แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นี่จะทำอะไรก่อน หือ,มีอะไรบ้างวันนี้ สำรับทำอะไรบ้างวันนี้ วันนี้ปิดการอบรมนะ (เสียงสุนัขหอน) ไม่เอาไป ไปสิเดี๋ยวตี (พูดกับสุนัข เสียงเงียบนาทีที่ 1:27)
(นาทีที่ 2.06) ท่านที่จะเป็นครูทั้งหลาย นี้เป็นโอกาสสุดท้ายเอ่อ,ที่จะได้พูดจากัน ฉะนั้นจึงจะกล่าวในลักษณะที่เป็นของขวัญแก่ผู้ที่จะกลับไป วันแรกเราได้กล่าวถึง อื่อ,ในลักษณะเป็นการต้อนรับ ชี้แจงให้รู้จักสวนโมกข์ วันนี้ก็เป็นเรื่องอื่อ,ที่จะกล่าวถ้อยคำสำหรับผู้ที่จะกลับ คนเขามักจะพูดจากันในลักษณะเป็นเอ่อ,การไว้อาลัยหรืออะไรทำนองนั้น เราก็ไว้อาลัยเอ่อ,ได้เหมือนกัน มัน แต่ว่ามันเป็นคนละอาลัย อาลัยในที่นี้ไม่เหมือนกับที่เขาอาลัยกัน คือเป็นแต่เพียงว่าเป็นห่วงว่าท่านทั้งหลายจะไม่ปฏิบัติตามข้อความที่ได้กล่าวแล้ว ที่ได้พูดกันแล้วให้สำเร็จประโยชน์
นี่แหละ,จึงขอพูดสรุปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแรกเราพูดถึงสวนโมกข์ ในลักษณะที่ว่าธรรมชาติสอนดีกว่าคนสอน ให้ศึกษาเอา เอาจากธรรมชาติประกอบกับคำสอนที่มีอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงหวังว่าทุกคนจะถือเอาประโยชน์อันนี้ได้ตลอดเวลาที่เที่ยวเดินไปมาอยู่ในสวนโมกข์นี้ สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินั้น มันแสดงลักษณะที่สะอาดหรือบริสุทธิ์มากกว่าสิ่งที่มะ มนุษย์ เอ่อ,ทำขึ้นจนผิดธรรมชาติ เราจะเห็นได้ง่ายๆว่าปัญหายุ่งยากลำบากเอ่อ,ของมนุษย์นี่มันก็มาจากการที่ทำให้ผิดให้ไกลไปจากธรรมชาติ
เราต้องการความสะดวกสบายเอร็ดอร่อยสนุกสนานจึงทำให้ผิดไปจากธรรมชาติ มันก็ต้องมีปัญหาเป็นธรรมดา ถ้าเราแก้ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เราก็จะมีความทุกข์มากยิ่งกว่าที่จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ฉะนั้นผู้ที่จะทำให้ผิดจากธรรมชาติไปเท่าไร ก็จะต้องรู้จักแก้ปัญหาต่างๆที่มันจะเกิดตามขึ้นมาให้มากเท่ากันทีเดียว อย่างว่าถ้าเป็นคนป่าไม่ต้องอยู่เรือน มันก็ไม่ต้องลำบากไอ้เรื่องเหย้าเรือน เรื่องเครื่องใช้ไม้สอยในเรือนหรืออะไรต่างๆ ซึ่งคนก็ต้องสร้างกันไม่รู้จักหยุดจักหย่อนและก็ทำให้มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งไอ้สิ่งที่ไม่จำเป็นก็ต้องมี เมื่อมันมากขึ้นอย่างนี้มันก็ต้องมีปัญหาบางอย่างก็เป็นความทุกข์โดยตรงก็มีเหมือนกัน นี่ขอให้ดูให้ดีๆ เพราะฉะนั้นขออย่า อย่าได้ทำให้มันเกินกว่าที่ควรจะทำ คือทำให้พอดี
เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องอะไรทุกเรื่องนี้ ให้มันพอดีๆเข้าไว้ ไม่ควรจะไปหลงไอ้ตามพวกที่เข้าใจว่าจะทิ้งธรรมชาติให้ไกลอย่างที่ว่ามองกันไม่เห็น นั้นแหละจะลำบาก เอ่อ,มากขึ้นจนไม่รู้ว่าจะแก้กันอย่างไร ยิ่งเล่าเรียนเอ่อ,มันก็ยิ่งมีปัญหาอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา ฉะนั้นเราเห็นว่าไอ้การศึกษาที่มันมีอยู่ในโลกเวลานี้มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรให้หมดไปได้ ปัญหามันนำหน้าการศึกษาเสียเรื่อย ความเจริญก็ได้ทำให้เกิดปัญหาแปลกๆใหม่ๆ แม้แต่การเจ็บการไข้หรือโรคภัยต่างๆนี่ มันก็มีมากกว่าแต่ก่อนเพราะว่าไปทำให้ผิดธรรมชาตินั่นเอง
โรคภัยไข้เจ็บมันก็เอ่อ,สร้างปัญหาให้มากกว่าแต่ก่อน พอเรามาอยู่อย่างสำรวยสำอางเอ่อ,อย่างนี้มันก็อ่อนแอ มันก็เป็นอะไรได้ง่ายๆ พวกโยคีอยู่ในป่าอยู่อย่างธรรมชาติและไม่ค่อยรู้จักกันกับความเจ็บความไข้ มันมีอะไรผิดธรรมชาติน้อย แม้แต่การกินมันก็กินรากไม้ กินใบไม้ กินผลไม้ กินเหง้าบัวกินอะไรอย่างนี้ เอ่อ, คนที่ไม่รู้เรื่องก็คิดว่ามันคงจะต้องตาย แต่ว่าธรรมชาติมันก็รู้จักจัดรู้จักทำให้คนเหล่านี้ไม่ต้องตายแต่เข้มแข็ง
เขาอาจจะกินอาหารที่ย่อยยากได้โดยไม่ ไม่เป็นพิษคือมันย่อยได้ และคนธรรมดากินเข้าไปมันไม่ย่อยและมันก็จะตาย หรือมันจะซูบผอมอย่างนี้เป็นต้น นี่พูดกันถึงเรื่องธรรมชาติเพราะเป็นเค้าเงื่อนว่ายิ่งทิ้งธรรมชาติเท่าไรก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น ให้ทิ้งแต่เท่าที่จำเป็นหรือที่มันพอดี พอดี คนไทยเรานี้ก็ยังทิ้งธรรมชาติน้อยกว่าพวกฝรั่ง พวกฝรั่งมันทิ้งไกลมากก็เลยมีปัญหามาก เราก็จะต้องระวัง ยิ่งมาที่สวนโมกข์นี้ก็คงจะสังเกตเห็น การที่เป็นอยู่กันอย่างธรรมชาติให้มากเท่าที่จะทำได้
เรามีเอ่อ,คำขวัญหรือหลักที่ยึดถือว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู อยู่อย่างตายแล้ว ล้วนแต่มุ่งหมายจะให้มันใกล้ชิดแต่ธรรมชาติทั้งนั้น เช่นว่า กินข้าวจานแมวนี่ มันก็ง่ายๆ และก็เป็นของที่ทำง่ายๆ ง่ายไปทั้งไอ้ของของการทำ การกิน ทั้งวิธีกินอะไรต่างๆทุกอย่าง เพื่อว่ามันจะเกิดความเข้มแข็ง ถ้าว่าอาบน้ำในคูนี่ก็คือว่าอย่าให้มีพิธีรีตองมาก เหมือนกับว่ากระโดดลงไปในคลองในเอ่อ,ลำธารแล้วก็อาบ
นี่แหละทุกอย่างไม่ใช่เฉพาะแต่การอาบน้ำมันก็ต้องเป็นไปอย่างง่ายๆ เหมือนกับว่าอาบน้ำในคูไม่ต้องมีห้องน้ำ และอยู่อย่างตายแล้วนี่ มีความหมายพิเศษ คนที่เป็นๆนั่นแหละมันเถียง มันพูด มันพิรี้พิไร ถ้าตายแล้วก็ไม่ต้องพูดคือนิ่งตะพึด มันก็ไม่มีทิฐิมานะไม่มีความทะเยอทะยาน ไม่ยุ่งยากลำบากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนี่ มันคล้ายๆกับคนตายแล้วแต่ไม่ตายแต่กลับสบายดี อยู่อย่างคนตายแล้วนี่มันไม่ค่อยมีปัญหา
อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่กลัว อย่างว่าอะไรเกิดขึ้นถ้าเราถือว่าเราตายแล้ว เราก็ไม่ต้องไปเที่ยวรัก เที่ยวเกลียด เที่ยวโกรธ เที่ยวกลัวอะไรอยู่ อย่างนี้เรียกว่าอยู่อย่างตายแล้ว หรือจะสรุปความก็คือว่า คนตายแล้วน่ะมันไม่ได้ทำอะไร มันไม่ต้องทำอะไร เราถือเอาความหมายนี้ว่า คนตายแล้วน่ะคือคนที่ไม่มีตัวกูของกู ไม่เอ่อ, ไม่ ไม่ได้มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ไม่ใช่เราทำ เมื่อ เมื่อเรา ไม่ใช่เราทำมันก็เท่ากับไม่ได้ทำ มันก็ไม่มีอะไรเป็นของเรา ก็เลยสบายดี เลยพูดเสียใหม่ว่าทั้งวันไม่ได้ทำอะไร เพราะไม่มีใคร ไม่มีคนที่จะทำอะไร ฟังไม่ถูก ไม่มีคนทำอะไรนี่มันก็สบายเพราะว่ามันไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีเอ่อ, กระทบกระทั่งนั่นนี่ แต่ถ้าไปยึดถือว่ากูว่าของกูและมันต้องกระทบรอบด้าน เพียงแต่ใครมามองเข้ามันก็โกรธแล้ว มันก็ต้องมีเรื่องมาก เดี๋ยวทะเลาะกับคนนั้น เดี๋ยวทะเลาะกับคนนี้ เดี๋ยวโกรธนั่น เดี๋ยวโกรธนี่ โดยรู้สึกว่ามันมาขัดคอขัดใจไปเสียทุกอย่าง ถ้าเรารู้สึกเหมือนกับว่าตายแล้วอย่างนี้ มันก็ไม่ต้องโกรธใครไม่รู้สึกว่ามีใครมาขัดคอ อะไร อะไรที่ทำไปนั่นมันก็เป็นเรื่องตามธรรมชาติ ที่ร่างกายมันอยู่นิ่งไม่ได้ มันก็เคลื่อนไหวมันก็ทำไป แต่ไม่ใช่กูทำ ไม่ใช่ทำเพื่อกู ไม่ใช่ของกู นี่แหละความหมายของคำว่าไม่ได้ทำอะไร เหมือนกับคนตายแล้วไม่ได้ทำอะไร วัดนี้ ที่วัดนี้ถือหลักกันอย่างนี้ แต่ใครจะปฏิบัติได้เอ่อ,หรือปฏิบัติไม่ได้นั้นมันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
ที่จะว่ามองดูแล้ว มันก็ไม่มีข้อผูกมัดไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีอะไรที่จะต้องหนักอกหนักใจ อย่างเขาถามว่าเมื่อไรไอ้โรงหนังนี้มันจะเสร็จ บอกว่ามันเสร็จมาแล้วตั้งแต่วันแรกทำโน่น หรือได้ดีกว่านั้นก็ถือว่ามันเสร็จมาทุกวัน พอตกเย็นลงมันก็เสร็จ ตกเย็นลงมันก็เสร็จ มันเสร็จทุกวันมันเลยสบายใจกันใหญ่ นี่แหละมันไม่มีทุกข์ร้อน ไม่มีอะไรที่ทรมานจิตใจเลย
ร่างกายมันทำไปตามธรรมชาติที่มันอยู่นิ่งไม่ได้ มันก็เสร็จทุกวันอย่างนี้ นี่คือเรื่องเอ่อ,ธรรมชาติในสวนโมกข์มีหลักกันอยู่อย่างนี้ ลองเอาไปคิดดูพิจารณาดูว่าอยู่อย่างนี้น่ะมันไม่มีความทุกข์ เราตายแล้วจะต้องมีความทุกข์อะไร ไม่มีได้ไม่มีเสียไม่มีอะไรต่อไป นี้ร่างกายมันยังมีแรงอยู่มันก็เคลื่อนไหว สติปัญญามันเหลือซากอยู่มันก็ทำให้ร่างกายนี้ทำการงานถูกต้อง ตัวกูไม่มี ของกูไม่มี เลยสบายกันใหญ่ที่ตอนนี้
