แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่จะเป็นครูทั้งหลาย การบรรยายไอ้หลักพระพุทธศาสนาสำหรับผู้ที่จะเป็นครูในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ผู้เป็นครูควรจะรู้จักระบบวิธีการแก้ปัญหาหรืออุปสรรค คำว่า ปัญหาหรืออุปสรรค ในที่นี้มีความหมายกว้างคือปัญหาทั้งหมดหรืออุปสรรคทั้งหมด ทั้งในส่วนที่เป็นหน้าที่ของครูและส่วนที่เป็นหน้าที่อย่างธรรมดาสามัญของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปคือเราจะต้องเห็นกัน เห็นเป็นที่ตกลงตรงกันว่าคนทุกคนก็เป็นมนุษย์ แล้วก็มีหน้าที่ต่าง ๆ กันทั้งในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็มีหน้าที่อย่างที่ว่ามนุษย์จะต้องทำอะไร ทีนี้มันก็เป็นครู มันก็มีหน้าที่เฉพาะสำหรับการเป็นครู ทีนี้หน้าที่ทั้งหมดนี้มันก็มีปัญหามีอุปสรรคมีอะไรด้วยกันทั้งนั้น อุปสรรคนี้โดยธรรมชาติแท้ ๆ ไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้อง มันก็มีเช่นว่าความเจ็บไข้ ความที่ไม่เป็นไปตามความต้องการของเรานี้ก็เป็นอุปสรรคตามธรรมชาติ ทีนี้อุปสรรคที่มนุษย์ด้วยกันสร้างให้หรือแม้ที่สุดแต่อุปสรรคอันเกิดมาจากการที่เรามันหย่อนสมรรถภาพเอง นี่เป็นสิ่งที่จะต้องนึกถึงด้วยเหมือนกัน เมื่อผู้ที่เป็นครูนี่มันมีหน้าที่สูงสุดอยู่อย่างหนึ่งคือจะยกสถานะทางวิญญาณของคนทั่วไปให้สูงขึ้น มันก็ยิ่งลำบากอยู่ในตัวมันเองเพราะว่าคนเหล่านั้นบางทีเขาก็ไม่ต้องการที่จะให้ดีหรือให้สูงด้วยซ้ำไป ก็ต้องการแต่ความสนุกสนาน ความเอร็ดอร่อยตามความพอใจของเขา เขาไม่ต้องการให้สูง เขายังต้องการให้ต่ำโดยที่เขามันเห็นผิดกลับกันอยู่ เห็นต่ำเป็นสูง เห็นสูงเป็นต่ำ แม้ที่สุดแต่ว่าครูต้องการให้เด็กเล็ก ๆ ทำอย่างนี้ มันก็ยังไม่ทำเป็นส่วนมาก ต้องมีอุบายมีอะไรที่จะแก้ไขจูงใจให้ ๆ เขาทำ นี่เรียกรวม ๆ กันว่ามันมีอุปสรรค
ทีนี้นอกจากอุปสรรคแล้วมันก็ยังมีถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นศัตรู นับตั้งแต่คู่แข่งขันหรือว่าคู่จองล้างจองผลาญนี่ในโลกเรามันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่ามันเป็นปัญหาไปหมด ถ้าไม่ฉลาดพอ ปัญหานั่นแหละมันจะรุมเอาจนกระทั่งว่ามีจิตใจเร่าร้อน มีความผิดปกติจนกระทั่งเป็นโรคเส้นประสาท เป็นโรคจิต เป็นบ้าไปในที่สุดอย่างนี้ก็มี แล้วก็มีอยู่ทั่วๆไป คนที่เป็นบ้าหรือเป็นโรคเส้นประสาทนี่ไม่มีมูลมาจากอื่นหรอก ล้วนแต่มีมูลมาจากการแก้ปัญหาของตัวไม่ได้แล้วก็ไม่รู้จักตัวปัญหา ไม่รู้จักการแก้ปัญหา ที่คนเราในโลกเวลานี้มันมีปัญหามากขึ้นก็ไม่ใช่เพราะอะไรอื่น ก็เพราะไอ้สิ่งที่เรียกว่าความเจริญนั่นแหละ นั้นจะต้องระวังให้ดี ๆ
สิ่งที่เรียกว่าความเจริญนั่นมันมีความหมายซับซ้อนตามตัวหนังสือแท้ ๆ ไอ้คำว่า วัฒนะหรือวัฒนานี่มันหมายถึงมากขึ้นเท่านั้นเอง มากขึ้นในทางไม่ดีก็เรียกวัฒนะ มากขึ้นในทางดีก็เรียกวัฒนะ ถ้าถือเอาภาษาบาลีเป็นหลักมันเป็นอย่างนั้น เส้นผมบนหัวของเรารกมากจนจะต้องตัดก็เรียกว่ามันวัฒนะหรือวัฒนาเหมือนกัน ไอ้ความเจริญนั่นน่ะมันมีอะไรแฝงอยู่ในนั้น จนเดี๋ยวนี้เราก็พูดได้ว่าไอ้โลกยิ่งเจริญ ปัญหาก็ยิ่งมากและที่ร้ายกว่านั้นไปอีกน่าสังเวชก็คือว่า การศึกษายิ่งเจริญแล้วความเสื่อมเสียยิ่งมีมาก เช่นว่าเรียนแล้วก็ได้เป็นฮิปปี้อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าการเรียนหรือการศึกษาในโลกสมัยนี้มันเพียงแต่ให้เรียนให้รู้วิชาหนังสือและวิชาอาชีพ ส่วนเรื่องที่จะให้วิญญาณสูงนั้นไม่เคยนึกถึงกัน แต่ก่อนน่ะเขามีระเบียบขนบธรรมเนียมประเพณีว่าการศึกษาเล่าเรียนนี้อยู่ในมือของศาสนา เจ้าหน้าที่ของทางศาสนาเป็นผู้จัดการการศึกษาโดยเฉพาะศาสนาคริสเตียน เจ้าหน้าที่ในทางการศึกษาของประชาชน หรือแม้ในประเทศไทยเราก่อนนี้ก็การศึกษาก็อยู่ในมือของพระของวัดของศาสนามาก่อน ต่อมาก็ถูกดึงออกไปเป็นเรื่องของชาวบ้านล้วน ๆ เมื่อมันอยู่ในมือของพวกพระแล้วมันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้เรื่องทางธรรมทางศาสนา ต้องเป็นลูกศิษย์วัด มันเห็นอยู่ทุกวัน ฉะนั้นก็มีเรื่องทางศาสนานี่ผสมแทรกอยู่ในตัว พอแยกออกไปหมดมันก็เลยเป็นเรื่องหนังสือล้วน ๆ อาชีพล้วน ๆ ไปเลย ทางจิตใจไม่มี
