แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอกาสนี้เป็นเพียงการพบปะระหว่างผู้มากับเจ้าของบ้านเท่านั้นเอง ไม่เป็นการบรรยายอะไรที่เป็นหลักวิชา แต่ถึงอย่างนั้นก็มีความจำเป็นเหมือนกันที่จะถือโอกาสนี้พูดเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับสถานที่นี้ แล้วก็จะใช้ประโยชน์มันได้อย่างไรให้ดีที่สุด สำหรับการมาที่นี่ไม่ว่าสถาบันไหนจะส่งมาก็มีความยินดีต้อนรับแล้วช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ เพราะว่ามันเป็นหน้าที่โดยตรงด้วยหน้าที่ของภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าที่จะต้องทำอย่างนี้ แล้วมันก็เป็นการงานที่เป็นความมุ่งหมายของสถานที่นี้อยู่แล้วก็เลยไม่มีอะไรขัดข้อง ฉันจึงยินดีช่วยกันไปตามเรื่องเท่าที่จะช่วยได้ ก็มีมาเป็นพวก ๆ หลาย ๆ พวก หลาย ๆ แบบ บ่อย ๆ
ประโยชน์ของการมาที่นี่มันต้องมีแน่เพราะว่ามันไม่เหมือนกันกับอยู่ที่มหาวิทยาลัย ที่วิทยาลัย ที่โรงเรียน มันไม่เหมือนกัน ความแปลกกันมันทำให้เกิดของใหม่ความรู้ใหม่อย่างน้อยก็เป็นความรู้รอบตัว สถานที่ในป่าอย่างนี้ก็แปลกสำหรับคนที่ไม่เคยมาแล้วก็ให้ความรู้รอบตัวว่าที่นี่มีอะไรบ้าง แต่ที่จริงมันมีอะไรมากกว่านั้นมาก มากถึงมากทีเดียว แต่มันเข้าใจยาก ส่วนที่ลึกนี่คือคนคิดแต่จะเรียนจากหนังสือจากคำพูดคำสอนกันอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นแต่ฟังแล้วก็เข้าใจแล้วก็จำไว้ เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็คิดอีก เข้าใจ จำไว้ มันยังขาดสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกโดยใจรู้สึกจริง ๆ ไม่ใช่จำหรือไม่ใช่ใช้เหตุผล
ยกตัวอย่างเช่นว่าความสงบ เราต้องไปในที่ที่มันสงบ แล้วก็ต้องได้ชิมความสงบนั้นด้วยใจจริง ๆ จึงจะรู้จักความสงบ ทีนี้ได้ยินแต่คำว่าสงบในหนังสือในคำบรรยายแล้วแต่ไม่เคยพบกับความสงบจริง มันก็ไม่อาจจะรู้จักความสงบได้ เราควรไปในที่ที่ได้รับความสงบจริงแล้วก็ชิมรสของความสงบนั้นจริง ๆ นี่จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ความสงบ จะพูดกันเรื่องความสงบที่วิทยาลัยเท่าไร ๆ มันก็ไม่มีที่เรียกว่า experience ในตัวความสงบนั้นจึงสู้มาในที่ที่ให้ความสงบโดยตรงไม่ได้ บางทีไม่ต้องพูดกันเลยไม่ต้องอธิบายกันเลยกลับรู้จักความสงบดี นี่มันเป็นของละเอียดลึกซึ้งอยู่อย่างนี้ซึ่งพวกเด็ก ๆ ก็ไม่เข้าใจ คนวัยรุ่นก็ไม่เข้าใจ แม้คนที่เป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ก็ยังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความสงบถ้าเราไม่เคยพบ นี่เรามีโอกาสที่จะศึกษามันถึงขนาดนี้ก็เป็นการดีเป็นโชคดี ขอให้พยายามรู้จักในสิ่งที่เรียกว่าความสงบนั้นเสียก่อน ทีนี้ก็ดูต่อไปให้ดี อย่าเข้าใจผิดเหมือนคนบางคนเข้าใจผิดแล้วพูดโง่ ๆ เขลา ๆ กันว่า ความสงบนั้นไม่ใช่ความเจริญ นั่นมันโง่หรือมันบ้าหรือมันอะไรที่สุดว่า ความสงบไม่ใช่ความเจริญ และยังพูดว่าคนที่ชอบความสงบแล้วจะไม่สร้างความเจริญไม่พัฒนา คนนั้นมันโง่พูดหลับตาพูด เราต้องรู้จุดหมายปลายทางความสงบ โลกก็ต้องการความสงบ แต่ละคนก็ต้องการความสงบ แล้วความสงบต้องไม่เป็นภัย ต้องไม่ให้โทษ ต้องไม่เสียเวลา คนที่มีความสงบมันก็ทำอะไรพอดี พัฒนาก็พัฒนาถูกต้อง พัฒนาพอดี ถ้าคนมันมีจิตใจฟุ้งซ่านหรือว่าประกอบด้วยกิเลสมันก็พัฒนาให้ยุ่งเหมือนที่โลกนี้มันยุ่ง ยุ่งมากขึ้นทุกที ร้อนเป็นไฟมากขึ้นทุกทีเพราะมันพัฒนาด้วยจิตใจที่คนมันโง่ ไม่รู้จักความสงบ พัฒนาไปหาความสงบหรือแม้แต่สันติภาพธรรมดาก็ไม่ได้ เราเป็นนักศึกษาก็รู้เรื่องดีว่า โลกเวลานี้ยิ่งไกลสันติภาพออกไปเพราะมีแต่คนที่ไม่รู้จักความสงบ มีแต่คนที่รู้แต่จะเอาเปรียบผู้อื่น มันมีอย่างนั้น ถ้าเราทุกคนรู้จักความสงบเป็นจุดหมายมันคงจะไม่ทำอะไรอย่างนั้น คงจะให้การศึกษาที่เป็นไปเพื่อความสงบ เรียนเสร็จก็เป็นผู้รับความสงบ ไม่ใช่เรียนเสร็จแล้วไปเป็นฮิปปี้
หนังสือพิมพ์ไทยเมื่อเดือนมานี้ฉบับหนึ่งลงเรื่อง Lover Bird (นาทีที่ 07:59) ว่าอย่างนั้น คือวัยรุ่นอย่างพวกคุณนี้ทั้งนั้นแล้วก็นักเรียนหญิงโดยเฉพาะ ไม่มีชายปน พอเขาได้โอกาสเมื่อไรก็แสดงไอ้ที่เรียกว่า Lover Bird คือรังแกผู้หญิงด้วยกัน ถ้ามียายแก่ขายของเล็กน้อยเดินมา มันก็รุมกันเหมือนกับว่าฝูงการุมอีแร้ง ทึ้งผ้าทึ้งผมทึ้งกระจาดเที่ยวปล้นเอาเงินไปไม่กี่เพนนี แล้วก็หัวเราะโห่ร้องเหมือนกับคนบ้าเป็นฝูง ๆ พอตำรวจมาก็พริบเดียวก็เป็นนักเรียนอย่างนี้ในสภาพอย่างนี้ กลับมาจากโรงเรียน กลับมาจากมหาวิทยาลัย พอพริบเดียวมันก็เป็นคนอย่างนี้ พอพริบตาเดียวมันก็เป็น Lover Bird ซึ่งจะแปลว่าอะไรก็ไม่รู้ Lover ไม่รู้อะไร bird ก็นก แล้วก็ชอบทำกลางคืน หัวค่ำเวลากลับมาจากโรงเรียนหรือไปธุระกันมาก ๆ ตำรวจ Scotland Yard บอกว่าจนปัญญาที่จะปราบพวกนี้ มันเป็นผู้หญิงล้วน แล้วผู้หญิงที่เป็นนักศึกษากระทั่งเป็นผู้หญิงที่ทำงาน ขนาดเป็นเลขานุการอยู่บ้านพ่อแม่ราคาเป็นล้าน ๆ รถส่วนตัวก็มีใช้ มันยังทำอย่างนี้คือเข้าฝูง Lover Bird นี่คุณไปอ่านดูหนังสือไทยสมัยของที่อ่านกันอยู่ทั่ว ๆ ไป ตำรวจเขาบอกว่าเวลานี้ในลอนดอนแห่งเดียวมีเกือบ 30 แก๊งของเด็กหญิง แล้วปราบยากเพราะเขาไม่แสดงเอะอะมะเทิ่งอะไรอย่างเด็กผู้ชาย มันเรียบเหมือนสุภาพสตรี แต่พอพริบตาเดียวมันก็ทำอย่างนั้น แล้วมันก็หัวเราะโห่ร้องกันพักหนึ่งแล้วมันก็กลายเป็นคนธรรมดา ที่มาพูดนี้ไม่ใช่อะไร บอกให้รู้ว่าประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่มีเกียรติสูงสุดว่า มีการศึกษาดีที่สุดในโลก เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ผลของการศึกษาเป็นอย่างนี้ เรื่องฮิปปี้นั้นไม่ต้องพูดถึง ดูจะล้าสมัยไปแล้วที่มันมีอย่างนี้เกิดขึ้น ขอให้คิดดูเถอะว่า การศึกษาของประเทศอังกฤษมันเป็นอย่างไร มันเปลี่ยนไปอย่างไร มันมีผลอย่างนี้ นักเรียนเหล่านั้นก็มีความรู้ก็ไปทำงานก็มีเงินใช้มีอะไร แต่ว่าจิตใจมันเป็นอย่างนี้เพราะมันไม่รู้จักว่าเกิดมาทำไม อะไรคือความสงบสุข อะไรคือความวุ่นวาย ให้เรารู้ไว้บางทีมันจะช่วยป้องกันได้ไม่ให้เดินทางผิด การศึกษามันต้องมีผลเป็นความสงบสุขทั้งเราเองทั้งผู้อื่นในที่สุด