แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่อยู่เป็นครูอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรกในการที่มาที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ คือทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาในระดับต้น ซึ่งเป็นหน้าที่ร่วมกันของประชาชน ของรัฐบาล ของพระเจ้า พระสงฆ์ และคำว่าครู ครูนี่จะต้องถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู โดยวิญญาณ โดยใจความแล้ว ครูทั้งหมดขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า คือ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็สำเร็จแน่ คือครูทำหน้าที่ของครูได้โดยแท้จริง
ปัญหาของประเทศชาติ คือเต็มไปด้วยพลเมืองเลวอยู่มาก คืออันธพาลเต็มอยู่ในที่ต่างๆ แม้แต่ในเมืองหลวง มีอันธพาลในท้องถนน ก็ยังแถมมีอันธพาลสูงขึ้นไป แม้อันธพาลในออฟฟิศ ราชการ อันธพาลที่ไม่มีทางจะจับตัวได้ คดโกงหลอกลวงอยู่ แล้วก็มีอันธพาลพวกนักเศรษฐกิจ นักธุรกิจซึ่งเอาเปรียบซึ่งขูดรีดอย่างนี้ เป็นปัญหาเต็มไปหมด ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาเกิดมาจากการที่พลเมืองเลว พลเมืองเลวก็มาจากการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ไม่ถูกต้อง เพราะว่าไม่มีครูที่แท้จริง
ครูที่แท้จริงไม่ใช่เพียงเป็นลูกจ้างสอนหนังสือให้รู้หนังสือไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ครูที่แท้จริงจะต้องทำหน้าที่ยกจิตยกวิญญาณของเด็กๆ ให้สูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น เพราะว่าครู ตามความเหมายเดิมของคำคำนี้ในภาษาอันลึกซึ้งของอินเดียนั้น คำว่าครู แปลว่า ผู้เปิดประตู เปิดประตูคอกให้คนออกมาจากคอกแห่งความโง่ ความหลง หรือความทุกข์ เปิดประตูคอกได้สำเร็จ คนก็ออกมาจากความทุกข์ ความโง่ ความมืด ความหลง ครูได้ทำหน้าที่สูงสุด คือเปิดประตูทางวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องทางวัตถุ
ลำพังแต่เพียงจะสอนหนังสือนี่มันก็ยังไม่สำเร็จประโยชน์ จะต้องรู้จักทำให้จิตใจสูงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดตั้งต้นนี่สำคัญมาก ขอให้มองดูกันโดยตรงลงไปที่ความเป็นจริงที่มันมีอยู่ ครูชุดแรกคือบิดามารดาผู้เลี้ยงเด็กทารกขึ้นมา ให้เติบโตขึ้นมา เลี้ยงทารกนั่นน่ะครูชุดแรก แล้วครูชุดต่อมาก็คือครูที่โรงเรียน ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม อะไรก็ตาม นี้เป็นครูที่โรงเรียน แล้วครูขั้นต่อมาก็คือพระเจ้า พระสงฆ์ที่วัดวาอาราม ตามวัฒนธรรมของคนไทยแต่เดิมมาย่อมมีครูอยู่เป็นสามขั้นตอนอย่างนี้ ทุกขั้นตอนจะต้องทำหน้าที่ของตนถูกต้อง คือ ยกสถานะทางวิญญาณของคนเหล่านั้นให้สูงขึ้นมาได้จริง
ครูชุดแรกที่สุดคือบิดามารดา เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก กระทั่งคนเลี้ยงในลักษณะบิดามารดานี่ ถ้าเขาทำผิด ไม่ถูกตามวัฒนธรรมที่ดีแล้ว ก็เท่ากับปลูกฝังนิสัยที่เป็นอันตรายให้กับเด็กๆ เช่นให้เด็กรักสวยรักงามเกินพอดี ให้เด็กเห็นแก่ตัวเกินพอดี ให้เด็กชอบสนุกสนานเอร็ดอร่อยเกินพอดี ตามใจตัว นี่มาตั้งต้นมาผิด ก็มาลำบากเมื่อโตขึ้น จิตใจครูขั้นที่สองขั้นที่สามจะแก้นิสัยเหล่านี้ แต่แล้วมันก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือรับภาระกันมาตามลำดับ
สำหรับครูประชาบาลนี่ คิดว่าไม่จำเป็นจะต้องเรียนหนังสือหนังหากันมากมายนัก แต่ว่าให้เรียนเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของมนุษย์มากกว่า เช่นให้เด็กรู้ว่าบิดามารดานั้นคืออะไร บิดามารดาคืออะไร มีความสำคัญคืออะไร ตัวเองคืออะไร เกิดมาทำไม เกิดมาควรจะได้อะไร ถ้าเด็กชั้นนี้มีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะดีมากสำหรับชั้นต่อไป
เด็กมักจะมีนิสัยเห็นแก่ตัว แล้วก็บูชาความเอร็ดอร่อยๆ สนุกสนานมากกว่าที่จะเคารพและเชื่อฟัง ดังนั้นจะต้องปลุกปล้ำกันในส่วนนี้ ให้ลูกเด็กๆ เล็กๆ นี่มันรู้ว่าพ่อแม่คืออะไร ควรจะถามปัญหาเรื่อยไปให้ตอบ ว่าพ่อแม่คืออะไร เกิดมาเองได้มั้ย เกิดมาจากโพรงไม้หรือเกิดมาจากใคร โตขึ้นมาอย่างไร กินนมของใคร นมคืออะไร ทุกอย่างได้มาจากใคร ใครรักเรามากที่สุดในโลก ปัญหาทั้งหมดนี้ถ้าว่าลุล่วงไปได้ด้วยดี คือเด็กๆ รู้ดี จะเป็นเด็กที่มีวิญญาณสูง คือออกมาเสียได้จากความเข้าใจผิด ที่เรียกว่าเปิดประตูทางวิญญาณ หรือเป็นผู้นำในทางวิญญาณนั่น มันก็เป็นอย่างนี้ หมายความว่าอย่างนี้
เด็กจะได้มีความรักพ่อแม่อย่างยิ่ง ไม่ขัดใจพ่อแม่ แล้วก็ไม่ดื้อไม่ดึง ไม่ฝืนความประสงค์ของพ่อแม่ จนกระทั่งโต แล้วก็มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี กตัญญูกตเวที มันก็คุ้มครองไปได้หมด ถ้าเป็นได้อย่างนี้แม้ไม่รู้หนังสือก็ไม่เป็นไร มันปลอดภัย ให้รู้หนังสือมากๆ แล้วกระด้าง เกเร เห็นแก่ตัวจัด คดโกงในที่สุด มันก็ป่วยการ
คนสมัยที่เขาไม่ค่อยจะรู้หนังสือ สมัยโบราณน่ะไม่รู้หนังสือ แต่มีศีลธรรมดีกว่าคนสมัยนี้ที่เรียนหนังสือมาก ศีลธรรมสมัยนี้แทบจะหาดูยาก มีแต่อาชญากรรม เทียบส่วนแล้วมันมาก มากเกินไป ในสมัยคนป่าเสียอีกซึ่งไม่มีหนังสือเลย ไม่รู้เรื่องหนังสือกันเลย อะไรกันเลย ก็ดูแลกันมาด้วย..โดยบุคคล โดยการกระทำเนี่ย มันก็ยังอยู่กันด้วยความสงบสุข มันจึงอยู่มาได้ คือเป็นบรรพบุรุษของคนสมัยนี้ได้ อย่าอวดดีไปเลย คนสมัยนี้กี่คนกี่คนมันก็ลูกหลานเหลนของคนป่าสมัยโน้นทั้งนั้นแหละ จึงเห็นว่าการมีจิตใจถูกต้อง มีวิญญาณเดินตรงนั้นสำคัญกว่าการรู้หนังสือเสียอีก
แต่ข้อนี้มันก็ลำบากเหมือนกัน เพราะว่าบรรดาครูเหล่านี้ต้องทำอะไรไปตามกฎเกณฑ์ตามหลักสูตรที่เขาวางไว้ให้ ตามกฎกระทรวงตามอะไรก็ตาม ทำตามลำพังไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทางที่จะทำได้โดยไม่ขัดกัน คือเรามีการกระทำทุกอย่างทุกชนิดในการสอนอะไร แม้แต่จะสอนหนังสือ ก็สอนไปในทางที่ให้รู้ว่า เกิดมาทำไม จะได้อะไร ดีที่ตรงไหน อยู่เรื่อยๆ ไป แต่ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับที่ว่าให้รักพ่อแม่ ถ้าเอาลูกเด็กๆ มานั่งพูดกันเรื่องพ่อแม่ จนเขารู้สึกเองในใจ รักพ่อแม่ ขอบคุณพ่อแม่จนน้ำตาไหลได้ละก็ จะดี จะถูกต้อง
โรงเรียนอนุบาลบางแห่งเรียนหนังสือมากเกินไป ไม่ได้เรียนเรื่องวัฒนธรรม จริยธรรมอย่างนี้ โรงเรียนอนุบาลบางแห่งเรียนภาษาต่างประเทศ เราก็เคยเห็นเคยได้ยิน อันนั้นมันกระโดดไกลเกินไป จนเด็กๆ ไม่รู้ว่าพ่อแม่คืออะไร แต่อาจจะรู้ภาษาต่างประเทศ พูดภาษาต่างประเทศได้ โดยที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่นั้นคืออะไร นี่ มันเป็นเสียอย่างนี้ ความรักในพ่อแม่ก็ไม่มีจุดตั้งต้น ไม่ลงรากฐาน มันก็เห็นแก่ตัว ก็ดื้อดึง ทำอะไรตามใจตัว ในที่สุดมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ขอให้ช่วยๆ กันคิดนึกว่า เป็นครูนี่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นลูกจ้างสอนหนังสือเด็กไปวันวันหนึ่งเพื่อหาเลี้ยงชีวิตตัวเอง อันนั้นมันก็ทำละ เป็นหลักการอันหนึ่งยืนพื้นฐาน แต่ว่าถ้าจะให้เป็นครูสมชื่อแล้วล่ะก็ ต้องกล่อมเกลาจิตใจวิญญาณของลูกเด็กๆ นั่นให้ถูกต้อง ให้เจริญ ให้งดงาม ให้สูงๆ สูงขึ้นไป นี่ก็จะตรงตามความหมายของคำว่า ครู
บางทีเราจะต้องมีวิธีของเราเองแม้ว่าจะไม่มีในหลักสูตร เพื่อเราจะได้เป็นครูที่ถูกต้องตามอุดมคติของครู โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนอนุบาล ปลูกฝังความรู้สึกที่ถูกต้องลงไปในหัวใจของเด็กๆ มากที่สุด ให้เขาเป็นเด็กดี พูดง่ายๆ อย่างนั้น คือเป็นเด็กดี ทีนี้เด็กนี่มันจะเอาอะไรมาก ลัดก็ไม่ได้ มันก็ต้องมีเป็นขั้นตอน จากง่าย ง่าย ขึ้นไปตามลำดับ ฉะนั้นจุดตั้งต้นที่สุดคือ รู้ว่าพ่อแม่คือใคร เมื่อไม่ได้พูดกัน ไม่ได้มีใครตักเตือนซักถามมันก็ไม่เคยคิดเคยนึก มันก็ไม่รู้
คุณครูนี่ควรจะมีวิธีการที่จะสอนโดยวิธีถาม ไม่ใช่โดยวิธีบอก ไอ้สอนโดยวิธีบอกมีผลน้อยมาก ส่วนสอนโดยวิธีถามมันมีผลมากกว่า คือเมื่อถามแล้วตอบ เขาก็เลยต้องคิดนึก คิดนึก คิดนึกไปตามนั้น เช่นสอน..เช่นถามว่า นี่เกิดมาได้เอง หรือเกิดมาจากพ่อแม่ เด็กมันก็ต้องตอบถูกแหละ แล้วมันก็ต้องมีความคิดนึกลงไปตั้ง แล้วก็ว่าเกิดมาจากพ่อแม่ (นาทีที่ 15.09) หรือว่าเกิดมาจากโพรงไม้ เนี่ยถามจนมันมีความรู้สึกคิดนึก ว่าชีวิตนี้มันได้มาจากพ่อแม่ รวมความแล้วก็ถามว่าชีวิตนี้มาจากไหน การได้เกิดมาเนี่ยเอามาจากไหน มาจากพ่อแม่ กินนมของใคร นมของพ่อแม่ นมนั้นคืออะไรของแม่ คือสิ่งที่กลั่นกรองมาจากเลือดของแม่ใช่ไหม ใครรักเรามากที่สุด
เด็กบางคนตอบได้อย่างถูกต้องแท้จริง ซักไซ้ทุกอย่างทุกประการทุกข้อให้เด็กๆ รู้สึกสำนึกในบุญคุณ รู้พระเดชพระคุณของแม่ นับตั้งแต่ว่า เอ้านี่รองเท้านี่ใครซื้อให้ ก็แม่ กางเกง กระโปรง ใครซื้อให้ ก็แม่ เสื้อใครซื้อให้ก็แม่ หนังสือหนังหา กระเป๋าหนังสือ อะไรก็แม่ แม่ แม่ แม่แม่ไปทั้งนั้น แล้วใครที่เราขอเงินได้โดยไม่ต้องเอาไปฝากเหมือนธนาคาร มีธนาคารไหนบ้างที่เราไปเบิกเงินได้โดยไม่ต้องฝาก ถ้าเด็กมันฉลาด หรือมันพอจะฉลาดบ้าง มันก็จะรู้ว่าพ่อแม่ เหมือนกับธนาคารหรือออมสินที่เราไปขอเบิกได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝาก ซักซ้อมกันอย่างนี้อยู่เรื่อยไปเด็กๆ จะรักพ่อแม่อย่างสุดชีวิตจิตใจ รักพ่อแม่จนอยากจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ โรงเรียนยังไม่ทันเปิดน่ะ ถ้าทำได้อย่างนั้น เอ้ย ..โรงเรียนยังไม่ทันปิด เด็กอยากจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ เพราะความรักพ่อแม่ ความคิดถึงพ่อแม่ เรียกว่าเด็กที่มีรากฐานตั้งต้นขึ้นมาดีแล้ว ก็เหมาะจะเป็นมนุษย์ที่ดี
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่โรงเรียน ครูเป็นอย่างไร ครูคืออะไร ครูจะต้องทำอะไรจึงจะถูกต้อง ครูจะคอยตามใจเราเสมอไปนี่จะเกิดผลอย่างไร จนกระทั่งเด็กเข้าใจได้ดีว่าครูนี่คืออะไร จนกระทั่งเข้าใจว่าถ้าไม่มีบุคคลประเภทครูนี่ เด็กๆ จะเป็นอย่างไร เด็กๆ ก็จะเคารพครู ซื่อตรงกตัญญูกตเวทีต่อครู
ทีนี้ก็ให้เขารู้จักเพื่อน เพราะในโรงเรียนเราทั้งหมดแต่ละคนแต่ละคนนี่เป็นเพื่อนกัน รู้จักความหมายของคำว่าเพื่อน เราอยู่คนเดียวได้ไหม ถ้าเขาให้เราอยู่คนเดียวในโลก ให้อะไรให้อะไรแก่เราหมดทุกอย่างเลยในโลก ให้เราอยู่คนเดียว เราก็อยู่ไม่ได้ หรือว่าเดี๋ยวนี้เราจะอยู่โดยไม่ต้องอาศัยพึ่งพาผู้ใดเลย มันก็อยู่ไม่ได้ ชี้ให้เห็นว่าพอขาดเพื่อนแล้วมันเป็นอย่างไร ว้าเหว่อย่างไร เพื่อนนั้นจึงเป็นผู้ที่มีหุ้นส่วนเกี่ยวเนื่องกันอยู่ในการที่จะมีความสุขอยู่ในโลก พยายามถามเรื่อยไปอย่างนี้เกี่ยวกับเพื่อน เด็กก็จะเกิดความรู้สึกรักเพื่อน ได้รู้จักว่าเพื่อนที่ดีคืออย่างไร เพื่อนที่ไม่ดีคืออย่างไร
นี่เพียงสามชนิดที่จะต้องรู้จัก คือว่าบิดามารดาคืออะไร คุณครูคืออะไร แล้วเพื่อนคืออะไร กระทั่งว่าโรงเรียนนั้นคืออะไร มันก็รวมอยู่ในคำว่าครูบาอาจารย์ .......เป็นเรื่องที่เนื่องกันกับครูอาจารย์ (นาทีที่ 19.40) ทีนี้เด็กเล็กๆ จะสอนเรื่องพลเมืองดีบ้างก็ได้ แต่อย่าให้มันบ้าเหมือนกับในหลักสูตร วางหลักสูตรมันดีเกินไป หลักสูตรผู้ใหญ่มาสอนเด็กอนุบาล เรื่องพลเมืองดี เรื่องประเทศชาติ รู้สึกว่ามันบ้าเกินไป แต่ครูก็ต้องทำไปตามหลักสูตรที่เขาบังคับ นี่ก็ต้องทำจนว่าเด็กรู้สึกว่าเราจะต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เพราะว่าถ้าเราไม่มีชาติเราก็อยู่ไม่ได้ ให้เริ่มรู้จักรักชาติ รักชาติ