ทีนี้การศึกษาชนิดนี้มันก็ทำให้คนฉลาด แต่แล้วก็ไม่มีความรู้ที่จะใช้ความฉลาดนั้นให้ถูกต้อง เมื่อใช้ความฉลาดนั้นไปในทางที่เห็นแก่ตัวนั้นจึงเบียนเบียดกันมาก เพราะมันมีความฉลาดมากจึงเบียดเบียนกันได้ลึกซึ้ง นี่ทางโลกกำลังเบียดเบียนกันอยู่โดยใช้ความฉลาดที่ได้มาจากการศึกษานั่นแหละเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นเราจึงมองเห็นชัดเลยว่าการศึกษาอย่างนี้ อย่างที่โลกมีกันอยู่เวลานี้มันไม่พอที่จะทำโลกให้มีสันติภาพ มีแต่จะยิ่งทำโลกให้วุ่นวายระส่ำระสายยิ่งขึ้นทุกทีเพราะยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ฉลาดล้วน ๆ นี่มันยิ่งเห็นแก่ตัว ถ้าฉลาดด้วยมีธรรมะด้วยมันก็ปลอดภัย คือไม่อาจจะเห็นแก่ตัว นี่ขอให้จำไว้เป็นข้อสังเกตต่อไปข้างหน้า เวลานี้อาจจะไม่เชื่อหรืออาจจะไม่เห็นด้วยแต่ต่อไปข้างหน้าจะเห็นชัดยิ่งขึ้น ถ้าการศึกษามีแต่เพียงให้ฉลาดให้รู้จักทำมาหากินอย่างนี้แล้ว มันกำจัดความเห็นแก่ตัวไม่ได้ ยิ่งมีมากจะยิ่งทำให้เห็นแก่ตัวมาก โดยเป็นการศึกษาที่จะทำโลกนี้ให้เดือดร้อนระส่ำระสาย นี้ก็คืออุปสรรคอันหนึ่งของมนุษย์เป็นส่วนรวม คือว่าการศึกษานั่นแหละมันกลับเป็นภัยเสียเอง
มีคนหาว่าอาตมานี้บ้าบอนั่งนินทาการศึกษาของสมัยนี้ อันนี้ก็ยอมรับว่าเป็นคนบ้าบอ มองการศึกษาของโลกทั้งโลกในเวลานี้เป็นสิ่งที่จะทำโลกให้ฉิบหาย นี่ขอพูดไว้อย่างนี้เลย ที่ไหนก็พูดอย่างนี้ ถ้ามีการศึกษาแต่เพียงให้วิชาความรู้ให้รู้เทคโนโลยีในการงานกันอย่างเดียวอย่างนี้แล้วก็ มีแต่ยิ่งทำโลกให้ระส่ำระสายเดือนร้อนและฉิบหายในที่สุดเพราะต่างคนต่างเห็นแก่ตัวมากเข้า ขอให้ระลึกนึกถึงที่ว่าคนหนุ่มคนสาวในโลกสมัยนี้ก็ล้วนแต่ผ่านการศึกษามาแล้ว ทำไมมันจึงมีคนที่นิยมยาเสพย์ติดหรือว่าทำอะไรชนิดที่ไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง แล้วก็ก่ออาชญากรรม ฟังแล้วมันก็น่าหัว ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองใหญ่โต และให้การศึกษาแก่คนของตน ๆ แต่แล้วก็มาประสบปัญหาเรื่องว่าคนที่ได้รับการศึกษาเหล่านั้นเป็นพวกยาเสพย์ติดมากขึ้นทุกที มันน่าหัว ให้การศึกษาบ้าบออย่างไรจึงทำให้คนหลงโง่ที่สุดที่จะไปชอบยาเสพย์ติด จะไม่ให้โทษการศึกษาแล้วจะให้โทษอะไร นี่เป็นตัวอย่างเพียงอย่างหนึ่งในหลาย ๆ สิบอย่าง นี่ก็เรียกว่ามันเป็นอุปสรรคของความสงบเจริญอันแท้จริงของโลก
ทีนี้เราก็ดูกันต่อไปว่าอุปสรรคนี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมให้การศึกษาแล้วมันยังชอบไอ้สิ่งที่ผิดหรือที่ชั่วหรืออะไรเหล่านั้น ก็มีการกระทำที่น่าติเตียนมากขึ้นทุกทีซึ่งในสมัยก่อนมันไม่มี ยกตัวอย่างเช่นว่าจะตีรันฟันแทงกันในรั้วมหาวิทยาลัยเองอย่างนี้มันไม่เคยมี เหล่านี้เราเรียกกันว่า ๆ อุปสรรค ศัตรู หรือปัญหาที่มันเกิดขึ้นในวงการศึกษา ทีนี้ถ้าถามว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร โดยสรุปแล้วมันเกิดขึ้นมาได้เพราะว่าคนทุกคนแต่ละคนนั้นมันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เพราะว่าการศึกษาไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่ามนุษย์เรานี่เกิดมาทำไม เพียงแต่ให้เรียนหนังสือให้ฉลาดแล้วมันก็ไปนึกเอาเองว่าเกิดมาทำไม มันก็นึกเอาตามใจคือตามกิเลสของตน ๆ ความเห็นแก่ตัวมีอย่างไรมันก็คิดว่าเกิดมาเพื่ออย่างนั้น ไอ้พวกเด็ก ๆ เล็ก ๆ ถ้าถ้ามันพูดได้ ถามมันดู มันก็จะตอบว่ามันเกิดมากินนมแม่ เพราะมันเพิ่งคลอดออกมาไม่กี่วัน ไอ้ของดีที่สุดของเขาก็คือกินนมแม่ ไอ้ลูกทารกนี้ก็จะต้องพูดว่าเกิดมากินนมแม่ พอมันเป็นเด็กวิ่งได้เดินได้ขึ้น มันก็ต้องว่าเกิดมาเพื่อกินขนม คือมันชอบอะไรมันก็ต้องบอกว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนั้น นี้คนวัยรุ่นหนุ่มสาวขึ้นมามันก็มีอะไรของตัวอีก เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็มีต่อไปอีก เป็นทรัพย์สมบัติมีลูกมีหลานมีเหลนก็เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น ต่อไปก็เกิดมาเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนาก็ไปกันรูปนั้น อย่างนี้ถูกหรือไม่ถูก
เราได้เคยพูดกันมาแล้ววันก่อนว่าโดยที่แท้แล้วต้องถือว่าเกิดมาเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ สิ่งนั้นคือจิตใจที่สูงที่สะอาดที่สว่างที่สงบ เบียดเบียนตนเองก็ไม่ได้ เบียดเบียนผู้อื่นก็ไม่ได้ และเป็นจิตใจชนิดที่มีความทุกข์ไม่เป็น คือทุกข์ร้อนไม่เป็น มันฉลาดมันรอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตจิตใจ เดี๋ยวนี้การศึกษาของเราไม่ได้นำไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างนี้ มันไปตายด้านครึ่งท่อน อยู่ที่ความเห็นแก่ตัวของคนแต่ละคน ๆ ในโลก แล้วตัวชอบอะไรเขาก็เพื่อสิ่งนั้น เก็บเงินไว้มาก ๆ กินอยู่ให้สนุกสนานหรือไปเที่ยวรอบโลกให้สนุกสนาน หรือทำอะไรก็ตามใจล้วนแต่เป็นเรื่องความสนุกสนาน ส่วนพระเจ้านั้นเอาไปทิ้งทะเลแล้ว พระเจ้าไม่มีแล้ว ศาสนาไม่มีแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นไอ้สิ่งที่เรียกว่าอุปสรรคหรือปัญหามันจะเกิดมากขึ้นทุกที มากยิ่งขึ้นทุกที ทุกยุคทุกสมัย จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่เป็นครูนี่จะต้องรู้จักระบบหรือวิธีการที่จะแก้ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ให้ตัวเองก่อนแล้วก็ให้ลูกศิษย์ทั้งหลายเพื่อให้ประชาชนทั้งหลาย นี่หมายความว่าเราพูดกันอย่างเป็นสถาบัน ไม่ใช่พูดอย่างบุคคลเป็นคน ๆ สถาบันครูก็คือผู้นำทางวิญญาณช่วยแก้ปัญหา ช่วยแก้อุปสรรคอะไรต่าง ๆ ให้แก่คนในโลกมหาชนในโลก จึงต้องรอบรู้ว่าอะไรมันเป็นอุปสรรคศัตรูหรือเป็นปัญหาของคนเราในโลก
