แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอโอกาสเงียบที จะได้พูดกันสักที ขอขอบใจทุกๆคนที่มาเยี่ยมสวนโมกข์ ฉันขอบใจทุกคนที่มาเยี่ยมสวนโมกข์ นี่โดนส่วนตัวที่ได้มาทำบุญ ได้มาทำทาน ฟังเทศน์ ศึกษาหาความรู้ นี่ก็ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนา และหวังว่าคงจะคุ้มกับเวลาทีเสียไปด้วยความลำบาก เหน็ดเหนื่อย เงินทรัพย์ ค่าเดินทาง แต่ว่าจะได้อะไรคุ้มหรือไม่นี่อยู่ที่ท่านนะ ไม่ได้อยู่ที่ฉันนะ ที่มานี่ ลำบากเหน็ดเหนื่อย เปลือง จะได้อะไรคุ้มกันหรือไม่ ก็ อยู่ที่ท่านไม่ได้อยู่ที่ฉันนะ ฟังให้ดี พยายามที่จะใช้เวลาระหว่างที่อยู่ที่นี่ให้ดีที่สุด ให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดของการมาที่นี่ ที่นี้ลองคิดดูว่า อะไรที่จะดีที่สุดที่จะได้จากที่นี่ บางคนก็ไม่รู้ว่าอะไรที่จะได้ดีที่สุด ไปดูปลา ไปดูอะไรตามในบ่อ ฉันต้องไล่มาทางนี้ ให้มาเข้าโรงหนัง ให้มาศึกษาภาพธรรมในโรงหนัง ไม่ค่อยสนใจทางธรรม ชอบดูปลาดูนกดูอะไรเสียโดยมาก ไม่ค่อยจะได้ความรู้สมกัน แต่ฉันคิดว่า ที่มาคราวนี้คงไม่เป็นแบบนั้น คงตั้งใจมาที่จะแสวงหาความรู้ ธรรมธรรโมเป็นแน่นอน จะได้อย่างไร จะได้อะไร จะได้พูดกันบ้าง มาสวนโมกข์ ถึงสวนโมกข์หรือยัง คิดดูทุกคนมาสวนโมกข์นั้นถึงสวนโมกข์แล้วหรือยัง ที่มานั่งกันตรงนี้ มันยังไม่แน่อาจจะไม่ถึงก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าโมกข์ นั้นคืออะไร คำว่า โมกข์ นี่ ยืมมาจากต้นโมกข์ ยืมคำ ยืมชื่อมาจากต้นโมกข์ แต่ไม่ใช้ต้นโมกข์ คำว่าโมกข์แปลว่าอะไร คำว่าโมกข์ ในภาษาธรรม แปลว่า เกลี้ยง อะไรเกลี้ยง ใจเกลี้ยง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีกิเลส เศร้าหมอง ไม่มีความทุกข์ที่เร้าร้อน ใจก็เกลี้ยง ถ้ามาที่นี่แล้ว นั่งอยู่ที่นี่แล้ว ใจยังไม่เกลี้ยง ก็เรียกว่าไม่ถึงสวนโมกข์ มาเดินๆทั่ววัดแล้วก็ไม่ถึงสวนโมกข์ นั่งอยู่ที่นี่ก็ยังไม่ถึงสวนโมกข์ น่าหัวเราะนะ ที่จริงนั้นน่าสงสารนะ มากันทีเปลืองมากเหนื่อยมาก แต่ยังไม่ถึงสวนโมกข์ ถ้าได้ถึงสวนโมกข์ ก็ให้ใจมันเกลี้ยง ให้ทุกคนสังเกตจิตใจตัวเองนั่นแหละว่าเกลี้ยงหรือยัง เกลี้ยงบ้างก็ยังดีดีว่าไม่รู้จักเกลี้ยงกันเสียเรย ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ ไม่รู้สึกว่าดิ้นรน กระวนกระวาย เศร้าหมอง ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ได้เกิด ยังไม่ทันเกิด ก็เกลี้ยงแหละ อย่างน้อยก็รู้สึกสบาย เวลาเราอยู่ที่บ้านแล้วรู้สึกอึดอัดๆ หงุดหงิดๆ กระวนกระวาย ใจไม่เกลี้ยง มาที่นี่ ถ้าทำได้ ใจเกลี้ยง ก็ใช้ได้ แล้วมาถึงสวนโมกข์ ถึงจะไม่เด็ดขาดเป็นพระอรหันต์ เป็นคนธรรมดาก็ดี เป็นปุถุชนกัลยา เป็นปุถุชนที่ดี พอได้ชิมว่าเกลี้ยงเป็นอย่างไร สบายๆ เป็นอย่างไร อย่างนั้นก็ใช้ได้ มันจะได้รู้ว่าเกลี้ยงเป็นแบบนั้น ทีหลังจะได้ชอบ เหมือนเราจะได้ชิม รสอะไรที่ดีที่แปลก ติดอยู่ในใจ แสวงหาอีก มาชอบความเกลี้ยงจิตใจ มาที่นี้ แล้วจะชอบใจติตใจ อย่างจะมีอีก กลับไปบ้านก็เอาไปได้ด้วย มีจิตใจเกลี้ยง ถ้าอยู่ที่บ้านมันเกิด ไม่เกลี้ยงขั้นเหมือนเมือ่ก่อน จะได้นึกถึง ว่าที่เรามานั่งอยู่ที่นี่วันนี้มันเกลี้ยง ก็ได้แล้วได้สิ่งที่ดี ที่สุดสำหรับการมาที่นี่ ที่ได้รู้จักความเกลี้ยง ได้ชิม ความเกลี้ยง ได้เกิดความพอใจในความเกลี้ยง ได้เกิดความปรารถนาที่จะมีจิตใจเกลี้ยงชนิดนี้อยู่ต่อไป เรื่อยๆไป ที่นี้จะพูดถึงเรื่องใจเกลี้ยงกันบ้าง ใจเกลี้ยงนี่จะสนุกในการทำความดี สมองไม่สนุกในการทำความดี ไม่สนุกในการทำการงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันก็ไม่สนุกถ้าใจมันไม่เกลี้ยง ถ้าใจมันเกลี้ยงจะสนุกไปหมดทำงานเหน็ดเหนื่อยก็ยังสนุก ให้สังเกตดูบางครั้งบางครั้งทำงานเหนื่อยเหลือเกิน เหงื่อไหล ไคลย้อย มันก็ไม่เป็นทุกข์ มันสนุก มันพอใจ ทำจนทำไม่ไหว ต้องนอน ก็ยังสนุก นี่แหละอานิสงค์ จากความที่จิตใจมันเกลี้ยง เรียกว่า จิตใจมันว่าง ไม่มีอะไรรบกวน เรียกว่า ว่างฟังยาก เรียกว่าเกลี้ยงดีกว่า ถ้าจิตใจเกลี้ยงแล้วทำงานสนุก ถ้าจิตใจหงุดหงิดแล้วทำงานเป็นทุกข์ ต้องหัดทำจิตใจให้เกลี้ยง จะได้มีจิตใจที่พิเศษ ทำงานสนุก ยิ้มอยู่ข้างในอยู่ตลอดเวลา ใครทำได้บ้าง ยิ้มข้างนอกไม่เอา น่าเกลียด ยิ้มอยู่ข้างใน จิตใจยิ้มอยู่ข้างในตลอดเวลา ยิ้มอยู่ข้างใน จิตใจยิ้มอยู่ข้างใจตลอดเวลา ให้รักษาจิตใจให้ยิ้มได้เรื่อยๆ ก็จะโกรธไม่เป็น จะไปหลงรัก ยินดีอะไรก็ไม่เป็น เพราะว่ามันยิ้มอยู่แล้ว มันโง่ไม่เป็น มันโลภไม่เป็น มันโกรธไม่เป็น มันหลงไม่เป็น จิตใจมันยิ้ม นั่นแหละคือจิตใจมันเกลี้ยง ไม่ใช่ว่าเกลี้ยงแล้วจะไม่รู้สึกอะไร แล้วมันจะเหมือนคนหลับ คนสลบ ไม่ใช่แบบนั้น คนที่หลับหรือสลบไม่ใช่จิตใจเกลี้ยง มันมีอะไรไปหุ้มห่อมันไว้ แต่เราตื่นๆ(10.56) มีจิตใจเกลี้ยง ไม่รู้สึกโลภ ไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกหลง แล้วมันจะเย็น แล้วมันจะยิ้ม ลองทำให้รู้สึกว่ายิ้มอย่างไรแล้วรักษายิ้มไว้เรื่อยๆ จนตลอดวัน ตลอดคืน พอตื่นนอนขึ้นมา ยิ้มนี้แหละทันทีเลย อย่าให้ทันมีเรื่องอะไร ให้มีจิตใจเกลี้ยงแล้วยิ้มอยู่ข้างใน ทันทีเลย แล้วจึงค่อยลุกจากที่นอน มาทำการทำงาน หุงข้าวต้มแกง แล้วจะมีเรื่องมีราวอย่างไร ระหว่างหุงข้าวก็ทำให้มันยิ้มเรื่อยไปนั่นแหละ แล้วก็หุงข้าวต้มแกงไปตามเรื่องหรือคนที่ไม่หุงข้าวหุงแกง ไปทำงานอะไร ก็ให้ยิ้มไปเรื่อย ก็อย่าให้มันเผลอไปได้ มีสติกำหนดแล้วยิ้มไว้เรื่อยๆ คือ เกลี้ยงนั่นเอง ทำให้จิตใจเกลี้ยงไว้กำหนดมันไปจะได้พูดว่า ยิ้มให้มันน่าสนใจ มันมีความสุข ถ้าไม่เกลี้ยงยิ้มไม่ออกถ้ามีความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำ ยิ้มไม่ออกหรอก ยิ้มไม่ได้สังเกตให้ดี ๆ จะลงมาจากบ้าน จะไปไหนมาไหน ให้ความยิ้มเย็นไปเรื่อย ไม่ต้องพูดมาก ถ้าไปพูดมาก ยิ้มจะน้อยลงไป และถ้าหัวเราะฮ่าๆๆ ยิ้มหายหมดเลย ยิ้มข้างในหายหมดเรย ต้องนิ่งๆให้มาก ให้กำหนดความเกลี้ยงของจิตใจใจรู้สึก มียิ้มเป็นสุขอยู่เรื่อย อย่าพูดกันให้มากนัก และก็อย่าหัวเราะกันให้มากนัก หัวเราะน่ะเปลืองมาก เปลืองแรง เปลืองยิ้ม เปลืองกำลังใจ เปลืองความสงบมาก หัวเราะข้างในดีกว่า ถ้าหัวเราะข้างในจะไม่หัวเราะข้างนอก ถ้าหัวเราะข้างนอกจะไม่หัวเราะข้างใน หัวเราะข้างในคือ ยิ้ม เย็น เป็นสุข ดูหน้าดูตาก็เป็นสุข สังเกตเห็นได้ว่าคนนี้ไม่มีทุกข์ มันยิ้มอยู่ข้างใน เวลาที่จิตว่างมันยิ้มข้างใน หน้าตาสวยนะ แต่ถ้าข้างในมันขยุกขยิก หน้าตาน่าเกลียดทันที มีความโลภมันก็แสดงออกที่ผิวหน้า มีความโกรธมันก็แสดงออกที่ผิวหน้า มีความโง่ ความสงสัยวิตกกังวัลมันก็แสดงที่ผิวหน้า คนที่มีกระจกส่องหน้าอย่าส่องแต่เพื่อแต่งหน้าแต่งตา ให้ส่องดูว่า เวลาใจมันโลภ หน้าตาเป็นอย่างไร เวลาใจมันโกรธหน้าตาเป็นอย่างไร ก็โกรธใครให้วิ่งไปเอากระจกมาส่องดูหน้าทันที มันจะได้ละอายและหาย เวลาเรากลัวเอากระจกมาส่องหน้าว่าหน้าตาเป็นอย่างไร วิตกกังวัลสงสัยนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เอากระจกมาส่องดู นี่มันไม่ค่อยส่องกันนี่ เอาไว้ส่องเวลาแต่งหน้าแต่งตา เชิดหน้าสวยยักคิ้ว ไม่มีประโยชน์ ถ้ามีกระจกเอาไว้ส่องหน้าเวลาจิตโลภ จิตมีกำหนัดหน้าตาแบบไหน จิตมีโทสะ หน้าตาเป็นแบบไหน จิตโง่หลงมัวเมาหน้าตาเป็นแบบไหน พอหนักเข้าก็รู้สิ ว่าหน้าตาเป็นแบบไหน จะได้แก้ไข ละอายแล้วก็จะกลับมายิ้มได้อีก หน้าตาปกติยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะมันยิ้มข้างในนั่นเอง นั่นแหละเป็นทางลัด มีความสุข ตามแบบของพระอริยเจ้าโดยเร็ว ยิ้มได้ถ้าใจมันเกลี้ยงนี่ แล้วสวนโมกข์ ถึงสวนโมกข์แล้วใจมันยิ้ม ยิ้มข้างใน ใจมันเกลี้ยงไม่มีความทุกข์ นั่นแหละที่นี่ มาถึงสวนโมกข์กันหรือยัง มันยิ้มไม่ได้แปลว่ายังไม่ถึงแน่ มันก็จะรู้สึกได้ เราสังเกตจิตใจกันสักนิดว่ามันเย็นหรือเปล่า