค่นั้นก็อาจจะได้ แต่ถ้าเราไม่มีความต้านทานอยู่เลย ยาจะช่วยอะไรไม่ได้เลย ซึ่งเด็กที่เป็นโรคขาดความต้านทานมาตั้งแต่กำเนิด เด็กพวกนี้อายุสั้น เพราะเราไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรเขาได้ ไม่มียาอะไรจะช่วยเขาได้ ในเมื่อร่างกายยังช่วยไม่ได้เลย และก็มีคนไข้หลายๆคน ที่เป็นโรคประสาท ถ้าเขามาหาหมอ เขามักจะถามว่าทำอย่างไรจึงจะหายขาด ไม่ต้องมาหาหมออีก เมื่อดิฉันได้ยินคำนี้ รู้สึกดีใจมาก อยากจะให้ช่วยกันถาม ก็ได้อธิบายให้ฟังว่าโรคประสาทนี้มันเกิดอย่างไร มันมีต้นเหตุมาจากอยู่ที่ไหน แล้วเราจะทำอย่างไร อธิบายให้เขาฟัง ดิฉันคิดว่าจะไม่พูดในรายละเอียด เพราะท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้แล้ว เมื่อคนไข้ได้ฟังแล้ว หลายๆคนก็ตอบมาว่า ทำไม่ได้ ขอยาเถอะ และก็ส่วนมากก็นอนไม่หลับ บอกว่าก่อนนอนก็ลองหายใจยาวๆ นับลมหายใจก็ได้ เข้า-ออก เข้า-ออก ไม่ช้าก็จะนอนหลับ แต่ก็มีหลายๆคน ทั้งๆที่ไม่อยากมาหาหมอ ไม่อยากเสียเงิน ไม่อยากเสียเวลา ก็ไม่สามารถจะทำได้ อันนี้ดิฉันคิดว่าคนไข้ที่มาหาหมอนั้นน่ะมีจุดมุ่งหมายว่าอยากได้ยา อยากให้หมอช่วย ถ้าเขาเปลี่ยนความตั้งใจเสียใหม่ ว่ามาขอคำอธิบายในการปฏิบัติตนแล้วไปทำ คิดว่าเขาคงจะทำได้ แต่เนื่องจากเขาตั้งความมุ่งหมายไว้ผิด เมื่อมาหมอต้องได้รับการฉีดยา และได้ยาไปจึงจะหาย มันก็เลยทำให้เขาเสียโอกาสช่วยตัวเอง ก็ทำให้โรคนี้รักษาไม่หายด้วยการใช้ยาระงับไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น คนไข้ก็ต้องเวียนมาโรงพยาบาลอยู่เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาเองไม่อยากมา ซึ่งอันนี้คิดว่าคณะ..นาทีที่ 70.57....ก็คงช่วยได้เยอะ ถ้าหากว่าเราได้เผยแผ่พุทธศาสนาออกไป จะทำให้โรคประสาทลดลง คนก็อายุยืนขึ้น เราลองดูสิว่าเราเบียดเบียนกันอย่างไรทางด้านร่างกายโดยที่เราไม่รู้ แต่ว่าเราเบียดเบียนด้วยความโลภ มี เอ่อ อย่างชาวบ้านเราอย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้อะไรนะคะ คือเขาปลูกผักหรืออะไรต่างๆนี่ เขาจะทำไว้ ๒ แปลง แปลงหนึ่งนั้นเขาไม่ใช้ยาฆ่าแมลงเลย เขาบอกเขาไว้กินเอง ส่วนอีกแปลงหนึ่งน่ะ เขาบอกว่าเขาฉีดทุกวันโดยเฉพาะถั่วฝักยาว ไม่ฉีดไม่ได้ ไม่ฉีดแล้วก็เดี๋ยวก็มีตัวเพลี้ยตัวอะไรมาลง ฉีดทุกวัน จะเก็บขาย คนให้ไปกิน คนซื้อเขาจะเป็นอันตรายอะไร เขาไม่คำนึงถึง เขาบอกถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้นเขาก็จะขาดทุน ขายของไม่ได้ ไร่อื่นเขาทำ เขาก็ขายได้ เมื่อเราพิจารณาดูแล้ว เขารู้ว่ายานี้มีอันตราย ส่วนเขาน่ะเขาไม่กินหรอก เขาจะปลูกไว้อีกแห่งหนึ่งโดยไม่ใช้ยาเลย แต่เขาขายคนอื่นได้ นี่มันมาจากอะไร ที่เขาเบียดเบียนกัน ก็เพราะเขาอยากได้เงิน เป็นความโลภ โดยไม่คิดถึงว่า เงินที่ได้มานี่จะทำลายชีวิตใครบ้าง นี่คนไทยด้วยกัน แล้วคนต่างชาติล่ะเขาคิดอย่างไร เมืองเขาเขาไม่ใช้ เขาส่งให้เราใช้ ดังนั้น ถ้าหากว่าเรามีธรรมะกันโดยทั่วๆไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าชาติไหนก็จะไม่มีใครเบียดเบียนกัน ก็คิดว่าถ้าหากว่าเรารู้จักหยุดนาฬิกาของเราได้นี่ ก็จะช่วยให้โลกนี้สันติสุขขึ้นอีกมาก ดิฉันคิดว่าปีใหม่ของเรานี้ เราก็คงจะหยุดนาฬิกากันได้บ้างชั่วขณะ อาจจะไม่ได้ตลอดไปก็ยังดีกว่าไม่หยุดเสียเลย
โฆษก : ครับ ก็ขอขอบคุณอีกเช่นเดียวกันครับ คือตอนนี้ก็อย่าหาว่าผมเอาเปรียบนะ พอดีหมอมาแยะ นะฮะ ก็ได้ช่วยกันสนับสนุน อ่ะ ครับก็ฟังก็คงได้ประโยชน์จากคุณหมอกัลยามากนะครับ เอ้ย, ปณิตา นะครับ ขอโทษ ก็โดยเฉพาะแล้วก็โรคที่เกิดทางกายก็ส่วนมากแล้วก็มาจากจิตข้างใน คนเริ่มสนใจและเริ่มรู้เรื่องกันมากแล้วครับ มันอย่างนั้นจริงๆครับ โรคแม้แต่เชื้อโรคที่เกิดจากร่างกายภายนอกมันมาจากอุจจาระหรือเราว่ามาจากขี้นั่นล่ะครับ ก็ผมยกตัวอย่างง่ายๆนะฮะ เป็นต้นว่า กินอาหารกินผักกินอะไรแล้วมันติดขี้เข้าไปด้วยนะครับ แล้วเราทำให้ท้องเสียนั่นแหละๆ ทั้งๆที่ว่าเป็นตัวเชื้อโรคแท้ๆนะครับจากภายนอกนั่นล่ะครับ จากอุจจาระจากที่เราชอบกินผัก กินเข้าไปแล้วท้องเสียนะครับ ก็มาจากอะไรล่ะครับ ก็มาจากเราขี้เกีขจข้างใน ขี้ภายในของเราคือขี้เกียจล้าง ขี้เกียจแช่ด่างทับทิม ขี้เกียจศึกษาให้มันรู้กันนะครับ ก็เพราะความไม่รู้ข้างใน ที่เราขาด จิตใจข้างในมันขี้เกียจ ไม่สนใจเรื่องของการป้องกันโรค เรื่องของทางการใช้ผัก กินมันง่ายๆ มักง่าย มันก็เป็นโรคภายนอก ขี้ไหลอีก เห็นไหมครับ นี่ถ้าเอาจริงเป็นอย่างนั้น แล้วมัวแต่ใช้ยารักษา ใช้กันจริงใช้กันจังนะครับ เพราะฉะนั้นผมจึงบอกแล้วว่ารักษาคนซะสิครับ มันจะได้จบกัน มันจะได้ไม่ต้องรักษาโรคนะครับ นี่ทุกคนก็คงจะมองเห็นนะครับ แล้วต่อไปก็ต้องเป็นแบบนี้นะครับ เพราะว่าการรักษาต่อไปนี่ มันต้องมุ่งรักษาคน อย่างคุณหมอได้กล่าวแล้วเมื่อกี๊นะครับ พอมันมีความต้านทานแล้วมันจะต้านทานได้เกือบทุกโรคล่ะครับ โรคต่างๆ มันก็สบาย นี่ของขวัญ ฝากปีใหม่วันนี้ ปีต่อไปก็พยายามใช้ยาให้น้อยที่สุด ชีวิตมนุษย์ตั้งต้นอยู่ที่บ้าน เพราะฉะนั้นอนามัยดีมันต้องเริ่มที่บ้าน ไม่ใช่อนามัยดีเริ่มที่หมอ เริ่มที่โรงพยาบาล เริ่มที่ยา ไม่ได้ ต้องเริ่มที่บ้าน เริ่มที่ตัวเราเอง เราแก้ไขตัวเราเอง นี่เป็นของขวัญสำหรับปีใหม่ แล้วจะได้ใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ โดยการหยุด หยุดนาฬิกาหยุดเข็มนาฬิกาซะบ้าง หาเวลาหยุดกันซะบ้างแล้วโรคต่างๆ ก็จะเบาลง ครับนี่ผมก็ได้มาร่วม มาทางด้านนี้แยะแล้วนะครับ ก็คงจะได้เป็นประโยชน์ต่อไปในปีหน้า และปีต่อๆไป อ่า ครับขอเชิญคุณปิยวัฒน์มาเล่า ขึ้นมาขัดตาทัพ ก่อนนะครับ
คุณปิยวัฒน์ : ขอกราบท้าวท่านอาจารย์ นมัสการพระคุณเจ้า และเพื่อนที่ยังคงนั่งฟังอยู่ทุกท่านครับ รู้สึกว่าวันนี้ท่านพิธีกร คือท่านคุณหมอประยูร เสียงอ่อยๆไปหน่อย ไม่เข้มแข็งเหมือนทุกครั้ง ก็เห็นจะเป็นเพราะว่าฟังน้อยหรือไง ผู้ที่ขึ้นมาพูดแต่ละท่านก็เหมือนกัน เสียงอ่อยๆ กันทั้งนั้น พูดหย่อนๆ อ่อนๆวันนี้ เพราะว่าคนฟังน้อย ครับทุกหนทุกแห่งเวลานี้ ปัญหาของการที่จะพูดจะฟังกัน ไม่ได้อยู่ที่ผู้พูดหายาก หาผู้ฟังยาก ในกรุงเทพยิ่งหายากครับ โดยเฉพาะที่นี่ผมเห็นว่าบรรดาท่านที่นั่งอยู่ คงจะมีปณิธานเหมือนกันกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมว่า ตราบใดที่อาจารย์ยังนั่งอยู่บนธรรมาสน์ เราก็จะไม่ลุกจากที่นี่ แสดงความเคารพอย่างยิ่งต่อท่านอาจารย์ ไม่ให้ปีเก่ากับปีใหม่ทับการหลับของพวกเราด้วย ท่านอาจารย์ไม่เคยหลับ ไม่เคยเข้าจำวัดก่อนปี ก่อนสิ้นปี เพราะทุกปีที่มาผมก็เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ แต่ผู้ที่ไป กลับไปแล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่เคารพอาจารย์นะครับ เคารพเหมือนกัน แต่ต้องพูดว่าพวกเราที่ยังนั่งอยู่นี่เคารพอย่างยิ่ง คือยิ่งกว่าพวกที่กลับไปแล้ว กระผมมาอารัมภคาถาเล็กๆน้อยๆ พอให้เสียงมันออก คือปกติผมไม่เคยจะขึ้นมาพูดหรอก ชอบฟังมากกว่าชอบพูด แต่เมื่อขาดคนพูด ก็ขึ้นมาขัดตาทัพบ้าง ฟังธรรมปาฐกถา หรือธรรมบรรยายของท่านอาจารย์เมื่อตะกี้นี้ตอนคำถามที่ว่า เวลาคืออะไร ก็คือสิ่งที่กัดกินสรรพสัตว์ทั้งหลาย พร้อมทั้งตัวมันเอง ผมนึกถึงแม่ ครับเมื่อเด็กๆ อยู่ที่บ้านก่อนหลับก่อนนอน แม่ชอบเล่านิทาน เรียกลูกๆมานอน มานอนใกล้ๆ แล้วเล่านิทานให้ฟัง เรื่องโน้นเรื่องนี้ พอเรื่องสุดท้ายแม่ตั้งปัญหา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ที่ได้คิดถึงเพราะ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ท่านตั้งปัญหาให้เราจนผมจำได้ท่านถามทุกคืน แต่แล้วก็ท่านก็ไม่เคยตอบให้เราฟัง ท่านไม่รู้คำตอบหรือไงไม่ทราบนะครับ ท่านตายไปแล้ว ท่านถามปัญหานี้ทุกๆคืน เราตอบไม่ได้ พอตอบไม่ได้ท่านว่าหลับเสีย ๆเดี๋ยวยักษ์จะกิน เราต้องหลับ นิทานสุดท้ายของท่านก็คือว่า มียักษ์ตนหนึ่งมา มีตา ๒ ข้าง ข้างหนึ่งสว่าง ข้างหนึ่งริบหรี่ มีปาก ๑๒ ปาก ฟันไม่มาก ปากละ ๓๐ ซี่ กินสัตว์ทั่วปฐพี ยักษ์ตนนี้คือใคร เราตอบไม่ได้ แม่บอกว่าใครตอบไม่ได้หลับเสีย เดี๋ยวยักษ์กินเอา ก็ต้องหลับ ทั้งๆ ไม่ง่วงบางที ก็เลยต้องหลับตา ก็หลับไปเอง วันนี้ก็นึกขึ้น พอท่านอาจารย์พูดถึงเวลา หรือเรื่องยักษ์นี่ ก็นึกถึงคุณแม่ แล้วก็นึกถึงคำนี้ขึ้นมา กลัวจะผิดเลยเขียนขึ้นมา จำมาอย่างนี้ จำผิดจำถูก ไม่ทราบล่ะครับ สำหรับท่านที่จำได้ ก็ถ้าเถียงเองว่าผมผิด กรุณาแก้ไขด้วย อ่ะ สิ่งที่ผมเป็น ผมคิดมากครั้งนี้ก็คือ เวลาที่กินน่ะ ที่กินพวกเราส่วนมาก เวลากินพวกเรา ถึงแม้ผมเอง