สิ่งแรกคือตั้งปัญหา จะต้องตั้งปัญหาว่าไอ้ชีวิตนี้มันต้องการอะไรโดยแท้จริง ต้องมีคำว่าโดยแท้จริง ไอ้ชีวิตนี้มันคงไม่ได้ต้องการแต่เพียงว่ามีอาหารกินอยู่สบายกินดีอยู่ดีแล้วก็ต้องการเพียงเท่านี้ เพราะว่าเพียงเท่านี้มันยังไม่เย็น มันยังไม่สงบสุข ไอ้ชีวิตนี่มันมีความหมายหลายชนิด ไอ้ชีวิตโง่ ๆ เลว ๆ มันก็ต้องการโง่ ๆ ต่ำ ๆ เลว ๆ ชีวิตสูงสุดมันก็ต้องการสูงสุด แต่ว่าไอ้คำว่าชีวิตนี่มันเป็นคำพูดที่บอกอยู่แล้วในตัวว่ามันคืออะไร ชีวิตก็ต้องแปลว่าความเป็นอยู่คือไม่ตาย ที่เป็นอยู่ มันไม่ตายนี่ มันอยู่อย่างเหี่ยวแห้งหรือว่าอยู่อย่างสดชื่น ใคร ๆ ก็ต้องการว่ามันต้องเป็นอยู่อย่างสดชื่น ไม่รู้จักแก่ไม่รู้จักตาย ทำอย่างไรจึงจะเป็นอย่างนั้นได้ นี่เป็นความลับ เป็นความลึกซึ้งของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ถ้าว่าได้ศึกษาธรรมะอย่างแท้จริงและเพียงพอจะได้ชีวิตชนิดที่ไม่ตายที่เป็นอมตะหรือเป็นอมฤตหรือพระนิพพานเป็นอมตะธรรม มีความรู้ถึงขนาดที่ได้ทำให้บรรลุนิพพานนี้จะทำให้จิตใจรู้สึกเป็นชีวิตที่สดชื่นไม่เหี่ยวแห้งไม่โรยราหรือไม่แก่ แม้ว่าร่างกายจะแก่ไปตามธรรมชาติแต่จิตใจนั้นยังสดชื่นด้วยอำนาจของธรรมะ คือธรรมะที่ทำให้ไม่รู้จักเป็นทุกข์ ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักเร่าร้อน ไม่รู้จักเศร้าหมอง ไม่รู้จักหดหู่ จิตใจนั้นมันก็เลยสดชื่นเป็นนิรันดรไปเลย คือว่าไม่มีความตาย ไม่ ไม่ ไม่กลัวตายเพราะไม่มีความตาย ไม่มีสัตว์บุคคลที่จะตาย อย่างนี้เขาเรียกว่าความไม่ตาย นั้นน่ะคือชีวิตแท้จริง ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงมันต้องการอย่างนี้ แต่แล้วมันไปไม่ได้เพราะว่าไอ้คนนั้นที่ถือว่าเป็นเจ้าของชีวิตนั้นมันไม่รู้ มันประกอบอยู่ด้วยอวิชชา ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แม้ว่าจะกลัวตายไม่อยากตาย อยากมีชีวิตอยู่นี่ มันก็ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตต้องการอะไร ชีวิตแท้จริงคืออะไรก็ไม่รู้ ก็รู้ไปตามที่เขาพูด ๆ กันนั่นแหละ แต่จะไม่รู้ชีวิตนิรันดร ไม่รู้จักชีวิตนิรันดรเหมือนอย่างที่ทางศาสนาเขาพูด แล้วเมื่อพูดว่าชีวิตนิรันดรแล้วก็จะไม่เชื่อเสียด้วย จะไม่เชื่อด้วยซ้ำไป
ไอ้เรื่องชีวิตนิรันดรนี่มันมีกันทุกศาสนา อย่างศาสนาคริสเตียนนี่ก็ใช้คำตรง ๆ ชัด ๆ เลย ใช้คำว่าชีวิตนิรันดร eternal life ชีวิตที่เป็น eternal คือไม่มีที่สิ้นสุด ศาสนาพุทธเราก็เหมือนกันมี มีอมตะธรรมอยู่นิพพาน จิตที่บรรลุนิพพานแล้วจะไม่รู้จักความตาย ถือว่าไม่ตายหรือเป็นชีวิตนิรันดรเหมือนกัน ศาสนาไหนเขาก็ต้องการอย่างนี้ ศาสนาที่เกิดในอินเดียเป็นคู่แข่งขันกับพุทธศาสนาโดยเฉพาะแล้วต้องการอย่างนี้ทั้งนั้น ศาสนาฮินดูก็ต้องการไอ้ปรมาตมันที่ไม่รู้จักตาย ศาสนาไชนะหรือเดียรถีย์นิครนถ์นี้มันก็ต้องการไกวัลยที่ไม่รู้จักตาย ไกวัลย์ แปลว่า ไม่สิ้นสุด คือ ไม่รู้จักตาย ให้ความหมายระดับเป็นชีวิตนิรันดร ศาสนามันต้องการชีวิตนิรันดรแต่ชาวบ้านไม่ต้องการ โดยเฉพาะชาวบ้านสมัยนี้นั้นก็เลยเกิดเป็นปัญหาสับสนยุ่งยากกันไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำกันไปทำไม ทำกันไปอย่างไรเกี่ยวกับศาสนาเกี่ยวกับมนุษย์นี่ นี่ให้มองให้เห็นแล้วจะรู้ได้เองว่ามันเป็นอุปสรรคอย่างไร เป็นความยุ่งยากลำบากอย่างไร เราควรจะมีความรู้ในเรื่องนี้กันพอสมควรเพื่อจะไม่ต้องยุ่งยากลำบากเป็นทุกข์มากเหมือนอย่างนั้น จึงจะเรียกว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณที่เรียกกันว่าครูอันแท้จริง นี่ต้องขอย้ำแล้วย้ำอีกอย่างที่เคยย้ำมาแล้วว่านี่พูดเผื่อไว้ ไม่ใช่จะขอร้องว่าให้ครูอายุน้อย ๆ นี่สามารถทำได้อย่างนี้ แต่บอกให้รู้ไว้ว่ามันมีอย่างนี้ และถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็แทบว่าจะไม่ได้อะไรที่ประเสริฐเลย ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปหมด เป็นลูกจ้างหรือว่าเป็นผู้ทำอาชีพเลี้ยงชีวิตมันไม่ใช่ผู้นำในทางวิญญาณ แต่ว่าต่อไปในอนาคตเมื่อมีอายุมากเข้าเห็นโลกมากเข้า มันเบื่อมันระอาต่อไอ้สิ่งง่าย ๆ ธรรมดา ๆ อย่างนี้แล้ว มันก็จะต้องแสวงหาไอ้สิ่งที่สูงกว่าดีกว่า ฉะนั้นรู้ลู่ทางไว้ย่อมจะเป็นการดีกว่า