ทั้งพยายามทำความเข้าใจให้สุดที่จะทำได้ไว้ด้วยแต่เนิ่น ๆ บัดนี้ การศึกษาเล่าเรียนวิชาโดยเฉพาะนั้นก็ทำไป ๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสันแต่ว่าเรื่องทางจิตใจก็ต้องรู้แล้วก็ต้องทำได้เหมือนกันพอสมควร ไม่งั้นเราจะขาดอะไรมาก ๆ และความรู้ที่เรามีจะช่วยเราไม่ได้ คนที่เรียนมากได้ปัญญามาจากเมืองนอกยาวเป็นหางเป็นแถวนี้มันก็ยังเป็นทุกข์ เป็นเดือดร้อน เสียชื่อเสียง ฆ่าตัวตาย เป็นอยู่ในสภาพที่ไม่น่าจะมี เช่นเป็นชั้นอาจารย์ ศาสตราจารย์ ยิงกันตายเพราะเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่คุณก็เห็นอยู่แล้วในหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ก็ยังมี นั่นน่ะ การศึกษาถ้ามันปราศจากเรื่องธรรมะแล้วมันช่วยอะไรไม่ได้อย่างนี้ ดังนั้น การที่ว่าวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยเขาเห็นประโยชน์อันนี้ เขาก็ช่วยกันให้มีการศึกษาส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกส่วนนั้นนับว่ามันถูกต้อง
ทีนี้การที่ส่งมาที่นี่เขาก็มองเห็นประโยชน์ว่า จะให้ธรรมชาติมันช่วยสอน สอนโดยไม่ต้องมีปากพูด แต่ว่ามันสอนดังแล้วสอนดีกว่าที่ปากพูด ฉะนั้น จำไว้สักคำหนึ่งแล้วเอาไปคิดด้วยว่า ธรรมชาติสอนดีกว่าคนสอน คนสอนมันก็ดีไปอย่างหนึ่งแต่ไม่ดีเท่าหรือดีลึกดีมากเหมือนธรรมชาติสอน เช่น คนบอกว่าไฟร้อน ลูกเด็ก ๆ มันก็ยังไม่ยักเชื่อ เห็นคน ๆ หนึ่งจับไฟแล้วหดมือ มันก็ยังไม่ยักจะเชื่อว่าร้อนร้อยเปอร์เซ็นต์ จนกว่าธรรมชาติจะสอน คือมันไปจับไฟเข้าเอง แล้วไฟมันสอน มันไหม้มือ มันร้อน มันรู้ ทีนี้มันก็เชื่อเพราะเห็นจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่เรียกว่าธรรมชาติสอนดีกว่าคนสอน พระพุทธเจ้าท่านก็รับคำสั่งสอนจากธรรมชาติ การค้นคว้าอยู่ในป่าองค์เดียวจนตรัสรู้ ธรรมชาติมันสอน ต่อมาสอนสาวกท่านก็แนะวิธีที่ให้เรียนจากธรรมชาติทั้งนั้น แนะวิธีที่ให้ภิกษุเข้าไปอยู่กับธรรมชาติที่สงบสงัด ป่าเขาถ้ำอะไรก็ทำไปอย่างนั้น เปิดโอกาสให้ธรรมชาติมันสอน อย่าดูถูกธรรมชาติ มันมีอะไรลึกลับ เช่น พอเดินเข้ามาตรงนั้น จิตใจมันเปลี่ยน มาจากตลาดด้วยจิตใจอย่างอื่นอย่างหนึ่ง พอเข้ามาถึงตรงนั้น จิตใจจะต้องเปลี่ยน เพราะตรงนั้นมีธรรมชาติเบรก มีก้อนหิน มีต้นไม้ มีร่ม ๆ เย็น ๆ มันก็เปลี่ยน อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คือ มันเปลี่ยนใจคน มันมีอิทธิพล มีอำนาจเปลี่ยนใจคน คนก็ได้ความรู้สึก ได้ความรู้ประเภทที่รู้ด้วยจิตใจ ไม่ใช่รู้ด้วยปากพูด หรือคิดนึก รู้ด้วยความรู้สึก เขาเรียกว่า experience แล้วเป็น experience อีกแผนกหนึ่ง เขาเรียกว่า spiritual experience ไม่ใช่ experience ในการกินอาหารอร่อย ขับรถยนต์โก้ มันไม่ใช่ experience อย่างนั้น experience แบบนั้นมันก็ช่วยไปในทางอื่นและบางทีก็เป็นอันตราย spiritual experience ก็หมายเฉพาะความรู้สึกในความสงบแท้จริงจนมากจนชำนาญจนจิตใจมันเร้าไปอย่างนั้น เช่น พอเราได้รับความเย็น เราก็ชอบความเย็นขึ้นมาทันที ไม่ต้องมีใครบอกใครสอน แม้แต่สุนัขหรือแมวมันก็ยังทำอย่างนั้น