มันหยุดกระวนกระวายหรือเปล่า มันเฉยจากใจที่มันกระวนกระวาย แล้วก็หยุด แล้วก็เย็น แล้วก็ยิ้ม ไม่ใช่แกล้งพูด และไม่ใช่หลอกนะ นี่แหละเป็นการทำกรรมฐานที่ดีที่สุด ใครอยากทำกรรมฐาน ทำวิปัสนา ดีที่สุดแหละ ทำจิตให้สะอาด ให้ยิ้มแล้วคุมไว้ตลอดเวลา ตลอดเวลา ตื่นนอนขึ้นมาก็ให้มันยิ้ม ไปทำงานทำการให้มันยิ้มข้างในเรื่อย มีความสุข ไม่มีความทุกข์ ไม่โกรธ ไม่ร้อน ไม่อะไร ทำงานทำการก็ยิ้ม กินข้าวก็ยิ้ม จะพักผ่อนก็ยิ้ม หรือจะค่ำลงอีกครั้งก็ยิ้ม ยิ้มจนถึงเวลาหลับ เวลาหลับมันยิ้มของมันเองได้ ตื่นนอนก็ตั้งใจยิ้มอีก ก็เรียกว่า ยิ้มมันมี สอง ชนิด ยิ้มข้างในยิ้มด้วยจิตใจ และยิ้มข้างนอกไม่ดีเท่าไหร่ บางทีคนไม่ปกติ (นาทีที่ 17.59 )ก็ยิ้มได้ เข้าใจผิดก็ยิ้มได้ เค้าหลอกให้เข้าใจผิดก็ยิ้มได้ นี่มันยิ้มข้างนอก ยิ้มที่หน้าที่ตา แต่ถ้ายิ้มข้างในน่ะไม่ได้ จะมีการหลอกไม่ได้ ต้องจริง ก็คือต้องเกลี้ยง(สะอาด) นี่แหละสวนโมกข์ จะให้ และสิ่งที่สวนโมกข์จะให้ก็มีแต่สิ่งนี้แหละ คือ จิตเกลี้ยง(สะอาด) และยิ้มตลอดเวลา ไม่บ้า ยิ้มชนิดนี้ไม่มีบ้า เพราะมันมีสติ มีสติคุมอยู่ มันไม่บ้า แต่ยิ้มข้างนอกนั่นแหละระวัง หัวเราะฮ่าๆ นั้นแหละระวัง เพราะมันไม่เกลี้ยงไง จิตมันไม่เกลี้ยง คนที่หัวเราะ หรือยิ้มแบบถูกอกถูกใจแบบนั้นมันไม่เกลี้ยง จิตไม่เกลี้ยง เอาออกไปซะให้หมดให้จิตมันเกลี้ยง ให้ยิ้มอยู่ข้างใน ส่วนข้างหน้า หน้าตามันก็ยิ้มเหมือนกัน ยิ้มแบบพระพุทธรูปที่เค้าสร้างดีๆ ถ้าไม่เคยเห็นก็ให้ไปดูรูป อวโลกิเตศวรที่สนามหญ้า ที่อยู่ระหว่างทางไปโรงธรรม เป็นรูปคนครึ่งตัวอยู่บนยอดเสา ไปดูหน้าสิ นั่นแหละยิ้ม ยิ้มแบบนั้นแหละยิ้มข้างใน ถ้าใครเคยเห็นแล้ว ให้หลับตานึกหน้าอวโลกิเตศวร ถ้าใครไม่เคยสังเกต พรุ่งนี้ไปดูเสีย องค์ใหญ่อยู่บนเสาอยู่กลางบ่อ อยู่ทางไปโรงธรรม ไปมองหน้ารูปนี่แหละ รูปอวโลกิเตศวรนี่แหละให้รู้จักยิ้มข้างใน ยิ้มอย่างรูปนั้นมันมีความหมายมากนัก ข้อที่หนึ่ง มันมีความบริสุทธิ์ สะอาดแห่งจิตใจ ข้อที่สองมันมี ปัญญาความรู้ เฉลียวฉลาด มันจึงมีหน้าตาแบบนั้น และมันมีควาวมเฉยได้ ทนได้ ไม่หวั่นไหวใน มีขันติด้วย และก็มีเมตตากรุณา ถ้าใครมีพระพุทธรูปหน้าสวยเหมือนกับอวโลกิเตศวร ก็เอามานั่งดูแล้วหัดยิ้มแบบพระพุทธรูป พอเรายิ้มเป็น ตอนแรกๆก็ต้องหัดบ้างล้มลุกคลุกคลาน ยิ้มไม่ออก ยิ้มไม่ออก ถ้าจะให้ง่ายก็เอารูปแบบนี้แหละมาดู รูปถ่ายก็ใช้ได้แต่ไม่ดี ไม่ค่อยดีเท่ากับรูปจริงๆ ที่มาสวนโมกข์ทุกคน ก็ขอร้องให้ไปนั่งเพ่งจ้องหน้ารูปปั้นอวโลกิเตศวร ที่เลือกไว้ดีที่สุด รูปปั้นรูปนี้เป็นของเมืองไชยา เอาไปไว้ที่กรุงเทพฯไว้หลายสิบปีแล้ว ปรากฎว่าไม่มีรูปไหนจะสวยเท่ารูปนี้ แต่ไม่ใช่ว่าสวยชนิดที่ชาวบ้านสวย เค้าเรียกว่าสวยอย่างศิลป อย่างศิลปิน ไปดูอีกทีนะว่าสวยอย่างไร ให้หน้านั้นมีความบริสุทธิ์ มีความฉลาด มีความอดทน มีความเมตตากรุณา เค้ายอมรับกันว่าไม่มีสวยกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีดีกว่านี้อีกแล้ว ฝีมือไม่มีดีกว่านี้อีก อย่างดีก็เสมอกัน นี่มันสูงสุดแค่นี้แหละ ศิลปทั้งพระพักตร์ของพระพุทธรูปหรือของเทวรูปก็ตาม ไหนๆก็มาสวนโมกข์แล้วอย่าให้เสียเที่ยวนะ ถ้าไม่เคยมอง ก็ไปมองสิ ไปยืนมอง ไปเพ่งมอง ถ้ารูปพูดได้ก็จะบอกให้มีความบริสุทธิ์ ให้มีปัญญา มีเมตตา มีขันติและท่องจำไว้ได้เลยว่าสุทธิปัญญาเมตตาขันติ สุทธิปัญญาเมตตาขันติ เดี๋ยวก็ยิ้มเองแหละ สุทธิ คือ มีจิตบริสุทธิ์ ปัญญา คือ รู้ ไม่โง่ไม่หลงไม่สงสัยไม่อะไรทั้งหมด รู้ว่าทำอย่างนี้ไม่มีทุกข์ รู้ว่าทำอย่างนี้ไม่มีทุกข์ เป็นคนที่เฉยได้ ทนได้ รอได้ เพราะว่าสังขารทั้งหลายเปลี่ยนแปลง เกิดแก่เจ็บตายอยู่บ่อยๆ ต้องทนได้ ถ้าทนไม่ได้เมื่อเกิดแก่เจ็บตาย ก็จะยิ้มไม่ได้ ไม่มีปัญญา เกิดอะไรขึ้น จะเกิดจะแก่จะเจ็บจะตาย อย่าไปทุกข์ อย่าไปเสียใจ อย่าไปนั่งร้องไห้ เฉย แล้วก็ยิ้มไว้ เมตตานั่นต้องมี