ทีนี้สิ่งสุดท้ายก็คือ ธรรมะ หรือศาสนา เพราะว่าเด็กๆ ก็มีพิธีให้รับปฏิญญาเป็นพุทธมามกะ ให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร พระพุทธเจ้าคือผู้นำ ผู้นำทางทั้งหมด พ่อแม่ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา เพื่อนของเรา ประเทศชาติของเรา ก็ขึ้นอยู่กับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือรู้สิ่งที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เดินไปอย่างถูกต้อง แต่ก็บอกว่ายังมีเรื่องอีกมากเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า จะพูดกันให้หมดเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอก ยังเล็กเกินไป เอาแต่ว่า ถ้าเรามีความทุกข์ทางจิตใจ เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีความทุกข์ในทางจิตใจ พระพุทธเจ้าเป็นผู้นำหมด ทุกขั้นทุกตอนให้เดินถูกทาง สมกับที่เขาเรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นบรมครู
นี่เรียกว่าเราได้พยายามทำเด็กๆ ให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา สอง-ให้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ สาม-ให้เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนด้วยกัน สี่-ให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ห้า-ให้เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า ถ้าครูบาอาจารย์คนไหนมีความมุ่งหมายอย่างนี้และทำหน้าที่ไปตามนี้แล้วจะสมบูรณ์ที่สุด เป็นผู้นำทางวิญญาณได้จริง ไม่ใช่เพียงกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ซึ่งไม่นึกถึงอะไร ไม่รับผิดชอบอะไร ทำเฉพาะหน้าที่เท่าที่จำเป็น แล้วก็ยังจะเอาเปรียบเวลา เอาเปรียบการงาน เอาเปรียบอะไรไปบ้างอีก การศึกษามันก็มีผลน้อย เด็กๆ ไม่เป็นเด็กที่ดี ได้เต็มตามความมุ่งหมาย โตขึ้นยังเป็นอันธพาล ดูสิ คุณก็เห็นอยู่นี่ว่า อันธพาลนี่เคยไปเรียนหนังสือชั้นประถม ชั้นมัธยมมาแล้วก็มี อันธพาลกลางถนนนั่นน่ะอันธพาลอย่างเลวนั่นน่ะ เคยเรียนชั้นอุดม ชั้นมหาวิทยาลัย ไปเมืองนอกเมืองนามา ก็ยังเป็นอันธพาลชั้นสูง คดโกงอยู่ในออฟฟิศชั้นสูง เพราะว่าเขาไม่มีลักษณะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ไม่เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ไม่เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ไม่เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ไม่เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า
ขอให้ช่วยจำคำทั้ง ๕ นี้ ทั้ง ๕ คำนี้ไว้ด้วย ก็ถือไว้เป็นหลักสำหรับเรา(นาทีที่23.58) ที่จะทำให้กล่าวได้ว่าเราจะพยายามสุดความสามารถของเราในการที่จะทำให้เด็กๆ ตาดำๆ เป็นบุตรที่ดีของพ่อแม่ เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของครูอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดาหรือของศาสนา มันก็จำเป็นอยูที่ครูจะต้องทำเป็นตัวอย่าง ครูต้องเสียสละอดกลั้น อดทนประพฤติตนให้อยู่ในขอบเขตของจริยธรรมเหล่านี้ให้เด็กๆ เอาเป็นตัวอย่าง
ความจริง แม้นว่าจะอายุมากมายเท่าไรเท่าไร มันก็ยัง..เขาก็ยังเรียกว่าเป็นผู้มีบิดามารดาอยู่นั่นแหละ อายุตั้ง ๑๐๐ แล้วมันก็ยังเป็นผู้มีบิดามารดาอยู่นั่น มันก็ยังจะต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ทุกคนก็เคยเป็นศิษย์ ก็มีครูอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ก็เป็นครู แล้วก็เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ไปจนตลอดชีวิต แล้วก็เป็นเพื่อน เพื่อนที่เคยเป็นเพื่อนกันมาด้วยประการต่างๆ เพื่อนเรียน เพื่อนเล่น เพื่อนอะไรก็ตาม ให้เห็นว่ามันเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกันมา อย่าประทุษร้ายกันเลย เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แล้วก็เป็นพลเมืองที่ดี ในอนาคตตลอดไป แล้วก็เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า อันนี้จะแก้ปัญหาหมดทุกอย่าง แต่มันอยู่ตอนปลาย มันอยู่ขั้นสุดท้ายเสีย ถ้ามันเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วมันจะเป็นมาหมด ดีมาหมดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เป็นลูกที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี
ขอให้ เติมใจ(นาทีที่26.28) ไอ้ดีๆ ๕ อย่างนี้ไว้เพียงพอ แล้วก็พยายามซักไซร้ไล่เรียง หว่านล้อมอะไรอยู่ตลอดเวลา ตามเวลา แล้วก็ทุกวัน เพื่อให้เด็กๆ มันสำนึกในการที่จะเป็น ๕ อย่างนี้จนได้ เด็กๆ จะต้องเข้าใจ รวมทั้งจำได้ เข้าใจ จำได้ เข้าใจ รู้แจ้ง เรื่อง ๕ อย่างนี้ นั่นน่ะ ครูคนนี้ประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ของตน ในการเปิดประตูทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ก็ไม่เสียที ไม่เสียทีที่เป็นครู
อยากจะบอกให้ทราบอีกอย่างหนึ่งว่า อาชีพครูนี่มันไม่ใช่อาชีพกรรมกร อย่าทำตนเป็นเหมือนกรรมกร มีอาชีพกรรมกรเห็นแต่ค่าจ้าง ถ้าอย่างนั้นมันเป็นกรรมกร เป็นกรรมกรสอนหนังสือ แล้วถ้าพยายามให้มีผลในด้านจิตใจ ให้เด็กเป็นเด็กดีให้จนได้นี่ อย่างนี้มันสูงกว่าอาชีพธรรมดา เลยได้บุญ ขอให้นึกด้วยว่าอาชีพครูนี้ถ้าประพฤติถูกต้องสมบูรณ์ด้วยดีแล้ว เป็นอาชีพที่ได้บุญด้วย ได้บุญด้วย จริงๆ คำว่าครูน่ะมีความหมายโดยผล คือผู้หนัก ผู้มีบุญคุณหนักอยู่บนศรีษะของคนทุกคน นี้เรียกว่าครู แปลว่าหนัก นี้กล่าวโดยผล ถ้ากล่าวโดยเหตุหรือโดยหน้าที่ ครูต้องนำในทางวิญญาณ ยกวิญญาณให้สูง นี้กล่าวโดยเหตุโดยหน้าที่ นี่ถ้ากล่าวโดยผล ผลสุดท้าย ครูก็เป็นผู้ที่มีบุญคุณอยู่เหนือศรีษะคนทุกคน จะโตแล้ว ออกจากโรงเรียนไปแล้ว อะไรแล้ว บุญคุณของครูยังหนักอยู่บนศีรษะของคนทุกคน ฉะนั้นครูควรจะพอใจในอาชีพครู ซึ่งเป็นอาชีพที่ได้บุญด้วย อาชีพใดได้รับประโยชน์ตามธรรมดาไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อาชีพธรรมดา เช่นอาชีพกรรมกร เป็นต้น แต่ถ้าว่าอาชีพใดมันให้ประโยชน์ทางด้านจิตใจด้วยเช่นครู ทำจิตใจดวงวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้นนี้มันได้บุญด้วย อาชีพบางบางอาชีพมีส่วนที่จะได้บุญด้วย ถ้าปฏิบัติที่ดี เช่นอาชีพผู้พิพากษา ตุลาการ ถ้าทำให้ดี ทำให้ดี มันก็ได้บุญด้วย ได้ประโยชน์ตามหน้าที่นั้นด้วย แล้วก็ได้บุญด้วย
อาชีพที่จะได้บุญด้วยนี้มีอยู่ไม่กี่อาชีพ แต่แล้วก็อาชีพครูนี่เป็นอาชีพหนึ่งด้วยในบรรดาอาชีพทั้งหลายที่ประกอบแล้วได้บุญด้วย เขาเรียกว่าอาชีพของปูชนียบุคคล คืออาชีพที่เกิดบุญ เกิดกุศล เกิดพระคุณอยู่เหนือศรีษะคนทั้งปวง เรียกว่าอาชีพของปูชนียบุคคล ดังนั้นควรจะพอใจ ควรจะพอใจอาชีพอย่างนี้ ควรจะรู้สึกเป็นโชคดีที่ได้มีอาชีพเป็นปูชนียบุคคล เป็นโชคดี
เดี๋ยวนี้เขามักจะพูดกันว่า อาชีพครูนี้เป็นอาชีพกากเดน ไปสมัครอะไรไม่ได้ ไปเรียนอะไรที่ไหนไม่ได้ ก็มาสมัครเป็นครูก็ได้ มันก็เลยเป็นอาชีพกากเดนอย่างนี้ มันเข้าใจผิด แล้วครูก็มักจะเป็นเพียงเท่านั้นเสียด้วย คือสอนอย่างเป็นกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือ แล้วก็ทำอย่างชนิดที่เรียกว่าจำเป็น เท่าที่จำเป็นบังคับ อย่างนี้มันก็หนีไม่พ้น ถ้าว่าเราไม่คิดอย่างนั้นก็คิดว่าเป็นโชคดี ที่ได้มามีอาชีพครูผู้ยกวิญญาณของคนในโลกนี้ให้มันสูงขึ้น ทีนี้เราก็จะพอใจว่าได้อาชีพที่ประเสริฐ คือ อาชีพที่ได้บุญ อาชีพของปูชนียบุคคล ซึ่งคนทุกคนจะต้องกราบต้องไหว้ ก็ดูเองละกันว่า ถ้าเป็นครูทุกคนจะต้องไหว้ จะเป็นพระราชา มหากษัตริย์ เป็นจักรพรรดิอะไรก็ตาม แต่มันก็ต้องไหว้ครูของมัน ไหว้ครูของเขา
อาชีพครูนี่เป็นอาชีพศักดิ์สิทธิ์ของปูชนียบุคคลเหล่านี้ อย่างนี้ ควรจะพอใจ อย่าทำเพียงว่าหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่งวันหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นมันจะไม่ได้บุญนะ จะไม่ได้บุญอะไร แล้วมันจะย่ำเท้า ย่ำเท้าซ้ำรอยอยู่ที่นั่นแหละ ยากที่จะสูงขึ้นไปได้ในทางจิตใจ มันไม่มีความก้าวหน้า เพราะมันตั้งใจทำเพียงเท่านั้น ถ้าตั้งใจจะทำให้มากกว่านั้น มันก็จะก้าวหน้าขึ้นไปโดยไม่รู้สึกตัว ความดีความงามมันจะมีมากขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว ก็จะได้เลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไปโดยไม่รู้สึกตัว จึงหวังว่าจะได้พิจารณากันเป็นพิเศษถึงความหมายของคำว่าครู ครู
