แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์ เจ้าหน้าที่ที่ร่วมสัมมนาทำหลักสูตรจริยศึกษาเพื่อกิจกรรมพลศึกษาทั้งหลาย การบรรยายในครั้งนี้ อาตมาจะกล่าวตามหัวข้อที่ท่านกำหนดไว้ให้ว่า การกีฬากับศีลธรรม อาตมาได้เคยบอกกล่าวมาแล้วแต่ต้นว่า ในการช่วยกันทำหลักสูตรนี้ อาตมาช่วยได้เพียงแสดงความคิดเห็นหรือความรู้อะไรบางอย่างเท่าที่ได้ผ่านมา เพื่อประกอบในการที่จะวางหลักสูตรเป็นข้อมูลตามที่เห็นว่าควรจะมี ขอให้ท่านทั้งหลายฟังและเก็บเอาไปบรรจุเอาตามความประสงค์ ถ้ามันมีอะไรแปลกไปบ้างจากที่เคยฟัง ก็เอาไปคิดดูเอง จะใช้เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ก็ต้องวินิจฉัยเอาเอง
ตัวอย่างเช่น หัวข้อที่ถูกกำหนดไว้วันนี้สำหรับการบรรยายก็คือว่า การกีฬากับศีลธรรม หมายความว่ามันมี ๒ อย่าง มีการกีฬาอย่างหนึ่ง มีศีลธรรมอย่างหนึ่ง แต่ความรู้สึกหรือความเห็นโดยประจักษ์แก่ใจของอาตมานั้น มันมีความเป็นสิ่งเดียวกัน นี่ถ้าไปพูดที่ไหน ตามถนนหนทางที่ไหน เขาก็ว่าบ้านะนี่ ถ้าว่าการกีฬากับศีลธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะว่ามองกันคนละอย่าง ในตอนนี้อยากจะให้ทราบสักนิดหนึ่งถึงเรื่องของภาษาที่มนุษย์เราใช้พูดกัน เรียกว่าภาษา ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งคือภาษาคนธรรมดาพูด อีกชนิดหนึ่ง ภาษาของคนรู้ธรรมะพูด หรือถ้าพูดกันอีกทีหนึ่งก็ว่า ที่เอาหลักเกณฑ์ของคนธรรมดาสามัญพูดอยู่กัน พูดกันอยู่ตามท้องถนน นั้นมันก็เป็นภาษาคน พูดตามความหมายของคนทั่วไปที่รู้จัก แต่ถ้าพูดโดยผู้ที่เห็นธรรมลึกกว่านั้น มันก็ไปเอามาตรฐานที่ลึกกว่านั้นแล้วก็พูด ฉะนั้นมันก็พูดต่างกัน พูดมีความหมายต่างกันแม้จะใช้คำคำเดียวกัน
เช่นว่า พระพุทธเจ้าอย่างนี้ ภาษาคนธรรมดาก็หมายถึงบุคคลคนหนึ่งในประเทศอินเดียตามประวัตินั้นๆ แล้วก็ตายแล้ว เผาแล้ว แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรมของผู้รู้ พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้อยู่ที่ความเป็นคนอย่างนั้นและตายไม่ได้ จะอยู่ตลอดกาล พระพุทธเจ้าคือความรู้ธรรมเห็นธรรมว่า เป็นอย่างไร ดับทุกข์อย่างไร เกิดทุกข์อย่างไร ความรู้อันนี้ไม่รู้จักตาย เมื่อไม่ได้ตาย ก็ไม่ได้เผา ไม่ได้เผาเหลือแต่กระดูก ฉะนั้นสิ่งที่ตายและเผาเหลือแต่กระดูกนั้นก็เป็นพระพุทธเจ้าในความหมายหนึ่ง ไม่ใช่ในความหมายที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม แล้วธรรมสำหรับจะเห็นนั้นก็มีอยู่จนกระทั่งวันนี้จนกระทั่งทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมะเรื่องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ธรรมะนี้ยังอยู่เดี๋ยวนี้นะ เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เห็นได้นะ ก็หมายความว่า เรายังอาจจะพบพระพุทธเจ้าที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้จนกระทั่งทุกวันนี้ อย่างนี้เป็นต้น
นี่ขอให้ดูว่า คำพูดคำเดียวมีความหมายต่างกัน เช่นคำว่าเกิดนี้ เกิดจากท้องแม่ก็ได้ เกิดความรู้สึกว่ากู-เราขึ้นมาในใจ ก็เป็นการเกิดเหมือนกัน ตาย,ตายทางร่างกายก็ได้ ตายโดยทางจิตใจ ไม่มีอะไรดีเหลืออยู่ก็ได้ ฉะนั้นเราจะรู้ว่าคำพูด จะพูดว่าทุกคำก็ได้ มันมีความหมายเป็น ๒ ชนิดอยู่อย่างนี้เสมอ
ทีนี้คำว่ากีฬา ถ้าพูดกับเด็กๆ เราพูดว่ากีฬากับเด็กๆ มันก็ที่เด็กๆ เห็นเล่นกันอยู่ตามสนาม นั่นแหละคือกีฬา มันก็มีเท่านั้นแหละ และเดี๋ยวนี้เขาก็นิยมฟุตบอลกันเป็นเบื้องหน้าเป็นของยิ่งใหญ่ เมื่อพูดว่ากีฬา เด็กมันก็รู้เท่านั้น แต่ถ้าเราพูดในภาษาธรรม มันก็หมายความว่าการฝึกฝนจนมีน้ำใจนักกีฬา คือมีน้ำใจที่ไม่เห็นแก่ตัว เห็นความถูกต้องเป็นประมาณนั่นแหละเรียกว่ากีฬา มันกลายเป็นเรื่องของจิตใจ กีฬากลายเป็นเรื่องทำจิตใจให้เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ถ้าหมายให้มันลึกไปกว่านั้น มันก็คล้ายๆ กับว่าเป็นธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งสัตว์ที่มีชีวิตจะต้องมี จะถือว่าเป็นสัญชาตญาณเลยก็ได้ เราจะรอดชีวิตอยู่โดยไม่มีเรื่องที่เป็นความหมายของคำว่ากีฬา อย่างนี้มันผิดธรรมชาติ และมันจะผิดปรกติ และมันจะใช้อะไรไม่ได้ก็ได้ ฉะนั้นคำว่ากีฬาในความหมายนี้มันแปลว่าเป็นการเล่นที่ทำให้สบายใจ เราต้องมีการกระทำชนิดที่ทำให้สบายใจ ก็เรียกว่าการเล่น เราจะมีแต่ข้าวกิน ผ้านุ่งผ้าห่ม ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค สี่อย่างเป็นปัจจัยนี้ไม่พอ นั้นมันเรื่องทางฝ่ายร่างกายทั้งนั้นเลย มันเรื่องทางฝ่ายร่างกาย ทีนี้เรื่องทางฝ่ายจิตใจ เรายังต้องมีปัจจัยด้วยเหมือนกัน เพื่อประโยชน์แก่จิตใจ คือความสบายใจ ความพอใจ ความบันเทิง รื่นเริง อะไรก็สุดแท้ แต่ขอให้เป็นเรื่องทางจิตใจก็แล้วกัน ดังนั้นที่นี่เราจึงสร้างตึกหลังนั้นเพื่อเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ ให้ความเพลิดเพลินทางวิญญาณคือทางธรรมะ เพื่อเป็นปัจจัยที่ห้าอย่างที่กล่าวมาแล้ว เพราะว่าธรรมชาติได้สร้างสิ่งที่มีชีวิตมาให้อยู่ด้วยปัจจัยทั้งสองฝ่าย คือปัจจัยทั้งฝ่ายร่างกายและปัจจัยทั้งฝ่ายจิต