เมตตากรุณาต่อผู้อื่น ส่วนนี่เป็นส่วนที่เมตตากรุณาต่อผู้อื่น ยิ้มอีกชนิดหนึ่งอีก ยิ้มไกล ยิ้มกว้าง นั่นแหละความหมายและหัวใจของส่วนโมกข์คือใจเกลี้ยงแล้วยิ้ม ถ้าไม่เข้าใจให้ไปดูรูปปั้นอวโลกิเตศวรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสวนโมกข์ ถ้าเมื่อก่อนไม่เข้าไม่เคยสนใจ ก็ไปทำความเข้าใจ สนใจกันเสีย จะได้ถึงส่วนโมกข์ มาแล้วไม่ถึงสวนโมกข์ มันไม่คุ้มค่ารถ ไหนๆมาแล้ว ก็มาให้ถึงสวนโมกข์ให้มันคุ้มค่ารถ ให้มีจิตใจเกลี้ยงและยิ้มให้เป็น ยิ้มไม่เป็นก็ไปดูหน้าพระพักตร์อวโลกิเตศวรที่กลางสนามหญ้า แล้วยิ้มให้เป็น ไปดูพระพักตร์ชนิดนั้น จะรู้สึกว่าสวยและก็ยิ้ม ยิ้มก็ไม่ใช่ยิ้มเจ้าชู้ ไม่ใช่ยิ้มบ้าๆบอๆแต่มันก็สวยเหลือประมาณ เพราะมันมีธรรม 4 ประการ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ กว่าจะเลือกได้รูปชนิดนี้ก็พยายาม พยายามมาก พอทำมาสวยบางที ก็ไปเหมือนกับผู้หญิงเสียบ้าง เหมือนคนเจ้าชู้เสียบ้าง เหมือนคนขี้โกรธเสียบ้าง ไม่ใช่ตำหนิพระพุทธรูปนะ แต่ตำหนิคนปั้น คนสร้าง พระพุทธรูปบางองค์หน้าบึ้งเหมือนจะกินตับเด็ก ใช้ไม่ได้ ที่ไหนมีพระพุทธรูปแบบนี้ ให้ไปแก้ไขพระพักตร์เสีย ให้พระพักตร์พระพุทธรูปเหมือนพระพักตร์อวโรกิเตศวรตัวอย่างที่ดี ถ้าจะซื้อพระพุทธรูปไปไว้บูชาสักองค์ ก็ให้เลือกที่มีพระพักตร์ชนิดนี้แหละ พรุ่งนี้ไปสังเกตไปจดจำไปศึกษา อย่าไปซื้อพระพุทธรูปที่หน้าบึ้ง บางทีหน้าเจ้าชู้ บางทีหน้าเหมือนกับเด็กโง่ๆอะไรแบบนี้ ป่วยการ อย่าไปซื้อมา ถ้าเราจะสร้างพระพุทธรูปก็สร้างให้มีพระพักตร์ยิ้มอยู่ข้างในเหมือนที่บอกไป แล้วไม่เท่าไหร่ เราก็จะได้ยิ้มไปด้วย เอามาดูทุกวันๆ บูชากราบไหว้ทุกวันๆ เอามานั่งมองนั่งเพ่งอยู่ทุกวัน ทำแบบนี้ฉันว่า เอาสวนโมกข์กลับไปบ้านได้ สวนโมกข์อยู่ที่นี่แต่ติดอยู่ในหัวใจคนกลับไปบ้านได้ไม่เสียทีที่มาสวนโมกข์ พาโมกข์ ที่หมายถึง ใจเกลี้ยงใจยิ้มไม่มีความทุกข์ตลอดเวลา คงจะพอแล้วมั๊ง จะคุ้มทุน คุ้มที่มา ได้ลงทุนมา ได้ชิ้นนี้กลับไป เรียกว่าถึงสวนโมขก์ คุ้มค่าที่มา พยายามทดสอบและสังเกตว่าได้หรือยังคนที่มาสองครั้ง สามครั้ง นั้นสำคัญนักไปสังเกตดูว่ามีจิตใจเปลี่ยนแปลงกันหรือเปล่า พูดอีกครั้งหนึ่งเราเรียกกันว่า สะอาด สว่าง สงบ สะอาด ก็มองไปที่หน้าแล้วรู้สึกว่า คนนี้สะอาด หัวใจมันสะอาด มองที่ใบหน้าก็จะรู้ว่าคนนี้จิตใจมันสว่าง ไสว แจ่มแจ้งไม่ใช่โง่เขลา มองอีกทีมัน สงบ มันเยือกเย็น เป็นกรรมฐานที่ฝึกได้จากภายนอก เอากระจกมาตั้งไว้ตรงหน้าแล้วเพ่งเข้าไป ถ้ารูปที่เห็นในกระจก แสดงว่านี่มันไม่บริสุทธิ์ จิตใจมันไม่บริสุทธิ์ ในหู ในตายังมีกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เขกหัวไว้หนักๆหลายๆที เขกหัวตัวเองนะ ถ้าส่องกระจกมองเห็นว่า ไอ้นี่ยังไม่ฉลาด มันโง่ ให้เขกหัวตัวเอง ถ้าจิตใจมันไม่สงบ ไม่เย็นให้เขกหัวตัวเอง ทำบ่อยๆมันจะเปลี่ยน จิตใจจะเปลี่ยนไปในทางสะอาด สว่าง สงบ นี่ไม่ค่อยส่องกันเสียเลย ไม่เคยส่องกระจกในลักษณะนี้กันเสียเลย นี่แนะนำกันง่ายๆ ทำกรรมฐานอย่างง่ายๆ เอากระจกมาส่องดู ถ้าเห็นหน้ามีริ้วอยแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้เขกหัวตัวเอง ไม่ต้องทำให้ใครเห็น เดี๋ยวเค้าจะโห่ แอบทำคนเดียว ค่อยๆแก้นิสัย สันดาน ให้แก้จิต แก้ใจ ให้สะอาด สว่าง สงบ นี่ก็เรียกว่า เกลี้ยงเหมือนกัน สะอาด สว่าง สงบ นี่ยิ้มเหมือนกัน ถ้าไม่เข้าใจก็ไปสังเกตต่อ ถ้าจิตใจมันสะอาด สว่าง สงบ มันเหมือนกับยิ้มอยู่ข้างใน ไม่ใช่ยิ้มอยู่ข้างนอก มีความสงบสุข มีความเยือกเย็น ถึงเป็นพระเป็นเณรก็มีกระจกเงาได้ เพื่อทำแบบนี้ ไม่ใช่มาส่องให้แต่งหน้า แต่งหน้า ให้เจ้าชู้ ส่องหน้าส่องตา ให้มีดูว่ามีแววแห่งกิเลสหรือไม่ ชาวบ้านก็เหมือนกัน ถ้ามีกระจกเอาไว้ส่องหน้า นาทีที่30.53 เช่นนี้แหละ.
มันเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นาทีที่30.59 ธรรมาทายาท ธรรมาทายาท ธรรม อายาสะ คือ แว่น กระจกเงานั่นเอง อายาสะ แปลว่ากระจกเงา ธรรม คือพระธรรม ธรรมยาสะ กระจกเงาของพระธรรม แว่นของพระธรรม ส่องหน้า ส่องจิตใจ จิตใจอย่างไรปรากฏที่ผิวหน้า อันที่จริงไม่ใช่เรื่องลึก ไปส่องดูก็รู้ว่า จิตใจเป็นอย่างไร นี่ไม่สนใจใครจะสอบสวนแบบนั้น จะส่อง แต่งหน้าให้สวยเพื่อไปอวดคน ไปหลอกคน ส่องกี่ปีๆ ก็ไม่เห็นหัวใจของตัวเอง ก็มัวแต่แต่งหน้าให้สวย ทำแบนี้ไม่ใช่ ธรรมยาสะ ไม่ใช่ธรรมายาส ไม่ใช่กระจกเงาที่ส่องธรรม หรือไม่ใช่กระจกเงา อย่างธรรม ที่ได้พูดถึงกระจกเงาส่องจิตใจ หรือธรรมเพื่อให้มีเกลี้ยง มียิ้ม นี่ฉันกลัวว่ามาหลายหนแล้ว เปลืองมาก เหนื่อยมาก แล้วไม่ถึงสวนโมกข์ หรือไม่ได้อะไรคุ้มค่า ฉันก็รู้สึกรับผิดชอบ ถึงไม่มีใครจะมาปรับฉันได้ แต่ก็รับผิดชอบโดยธรรมโดยหน้าที่รับผิดชอบ ทำให้เขาไม่ได้อะไรที่คุ้มค่า เดี๊ยวยมบาลเล่นงานฉันตายเลยทำให้พวกท่านไม่ได้รับอะไรคุ้มค่า ก็เลยต้องคิดนึกเป็นพิเศษ คิดนึกมากๆ จนพบหนทาง พูดกันให้เข้าใจ พูดกันให้ได้อะไรคุ้มค่า เสียเวลา เสียค่ารถ เหน็ดเหนื่อย บางทีไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำไป ไม่มีข้าวให้กิน ต้องเสียสละมากที่มาวัดนี้ แต่ถ้าได้สิ่งเหล่านี้ไป มันคุ้มค่า คุ้มค่าเสียสละ ถ้าทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ฉันยินดีที่สุดมีความพอใจที่สุด ไม่ต้องให้ศีลให้พร อะไรอีกแล้ว เพราะว่าได้เลิศประเสริฐยิ่งกว่าศีลกว่าพร ที่เขาให้กันให้เสร็จๆไป ในตามธรรมดา ทบทวนอีกทีนึง ให้มันโมกข์ ให้จิตมันเกลี้ยง โมกข์แปลว่าเกลี้ยง พอเกลี้ยงแล้วมันยิ้ม ยิ้มอย่างจิตของพระพุทธเจ้า ผิดกันตรงที่ว่า โน่นเป็นถาวร มันตลอดเวลา มันไม่ต้องระวังอีกต่อไป มันยิ้มตลอดเวลา แต่เรานี่ยากที่จะยิ้ม ยิ้มได้ต้องระวัง ต้องคอยรักษา ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ ตลอดเวลา ให้จิตปกติอยู่แบบนั้นได้ ไม่ใช่อวดว่าจะทำให้เทียบเท่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ แต่ว่า เดินตามรอย เดินตามรอยไปข้างหลัง แล้วถ้ามันจะเกิดได้ เกิดเป็น เกิดถึงที่สุดขั้นมา ก็ดีแหละ ดีกว่านี้ไม่มี มนุษย์เราไม่มีอะไรดีไปกว่าความหมดกิเลส ความไม่มีทุกข์ ตามรอยพระพุทธเจ้า ไปได้ถึงที่สุด แล้วไม่ต้องกลัวมัน เป็นสุขยิ่งกว่าเรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องสนุกสนาน สรวลเสเฮฮา ดูหนังดูละคร กินเหล้าเมายานั่นยิ่งบ้าเลย สำหรับเรื่องดูหนังดูละครทำให้ไหม้ ไหม้ เหี่ยวแห้งข้างใน ทำให้มันโมกข์ เกลี้ยงจากสิ่งเหล่านี้ ทำให้ยิ้ม มีความสุขและเย็นอยู่ในตัว แล้วทีหลังจะไปกลับไป ร้อนโกรธ กระวนกระวายอีก เพราะมันชอบได้กินของดีๆ แล้วติดใจไม่อยากไปกินของที่เลวๆอีก ได้ชิมธรรม ชั้นนี้แล้วจะติดใจ แล้วจะไม่ชอบเรื่องคิดแล้วร้อนเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ มีกิเลส มันก็หัวเราะได้เหมือนกัน แต่ไม่สามารถยิ้มแบบไม่มีกิเลส ได้ เพราะเป็นไปเต็มที่ มันลุกเป็นไฟเป็นโพรงๆ ตาลุกเป็นไฟ หูลุกเป็นไฟ จมูกลุกเป็นไฟ ลิ้นลุกเป็นไฟ กายลุกเป็นไฟ ใจลุกเป็นไฟ น่ากลัวก็น่ากลัว แบบนี่ไม่โมกข์ ชนิดนี้ไม่โมกข์และไม่ยิ้ม ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ไอ้ที่มันรักมากๆ จะเข้ามาหาตัว เรียกว่า ราคะ โลภะ แต่หากว่าเกลียด หรือโกรธ จะผลักออกไป จะตีเสียให้ตาย ฆ่าเสียให้ตาย ดันออกไป นั้นเรียกว่า โทสะ หรือ โกธะ แล้วอันที่โง่ วิ่งอยู่รอบๆ ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่นี่เรียกว่า โมหะ วันนี้ขอให้ทุกคนรู้จัก โลภะ โทสะ โมหะ โลภะ เป็น กิเลสประเภทที่ดึงเข้ามาหา เอามาถือไว้ กอดไว้และยินดี ถ้าโทสะ จะตีให้ตายหรือผลักออกไป เรียกว่า ยินร้าย โมหะนั้นไม่รู้ว่าอย่างไรแน่ มัวเมาไปตามเรื่อง วิ่งๆ วิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ ไม่แน่ว่าจะเอาเข้ามา ไม่แน่ว่าจะผลักออกไป