อาตมาก็เรียกตัวเองว่าครูเหมือนกัน เพราะว่าเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่เป็นบรมครู แต่แล้วก็เป็นครูที่วัด เป็นครูอันดับที่สาม ครูอันดับหนึ่งคือพ่อแม่ที่บ้านที่เรือนที่คลอดออกมา ครูอันดับที่สองคือครูที่โรงเรียน แล้วครูที่สามคือครูที่วัดวาอาราม นั่นคือพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลายอยู่ในลักษณะที่เป็นครู ขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมครู แต่อย่างไรก็ตาม ควรจะมองให้เห็นว่าไม่ว่าครูชนิดไหน ครูระดับไหน ล้วนแต่ว่าขึ้นต่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูทั้งนั้นแหละ ทั้งโดยตรงและทั้งโดยอ้อม คือจะทำคนให้ดีทำคนให้รอดจากความทุกข์ ทำคนให้อยู่เหนือปัญหา เราทำโลกนี้ให้สะอาด ทำโลกนี้ให้งดงามก็โดยน้ำมือของบุคคลประเภทที่เรียกว่าครู
แม้จะมีความก้าวหน้าทางวัตถุอย่างอื่นใด สวยสดงดงามอย่างไร แต่มันไม่น่าดูเท่ากับความงดงามในทางศีลธรรม ในทางจริยธรรม ในทางวัฒนธรรม ซึ่งทำให้คนในโลกนี้มีลักษณะน่าเลื่อมใส น่ากราบไหว้ น่าบูชา แล้วก็เป็นที่ไว้วางใจกันได้ว่าจะไม่เป็นอันตรายแก่กันและกัน แล้วก็ร่วมกันเป็นผาสุข ดังนั้นครูก็คือผู้สร้างโลก
บอกว่าครูผู้สร้างโลกนี่ หลายคนสั่นหัว คนโง่ คนขี้เกียจ คนไม่อยากทำงานหนักก็สั่นหัว ไม่ยอมรับว่าครูเป็นผู้สร้างโลก แต่โดยเนื้อแท้แล้วหรืออุดมคติแล้ว มันเป็นอย่างนั้น โลกมันจะเจริญในด้านจิตใจ สงบสุข มีสันติภาพ มีสันติสุข ก็เพราะบุคคลประเภทครูนะ ดูดีๆ สร้างมาตั้งแต่เป็นท่านทารก ท่านเดินได้ เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาว พ่อบ้านแม่เรือน สร้างมาโดยครูทั้งนั้น โลกทั้งโลก ทั้งโลกนี้มันดีขึ้นได้ก็เพราะว่าครูเป็นผู้สร้างขึ้นมา สร้างคนคนหนึ่งให้ดี แต่ละคนละคนดี ก็มีครอบครัวดี แต่ละครอบครัวดีหมู่บ้านก็ดี หมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านดีบ้านเมืองก็ดี บ้านเมืองแต่ละบ้านดีประเทศชาติก็ดี ประเทศแต่ละประเทศดีโลกนี้ก็ดี โลกนี้ก็ดี นี่ครูคือผู้ที่สร้างโลกอยู่โดยอุดมคติ ถ้าทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแท้จริง ควรจะนึกไว้ในใจ ให้เป็นเครื่องให้เกิดกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ ...(นาทีที่ 36.08) ของตนของตน
รวมความว่าครูเป็นผู้สร้างโลกโดยผ่านทางเด็กๆ ครูนี้สร้างโลกให้สวยสดงดงาม ให้น่าอยู่น่าอาศัย แต่การสร้างโลกของครูนี่สร้างผ่านมาทางเด็กๆ คือสร้างเด็ก ....(นาทีที่ 36.34) เด็กดีแล้วก็มีพลเมืองที่ดี ในบ้านในเมืองในประเทศและในโลก นี่เห็นได้ชัด ที่เขาว่าพระเจ้าสร้างโลก มันยากที่จะมองเห็น แต่ถ้าครูเป็นผู้สร้างโลกนี่มองเห็นได้ชัดเลย ฉะนั้นถ้าครูทุกคนอุทิศตนตามอุดมคติของครู โลกนี้ก็จะประเสริฐที่สุด เต็มตามที่มันจะประเสริฐได้ คือมีแต่คนดีในโลก ทุกคนในโลกเป็นคนดี แล้วโลกนี้มันก็ดี ดีจนเหลือที่จะกล่าวได้ มีความถูกต้อง มีความสงบสุข มีความสะดวกสบาย เยือกเย็นไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
เราอยู่ในระดับครูอนุบาล ก็รู้แต่ว่านั่นน่ะจุดตั้งต้นที่สำคัญ ถ้าจุดตั้งต้นมันทำมาผิดแล้วก็ยากที่จะถูกในขั้นปลาย ก็ให้พยายามทำหน้าที่ที่ยากที่สุดที่จุดตั้งต้นนี้ให้ดีที่สุดก็จะได้บุญมาก เรื่องเงินเดือนหรือประโยชน์นั้นมันก็ได้ไปตามที่ทำ ไม่ต้องสงสัย แต่ว่าสิ่งที่ได้มากกว่านั้นก็คือบุญกุศล หรือความดี ประโยชน์ชนิดที่เป็นนามธรรม ทำให้เรานับถือตัวเอง พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ ซึ่งทำให้เกิดความชื่นใจอย่างยิ่ง ไม่มีความพอใจอันไหนจะยิ่งไปกว่าการยกมือไหว้ตัวเองได้ อย่าได้เห็นว่ามันเป็นเรื่องไกล