ชีวิตมันต้องการไอ้สิ่งสูงสุดและที่มันจะไปถึงได้นี้ก็มีสิ่งที่หลอกลวงให้หลงทาง เรื่องนี้ก็ได้พูดกันมาบ้างแล้วว่าเราเกิดมาในโลกนี้มันก็มีไอ้อัสสาทะหรือเสน่ห์ของโลก สิ่งที่มีอยู่ในโลกที่มีอยู่เองตามธรรมชาติก็มี ที่มนุษย์เขาประดิดประดอยกันขึ้นมาก็มี ล้วนแต่มีเสน่ห์ดึงดูดจิตใจของคนนี่ให้ไปติดอยู่ที่นั่น ไม่อยากจะไปจากที่นั่น นี้เรียกว่าสิ่งที่มันหลอกลวง คือทำให้ชีวิตนี่มันเขวไปหรือกระทั่งว่ามาหลงติดจมอยู่ที่นี่ หลอกลวงให้เห็นผิดจนไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ฉะนั้นขอให้คำนวณดูเถอะว่ามันร้ายกาจกี่มากน้อย ไอ้สิ่งที่เป็นอวิชชาหรือเป็นกิเลสน่ะ ดึงไปให้ติดอยู่ในบ่วงออกมาไม่ได้จนชีวิตนี้ออกมาไม่ได้จากไอ้บ่วงเหล่านั้น มันก็ตายไปอย่างธรรมดาสามัญที่สุด
รูปภาพรูปแรกของเรื่องที่เขียนรอบคานนี้อยู่ที่ตรงนั้น รูปแรกตั้งต้นด้วยรูปภาพอะไรเคยสังเกตหรือเปล่า คือภาพใยแมงมุมรังหนึ่งแล้วก็มีนก ๘ ตัวติดอยู่ในใยแมงมุมนั้น แล้วมันก็จะต้องตายเพราะถูกแมลงมุมกัดกิน ไอ้นก ๘ ชนิดนี่ บางทีก็ไม่เคยได้ฟังที่เป็นทุคติ ๔ ชนิด คือ นรก สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นี่ ๔ ชนิด นก๔ ชนิดนี้ฝ่ายทุคติ แล้วฝ่ายสุคติก็คือที่เป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นเทวดาในกามาวจร คือชั้นสวรรค์ที่มีบริโภคกาม แล้วก็ชั้นพรหมที่มีรูป แล้วก็ชั้นพรหมที่ไม่มีรูป มันก็เลยเป็น ๔ อีกเหมือนกันในฝ่ายสุคติ ฝ่ายทุคติ ๔ ฝ่ายสุคติ ๔ ก็เลยเป็น ๘ แสดงด้วยนก ๘ ชนิด คือทั้ง ๘ ชนิดนี้ไม่ยกเว้นล้วนแต่ติดอยู่ในใยแมงมุม นี่เป็นสัตว์นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายก็ติดอยู่ในแมงใยแมงมุม มนุษย์ธรรมดาสามัญก็ติดอยู่ในใยแมงมุม เทวดาในสวรรค์ที่มีกามารมณ์สมบูรณ์นั้นก็ติดอยู่ในใยแมงมุม ทีนี้พรหมที่มีรูปร่างก็ติดอยู่ในใยแมงมุม พรหมชั้นสูงสุดที่ไม่ติดอยู่ในรูปธรรมอะไรเลยก็ยังติดอยู่ในใยแมงมุม นก ๘ ชนิดติดอยู่ที่รังใยแมงมุม
นี่คิดดูว่าปู่ย่าตายายของเราเขารู้อะไรกี่มากน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตของคนเรา แล้วเรารู้หรือเปล่า เราไม่เคยสนใจไม่เคยรู้ และไม่อยากจะสนใจด้วยซ้ำไป ถ้าจะพูดว่าไอ้นรกเปรตเดรัจฉานหรืออสุรกายอยู่ใต้ดินก็ได้ มันก็ยังติดอยู่ในใยแมงมุม จะพูดว่ามนุษย์นี้เทวดาบนสวรรค์สูงสุดขึ้นไปถึงพรหมโลกทั้งรูปพรหม อรูปพรหมมันก็ติดอยู่ในใยแมงมุม ที่พูดอย่างตรง ๆ นี้เรียกว่าพูดอย่างภาษาคน อย่างภาษาบุคลาธิษฐาน เด็ก ๆ ก็เข้าใจได้เพียงอย่างนี้ ทีนี้จะพูดอย่างธรรมาธิษฐานบ้างว่าไอ้สัตว์นรกก็คือคนนั่นแหละ เมื่อมันมีจิตใจร้อนเป็นไฟนี่มันเป็นสัตว์นรก คนเราธรรมดาทุกคนรวมทั้งพวกคุณด้วย เมื่อใดจิตใจมันร้อนเร่าเหมือนไฟก็ไปติดอยู่ข้างในเมื่อนั้นเป็นสัตวนรก นั่นคือติดอยู่ในใยแมงมุม เมื่อใดโง่อย่างไม่น่าเชื่อ โง่อย่างที่ว่าไม่น่าให้อภัยเลย เมื่อนั้นมันเป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นน่ะมันก็ติดอยู่ในใยแมงมุม เมื่อใดมันหิว ๆ อย่างหิวอย่างวิมานในอากาศ หิวกามารมณ์ หิวเกียรติยศชื่อเสียง มันก็เป็นเปรตก็ติดอยู่ในใยแมงมุม มนุษย์ที่มีจิตใจอย่างนั้นคือกำลังติดอยู่ในใยแมงมุมคืออวิชชา เป็นอสุรกายนั่นหมายถึงว่าเมื่อขี้ขลาด บางเวลาก็ขี้ขลาดเหลือประมาณไม่มีเหตุผล กลัว กลัวมาก แม้แต่กลัวไส้เดือน กลัวลูกหนู กลัวจิ้งจก กลัวตุ๊กแก นี่มันขลาดมากถึงอย่างนี้ ไม่มีความกล้าหาญเลย มันเป็นอสุรกาย มันก็คือติดอยู่ในใยแมงมุมของอวิชชาคือความไม่รู้
ทีนี้เป็นมนุษย์ เอ้า, สูงขึ้นมาเป็นมนุษย์ นี่หมายความว่าคนธรรมดานี่ไม่เป็นถึงอย่างนั้น เป็นแต่เพียงว่าอาบเหงื่อต่างน้ำ เอาเรี่ยวเอาแรงมาแลกสิ่งที่ตัวต้องการ นี่คือมนุษย์ธรรมดา นี่ก็คือติดอยู่ในใยแมงมุม ทีนี้มนุษย์ที่มันมีบุญ เกิดมาดีมีบุญโชคดีอะไรก็ตาม มันมีเงินมาก มีความร่ำรวยมาก มีอำนาจวาสนามาก จะเอากามารมณ์อย่างไรก็ได้อย่างนั้น เมื่อไรก็ได้เมื่อนั้นอย่างนี้ แม้มันจะได้ถึงขนาดนั้นมันก็ยังติดอยู่ในใยแมงมุม มันจะเป็นอาเสี่ย เป็นมหาเศรษฐี เป็นอะไรก็ตามใจ สมบูรณ์อยู่ในความสุขอย่างนั้นมันก็ยังติดอยู่ในใยแมงมุม เรียกว่ามันจะเป็นพรหม คือ ผู้ที่รู้ธรรมะมีเมตตากรุณาอุเบกขา มันก็ยังติดอยู่ในใยแมงมุมเพราะว่ามันยังมีอวิชชา มันยังอยากเกิด มันยังกลัวตาย กระทั่งว่ามันเป็นมนุษย์ที่ไปถึงชั้นอรูปณาน ไม่เกี่ยวกับไอ้รูปกาย มีจิตใจเป็นสุขอยู่ได้ด้วยนามธรรมล้วน ๆ มันก็ยังติดอยู่ในใยแมงมุม คือ อวิชชา นี่แปลให้เห็นเสียทีว่า ถ้ายังมีอวิชชาก็ยังติดอยู่ในใยแมงมุม จะเป็นมนุษย์ชนิดไหนก็ได้ใน ๘ ชนิดนั้นน่ะ อย่างนี้ก็เรียกว่าพูดกันอย่างธรรมาธิษฐานหรือภาษาธรรม ถ้าพูดอย่างอุปมาธิษฐานอย่างภาพเขียนที่ฝาผนังโบสถ์น่ะ นรกก็อยู่ใต้ดิน เปรตก็อยู่ที่ภูเขาไหนก็ไม่รู้ รูปร่างอย่างนั้น เดรัจฉานก็อยู่ตามทุ่งนา อสุรกายก็อยู่ในโลกของอสุรกายที่มองไม่เห็นตัว มันก็พูดอย่างเด็ก ๆ พูด อย่างบุคคลภาษาคน ถ้าพูดอย่างธรรมะเขาว่า มันคือจิตใจของคนเรานี่ที่มันยังต่ำอยู่ มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในลักษณะอย่างนั้น ให้จำไว้ด้วย