นี่เหมือนกระวนกระวาย ไม่ยิ้ม ไม่เย็น ไม่หยุด ไม่โมกข์ คือไม่เกลี้ยงจากของสกปรก คือ โลภะ โทสะ โมหะ จิตติดๆ ใจไม่เกลี้ยง และเมื่อมันเกินขึ้นมาในใจ ทำให้ใจไม่เกลี้ยง อย่าให้มันเกิดแล้วใจมันจะเกลี้ยง ฉันถึงขอร้องว่า เมื่อมาถึงสวนโมกข์ ก็ขอให้มันกลี้ยงจาก โลภะ โทสะ โมหะ ไปก่อน ด้วยความระวังนะ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์นะนี่ ถ้าเป็นพระอรหันต์จะเกลี้ยงหมด เกลี้ยงเลย เกลี้ยงไม่ต้องระวังกันอีกต่อไป มันเกลี้ยงเด็ดขาด แต่เรานี่ต้องเกลี้ยงโดยระวัง คอยระวังคอยระวัง เอายิ้มนี่แหละข่มไว้ รักษายิ้มไว้ได้ และไอ้นั้นจะเข้ามาไม่ได้เหมือนกัน เพราะยิ้มป้องกันไม่ให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นในจิตใจ นี่เป็นธรรมอันลึกและสูงสุดในพระพุทธศาสนา แต่ฉันเอามาพูดให้มันง่าย ให้ง่ายให้ท่านเข้าใจ ธรรมสูงสุดเข้าใจยากที่สุด พยายามอย่างยิ่งที่จะพูดให้เข้าใจ จึงได้พูด อุปมาเปรียบเทียบแบบนี้ ให้เข้าใจเรื่องหลุดพ้น ให้เข้าใจจิตของพระอรหันต์ ที่เรียก ว่าวิมมติหลุดพ้น ก็มีเท่านี้แหละ ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ถ้าพูดเรื่องอื่นมันมีมาก ไม่ไหวท่านทำไม่ได้แน่ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ เรื่องวินัย นาทีที่ นาทีที่ 39.50 เรื่องสุตทันตะ…เรื่อง อภิธรรม มันยุ่งกันตายแหละ ในที่สุดมาอยู่ที่ตรงนี้ มาอยู่ที่ยิ้มได้ และถ้ายิ้มได้ ก็มีศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยความที่มัน สะอาด สว่าง สงบ มันเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นคือต้องการให้เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องที่เข้าใจเรื่องยิ้มๆๆ นี่แหละ เรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา ทำให้หัวใจของมนุษย์ มันเกลี้ยง มันเย็น และมันยิ้ม ครั้นเมื่อได้ชิมแล้ว เลิกของเลวๆ ซะที ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านการทำการงาน ถ้าเป็นผู้ชายเคยบวชเรียนนักธรรมมาแล้วจะรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับอบายมุข 6 อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ไม่แน่ ไม่ได้เรียนก็ไม่รู้ แต่ก็จำตอนนี้เลยแหละ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร นี่คือโคลนที่สกปรก ที่ติดใจหุ้มห่อจิตใจเกือบทุกคนทุกวันนี้ ชอบกินเหล้า ชอบกินน้ำเมา ชอบรสของน้ำเมา มีจิตใจเต้นรัวเหมือนกับลิง เหมือนกับผีเลย เพราะน้ำเมานี่แหละ เอามาเทียบกันไม่ได้เลยระหว่างจิตใจที่กำลังเมา และจิตใจที่กำลังยิ้มแบบฉันว่า มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ที่รูปปั้นนั้นเป็นที่ทิ้งเหล้า ทิ้งของเมาทุกชนิด พยายามไปติดต่อไปทิ้งเสีย ไปสัญญาไปทิ้งของเมาทุกชนิด การไปเที่ยวกลางคืน ใจมันแตก ทนไม่ได้ ต้องไปเที่ยวกลางคืน สมัยก่อนเขาไม่เที่ยวกลางคืนกัน ปู่ย่าตายาย อบรมสั่งสอนไว้ไม่ให้เที่ยวกลางคืน เที่ยวกลางคืนใจมันแตกเพราะกิเลสเข้าไปครอบงำ ไม่เกลี้ยง ไม่เย็น ไม่ยิ้ม สมาทานนะ อย่าเที่ยวกลางคืน ไปดูการเล่น อย่าไปโง่ เป็นของหลอกให้หัวเราะ ฮ่าๆๆๆ ไปดูการเล่น หัวเราะเหมือนกับผีสิง พระพุทธเจ้าว่า ท่านตรัสไว้ว่า เต้นรำ รำฟ้อน มันอาการเหมือนกับคนบ้า ลิเก ละคร หรือภาพยนตร์อะไรก็ตาม อาการเหมือนคนบ้า กิเลสมันสิง แล้วเราต้องไปโง่ขนาดหนัก เราอย่าไปชอบ นี่แหละดูการเล่น เรื่องร้องเพลงจัดว่าเป็นร้องไห้ มันต้องเบ่งคอ เบ่งคาง เบ่งกล้ามเนื้อเหมือนกับคนร้องไห้ นี่หมายถึงร้องเพลงที่ชาวบ้านร้อง ไม่ใช่สวดมนต์นะ อย่าเอาสวดมนต์ไปปนกับร้องเพลง สวดมนต์บางทีนี่เพราะกว่าร้องเพลง แต่ไม่ใช่ร้องเพลง ร้องเพลงก็เหมือนการมาแสดงแล้วเก็บสตางค์นั่นแหละ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นอาการของคนร้องไห้ แต่มันลึกเป็นการร้องไห้ทางวิญญาณ ทางโง่ ทางกิเลส หัดสวดมนต์ได้ แต่อย่าหัดร้องเพลง หรือเอาสวดมนต์ไปแทนเพลงเสีย หัวเราะแหยะๆนั้นเป็นอาการของเด็กเพิ่งเกิด ยังนอนในเบาะ ยังเดินไม่ได้ นั่นแหละ หัวเราะเป็นอาการของเด็กอ่อนเด็กทารก นี่มาเปรียบเทียบให้ฟังว่าเราไปหลงชนิดนี้ ชอบหัวเราะเกินไป พระเณร ชอบหัวเราะ ไม่ใช่แกล้งนินทาลับหลังนะพูดต่อหน้าเลย หัวเราะมากเกินไป ถ้าไม่ยิ้มและไม่หยุด ไม่เย็นหรอก ถึงเป็นพระเป็นเณรก็ไม่เกลี้ยง จิตใจไม่เกลี้ยง หัวเราะมาก ชาวบ้านก็มักจะชอบหัวเราะ มาจี้ให้หัวเราะ มันเป็นนิสัยของคนบ้าจี้ สมัยก่อนนั้นปู่ย่าตายายห้าม โดยเฉพาะผู้หญิงและวัยรุ่น เขาถือเป็นเครื่องวัดทีเดียวว่า คนไหนหัวเราะร่วน ถือว่าใช้ไม่ได้ แต่เวลานี้กลับนิยมก็ทำให้หัวเราะเล่นหัวกัน เจี๊ยวจ๊าวไปเรื่อย จริงๆใช้ไม่ได้ เป็นคนที่จิตใจมันบังคับไม่ได้ ปล่อยเกินไป คนเฒ่าคนแก่ เขาสอนไว้ดีแล้ว เอามาคิดมานึกกันเสียบ้าง อย่าหัวเราะชนิดที่ร่วน หัวเราะร่วน หัวเราะริดๆ สงบเสงี่ยมไม่ดีกว่าหรือ ให้มันยิ้มข้างใน เรื่องการดื่มน้ำเมา เว้นแล้ว เรื่องการเที่ยวกลางคืน เว้นแล้ว เรื่องดูการเล่น เว้นแล้ว เรื่องเล่นการพนัน เล่นการพนันนี้เหมือนผีสิง เป็นผีชนิดที่สิง แล้วไม่รู้อะไร ไม่รู้สึกอะไร ฉิบหายหมดเนื้อ หมดตัว ก็ไม่รู้สึกได้ เพราะผีมันสิงการพนัน ทุกอย่างแหละซื้อล็อตตารี่ก็ตาม เล่นสามตัวก็ตาม การพนันแบบไหนก็ตามมันเรียกว่าผีสิง มืดหมด ขี้ขลาด จะแพ้ เป็นเปรตเป็นอสุรกายในที่สุด อย่างทีสี่แล้วเรื่องการพนันก เรื่องเกียจคร้านทำการงาน เมื่อจิตไม่ปกติ จะขี้เกียจ เกลียดคร้านทำการงาน มีกิเลสที่ไม่อยากทำการงาน ที่ฝืนทำเพราะความจนบังคับ หรือเพราะอะไรมาบังคับ หน้าแสดงว่าเป็นทุกข์ หน้าย่น หน้าเหี่ยว หน้าแสดงว่ามีความทุกข์ เพราะเนื้อแท้นั้นไม่อยากทำการงาน แต่ต้องทนทำการงานเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทำจิตใจให้เกลี้ยงแล้วมันจะสนุกในการทำการงาน ถ้าจิตมันเกลี้ยงนะ นี่ข้อสุดท้าย คือ การคบคนชั่วเป็นมิตร นี่มันเป็นเครื่องชักโยง เราเป็นคนดีไปคบคนชั่วไม่เท่าไหร่จะกลายเป็นคนชั่ว ระวัง ระวังคนที่เป็นคนดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ชอบการเล่น เล่นการพนัน ขี้เกียจทำการงาน มันเป็นคนชั่ว ไม่คบคนชั่ว มันก็ไม่ติดเรา ไม่มาเปื้อนเรา ทำให้เรามีจิตใจเกลี้ยง เย็น ยิ้ม ตามเดิม ของสกปรกที่มีเฉพาะหน้าที่จริงเวลานี้ ก็คือ อบายมุข 6 ประการ ที่ทำให้จิตใจสกปรก ไม่เกลี้ยง ไม่เป็นโมกข์ ถึงมาสวนโมกข์ก็ไม่เป็นโมกข์ กลับไปบ้านก็ไม่เป็นโมกข์ ชวนกันเว้นดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านการทำการงานเสียโดยเด็ดขาด นี่เป็นการช่วยให้มันเกลี้ยงง่ายขึ้น กลับไปถึงบ้านก็ให้รักษาให้ได้ มาถึงสวนโมกข์แล้วเกลี้ยง กลับไปบ้านให้เว้น 6 ประการนั้นเสีย ใครจะรักษาจิตให้เกลี้ยงให้เย็น ที่นี้เวลานี้ จิตกำลังว่าง กำลังเกลี้ยง กำลังเย็น แล้วก็มีความสุข รักษาไว้ให้ได้ อย่าทำให้สกปรก ด้วยอบายมุข 6 ประการ ถ้าทำได้อย่างนี้ จะได้ผลเกินค่า เกิดมาทีหนี่งไม่เสียที ได้พบสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา ไม่เสียทีที่เกิดมา เพียงแค่ยิ้มอย่างที่บอก สัก ชั่วโมง ก็คุ้มค่าแล้ว รักษาไว้ได้ตลอดไปยิ่งดี เราพูดกันเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา คือคำว่าโมกข์ แปลว่าเกลี้ยง แปลว่าหลุดพ้นจากสิ่งที่มาหุ้มห่อ ก็คือ เกลี้ยง พรมจรรย์ คือ พระศาสนามี วิมติ วิโมกข์นี่แหละเป็นอานิสงค์ แต่บางทีเค้าเรียกว่า นิพพาน เราได้ยินแต่คำว่านิพพาน คำว่า วิมติ วิโมกข์ นี่ไม่ค่อยได้ยิน เป็นสิ่งเดียวกัน วิมต วิโมกข์ นิพพานนี่เป็นสิ่งเดียวกัน จึงขอให้มีโมกข์ เกลี้ยง ได้สิ่งที่ดีที่สุด สูงสุดในพระพุทธศาสนา ตลอดเวลาให้เข้าใจสิ่งนี้ ให้รักษาไว้ให้ดี และยิ้มออกมาให้ได้ หลับให้ยิ้ม ตื่นให้รีบยิ้มทันทีอีก ยิ้มตลอดวันอีก กว่าจะค่ำกว่าจะนอนก็ให้ยิ้ม ยิ้มชนิดนี้คืออยู่ในนิพพาน