ผมรู้สึกว่าเวลากินผม ผมพยายามกินเวลาเหมือนกันแต่ว่ารู้สึกเวลากินผมมากกว่า นั้นเวลากินผม หรือกินพวกท่าน ผมไม่ค่อยตกใจเท่าไร ผมมาตกใจ ที่เวลากินท่านอาจารย์ กินสังขารของท่านอาจารย์ แม้ว่าเวลา เวลานี้ทำอะไรท่านอาจารย์ไม่ได้ อาจารย์อาจจะอยู่เหนือเวลา เวลาหมุนกลับสำหรับท่านอาจารย์แล้วก็ได้ แต่ว่าในที่สุดความรู้สึกของผมที่ว่า สักวันหนึ่งเวลาก็ต้องกินอาจารย์ แล้วเวลากินอาจารย์แล้ว มาที่นี่แล้วจะได้เห็นอาจารย์ไหม อาจารย์ไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ เหลือรูปถ่ายหรือ คิดอย่างนี้คิดมาก แต่ว่าความคิดอย่างนี้ไม่ใช่เพิ่งคิดเมื่อกี้ คิดมานานแล้วเหมือนกัน คิดมาหลายปี ตั้งแต่มีโอกาสมาสวนโมกข์บ่อยๆ ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๒๐ ที่ผมต้องปฏิบัติธรรมะ คือหน้าที่ตามที่คุณวิโรจน์ ศิริอัฒน์ มอบหมายให้เป็นผู้นำพาคณะมาสวนโมกข์ ผมก็จัดมาทุกปีอย่างน้อย ๔-๕ ครั้ง คือวันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา วันล้ออายุของท่านอาจารย์ และบางปีก็แถมวันปีใหม่ เช่นครั้งนี้ โดยปกติปีใหม่ไม่ค่อยได้มา ก็เพราะว่าหาพาหนะลำบาก ไม่ว่าทางรถยนต์หรือทางรถไฟ รถยนต์หรือก็แพงผิดปกติ รถไฟหรือก็แน่นผิดปกติ อย่างครั้งนี้มีคนต้องการมาเยอะ พอรู้ว่าจะมาสวนโมกข์ ผมหาที่ให้ไม่ได้ รถไฟแน่นหมด ที่ผมพยายามที่จะมาที่นี่ และพาคนมาที่นี่ ก็เพื่อมารู้จักสวนโมกข์ มารู้จักท่านอาจารย์ก็หมายถึงว่าจะได้รับฟังธรรมะของท่านอาจารย์ และพยายามบอกกับทุกท่านที่มาแล้ว ต่อไปก็ขอให้มาเอง และชักชวนคนอื่นมาด้วย เพื่อต้องการให้คนรู้จักสวนโมกข์มากยิ่งขึ้น มารู้จักสวนโมกข์มากเท่าไรก็เท่ากับรู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่จะเป็น สัณฏิฐิโก ตามพระธรรมคุณมากยิ่งๆขึ้น ครั้งนี้ผมขอกราบเรียนต่อหน้าท่านอาจารย์ด้วยว่า ผมไม่ได้เกรงใจเลย ครั้งหนึ่งซึ่งผมมีโอกาสพูดต่อหน้าพระสงฆ์ ชั้นพระสังขาธิการ เป็นจำนวนตั้ง ๓๐๐ กว่ารูป ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีนี่เอง ที่อื่นก็คงไม่กล้าพอที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีก็บ้านเกิดเมืองนอนผมเหมือนกัน และพระสังขาธิการส่วนนั้นที่ประชุมอยู่นั่นล้วนแต่รู้จักกันอยู่ ทั้งที่เมื่อผมเป็นพระ และพอสึกออกมาแล้วก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่ ผมบอกว่าผมรู้จักพระพุทธศาสนาไม่ใช่เพราะได้รับการศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรของการศึกษาคณะสงฆ์ เพราะ ว่าโดยการศึกษาตามหลักสูตรของคณะสงฆ์ไทย ทางบาลีผมได้รับการรับรองว่าเป็นเปรียญ ๖ ประโยค ทางนักธรรมผมได้รับการรับรองจากสนามหลวงว่าเป็นนักธรรมชั้นเอก และผมก็เป็นนักเทศน์นักสอน สอนทั้งบาลีสอนทั้งนักธรรมทั้งเทศน์ เทศน์จนที่ว่าคนรู้จักมากพอสมควร ก็เทศน์ไปอย่างนั้นแหละ เทศน์ตามที่ครูบาอาจารย์เขาเทศน์เขาสอนกันมาอย่างไรก็สอนอย่างนั้น แต่ต่อมาเมื่อได้มาพบสวนโมกข์มาได้รู้จักท่านอาจารย์ ได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น อันที่จริงรู้จักท่านอาจารย์ตั้งแต่ยังเป็นพระมหาเงื่อม ผมเป็นเณรท่านเป็นพระ ต้องแวะสักนิดนึง ตอนนี้เพื่อให้รู้ว่าผมเป็นคนที่มีบาปหนามากเพียงไร เหมือนกับกามนิตพบพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังเที่ยวหาพระพุทธเจ้าอยู่ ผมพบท่านอาจารย์ตั้งแต่เป็นเณร ท่านอาจารย์ลงไปบ้านดอน ไปซื้อไม้ที่บริษัท.......จำกัด
(นาทีที่ 85.10) เพื่อมาสร้างศาลาธรรมหลังเก่าๆ นี่น่ะครับ ผมได้มีโอกาสต้อนรับท่านอาจารย์ ที่กุฏิอาจารย์ของผมที่บ้านดอน พระอาจารย์ชวนผมมาอยู่ที่นี่ อยากให้เณรมาอยู่ที่นี่สักองค์อยู่สวนโมกข์ ผมไม่มาผมบอกไม่ไป ผมจะเรียนหนังสือจะไปกรุงเทพ แต่ท่านก็มีเมตตาสอนภาษาขอมให้ผมรู้ภาษาขอม ก็รำลึกนึกถึงว่าท่านเป็นอาจารย์ภาษาขอมของผมมาตั้งแต่บัดนั้น แล้วก็เหินห่างมาศึกษา ตอนหลังเมื่อผมเข้าอยู่ในมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในการทำงานของคุณวิโรจน์ ศิริอัฒน์ ที่ได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระพุทธศาสนา และก็สนองพระคุณของสวนโมกข์ ฐานะที่ท่านตื่น ตื่นจากความหลับ โดยได้อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านได้ตื่นจากหนังสือคู่มือมนุษย์ ซึ่งท่านอาจารย์น่ะเป็นผู้เทศน์เป็นผู้แสดงบุญคุญย่อเป็นเล่มเล็กๆ ท่านได้อ่านหนังสือนี้กลับจากความเป็นคน ที่จมอยู่ในห้วงรักเหวลึกอะไรทำนองนั้นขึ้นมาสู่เป็นบัวพ้นน้ำ แล้วก็ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่องานของสวนโมกข์ ผมพอรู้จักท่าน ท่านก็จัดงานให้ผมอย่างหนึ่งก็คือ มาสวนโมกข์ ผมนำคณะมาทุกปี ก็ได้รับความสว่างในทางธรรมมากขึ้นๆ จนถึงกับกล้ากล่าวพูด พูดโดยไม่ต้องเกรงใจครูบาอาจารย์สำนักเดิมว่า จะเป็นคนอกตัญญูต่อสำนัก ก็ไม่ว่าใครก็ตาม ผมเองน่ะ ผมเองถ้าหากว่าไม่ได้เข้ามาสวนโมกข์ไม่ได้รู้จักสวนโมกข์ ผมก็ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาที่แท้ จะรู้ก็รู้แต่เปลือกๆ สอนก็สอนไปอย่างนั้นน่ะ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือสิ่งสภาพที่ทรงไว้ซึ่งบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พอเขาซักไซ้ไล่เรียงนิดนึงว่าธรรมะคืออะไร แยกไม่ออก มารู้จักธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือทุกสิ่ง ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมคือผลที่พึงได้รับจากการปฎิบัติตามกฎของธรรมชาติ ก็จากสวนโมกข์นี่เอง และพิจารณาไปก็เป็นสัณฐิฏิโก เห็นความอัศจรรย์ของธรรมะที่เป็นสัณฐิฏิโก ผมรู้ที่นี่เห็นจากสำนักนี้ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ขี้เกียจในการที่จะนำพาเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายมาสวนโมกข์และตั้งใจทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่คุณวิโรจน์ ผู้ทุ่มเทเพื่อสวนโมกข์นี่มอบหมายให้ความไว้วางใจ และก็ภูมิใจอยู่ว่า แต่ละครั้งที่มาสวนโมกข์ บรรดาผู้ที่มานั้น อย่างน้อยที่สุด ๒ คน ไม่ใช่ ๑ คน ๒ คน ต้องอุทานว่า ได้พบชีวิตใหม่ในทางธรรมะ แม้ครั้งนี้คุณสุมาลัย ครับคิดว่าเพื่อนที่มาด้วยกัน คงได้ยิน แต่ว่าเพราะพาลูกมาด้วย ลูกง่วงนอนก็ไปนอนซะแล้ว และก็น้องชายที่เสื้อขาวๆนั่น ขอให้ยืนยัน เขาเองพูดขึ้นมาว่า รู้จักนิพพานที่สวนโมกข์เดี๋ยวนี้เอง คำว่านิพพาน นิพพาน ที่ใช้กันสมัยก่อนคืออะไรไม่เข้าใจ ผมดีใจผมจึงไม่เหนื่อย และคนที่ตื่นอย่างนี้แล้วผมคิดว่า คงจะพาไปปลุกคนอื่นได้อีกมากมายเหลือเกิน แต่เขาตื่นที่ไหนมาตื่นที่สวนโมกข์ เพราะได้มาสวนโมกข์ นี้เวลากำลังกินอาจารย์อยู่ทุกวันๆ ๗๘ ปีแล้ว อาจารย์จะอยู่ให้เราได้มาพบ มานมัสการอีกกี่ปีก็ยังไม่ทราบ ฉะนั้นผมคิดและตกใจมากที่สุด และใคร่จะขอร้อง ผมพูดอย่างโลกียธรรมละกัน โลกุตรธรรมผมไม่มี ผมขอร้องทุกท่านนะครับ ที่รู้จักสวนโมกข์แล้ว โปรดแผ่เมตตากับเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย โดยเฉพาะคนไทยทั่วๆนะครับ ช่วยกันชักจูงนำพามาที่นี่ ตามโอกาสที่เราจะพึงกระทำได้ ครั้งนี้ดีใจที่ชาวอยุธยา คุณคนนี้เรียกว่าสหายทางธรรมะที่สวนลุมกันมาหลายเดือนหลายปีก็ว่าได้ คราวนี้ได้ทราบว่าพาชาวอยุธยามาหลายคน ผมก็ดีใจ ดีใจจริงๆที่เห็นคนหน้าใหม่ๆ เพื่อนที่รู้จักก็ได้พาคนหน้าใหม่ๆ เข้ามาที่สวนโมกข์ เมื่อเช้านี้ลุงผิน พอมาถึงลุงผินบอกว่าคุณศรีธวัช เอาอย่างนี้ดีไหม ต่อไปนำคนมาสวนโมกข์นี่ คือจัดมาเป็นระดับ ระดับผู้บริหาร ระดับนักศึกษาอาชีวะ ระดับนักศึกษาครู ระดับครูบาอาจารย์ หรือระดับอุบาสก อุบาสิกา แยกประเภทมาเลย เป็นระดับจัดระดับ จะเป็นความสะดวกในการแสดงธรรมะของท่านอาจารย์ และธรรมะที่ท่านแสดงนั้นจะได้เป็นประโยชน์ เฉพาะบุคคลหน่วยนั้นๆ ซึ่งคุณวิโรจน์ก็ได้ยินอยู่ด้วย ท่านก็ ดีมากๆ คราวนี้ดีทีเดียว จัดทุกเดือนเลย นี่ท่านสั่งเลย คุณวิโรจน์พอใจสั่งทันทีจัดทุกเดือนเลย ครับผมก็ได้รับโอกาสจากท่านประธานเช่นนี้ ผมก็คิดว่า กลับไปนี้วางโครงการเลย ทำโครงการใหม่ จัดนำคณะมาสวนโมกข์ทุกเดือน แต่ว่าเป็นระดับ จะได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไรนั้นก็แล้วแต่กาลเวลาที่จะพึงอำนวยให้ พูดถึงกาลเวลาอีกแล้ว ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ได้มาสัมผัสกับสวนโมกข์ทันเวลาที่ยังไม่ทันกินอาจารย์ ในด้านสังขารหมดสิ้นไป พร้อมกันนี้ก็ขอร้องกับบรรดาทุกท่านที่พึงมีโอกาส ขอให้ช่วยปฏิบัติหน้าที่อันนี้เถิด