ในปัจจัยฝ่ายจิตนั้น มีการเล่นเพื่อความสนุกสนานพอใจ ปลุกเร้าระบบประสาทระบบนั้นให้ได้ทำงานเต็มที่ ฉะนั้นโดยธรรมชาติหรือจะเรียกว่าโดยสัญชาตญาณก็ได้ การเล่นนั้นต้องมี ถ้าไม่มี มันจะขาดปัจจัยทางฝ่ายด้านจิตใจ ดูสัตว์เดรัจฉาน ลูกสุนัข ลูกแมว ลูกวัวลูกควายในท้องทุ่ง มันก็มีเล่น มันมีเวลาที่มันเล่น ไม่ใช่มันจะกินแต่หญ้าอย่างเดียว กินน้ำอย่างเดียว มันมีเวลาที่มันเล่น มันกระโดดโลดเต้น มันก็ต้องเล่น มันมีปัจจัยอันหนึ่งซึ่งกระทำให้ระบบประสาทส่วนนี้ต้องแสดงตัวออกมา ฉะนั้นจึงเห็นลูกวัวลูกควาย ลูกหมาลูกแมว มันเล่น มันกระโดดโลดเต้น มันวิ่งเล่นได้โดยที่ไม่ต้องมีใครสอน มันก็ได้รับความบันเทิงใจ ความบันเทิงใจนั่นแหละเป็นปัจจัยที่ห้าในที่นี้ ซึ่งเราจะเรียกได้ด้วยคำว่ากีฬานั่นแหละ คือมันเล่น มันเป็นเรื่องเล่น
เด็กทารกคลอดออกมาจากท้องแม่ ไม่กี่วันหรอกมันจะต้องยิ้ม แล้วมันจะต้องหัวเราะ ถ้าเด็กคนไหนมันไม่ได้ยิ้มหรือมันหัวเราะไม่ได้ โตขึ้นมามันผิดปรกติหมดแหละ มันจะเป็นคนปรกติไม่ได้ เพราะว่าระบบสำหรับเล่น สำหรับหัวเราะสำหรับสบายใจนั้นมันไม่ได้ทำงาน แล้วร่างกายนั้นหรือจิตใจนั้นมันก็ไม่สมประกอบ ดังนั้นเด็กทารกมันก็ต้องหัวเราะ ตามเวลาที่ควรจะหัวเราะ มันก็เป็นการเล่นมาแล้วตั้งแต่ในเบาะ มันจะยกมือ ยกเท้า หรือหัวเราะ หรืออะไรเล่นของมันได้ นี้เรียกว่าคำว่าเล่นนั้น โดยสัญชาตญาณมีความหมายมาก คือมันเป็นปัจจัยแห่งความสมประกอบของชีวิตนั่นเอง ถ้าเด็กคนไหนเกิดมาแล้วหัวเราะไม่ได้ หัวเราะไม่เป็น มันก็ไม่สมประกอบ แต่ถ้าหัวเราะเรื่อยไม่หยุด มันก็บ้าแล้วแหละ คือมันเกินไป ฉะนั้นเรื่องเล่นมันก็ต้องมีตามสัดส่วน ลองสังเกตดูเถิดว่า มนุษย์นี้ เพื่อนของเราคนไหนมันไม่เคยหัวเราะเลยตั้งแต่เกิดมา มันมีได้ไหม ถ้ามีได้ มันเป็นคนบ้าแหละ ถ้ามันหัวเราะไม่ได้เลย ปอดของมันไม่ได้ทำงานเลย แล้วอะไรมันก็ผิดปรกติหมด แต่ถ้ามันหัวเราะไม่หยุด มันก็เกินไป มันก็เป็นคนบ้า ไม่หัวเราะเลยก็บ้า หัวเราะมากเกินไปก็บ้า แต่ว่านี้มันเป็นเพียงเรื่องเล่นซึ่งให้เกิดความสมประกอบแก่ความรู้สึกหรือระบบประสาทเท่านั้นเอง ฉะนั้นจึงขอให้ถือว่า เล่น เล่นกีฬาหรือเล่นนี้ มีความหมายลงมาถึงอย่างนี้นะ,ลงมาถึงอย่างนี้นะ ไม่ใช่แค่เล่นกีฬาในสนาม เหมือนกับเด็กๆ นักเรียนเขารู้ว่าถ้ากีฬาก็คือเล่นกันในสนาม
นี่ขอให้มองกันอย่างนี้ เรียกว่ามองลึกในภาษาธรรมะ ภาษาธรรมไม่ใช่ภาษาคน มองลึกกว่าภาษาคน ก็เห็นว่า โอ้,เล่นนี้ เรื่องเล่นนี้ มันเป็นสัญชาตญาณที่ต้องมี ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีการบันเทิงรื่นเริงสำหรับกระตุ้นหรือสำหรับความปรกติของสิ่งที่มีชีวิตนั้น นี่เรารู้ไม่ได้ แต่เราเดาก็ได้ว่า แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ก็มีเรื่องเล่น อย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์เลย มันต้องมีโอกาสที่มันบันเทิงรื่นเริง แต่เดี๋ยวนี้เขาค้นพบกันแล้ว ก็มีสมาคมค้นพบเรื่องต้นไม้มีความรู้สึกมีจิตใจ ชอบการขับกล่อมด้วยเพลงที่อ่อนโยน เขาค้นพบพิสูจน์กันแล้วโดยสมาคมนั้น มันก็ต้องการเล่นเหมือนกัน
ทีนี้ปุถุชน มันก็ต้องเล่นอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ มันเล่นอย่างนี้ไม่ได้ ท่านก็เล่นอย่างอื่นแหละ เรื่องการเล่นหรือการกีฬาของพระอริยเจ้ามันก็มีไปอีกแบบหนึ่ง เท่าที่เราพบเห็นอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ ท่านเข้าฌานเล่น สมาธิหรือฌานนี้มันมีมากแบบ หลายสิบแบบ แล้วก็แปลกๆ กัน สูงต่ำกว่ากัน น่าอัศจรรย์กว่ากัน ท่านเหล่านั้นก็เลยเข้าฌานเล่น ก็เรียกว่าฌานกีฬา เข้าฌานอย่างนั้น เข้าฌานอย่างนี้ เข้าฌานอย่างโน้น หรือทำอะไรที่แปลกออกไปด้วยอำนาจของฌานนั้นๆ ก็เป็นเรื่องเล่นด้วยเหมือนกัน มันเป็นการเล่นที่ทางจิตลึกเข้าไปกระทั่งเป็นทางวิญญาณ เล่นต่อสู้กับกิเลส คู่เล่นกีฬาของท่านก็คือกิเลส ท่านก็ต่อสู้กิเลส ก็สนุกสนาน แม้แต่เรื่องของธรรมะนี้ก็ปรากฏว่า พระอรหันต์นั้นท่านก็หาความเพลิดเพลินเหมือนกันด้วยการสนทนาธรรมะ เป็นพระอรหันต์แล้วยังสนทนาธรรมะ เพลิดเพลินจนรุ่งสว่างอย่างนี้ก็มี ท่านไม่ต้องการจะเรียนอะไร ไม่ต้องการจะรู้ธรรมะอะไรแล้ว เพราะว่ามันหมดเรื่องแล้ว แต่มันก็ยังเอามาเป็นเรื่องเล่น เหมือนกับเราเรียกว่าคุยกันเล่นเพื่อความบันเทิง
ยังมีเรื่องน่าหัวเราะไปกว่านั้นอีกก็คือว่า คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียว ไม่เห็นมีใครอยู่ด้วย ท่านก็ท่องบทปฏิจจสมุปบาท เล่นคนเดียว นี่เราใช้คำพูดธรรมดาสามัญ ก็เหมือนกับว่าร้องเพลงเล่นคนเดียว มันเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกบันเทิงในเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านยังเอามาท่องแจกลูกเล่น หมวดตา หมวดหู หมวดจมูก หมวดลิ้น หมวดกาย หมวดใจ ฟังดูก็ไพเราะมาก ทีนี้ภิกษุองค์หนึ่งเผอิญมาแอบฟังอยู่ข้างหลัง ทีแรกท่านไม่เห็น แต่เมื่อท่านเหลียวไปเห็นเข้าก็ เอ้า,ดีแล้วๆ อันนี้อาทิพรหมจรรย์ เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ให้เรียนเอาไป เอาไปปฏิบัติ นี่เราจะสันนิษฐานได้เลยว่า แม้พระพุทธองค์ก็ยังทรงมี จะใช้คำว่าเครื่องบันเทิงใจนั่นแหละ เครื่องบันเทิงใจทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณที่สูงขึ้นไป ก็รู้ความหมายของสิ่งที่เอามาพูดมาท่องมาอะไร ก็เลยสบายใจ มันเป็นกีฬาด้วยเหมือนกัน