มันจะนั่งตรงนั้นนอนตรงนี้ตรงไหนสบาย มันก็เลยถือเอาอย่างนั้นเป็นหลัก ทีหลังมันก็ไปนอนที่อย่างนั้นมันสบายดี ธรรมชาติมันสอนอย่างนั้น ทีนี้พอเราเข้ามาตรงนั้นมันสบาย ก็รู้สึกนี่เป็นการเรียนโดยธรรมชาติสอน แล้วเรียนต่อไปทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็ดูในใจของเรา เอ้า, เดี๋ยวนี้เรากำลังไม่มีความคิดเลว ๆ ความรู้สึกเลว ๆ ประเภทตัวกูของกู ดังนั้น เราจึงมีความสงบสุข ถ้าจับหัวข้อรู้ว่าสิ่งสำคัญอันนี้ได้ การเรียนธรรมะจะง่ายจะเรียนง่าย และการเรียนเรื่องโลก ๆ เรื่องวิชาอาชีพหรืออะไรก็ตาม มันจะไม่ผิดทางด้วย คือเราทำทุกอย่างให้มีชีวิตอยู่สะดวกสบายนั้นเพื่อความสงบ อย่าให้มันเพื่อความทุกข์มากขึ้น ยิ่งเรียนแล้วก็ยิ่งโลภ ยิ่งทะเยอทะยานมันก็คือยิ่งโง่ เพราะมันจะหาความทุกข์มาใส่ตัวมากขึ้น ดูที่มันฆ่ากันตายง่าย ๆ ที่ชายหาดเพราะมันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมมันจึงไปทำอย่างนั้น มันต้องเหมาะสมกันทั้ง ๒ ฝ่าย มันต้องไม่รู้กันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่รู้คนละอย่างมันจึงจะไปเจอะกันเข้าแล้วมันก็ฆ่ากันตาย ก็เรียกว่ามันถูกฝาถูกตัวกัน ขนมผสมน้ำยาอะไรทำนองนั้น ฉะนั้น เราจะต้องรู้จักว่าเกิดมาทำไมเสียก่อน แล้วทีนี้สิ่งต่าง ๆ มันจะถูกหมด เรียนก็เรียนเพื่อให้เหมาะสมกับที่เราเกิดมาทำไม ทำการงานก็ทำให้เหมาะสมกับที่เราเกิดมาทำไม มีเงินใช้ก็ต้องใช้ไปในทำนองให้มันตรงกับที่เราเกิดมาทำไม อย่าให้มันผิด อย่าให้มันถูก อย่าให้มันมาก อย่าให้มันน้อย อย่าให้มันขาด อย่าให้มันเกิน นี่คือเรื่องที่ว่าจะอบรมศึกษาเรื่องธรรมะ มันคืออย่างนี้
ส่วนหลักวิชาทั่วไปหรือวิชาเทคโนโลยีอะไรทั้งหลายมันอีกเรื่องหนึ่งก็ไปเรียนได้จากพวกฝรั่ง ยกให้ว่าพวกฝรั่งมันเก่งกว่าเรา แต่ทีนี้พอเรียนแล้วจิตใจเป็นอย่างไรนี้ อยากจะพูดว่า พวกฝรั่งนี่บ้า บ้าแล้วยังหลับหูหลับตาอยู่ มันทำโลกนี้ให้วุ่นวายด้วยวิชาเทคนิคด้วยวิชาที่เรียนนั้นแหละ จัดการเรียนชนิดที่ว่า พอเรียนเสร็จเป็นฮิปปี้บ้าง เป็น Lover Bird บ้างเป็นอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง กระทั่งมีปัญหาว่านักเรียนเสพยาเสพติด แล้วทำไมมาโทษนักเรียนเพราะการศึกษามันโง่ คนจัดการศึกษาของโลกมันโง่ มันให้การศึกษาชนิดที่เด็กนั้นไม่รู้ว่า ยาเสพติดนี้ไม่ควรจะไปเกี่ยวข้องเพราะมันไม่ให้การศึกษาในทางจิตใจ ให้เด็กเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วยังไปบูชายาเสพติดหรือความเลวทรามอย่างอื่น นั่นคือการศึกษาที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องเรียกว่าพวกฝรั่งมันยังโง่ในเรื่องนี้ แต่ถ้าตัววิชาแท้ ๆ วิทยาศาสตร์ คำนวณ เทคโนโลยีอะไรก็ตาม มันเก่งไปโลกพระจันทร์ก็ได้ แต่มันก็มีปัญหาอย่างร้ายเพิ่มขึ้นมาอีกทางหนึ่ง คือคนเหล่านั้นไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เขาจะใช้ความรู้ความสามารถในการเบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนกันทั้งโลกนั้น มันไม่ไหวอย่างนี้ ดังนั้น ขอให้รู้ไว้อย่าเผลอให้มันไปผสมโรงกับเรื่องผิด ๆ อย่างนั้น เราเรียนวิชาของเขาเพื่อให้เราสามารถ เป็นมนุษย์ที่สามารถ