เพราะว่าแม้ว่าเราตื่นแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว พบแล้ว ผมคิดว่าคงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผมเหมือนกันว่า เราไม่สามารถที่จะนำสิ่งที่เรารู้ นำสิ่งที่เราได้นี่ไปฝากแก่ผู้อื่นได้เหมือนอย่างที่เรานำตัวเขามารับจากท่านอาจารย์โดยตรงอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเมื่อผมมีโอกาสขึ้นมาเสริมเกี่ยวกับเรื่องเวลาก็คิดถึงเวลาที่กัดกินเราด้วย กัดกินใครต่อใครด้วย กัดกินท่านอาจารย์อันเป็นที่รักที่เคารพบูชานี่ด้วย ก็จึงขอแสดงทัศนะโดยเสรีในเรื่องนี้ ที่พักอาศัยเวลานี้ในสวนโมกข์มีเพียงพอ ที่จะอาศัยได้อย่างสะดวกสบาย อย่างผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ข้าวปลาอาหารก็ไม่ลำบากอะไรนัก กระผมคิดว่าขอฝากความหวังนี้เถอะครับ ทุกคนช่วยกันพากันมา ไม่ใช่มากับผมนะครับ ต่างคนต่างรู้จักแล้วก็ มาช่วยกันพากันมา อาจารย์รับรองได้พบ เพราะท่านไม่ไปไหน ไม่รับกิจนิมนต์ออกนอกวัดนะ มาเมื่อไรก็พบอาจารย์เมื่อนั้น แต่ทางที่ดีก็มีหนังสือ แจ้งมาทางอาจารย์โทก่อน ว่าคณะเท่านั้นเท่านี้ เพื่อสะดวกในการเข้าที่พัก สำหรับในคณะสายของผม ผมชื่นใจ มีคนที่ตั้งอกตั้งใจมากเป็นประจำ มากับผมหลายหนและเป็นเรี่ยวแรงสำคัญอีกท่านหนึ่ง จากแบงค์ชาติครับ คุณธงไชย ศิริสร้อย นั่งอยู่นี่ ต้องการจะให้พูดอะไรบ้างท่านบอกขอก่อนๆ ต่อหน้าอาจารย์แล้วสั่น ถ้าลับหลังอาจารย์นี่พอพูดได้ นี่ยัง ยังไม่กล้าขึ้นเวทีที่นี่ เวทีอื่นขึ้นได้ เวทีนี้ยังไม่กล้า และก็ยังมีสหายธรรมที่องค์การสวนยางครับ หนุ่มๆทั้งนั้นที่มา ตั้งใจมา ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้ว ก็หวังว่าคงจะช่วยกัน นำเรื่องเวลาที่กัดกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง คือตัวคุณๆทั้งหลายด้วยนี่ครับ ไปพินิจพิจารณาและช่วยกันทำประโยชน์ ประโยชน์อย่างอื่นที่เราจะให้แก่เพื่อนฝูงของเรานั้นผมว่าคงไม่คุ้ม ไม่คุ้มเท่ากับที่เรานำเขามารับเอาจากสวนโมกข์อย่างไม่ต้องสงสัย ครับที่จริงผมมาก็เมื่อกี้ใครบอกว่ามา ไปสิดีอย่างนั้นอย่างนี้ ผมยังรู้สึกว่า ผมยังไม่ได้ทำหน้าที่ให้ดีเลย แต่พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ นี่แหละครับ ถ้าเราช่วยกันทำอย่างนี้ เราก็ได้ชื่อว่าช่วยกันทำไม่ให้เวลากัดกินเรา และเราเป็นผู้กินเวลา แล้วในที่สุดเราอาจจะเป็นผู้อยู่เหนือเวลาแล้วนาฬิกาอาจจะหมุนกลับ สำหรับชีวิตของเรา ก่อนที่ท่านอาจารย์ยังไม่จากพวกเราไปด้วย ครับกระผมขอแสดงทัศนะแค่นี้ครับ ขอกราบขอบพระคุณ
โฆษก : ครับ คงจะได้เอาเวลามาใช้ให้เป็นประโยชน์นะครับ จนกระทั่งหยุดเวลาได้ พอดีก็คุณปิยวัฒน์ก็ชักจะเป็นห่วงเวลาจะกัดกินสังขารของอาจารย์ แต่ผมก็ในฐานะที่อยู่มาหลายปีเหมือนกัน ผมไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไรหรอกครับ เพราะถึงเป็นห่วงก็ทำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับสังขารของท่านนะครับ แต่ผมใคร่เสนอแนะว่าเมื่อท่านยังอยู่ทั้งสังขาร ทั้งชื่อในตำแหน่งของท่านคือพุทธทาสนี่ชื่อตำแหน่งนะครับ ชื่อตำแหน่งของท่าน และท่านไม่สงวนหรอกครับ ตำแหน่งนี้ของท่านใครเอาไปใช้ก็ได้ พุทธทาสนะครับ เพราะฉะนั้นโดยสังขารของท่านก็ว่าไปเรื่องสังขาร นั้นในฐานะที่ท่านยังอยู่ทั้งในสังขารและทั้งชื่อตำแหน่งของท่าน เราก็มาพยายามทำความเข้าใจเสีย พยายามเข้าให้ถึงตำแหน่งพุทธทาสด้วยกันทุกคนสิครับ พยายามให้มองเห็นพุทธทาส เข้าให้ถึงพุทธทาสกันจริงๆ เพราะนี่คือชื่อตำแหน่ง ส่วนสังขารของท่านก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ เวลากินก็กินไป แต่ถ้าใครได้เข้าถึงพุทธทาส ทาสของพระพุทธเจ้า ถ้าได้เป็นทาสของพระพุทธเจ้ากันเสียทุกคนแล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไร ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว เพราะจิตมนุษย์นี้มันทำอะไรได้ มันมีหนึ่งเท่านั้น ทำได้อย่างเดียวอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว มันก็ไม่ต้องไปเป็นทาสของกิเลสครับเอาแค่นั้นแหละครับ ถ้าเรามาเป็นทาสของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะได้ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส เพราะฉะนั้นเรารีบเข้าให้ถึงตำแหน่งของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์เสีย คือพุทธทาส นี่ผมถือว่าตำแหน่งนะ นะฮะ แต่ตัวสังขารของท่านนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ แต่ตำแหน่งของท่านนี่ต้องยังอยู่แล้วใครๆก็ต้องเข้ากันได้ พยายามให้เข้าถึงตำแหน่งของท่านเสียคือพุทธทาส นี่ผมใคร่ขอร้องนะครับ ว่าทีหลังจะมาสวนโมกข์นี่ ถ้าเราทุกคนเข้าถึงพุทธทาสแล้ว เรามีสิ่งที่จะศึกษาจะเรียนอะไรได้แยะ พุทธะมันมีอยู่แล้วในเราทุกคนนะครับ นั้นเราสามารถจะมาเรียนมาศึกษาได้ มาให้มันถึงพุทธะกันเสียก่อนนะครับ ให้รู้ว่าพุทธะอยู่ที่ไหน แล้วเราจะศึกษาจะเรียนได้จากอะไรนะครับ แล้วเราจะได้ไม่ต้องติดกับพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ เป็นอย่างนี้บ่อยครับ ก็อย่างที่ ที่คุณปิยวัฒน์ได้กล่าวนะครับ ก็นั่งกันอยู่เต็มดีครับ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์นั่งอยู่ ก็นั่งกันอยู่เต็ม พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ลงไปกุฏิเดี๋ยวก็ค่อยหร่อยหรอๆไป ก็เหลือน้อยกัน อันนี้ก็ธรรมดาล่ะครับ เพราะเรา ทุกคนก็ยังติดอยู่ ยังติดอยู่กับตัวสังขารของอาจารย์อยู่เรื่อยไปนะครับ ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนจากสังขารเสีย ถึงติดก็มาติดตำแหน่งชื่อพุทธทาสเสีย ของท่าน จะดีขึ้นแยะ เหลือแต่พวกพุทธทาสด้วยกันก็พูดกันสนุกล่ะครับ เหลือแต่ทาสของพุทธเจ้าด้วยกันแล้วคุยกันสนุก แต่ถ้าทาสของกิเลสมาปนอยู่ด้วยมันก็ได้เหมือนกันแหละครับ แต่บางทีมันก็วุ่ยวาย แต่ก็วุ่นวายกันไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรนะครับ นี่มันเป็นเรื่องอย่างนี้ครับ มันก็เรื่องที่เราได้เรียนให้ทราบกันก็สนุกดีน่ะครับ ในสวนโมกข์นี่ถ้าเรามากันแล้ว อย่างที่คุณปิยวัฒน์ว่าล่ะครับ มากันแล้ว ก็พยายามไปหาแนวร่วม แนวร่วมแล้วก็มา มีหลาย ต่อหลายคนครับเขาให้มาบรรยายแบบคุณปิยวัฒน์ ลองมาบรรยายความในใจเถอะครับ ว่าสวนโมกข์ทำอะไรบ้าง สวนโมกข์ชุบชีวิตอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะถ้าผมเอง แล้วถ้ามีเวลาผมคุยได้เกือบชั่วโมงครับ ว่าสวนโมกข์ชุบชีวิตอะไรผมบ้าง อย่างนั้นมันเสียเวลานะครับ ก็ขอเชิญคนอื่นต่อนะครับ ผมขอเชิญคุณหมอแสงโสม ผมเข้าใจว่ายังอยู่นะ ผมมองจากข้างบน เชิญคุณหมอผ่องโสมนะครับ เดี๋ยวคุณปิยวัฒน์ว่าผมเสียงเนือยๆอีก คือธรรมะนี่ถ้ามันกระโชกโฮกฮากนักมันไม่ค่อยดีน่ะครับ มันจะไฮปาร์กไป ขอเชิญคุณหมอผ่องโสมนะครับ อยู่ไหมครับ หรือว่ากลับไปปีใหม่ที่บ้านซะแล้ว อาจารย์รัญจวนครับ อยู่ไหมครับ อาจารย์รัญจวนครับ นะครับเราคงไม่มีใครหลับข้ามปีนะครับ คงจะไว้หลับยามขึ้น ปีใหม่ อาจารย์รัญจวนครับ ขอเชิญครับ มาคุยๆกันครับ
อาจารย์รัญจวน : กราบเท้านมัสการเจ้าประคุณท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง ท่านผู้สนใจในธรรมทุกท่าน สำหรับในการที่จะพูดเพิ่มเติมในความรู้สึกของดิฉันนั้น เนื่องจากว่าได้พบท่านที่นัดไว้ คือหมายความว่ามาจากต่างจังหวัดก็มี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่าไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในสวนโมกข์ ทำไมถึงได้มากันไกล ทำไมถึงได้มาถึงสวนโมกข์ ก็เชื่อกันว่าสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในใจก็คือว่า อยากจะไปที่ใดสักแห่งหนึ่งที่ไปแล้ว จิตใจ เอ่อ จิตใจจะสงบ เย็น และก็ผ่องใส เพราะฉะนั้นจึงได้พากันเสียสละเวลา แล้วก็ความอดทนในการเดินทาง เป็นระยะทางที่ไกลมาก และก็อุตส่าห์มา ทำไมเราจึงอยากจะมีความสงบใจ ทำไมเราจึงอยากจะแก้ไขบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสิ่งที่ขัดข้องอยู่ในใจของเราให้เบาบางไปเพราะอะไร ข้อนี้เชื่อว่า ถ้าจะพูดโดยสรุปก็เห็นจะกล่าวได้ว่า ทุกคนรู้สึกว่าจิตใจนั้นมีอะไรขัดข้องอยู่ ความขัดข้อง ความหมองใจ ความเศร้า เหล่านี้เรียกโดยย่อที่สุดก็คือความทุกข์ เพราะความทุกข์ที่มีอยู่นี่แหละจึงได้เป็นเหตุชักจูง ผลักดันให้เรามายังสถานที่หนึ่งที่ชื่อว่าสวนโมกข์ โดยนัยที่มีความรู้สึกว่าสวนโมกข์นี่ก็คือวัด เมื่อขึ้นชื่อว่าวัด โดยเฉพาะวัดสวนโมกข์ จะเป็นวัดที่ทำให้จิตใจนั้นผ่องใส เป็นจิตใจที่เกลี้ยงเกลา