แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ้า, ต่อไปนี่จะขออนุโมทนาด้วยการทำความเข้าใจกันภาษาไทยบ้าง แล้วจึงค่อยโดยภาษาบาลีทีหลัง ขอให้ทุกคนทำใจให้ถูกต้อง จะได้บุญได้กุศลมาก คืออย่าทำด้วยจิตใจที่แคบ การทำบุญนี้ไม่ใช่เพื่อประโยชน์เราคนเดียวจะได้สวรรค์วิมาน นั่นมันแคบ มันได้เท่านั้น มันได้เท่านั้นและได้คนเดียว ควรจะทำจิตใจกว้างว่าการบำเพ็ญบุญในลักษณะส่งเสริมให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกนั้น มันเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลกทั่วจักรวาล ใช้คำว่าอย่างนั้นดีกว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมวินัยคือศาสนานี้ตั้งอยู่เพื่อประโยชน์แก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ คือไม่จำกัด ถ้าเราทำให้พระศาสนายังมีอยู่ในโลก ประโยชน์ก็จะเกิดขึ้นแก่เทวดาและมนุษย์นี้มันไม่จำกัด เทวดาคือคนที่ไม่รู้จักเหงื่อ คือสบายแล้ว แต่ก็ยังมีกิเลส ยังต้องการธรรมะอยู่นั่นเอง มนุษย์ยังรู้จักเหงื่อ ยังไม่สบายเหมือนพวกเทวดา แต่ก็ยังมีกิเลส ยังต้องการธรรมะอยู่นั่นเอง ดังนั้นการที่ทำให้ธรรมะยังมีอยู่ในโลก ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์อย่างนี้ เราทำในใจอย่างนี้มันกว้าง บุญมันจึงใหญ่หลวง และการคิดอย่างนี้มันทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าจะเอาสวรรค์วิมานไปนอนสบายอยู่คนเดียว นั่นมันอาจจะเพิ่มความเห็นแก่ตัว และมันอาจจะเป็นการค้ากำไรเกินควรไม่ทันรู้ตัวก็ได้เหมือนกัน เพื่อความปลอดภัยขอให้ทายกทั้งหลายจงตั้งใจว่า การบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนานี้เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั่วไปทั้งจักรวาล ที่เขาจะได้รับประโยชน์ในเมื่อธรรมะมันมีอยู่ในโลก มันเป็นโลกเย็น คนทั้งโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ ทั้งที่ว่ารู้จักกันหรือไม่รู้จักกันก็ตามล้วนแต่ได้รับประโยชน์ ถ้าเดรัจฉานก็ได้รับประโยชน์เพราะว่าถ้าคนมีธรรมะก็เบียดเบียนสัตว์เดรัจฉานน้อยเข้า แม้แต่พฤกษาชาติก็ได้รับประโยชน์ ถ้าคนมีธรรมะแล้วเขาก็ทำลายป่าน้อยลง แม้แต่ตัวโลกแผ่นดินแท้ๆ ก็ได้รับประโยชน์ เพราะถ้าคนมีธรรมะแล้วมันไม่ล้างผลาญทรัพยากรของธรรมชาติอย่างไม่มีจุดหมายในอย่างทุกวันนี้ มันรู้จักพอ รู้จักควบคุม จึงกล่าวว่าถ้ามีธรรมะแล้วมีประโยชน์ทั่วทั้งจักรวาล ขอให้ทำในใจอย่างนี้แล้วได้ผลกว้างใหญ่มหาศาลตามความประสงค์จงทุกๆ คนเถิด (สวดมนต์) ไม่กรวดน้ำล่ะ ไม่นำกรวดน้ำล่ะ หัวหน้า อ้าว, หัวหน้านำกรวดน้ำไม่ได้ ทีหลังต้องเตรียมมา พิธีไม่สมบูรณ์ถ้าไม่ได้กรวดน้ำ
อบรมคณะอาจารย์จากวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ ที่หินโค้ง เวลา 20.00 น. วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2524
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายพิเศษตอนนี้อยากจะกล่าวโดยหัวข้อว่า การที่จะต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ศีลธรรมกำลังอยู่ในฐานะที่จะสูญหายไปจากโลก ฟังดูมันก็คล้ายๆ กับจะเกินไปแต่ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมที่เคยช่วยโลกมาเป็นเวลานาน เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกเหยียบย่ำก็มี ถูกเอาไปใช้เป็นอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของศีลธรรมก็มี และที่ไม่มองเห็นความสำคัญก็ไม่ยอมให้มีศีลธรรมมีสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมก็มี แล้วยังยืมเอาคำว่าศีลธรรมไปใช้สำหรับสิ่งที่ไม่ใช่ศีลธรรมเสียก็มี ขอให้มองดูให้ดีเถอะ ว่านี่คือปัญหาเฉพาะหน้าของมนุษย์ที่จะทำโลกนี้ให้วินาศเพราะความไม่มีศีลธรรม ศีลธรรมไม่มีมันก็อยู่ไม่ได้ มันก็กลับเป็นสัตว์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน มีศีลธรรมรอดตัวมาจนถึงสมัยหนึ่ง ก็เกิดการขบถต่อศีลธรรม ใช้ศีลธรรมอย่างมิใช่ศีลธรรม นี่คือสิ่งที่พวกเราจะต้องสนใจ เพราะว่าโดยส่วนตัวเราก็อยู่เป็นสุขได้เพราะมีศีลธรรม ในโลกนี้จะมีสันติภาพก็เพราะมีศีลธรรม เราก็อยากจะทำตนให้เป็นประโยชน์ ช่วยกันทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ เรียกว่าทุกด้านทุกทิศทุกทางมันจะต้องมีศีลธรรมเป็นเครื่องประคับประคอง เดี๋ยวนี้มันไม่มีศีลธรรม ไม่อาจจะมีศีลธรรม ไม่ช่วยกันทำให้โลกนี้มีศีลธรรม อาตมาอยากจะพูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นที่ถูกใจหรือสนใจของท่านทั้งหลายก็ได้ แต่ขอร้องให้ช่วยกันสนใจ ว่าศีลธรรมนี่มันเกี่ยวข้องกันกับมนุษย์มาอย่างไรและกำลังเป็นอย่างไร และกำลังจะเป็นต่อไปอย่างไร ศีลธรรมคำนี้แปลว่าสิ่งที่จะทำความปกติสุขให้แก่มนุษย์ได้บ้างในทางสังคม เล็งในทางสังคมคืออยู่กันมากๆ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะเล็งถึงส่วนตัวนัก แต่ว่าส่วนตัวก็เป็นเรื่องศีลธรรมเหมือนกัน คือทางส่วนตัวบุคคลถ้าไม่ถูกต้องเรื่องส่วนตัว ศีลธรรมสังคมทำให้ถูกต้องทางสังคมแล้วก็อยู่กันเป็นผาสุกทุกคน
ถ้าถือตามหลักของบาลีในพระคัมภีร์ ในคัมภีร์บาลีก็มีพูดถึงมนุษย์ ยุคแรกทีเดียวที่มีเกิดขึ้นมาในโลก มันคงจะไม่แตกต่างจากสัตว์นัก แต่ถึงอย่างไรก็เรียกว่าเป็นมนุษย์น่ะ เพราะว่าดีกว่าสัตว์นะ ในยุคแรกๆ นั่นน่ะเขากินของที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ อาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ครั้นจำนวนคนมันมากขึ้นๆ ของที่มีอยู่ตามธรรมชาติไม่พอกิน ข้าวสาลีที่เกิดเองอยู่ในป่านั่นมันไม่พอ มันจึงต้องรู้จักทำการเพาะปลูกเพื่อจะแก้ปัญหา คนก็รู้จักหรือปรึกษาหารือกันเพื่อจะแก้ปัญหานี้เพื่อทำการเพาะปลูก ไอ้ความเดือดร้อนเพราะไม่มีอะไรจะกินมันก็หายไปเพราะทำการเพาะปลูก ทีนี้การได้รู้จักทำการเพาะปลูกนี่แหละ มองให้ดีมันก็คือศีลธรรมในความหมายที่กว้างขวางที่สุด คือในความหมายที่จะทำให้อยู่กันเป็นปกติ ดีกว่าที่จะไปแย่งข้าวสาลีที่เกิดเองอยู่ในป่าแล้วก็ทะเลาะวิวาทฆ่าฟันกัน เดี๋ยวนี้ก็มาทำการปลูกข้าว การปลูกอาหารขึ้นมากินอย่างนี้ในชั้นนี้จะต้องเรียกว่าศีลธรรม คือทำความปกติให้เกิดขึ้นอยู่กันได้อย่างปกติ ดังนั้นขอให้ถือเป็นหลักว่า การทำอาหารกินผลิตอาหารกินนั่นแหละคือศีลธรรม ลองไม่ทำล่ะมันก็มีความยุ่งยาก ไม่มีความสงบสุข มนุษย์ก็ทำการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ทำมาหากิน การทำมาหากินนั่นคือศีลธรรมในขั้นแรกที่สุดเป็นศีลธรรม ทีนี้ต่อมาก็กลายเป็นเรื่องจำเป็นที่มนุษย์จะต้องรู้จักทำ รู้จักแข่งขันกันทำ และรู้จักใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาอำนาจเหนือผู้อื่น การทำมาหากินก็เปลี่ยนรูปเป็นไม่ใช่ศีลธรรม ไปเป็นการทำมาหากินตามธรรมดา จะเรียกว่าวัฒนธรรมมันก็ได้เหมือนกัน แต่ต่อมาการทำมาหากินนี้กลายเป็นเครื่องมือทะเลาะวิวาทแย่งชิงกัน โดยเฉพาะสมัยปัจจุบันนี้แล้ว ไอ้เรื่องทำมาหากินนี่แหละคือเรื่องที่ใช้เป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่นเอาเปรียบผู้อื่น สร้างความร่ำรวยให้แก่ตน มันก็เลยกลายเป็นเครื่องมือของความเลวร้ายซึ่งไม่ใช่ศีลธรรม นี่ขอให้มองอย่างนี้ดูบ้าง ก็จะรู้ว่าโลกมันเคยอยู่ด้วยความสงบสุขด้วยศีลธรรม แล้วสิ่งนั้นเปลี่ยนเป็นมิใช่ศีลธรรม ก็เปลี่ยนกลายเป็นเครื่องมือสำหรับสร้างวิกฤตการณ์ ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องก็เป็นวิกฤตการณ์ แล้วคนที่ใจร้ายมันก็ใช้โอกาสนี้ โอกาสที่เพื่อนไม่มีจะกิน แสวงหาประโยชน์หรือความร่ำรวยของตัว การทำมาหากินเลยกลายเป็นเครื่องมือสำหรับขูดรีด กดขี่ บังคับข่มเหงผู้อื่น เมื่อมันอยู่ในรูปของศีลธรรมมันก็มีความสงบสุข เพราะมันเปลี่ยนมาเป็นอยู่ในรูปเครื่องมือของอันธพาลอย่างนี้ มันก็เป็นเครื่องมือของวิกฤตการณ์ ขอให้สนใจสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมมาตามลำดับอย่างนี้บ้าง เดี๋ยวนี้คือปัญหาทั่วไป ผู้ผลิตของกินไม่มีศีลธรรม ผู้ซื้อของกินก็ไม่มีศีลธรรม คนกลางติดต่อขนส่งก็ไม่มีศีลธรรม การส่งออกส่งเข้าก็ไม่มีศีลธรรม เป็นเครื่องมือเอาเปรียบของบุคคลผู้ที่มีอำนาจหรือโอกาส หรือความสามารถที่เขาจะเอาเปรียบ การทำมาหากินก็เลยเป็นสิ่งที่สร้างความยุ่งยากลำบากความทุกข์ไปทั่วทุกหัวระแหง สมัยโบราณดึกดำบรรพ์มันก็เป็นสิ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อเลี้ยงชีวิตกันโดยบริสุทธิ์ ไม่ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเอาเปรียบซึ่งกันและกัน นี่ดูมนุษย์ ดูมนุษย์มันเป็นมาอย่างไร ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จนถึงทุกวันนี้ มีข้อความในพระบาลียังมีต่อไปว่า เมื่อมนุษย์รู้จักเพาะปลูกทำเกษตรกรรมกสิกรรมอะไรแล้ว มันก็มีดี ยังเป็นศีลธรรมอยู่มันก็ยังดีอยู่ แต่ทีนี้มันก็เกิดไอ้คนพาล เมื่อเพื่อนเขาทำ ตัวก็ไปขโมย ขโมยก็ได้เกิดขึ้นแล้ว นี่เรื่องศีลธรรมมันก็ทนอยู่ไม่ได้ มันก็ต้องคิดกันอีกขั้นหนึ่งคือจะกำจัดขโมย ตามข้อความในเรื่องนั้นกล่าวว่า เขาก็ปรึกษากันเกี่ยวกับจะกำจัดขโมยหรือคนพาลหลายๆ รูปแบบที่มันได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีบ้านมีไร่นาเรือกสวนสัตว์เลี้ยงอะไรกันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว มันก็เกิดคนพาลที่คอยแต่จะขโมยคอยแต่จะเบียดเบียน เขาก็ปรึกษากันในที่สุดว่าให้สมมติบุรุษที่มีสติปัญญา แข็งแรง มีความงดงาม ที่เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้า ทุกคนก็มอบอำนาจให้หัวหน้านี่มีอำนาจที่จะสั่งให้ทุกคนทำอะไรได้ เพื่อให้ปราบเหตุร้ายโดยเฉพาะเรื่องขโมย มันก็เกิดระบบการปกครองขึ้นมาในโลกเป็นครั้งแรก ไอ้ระบบการปกครองนี่ก็ดูให้ดีเถอะ มันก็คือศีลธรรม ถ้าไม่มีระบบการปกครองในครั้งแรกนั้นมันก็อยู่กันไม่เป็นผาสุกคือไม่ปกติสุข พอตกลงกันอย่างนั้น ผู้เป็นหัวหน้าทำหน้าที่ไปด้วยดีก็มีความปกติสุข จนคนทุกคนร้องออกมาว่า ราชาๆๆ ซึ่งคำนี้ในภาษานี้แปลว่าพอใจ แปลว่าพอใจ คำว่าราชานี้แปลว่าพอใจๆ ไอ้คำว่าพอใจเลยกลายเป็นชื่อของบุคคลนั้นไป บุคคลที่ได้รับสมมติไปเป็นหัวหน้า การปกครองมันได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกในรูปแบบของศีลธรรม ทุกคนประพฤติแล้วก็อยู่กันเป็นผาสุก มันก็เป็นอย่างนี้มาเรื่อยๆ เป็นศีลธรรม จนกว่ามันจะกลายเป็นเครื่องมือประโยชน์ กอบโกยประโยชน์ของตน คือนักปกครองที่ไม่มีศีลธรรม แล้วก็ใช้ระบบการปกครองสำหรับขูดรีดสำหรับหาประโยชน์ของตน ผ่านการปกครองมันก็เป็นรูปเป็นระบบอะไรไปแล้ว ไม่ใช่ระบบศีลธรรม จึงเกิดระบบทรราชย์ระบบอะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก ซึ่งการปกครองนั้นไม่ใช่ศีลธรรม ก็เป็นปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับการปกครอง ซึ่งมันอยู่ในมือของคนที่ไม่มีศีลธรรม จะปกครองโดยคนๆ เดียวหรือหลายคนก็สุดแท้ เมื่อคนที่เป็นผู้ปกครองนั่นไม่มีศีลธรรม การปกครองก็เป็นโอกาสสำหรับจะเอาเปรียบผู้อื่นหาประโยชน์ใส่ตน การปกครองชนิดนี้ก็ไม่ใช่ศีลธรรม คือตรงกันข้ามจากศีลธรรม เป็นอธรรมไม่ใช่ศีลธรรมไป การปกครองในระบบดึกดำบรรพ์ของคนสมัยนู้นน่ะมันเป็นศีลธรรม ให้ความผาสุกเป็นที่พอใจ ต่อมาๆ มันเปลี่ยนเป็นระบบโอกาสขูดรีดหาประโยชน์ การปกครองสมัยปัจจุบันนี้จึงมิใช่ศีลธรรม อย่างดีก็เป็นสิ่งที่สำหรับจะยื้อแย่งกันไปมา กูจะปกครองที มึงจะปกครองที ยื้อแย่งกันเพื่อจะหาประโยชน์จนหาความสงบสุขไม่ได้ในโลกปัจจุบัน นี่มันน่าละอายหรือน่าเสียดายสักเท่าไหร่ ไอ้สิ่งที่เคยเป็นระบบศีลธรรมมันมาเปลี่ยนรูปกลายเป็นระบบอธรรมไปเสีย ถ้าศีลธรรมไม่กลับเข้ามาสู่ระบบการปกครองอีก มันก็ไม่มีทางที่เราจะมีความสงบสุข มันกลายเป็นระบบทำนาบนหลังประชาชน ระบบการปกครองที่ไม่มีศีลธรรมก็คือระบบทำนาบนหลังประชาชน มันจะเป็นศีลธรรมไปยังไงได้