ฉะนั้นพวกคุณอย่าผูกขาดกีฬาไว้แต่ในสนามกีฬาของคุณ มันไม่ถูก มันแคบนิดเดียว อะไรที่ทำให้จิตรู้สึกบันเทิงรื่นเริง ก็ต้องเรียกว่าเป็นเล่นทั้งนั้น เป็นกีฬาทั้งนั้น ถ้าจัดถูกต้องจะมีประโยชน์มาก ถ้าจัดผิด ก็จะได้รับโทษมากเหมือนกัน หรือว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็มี ฉะนั้นการที่จะร่างหลักสูตรเกี่ยวกับกีฬานี้ ขอให้ระมัดระวัง อย่าให้มันขัดขวางกันกับกฎของธรรมชาติอันลึกซึ้งอันเฉียบขาด ที่อยากจะให้เขียนไว้ให้ชัด พิจารณาแล้วเห็นชัดก็เขียนไว้ให้ชัดว่า เดี๋ยวนี้โลกมีความทุกข์ยากลำบากระส่ำระสายที่เรียกว่ามีวิกฤตการณ์ ความทุกข์ยากนานาชนิดในโลกเรียกว่าวิกฤตการณ์ โลกมีวิกฤตการณ์เพราะมันไม่มีศีลธรรม วันก่อนเราพูดกันแล้วว่ามันโกงกันอย่างไร เมื่อไม่มีศีลธรรมแล้วมันโกงกันตั้งแต่คนถึงเทวดาถึงพระเจ้า แล้วมันก็อยู่กันด้วยความเบียดเบียน ด้วยการเบียดเบียนทุกข์ยากลำบากระส่ำระสาย นี่เรียกว่าโลกมันมีวิกฤตการณ์เพราะไม่มีศีลธรรม
ทีนี้ไม่มีศีลธรรมก็เพราะไม่มีจริยธรรม คือไม่มีการปฏิบัติธรรมนั่นเอง มันจึงไม่มีศีลธรรม ทีนี้ทำไมมันไม่มีจริยธรรมล่ะ เพราะมันไม่รู้นี่,เพราะมันไม่รู้ มันยังโง่หรืออะไรก็สุดแท้แหละ มันไม่รู้ความจำเป็นหรือคุณค่าของจริยธรรม ทีนี้ทำไมมันไม่มีจริยธรรม เพราะมันไม่มีจริยศึกษา ไม่มีจริยศึกษาคือการศึกษาเรื่องจริยธรรม ซึ่งบางทีก็เรียกว่าจริยศาสตร์ก็ได้ จริยศาสตร์จริยศึกษานี้เป็นเหตุให้มีจริยธรรม ครั้นมีจริยธรรมแล้วมันก็ง่ายที่จะมีศีลธรรมคือการกระทำที่เป็นความสงบสุขหรือตัวความสงบสุข
บอกแล้วแต่วันแรกว่า คำว่าศีลธรรมนี้ มีได้หลายความหมาย หมายถึงภาวะที่ปรกติสุขคือสีละ แปลว่าปรกติ ศีลธรรมคือภาวะปรกติสุขก็ได้ หรือการประพฤติกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะให้เกิดศีลธรรม ก็เรียกว่าศีลธรรมด้วยเหมือนกัน ทีนี้เราต้องรู้เรื่องนี้ รู้ว่าโลกไม่มีสันติภาพเพราะไม่มีศีลธรรม ไม่มีศีลธรรมเพราะไม่มีจริยธรรม ไม่มีจริยธรรมเพราะไม่รู้จริยศึกษาหรือจริยศาสตร์ เดี๋ยวนี้เราจะทำให้พวกเรานี้มีจริยศึกษาหรือจริยศาสตร์ เราจะแก้ปัญหาข้อนี้ เราจึงชวนกันมาที่นี่ และว่าจะร่างหลักสูตรจริยศึกษา แม้จะเจาะจงเพื่อกิจกรรมพลศึกษาก็ตาม นั้นมันเป็นแขนงแยกออกไป แต่ว่าจริยศึกษานี้ต้องถือกันกว้างๆ เป็นของทุกคนหรือทั้งโลก แต่ถ้าจะมุ่งหมายในแขนงของพลศึกษา มันก็ยังได้อยู่นั่นเอง คำว่าพลศึกษานี้ไม่ได้หมายถึงกีฬาอย่างเดียว มันหมายถึงอย่างอื่นด้วย เดี๋ยวนี้เราจะเอาให้มันแคบหน่อย หมายถึงการใช้กีฬาเป็นพลศึกษา ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าลืมว่ามันเนื่องอยู่กับข้อเท็จจริงอันนี้ของมนุษย์ ถ้าไม่ทำเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ จะทำไปทำไม จะลงทุนลงรอนเวลามากมายจัดกีฬาหรือจัดพลศึกษาก็ตาม จะทำไปทำไม ถ้ามันไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่สันติสุขหรือสันติภาพของมนุษย์
ฉะนั้นขอให้ถือเป็นหลักได้เลยว่า อะไรที่ควรทำแล้วมันเป็นเรื่องเพื่อสันติภาพสันติสุขของมนุษย์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นขอให้เราระบุให้ชัดลงไปในหลักสูตรที่เรากำลังจะทำนี้ให้มันมีเหตุผลหรือหลักการชัดลงไปทีเดียวว่า มนุษย์เดือดร้อนเป็นทุกข์เพราะไม่มีศีลธรรม ไม่มีศีลธรรมเพราะไม่มีจริยธรรม ไม่มีจริยธรรมเพราะไม่มีจริยศึกษา ดังนั้นเราทั้งหลายจึงร่างหลักสูตรจริยศึกษาเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาของมนุษย์ในโลก นี่เหตุผลที่สำคัญที่สุดและมีค่ามากสูงสุดถึงโลกทั้งโลกเลย ที่จะให้มีหลักสูตรจริยธรรมในกิจกรรมพลศึกษา โดยถือเอาเรื่องกีฬาเป็นแกนของคำว่าพลศึกษา
ทีนี้คำว่าพลศึกษานี้ ก็ควรจะรู้เสียด้วยเหมือนกันว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ พละนี้แปลว่ากำลัง ศึกษาเพื่อให้มีกำลัง เพื่อให้ได้ใช้กำลัง เพื่อจะได้รับประโยชน์จากกำลัง ถ้าทำได้หมดนี้ก็จะเรียกว่าเป็นพลศึกษาที่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้พลศึกษาของเราตามที่มีอยู่ในโรงเรียนในวิทยาลัยพลศึกษามีอะไรบ้าง ท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้ว แล้วส่วนใหญ่ก็มุ่งไปในทางกีฬา เพราะว่ากีฬามันมีมากแบบมากชนิด ในร่มก็ได้ กลางแจ้งก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันเป็นเรื่องของกีฬา ให้เกิดกำลังอะไร ดูจะเป็นเรื่องกำลังกายเสียมากกว่า ที่มุ่งหมายกันอยู่มันเป็นเรื่องกำลังกายเสียมากกว่า