เราได้พูดเมื่อตอนเช้าแล้วถึงเรื่องภาษาคน ภาษาธรรม ธรรมาธิษฐาน บุคลาธิษฐาน แล้วก็ดูให้เห็นว่านั่นแหละคือปัญหา นั่นแหละคืออุปสรรค การที่ติดอยู่ในใยแมงมุมนั่นแหละคือปัญหา นั่นแหละคืออุปสรรค สิ่งนั้นก็คืออวิชชา คือความไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร เกิดมาทำไมก็ไม่รู้นั่นคืออวิชชา จะดับทุกข์ได้อย่างไรก็ไม่รู้นั่นคืออวิชชา แล้วมันติดอยู่ในข่ายของอวิชชาเหมือนกับไอ้นก ๘ ชนิดนั้นติดอยู่ในใยแมงมุมในภาพนั้นอย่างนี้เป็นต้น นี้ถ้าพวกท่านทั้งหลายศึกษาภาพเหล่านี้เข้าใจดีอย่างนี้ทุก ๆ ภาพแล้วก็รู้ธรรมะหมดทั้งพระไตรปิฎกเลย ทั้งพุทธศาสนาเลย ก็ไม่มีเวลาพอ เอาล่ะนี่ก็ยกตัวอย่างให้ดูว่าไอ้ใยแมงมุมนั้นก็คืออวิชชาที่มันพัน พันเราที่เป็นมนุษย์อยู่นี่หลายอย่างหลายชนิดติดอยู่ที่นั่น จะสลัดอย่างไร จะเปลื้องออกไปอย่างไร เราจะต้องรู้ ผู้ที่จะเป็นครูนั้นจะต้องรู้ เพราะว่าถ้าว่ามันติดอยู่ในใยแมงมุมคืออวิชชาแล้ว มันก็ต้องทำกรรม แล้วก็ต้องเป็นไปตามกรรม ดี ชั่ว บุญ บาป สุข ทุกข์ อะไรไปตามกรรม ต้องเป็นไปตามกรรมไม่อาจจะเป็นอย่างอื่นได้ นี่คือติดอยู่ในอวิชชา มันเป็นอุปสรรคที่ว่าเราจะรอดพ้นไปไม่ได้ เราจะต้องเป็นไปตามกรรมที่ทำไว้ ความเป็นไปตามกรรมนั้นก็คือสิ่งที่ผูกมัด
ทีนี้เราจะต้องรู้ว่าทำอย่างไรเราจึงจะควบคุมได้ อย่าให้ต้องเป็นไปตามกรรม หรือว่าถ้าจะเป็นไปตามกรรมก็ให้เป็นไปแต่ในกรรมดี อย่าเป็นกรรมชั่ว หรือถ้าเก่งกว่านั้นก็อย่าให้ต้องเป็นไปตามกรรมเสียเลย จิตมันสูงเป็นโลกุตระ ไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอวิชชา ด้วยตัณหา ด้วยอุปาทานนั้น ก็เลยควบคุมชีวิตในประจำวันทุกวันนี้ให้เป็นไปตามความถูกต้อง มีแต่จะรุดหน้าไปยังความดับทุกข์สิ้นเชิง ไม่มามัว ๆ เวียนว่ายอยู่ในกระแสแห่งกรรมเหมือนกับว่ามันไม้ลอยน้ำ ลอยไปในทะเลแล้วแต่คลื่นมันจะพาไป ทีนี้เมื่อควบคุมได้ให้เป็นไปแต่ในทางที่ถูกต้องด้วยกันแล้วไม่เท่าไรมันก็จะพ้นกรรมหรือว่าอยู่เหนือกรรม นี่คือสูงสุด นี่คือเหนือนิพพาน นี่คือชีวิตที่ไม่รู้จักชรา นี่ไว้ศึกษากันต่อไปข้างหน้ามันเป็นเรื่องสูงสุด วันนี้บอกชื่อให้ทราบเท่านั้นแหละว่า จุดหมายปลายทางของมันก็คืออยู่เหนือกรรม พ้นกรรม ความสิ้นไปแห่งกรรม ไม่ต้องเวียนว่ายไปในกระแสแห่งกรรม ไม่ติดอยู่ในใยแมงมุมอีกต่อไป
ทีนี้ไอ้สิ่งที่มันจะแก้กันได้ แก้ปัญหานี้ทั้งหมดได้ คือว่าอย่าให้ต้องเป็นไปตามกรรมหรือว่าอย่าให้ติดอยู่ในใยแมงมุมหรือว่าอย่าให้หลงอยู่ในโลกนี่ มันก็คือระบบที่เราเรียกว่าธรรมะหรือศาสนา ฉะนั้นขอให้รู้ว่าให้รู้ชัดลงไปว่าไอ้ระบบธรรมะหรือศาสนานั่นแหละ คือ ระบบที่จะแก้ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ได้ เราจะต้องศึกษากันให้เพียงพอเกี่ยวกับไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนา เดี๋ยวนี้มันก็มีอุปสรรค คือ ความประมาทที่ทำให้คนเราไม่เข้าหาศาสนา อย่างพวกเรานี่ถ้าว่าวิทยาลัยไม่ส่งมาคงจะไม่มากระมัง นี่ว่ามันเป็นหลักสูตรมันเป็นอะไรที่มันต้องมา ต้องมารับการอบรม ไอ้ความไม่รู้ประโยชน์ศาสนานั่นแหละทำให้เรามันเกลียดศาสนาหรือเกลียดธรรมะหรือเฉย ไม่สนใจอย่างนี้เขาเรียกว่า ความประมาท ช่วยจดช่วยจำไอ้คำว่าประมาทไว้ให้ดีด้วย เพราะว่าในภาษาบาลีมันมีความหมายพิเศษไม่เหมือนกับความหมายในภาษาไทย ในภาษาไทยพูดว่าประมาทก็จะหมายความแต่เพียงว่ามันอวดดีหน่อยเท่านั้นแหละ แต่ถ้าคำว่า ประมาท ในภาษาบาลีแล้วก็มันรวมหมดเลย นับตั้งแต่ไม่รู้ โง่ ขี้เกียจ ไม่ ไม่มีศรัทธา ไม่มีสติสัมปชัญญะ รวมกันหมดทั้งหมดนี้เรียกว่าความประมาท ไม่ใช่เพียงแต่อวดดีนิดหน่อยอย่างในภาษาไทย ฉะนั้นความประมาทในภาษาไทยนี้ไม่สู้น่ากลัวนัก หรือว่าน่ากลัวเหมือนกันแต่ไม่มากนัก แต่ความประมาทในภาษาบาลีแล้วน่ากลัวที่สุดเลย มันคือความตายเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ความประมาทนั้นคือความตาย คนที่ประมาทก็คือคนที่ตายแล้ว จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ความประมาทนี้มัน ๆ ปิดบัง มันไม่รู้ มันครอบงำเอาโดยที่ไม่รู้ โดยที่ไม่ต้องรู้ เรียกให้มันสั้นที่สุดก็ควรจะเรียกว่าไอ้ความไม่รู้จักตัวเอง ความไม่รู้จักตัวเองนั่นแหละคือความประมาท พูดอย่างนี้แล้วเดี๋ยวจะไม่เชื่อ เพราะว่าทุกคนก็คุยโวว่ารู้จักตัวเอง พอใครว่าคุณไม่รู้จักตัวเองก็ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับว่าเรานี้ไม่รู้จักตัวเอง จะเถียงว่าเรารู้จักตัวเองเกินร้อยเปอร์เซ็นต์นี่ นั้นมันเป็นภาษาชาวบ้านหรือพูดกันอย่างโลก ๆ เพราะว่าคนทุกคนมันก็รู้จักตัวเองลูกใครหลานใครเป็นอย่างไร ใจของเราเป็นอย่างไรเราก็รู้ อย่างนี้ในทางธรรมะเขายังไม่ถือว่ารู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวคืออะไร เกิดมาจากอะไร หลงอยู่อย่างไร เกิดมานี้จะไปข้างไหน กำลังทำอะไรอยู่ เหล่านี้ก็ไม่รู้ทั้งนั้น นั่นน่ะเรียกว่าไม่รู้จักตัวเอง ถ้าใครเกิดรู้จักตัวเองคนนั้นจะไม่มีทำอะไรผิด หรือจะทำถูกเกินถูกจนไม่มีความทุกข์เลย ถ้าใครยังต้องอึดอัดขัดใจหรือยังต้องร้องไห้อยู่บ่อย ๆ แล้วคนนั้นมันไม่รู้จักตัวเอง มันจัดตัวเองให้พ้นจากความร้องไห้ก็ยังไม่ได้ มันจะเรียกว่ารู้จักตัวเองได้ยังไง นั่นก็คือความประมาท นั้นความประมาทคือความไม่รู้จักตัวเอง
ทีนี้ถ้าจะพูดว่า ไม่รักตัวเองก็ยิ่งไม่เชื่อใหญ่ ทุกคนมันรักตัวเอง มันกลัวตาย แต่รักตัวเองแล้วทำไมไปทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนต้องร้องไห้ มันก็ไม่จริง ไอ้ความรักตัวเองนั้นมันยังไม่จริงพอ ทีนี้พูดออกไปอีกก็ถึงคำสำคัญที่ว่านับถือหรือเคารพตัวเองนี่ดูจะไม่ค่อยสนใจกันซะแล้วในโลกสมัยนี้ ไม่นับถือตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง ปล่อยตัวเองไปตามความตามความชั่ว ตามความประมาท จนเขาว่า จนถึงกับว่าตัวเองยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ ถ้าใครสำรวจตัวเองดูดีแล้วไม่เห็นความบกพร่อง ไม่เห็นความเศร้าหมองก็ชื่นอกชื่นใจในตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้นั้นแหละก็เรียกว่าคนที่มีความนับถือตัวเองเคารพตัวเอง ขอให้เข้าใจให้ดี ๆ ว่าที่เราพูดนี้พูดในภาษาธรรม ไม่ใช่พูดภาษาชาวบ้านที่เป็นภาษาที่มีความรู้สึกตามธรรมดาต่ำ ๆ เตี้ย ๆ เรารักตัวเองหรือเปล่า ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมดาก็รักตัวเองแน่ รักยิ่งกว่าสิ่งใดหมดแหละ แต่แล้วเราก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองนั้นน่ะสมกับที่เรารักหรือมันน่ารักเลย ที่ว่านับถือตัวเองเคารพตัวเองก็เหมือนกันยิ่งทำยากยิ่งกันไปอีก อย่าว่านับถือตัวเอง ทำไมจึงไปแต่งกายเหมือนนางเบ็ดในรูปภาพนั้นน่ะ ถ้ารักตัวเอง ทำไมไปอวดขา ถ้านับถือตัวเองแล้วทำไมจึงทำอย่างนั้น ความรู้สึกอย่างนี้มันต่ำเท่าไร ถ้าถือตามหลักทางธรรมะก็ถือว่านั่นมันเป็นโสเภณีทางวิญญาณ ไอ้คนที่อวดขาตัวเองนั่นน่ะโดยเฉพาะผู้หญิงเป็นโสเภณีทางวิญญาณ คือใช้ไอ้สิ่งเหล่านั้นยั่วยวนผู้อื่นเพื่อหาประโยชน์ เราจึงเขียนรูปเบ็ดพราวไปหมดเห็นไหม โสเภณีทางวิญญาณนั้นหมายความว่าโดยทางจิตใจเท่านั้น เพื่อจะตกเบ็ดเขา เพื่อจะหาประโยชน์จากเขาด้วยการใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องล่อ ในครั้งพุทธกาลในพระไตรปิฎกก็มีพูดถึงหญิงโสเภณีแต่กลายเป็นแต่งตัวสวยงามเรียบร้อยอย่างกับนางฟ้าและอยู่ในระดับสูงสุดที่ไม่มีใครดูหมิ่นดูถูก แล้วก็มีไม่กี่คน เขามีไว้สำหรับคนที่เป็นเศรษฐีเป็นพระราชา แล้วอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรียกว่ายังเป็นโสเภณีธรรมดา แต่ไม่มีอะไรมากเหมือน ๆ คนโสเภณีสมัยนี้ ทีนี้คนดี ๆ นี่แหละ ถ้าหมดความนับถือตัวเองแล้วมันก็จะเป็นโสเภณีทางวิญญาณ เอาสิ่งที่เป็นความไม่ถูกต้อง ไม่งดงาม ไม่สมประกอบนี่เป็นเครื่องล่อผู้อื่น เดี๋ยวนี้เราไปตามก้นไอ้พวกที่มีการศึกษาแบบนั้น หลอกลวงให้สตรีเพศนี่กลายเป็นโสเภณีทางวิญญาณไปเกือบจะหมดทั้งโลกแล้ว นี่เราพูดกันตรง ๆ ไม่เกรงใจกันแล้ว ก็ช่วยจำไปบอกต่อ ๆ กันไปด้วย เขาจะด่าอาตมาสักกี่โกฏิกี่ล้านก็ได้ ไม่กลัว เพราะว่าขืนทำตัวอย่างนางเบ็ดนั้นเราเรียกว่าโสเภณีทางวิญญาณ ยังไม่ได้ไป ไม่ได้ไปทำทางเนื้อทางหนังอะไรแต่ว่าเป็นโสเภณีทางวิญญาณ ฉะนั้นอย่าไปตามอย่างเขา ครูที่เป็นสตรีก็อย่าไปแสดงตัวอย่างนี้ ครูที่เป็นบุรุษก็อย่าไปชอบดู มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังที่สุดแล้ว แล้วว่านี้คือยอดของอุปสรรคหรือปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้มนุษย์เราหาความสงบสุขไม่ได้ อย่าตกเป็นเหยื่อของอวิชชาของความโง่ ก้มหัวลงไปรับเอาลัทธิอย่างนี้มาจะสูญเสียความเป็นคนไทย เป็นคนไทยต้องมีอิสระทั้งทางกายและทั้งทางจิต ไม่ให้กิเลสมันครอบงำย่ำยีมากถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องปรกติ เรียบร้อย ถูกต้อง สงบเยือกเย็น อย่าไปเป็นเหยื่อของกิเลสถึงขนาดนั้นเลย นี่รู้จักปัญหารู้จักอุปสรรคศัตรูของมนุษย์ไว้บ้างอย่างนี้
ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงไอ้สิ่งที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ คือ ตัวธรรมะหรือตัวศาสนา เมื่อพูดถึงศาสนาทั้งระบบทั้งหมดทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาแล้วเราก็ทำเป็นเพียงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็พอ ฟังให้ดี ๆ เมื่อพูดแต่เพียงว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้นแหละ มันจะหมดไม่มีอะไรเหลือที่เกี่ยวกับระบบของศาสนา ถ้าฟังไม่ดีหรือเท่าที่สอน ๆ กันอยู่โดยมากในโรงเรียนนั้นน่ะมันไม่หมด ไม่หมดจริงเหมือนกัน แต่ถ้าเรารู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้จริง ๆ แล้วมันจะหมด พูดกันถึงพระพุทธ พระพุทธะนี่ก่อน ก็แปลว่าผู้รู้ คือผู้สอน รู้แล้วสอนนี่คือพุทธะ แล้วธรรมะก็คือสิ่งที่รู้แล้วสอนนั่นเอง สิ่งที่ผู้รู้ได้รู้แล้วก็ได้สอนนั่นน่ะคือธรรมะ พระธรรม ทีนี้สังฆะ คือ พระสงฆ์ คือผู้ที่ฟังแล้วก็ปฏิบัติตาม เอาแต่หัวข้อใหญ่อย่างนี้ก่อน มีผู้รู้แล้วก็สอนผู้อื่นพวกหนึ่งเรียกว่าพระพุทธ สิ่งที่ท่านรู้และท่านสอนนั้นเรียกว่าพระธรรม แล้วพวกที่ได้ฟังแล้วปฏิบัติตามนี้เรียกว่าพระสงฆ์ เมื่อครั้งที่แล้วมายังได้พูดให้เห็นชัดด้วยซ้ำไปว่าทุกคนนี่แม้ที่นั่งอยู่ที่นี่ก็เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในตัวอยู่ในจิตใจ อย่างน้อยที่สุดก็องค์น้อย ๆ เพราะว่าเราก็รู้ธรรม เราก็มีธรรมอยู่ในเรา เราก็ปฏิบัติธรรมอยู่ในเนื้อในตัวของเรา ความเป็นพระพุทธ ความเป็นพระธรรม ความเป็นพระสงฆ์มีอยู่ในตัวของเราที่กายที่วาจาที่ใจของเรา อย่าไปมองที่อื่น ที่ไปมองกันที่อื่นนั้นยังไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงนี่ต้องมองในตัวเรา เรามีจิตใจแม้แต่บางโอกาสบางเวลาเราแจ่มแจ้ง เราสว่างไสว เราสดชื่นเบิกบานเพราะว่ารู้ธรรมะ ทีนี้ไอ้ธรรมะที่เรารู้นั้นคือพระธรรม และความที่เราปฏิบัติตามหรืออาการที่เราปฏิบัติตามพระธรรมอยู่นั่นน่ะ คือความเป็นพระสงฆ์ของเรา คำว่า พระสงฆ์ ในลักษณะอย่างนี้ในความหมายอย่างนี้เขาไม่ได้หมายถึงบรรพชิตที่นุ่งเหลืองโกนหัว แต่เขาหมายถึงผู้ปฏิบัติ หลักอย่างนี้มันมีอยู่ในพระคัมภีร์ในพระพุทธภาษิตด้วยเหมือนกัน พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ นี่คือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่แล้วผู้ที่เรียกว่าพระโสดาบันนั้นเป็นฆราวาสก็มีมากไม่น้อย พระสกิทากาคามีนั้นเป็นฆราวาสก็มี พระอนาคามีนี่อยู่บ้านอยู่ที่บ้านที่เรือนไม่ได้อยู่ที่วัด หรือยังอยู่ในรูปร่างฆราวาสนั้นก็มี คิดดูทีว่าคำว่าพระสงฆ์นั้นเป็นฆราวาสก็มี ขอให้มองเห็นว่ามันอยู่ในคนที่มีความรู้ความตื่นความเบิกบานแล้วปฏิบัติอยู่เพื่อความเป็นอย่างนั้น เอาล่ะนี่ใจความสำคัญของคำว่าพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ที่แท้จริงที่จะมีอยู่ในตัวเราได้
แต่เดี๋ยวนี้เราอยากจะพูดให้หมด จ้องมองกันให้หมดก็จะพูดไปตามแบบฉบับ คำว่า พุทธะ หรือพระพุทธเจ้า หรือพุทธบุคคลก็ตามนี่เขาแจกเป็น ๔ พวก ฟังไว้จำไว้บ้างก็ดี พุทธะแจกเป็น ๔ พวก คือ สัมมาสัมพุทธะนี้ได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ๆ แล้วก็ปัจเจกพุทธะนั้นผู้รู้เฉพาะตนก็เรียกว่าพระปัจเจกโฆษ ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะคือไม่ ไม่ได้รู้รอบมากมายเหมือนพระสัมมาสัมพุทธะ แล้วก็ไม่เทศน์สอนใครด้วย ได้ยินว่าอย่างนั้น ทีนี้ถัดไปอีกก็เรียกว่าอนุพุทธะ นี่คือผู้ที่รู้ตาม ได้ฟังแล้วรู้ตาม ตามพระพุทธเจ้านี้ก็เรียกว่าอนุพุทธะ พุทธะน้อย ๆ คือพุทธะตามหลัง ทีนี้อันสุดท้ายเรียกว่าสุตพุทธะ คือ รู้เพราะการศึกษาเล่าเรียนได้ยินได้ฟัง นี่เราก็มีโอกาสเป็นสุตพุทธะได้ทุกเมื่อ ถ้าเราเรียนรู้ธรรมะได้ยินได้ฟังธรรมะเพียงพอแล้วเราจะได้ชื่อว่าสุตพุทธะ คือเป็นพุทธะบุคคลประเภทที่ ๔ นี้ได้ด้วยกันทุกคน
ทีนี้ได้กล่าวมาข้างต้นว่าพุทธะ คือ ผู้ที่รู้แล้วสอน นี้ดูให้เห็นชัดกันเลยว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านรู้แล้วท่านสอน สอน คำสอนของท่านรวบรวมได้เป็นพระไตรปิฎกอย่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่ นี่ก็เรียกว่าท่านรู้แล้วสอน ส่วนพระปัจเจกพุทธะนั้นท่านก็รู้จนสิ้นกิเลสเหมือนพระพุทธเจ้าน่ะ แต่ไม่เก่งในทางที่จะพูดจะสอน เพราะฉะนั้นท่านต้องสอนด้วยการทำให้ดู ไม่พูดด้วยปากเลยสักคำเดียว แต่ว่าเป็นอยู่อย่างถูกต้องให้ดู ท่านเลยสอนโดยไม่ต้องอ้าปากพูดแม้แต่สักคำเดียว นี้กลับวิเศษไปอีกทางหนึ่ง มีคนชอบพระปัจเจกพุทธะมาก แล้วท่านไม่พูดมาก ท่านทำให้ดูแล้วเราก็เอาอย่าง การทำให้ดูนี้มีน้ำหนักมากกว่าการพูดด้วยปาก ทีนี้ถัดไปก็อนุพุทธะสาวกทั้งหลายท่านก็สอนได้ รู้แล้วสอนได้ สุตพุทธะเหมือนพวกครูทั้งหลายนี้นี่ศึกษาเล่าเรียนแล้วก็รู้ รู้แล้วก็สอนได้เห็นไหม ฉะนั้นถ้ารู้แล้วมันก็สอนได้ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ทีนี้เรื่องราวเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า อนุพุทธเจ้า สุตพุทธะมีมากเอาพูดไม่ไหวหรอก กี่วัน ๆ ก็พูดได้ เอาแต่หัวข้ออย่างนี้ว่าพุทธะบุคคลมีอยู่ ๔ พวกอย่างนี้