ที่ดูว่าระบบแลกเปลี่ยนหรือค้าขายได้เกิดขึ้นในยุคดึกดำบรรพ์โน้นน่ะของพวกเหล่าโน้น ก่อนนี้เขาก็ไม่รู้เรื่องค้าขายหรือแลกเปลี่ยน ต่อมาเมื่อมันมีผลิตผลมากขึ้นๆ แล้วความต้องการมันขยายตัวออกไปแล้วก็ไม่ตรงกัน จึงเกิดสติปัญญาในข้อว่าเราแลกเปลี่ยนกันเถิด คนนี้กับคนนั้น หมู่บ้านนี้กับหมู่บ้านนั้น แลกเปลี่ยนได้สิ่งที่เราไม่มี มันมีเขาไม่มีเขาก็มี มันก็เป็นความผาสุกสงบสุขยิ่งขึ้น เพราะเกิดระบบการแลกเปลี่ยนซึ่งมนุษย์ยังไม่เคยทำมาแต่ก่อน แล้วก็ทำขึ้นมันก็เป็นศีลธรรม จะไม่เรียกว่าเศรษฐกิจน่ะเพราะเขาไม่ได้ทำตามความมุ่งหมายอย่างเศรษฐกิจ เขามุ่งหมายเพื่อความเป็นอยู่ผาสุกของเขาเท่านั้นแหละ เขาจึงแลกเปลี่ยนกัน จนต่อมาไอ้การแลกเปลี่ยนนี้แปรรูปเป็นการซื้อขาย ก็คือการแลกเปลี่ยนที่สะดวกกว่า ก็เรียกว่าการแลกเปลี่ยนซื้อขายมันได้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ยุคนั้นเป็นศีลธรรม เขาก็ได้รับความสุขสะดวกสบายยิ่งกว่าสมัยที่ไม่เคยมีการแลกเปลี่ยน ทีนี้การแลกเปลี่ยนซื้อขายนี่ที่มันเป็นศีลธรรมน่าชื่นใจมันกลายเป็นโอกาสสำหรับจะเอาเปรียบกันอีกแล้ว คือคนที่จะทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายมันเกิดเล่นไม่ซื่อ มันโกง มันมีการแลกเปลี่ยนโกงซื้อขายโกง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ระบบการซื้อขายมันก็เป็นระบบที่จะกอบโกยตักตวงเอาเปรียบผู้อื่น มากลายเป็นระบบเศรษฐกิจหรือเครื่องมือขูดรีด ก่อนนี้มันบริสุทธิ์ มันเป็นธรรมะ มันเป็นศีลธรรม เราแลกเปลี่ยนกันแล้วก็สะดวกสบายด้วยกัน ไม่มีการตั้งใจที่จะคดโกงขูดรีดบีบคั้นเหมือนโลกสมัยปัจจุบัน ใครมีอำนาจเศรษฐกิจมาก คนนั้นคล้ายๆ กับว่าจะครองโลกกันเสียทีเดียว มันก็จะบีบคั้นไอ้เศรษฐกิจไปอย่างไรก็ได้ตามใจของเขาเพื่อเขาจะได้ประโยชน์มากได้กำไรมาก การแลกเปลี่ยนซื้อขายซึ่งมันเป็นศีลธรรมแท้ๆ ของคนสมัยโน้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นสิ่งที่จะข่มเหงเบียดเบียนขูดรีด เป็นเสนียดจัญไรว่าอย่างนั้นดีกว่า ของโลกขึ้นมา ศีลธรรมแท้ๆ มันก็เลยเปลี่ยนรูปมาเป็นอธรรม เป็นระบบที่สร้างความเลวร้ายขึ้นในโลก
ทีนี้อาตมาอยากจะพูดถึงว่า ในการทำงานแทน ที่เรียกว่านายหน้า มันก็เริ่มมีขึ้นในสมัยคนป่าสมัยโน้น เมื่อคนบางคนมันทำอะไรไม่เป็น คนบางคนมันทำเป็น มันก็รับอาสาเป็นนายหน้าเป็นตัวแทน เรื่องกิจการก็ดี เรื่องการเงินก็ดี อะไรก็ดี มันก็เกิดการกระทำชนิดที่เรียกว่านายหน้าหรือตัวแทนขึ้นมา เพื่อได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น ทั้งระบบนายหน้า ไอ้ระบบตัวแทน ระบบการธนาคาร ทนายความ ต่อให้ทนายความ มันก็เป็นศีลธรรม ก็ผู้มีปัญญาสามารถช่วยทำแทนไอ้คนที่ไม่มีปัญญาสามารถ ก็เลยได้อยู่กันเป็นผาสุก แม้แต่กิจการทนายความ ทีนี้ต่อมาไอ้กิจการนี้มันเปลี่ยนเป็นเครื่องมือขูดรีดอีก เป็นอย่างว่าทนายความนี่ใครๆ ก็สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจะต้องโกงทั้งนั้นเลย ทีแรกมันก็เป็นเรื่องบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นเรื่องของศีลธรรม ทำให้สังคมนั้นมันอยู่กันเป็นผาสุก พอมาถึงสมัยนี้ก็เปลี่ยนเป็นระบบเครื่องมือสำหรับหาประโยชน์ใส่ตน เขาจึงใช้มันไปในทางนั้น ไอ้ศีลธรรมมันก็ไม่มี ถ้าศีลธรรมมันมีกลับมาอีก ระบบนายหน้า ธนาคาร ทนายความ อะไรก็จะเป็นสิ่งที่น่าเคารพบูชา เพราะว่าช่วยทำให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันมีความสะดวกสบายและสงบสุข เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเครื่องมือขูดรีดเอาเปรียบผู้อื่น ที่เป็นบุญมันกลายเป็นบาปไปเสียนี่ ระบบศีลธรรมนั้นๆ ได้กลายเป็นระบบทำลายมนุษย์ เพื่อมนุษย์ใช้ทำลายมนุษย์ เอาเปรียบขูดรีดซึ่งกันและกัน ดูแต่ว่าในสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมหรือศาสนา แรกเกิดขึ้นมามันก็เป็นระบบศีลธรรมอย่างต่ำที่สุดจนสูงที่สุด ช่วยมนุษย์ทางด้านวัตถุ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านวิญญาณ ศาสนาจึงเป็นยอดของศีลธรรม ถ้ามนุษย์ไม่มีความสงบสุข นานเข้าๆ มันเปลี่ยนตัวเปลี่ยนรูปเป็นเครื่องมือของอะไรไปเสีย เมื่อศาสนาตกไปในมือของคนไม่มีศีลธรรม เขาก็ใช้ศาสนานั่นแหละเป็นเครื่องแสวงหาประโยชน์ เดี๋ยวนี้ก็เห็นๆ กันอยู่ทั่วไป ใช้ศาสนาเป็นประโยชน์ การเมืองเป็นเครื่องมือของการเมืองจนได้รบราฆ่าฟันในนามของศาสนา ตายกันเป็นมากมายอย่างนี้ มันก็สงครามศาสนา สมัยโน้นศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นศีลธรรมเป็นเครื่องมือทำให้มนุษย์เขาอยู่เป็นผาสุก เป็นตัวศีลธรรมในความหมายของศีลธรรม แต่ในระดับสูงสุด ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ของคนบางคนหรือคนบางพวก ประเพณีที่เนื่องด้วยศาสนาที่จะประกอบให้ประเพณีให้ศาสนาสำเร็จประโยชน์มากขึ้น มันกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม ประเพณีทางศาสนาได้ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นประเพณีของยักษ์มารไป เมื่อจะบวชนาคก็กินเหล้า เมื่อจะทอดกฐินก็กินเหล้า เมื่อทำบุญอะไรก็กินเหล้า เป็นอบายมุขอย่างอื่นๆ แทรกเข้ามาในขนบธรรมเนียมประเพณีของศาสนานี่ ในวัดในวาก็เต็มไปด้วยอบายมุข ศาสนามันเปลี่ยนอย่างนี้ ที่เคยเป็นศีลธรรมก็กลายเป็นอธรรม
เอ้า, ทีนี้ดูให้ นั่น ออกไปว่า เมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักกิจการทหาร คืออบรมคนหนุ่มๆ ไว้ต่อสู้ป้องกันตัว ป้องกันคนพวกอื่นกลุ่มอื่นที่จะมารุกราน ระบบทหารอย่างนี้บริสุทธิ์มาก เพราะทำไปโดยเจตนาบริสุทธิ์ เรามีกองทหารสำหรับคุ้มครองบ้านเมืองของเราพวกเรา ทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ก็พูดได้ว่าไอ้กิจกรรมทหารก็เป็นศีลธรรม เพราะว่าทำไปเพื่อป้องกันตัวเองแท้ๆ โดยบริสุทธิ์ใจ กิจกรรมของทหารก็เป็นศีลธรรมอันหนึ่ง เป็นความถูกต้องที่ต้องทำที่ป้องกันชีวิตของตนเอง ป้องกันความยุติธรรมของตนเอง ป้องกันไม่ให้ใครมาข่มเหงระรานก็เป็นศีลธรรม หนักเข้าๆ ไอ้ระบบทหารมันเปลี่ยนรูปจากศีลธรรมมาเป็นเครื่องมือสำหรับรุกรานผู้อื่น มันก็สะสมกำลังให้เหนือไว้ มันก็ไปปล้นไปยึดเอาบ้านเมืองของผู้อื่น ระบบกิจกรรมทหารก็หมดความเป็นศีลธรรมมาเป็นระบบรุกรานหรือระบบอธรรม หาประโยชน์ส่วนบุคคลหรือคณะบุคคลหรือของประเทศชาติก็ตามใจ แต่ไม่ใช่ศีลธรรมแล้วตอนนี้ อย่างระบบทหารสมัยดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งมีขึ้นในโลกเป็นวันแรกมันก็ระบบศีลธรรม เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แล้ว ขอให้เรามองดูให้ดีเถอะว่ามันเปลี่ยนถึงขนาดนี้ เอาที่ว่ามันดีกว่านั้นมากเช่นว่า ระบบสังคมสงเคราะห์ คนรวยกว่าเหนือกว่าก็สงเคราะห์ผู้อื่นที่ด้อยกว่า มันก็เป็นศีลธรรม เช่นว่าระบบเศรษฐี แล้วก็ผลิตมาก กินแต่น้อย เหลือไปช่วยผู้อื่น มันก็เป็นสังคมสงเคราะห์เรียกว่าเศรษฐี ทีนี้ก็ค่อยเปลี่ยนเป็นระบบเล่นไม่ซื่อ ระบบที่จะซื้อตัวผู้อื่นมาเป็นพวกเรา ระบบสงเคราะห์ในโลกปัจจุบันนี้มันก็เป็นระบบซื้อตัวกันทั้งนั้นแหละ เอาเงินมาให้พวกนี้มากๆ ไม่ใช่ด้วยบริสุทธิ์ใจหรอก จะซื้อตัวเรามาเป็นพวกเขา มาช่วยเขารบบ้างช่วยเขาทำประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ระบบสังคมสงเคราะห์ก็กลายเป็นอันธพาลไป เป็นเครื่องมือของอันธพาลไป ใช้ซื้อตัวกัน ความเป็นศีลธรรมในระบบสังคมสงเคราะห์ก็หมดไป จนกว่าศีลธรรมมันจะกลับมาอีก เข้าไปอยู่ในนั้น มันจึงจะเป็นระบบศีลธรรม
เอ้า, ทีนี้ก็จะให้ดูว่าไอ้ระบบยุติธรรม การศาล การราชทัณฑ์ การอะไรที่เรียกว่าเพื่อความยุติธรรมนี่ ที่มนุษย์มันแรกคิดขึ้นได้ในครั้งแรกตั้งแต่ครั้งกระนู้นน่ะมันก็เป็นศีลธรรม เป็นไปเพื่อธรรมเป็นศีลธรรม พอต่อมาๆ มันก็เกิดระบบอันธพาลเข้าไปอยู่ในระบบยุติธรรม ก็มีโอกาสจะกินสินบนจะใช้อะไรจะใช้ระบบยุติธรรมเป็นเครื่องมือร่ำรวยของตน มันก็เลยเกิดระบบยุติธรรมกินสินบนขึ้นมา ก็หมดความเป็นศีลธรรม มันเป็นเครื่องมือของคนพวกหนึ่ง หรือบางโอกาสก็ตามสำหรับจะสร้างความร่ำรวยให้แก่ตน สร้างประโยชน์ให้แก่ตน ใช้คำว่าอย่างนั้น
ในสิ่งสุดท้ายนี้ก็จะขอให้ดูกันถึงสิ่งที่เรียกว่าการศึกษาที่ทำให้เกิดสติปัญญาเฉลียวฉลาด เมื่อคนสมัยดึกดำบรรพ์โน้นพบระบบการศึกษาให้เรียนหนังสือหนังหา เรียนเลข เรียนอะไร มันก็เป็นไปเพื่อความฉลาด เป็นที่น่าพอใจเป็นศีลธรรม ต่อมาความฉลาดนี่ถูกใช้ไปในทางโกงคดโกง คนไหนฉลาดคนนั้นก็มีโอกาสโกง คนไม่ฉลาดมันก็กลายเป็นเบี้ยล่าง ไอ้การศึกษาเลยกลายเป็นเครื่องมือสำหรับโกง เคยอ่านพบในหนังสือเล่มหนึ่งเมื่อเขาจัดการศึกษาใหม่ๆ เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ในเมืองไทยเราสมัยรัชกาลที่ห้า ที่ขอให้วัดวาอารามจัดการศึกษาแบบใหม่ รัชกาลที่ห้าท่านก็ขอร้องน้องชายของท่าน คือกรมพระยาวชิรญาณวโรรสไปจัดการทั่วประเทศ โดยอาศัยวัดเป็นหลัก มีข้อความ ๒ – ๓ บรรทัดที่ท่านเขียนจดหมายโต้ตอบกันว่า ต่อไปนี้มันก็คงจะโกงกันอย่างวิเศษ ใช้คำคล้ายๆ อย่างนี้ คือท่านก็รู้มาแต่แรกแล้วว่า ไอ้ระบบการศึกษาที่ทำให้คนมันฉลาดขึ้นนี้ต่อไปนี้มันจะรู้จัก จะรู้จักโกงกันอย่างวิเศษ หมายความว่าท่านมองเห็นเหมือนกันว่าจะควบคุมไว้ไม่อยู่ ที่จะให้คนใช้ความฉลาดไปในทางที่ถูกต้อง แล้วเดี๋ยวนี้ก็ดูทั่วโลก ทั่วโลกที่มีการศึกษามากแล้วใช้การศึกษาเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น นั้นมันไม่เป็นศีลธรรม เมื่อก่อนแรกขึ้นมีขึ้นมาในโลกก็คือเป็นศีลธรรมเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ ต่อมากลายเป็นเครื่องมือสำหรับโกง เก่ง ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งฉลาดมากก็ยิ่งมีทางที่จะเอาเปรียบผู้อื่นได้มาก จริงไม่จริงก็ไปลองสังเกตดู ถ้าศีลธรรมไม่เข้ามา แต่คนที่มีความฉลาดจะใช้ความฉลาดคดโกงเสมอ ถ้าศีลธรรมเข้ามายังอยู่ เขาก็จะใช้ความฉลาดนั่นน่ะทำประโยชน์เพื่อมนุษย์ การศึกษาก็ยังเป็นประโยชน์เพื่อมนุษย์ไม่ใช่เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างคนให้โกงเก่งหรือฉลาดในการโกง
นี่ดูเหมือนจะพอแล้วกระมังว่ายกตัวอย่างให้เห็นว่า ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เมื่อสมัยมนุษย์ยังเป็นคนป่า แล้วก็เปลี่ยนมาๆ เกิดศีลธรรมขึ้นมากแขนง ต่อมาเราก็ไม่เรียกว่าศีลธรรม เพราะมันกลายเป็นเครื่องมือสำหรับหาประโยชน์เหนือผู้อื่นไปเสียทั้งหมดทั้งสิ้น ระบบการผลิตอาหารก็ดี การปกครองก็ดี การค้าขายก็ดี กิจกรรมนายหน้าก็ดี วัฒนธรรมก็ดี ศิลปะประเพณีก็ดี การทหารก็ดี การสังคมสงเคราะห์ก็ดี การยุติธรรมก็ดี แม้ที่สุดแต่การศึกษา ได้ตกไปเป็นเครื่องมือสำหรับคนไม่มีศีลธรรมสำหรับหาประโยชน์ใส่ตน ฟังดูแล้วมันคล้ายอย่างหมด หมดกำลังที่จะต่อสู้ต้านทาน หรือดึงกลับไปสู่ความถูกต้อง หรือทุกแขนงมันเปลี่ยนไปอยู่ในระบบเป็นเครื่องมือสำหรับหาประโยชน์ใส่ตนให้ได้เปรียบผู้อื่นทั้งนั้น นี่จะโทษใครก็ไม่รู้จะโทษใคร มันคล้ายๆ กับว่าเป็นบาปของมนุษย์เอง มนุษย์สมัยก่อนเขาไม่รู้จักได้กำไรหรือขาดทุน ดีกว่า ชั่วว่า ด้อยกว่า เด่นกว่า นี่เขาไม่รู้จัก ดังนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาเปรียบไปทำไม พอมาถึงสมัยที่มนุษย์มันรู้จักดีกว่า เลวกว่า รวยกว่า จนกว่า กำไรหรือขาดทุน มนุษย์ก็เริ่มโกง เริ่มคดโกง เลยกว่านั้นอีกก็เรื่องอิจฉาริษยา ซึ่งไม่มีเหตุผลเลย ที่เอาเปรียบคดโกงนี่มันก็มากอยู่แล้วนะ มันเลวมากอยู่แล้วนะ ต่อไปยังไปอิจฉาริษยาไอ้คนที่มันไม่ได้ทำอะไรต่อเรา แต่เขารวยกว่าเราเราก็อิจฉาริษยาเขา ความไม่มีศีลธรรมมันเป็นมากขนาดนี้ นี่คือปัญหาของมนุษย์ ทั้งมนุษย์ ทั้งโลก ทั่วไปหมด แล้วก็เป็นระยะยาวเป็นหมื่นปีพันๆ ปี มันมาอย่างนี้ ทีแรกมันเกิดด้วยความจำเป็นตามธรรมชาติบังคับ แก้ปัญหาด้วยความบริสุทธิ์ใจมันก็ออกมาเป็นรูปศีลธรรมทั้งนั้น ถึงเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนมาเดินมาเดินมาจน เป็นโอกาสสำหรับหาประโยชน์ใส่ตนให้ได้เปรียบผู้อื่น มันก็หมดความเป็นศีลธรรม