ก็ต้องรู้จักศึกษาว่าภาพเหล่านี้มันไม่ใช่ภาพศิลปะจัดขึ้นเพื่อประกวดประชันประขันอะไรกัน มันไม่ใช่ภาพศิลปะ มันเป็นภาพสำหรับการเพ่ง เพ่งพิจารณาให้รู้ความจริงข้อใดข้อหนึ่งที่จำเป็นที่สำคัญมากที่เกี่ยวกับชีวิตคนเรา อย่าดูมันอย่างภาพศิลปะ มันไม่ได้มุ่งหมายอย่างนั้น จะดูอย่างภาพศิลปะก็ได้ไม่ห้าม มันก็เป็นศิลปะอันหนึ่งอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าเรามุ่งหมายว่ามันจะเป็นอารมณ์ของสมาธิ เราต้องดูด้วยความเป็นสมาธิให้ลึกทะลุภาพไปถึงชีวิตจิตใจเราเอง ถ้าว่าจะมาศึกษาอะไรบ้างในจุดนี้โดยลำพังตนเองแล้วพยายามทำอย่างนั้น อย่าศึกษากันเพียงว่ามันเป็นภาพหรือเป็นภาพศิลปะแต่มันเป็นภาพธรรมะ เรียกว่า ภาพปริศนาธรรม เอาเก้าอี้ตัวหนึ่งวางไว้ตรงหน้าภาพใดภาพหนึ่งที่เราต้องการจะศึกษา แล้วก็ดูให้ออกเสียก่อนว่ามันภาพอะไร มันเป็นเส้น ๆ นี่มันภาพอะไร เดี๋ยวดูจะดูไม่ออก แล้วภาพนั้นมีความหมายอย่างไรก็ต้องคิดกันมาก แล้วอีกทีหนึ่งว่ามันได้แก่ตัวเราอย่างไร ทุกภาพจะเกี่ยวข้องกับตัวเรา ๆ จะเป็นเรื่องของเราเป็นเรื่องในจิตใจของเรา เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราในแง่ใดแง่หนึ่งมุมใดมุมหนึ่งของภาพ ฉะนั้นจึงมีมาก มันต้องการเวลามากที่จะศึกษา ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็มาศึกษาในจุดนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ดูผ่าน ๆ ไป จะรู้จักพุทธศาสนาได้จากภาพเหล่านี้แล้วจะรู้จักชีวิตจิตใจของตัวเองอย่างลึกซึ้งได้ก็ด้วยภาพเหล่านี้ เพราะมันเป็นภาพที่เลือกสรรมาจากภาพหลายหมื่นหลายพันภาพ หลายพันหลายหมื่นภาพที่เราคัดเลือกมาได้เพียงเท่านี้ เพราะว่าจะศึกษาเองตามลำพังตามในโปรแกรมนั้นมันก็ศึกษาภาพเหล่านี้ไปก็ได้จะรู้ธรรมะเหมือนกัน (นาทีที่ 22:37) แล้วคุณมีโปรแกรมว่าอย่างไรต่อไปนี้ กลับไปที่พักใช่ไหม ถ้าว่าอยากจะฟังอะไรจะดูอะไรก็ให้ท่านอาจารย์โท (นาทีที่ 22:52) ช่วยจัด จะดูภาพสไลด์หรือจะดูอะไรถ้าทนได้ก็ยังมี จะหัดร้องเพลงบทดอกสร้อยธรรมะอย่างเมื่อตะกี้บ้างก็ได้ นั่นอาจารย์ที่กรมศิลปากรช่วยร้องให้ ถือเป็นแบบฉบับได้
ก.ไก่สะกด ลองไปทำกันเถอะ ไม่เท่าไรสุกแน่ ถ้าเย็น ๆ อย่างนี้เรียกว่า สุขชนิด ข.ไข่สะกด ตรงตามคำเดิมว่า ความสุข ถ้าใครมันไปหลงเอาสุก ก. มาเป็นสุข ข. สุข ข. มาเป็นสุก ก. คนนั้นเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นเด็กก็ได้วัยรุ่นก็ได้ผู้ใหญ่ก็ได้คนแก่หัวหงอกก็ได้ คนแก่หัวหงอกมันก็หลงใหลได้เป็นมิจฉาทิฐิได้ ถ้าว่าเรารู้ถูกต้องเสียแต่บัดนี้มันปลอดภัยตลอดชีวิต อย่าต้องให้ไปบอบช้ำเจียนตาย เจียนฉิบหายหรือว่าฉิบหายไปแล้วจึงค่อยรู้สึก ไม่ดี ไม่ต้องลองถึงขนาดนั้น ฉะนั้นรู้ไว้เสียแต่เดี๋ยวนี้ คือ รู้ความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ สัมมาทิฐินี่แหละคือพุทธศาสนา รู้ตั้งแต่รู้จักกินข้าวอาบน้ำไปเลยถูกต้องไปหมด กระทั่งทำมาหากิน กระทั่งทำการงาน