นี่แหละขอให้รู้จักสวนโมกข์หรือการเป็นอยู่ในสวนโมกข์หรืออุดมคติอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสวนโมกข์มันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าชอบใจก็ลองพาติดกลับไปที่บ้านดูบ้าง บางทีมันจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเอ่อ,ไปในทางสะดวกสบาย มีจิตใจเบาสบายหรือว่าสะอาด สว่าง สงบ มากขึ้นก็ได้ ขอให้ลองพยายามดู เรามาสวนโมกข์ทีหนึ่งมาทั้งทีนี้ก็อย่าให้มันเสียเปล่า ให้มันได้สวนโมกข์นั้นแหละกลับไปบ้านบ้าง คำว่าโมกข์แปลว่าเกลี้ยง แปลว่าเกลี้ยงเกลา ถ้ามีจิตใจเกลี้ยงเกลาบ้าง กลับไปบ้านนี้ก็เรียกว่าได้พาสวนโมกข์ไปด้วยบ้าง มันก็ไม่เสียทีที่มาที่สวนโมกข์
นี่แหละเมื่อต้อนรับก็ได้แนะนำให้รู้จักสวนโมกข์ เมื่อจะกลับไปก็แนะนำให้รู้จักพาเอาสวนโมกข์ติดไปบ้าง กลับไปบ้าง นอกนั้นก็เป็นเรื่องวิชาความรู้ ก็จดบันทึกหรือจำกันมากก็พออยู่แล้ว เอาไปทบทวนอีกทีหนึ่งให้เข้าใจยิ่งขึ้น ผู้ที่จะเป็นครูจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ผู้เป็นครูต้องรู้จักมองสิ่งทั้งปวงในด้านใด อย่างไร ผู้เป็นครูจะต้องรู้จักระบบวิธีที่จะแก้ปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต
ผู้ที่เป็นครูจะต้องรู้จักเคล็ดลึกลับหรือความลับของสิ่งที่เรียกกันว่าชีวิต ทำไมต้องใช้คำว่าสิ่งที่เรียกกันว่า ทั้งนี้ก็เพราะว่าไอ้สิ่งที่เรียกชีวิตชนิดนี้ มันไม่ได้มีอยู่จริง มันไม่ใช่ของจริงมันลมๆแล้งๆ เราไปเรียกมันว่าชีวิต ที่แท้มันเป็นมายา เป็นการปรุงแต่งของธรรมชาติ รูปธรรม นามธรรม เกิดความรู้สึกว่าตัวกูของกู ดูคล้ายกับว่าชีวิตเป็นของแน่นอนจริงจังอะไรอย่างนี้ ดังนี้จึงต้องใช้คำว่าสิ่งที่เราเรียกกันว่าชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ตามนะ มันต้องทำให้มีความถูกต้องเกี่ยวกับไอ้สิ่งที่หลอกลวงมายานี้ อย่าให้มันเกิดขึ้นเป็นทุกข์ขึ้นมาได้ พอทำผิดเรื่องผิดราวกับมันแล้ว ไอ้ชีวิตนี้มันก็จะเป็นความทุกข์เป็นนรกไปก็ได้ ถ้าทำถูกต้องอีกทางหนึ่งเป็นสวรรค์ไปก็ได้ ถ้าทำถูกยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นนิพพานได้ มันไม่มีอะไรที่ ที่เป็นของตายตัว เลยต้องเรียกว่าสิ่งที่เรียกว่าชีวิตไปทีก่อน