อย่างว่าระบบการศาลการยุติธรรม ถ้าเป็นยุติธรรมมันก็ประเสริฐที่สุด แต่พอเป็นเครื่องมือสำหรับกินสินบนหรือคดโกง มันก็หมดความประเสริฐ หมดความเป็นศีลธรรม นี่มนุษย์เรามันเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ทำไมมันจึงต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมมันไม่รักษาเอาไว้ได้ให้คงความเป็นศีลธรรมบริสุทธิ์ทุกแขนงมาจนบัดนี้ มันเพราะอะไร ไอ้ตัวนั้นแหละคือสิ่งที่ศาสนาต้องการจะกำจัด ในพระพุทธศาสนานี้มันใช้คำว่ามันเห็นแก่ตัว ตัวกูของกู ตัวตนของตน มันเห็นแก่ตัว พอมีโอกาสมันก็ใช้โอกาสนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวมาก เอาเปรียบผู้อื่นได้ ขอให้มองในแง่ที่ว่าพระพุทธศาสนานี้ต้องการจะกำจัดสิ่งเลวร้ายทั้งหมดนี้ให้หมดไปจากหมู่มนุษย์ คือความไม่เห็นแก่ตัว สอนทุกอย่างทุกทางทุกแขนงหลายๆ วิธีเพื่อให้มนุษย์หมดความเห็นแก่ตัว เพื่อให้มนุษย์รักผู้อื่นในฐานะที่เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา ถ้ามนุษย์รู้สึกอย่างนั้นจริง เห็นคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา ไอ้การโกงการตั้งใจจะโกงมันก็ไม่มี สิ่งต่างๆ ก็เป็นศีลธรรมต่อไปตามเดิมทุกแขนงอย่างที่ได้ออกชื่อมาแล้ว พอมนุษย์เห็นแก่ตัว เกิดกิเลสเห็นแก่ตัว ทุกแขนงของศีลธรรมก็เปลี่ยนเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อความร่ำรวยของตนไปเสีย
นี่ความเห็นแก่ตัวมาแต่ไหน ก็ตอบกำปั้นทุบดินว่ามาจากความไม่รู้ ความปราศจากความรู้ ไม่รู้ว่าอันนี้เป็นอันตราย เมื่อเราอร่อย กินอะไรอร่อย หรือสัมผัสอะไรอร่อยแล้วก็อยากจะมีมากขึ้นจนไม่มีขอบเขต มันก็มีความรู้สึกที่เป็นตัว ตัวได้มาก ตัวรวย ตัวเก่ง ตัวอะไรขึ้นมา หนาแน่นเหนียวแน่นมากขึ้น ความเห็นแก่ตัว ไอ้เด็กในท้อง เด็กอยู่ในท้อง ไม่เห็นแก่ตัวได้หรอก (นาทีที่ 53.59) ไม่มีความรู้สึกเป็นตัว เด็กคลอดมาจากท้องแม่ใหม่ๆ ก็ไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่รู้จักตัว ต่อมาก็โตขึ้นพอสมควร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเขาได้สัมผัสนั่นนี่รอบตัว จนรู้จักแบ่งแยกว่านี่อร่อย นี่ไม่อร่อย นี่เป็นสุข นี่ไม่ นี่เป็นทุกข์ รู้จักแบ่งแยกอย่างนี้ แล้วก็อยากอย่างยิ่ง ต้องการอย่างยิ่งในสิ่งที่เป็นของอร่อยหรือเป็นสุข ไอ้ความอยากชนิดนี้มันก็ไปตามธรรมชาติที่ปราศจากความรู้คืออวิชชา ธรรมชาติที่ปราศจากความรู้นี่มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง พร้อมที่จะเข้าไปในจิตใจของสัตว์ มันเรียกว่ามันไม่มีความรู้ เพราะมันจึงหลงในของที่อร่อย เกลียดในของที่ไม่อร่อย ไอ้ความอยากในอร่อยนี่มันมากเข้าๆ ความอยากนั้นมันก็ปรุงความรู้สึกไปอีกขั้นหนึ่งคือมีตัวผู้อร่อย คือตัวกูตัวฉัน ความคิดว่าตัวกูตัวฉันเป็นผู้อร่อยนี่เกิดทีหลัง อร่อยก่อน ต้องอร่อยก่อนโดยไม่ต้องมีตัวใครมา มันรู้สึกได้โดยสัมผัสตามธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิต มีระบบประสาทมันรู้สึกอร่อยได้ เมื่อเอาความรู้สึกอร่อยนี้มากเข้าๆ จึงค่อยปรุงความรู้สึกประเภทว่ามีตัวกูผู้อร่อย นี่ตัวกูก็เกิดขึ้น ตัวตนก็เกิดขึ้น สำหรับจะได้เห็นแก่ตน และเมื่อเด็กทารกเขารู้จักอร่อย รู้จักแบ่งแยกเป็นอร่อยไม่อร่อย แล้วก็อยากมากในสิ่งที่เรียกว่าอร่อย ไม่เท่าไรก็เกิดความรู้สึกในลำดับที่เรียกว่ามีตัวกูผู้อร่อย แล้วก็จะเห็นแก่ตนมากขึ้นๆ นี่เขาก็จะเอาท่าเดียว ไม่ได้ก็โกรธ ถ้าเขาก็มีอำนาจมีอะไรนั่นเขาก็ทำจนได้ นี่ความทุจริตมันก็เกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว มีความเห็นแก่ตัวในหมู่มนุษย์มากขึ้นๆ อย่างนี้ จนกระทั่งว่าระบบศีลธรรมเปลี่ยนเป็นระบบเครื่องมือขูดรีดไปหมด ก็ได้ออกชื่อมาแล้ว
ดังนั้นถ้าเรากำจัดความเห็นแก่ตัวไม่ได้ เราก็จะต้องมีวิกฤตการณ์มากขึ้น ถ้าเรากำจัดความเห็นแก่ตัวเท่าที่มีอยู่ในโลกนี้เวลานี้ไม่ได้ ต่อไปในอนาคตเราจะมีปัญหามากกว่านี้ จะเบียดเบียนกันมากกว่านี้ จะเดือดร้อนกันมากกว่านี้ ดังนั้นสิ่งที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวได้ก็คือระบบศีลธรรมนั่นแหละ ระบบศีลธรรมดั้งเดิมกลับมา ควบคุมความรู้สึกที่เห็นแก่ตัว โดยรู้สึกว่านั่นมันชั่ว นั่นมันไม่ดี นั่นมันจะทำให้วินาศกันหมด เอาสิปล่อยให้แข่งขันกัน คนมีกำลัง คนมีอำนาจ อะไร เขาก็ทำลายทำร้ายคนที่สู้ไม่ได้ แล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร ไม่มีความรักเมตตากรุณา ไม่มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มีแต่กูกับมึง ใครมีอำนาจก็เป็นผู้ได้ ใครเก่งก็เป็นผู้ได้ นี่คือความไม่มีศีลธรรม แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ก็ได้ถือหลักอันนี้ เพียงแต่ว่าทำสุภาพๆ ใช้คำพูดดีๆ ตบตาหลอกลวง เพื่อจะเอาเปรียบเพื่อจะได้ประโยชน์ข้างตน แล้วก็ใช้คำไพเราะ ไพเราะอย่างอื่น ตามระบบการเมือง ระบบหลอกลวง ระบบการทูต แล้วแต่จะเรียก มนุษย์จึงไม่ประสบความสำเร็จที่จะมีสันติภาพ ทั้งที่มนุษย์ได้ทำให้เจริญงอกงามก้าวหน้ามากที่สุดในสิ่งเหล่านั้น แต่สิ่งเหล่านั้นไม่กลับเป็นศีลธรรม มันไม่เป็นศีลธรรมไปตามเดิมกลับกลายเป็นเครื่องมือสำหรับมันจะขูดรีดซึ่งกันและกัน จะเอาเปรียบซึ่งกันและกัน ใครแสวงหาอำนาจไว้ได้มากก็ขูดรีดมาก โลกนี้ก็ไม่มีสงบสุขไม่มีสันติภาพ จนกว่าจะกลับไปหาศีลธรรม นับถือศีลธรรม บูชาพระเจ้ากันอีกเท่านั้นแหละ โลกนี้จึงจะมีสันติภาพ ความก้าวหน้าของมนุษย์ที่เราเรียกว่าก้าวหน้าแล้วเราก็กำลังเห็นว่าเก่งนี่ ทุกคนก็ยอมรับว่าเก่ง ยกนิ้วว่ามันเก่ง ไปในหลายๆ แขนงความก้าวหน้า แต่แล้วไม่มีศีลธรรม มันไม่เป็นไปเพื่อศีลธรรม ขอให้คิดดูให้ดี