กระทั่งมีจิตใจที่ไม่มีความทุกข์ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นคือตัวสัมมาทิฐิสูงสุด แล้วก็บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นอย่างนั้น ท่องเป็นคาถาไว้ว่า สัมมาทิฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ทุกคนจะก้าวข้ามพ้นความทุกข์ไปได้เพราะเขายึดมั่นในสัมมาทิฐิ เพราะสมาทาน สัมมาทิฐิ คือ ถือมั่น ยึดมั่น ตั้งมั่นด้วยดีในสัมมาทิฐิก็จะก้าวข้ามพ้นความทุกข์ทั้งหมดทั้งปวงไปได้ ท่านตรัสว่าอย่างนั้น ฉะนั้น ข้อปฏิบัติทั้งหลายไม่ว่าอันไหนชั้นไหนระดับไหนก็ตามมันสรุปลงไปในคำว่า สัมมาทิฐิ อันนี้ยากหน่อย อย่าเพิ่งอวดดีว่ารู้แล้วเข้าใจแล้ว ง่ายนิดเดียว ไปมัวหัวเราะกันอยู่ ไปมัวหลงใหลอะไรกันอยู่ สัมมาทิฐิมันงอกไม่ได้ มันเกิดขึ้นไม่ได้ มันงอกงามในจิตใจไม่ได้ แล้วก็จะต้องร้องไห้ นึกว่าจะต้องตายอย่างไม่มีความหมาย ไม่มีราคาอะไรเลย เกิดมาทั้งทีก็ไม่ได้อะไรเลย
ก็ขอให้ถือโอกาสศึกษาเรื่องนี้ตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นี่ เรื่องทั้งหลายก็เรียนที่วิทยาลัยแล้ว แล้วบางเรื่องก็เรียนที่บ้าน เรียนในสังคม เรียนไหนก็เรียนได้ แต่ว่าเรื่องธรรมะนี้ต้องเรียนจากจิตใจ ต้องอยู่ในที่ที่ให้ความสะดวกเพื่อศึกษาก่อนแล้วก็เอาไปเรียนไปใช้ที่ไหนก็ได้ ฉะนั้น เวลา ๒ - ๓ วันนี้ให้ใช้มันให้เป็นประโยชน์เต็มที่ในการที่จะศึกษาเรื่องจิตใจ ให้อดทนหน่อย อย่างน้อยก็เพื่อจะรู้ได้ว่า เราไม่ต้องมีอะไรมาก ถึงขนาดที่เขาปรารถนากันนัก แล้วก็ยังหาความสุขได้ เราจงทำแต่พอดี อย่าให้ทะเยอทะยานจนเป็นบ้าแล้วจะต้องเสียอะไรหมดเพราะความทะเยอทะยานจนเป็นบ้านั้น ฉะนั้น ไม่ต้องทะเยอทะยานจนเป็นบ้า ถ้าจะทะเยอทะยานก็ทะเยอทะยานให้มันถูกต้องและพอดี ทีนี้คนโง่มันทะเยอทะยานเป็นบ้าจนเป็นเหยื่อของอันธพาลในที่สุด ธรรมะนี้มันยิ่งกว่าจำเป็น ต้องใช้คำว่าอย่างนี้ ที่แท้ก็คือจำเป็นนั่นแหละ เดี๋ยวนี้คนไม่รู้จัก มันก็เป็นจำเป็นยิ่งกว่าจำเป็น คนมันไม่รู้จักแล้วโลกก็เป็นอย่างนี้ ในมหาวิทยาลัยมีคนบ้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน มีนิสิตมหาวิทยาลัยที่ท่าทางเกะกะก้าวร้าวคล้ายนักเลงโตมากขึ้น นี่สังเกตเห็นอยู่ทุกปีว่ามันมากขึ้นหรือมันแรงขึ้นหลายปีมาแล้ว มันไปมุ่งมาดแต่ความต้องการของตัว และก็ความต้องการทางวัตถุทางเอร็ดอร่อยเนื้อหนังทั้งนั้น ไม่ต้องคำนึงว่าผิดถูกชั่วดี สงบหรือวุ่นวายไม่ค่อยคำนึง มันเป็นโรคระบาดติดต่อกันได้มาจากเมืองนอก เชื้อโรคได้มาจากเมืองนอกแล้วก็มาเพาะหว่านในเมืองไทยหรือในประเทศไหนก็ได้ นี่คืออันตรายที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับคนทุกคนที่กำลังเกิดมาในโลกนี้ จริงหรือไม่จริงก็ขอให้สังเกตดูในเวลาอันสั้นในอนาคตนี้พวกคุณจะพบความจริงข้อนี้ แล้วจะแพ้หรือว่าจะชนะมันก็คอยดูกันต่อไป ถ้าไม่รู้เรื่องนี้มันก็จะเป็นคนบ้าชนิดหนึ่ง เหมือนผีเสื้อ เปรียบออกมาเหมือนผีเสื้อ แต่งตัวสวยแล้วก็เที่ยวบินโฉบไปโฉบมาจนกว่าจะตายไปอย่างไม่มีค่า นี่พวกที่เขาเจริญแล้วมันเป็นเสียอย่างนี้ที่เรามันไม่ควรจะเสียอะไรมากถึงอย่างนั้น แล้วยิ่งเป็นคนไทย เป็นพุทธบริษัทด้วยก็ยิ่งจะต้องได้อะไรมากกว่านั้น