ทีนี้ผู้ที่เป็นครูควรรู้จักหัวใจของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา เพราะในที่สุดผู้ที่เป็นครูจะต้องรู้จักวิธีการที่จะเข้าถึงหัวใจของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา นี่แหละมันจะแก้ปัญหาต่างๆของชีวิตได้ ในชีวิตมันลุกเป็นไฟ แต่ให้มันสงบเย็น ถ้าโลกไม่มีศาสนา โลกนี้ก็ลุกเป็นไฟนานแล้ว เดี๋ยวนี้มันมีศาสนาเหลืออยู่บ้าง ถ้าเราทำให้มันมีเอ่อ,มากขึ้นมั่นคงขึ้น ไอ้โลกนี้มันก็จะกลับไปสู่ความสงบอย่างทีแรกๆ ก็ดู พิจารณาก็จะเห็นได้ว่า มนุษย์ทั้งโลกนี่แหละกำลังทำลายธรรมชาติ อะไร อะไรที่มีอยู่ใต้ดินใต้น้ำที่เรียกว่า ที่เรียกว่าขุมทรัพย์ของธรรมชาตินั้นน่ะ มนุษย์ก็ขุดขึ้นมา ขุดขึ้นมาก จนเชื่อกันว่าอีกไม่เท่าไรน้ำมันในโลกในแผ่นดินนี้ก็จะหมดอย่างนี้เป็นต้น และเอามาใช้ทำอะไรกัน เอามาใช้ถลุงเล่นเสียเป็นส่วนใหญ่ คือไปเที่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ยิ่งกว่า ยิ่งกว่าการทำงาน นี้ที่ใช้ทำงานก็ทำทำงานเพื่อฆ่ากัน เช่นทำสงครามนี้ก็ใช้วัตถุทรัพยากรธรรมชาติบ้าง เช่น น้ำมันบ้าง แร่ธาตุบ้าง และก็เพื่อฆ่ากันให้ตายไปเป็นหมื่นเป็นแสน นอกนั้นก็เอามาถลุงโดยการแสวงหาความสุขสนุกสนาน ที่เป็นเรื่องเป็นราวแท้จริงนั้น มันไม่กี่มากน้อย นอกนั้นเป็นเรื่องทำไปในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำทั้งนั้น มนุษย์พวกไหนเอ่อ,งมงายมากก็ลำบากมาก
ทีนี้การศึกษามันก็ช่วยบรรเทาไอ้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ดูเหมือนเมื่อยิ่งศึกษาก็ยิ่งจะเป็นอย่างนั้นมากขึ้น เพราะว่ามันศึกษากันแต่เพื่อจะถลุงทรัพยากรของธรรมชาติให้มากกว่าที่จำเป็น เรื่องไม่ต้องยุ่งมันก็ยุ่งขึ้นมา เราจึงไม่เห็นสันติภาพในโลก ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นเอ่อ,สันติภาพในโลก นี่มนุษย์หลงมากไปถึงขนาดนี้ก็เป็นเรื่องวัตถุไปหมด เป็นเรื่องเนื้อเรื่องหนังไปหมด ไม่รู้เรื่องจิตใจ ก็เป็นเรื่องวัตถุนิยมไปหมด
วัตถุ วัตถุนิยมนี่หมายความว่ามีวัตถุเป็นเครื่องยั่วเป็นเครื่องล่อให้หลงใหลในความสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนัง มันก็เพิ่มกิเลส เพิ่มการเกิดกิเลส เพิ่มการสะสมกิเลสยิ่งกว่าธรรมดา คนมันเลยเห็นแก่ตัวมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้เขาถือหลักกันใหม่แล้วไม่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอน คนเดี๋ยวนี้ก็จะชนะความชั่วด้วยความชั่ว ถ้าพระพุทธเจ้าสอนท่านว่า ให้ชนะความชั่วด้วยความดี คนเดี๋ยวนี้เขาไม่เอา ไม่มีใครเอา ชนะความชั่วด้วยความชั่ว คือร้ายกาจยิ่งไปกว่าสมัยโบราณ ซึ่งเขามีหลักว่าไอ้ตาต่อตาฟันต่อฟัน เช่นถ้าเขาด่าเราคำหนึ่งเราก็ด่าเขาคำหนึ่ง เขาตบหน้าเราทีหนึ่งเราก็ตบหน้าเขาทีหนึ่ง ถ้าเขาทำฟันเราหักซี่หนึ่ง เราก็ทำฟันเขาหักซี่หนึ่ง