นับตั้งแต่ว่าระบบการศึกษามันก็ใช้เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น ใครศึกษาได้มากเก่งฉลาดมากก็ได้เปรียบผู้อื่นดังนั้นระดมทุ่มเทให้ระบบการศึกษา นับว่าก้าวหน้าเหลือประมาณ การศึกษาในโลกปัจจุบันนี้ แต่โลกก็ไม่มีสันติภาพ โลกกลับเลวร้ายลงไปกว่ายุคที่การศึกษายังใม่เจริญ ที่มันใกล้ๆ ตัวเราก็พอมองเห็นว่าเมื่อ ๕o ปีมานี้การศึกษายังไม่เจริญ แต่ว่าอันธพาลหรืออาชญากรรมมีน้อยกว่ายุคนี้มากซึ่งการศึกษาเจริญ เพราะเขาให้การศึกษาระบบหมาหางด้วน ให้เรียนรู้แต่หนังสือกับอาชีพ ไม่สอนศีลธรรมว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร การศึกษาที่ไม่มีธรรมะควบคุมมันก็เป็นอันตรายขึ้นมา ยิ่งรู้เท่าไรก็ยิ่งคิดหาประโยชน์ตนเอาเปรียบผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น นี่ยุวชนวัยรุ่นของเราที่มีการศึกษาหมาหางด้วนไม่มีศีลธรรมกำกับนี่ ในอนาคตจะสร้างปัญหาใหญ่หลวงขึ้นมา ปีหนึ่งออกมาเป็นแสนๆ คน เพียงแต่เรียนจบหนังสือกับอาชีพ แล้วไม่มีธรรมะควบคุมเพราะการศึกษาหมาหางด้วน คนเหล่านี้จะเป็นอันธพาลทั้งนั้นละไม่ต้องแช่งไม่ต้องลำเอียงหรอก เพราะเขาไม่ได้รับการอบรมสำหรับเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้อง นี่เรียกว่าการศึกษาก้าวหน้าเหลือเกิน เรียนเดี๋ยวเดียวก็รู้กันจบจักรวาล แต่แล้วมันก็ไม่มีสันติภาพในโลกนี้ และบางทีก็เฟ้อ เฟ้อไปในทางที่ไม่เป็นประโยชน์อะไร เรื่องปรัชญา เรื่องศิลปะ เรื่องอะไรเหล่านี้ มันก็เฟ้อ ไม่ใช้ประโยชน์อะไรได้เพื่อสันติภาพนั้น มันใช้ไปอย่างอื่นไปเสียหมด การศึกษาถึงที่สุดแล้วมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มนุษย์มีความยุ่งยากลำบากเพิ่มปัญหามากขึ้น
ในระบบวิทยาศาสตร์เทคนิคเทคโนโลยีนี่ก็เหมือนกัน ยังไม่สามารถอำนวยสันติภาพ มีแต่ให้มนุษย์ลุ่มหลงในวัตถุมากขึ้น มันผลิตอะไรออกมาหรือทำอะไรขึ้นมาสวยงามเอร็ดอร่อยมากมายยึดจิตใจของคนให้หลงใหลอยู่ในวัตถุ อาตมาจะพูดว่าไอ้เทคโนโลยีทั้งหลายนี่มันสำหรับขุดหลุมฝังมนุษย์ไว้ใต้วัตถุนิยม ไม่มีที่จะเกิดสันติสุขสันติภาพ จนกว่าศีลธรรมจะเข้ามาควบคุมเทคโนโลยีเหล่านั้น มันจึงจะเป็นไปเพื่อสันติภาพ ความรู้เรื่องอวกาศไปโลกพระจันทร์ได้ ไปไหนก็ได้ แต่ไม่เห็นมีแววของสันติภาพเลย เพราะมันไม่มีความมุ่งหมายสันติภาพ มันมุ่งหมายที่จะครองโลกจะข่มขี่ผู้อื่นจะเอาไว้หมด จึงหาสันติภาพมาทำยาหยอดตาสักนิดหนึ่งก็ไม่ได้ ทั้งที่ว่ากิจกรรมอวกาศมันก้าวหน้าเหลือเกิน อาตมาเลยบอกกันให้สังเกตดูว่า ไอ้ประโยชน์ของความรู้เรื่องอวกาศนี่มันเหมือนกับว่า ขี่เครื่องบินไอพ่นไล่จับตั๊กแตน คนโบราณเขาด่าคนโง่ว่า มันขี่ช้างจับตั๊กแตนนี่แหละ เขาโกรธเต็มทีแล้วโมโหเต็มทีแล้วไอ้คนโง่ แต่คนเดี๋ยวนี้ขี่ไอพ่นไล่จับตั๊กแตน ไปเปรียบเทียบกันดูเองเถิดว่ามันจะมากน้อยกว่ากันสักเท่าไรกับคนที่เขาขี่ช้างจับตั๊กแตน มีความรู้เรื่องอวกาศนี่มันไม่เป็นไปเพื่อสันติภาพ เพราะมันไม่มีศีลธรรมเข้ามากำกับ มีความรู้เรื่องปรมาณูก็เกิดขึ้นเพราะก้าวหน้าแล้วก็ยิ่งไม่มีสันติภาพ แล้วในที่สุดมันก็จะใช้ความรู้ปรมาณูนี้ล้างโลกกันสักวันหนึ่ง ถ้ามันโมโหขึ้นมาควบคุมไว้ไม่อยู่ อาตมาเลยขอสรุปความว่าไอ้ความรู้ปรมาณูนี่เหมือนกับต่อโลงไว้ใส่โลก ต่อโลงไว้เดี๋ยวนี้ไว้ใส่โลกข้างหน้าด้วยวิชาความรู้เรื่องปรมาณู สักวันหนึ่งมันจะได้ล้างโลก
นี่คือตัวอย่างของความก้าวหน้าของมนุษย์ในโลกปัจจุบัน แล้วมันก็ไม่มีผลเพื่อสันติภาพเอาเสียเลย มันมีผลอย่างอื่นไปหมด เพื่อประโยชน์ทางวัตถุ อำนาจของผู้ที่ก้าวหน้านั่นเอง โลกส่วนรวมไม่มีสันติภาพ ไม่ได้รับสันติภาพ ไม่มีหวังในสันติภาพจากวิชาความรู้ที่มันก้าวหน้า การศึกษาก็ดี เทคโนโลยีทั้งหลายก็ดี อวกาศก็ดี ปรมาณูก็ดี ยังไม่เห็นมีวี่แววว่าจะช่วยกันสร้างสันติภาพเพื่อมนุษย์ เพราะไม่มีศีลธรรม ไม่มีความรู้สึกทางศีลธรรม ไม่มีความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายของเรา ดังนั้นมันก็ไม่มีผลที่จะเป็นสันติภาพ ใครมีความรู้อย่างนี้มาก เขาก็ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับแสวงหาอำนาจให้แก่เขาเท่านั้นเอง เรายังหวังไม่ได้ว่าจะมีสันติสุขส่วนบุคคลหรือสันติภาพของสังคมเกิดขึ้นเพราะการก้าวหน้าในทางวิทยาการของโลกยุคปัจจุบัน ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งไกลออกไปทุกที เช่นเดียวกับที่มันได้เป็นมาแล้วแต่หนหลังสมัยโน้นทุกอย่างเป็นศีลธรรม ทุกแขนงที่มนุษย์ค้นพบขึ้นมา เพื่อปกติสุขของตนเป็นศีลธรรม แล้วก็กลายๆๆ มาเป็นเครื่องมือสำหรับทำลายผู้อื่น เอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน บัดนี้มันก็มาถึงขนาดที่จะทำลายโลก ทำลายโลกทั้งโลกเลย จะช่วยกันหรือไม่ช่วยกันที่ว่าจะให้ศีลธรรมกลับมาสู่โลกมนุษย์ ให้มนุษย์ใช้ศีลธรรมควบคุมกิเลสตัณหาของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน ให้สิ่งต่างๆ เป็นไปเพื่อสันติภาพ ความถูกต้องของมนุษย์มันอยู่ที่ตรงไหนเล่า ถ้าไม่มีศีลธรรมมันจะอยู่ที่ตรงไหน ถึงว่าศีลธรรมต้องกลับมา ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของศีลธรรมจะต้องกลับมา เป็นมนุษย์ก็ให้ถูกต้องคือมีจิตใจสูง อยู่เหนือกิเลสตัณหา เหนือความเห็นแก่ตัว หรือเหนือความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นต้นเหตุของความไม่มีศีลธรรม เพราะฉะนั้นเราจงช่วยกันเถิด อะไรสักนิดหนึ่งก็ช่วยให้เป็นไปเพื่อศีลธรรม มีศีลธรรม พ่อแม่อบรมลูกเล็กๆ ตาดำๆ ให้รู้จักพอใจในสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมหรือความถูกต้อง เขาสรุปให้ง่ายๆ เรียกว่าบุญๆ ความมีศีลธรรมความถูกต้องนี่เรียกสั้นๆ ให้เด็กๆ จำง่ายๆ ว่าบุญ ไอ้ที่ตรงกันข้ามเขาเรียกว่าบาป พ่อแม่ช่วยกันทำให้เด็กๆ รู้จักเกลียดบาป กลัวบาป แล้วก็รักบุญ ไปแจกจำแนกรายการเอาเองเถิดว่าอย่างไรบาปๆ บาปๆๆ แล้วก็ทำให้เด็กเขาสะดุ้งเมื่อได้ยินคำว่าบาป ได้ยินคำว่าบุญเขาสบายใจ เท่านี้แหละพอแล้ว