ที่จริงมันเป็นกำลังจิตกำลังสติปัญญารวมอยู่ด้วย ถ้าเราเป็นนักกีฬาจริง ต้องมีกำลังจิตสูงนะ ถ้าจะเป็นนักกีฬาดีที่ดีที่ดีเลิศ มันต้องมีกำลังปัญญาด้วย ไหวพริบด้วย นี่เรียกว่ากำลังปัญญา ฉะนั้นถ้าเราทำครบถ้วนถูกต้องแล้ว พลศึกษานั้นจะต้องให้กำลังกายด้วย จะต้องให้กำลังจิตอันเข้มแข็งด้วย ต้องให้กำลังปัญญาอันฉลาดไหวพริบครบถ้วนด้วย มันเลยเป็นถึงสามกำลังเป็นอย่างน้อย ฉะนั้นอาจจะมีกำลังอย่างอื่นอีกก็ได้ ก็แล้วแต่เถิด แต่ดูเหมือนสามกำลังนี้มันจะพออยู่แล้ว คำว่ากำลังนี้ เป็นคำสำคัญ เล็งถึงสิ่งที่สำคัญ ในพระคัมภีร์ในพระบาลีนี้เราใช้กำลังศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นกำลังสำหรับทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน นี้มันเป็นกำลังปัญญาชั้นเลิศเลย
เอาล่ะ,เป็นอันว่า ถ้าเราจะทำให้พลศึกษาของเราสมบูรณ์ เราจะต้องเพ่งเล็งกำลังทั้งสามนี้นะ ให้ลูกเด็กๆ ของเรานั้นเขามีกำลังกายที่ถูกต้อง ให้ลูกเด็กๆ ของเรานั้นมันมีกำลังจิตที่เข้มแข็งเพียงพอ ให้มันมีกำลังปัญญาเฉลียวฉลาด ว่องไวทันเหตุการณ์อะไรเหล่านี้ด้วย เด็กๆ เหล่านี้ก็จะมีประโยชน์ในโลกหรือมีประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้ ทีนี้ท่านก็ไปตรวจสอบดูว่า ในหลักสูตรที่ท่านทำขึ้นนั้นมันจะให้ผลอย่างนี้หรือไม่ ท่านได้กล่าวถึงหรือไม่ หรือยังไม่ได้นึกถึงกันเลย ก็ควรจะมีความมุ่งหมายที่ตั้งไว้ให้มันชัดเจนว่าเราจะให้ยุวชนของเรามีกำลังอย่างน้อยถึง ๓ ชนิด กำลังกาย กำลังจิต กำลังสติปัญญา ฉะนั้นก็จัดระบบกีฬานั่นแหละให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการ
เดี๋ยวนี้นักเรียนของเราขาดกำลังที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือกำลังจิต มันบังคับตัวมันไม่ได้ ส่วนกำลังกายนี้ดูเหมือนจะสบายสมบูรณ์กันเกือบทุกคนทุกโรงเรียนทุกหนทุกแห่ง เด็กๆ ของเรามีสุขภาพดี พ่อแม่มันให้กินดี บำรุงรักษาดี เด็กๆ มันก็มีกำลังกาย แต่พอถึงทีกำลังจิต มันไม่ค่อยมี แล้วโรงเรียนก็ไม่ได้สอนเพราะการศึกษายังเป็นหมาหางด้วน ไม่ได้สอนเรื่องนี้ เด็กๆ จึงไม่มีกำลังจิตที่จะบังคับตัวเอง พอเกิดอะไรหน่อยมันก็โกรธ โกรธมันก็ชกปากกันเลย กระทั่งโตแล้วในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว มันยังยกพวกตีกัน คุณระวังให้ดีเถิด ระดับวิทยาลัยแล้วมันยังยกพวกตีกันตามที่มีข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ นั่นคือมันไม่มีกำลังจิต คือไม่มีกำลังจิตที่จะบังคับจิตให้อยู่ในร่องรอย ให้นึกถึงกำลังจิตให้มาก ฉะนั้นประสานกันหมด เพื่อเด็กของเรายุวชนของเราจะต้องมีกำลังปัญญาพอสมควรรู้จักตัวเองนะ กำลังปัญญาทำให้รู้จักตัวเองว่าคนนี้คืออะไร มันจะรู้จักตัวเองว่าคนนี้คืออะไร จะต้องทำอะไร แล้วมันก็จะต้องบังคับจิตให้ทำอย่างนั้นให้ได้ ถ้ามันไม่มีกำลังจิตแล้วมันจะบังคับจิตให้ยังคงเป็นคนไม่ได้หรอก มันจะต้องไปเป็นอันธพาล มันบังคับไว้ในร่องรอยของสัตบุรุษไม่ได้ มันก็ต้องเป็นอันธพาล ฉะนั้นเด็กๆ ของเราบังคับจิตไม่ได้ เพราะขาดกำลังจิตและขาดกำลังปัญญาในระดับพื้นฐานที่สุด คือความรู้ที่ว่ามนุษย์นี้คืออะไร เกิดมาทำไม เมื่อเขาไม่มีกำลังจิตจะบังคับตัวได้ เขาก็เหลวไหลหลายอย่างแหละ เขาจะขี้เกียจ เขาจะขี้เกียจเพราะเขาบังคับจิตไม่ได้ และเขาก็จะโง่ ดื้อดึงระเบียบ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ คือเขาบังคับจิตของเขาให้ทำตามระเบียบไม่ได้ เขาก็เป็นคนนอกระเบียบอยู่เรื่อย แล้วท่านทั้งหลายก็รู้ดีอยู่เองแล้วว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากเท่าไหร่ในการที่นักเรียนนักศึกษาเขาไม่อยู่ในกฎหรือในร่องรอยของระเบียบ ความวินาศของสำนักศึกษามันก็อยู่ที่นี่ ฉะนั้นจะต้องดูให้ดี ถ้าจะเอาความสำเร็จกันแล้ว เด็กของเราต้องมีกำลังจิตบังคับตัวเองให้เป็นไปตามความถูกต้องอยู่ในระเบียบ
หลักจริยธรรมพื้นฐานแต่โบราณที่พูดถึงกัน และพวกฝรั่งนั้นเขาเอามาพูดประเดิมเริ่มแรก เราก็เห็นด้วย แล้วถือเป็นหลักกันมาว่าต้องรู้จักตัวเอง แล้วก็ต้องเชื่อตัวเองว่าเราจะทำได้ แล้วก็บังคับตัวเองให้ทำ และทำแล้วก็พอใจในตัวเอง พอใจตัวเองก็เคารพนับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละจุดจบมันอยู่ที่นั่น ถ้าทำจนถึงกับเกิดความเคารพตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วมันก็พอ ทีนี้เด็กๆ ของเราไม่ประสีประสา เคยเห็นเด็กคนไหนมันทำดี พอใจตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้บ้าง มันจะไม่มี แต่ในระบบของจริยธรรมหรือศาสนาก็ตาม เขามี คนเราจะต้องรู้จักตัวเองว่าเป็นอะไร เป็นอย่างไร เป็นทำไม เป็นมนุษย์นี้จะต้องทำอะไร จะได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์นั้นคืออะไร แล้วถัดมา เราต้องเชื่อตัวเองว่าเราทำได้แน่ แล้วทีนี้เราก็มีการบังคับตัวเองให้ทำให้ได้จริงๆ ประสบความสำเร็จแล้วก็พอใจตัวเอง เมื่อพอใจตัวเอง มันก็รักนับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันอยู่ที่ตัวเอง ตัวเอง ตัวเองทั้งนั้นแหละ รู้จักตัวเอง เชื่อตัวเอง บังคับตัวเอง พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นั่นแหละมันจบแล้ว,เรื่องมัน