ไอ้การตั้งต้นสร้างวิญญาณของลูกทารกเด็กๆ นี่ให้มันถูกต้องนี่เป็นบุญกุศลอันมหาศาล เพราะว่ามันเป็นจุดตั้งต้น ถ้ามันผิดเสียแล้วมันก็ยากที่จะถูกในเบื้องปลาย จงช่วยกันทำอย่างดีที่สุดน่ะ ไม่ใช่ทำเพื่อเห็นแก่เงินเดือน เงินเดือนนั้นมันไม่ไปไหนเสีย ขอให้ทำเถอะ มันก็ได้ แต่ขอให้ทำเพราะเห็นแก่อะไรที่มากไปกว่านั้น เห็นแก่ความดี ความงาม ความจริง ความยุติธรรม เห็นแก่พระพุทธเจ้า เห็นแก่พระธรรม เห็นแก่พระสงฆ์ เห็นแก่มนุษยชาติทั้งหมดทุกคนในโลกว่ามันจะได้รับผลดีก็เพราะว่าเราได้ทำให้เด็กๆ ตั้งต้นขึ้นมาดี นี่ปัญหาใหญ่ที่สุดที่สำหรับจะพูดกันกับคุณครูทั้งหลายในชั้นอนุบาล
อย่าได้เห็นว่าเป็นชั้นอนุบาลแล้วมันก็จะไม่มีความหมายอะไร มันจะกลับมีความหมายมากที่สุดเพราะว่ามันเป็นจุดตั้งต้นที่กล่าวแล้ว เราสร้างมาผิดๆ สร้างให้เด็กเกเรไปหมด มันก็เกเรตลอดไป เดี๋ยวนี้ อยากจะพูดว่าระดับอนุบาลนี่ได้รับความสนใจน้อย รัฐบาล หรือกระทรวงศึกษาธิการ หรืออะไรก็ตาม ไม่ได้พิจารณาให้ลึกซึ้ง ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่ชั้นจุดระดับอนุบาลนี้มากตามที่ธรรมชาติต้องการ ที่จริงธรรมชาติต้องการมากที่สุดที่จะให้ชั้นอนุบาลนี่ถูกต้องที่สุด เพื่อเป็นรากฐานที่สูงขึ้นไป แต่ตามที่เป็นอยู่จริง รัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการยังให้ความสำคัญน้อยไป เราก็จะต้องหาเอาเอง คิดว่าส่วนใดทำให้ได้มากออกไปก็เป็นบุญ เป็นกุศลอันแท้จริง ที่เราได้ทำให้มีขึ้นมา ไม่ต้องท้อถอย และหวังว่ารัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการก็ตามคงจะมองเห็นความสำคัญของชั้นอนุบาลนี้มากขึ้นไปกว่าแต่ก่อน เพราะมันจะดีในขั้นปลาย เบื้องปลายหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับขั้นต้นหรือจุดตั้งต้น เราพยายามทำดีที่สุดในจุดตั้งต้นจนพอใจแก่ตัวเอง ว่าตัวเองได้ชมเชยตัวเอง ได้ยกมือไหว้ตัวเองได้ เรื่องก็จบ
ขอให้ถือว่าหน้าที่นั่นแหละคือธรรมะ เรามีหน้าที่ทำเด็ก ปั้นดวงวิญญาณของเด็ก เราทำหน้าที่นั้นๆ นั่นคือธรรมะ คือการปฏิบัติธรรม แล้วเราก็จะมีธรรมะเต็มไปด้วยบุญ เต็มไปด้วยกุศลอย่างยิ่งอย่างที่สุด มิใช่เป็นเพียงกรรมกรรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง เอาเงินมาซื้อของกินของเล่นแต่งเนื้อแต่งตัวสรวลเสเฮฮา อย่างที่เป็นกันอยู่โดยมาก พอถึงวันครู ครูทำอบายมุขมากกว่าพวกไหนหมด เพราะว่าเป็นครูที่ไม่รับผิดชอบในความเป็นครูของตน แทนที่จะเป็นวันที่ทำให้เด็กๆ เห็นหรือว่ารู้คุณของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ อาจจะน้ำตาไหล กลายไปเป็นลิงทะโมนเล่นหัวสรวลเสเฮฮา ไม่นึกถึงธรรมะชั้นประณีตสุขุมเลย นี่เป็นความผิดพลาดอยู่
อยากจะขอฝากไว้ว่าให้พยายามจัดให้เด็กๆ เขาได้ใกล้ชิดกับความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ นับตั้งแต่จุดตั้งต้นของความเป็นมนุษย์ มันถูกต้องไปตั้งแต่อันนี้ แล้วครูชั้นอนุบาลจะเป็นครูชั้นที่สร้างโลกโดยแท้จริง
นี่การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลา ก็ขอให้กำหนดจดจำไว้เป็นอย่างดี ว่าเราได้นั่งพูดกันอย่างนี้ในสภาพอย่างนี้ คือกลางดิน ถ้าไปพูดกันที่อื่นอาจจะไม่ต้องนั่งกลางดินอย่างนี้นะ อาจจะนั่งบนเก้าอี้ นั่งบนตึกราคาล้าน เดี๋ยวนี้นั่งกลางดิน ก็เห็นว่าดินนี้ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ประเสริฐที่สุด เป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง .ไม่พลัดตกลงไปอีก..