สมัยอาตมาเป็นเด็กๆ ครูบาอาจารย์บิดามารดาเขาสอนเรื่องบาปมากมายจนจำไม่ไหว ยกตัวอย่างว่านอนสายก็บาป ขี้เกียจทำงานก็บาป ไม่กวาดบ้านนี่ก็บาป กริยาหยาบก็บาป พูดหยาบก็บาป เดินข้ามหลังเขาก็บาป กับบิดามารดาแล้วมีเรื่องที่ต้องบาปมาก จะต้องกราบตีนขอโทษกันทุกเย็นเมื่อทำอะไรผิดล่วงเกินวันนี้ ไม่ควรจะให้บาปติดตัวเหลือไปพรุ่งนี้ก็ต้องกราบตีนขอโทษ โยมได้รับการสั่งสอนกันมาอย่างนี้มันก็มีคำว่าบาปแล้วก็กลัว แล้วมีคำว่าบุญสำหรับชอบสำหรับต้องการ เดี๋ยวนี้มันไม่มีที่จะสอนให้ว่าบาปหรือบุญ ไม่มีคำว่าบาปว่าบุญสำหรับเด็กสมัยนี้ เพราะว่าบิดามารดาไม่ได้อบรมมาแต่เล็ก ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้อบรม เพราะว่าเขาทำไปตามหลักสูตรตามระเบียบเหมือนกับเครื่องจักร ตามระเบียบของกระทรวงเหมือนกับเครื่องจักร ไม่มีการกระทำที่ว่ามันจะเป็นไปตามธรรมชาติของผู้ที่มองเห็นว่าจำเป็นอย่างนี้ คนสมัยก่อนเขากลัวบาป พอเรียนหนังสือได้ กอ ขอ (นาทีที่ 69.49) แล้วเขาก็อ่านหนังสือชนิดที่ทำให้กลัวบาป หนังสือสอนศีลธรรมโบราณ สมุดดำๆ พับไปพับมา ไปอ่านกันดูกันเถอะ สมุดเหล่านั้นมันล้วนแต่สอนให้กลัวบาปและรักบุญทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่เขาเรียกว่าเรื่องสุบิน เรื่องเจ้าสุบิน เด็กสมัยโน้นรอดตัวมาได้ก็หนังสืออย่างนี้ ทำให้กลัวบาป แล้วก็ต้องการบุญ กลัวนรกทั้งที่ไม่ได้เคยไปเห็น แล้วก็อยากจะไปสวรรค์กันทั้งนั้นแหละ แล้วต่อมาก็ค่อยรู้ๆ มากขึ้นๆ มันก็ไม่อยากจะทำบาปเสียแล้ว เด็กๆ ก็จะพูดเป็นว่า บวชเณรโปรดแม่ บวชพระโปรดพ่อ เด็กเดี๋ยวนี้เด็กคนไหนมันพูดอย่างนี้วะ เด็กสมัยนี้เด็กคนไหนมันพูดอย่างนี้วะว่า บวชเณรโปรดแม่ บวชพระโปรดพ่อ มันเป็นของเด็กสมัยนู้นน่ะ สมัยที่เรียกว่าโง่เง่าอะไรนั่นแหละ มันยังมีคิดอย่างนั้นเชื่ออย่างนั้นหวังอย่างนั้น แล้วก็มันก็ทำอย่างนั้นจริงๆ ด้วยเหมือนกัน
เด็กสมัยก่อนมันจะขว้างนกขว้างสัตว์นี่ พอพระทักว่าบาป มันก็ทิ้งก้อนหิน เด็กสมัยนี้พอมันทำอย่างนั้นพระทักว่าบาป มันก็ขว้างหัวพระน่ะ มันก็มีมาแล้วจริงๆ ถ้ามันถือหนังสติ๊กมายิงนก พระบอกว่าบาป มันก็ยิงหัวพระจะบอกว่าบาป ขอให้คำนวณดูเถอะว่าต่อไปในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ได้อบรมให้เขาให้มีความหมายในคำว่าบาปในคำว่าบุญ ในที่สุดเขาก็จะทำอันตรายพ่อแม่น่ะ เหมือนกับเดี๋ยวนี้ที่ว่ามีข่าวคนฆ่าพ่อฆ่าแม่อะไรกันอย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน ศีลธรรมมันลงหายไปในดินหมด คนไม่มีศีลธรรมเหตุการณ์อย่างนี้มันก็จะเกิดขึ้น ขอให้นึกถึงศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมกลับมา ทุกคนน่ะอาตมาขอร้องว่าทุกคนไม่ยกเว้นใคร ให้จงช่วยกันทำคนละไม้คนละมือนิดหนึ่งก็ยังดีว่าให้ศีลธรรมกลับมา ปรึกษาหารือกันแต่เรื่องศีลธรรมกลับมา มีลูกมีหลานมีลูกเล็กๆ ก็วางรากฐานแห่งศีลธรรมให้ในจิตใจของเขา ให้เด็กๆ มันรู้ว่าเด็กทุกคนเกิดมาสำหรับทำให้พ่อแม่ชื่นใจ ขอให้ไปอบรมกันอย่างนี้ อบรมจนเด็กๆ ทุกคนมันยอมรับถือเป็นหลักว่า เด็กทุกคนเกิดมาเพื่อทำให้พ่อแม่ชื่นใจ เด็กคนไหนทำให้พ่อแม่น้ำตาตกคือคนที่เลวที่สุดในโลก ให้มันรู้จักประนามกันอย่างนี้ มันก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเด็กทำให้พ่อแม่เดือดร้อนอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในทุกๆ ทาง คนที่รักเราตายแทนเราได้ในโลกนี้ไม่มีใครนอกจากพ่อแม่ หาดูทั้งนั้นไม่มี ผัวเมียก็ยังจะไม่ได้ พ่อแม่แล้วมีได้ที่จะรักลูกจนตายแทนได้ ให้เด็กๆ เขามองเห็นอย่างนี้ เขาก็จะได้เคารพเชื่อฟังกตัญญูต่อบิดามารดา นี่วางรากฐานของศีลธรรมมาเสียตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ขอให้พยายามเถอะมันไม่ไปไหนเสีย มันจะค่อยๆ ดีขึ้น
ครูบาอาจารย์ก็สอนให้เด็กเขารู้เรื่องศีลธรรมนี่ แต่ว่ากฎระเบียบของกระทรวงมันมีแต่จะให้สอนหนังสือสอนเลขสอนอะไร ไม่ๆๆ คำนึงถึงศีลธรรม ความรู้สึกของอาตมารู้สึกว่า เด็กมาโรงเรียนวันแรกชั้นอนุบาล เรียนกันแต่ศีลธรรมก็แล้วกัน ไม่ต้องเรียนหนังสือไม่ต้องเรียนเลขไม่ต้องเรียนอะไร เพราะอันนั้นไว้เรียนทีหลังก็ได้ ให้เด็กอนุบาลได้รับการปลูกฝังในจิตใจทางศีลธรรมให้พอให้อิ่มเสียก่อน ลงรากแล้วต่อไปค่อยเรียนเลขเรียนหนังสือเรียนวิชาอะไรพร้อมๆ กันไปกับศีลธรรมด้วยเหมือนกัน ที่เน้นแต่วิชาความรู้อาชีพอย่างเดียวน่ะไม่ได้แน่ แต่ว่าในชั้นแรกต้องเรียนศีลธรรมก่อน ก่อนวิชาอาชีพหรือความรู้หนังสือหนังหา จนเด็กเขามองเห็นได้ด้วยตนเองว่า เราเป็นเด็กเป็นลูกเกิดมาสำหรับทำให้พ่อแม่ชื่นใจสบายใจ พ่อแม่คือธนาคารที่ลูกเบิกเงินได้เรื่อยไปโดยไม่ต้องฝาก ถ้าเขารู้สึกอย่างนี้เขาก็จะรู้สึกในพระคุณของพ่อแม่ มันจะมีวิธีกี่วิธีก็มาใช้ให้หมด ให้เด็กเขารู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ตัวเขาคืออะไร ครูบาอาจารย์คืออะไร บ้านเมืองคืออะไร ศาสนาวัดวาอารามคืออะไร สิ่งที่เรียกว่าดีๆ นั้นมันคืออะไร ถ้ากูได้แล้วก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้ากูได้แล้วก็ดีนั่นมันคือต้นรากเหง้าของความไม่มีศีลธรรม ในความรักผู้อื่น เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นั่นให้เขาเป็นสุขด้วยกันนี่จึงจะเรียกว่าดี ดังนั้นเราต้องรักผู้อื่น แล้วก็บังคับตัวเรา บังคับจิตของเราให้รักผู้อื่นให้จนได้ อย่าเห็นแก่ตัวเรา ในเมื่อเราทำอย่างนี้เราเคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง มีความสุขกันที่ตรงนี้ ไม่ต้องไปเล่นไปหัวที่ไหนละ เดี๋ยวนี้เขาสอนกันประหลาดๆ แล้ว ให้ไปเล่น ให้ไปหัว ให้ไปเพาะกาย ให้ไปออกกำลัง ให้ไปอะไรจนเพิ่มความเห็นแก่ตัวไปเสียหมด ไม่สามารถที่ตรงนี้ประพฤติความดีที่ตรงนี้ เราก็มีค่า มีราคา มีความสุข พอใจที่ได้รู้สึกว่าทำดี เคารพตัวเองได้แล้วนั่นแหละคือดี มีความสุขอยู่ที่การทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง คำว่าบุญคือการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง ที่ไหนเมื่อไรก็ตาม บุญนั้นคือทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องไม่บกพร่อง เด็กจะสนุกสนานในการทำบุญ