นี่เป็นหลักจริยธรรมพื้นฐาน ถ้าว่าเราจัดให้ลูกเด็กๆ ของเราเป็นอย่างนี้ได้แล้ว นั่นแหละคุณประสบความสำเร็จแล้วในการจัดพลศึกษา ซึ่งมีจริยศึกษาอย่างยิ่งและเป็นยอดของกีฬา คือว่าเด็กของเราจะมีกำลังกาย กำลังจิต กำลังปัญญา แล้วก็เอามาใช้กับชีวิตจิตใจได้ถูกต้องครบถ้วน เรื่องมันก็จะจบ ฉะนั้นหลักสูตรของเรา จะต้องวางไว้ด้วยความมุ่งหมายอย่างนี้ และมีแนวปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลอย่างนี้ นี่อาตมาขอเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าอย่างนี้
ทีนี้ก็พิจารณาปลีกย่อยกันสักหน่อยว่า เราจัดกีฬากันทำไมในปัจจุบันนี้ เราจัดกีฬากันทำไม เอาเรื่องจริงของท่านทั้งหลายก็ได้ ที่อาตมารู้สึกเห็นๆ อยู่ จัดกีฬาเพราะเห่อตามฝรั่งหรือชาวโลกเขาเห่อกัน เราก็จัดกีฬาเห่อตามเขาด้วย แล้วบางทีก็เพื่อค่าจ้างรางวัลอันมีค่าด้วยซ้ำไป นั่นแหละเป็นเหตุให้เห่อ เกียรติยศชื่อเสียงเป็นเหตุให้เห่อ จัดกีฬาเพราะเห่อตามฝรั่งนี้ก็มี ทีนี้จัดกีฬาเพราะว่ามันสนุกดี,มันสนุกดี ความสนุกนั่นแหละเป็นเหตุให้เราชอบกีฬาแล้วก็จัดกีฬา ไม่ต้องเห่อตามใครก็ได้ เพราะใครๆ มันก็รู้จักสนุกเป็น ชอบสนุกเป็นด้วยตนของตนเอง จัดกีฬาให้มันสนุก ใครๆ ก็ชอบ เมื่ออาตมาเด็กๆ ก็ชอบเหมือนกันแหละ เพราะมันไม่มีใครสอน มันรู้สึกขึ้นมาได้เอง เพียงแต่เห็นเขาเล่นมันก็สนุก ก็เอาด้วย นี่จัดกีฬาเพราะเห่อหรือว่าเพราะมันสนุกดีนี้มันไม่ถูกนะ
ขอให้มองเห็นว่า จัดกีฬานี้ต้องเพื่อความมีน้ำใจนักกีฬาซึ่งเป็นศีลธรรม น้ำใจนักกีฬานั่นแหละคือตัวศีลธรรม นี่พูดกันมาแล้วในการบรรยายครั้งนั้นก่อนว่า ความมีใจเป็นนักกีฬานั่นแหละหมายถึงความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาถูกเอาผิดด้วยความคิดของตัว เอาความถูกต้องของส่วนรวมเป็นเรื่องถูกต้อง ไม่ใช่เอาตามใจชอบของตัว นั่นแหละเรียกว่านักกีฬา แล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวแม้แต่สักนิดหนึ่ง มันก็หมดความเป็นนักกีฬา ในสนามกีฬาที่มันเตะต่อยกันอย่างเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีระเบียบ มันความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนั้นมันก็เป็นเหตุให้ทำผิด ฉะนั้นความเห็นแก่ตัวนั้นไม่ใช่ศีลธรรม ต้องไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ความถูกต้อง นั้นคือศีลธรรม ฉะนั้นกีฬาวงไหน บ่อนไหน มันไม่เห็นแก่ตัว มันเอาตามกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง แล้วมันก็เป็นนักกีฬา แต่ถ้ามันคอยจะเอาเปรียบอยู่เสมอ ในใจคอยจะเอาเปรียบอย่างคดโกงอยู่เสมอแล้ว ก็ไม่มีความเป็นนักกีฬา
เดี๋ยวนี้อาจารย์สอนนักกีฬาที่เขาเรียกกันว่าโค้ช (coach) หรือว่าอะไรก็ไม่ทราบนะ ที่จ้างมาสอนกีฬานั้น เท่าที่ฟังดู มันมาสอนวิธีเอาเปรียบทั้งนั้น คือมาสอนไม่ให้เป็นนักกีฬา มาสอนวิธีเอาเปรียบ แม้แต่ว่าจะป้องกันเขาเอาเปรียบมันก็ไม่ใช่วิเศษอะไรนัก น้ำใจนักกีฬามันต้องให้เป็นไปตามถูกต้องยุติธรรมตามกฎเกณฑ์ที่เป็นธรรมและทำลายความเห็นแก่ตัว อาตมาอยากจะพูดว่ากองเชียร์ที่แต่ละฝ่ายๆ เอามาเชียร์พวกตัวนั่นแหละคือความไม่มีศีลธรรม ความไม่มุ่งหมายที่จะมีศีลธรรม มันมาเชียร์พวกของตัว ในใจมันนึกสาปแช่งฝ่ายตรงกันข้ามอยู่เรื่อย คนเหล่านั้นก็มาหัดความไม่มีศีลธรรม พอกพูนความเห็นแก่ตัว ฉะนั้นอย่ามีเลยกองเชียร์ชนิดนั้น มันจะฝึกกองเชียร์ทั้งกองให้เป็นคนไม่มีศีลธรรม มีจิตใจที่ลำเอียงเห็นแก่พวกตัวเท่านั้น ไม่ปรบมือให้กับฝ่ายตรงกันข้าม แม้เขาจะทำดีอย่างไร ได้ยินเขาว่าอย่างนั้นนะ อาตมาก็ไม่ค่อยได้ไปดู แต่ว่าเมื่อฝ่ายตรงกันข้ามเขาทำดีที่สุด กองเชียร์ฝ่ายนี้มันไม่เคยปรบมือให้ บางทีมันยังนึกแช่งด่าอยู่ในใจ ฉะนั้นกองเชียร์นั้นคือหัดความไม่เป็นนักกีฬา และตัวนักกีฬาที่กำลังเล่นอยู่ มันก็มุ่งแต่จะเอาชนะ เพราะฉะนั้นจึงโกง โกงจนเขาจับได้ ต้องลงโทษต้องอะไรกันก็มี
นี่ถ้าว่ามันเป็นนักกีฬาจริง มันรักษาระเบียบ วิญญาณแห่งกีฬาจริง มันก็ไม่มีเรื่องอย่างนี้ แล้วกีฬานั้นก็จะเป็นศีลธรรม เพราะว่าฝึกคนให้มีธรรมมีศีลธรรม ตัวกีฬานั่นแหละเป็นตัวศีลธรรมถ้าว่าเล่นให้ถูกให้ดีให้จริง หรือว่าอย่างน้อยที่สุด ก็ให้กีฬานั่นแหละเป็นเครื่องมือ เป็นโอกาส เป็นเหตุปัจจัยอะไรก็ตามสำหรับฝึกมนุษย์ให้มีศีลธรรม ให้มนุษย์มันมีศีลธรรม ฉะนั้นกีฬาจึงเป็นของเทพเจ้า เป็นของดี มาจากสวรรค์ ไม่ใช่มาจากนรก แต่ถ้าเราเอามาเล่นชนิดที่เอาเปรียบเมื่อไหร่ได้เอาเปรียบแล้ว ก็เป็นกีฬามาจากนรกแหละ กีฬาที่มาจากภูตผีปีศาจ ไม่ได้มาจากเทพเจ้า