การที่จะได้รับประโยชน์จากการมาที่นี่มันอยู่ในแง่นี้ในฝ่ายนี้ในส่วนนี้ อย่างน้อยก็ให้ได้ผลเป็นว่ามีจิตใจหัวใจเกลี้ยงเกลาสัก ๔ - ๕ วัน เพราะคำว่าโมกข์ ๆ มันแปลว่าเกลี้ยง คนที่รู้ภาษาไทยก็จะรู้คำว่า โมกข (โมก-ขะ) แปลว่า เกลี้ยง คือมันเกลี้ยงหรือมันบริสุทธิ์ตามธรรมชาติของมัน ไม่มีอะไรมาแปดเปื้อนหุ้มห่ออย่างพระจันทร์ออกจากเงาโลกที่เรียกว่าราหู พอออกหมดเกลี้ยงตามเดิมเขาเรียกว่าโมกข์แต่จริง ๆ คำว่า โมกข์ มันแปลว่าเกลี้ยง ความหมายที่สองมันแปลว่ารอด คือ หลุดพ้น ถ้าไม่เกลี้ยงมันก็คือไม่รอด ไม่หลุดพ้น เพราะมันมีอะไรหุ้มห่อผูกมัดครอบงำ มันก็เลยไม่เกลี้ยง มันก็เลยไม่หลุดพ้น ฉะนั้นถ้าหลุดพ้นมันต้องเกลี้ยง ทีนี้จิตใจของเรามันต้องเกลี้ยงจากสิ่งที่มันผูกพันโดยเฉพาะก็คือกิเลส ข้อผูกพันทางภายนอกมันไม่ร้ายเท่าข้อผูกพันทางภายใน มันเคลื่อนง่ายกว่า ทีนี้เรามาที่นี่ให้ธรรมชาติมันช่วยอีกแรงหนึ่ง ธรรมชาติมันจะช่วยเปลื้องสิ่งรบกวนจิตใจให้มันเกลี้ยงไปสักพักหนึ่ง เราก็ได้ชิมรสของความเกลี้ยงหรือความสงบ เราก็จะเกิดรับพอใจในความสงบก็เลยเป็นการตั้งต้นที่ดีและก็มั่นคงด้วย คือมันจะไม่ผิดทาง ขอให้สนใจที่จะให้ได้สิ่งนี้ในลักษณะอย่างนี้ ตลอด ๔ - ๕ วันที่พักอยู่ที่นี่ ดังนั้นจะต้องใช้ความอดทน ถ้าไม่ใช้ความอดทนก็หวังยากที่จะได้ มันจะได้น้อย มันต้องเสียสละบ้าง คือเสียสละด้วยความอดทน ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่านอนสาย อยู่ที่วิทยาลัยที่บ้านนอนได้ตามชอบใจ ตื่นเมื่อไรก็ได้ แต่ว่าพระเณรที่นี่เขาทำวัตรเช้าตั้งแต่ตีสี่ คุณไม่ได้ยินระฆังหรือ ตั้งแต่ตีสี่ทำวัตรเช้า ถ้าจะพูดว่าตีห้ามาประชุมกันที่นี่เอาไหม มาฟังคำบรรยาย เดี๋ยวจะสั่นหัว แต่ว่าเราก็เคยทำ พวกนิสิตบางพวกก็ทำได้และโดยเฉพาะพระทั้งหลายที่มาอบรมที่นี่ พวกธรรมทูต พวกอะไรก็ตามที่เป็นพระและก็เป็น วางกฎตายตัวไว้เลยตีห้าเริ่มการอบรม ฉะนั้นต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่หรือสี่ครึ่ง ไปส้วมไปถาน ไปอะไรเสร็จเรียบร้อยแจ่มใสแล้ว ตีห้าเปิดการอบรม อย่างนั้นมันได้มากกว่าที่จะปล่อยไปตามความพอใจ มันเคยชิน มันขี้เกียจ มันนอนมากมาตั้งแต่บ้านโน่นตั้งแต่เล็ก ๆ โน่น นี่คือตัวอย่างของการเสียสละ เราเสียสละเท่าไร มันก็รู้ความจริงมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็ได้ประโยชน์ได้เวลามากขึ้น วันหนึ่งของเราก็จะเกิน ๑๒ ชั่วโมง เป็น ๑๘ ชั่วโมง เป็นอะไรชั่วโมงก็ได้ แล้วแต่ว่าเราใช้มันเป็นประโยชน์ได้กี่ชั่วโมง ถ้าเรานอนสายตื่น ๗ โมง เราขาดไปชั่วโมง แล้วก็ยิ่งนอนหัวค่ำไปอีกก็ขาดไปอีก เวลามันก็เหลือน้อย ใช้เป็นประโยชน์ได้เท่าไร เวลามันก็มีมากขึ้นแล้วก็มีค่ามากขึ้น นี่เป็นตัวอย่างของการเสียสละ มันมีอีกมากเรื่องการเสียสละ นี่ยกตัวอย่างเท่านี้ก็ต้องอดทนเรื่องการกินการอยู่ เรื่องความสะดวกความไม่สะดวกทุกอย่างไปเลย ยิ่งเราทนได้เท่าไร ยิ่งรู้ความจริงมากขึ้นเท่านั้นว่า มันอยู่อย่างนั้นจะพอดี อย่างนี้ขาดอย่างนี้เกินอย่างนี้พอดี ทีนี้ถ้าเราไม่ฝึกอย่างนี้ เราจะเห็นว่ามันยัง ยังพอดีอยู่ คือมันผิดแล้ว มันเกินแล้ว หรือยังรู้ว่าพอดีอยู่ เราเอาความรู้สึกที่เรามันเคยชินแต่ในเรื่องสบายสะดวกมาเป็นหลัก มันก็ไม่ได้ มีรถยนต์คันหนึ่งมันก็ไม่พอ มันต้องมี ๒ คัน ๓ คัน ๔ คัน ในที่สุดมันก็บ้า