อยู่ในนิพาน ได้เย็น ถ้าวิโมกข์ แปลว่า หลุดพ้นให้เกลี้ยง ถ้านิพพาน แปลว่า เย็น ดับเย็น ของร้อนๆ ดับหมด กลายเป็นของเย็น ให้เรียกว่านิพพาน นิพพานแปลว่าดับเย็น แห่งความร้อน ไม่ร้อนเมือไหร่ ก็เป็นนิพพานเมื่อนั้น นิพพานน้อยๆ ไปตามประสาก่อนก็ได้ ค่อยมากขึ้นเอง จะมาสวนโมกข์ ก็มาชิมรส โมกข์ ก็มาชิมรสนิพพานนั่นเอง ที่เย็น เกลี้ยงเย็น หยุด นี่รวมความว่า มาที่นี่ มาทอดผ้าป่า หรือมาทำอะไรก็ตามใจนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนี่ง แต่ข้อสำคัญ สำคัญที่สุด คือมาให้ถึงสวนโมกข์ ก็คือ ให้มีใจเกลี้ยงและยิ้มได้ ถ้ามาแบบนี้แล้วใจไม่เกลี้ยง และยิ้มไม่ได้ ก็เป็นคนไม่สบาย ต้องรีบไปหาหมอ กำลังจะเป็นโรคเส้นประสาท โรคอะไรซักอย่าง แต่ว่าเราต้องพยายามยิ้มให้ได้ ให้เกลี้ยงให้ได้ เป็นการขับไล่โรคเส้นประสาทให้หมดไป ค่อยๆหายไป ค่อยๆหายไป ถ้าเข้ามาในสถานที่นี้แล้วยังยิ้มไม่ได้ ยังเย็นไม่ได้ ยังหยุดไม่ได้ ให้พยายามเพราะสถานที่มันช่วย ที่นี่มีแต่ธรรมชาติ ธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีสิ่งที่ยั่วกายใจให้เกิดกิเลส มันไม่ได้ง่าย เรามาใช้ธรรมชาติชนิดนี้มาขับไล่ สิ่งที่เป็นกิเลส ให้ออกไปเสียสักครู่ สักพัก ให้จิตใจมันเกลี้ยงแล้วยึดไว้ซักพัก เอาความเกลี้ยงเป็นสารณะไว้ โรคเส้นประสาท ก็คงจะหาย แล้วถ้ายังไม่หาย เป็นมากแล้ว ก็ต้องไปหาหมอ ไปฉีดยา ไปทำให้มันช๊อค ให้เกิดใหม่ นี่แหละฉันพูดตรงๆ นะ ท่านจะคิดว่าโฆษณาสวนโมกข์ก็ตามใจเถอะ แต่ไม่ได้คิดจะโฆษณาสวนโมกข์ ไม่ได้คิดจะขายสวนโมกข์ พูดตามความจริง พูดตามความตรง ตั้งชื่อสวนโมกข์ พอใจในพระธรรม ตั้งชื่อสวนวัดนี้ว่า สวนโมกข์ โมกขะ แปลว่า เกลี้ยง เหมือนพระจันทร์เวลาที่ราหูไม่อม เรียกว่า โมกขะ นั่นแหละ เกลี้ยง เอาล่ะพอกันทีนะ เพราะว่านี่พูดมาชั่วโมงนึงแล้ว ชั่วโมงกว่าแล้ว ว่าให้ถึงสวนโมกข์ คุ้มค่ารถ คุ้มค่าเหนื่อย คุ้มค่าเวลาทุกอย่างทุกประการ เมื่อผ่านไปปีหนึ่งก็มาอีกที ผ่านไปอีกปีหนี่งก็มาอีกที โมกข์ ก้าวหน้าไปตามลำดับ ไปเป็นโมกข์ถึงขีดสุดได้เช่นกัน ให้ตั้งใจไว้แบบนี้แหละแล้วจะเป็นเอง นอกนั้นปล่อยตามเรื่อง ตามบุญตามกรรม เป็นไปตามเรื่อง ที่ข้อสำคัญคือจิตใจเกลี้ยง จิตใจเกลี้ยง ทำบุญ ก็ได้บุญมาก ทำทานก็ได้บุญมาก นี่ก็นิพพาน ให้เปล่าๆ ให้ฟรี ไม่เก็บสตางค์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า นิพพานให้เปล่าๆ ไม่คิดเงิน เราก็สังเกตดูนะ ทำจิตใจให้เกลี้ยงได้ กลับไปถึงบ้าน ทำจิตใจให้เกลี้ยงได้ เย็นสบายโดยไม่ต้องเสียสตางค์ ไปดูหนังดูละคร ไปกินเหล้าเมายานั้นเสียสตางค์ แล้วก็ไม่เกลี้ยง สกปรกเป็นทุกข์ ลุกโพลงๆ เป็นไฟ ฟังกันเงียบดีนี่หลับกันหมดแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าฟังจบ หัวใจคงจะเกลี้ยงบ้าง กลับไปนี่จิตใจเกลี้ยงบ้าง ฉันก็พอใจที่สุด อนุโมทนาอย่างยิ่งที่ได้มาแล้วจิตใจมันเกลี้ยงแล้วถึงสวนโมกข์ ไม่เสียที จะได้ช่วยกันสร้างสวนโมกข์ ที่ลงทุนกันหลายสตางค์แล้ว และมีคนได้รับประโยชน์ ก็ดีใจ ไม่เหนื่อยเปล่า ไม่ลงทุนเปล่า ขอให้ทุกๆคนได้ถึงสวนโมกข์ ให้ยึดจิตใจที่เกลี้ยงให้แน่นกลับไปบ้าน กลับไปถึงบ้านคราวนี้เหมือนคนละคน ยิ้มจากข้างใน อย่าหัวเราะข้างนอกแหละดี จะได้มีสติสัมปชัญญะ มีสติปัฐฐานทั้ง 4 ในที่สุดขอให้พรให้ทุกคน ด้วยอำนาจของพระธรรมอันสูงสุด ให้ถึงพระนิพพานที่สุด ช่วยดลบันดาล ด้วยอำนาจของพระธรรมให้ทุกๆคนมีจิตใจ เกลี้ยง ยิ้ม เย็น อยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาล เทอญ
เทศน์ภาษาใต้ไม่ค่อยเหนื่อย เทศน์ภาษากลางเหนื่อย เทศน์ภาษาใต้ดีกว่า ฉายสไลด์ไปตามเดิมคงเข้าใจ สิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ไปคุย ไปสนทนา กับพระบางองค์ เรื่องทำให้เกลี้ยง ทำให้เย็น ทำให้ยิ้มได้เหมือนกัน เป็นเรื่องของพระนะ อยู่ที่นี่แล้ว ดูสไลด์ต่อไป เราไปที่หินโค้งและโรงหนังนะ