เมื่ออาตมามาอยู่ที่วัดนี้ มีร่องรอยของการอบรมแบบโบราณเหลืออยู่ หากพบเป็นครั้งแรกก็ประหลาดใจ มีคนชาวบ้านรุ่นแก่ที่ตายไปแล้ว กำทรายที่ในคลองมากำหนึ่งก็มาถึงในวัด เขามาธุระอย่างอื่นนะ แต่ก็กำทรายที่ในคลองมากำหนึ่ง มาถึงวัดก็สาดเสียไปทั่ววัด ก็คิดว่าจะกลับไปบ้าน เสร็จธุระแล้วกลับไปบ้าน กำขยะมูลฝอยใบไม้แห้งไปเต็มกำออกไปนอกวัด ไปทิ้งในที่ๆ ควรทิ้ง ไม่ใช่ทิ้งกลางถนนนะ นี่เขามีอบรมกันถึงขนาดนี้ว่า คุณมาวัดเอาทรายติดเท้าของคุณไปสองสามเม็ดออกไปนอกวัดน่ะ เท่ากับทำบาปนะนั่น บาปถึงขนาดนี้ ทรายถูกเท้าของเราออกไปนอกวัด ๒ – ๓ เม็ดน่ะบาปนะ ดังนั้นเราจะใช้ชดใช้ไว้ให้เกินไว้เสมอ คือมาทีไรก็กำทรายมากำใหญ่มาชดใช้ไว้เสมอ รวยอยู่ในวัด แล้วก็ช่วยให้วัดสะอาดเรียบร้อย ไม่ทำอะไรให้มันสกปรกรกรุงรัง ก็กำขยะมูลฝอยหรือว่าไอ้สิ่งอันตรายไม้แห้งกิ่งไม้แห้งก็มี เอาไปทิ้งนอกวัด นี่คนเหล่านี้ถ้าไปอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่วางหาบให้กีดทางเท้าตำรวจจับหรอก เขาจะถือว่าที่วางหาบทางเท้ากีดเกะกะนั้นบาปนะนั่นๆ เขาทำไม่ได้หรอก นี่โบราณเขามีอะไรคุณก็ลองคิดดูว่าไอ้ศีลธรรมมันลึก มันลงรากกันถึงขนาดไหน ถึงขนาดยอมรับผิดว่าทรายติดเท้าไป ๒ – ๓ เม็ดบาปต้องชดเชย เข้ามาทีหนึ่งเอามากำหนึ่ง ก็ขอให้นึกสอดส่องลงไปว่า จิตใจ ดวงใจ หัวใจของคนชนิดนี้มันเป็นอย่างไร เขาจะฆ่าใครได้ไหม เขาจะลักขโมยใครได้ไหม เขาจะโกหกหลอกลวงได้ไหม ถ้าเขามีความรู้สึกอย่างนี้ แม้แต่ทรายติดเท้าไปเม็ดหนึ่งเขาก็หาว่าคล้ายๆ กับเท่ากับปล้นวัด ก็เลยมีศีลธรรมดี ตามแบบโบราณบ้านไม่มีกุญแจ เพราะสมัยโน้นก็ยังไม่มีประแจขาย บ้านยังงับประตู งับประตูแล้วก็ร้องสั่งไอ้เรือนใกล้ๆ ว่า ฝากเรือนด้วยโว้ย แล้วก็ไปป่า ไปธุระได้ ไม่มีใครขโมย เดี๋ยวนี้ใส่กุญแจยังไงมันก็หักกุญแจเข้าไปขโมย มันลำบากกี่มากน้อย ความมีศีลธรรมกับความไม่มีศีลธรรม
เราเป็นพุทธบริษัท ก็ควรจะรู้เรื่องเหล่านี้จึงจะสมกับที่เป็นพุทธบริษัท จะรู้อื่นๆ รู้หนังสือ รู้อาชีพ รู้อะไรมากๆ แต่ถ้าไม่มีความรู้ชนิดที่เป็นศีลธรรมแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร ตามหลักของพระพุทธเจ้าไม่มีความหมายอะไร มันต้องมีความรู้ศีลธรรมในความหมายที่ว่า เราจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรจึงจะอยู่กันอย่างผาสุก มันต้องมีอย่างนั้น แล้วก็นั่นแหละจะเป็นสัตบุรุษในพระพุทธศาสนา นี่ก็ไปคิดกันเอง คนทั้งหลายก็อยากจะเป็นสัตบุรุษในพระพุทธศาสนา อุตส่าห์มาที่สวนโมกข์ ก็ไปคิดเอาเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไอ้ความเป็นพุทธบริษัทของเราจะเจริญงอกงามรุ่งเรือง มันต้องทำด้วยตนเอง แล้วถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ มันก็เลยไปรับความผาสุกทั้งตัวเองและผู้อื่น นี่อาตมาได้พูดถึงเรื่องนี้โดยหัวข้อบอกว่า เราจะต้องกระทำอย่างไรกับสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ยุคนี้ปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้เราจะต้องกระทำต่อสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมนั้นอย่างไร อาตมาจึงได้พูดเรื่องศีลธรรมมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ตั้งแต่มันมีศีลธรรมเต็มไปทุกแขนง จนมันหายตัวไปหมดเป็นเครื่องมือขูดรีดของมนุษย์หมด ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาสิ่งนี้ก็ไม่เปลี่ยน เราก็อยู่กันในโลกด้วยความไม่มีศีลธรรม จะเรียนกันไปทำไม จะขวนขวายพัฒนากันไปทำไม ถ้ามันมีแต่ความเบียดเบียนความเดือดร้อน มันไม่แก้ปัญหานี้ได้ด้วยเงินหรือด้วยเศรษฐกิจหรือด้วยอะไรทำนองนั้นแหละ มันแก้ได้ด้วยศีลธรรมอย่างเดียว พอศีลธรรมกลับมาอะไรๆ ก็ดีหมด ก็มันเคยเป็นศีลธรรมทั้งนั้น เศรษฐกิจไม่ดีมันเลว เพราะคนไม่มีศีลธรรม ถ้าคนมีศีลธรรม เศรษฐกิจมันเลวไม่ได้หรอก มันไม่มีใครโกง เดี๋ยวนี้มันโกง คนผลิตก็โกง คนซื้อก็โกง คนขายก็โกง คนกลางก็โกง คนอะไรก็ล้วนแต่โกง เศรษฐกิจมันจึงเลว ถ้าศีลธรรมมาคนไม่โกง เศรษฐกิจมันก็ดี เรื่องการปกครอง เรื่องอะไรก็เหมือนกันทุกอย่างแหละ ถ้าศีลธรรมกลับมาแล้วมันก็จะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์เหมือนที่มันเคยเป็นในยุคดึกดำบรรพ์โน้น มันก็จะเป็นอย่างนั้นอีก
จึงขอร้องให้ท่านทั้งหลายช่วยกันทำให้ศีลธรรมกลับมา อาตมาไม่ต้องการอะไรไม่เรียกร้องอะไร เรียกร้องอย่างเดียวว่า ช่วยกันทำให้ศีลธรรมกลับมา มิฉะนั้นจะถือว่ายังไม่ได้ช่วยเหลืออาตมาอะไรเลย การที่มาถึงนี่ที่นี่ยังไม่ได้ช่วยเหลืออาตมาอะไรเลย จนกว่าจะได้ไปช่วยกันทำให้ศีลธรรมกลับมาในความหมายใดในความหมายหนึ่ง สักปริมาณนิดหน่อยมากน้อยก็ตามเถอะขอให้ได้ทำเถอะ เพื่อว่าเราจะได้สนองพระคุณของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงหวังไว้อย่างนั้น หรือว่าศาสนานั้นธรรมวินัยนั้น เพื่อประโยชน์เพื่อความสุข แก่โลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่เป็นพระพุทธประสงค์ ขอให้ช่วยสนองพระพุทธประสงค์ พยายามตามที่จะทำได้ให้ศีลธรรมกลับมา คือธรรมะของพระองค์กลับมา ให้โลกนี้มันเป็นโลกที่มีธรรมะมีศีลธรรม และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง การมาที่นี่ก็จะคุ้มค่ารถ ค่าเหนื่อย ค่าเสียเวลา ค่าอะไรต่างๆ เพราะว่าเราได้มาพูดจากันด้วยเรื่องที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา และเป็นการสนองพระพุทธประสงค์ของพระบรมศาสดา นี่คือสิ่งที่เราจะต้องประพฤติต่อสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมที่กำลังจะสูญหายไปจากโลก ช่วยดึงเอาไว้ ช่วยให้กลับมา แล้วทุกอย่างจะเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นกำไรมหาศาลเหลือที่จะกล่าวได้ ขอแสดงความหวังไว้อย่างนี้แก่ท่านทั้งหลายทุกๆ คน การบรรยายนี้สมควรแก่เวลาแล้ว ต้องขอยุติการบรรยาย แต่ก็ไม่วายที่จะแสดงความหวังว่า ขอให้การได้พบปะสนทนากันนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์ โดยเฉพาะชาวไทยเรานี่ เขาก็จัดให้เป็นเมืองพุทธในโลกนี้ จะเป็นเมืองพุทธสมจริงตามชื่อนั้นๆ ประโยชน์ก็คือเราได้รับเป็นความสุขอยู่ทุกทิพาราตรี ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้