(นาทีที่ 43.51) พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ถ้ายังไม่ทราบก็ทราบเสีย เดี๋ยวจะเสียเกียรติครูอนุบาล ว่าไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าน่ะประสูติกลางดิน เป็นเจ้านายในรั้วในวังอะไรก็ตาม แต่พอถึงคราวประสูติจริงๆ ไปประสูติกลางดิน ที่โคนต้นไม้ ที่เรียกว่าต้นสาละ มีตัวอย่างรูปที่ให้ดูที่หน้าตึกนั่นน่ะ ต้นสาละที่เขียนไว้ ประสูติที่โคนต้นสาละกลางดิน พอจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีก นั่งกลางดิน นั่งตรัสรู้กลางดิน ไม่ใช่ตรัสรู้ในมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยไหนจะทำให้คนตรัสรู้ได้ ดูไม่เห็นมี แต่พระพุทธเจ้าหรือศาสดาในศาสนาอื่นๆ ก็จะเหมือนๆ กันหมดแหละ นั่งตรัสรู้กลางดินทั้งนั้น ที่..(นาทีที่ 44.54)ที่สอนก็นั่งสอนกลางดิน เดินทางอยู่ก็สอน เหมาะตรงไหนก็นั่งลงสอน กลางดิน นี่ท่านทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นน่ะ พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นก็อยู่กุฏิพื้นดิน ใกล้ชิดกับดินที่สุด ไม่ได้อยู่ปราสาท ในวันสุดท้ายพระพุทธเจ้านิพพาน คือตาย ก็ตายกลางดิน ตายกลางดิน ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ดูความหมายพิเศษศักดิ์สิทธิ์ของดิน เดี๋ยวนี้เราก็เรียกว่ามานั่งกลางดิน ถือว่าได้มาพูดกันใน ..บนที่อันศักดิ์สิทธิ์ คือแผ่นดิน
ถ้าเราถือว่าเป็นการทำสัญญากัน ก็มีพยานศักดิ์สิทธิ์ คือแผ่นดิน ถ้าเราจะถือว่าการพูดนี่เป็นการสัญญาเพื่อจะทำอะไรให้ดีให้ก้าวหน้า ก็ถือว่าสัญญากันในที่ศักดิ์สิทธิ์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือแผ่นดินนี้เป็นพยาน ขอให้คำที่พูดแล้วมีเหตุผลตรงไปตรงมาตามหลักของธรรมะนั้น เป็นเหมือนกับคำสัญญา ข้อตกลงที่เรากระทำกันระหว่างมนุษย์ เพื่อความเจริญของมนุษย์เพื่อความถูกต้องในอนาคตของมนุษย์ หรือมนุษยชาติทั้งหมดเลย ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ถ้าการศึกษาเป็นไปถูกต้องแล้ว มนุษยชาติทั้งหมดทั้งจักรวาลนี้ก็จะมีความปลอดภัย ขอให้ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว ที่มนุษย์จะต้องทำ คือทำให้เกิดผลดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ สูงสุดเท่าที่มนุษย์ควรจะได้ ด้วยสันติสุขส่วนบุคคล สันติภาพส่วนสังคม เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความสงบเย็น
หวังว่าท่านที่เป็นครูอาจารย์ทั้งหลาย จะได้ถือเอาประโยชน์จากการที่เราพบกันในวันนี้ได้ไม่มากก็น้อย ถือเอาประโยชน์จากการที่เราได้พบกันในวันนี้ไม่มากก็น้อย ถือเอาได้เท่าไรก็ขอให้ไปประพฤติ ไปทำให้เป็นประโยชน์ สำเร็จเป็นประโยชน์ที่แท้จริงขึ้นมาจนเป็นที่พอใจตัวเอง และรู้สึกว่าการที่ได้มีอาชีพเป็นครูนี่เป็นการโชคดี คือได้มีอาชีพที่เป็นการกุศลรวมอยู่ในตัว เป็นอาชีพของอาริยบุคคล ของปูชนียบุคคล เหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เหมือนพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านมีอาชีพเป็นปูชนียบุคคล ท่านสอนคนให้ได้รับประโยชน์สูงสุด และก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนอะไรมากไปกว่าอาหารมื้อๆ หนึ่ง ซึ่งเฉลี่ยกันแล้วประชาชนก็ออกค่าข้าวสารคนละเม็ดก็ยังไม่ถึง
เอาละ ขอให้เราเข้าถึงอุดมคติของความเป็นครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ผู้นำทางวิญญาณ ท่านประพฤติเหตุอันนี้โดยถูกต้องแล้วก็มีผลขึ้นมาคือเป็นที่เคารพนับถือของคนทุกคนเรา ราวกับว่านั่งอยู่บนศรีษะของคนทุกคน ขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน แล้วมีความก้าวหน้าสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ถ้าสนใจก็ไปดูตึกแดงนั่น หนังสือที่ทำมาห้าสิบกว่าปีทั้งหมดแสดงให้ดู เป็นเครื่องยืนยันว่า ไอ้งานการหรืองานนี่ทำให้สนุกได้ แล้วก็ทำได้มาก ไปดูที่ตึกนี้เป็นรูปภาพที่ใช้สอนธรรมะ ได้รวบรวมมาจากทุกประเทศ ถ้ามีเวลาพอก็เดินอ้อมรอบไปที่โรงปั้นตุ๊กตา เขาจะแจกตุ๊กตา