แม้จะเป็นเพียงชั่วระยะหนึ่งก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้มาเสียเลย ข้อนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันได้สังเกตมาก แม้แต่ตัวดิฉันเองก็เหมือนกัน เมื่อก่อนนี้ คือก่อนที่จะได้มามีสภาพอย่างนี้ก็มักจะหาโอกาสไปสู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ในเวลาที่มีวัดหยุด เพื่อหาความผ่อนคลายจากความหนักอึ้ง ความตึงเครียดที่พบอยู่กับชีวิตประจำวัน หรือชีวิตของชาวโลก ฉะนั้นเมื่อดิฉันมาอยู่อย่างนี้แล้ว ก็มีความนึกคิดเกิดขึ้นมาว่า ทำไมล่ะ ถ้าหากว่าเราไม่สามารถที่จะพาตัวไปยังสถานที่ที่เป็นวัดได้เสมอๆ ดิฉันเชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ ถ้าเลือกได้คงจะอยากอยู่ที่สวนโมกข์อย่างนี้ทุกวันๆ เหมือนอย่างที่ดิฉันกำลังมีโอกาสดี แก่ท่านทั้งหลาย ที่ได้มีโอกาสอยู่ที่นี่ในขณะนี้ ทีนี้ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะมาได้ ทำไมเราไม่ช่วยกันทำบ้านให้เป็นวัด ทำไมเราไม่ช่วยกันทำโรงเรียนให้เป็นวัด แล้วทำไมเราไม่ช่วยกันทำวัดบางวัดให้เป็นวัดขึ้นมาจริงๆ ข้อนี้เป็นสิ่งที่ดิฉันจะขอฝากท่านทั้งหลาย เพื่อโปรดนำไปคิด และก็ลองไปนำพิจารณาดู ปัญหาที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ของมนุษย์ในขณะนี้ ก็เห็นจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยว่า ทางบ้านก็หวังพึ่งโรงเรียน ทางโรงเรียนก็หวังพึ่งบ้าน ทั้งโรงเรียนและทั้งบ้านก็หวังพึ่งวัด แต่สุดแล้ว บ้านก็ผิดหวัง โรงเรียนก็ผิดหวัง และสถานที่ที่เรียกว่าวัดบางแห่ง ก็ยิ่งทำให้เกิดความเศร้าหมองในจิตใจของผู้ที่หวังพึ่งเป็นอย่างยิ่ง ที่นี้เมื่อเรามาอยู่ในปัญหาสามเศร้าอย่างนี้ แล้วเราจะหวังพึ่งใครให้ช่วย ดิฉันมองไม่เห็น นอกจากเราจะช่วยตัวของเราเอง มองไม่เห็นจริงๆ เคยได้ยินเพื่อนหลายๆคน คำว่าเพื่อน ก็คือเพื่อนที่เป็นสหายธรรมหลายๆคนบอกว่า อยากที่จะตั้งกลุ่มขึ้น เพื่อที่จะได้สนทนาธรรม ปรึกษาธรรม และก็ช่วยกันทำให้จิตใจผ่องใส ชื่นบาน อิ่มเอิบ แต่จะไปทำที่ไหนนะ ทำไมถึงจะทำได้ เพราะว่าท่านผู้พูดเหล่านั้นก็อ้างว่าไม่สามารถจะทำได้ ไม่มีความสามารถพอ และก็ไม่รู้จะไปชักชวนใคร ถ้าใครมาพูดให้ดิฉันฟัง ดิฉันก็มักจะบอกว่า ไม่ต้องไปชวนใครหรอก ชวนตัวเองนั่นแหละ เริ่มต้นที่ตัวของเราเอง แม้ว่าจะเป็นเพียงหน่วยหนึ่ง แต่จากหน่วยหนึ่งนั้นน่ะ มีพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง หรือว่าสามีภรรยาหรือว่าลูกหลานและก็ยังเพื่อนบ้าน และก็ยังใครๆอีกตั้งเยอะแยะ เพราะฉะนั้นขอให้ลงมือเพียง ๑ นั่นแหละ แล้วก็จะไปเป็น ๒ ๒ ก็จะไปเป็น ๔ ๔ ก็จะไปเป็น ๘ แล้วก็นับจำนวนไม่ถ้วน แต่ขอให้ลงมือทำเถอะอย่าเป็นพลังเงียบที่มีแต่ความหยาบ แต่ความหยาบนั้นนะไม่สามารถที่จะให้เกิดเป็นน้ำเป็นเนี้อ เป็นพลังที่จะมีพลังขึ้นมาได้จริงๆ ฉะนั้นปัญหาในขณะนี้ดิฉันจึงมีความเห็น และก็ค่อนข้างที่จะมีความเห็น และอยากให้เห็นเกิดขึ้นด้วย นั่นก็คือจงทำบ้านให้เป็นวัด
บ้านที่มีแต่ความบ้านแตก บ้านแตกเพราะเหตุว่า คนต่างก็หน้าบึ้ง ต่างคนต่างก็เอาความทุกข์ของตน ต่างคนต่างก็เบียดเบียนตัวเองไม่พอ แล้วก็ยังเบียดเบียนคนที่เป็นที่รัก อยู่ใกล้เคียง นั่นแหละเริ่มต้นทำบ้านให้เป็นวัด ธรรมะอันใดที่รับไปจากเจ้าประคุณท่านอาจารย์ หรือได้อ่านจากหนังสือของท่าน ก็โปรดนำธรรมะนั้นชำระจิตใจของท่าน แล้วก็ช่วยเผื่อแผ่ชำระจิตใจของพวกที่เป็นที่รักของเราที่บ้านนั้น ทำบ้านนั้นให้เป็นสวรรค์ ไม่ต้องไปหาสวรรค์ที่อื่น ทำบ้านของเรานั่นแหละให้เป็นสวรรค์ เมื่อลูกหลานเล็กๆของเรา ซึ่งเป็นประหนึ่งเทพธิดาเทพบุตรน้อยๆ ออกไปจากบ้าน ไปสู่โรงเรียน ดิฉันเชื่อว่าความมีใจที่ใสสะอาดบริสุทธิ์จากบ้านที่เป็นสวรรค์นั้น ย่อมจะเป็นเหมือนน้ำหยดหนึ่ง น้ำที่ใสบริสุทธิ์สักหยดหนึ่ง แต่ละหยดๆ ไปหยดที่โรงเรียน ที่โรงเรียนบางแห่ง ที่ไม่อาจจะเป็นสถานที่อันให้ทั้งการศึกษา หรือการอบรมอย่างแท้จริงแก่กุลบุตรกุลธิดาได้ บ้านนั้นก็จะไปช่วยประสานให้ และถ้าหากว่าที่โรงเรียนแห่งใด สามารถทำโรงเรียนนั้นให้เป็นวัด คือครูอาจารย์ผู้มีธรรมะ ในการที่จะสอน ในการที่จะให้ความรู้ ในการที่ให้อบรม ให้การอบรมแก่ลูกศิษย์เพื่อไม่หวังแต่เพียงว่าลูกศิษย์ จะเรียนเลข บวกเลขได้ หรือว่าลูกศิษย์จะสามารถหัดพละศึกษาเก่ง แข็งแรง หรือว่าลูกศิษย์จะสามารถรู้ระดับภาษาไทยดี ไม่เพียงแต่ทางวิชาการ เพราะวิชาการไม่สามารถจะทำคนให้เป็นมนุษย์ได้ อย่างดีก็เป็นแต่เพียงคนเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้า หากว่าโรงเรียนใด จะให้การอบรมแก่ลูกศิษย์ แก่เด็กๆในโรงเรียนให้เป็นผู้ที่เข้าใจ รู้จักจะใช้ธรรมะ เพื่อที่จะไม่เบียดเบียนตนเอง แล้วก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่น โรงเรียนเช่นนั้น ก็จะเป็นโรงเรียนที่ให้ความสว่าง เป็นผู้ที่ช่วยยกวิญญาณของลูกศิษย์ อันเป็นกุลบุตรกุลธิดานั้น ให้เป็นผู้ที่มีความสุขในชีวิตที่เขาจะแสวงหาต่อไปข้างหน้า เป็นคนที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม และก็จะเป็นคนที่จะเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือเป็นคนที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวของเขาเอง ด้วยการที่จะสามารถหาความสงบให้แก่จิตได้ ฉะนั้นบ้านกับโรงเรียน ถ้ามีการประสานกันด้วยธรรม ด้วยธรรมะ แน่นอนที่สุด ปัญหาของคนที่จะเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ปู่ย่าตายายอะไรทั้งหลาย จะรู้สึกว่าผ่อนคลายไป เมื่ออยู่บ้าน บ้านก็เป็นสวรรค์ อยู่โรงเรียน โรงเรียนก็เป็นสวรรค์ ทีนี้เมื่อพูดถึงวัด ทำอย่างไรจึงจะทำวัดบางแห่งนั้นน่ะให้เป็นวัดขึ้นมาได้จริงๆ ข้อนี้เป็นการยากที่สุด แต่ดิฉันอยากจะขอเรียนฝากไว้สักนิดหนึ่งว่า ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมีความรู้สึกว่าเมื่อเหยียบย่างเข้าไปสถานที่ใด อันสมมติว่าเป็นวัด แต่ไม่สามารถที่จะรู้สึกมีความผ่องใส ในความเป็นวัดอันนั้นได้ ก็ขอได้จงลองคิดดูเถิดว่า จะทำอย่างไร ข้อที่จะทำอย่างไรได้ง่ายๆ ในความเห็นก็คือ จงอย่าส่งเสริม จงอย่าส่งเสริมในสิ่งที่มองเห็นแล้วว่า หาใช่เป็นแก่นเป็นเนื้อเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาไม่ ถ้าหากว่าไม่ส่งเสริม ก็เท่ากับว่าเป็นการไม่สนับสนุน ที่จะให้มีลักษณะของวัด มิใช่วัดโดยนัยยะที่จะทำให้บุคคลทั้งหลาย มีจิตใจที่เป็นสุขสบายขึ้นได้ ข้อนี้จะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ สามารถสร้างวัดเป็นวัดที่แท้จริงขึ้นในจิตใจได้ และในทำนองเดียวกันเมื่อเห็นสถานที่ใด อันเป็นสถานที่เป็นวัดที่เหมาะสมแก่การเป็นวัดที่ให้ความร่มเย็นแก่จิตใจ ก็ขอจงได้สนับสนุนในที่แห่งนั้นให้มากยิ่งขึ้น ข้อนี้ดิฉันว่าจะเป็นวิธีการที่จะทำวัดให้เป็นวัดได้อย่างดีที่สุด มีนักข่าวที่มาสัมภาษณ์แล้วก็ถามว่า จะช่วยเหลืออย่างไร ดิฉันบอกสิ่งที่ต้องการจากสื่อสารมวลชนมากที่สุด ก็คือว่าขอให้จงช่วยกัน ส่งเสริมสนับสนุนสถานที่อันเป็นวัด อันควรแก่การยกย่องเคารพบูชา และสถานที่ใดที่มองดูแล้วเป็นสถานที่ที่มิใช่เป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ในขณะเดียวกันมองดูไปให้ลึกซึ้ง มันอาจจะเป็นการนำความโทรม ความทรุด ในพุทธศาสนาโดยคิดไม่ถึง คาดไม่ถึง จะเป็นโดยเจตนา หรือไม่เจตนาก็ตาม สถานที่เช่นนั้น ขอสื่อสารมวลชนจงใช้ความสามารถของสื่อสารมวลชนที่จะคิดแก้ไข เพื่อชักชวนให้ประชาชนทั้งหลายให้รู้จักว่า ของแท้เป็นอย่างไรและของเทียมเป็นอย่างไร เช่นนี้จะเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ได้ บ้านก็ย่อมจะเป็นวัดขึ้นมาได้ง่าย โรงเรียนก็ย่อมจะเป็นวัดขึ้นมาได้ง่าย เพราะอะไร เพราะสามารถที่จะเห็นตัวอย่างของวัดซึ่งเป็นวัดได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง แล้วถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เราไม่ต้องกลัวเลยว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมโทรม หรือจะมีผู้ใดจะสามารถมาเบียดเบียนรุกรานพระพุทธศาสนาได้ เพราะฉะนั้นในการพูดตามใจอย่างที่เจ้าประคุณท่านอาจารย์ก็ได้เปิดโอกาสแล้ว ดิฉันก็จึงขอเรียนตามใจของดิฉันบ้าง โปรดทำบ้านของท่านให้เป็นวัด โปรดช่วยกันส่งเสริม ให้มีการทำโรงเรียนให้เป็นวัด แล้วเมื่อนั้นจะอยู่ที่ใด ท่านก็จะรู้สึกเหมือนอยู่ในวัดเสมอ มาช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนา ให้มั่นคงสถาพรต่อไป ก็จงโปรดช่วยกันทำวัดให้เป็นวัดยิ่งขึ้นด้วย