ฉะนั้นขอให้เพ่งเล็งถึงข้อนี้ แล้วก็มีหลักสูตรระเบียบกฎเกณฑ์ของกีฬาให้ดีๆ ให้มันถูกต้อง ให้กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน ได้จริงๆ เดี๋ยวนี้มันว่าแต่ปาก แต่พอไปเล่นจริง มันไม่เป็นคน คือมันเป็นผู้เอาเปรียบ คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบ อย่างนี้ให้เล่นกีฬาจนตายแล้วตายอีกมันก็ไม่เป็นคนได้หรอก เพราะมันไม่แก้กองกิเลส เพราะว่ามันเพิ่มกิเลส นี่จัดกีฬากันทำไม ขอให้ตอบได้ทันทีว่า เพื่อความมีศีลธรรม เพื่อฝึกคนให้มีจิตใจเป็นน้ำใจนักกีฬา มีวิญญาณนักกีฬา แล้วก็มีศีลธรรมแพร่หลายออกไปทั้งโลก หรือจะพูดเข้าข้างตัวหน่อยก็ว่า จัดกีฬาเพื่อเป็นปัจจัยที่ห้าอย่างที่ว่ามาแล้ว เพื่อความสนุกแห่งใจ ซึ่งมนุษย์จะขาดเสียไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่มีทางผิดหรอก แล้วมันเข้ากับกฎของธรรมชาติ เราจัดกีฬาเพื่อเป็นปัจจัยที่ห้า เป็นปัจจัยทางวิญญาณ เป็นมหรสพทางวิญญาณ เพราะว่ามนุษย์เราขาดมหรสพไม่ได้ มันเป็นปัจจัยที่ห้าที่จำเป็น ก็เลยถือเอากีฬานี้ไปเป็นปัจจัยที่ห้า
ทีนี้จะจัดรูปกีฬากันอย่างไร ก็ไปพิจารณาดูให้ดี เราอาจจะจัดในรูปที่ปลอดภัย คือไม่มีทางที่จะเอาเปรียบกัน ไม่มีทางที่จะเปลืองมาก ไม่มีทางที่จะเป็นอันตราย เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งเขาเริ่มรู้สึกกันแล้วว่ากีฬามวย ต่อยกันถึงเป็นถึงตาย นี้มันกีฬาบ้า เขาเตรียมที่จะเสนอที่จะเลิกกีฬามวยหรือกีฬาชนิดกีฬามวยที่ต่อยกันจนตายนี้ เพราะว่าเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันไม่ถูกต้องแล้ว มันเกินขอบเขตของกีฬาแล้ว มนุษย์ควรจะไม่โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันไม่อยากจะกัดกัน แล้วมันก็ไม่ใช่กัดกันจนตาย แต่มนุษย์จะมากัดกันโดยใช้กีฬาบังหน้า แล้วก็เอากันจนตาย อย่างนี้มันก็ไม่ดีกว่าสัตว์ หรือมันอาจจะเลวกว่าสัตว์ ฉะนั้นเราควรจะนึกถึงว่า เราจะไม่จัดกีฬาด้วยความโง่ ที่ทำไปด้วยความโง่ชนิดนั้น กระทั่งว่าเปลืองมาก ลำบากมาก ยุ่งยากมาก อย่างไปแข่งกันทั่วโลกนี้มันก็เปลืองมาก ไปดูเสียให้ดีว่ามันได้ผลคุ้มค่ากันหรือไม่ ต้องดูด้วยความบริสุทธิ์ใจ วินิจฉัยด้วยความบริสุทธิ์ใจว่ามันคุ้มค่า มันเป็นผลดีสำหรับมนุษย์ เป็นวัฒนธรรม เป็นอารยธรรม ไม่ใช่เป็นเครื่องมือป่าเถื่อนสำหรับจะใช้กิเลสของตน
ก่อนนี้บ้านนอก อาตมาอยากจะเล่า ไม่ต้องปิดบังอะไร บ้านนอกกันแถวนี้นะ มันมีหนุ่มๆ โกรธเคืองขัดใจอะไรกันแล้วมันก็สั่งไว้ว่า เขาใช้คำว่าลากพระหรือแห่พระทุกปีประจำปีก็มีกีฬามวย มันก็ฝากไว้ว่าถึงวันแห่พระ แล้วคู่ที่มันขัดใจกันนั้นมันก็มาจับคู่มวย แล้วได้ต่อยกันตามพอใจเลย ถ้าอย่างนี้กีฬามันก็กลายเป็นเครื่องมือหรือโอกาสล้างแค้นแก้แค้นเท่านั้น มันไม่ใช่กีฬา นี่สัญชาติของมนุษย์มันทำผิดได้ถึงอย่างนี้ ฉะนั้นเราควรจะระวังให้ดีว่า อย่าให้กีฬากลายเป็นโอกาสสำหรับใช้กิเลสสิ ให้มันเป็นโอกาสสำหรับสติปัญญาสิ แล้วฝึกฝนกำลังอย่างที่ว่า แล้วก็สนองความต้องการของธรรมชาติที่ว่ามนุษย์เราต้องมีความเพลิดเพลิน,ต้องมีความเพลิดเพลิน บางคนเขามีความคิดแหวกแนว กีฬาของเขาก็คือขุดดินทำสวนครัว ขุดดินทำสวนครัวสนุกไปเลย นั่นคือกีฬาของคนคนนั้น ก็เคยมี อย่างนี้มันก็น่าสนใจเหมือนกัน กีฬาไปอยู่ที่โรงเรียนเกษตรกรรมเสียสิ อย่ามาอยู่ที่โรงเรียนพลศึกษาสิ นั้นมนุษย์ก็จะได้รับประโยชน์หรือปลอดภัย
กีฬานั้นจะใช้อะไรก็ได้ ขอให้ได้ความเพลิดเพลินที่บริสุทธิ์เป็นปัจจัยแก่ชีวิตทางด้านจิตใจ ให้ได้ความสนุกสนานที่บริสุทธิ์ที่มีประโยชน์ แล้วก็ให้คนมีกำลังกาย มีกำลังจิต มีกำลังสติปัญญา คุณจะเขียนลงไปว่าอย่างไร ว่าความมุ่งหมายของกีฬา อาตมาจะเขียนว่า ให้มันมีกำลังกาย กำลังจิต กำลังปัญญา แล้วก็หาความพอใจเหมือนกับมหรสพให้แก่จิตใจพร้อมกันไปในตัว นี่คือสปิริตที่แท้จริงของสิ่งที่เรียกว่ากีฬา จึงพอจะเห็นได้กันแล้วกระมังว่า กีฬานั่นแหละคือศีลธรรม อย่างน้อยก็เป็นปัจจัยแห่งศีลธรรม คือความมีจิตเป็นนักกีฬา ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ผู้อื่นนัก,ก็ไม่ใช่ แต่ว่าเห็นแก่ความถูกต้อง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ประโยชน์ของตัว เห็นแก่ธรรมะนี้ดีกว่าเห็นแก่ผู้อื่นเสียอีกนะ เราเห็นแก่ตัวนี้มันเลวมาก เราเห็นแก่ผู้อื่นมันดีกว่า แต่ถ้าเราเห็นแก่พระธรรมแล้ว มันยิ่งดีกว่าแหละ
ฉะนั้นจัดกีฬาชนิดที่มันจะบูชาธรรมะ บูชาความตรงความถูกต้องความยุติธรรม ไม่มีคดโกงเอาเปรียบแทรกแซงอยู่ กีฬาเป็นศีลธรรม นับตั้งแต่ทำความปรกติทางกาย และปรกติทางจิต และปรกติทางสติปัญญา สีละๆ คำนี้แปลว่าปรกติ ถ้ายังไม่ทราบ ก็ช่วยทราบเสียด้วยว่า ตามภาษาบาลีนั้น คำว่าสีละนั้น แปลว่าปรกติ รับศีลรับพร รับศีลนั่น รับระบบปฏิบัติไปทำให้เกิดความปรกติ อย่างนี้เรียกว่ารับศีล ศีลแปลว่าปรกติ มีความปรกติทางกายก็ได้โดยกีฬา มีปรกติทางจิตก็ได้โดยกีฬา มีปรกติทางสติปัญญาก็ได้โดยกีฬา ฉะนั้นกีฬาก็ให้เกิดความปรกติได้มาก เพราะฉะนั้นกีฬาก็เป็นศีลธรรมคือสิ่งที่ทำความปรกติ อย่างนี้มันได้บุญไปเลย ถ้าใครจัดกีฬากันอย่างนี้แล้ว ประเสริฐสูงสุด ได้บุญอันสูงสุดไปเลย คือทำให้มนุษย์มันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ แล้วก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรม คือความเจริญของมนุษย์ ถ้าเราจัดกีฬากันแบบนี้ กีฬานี้ก็เป็นวัฒนธรรมคือความเจริญของมนุษย์ แต่ถ้าเราจัดกีฬาแบบที่ไม่มีความเป็นธรรมหรือไม่มีความสูงทางจิตใจอะไรเลยนี้ กีฬานี้ไม่ใช่วัฒนธรรมหรอก มันก็เป็นหายนธรรม เป็นความเลวทราม เป็นความเลวร้าย ยิ่งกว่าคนป่าสมัยโน้นเสียอีก คนป่าเล่นกีฬาอย่างนี้ไม่เป็น ต่อเมื่อค่อยเล่นเป็นๆ ก็เรียกว่าวัฒนธรรม,โว้ย วัฒนธรรม,โว้ย แต่เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมเลยเถิด จนเป็นทำลายธรรมะเสียเอง ไม่มีความเป็นธรรมะ มันก็ไม่เป็นวัฒนธรรม มันก็ย้อนไปเป็นความเลวร้ายยิ่งกว่าคนป่าที่ไม่มีวัฒนธรรมทีแรกนั่นเสียอีก
ฉะนั้นขอให้ช่วยกันรักษาไว้ให้ดีว่า ให้กีฬานี้ยังคงเป็นวัฒนธรรม คือเป็นศีลธรรมนั่นแหละ เราเห็นว่า ศีลธรรมนั่นแหละคือวัฒนธรรมบริสุทธิ์ของมนุษย์ แล้วให้กีฬาเป็นวัฒนธรรม ฝึกน้ำใจนักกีฬา คือไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ความถูกต้อง จะพูดให้เป็นบุคคลมาก ก็ว่าเห็นแก่พระเจ้า พระเจ้าชอบความถูกต้อง ถ้าเล่นกีฬาถวายพระเป็นเจ้ากันจริงๆ แล้ว ก็ต้องเล่นชนิดที่ถูกต้อง ถ้ากีฬาโกง พระเจ้าก็ลงโทษนักกีฬาตายโหงหมด ฉะนั้นที่เขาเล่นกีฬากันแต่สมัยโบราณโน้น ได้ยินว่าเพื่อเป็นการบูชาพระเจ้าพระเป็นเจ้า สมัยโรมัน,สมัยกรีก,สมัยก่อนโน้นนั้นเล่นกีฬาบูชาพระเป็นเจ้า ก็คือฝึกหัดความเป็นธรรมนั่นเอง ฝึกหัดความอยู่ในร่องรอยของความยุติธรรม ไม่มีบทเรียนไหนดีเท่ากับบทเรียนกีฬาที่จะมาฝึกตนให้เป็นคนเห็นแก่ธรรม อยู่ในธรรม ไม่เห็นแก่ตัว นี่มันจึงเหมาะสมที่จะบูชาพระเป็นเจ้า แล้วก็บูชาธรรม บูชาธรรมะไปเลย
ฉะนั้นถ้าเรามีกีฬาโดยถูกต้อง มันก็เป็นเครื่องบูชาธรรมะไปเลย บูชาพระเป็นเจ้าไปเลย น่าเลื่อมใส ความหมายของคำว่าน้ำใจนักกีฬา,น้ำใจนักกีฬา ซึ่งเมื่อก่อนนี้ฝรั่งเขาก็เป็นครูได้ดีมากน้ำใจนักกีฬา แต่เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนมากแล้ว จนไม่มีใครจะดีกว่าใครอยู่แล้ว น้ำใจนักกีฬามันค่อยๆ จางไปๆ จนเป็นน้ำใจของกู ความต้องการของกู ของกิเลสของกู กีฬาเลยกลายเป็นกิเลส คนเลยกลายเป็นเปรต มันก็ไม่ไหวสิ ฉะนั้นขอให้กีฬายังคงเป็นกีฬาตามความหมายเดิมของธรรมชาติ หล่อเลี้ยงมนุษย์ให้บันเทิงรื่นเริงอยู่เสมอ แล้วก็เพิ่มกำลังกาย เพิ่มกำลังจิต เพิ่มกำลังสติปัญญาอยู่เสมอ
อยากจะพูดเรื่องคำว่าไม่เห็นแก่ตัว อีกสักนิด ท่านทั้งหลายอาจจะเข้าใจว่า ความไม่เห็นแก่ตัวนี้เป็นศีลธรรมต่ำๆ มีอยู่ตามถนนหนทาง ตามบ้านตามเรือนของประชาชนเดินดิน,ไม่เห็นแก่ตัว ไม่รู้ว่าคำว่าไม่เห็นแก่ตัวนั้น ความหมายมันสูงลิบไปถึงพระอรหันต์ ความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละมันเกิดกิเลสไม่ได้ เกิดโลภะไม่ได้ เกิดโทสะไม่ได้ เกิดโมหะไม่ได้ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว เกิดโลภะก็เพราะเห็นแก่ตัว เกิดโทสะเมื่อไม่ได้ตามใจตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็ทำให้โกรธ เลยเกิดโทสะ แล้วเห็นแก่ตัวนี้เป็นเหตุให้ทำอะไรเกินขอบเขต ทำอะไรให้ไม่ถูกต้อง ทำให้หลงใหล ทำให้ประมาทอวดดีเป็นความโง่หรือเป็นโมหะไป ฉะนั้นเห็นแก่ตัวเมื่อไหร่ ก็จะเต็มไปด้วยโลภะโทสะโมหะ ทีนี้เมื่อหมดความเห็นแก่ตัวหมดกิเลส ก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ คือไม่มีตัวที่จะยึดถือเป็นตัวกู-ของกู ไม่เกิดกิเลส ไม่มีทางจะเกิดกิเลส นั่นแหละคือพระอรหันต์ เรียกว่าผู้ไม่มีความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวโดยประการทั้งปวง
ที่เขาพูดว่า เห็นแก่ตัวอยู่ตามถนนหนทางตามร้านตลาดนั้นมันเป็นความเห็นแก่ตัวระดับต่ำๆ ของคนค้าคนขายชาวไร่ชาวนา อะไรเห็นแก่ตัว ขูดรีดกันบ้างทางเศรษฐกิจ นี้ก็เห็นแก่ตัวอย่างนี้ ยังเล็กน้อยเกินไป แต่ถ้ามันเจริญขึ้นเมื่อไหร่แล้วมันก็จะเกิดโลภะโทสะโมหะ ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ก็ต้องไม่เกิดโลภะโทสะโมหะ ในที่สุดความไม่เห็นแก่ตัวก็เป็นพระอรหันต์ แต่การที่จะไม่เห็นแก่ตัวขนาดนั้นมันต้องรู้มากกว่านี้มาก รู้มากกว่าเรื่องกีฬาธรรมดาชนิดนี้มาก คือรู้จนไปถึงว่าโดยที่แท้แล้วมันไม่มีตัว มันมีแต่ธรรมชาติปรุงแต่ง แล้วก็หลอกให้เห็นว่าเป็นตัว จิตซึ่งเป็นเพียงธรรมชาตินี้มันเดินทางผิด จนเกิดความคิดว่า มีตัว มีตัวกูมีของกู แล้วก็เห็นแก่ตัว แล้วก็เกิดกิเลส แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เล่นกีฬานี้มันจะทำลายความเห็นแก่ตัวทุกชนิดแหละ ขอให้เล่นกีฬาด้วยบูชาความเป็นธรรม บูชาความถูกต้อง มันจะกำจัดความเห็นแก่ตัวได้ทุกชนิดเหมือนกัน แต่มันต้องนานหน่อย ต้องยาวหน่อย ต้องค่อยทำค่อยไป