ขอให้ศึกษาว่า ความสุขแท้จริงมันมีได้จากการทำพอดี ถูกต้อง ไม่มากไม่น้อย ไม่ขาดไม่เกิน แล้วก็อย่าไปกลัว แล้วก็อย่าไปตามวัฒนธรรมปิงปองใหม่ ๆ นี่ วัฒนธรรมบ้า ๆ บอ ๆ มันเป็นเรื่องการเมือง มันเป็นเรื่องทำโลกให้ยุ่ง เราก็ไม่ต้องไปต้านทานต่อต้านอะไรเขา แต่เรารู้จักทำเราให้ไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้มันกำลังหลงไปในทางที่ทำให้ยุ่ง แม้แต่การกีฬานี่ก็ยิ่งเพ้อ ๆ และยิ่งทำให้ไม่เป็นนักกีฬา ในสนามกีฬานั้นมันมีอันธพาลเต็มไปหมดที่กรุงเทพฯ ไปดูเถอะ ในสนามกีฬามีอันธพาลหรือความไม่เป็นนักกีฬา เมื่ออยู่ที่บ้านยังเป็นนักกีฬาหรืออย่างน้อยก็ไม่มีอันธพาล พอเข้าไปในสนามกีฬาก็มีอันธพาล ที่ยุโรปที่เยอรมัน กีฬาโอลิมปิกใหญ่โตของเขามันตายตั้ง ๑๓ คน ดูการกีฬาของสมัยนี้สิเพราะคนมันบ้า ไม่เล่นกีฬาเพื่อความเป็นนักกีฬา มันเล่นเพื่ออวดดีอวดเด่นอวดอะไรก็ไม่รู้ เพื่อแพ้เพื่อชนะทั้งนั้น ก็เป็นอันว่าเราจะทำตัวเป็นอิสระ ไม่มอบความรู้สึกคิดนึกให้แก่วัฒนธรรมใหม่ ๆ ที่มันกำลังเตลิดเปิดเปิง เราอยู่อย่างพุทธบริษัทหรือว่าชาวไทยหรือว่าศาสนาไหนก็ได้ ถ้าถูกต้องตามหลักของศาสนาแล้วดีหมด คือ เขาไม่ให้ตามใจกิเลส ไม่ให้เห็นแก่เนื้อหนัง แต่ให้เห็นแก่ความถูกต้องก็คือธรรมะหรือพระเจ้า
ต่อไปนี้ถ้ามีเวลาอีกเราก็จะพูดเรื่องธรรมะหรือเรื่องพระเจ้ากันให้เป็นที่เข้าใจ ที่เป็นความมุ่งหมายของการบรรยายอบรมเรื่องธรรมะ เรื่องพระเจ้า เรื่องศาสนา นี่ก็เป็นเพียงการพบปะกันวันแรก ทำความเข้าใจกันว่าเราจะทำอะไรดี ฉะนั้นอุตส่าห์ไปวางกฎวางเกณฑ์กันให้ดี ๆ ว่ากินอยู่อย่างไร จะอบรมศึกษาอย่างไร เวลาไหนให้มันได้กำไรไปเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างเช่น อย่าชอบนอนสาย เป็นต้น
ขอให้ความมุ่งหมายที่มาที่นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ สำเร็จประโยชน์สมตามความมุ่งหมายให้มากที่สุด และขอยุติการพบปะปราศรัยกันในวันแรกไว้เพียงเท่านี้ก่อน มีอะไรก็ดูให้หมด เขาทำบุญให้ทานกันอย่างไร อะไรอยู่ที่ไหนไปดูให้หมด พยายามเข้าใจให้หมด ศึกษาสวนโมกข์ อย่างภาพเหล่านี้สำหรับศึกษาโบราณคดี ศิลปะ พุทธประวัติได้ทุกแง่ทุกมุม เพราะก็อปปี้มาเหมือน ในแง่โบราณคดีก็ได้ แง่ประวัติศาสตร์ก็ได้ แง่ศิลปะก็ได้ ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ก็ประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรม ของความคิดนึกของมนุษย์ ไปดูต้นมะพร้าวอยู่กลางสระต้นหนึ่งก็รู้ ดูให้รู้ มันคืออะไร เพื่ออะไร มีความหมายอย่างไร ขอให้ทำอย่างนั้นเมื่อศึกษาเอง และก็เมื่อมาฟังบรรยายที่นี่ก็จะช่วยพูดในส่วนที่เข้าใจเองไม่ได้ เอาล่ะ พอกันที