เขาทำเราตาบอดข้างหนึ่งเราก็ทำตาเขาบอดข้างหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าเขาตบหน้าเราทีหนึ่งเราจะตบเขาสิบทีนี่ มันเป็นเรื่องเอ่อ,ชนะความชั่วด้วยความชั่วหลายเท่า ขอให้นึกถึงอุดมคติของพระพุทธเจ้าของพระโพธิสัตว์ไว้ให้มากด้วยกันทุกคน จงอดกลั้นอดทน เขาตบเราทีหนึ่งเราให้เขาตบอีกทีหนึ่งดีกว่า อย่าไปตบเขาเลยนี่ ถ้าอย่างนี้ก็ทำตามพระเยซูสอน เขาตบเอ่อ,ถ้าเขาตบแก้มซ้ายแล้วก็ให้เขาตบแก้มขวาด้วย เขาขโมยเสื้อของเราไปแล้วอย่าจับตัวเขาไปฟ้องศาลเลย เอาผ้าห่มตามไปให้เขาด้วย นี่เขาสอนอย่างนี้ นี่มันเป็นอุดมคติของโพธิสัตว์ ฉะนั้นคนจึงอยู่กันอย่างผาสุก แต่พอละทิ้งอุดมคติอย่างนี้แล้ว มันก็ต้องเป็นอุดมคติของยักษ์ มาร ภูตผีปีศาจ นี้ก็เลยเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่มากขึ้น หลอกลวงกันมากขึ้น ปากว่าทำสันถ เอ่อ,สันถวไมตรี แต่ลับหลังมันก็ด่ากันก็คิดฆ่ากัน ฟัง ฟังวิทยุก็แล้วกัน เขาไปเจริญสัมพันธไมตรี ในทางหนึ่งก็ด่าเอา ด่าเอาซึ่งกันและกันทางวิทยุนั่นแหละ น่ี่แหละมันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว การศึกษามันก็ช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ามันไม่มีความมุ่งหมายไอ้ที่จะแก้ไอ้สิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวนี้เราก็มีการศึกษาเพื่อความเจริญทางวัตถุกันเท่านั้น ก็ให้อภัยเอ่อ,กันแต่ในทางความชั่วคือว่าไอ้ที่เรียกว่าชั่ว ชั่วกันนั้น ให้อภัยก็ไม่ชั่วแล้วเดี๋ยวนี้ จะแก้ไขไอ้กฎเกณฑ์ทางศีลธรรมตามกิเลสตัณหาได้ เอ่อ, ไม่ชั่วแล้ว ฉะนั้นก็เลยจะทำอะไรที่เรียกว่าไม่ดีก็ได้ ไม่มีใครว่าใครแล้ว นี่โลกกำลังเป็นอย่างนี้
ฉะนั้นถ้าเราเป็นครูเราจะต้องรู้จักไอ้โลกให้ดีๆ ให้ถูกต้อง และทำไปในทางที่จะให้มีความสงบสุข ใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจ เราจะทำให้ดี เราจะชนะความชั่วด้วยความดี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้ได้ชนะข้าศึกคือกิเลสคือความชั่ว นี่แหละเป็นเจตนารมณ์ของครูหรือของสถาบันของครู
ขอฝากไว้ในคำกล่าวในที่นี้ เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยว่าพวกท่านทั้งหลายจะไม่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนให้สุดความสามารถ จึงพูดซ้ำอีก พูดย้ำอีก และเป็นอันว่าของขวัญแก่ครูผู้ที่จะกลับไปนี่ ก็มีอยู่อย่างนี้