เอาล่ะ,สรุปความกันเสียทีว่า เราเล่นกีฬาเอาอะไร เราเล่นกีฬาอย่างไร เราฝึกฝนการกีฬากันอย่างไร ท่านพิจารณาข้อนี้เถิด แล้วจะร่างหลักสูตรได้ดีที่สุด เราเล่นกีฬาเพื่อจะเอาอะไร นี่ข้อแรก ข้อที่สองว่า เราเล่นกีฬากันอย่างไร ที่เราทำกันอยู่จริงๆ นี่ ที่เลวที่ไม่ถูกเป็นอย่างไร ที่ดีที่ถูกเป็นอย่างไร และเราฝึกกีฬากันอย่างไร โรงเรียนฝึกกีฬาวิทยาลัยฝึกพลศึกษานี้ฝึกกันอย่างไร ตอบปัญหาเหล่านี้ให้ถูกต้องที่สุด แล้วมีแนวปฏิบัติเพื่อมีผลอย่างนั้นจริงๆ เรื่องก็จะจบ ที่เกี่ยวกับว่าจะมีจริยธรรมแก่กิจกรรมกีฬาหรือพลศึกษา
เราเล่นกีฬาเอาอะไรกัน,โว้ย ถามดูนั่น เพื่อความสนุก,โว้ย เพื่อเอาหน้าเอาตา,โว้ย ดูจะหยุดอยู่แค่นี้นะ ที่สมัยนี้มันจะหยุดอยู่แค่นี้ มันไม่เลยไปถึงว่าบูชาพระเจ้า บูชาความเป็นธรรม กำจัดกิเลสในภายใน มันไม่เลยไปถึงนั่น ฉะนั้นกีฬาสมัยปัจจุบัน มันก็คือย้อนกลับไปตกต่ำ ตกต่ำกลับลงไปหาความไม่มีกีฬา ก่อนที่มนุษย์จะพัฒนากีฬาขึ้นมา
เล่นกีฬาอย่างไรกัน ก็เล่นกีฬาอย่างที่เล่นกันอยู่เดี๋ยวนี้ เพื่อจะอวดมากกว่า เพื่อจะเอาเกียรติมากกว่า แล้วก็มีผลประหลาดๆ ที่เราทราบจากหนังสือพิมพ์ว่า ประเทศหนึ่งที่ว่าจะชนะอยู่หยกๆ แล้ว มีเหตุผลที่ควรจะชนะอยู่หยกๆ แล้วมันกลับแพ้ แล้วคนเมืองของเขาคลั่งกันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วมีคนแค้นมาก แก้แค้นแทน จนฆ่าตัวตาย ๑๑ คน ที่หนังสือพิมพ์มันลง เพราะกีฬาประเทศเขาแพ้ เสียเกียรติแก่ประเทศ นี้มันบ้าหรือดี นี่เล่นกีฬาอย่างไรกัน เล่นกีฬาอย่างจะอวด ถ้าไม่ได้อวดหรืออวดไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย หรือหักห้ามใจไม่ได้ก็เป็นบ้าเป็นโรคประสาทเพราะว่าเขาแพ้กีฬา
ข้อสุดท้ายว่า จะฝึกกีฬาอย่างไรกัน นี่คงจะเป็นปัญหาของท่านทั้งหลายที่เป็นครูบาอาจารย์ตามวิทยาลัยฝึกกีฬา พลศึกษา ก็ฝึกให้มีผลอย่างที่พูดมาแล้ว ไปสร้างความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจสูง ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความถูกต้องหรือธรรมะ เดี๋ยวนี้มีเสียงพูดมาหนาหูยิ่งขึ้นว่า การฝึกกีฬาในโรงเรียนที่เป็นสหศึกษานี้มีกลิ่นไม่ดี โรงเรียนหรือวิทยาลัยที่เป็นสหศึกษารวมๆ กันอยู่ทั้งหญิงทั้งชายนั้น การฝึกกีฬาฝึกพละมีกลิ่นไม่ดี เอาไปนึกถึงด้วย แล้วเขียนป้องกันไว้ในหลักสูตรด้วย อย่าให้มันระบือต่อไป ความใกล้ชิดของเพศนี้มันเป็นโอกาสของกิเลสนะ ถ้าน้ำใจนักกีฬาไม่พอ มันก็กระโจนไปตามกิเลส นี่ฝึกกันอย่างไร ก็ฝึกให้สำเร็จ เป็นนักกีฬาที่พอจะเปิดเผยตัวเองได้ว่ามีความเป็นธรรม เป็นที่พอใจของพระเจ้า พระเป็นเจ้าจะพอใจคนที่น้ำใจเป็นธรรม
หลักสูตรที่วางขึ้นหรือระเบียบที่มีขึ้นไม่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องล้มละลาย ฉะนั้นขอร้องว่าการที่จะวางหลักสูตรวางระเบียบอะไร ขอให้ดูอย่างสุขุมรอบคอบ รอบคอบรอบด้าน ลึกซึ้ง ตื้นลึกหนาบางอะไรก็ตาม ขอมันให้รอบคอบ แล้วเพ่งผลอย่างที่อาตมาว่านี้ ให้มีมนุษย์ที่มีน้ำใจนักกีฬา กิเลสเกิดไม่ได้ และเพื่อความสมบูรณ์เข้มแข็งมีกำลังทางกาย ทางจิต ทางสติปัญญาด้วย ทางกายมีอนามัยสมบูรณ์ ทางจิตมีจิตเข้มแข็งบังคับตัวได้ในทางที่จะไม่ทำผิดและทำให้ถูกอยู่เสมอ ในทางปัญญานั้นมีไหวพริบว่าจะต่อสู้อย่างไร ป้องกันอย่างไร แก้ไขอย่างไร นั่นมันมีปัญญา และเป็นปัญญาชนิดที่รวดเร็วด้วย เพราะว่าการเล่นกีฬาทุกรูปแบบ มันเล่นอยู่ในลักษณะว่องไวรวดเร็วเป็นฟ้าแลบทั้งนั้น ไม่ใช่มาเป็นเต่าคลาน นั้นมันไม่ค่อยจะมีเวลาที่จะคิดจะนึก ฉะนั้นเราต้องรวดเร็ว ต้องมีสติปัญญารวดเร็ว มีไหวพริบรวดเร็วให้มันพอดี ที่ฝึกให้มีสติรวดเร็ว ปัญญารวดเร็ว ไหวพริบรวดเร็วนั่นแหละดีมากที่สุดเลย ฉะนั้นกีฬาก็ต้องเป็นของดีแน่ถ้ามีความหมายที่ถูกต้องตามที่ธรรมะต้องการ เป็นธรรมะกีฬา แต่คนเขาจะโห่เอานะ จะเขียนว่าธรรมะกีฬานี้ คนเขาจะโห่ แต่ที่จริงมันเป็นอย่างนั้นแหละ กีฬานี้ต้องเพื่อธรรมะ พระอริยเจ้าท่านก็มีกีฬา เป็นอริยกีฬาของท่านไม่มีจุดด่างพร้อย การเข้าสมาบัตินั้น ออกสมาบัตินี้ เข้าสมาบัติโน้น ออกสมาบัตินั้น หรือแม้แต่ท่านจะแสดงปาฏิหาริย์แผลงฤทธิ์อะไรบ้างอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น ก็เป็นกีฬาของท่านเหมือนกัน แต่ไม่มีข้อควรตำหนิ เพราะว่าไม่ได้ทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์เป็นวัตถุส่วนตัว เพราะว่ากีฬาเป็นสิ่งที่ต้องมีตามสัญชาตญาณ สิ่งที่มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกแล้ว ต้องการความเพลิดเพลินตามสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ฉะนั้นเราต้องหาป้อนให้มัน ถ้าไม่ป้อนให้มัน มันจะไม่ปรกติ แต่ถ้าป้อนจนเลยเถิด มันก็ไม่ปรกติเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้อยู่ในลักษณะที่พอดี เป็นความพอดีอย่างยิ่ง ก็หมดปัญหาในการที่มนุษย์หรือสัตว์มีชีวิตได้เกิดขึ้นมาสำหรับจะเจริญงอกงาม จะอยู่กันเป็นผาสุก ขออย่าได้ทำอะไรผิดไปจากกฎของธรรมชาติอันลึกซึ้งนี้เลย
อาตมาขอยุติการบรรยาย เพราะว่ามันเหนื่อยแล้ว ไม่ใช่เพราะหมดเวลา ขอให้ท่านทั้งหลายเก็บไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการร่างหลักสูตรจริยธรรมจริยศึกษา สมตามความปรารถนาทุกๆ ประการเทอญ