เหมือนอาตมาพูดอย่างนี้ก็เรียกว่าพูดเป็นกันเองที่สุดแล้ว ไม่ได้มีอะไรเกรงอกเกรงใจ เพราะถือว่าเป็นครูด้วยกัน เพราะพูดอย่างนี้คนเขาไม่ค่อยจะเชื่อ เพราะว่าไอ้การเอ่อ,เป็นผู้นำทางวิญญาณหรือว่ายกวิญญาณของสัตว์ให้สูงขึ้นนั้น พระพุทธเจ้านี่แหละท่านเป็นบรมครูในเรื่องนี้ เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกันทั้งนั้น มีหน้าที่ทำแสงสว่างให้แก่ดวงวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย อาตมาก็เป็นครูผู้ที่นับถือพุทธศาสนา ทำตามความต้องการของพระพุทธเจ้าก็เป็นครู
ทีนี้อาชีพครูเอ่อ,ก็มันเผอิญมาตรงกันกับข้อนี้ ว่าจะต้องทำแสงสว่างให้แก่เพื่อนมนุษย์ ก็เลยว่าเป็นครูด้วยกัน ก็พูดเอ่อ,อย่างคนกันเองก็เลยไม่ต้องเกรงใจ ถ้าอย่างไรก็นึกถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูบ้าง จะได้เอาเป็นตัวอย่าง และจะมีการทำที่ถูกต้อง แล้วคุ้มครองให้ทำไปในลัก ในลักษณะที่มีพระพุทธเจ้าอยู่จิตใจของเราตลอดเวลา พระธรรมอยู่ในจิตใจของเราตลอดเวลา เอ่อ,พระสงฆ์อยู่ในจิตใจของเราตลอดเวลา ให้ร่างกายนี้เป็นโบสถ์ เป็นวิหาร เป็นที่สถิตประดิษฐ์สถานของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เถิดปัญหาต่างๆก็จะหมดไป
นี่แหละจะเป็นเหตุให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะพึงได้รับ ถ้าผิดจากนี้ก็ไม่รับรอง ทีนี้เรา เราจะต้องคิดให้มันกว้างมันไกลยิ่งไปกว่าที่จะกระทำเพียงเพื่ออาชีพ หรือว่าความจำเป็นมันบังคับให้ทำ ก็ทำเพียงเพื่อเป็นอาชีพ อย่าเอากันอย่างนั้นเลย ก็ทำพร้อมๆกันไปส่วนที่เป็นอาชีพนี้ก็ให้มันเป็นไปในตัว แต่เราตั้งความปรารถนาที่จะทำให้ดีที่สุดที่มนุษย์จะทำได้ โดยการทำให้เราเป็นมนุษย์ที่มีค่ามากที่สุด ก็คือทำหน้าที่อย่างนี้ แล้วอาชีพมันก็ไม่ไปไหนเสีย ก็ยังคงมีอยู่ในตัวมัน ก็เลยเอ่อ,ได้รับผลมากกว่าที่จะทำแต่เพียงเป็นอาชีพ
ไป ไปคิดดูให้ดีถ้าทำได้ จะมีกำไรเอ่อ, 10 เท่า 100 เท่า 1000 เท่าก็ได้ แล้วแต่จะทำได้มากน้อยอย่างไร ขอให้ตั้งปณิธานในการที่จะทำเอ่อ,ชีวิตนี้ให้ ให้มันเป็นประโยชน์มากที่สุด อย่าไปเห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย หรือเห็นแก่ความสนุกสนาน และก็เอาแต่ความสนุกสนาน ถ้าอย่างนี้มันทำอะไรที่แท้จริงไม่ได้กี่มากน้อย เพราะไปเป็นห่วงเรื่องเล่นเรื่องหัวเรื่องสนุกสนาน เรื่องพักผ่อนเสียมากกว่า ก็เป็นอันว่าไอ้เรื่องชนิดนั้นก็สลัดออกไป ถ้าใช้เวลาเรี่ยวแรงความสามารถอะไร ทำทุกอย่างที่มันจะเป็นของมีค่าที่สุดสำหรับมนุษย์เรา
ทำเราให้เป็นมนุษย์ที่แท้จริง แล้วก็ช่วยเหลือเพื่อนฝูงให้ได้เป็นมนุษย์ที่แท้จริง นับตั้งแต่สอนไอ้เด็กๆ มนุษย์เด็กๆนี่ ให้รู้จักความเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่แท้จริงได้ อย่างนี้เรียกว่าเราทำบุญกุศลถึงที่สุดอยู่ในอาชีพการงานนั้น ไม่มีบุญกุศลอันไหนจะสูงยิ่งไปกว่าแล้ว ขอให้ไปคิดดูให้ดีกันทุกคน และจะเกิดความแน่ใจคือศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญาอย่างแน่วแน่นั้นแหละ ว่านี่แหละถูกแล้ว นี่คือการเดินทางที่ถูกแล้ว ไปตามทางของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือตามทางของศาสนาด้วยความมั่นใจในเอ่อ,ในทุกอย่างไม่มีลังเลสงสัยอะไร ในที่สุดก็จะเจริญงอกงามได้ตามหนทางเอ่อ,ของพระธรรมหรือของพระศาสนานั้น
อาตมาก็ขอตั้งจิตอธิษฐานอำนวยพรให้ท่านทั้งหลายผู้เป็นครูโดยชีวิตจิตใจนี้ จงประสบความสุขความเจริญในหน้าที่การงานของตนถึงที่สุดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ (เสียงเงียบไปนาทีที่ 33.28 )
(นาทีที่ 33.43 ภาษาใต้) ทำอานาปานสติตามหลักตามเกณฑ์จะต้องนั่งให้ตัวตรง ให้ตัวตรง ถ้าผู้ชายเอ่อ,นั่งได้ง่าย ที่ว่านั่งสมาธิอย่างฤาษีโยคี ถ้าเป็นสตรี ธรรมเนียมในเมืองไทย นั่ง นั่งคู้ขาแบบนี้ ไม่ใช่นั่งพับเพียบ แต่นั่งเอาขาพับเข้าไปกลางๆ นั่ง และก็นั่งบนบนส้น ส้นขา หรือว่าจะนั่งอย่างชาวอินเดียทั้งผู้หญิงผู้ชายก็นั่งขัดสมาธิทั้งนั้น แต่ในเมืองไทยนี้ยังมีอยู่ว่าชาวบ้านนั่งคู้ขาแบบนี้ แต่ใครนั่งขัดสมาธิก็ได้ มันก็ได้ ไม่ ไม่ ไม่ได้ห้าม ทีนี้นั่งขัดสมาธิน่ะ คือนั่งขัดสมาธิ นั่งขัดสมาธิ ก็คือนั่งขัดสมาธินั่นเอง
นี่แหละอานาปานสติก็ได้อธิบายแล้ว ตอนก่อนๆนะ นั่นแหละคือการทำสมาธิ ก็ต้องนั่งสมาธิ นั่งขัดสมาธิก็เพื่อทำสมาธิ นั่งทำสมาธินี้ความมุ่งหมายมีว่าให้มันตรงอยู่ได้ ไม่ล้ม แม้เมื่อจิตใจเป็นสมาธิไม่ได้มีการระวังตัว ไม่มี, ความรู้สึกตัวเต็มที่มันก็ไม่ล้ม เพราะว่าเรานั่งเอ่อ,แบบที่ล้มไม่ได้นะ นี่มันนั่ง นั่ง นั่งขัดสมาธินี่ เดี๋ยวทางโน้นจะไม่เห็น นี่แหละมันนั่งเหมือนกับปิรามิด ลอง ลองเอาปิรามิดมาวางดูสิมันล้มไม่ได้ นี่แหละ ถ้าว่าเอาขานี้ ข้างขวานี้ทับข้างนี้ แล้วขานี้ขึ้นมาบนนี้ อื่อ,มันจะล้มได้อย่างไร ล้มข้างหน้าก็ไม่ได้ ล้มข้างซ้ายก็ไม่ได้ ก็เหมือนกับก้อนหินก้อนหนึ่ง
เมื่อจะเป็นสมาธิแล้ว เมื่อจะเป็นหรือเป็นสมาธิแล้ว ถ้ามันมันล้มไม่ได้ ลองทำดูสิ ถ้าเป็นผู้ชายเครื่องนุ่งห่มสะดวกอำนวยให้ทำนะ คือมันเป็นปิรามิด มีฐานกว้างใหญ่แล้วยอดมันเล็ก มันก็ล้มไม่ได้สิ ไอ้นี่มันขัดกันแน่น มัน มันcompactเป็นอันเดียวกันหมด มันล้มไม่ได้ (เสียงคนพูด อยากจะให้นั่งให้ดูครับ )หืม, นั่งดูก็เก็บเก้าอี้ไปสิ เอ้า,เก้าอี้ใคร ใครเก็บไปสิ เอ้า,เอาไปเสียทางโน้น เอาไปทิ้งทางโน้น เก้าอี้ใครใครเก็บไปนะ ลุกขึ้นเถอะ นั่งดูนะ (เสียงเก็บเก้าอี้) ของใครใครเก็บไปนะ