ทีนี้ก็มาถึงพระธรรม คำว่า พระธรรม นะถ้าอยู่ในรูปของคำสอนหรือตัวหนังสืออย่างนี้เขาเรียกว่าปริยัติธรรม จำคำว่าปริยัติธรรมไว้ คือ พระธรรมที่อยู่ในรูปของคำพูดหรือตัวหนังสือที่พิมพ์อยู่ในเล่มในใบลานอะไรก็ตามนี่เขาเรียก หรือกระทั่งการศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนก็ตามนี้เรียกว่า ปริยัติธรรม ถ้าพระธรรมนั้นมันไปอยู่ในรูปของการปฏิบัติ อยู่ที่กายวาจาใจกำลังพยายามอยู่อย่างนี้เขาเรียกว่า ปฏิปัติธรรม ที่หนึ่งเรียกว่าปริยัติธรรม ที่สองเรียกว่าปฏิปัติธรรม ทีนี้ถ้าว่าพระธรรมนั้นมันอยู่ในรูปของการได้ประสบความสำเร็จเป็นผลการปฏิบัติแล้ว มีผลอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ พระธรรมที่อยู่ในรูปแห่งผลของการปฏิบัตินี้เขาเรียกว่าปฏิเวธธรรม ไอ้ ธะ ตัวนี้ ธ ธง ผู้ที่จะเป็นครูจำไว้ให้ดี ปริยัติธรรม ปฏิปัติธรรม ปฏิเวธธรรม ๓ คำนี้หมดเลยไม่ยกเว้นอะไร ไม่มีอะไรเหลือในบรรดาสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม
ปริยัติธรรมก็เหมือนหลักวิชาหรือทฤษฎี ทีนี้ปฏิปัติธรรมก็คือตัวการปฏิบัติหรือภาคปฏิบัติ ส่วนปฏิเวธธรรมนั้นคือผลของมัน ปริยัติธรรมนี้ท่านพูดว่ามีตั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์น่ะ ๘๔,๐๐๐ หัวข้อหรือประเด็น แจกเป็นพระวินัย พระสูตร พระปรมัตถ์ ที่เรียกว่าพระไตรปิฎก แล้วยังมีอรรถกถาคำอธิบายอีกเยอะแยะไปหมด นี้เรียกว่าปริยัติธรรมทั้งนั้น ทีนี้พอมาถึงปฏิปัติธรรม คือการปฏิบัติแล้วเขาแจกเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ศีล คือ การปฏิบัติอยู่ที่กายวาจา สมาธิ คือ ปฏิบัติอยู่ที่จิต ปัญญา คือ ปฏิบัติอยู่ที่ทิฐิ ความคิด ความเห็น ความเข้าใจต่าง ๆ ถ้าเรามีศีล กายวาจาของเราสงบระงับไม่มีโทษ ถ้าเรามีสมาธิ ใจคอของเราสงบระงับเยือกเย็น ถ้าเรามีปัญญา เรารู้แจ้งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริงเป็นแสงสว่าง นี่ก็เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันเข้าแล้วเรียกว่าปฏิบัติ การปฏิบัตินี้เรียกว่าปฏิปัติธรรม ปฏิปัติธรรมเป็นภาษาบาลี ทีนี้คำที่สามที่เรียกว่าปฏิเวธธรรม ถ้าแจกออกไปก็เป็นมรรคผลและนิพพาน มรรค คือ ญาณที่ได้เกิดขึ้นทำลายกิเลส นี้เมื่อปฏิบัติสำเร็จแล้วจะเกิดญาณขึ้นทำลายกิเลสนี้เรียกว่า มรรค พอทำลายกิเลสเสร็จแล้วก็ประสบความสุข ความสงบสุขนี้เรียกว่า ผล ทีนี้เล็งถึงข้อที่ว่ามันเย็นไม่มีร้อนนี่เรียกว่า นิพพาน คำว่า นิพพาน นั้นถ้าจะเข้าใจให้ง่าย ๆ แล้วก็ให้รู้แต่ว่ามันแปลว่าเย็น กิเลสเป็นของร้อน ว่างจากกิเลส คือ ความเย็นแล้วก็เป็นนิพพาน
ตรงนี้จะขอถือโอกาสแทรกพูดสักหน่อย เดี๋ยวจะลืมว่า ทุกคนทราบไว้ด้วยว่าไอ้บทไอ้คำบัญญัติทางธรรมทางศาสนานี้เอามาจากคำธรรมดาของชาวบ้านทั้งนั้นเลย ถ้าเป็นคำชาวบ้านเขาก็รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ลำบากอะไร แต่พอคำชาวบ้านมาใช้เป็นคำบัญญัติเฉพาะที่เรียกว่า technical term นี่มันกลายเป็นคำที่เข้าใจยาก เช่นคำว่า เย็น ถ่านไฟเย็น หรือว่าข้าวต้มเย็น หรือว่าแกงกับเย็น นี้ก็คือนิพพานของวัตถุในภาษาชาวบ้านที่ในครัวนั่นแหละ เด็กคนหนึ่งจะร้องตะโกนเรียกเด็กอีกคนหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ข้าวต้มนิพพานแล้ว มาเร็ว กินได้ นั่นน่ะภาษาชาวบ้านเป็นอย่างนั้น ถึงได้พูดอยู่จริงในครั้งพุทธกาล แต่พอคำว่าเย็นนี่มาใช้ในภาษาศาสนาคือนิพพานมาเป็นภาษาศาสนานี่หมายถึงเย็นในใจ ใจที่ร้อนมันเย็นลงไปก็เรียกว่านิพพาน ทีแรกเขาคิดหลงไปว่าได้กามารมณ์ตามต้องการแล้วก็เย็นใจก็เป็นนิพพานอย่างนี้ กามารมณ์เคยถูกถือเป็นนิพพานกันอยู่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ต่อมาก็ถือว่าไม่ใช่โว้ย แล้วก็จิตที่สงบระงับเป็นฌานเป็นสมาบัตินี้ว่าเป็นนิพพาน ถือกันอย่างนี้อยู่พักหนึ่ง ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านเกิดขึ้นท่านว่าไม่ใช่โว้ย ท่าน ๆ ละจากศาสดาครูบาอาจารย์เหล่านั้นเสีย ท่านไปค้นของท่านมาเอง ก็ไปพบว่าสิ้นตัวกูของกู สิ้นกิเลสตัณหาอุปาทาน นั้นน่ะคือนิพพาน มันเย็นกว่าแล้วก็เย็นที่สุด แล้วก็ท่านพูดอย่างนี้ไม่มีใครค้านได้ ก็เลยไม่มีใครค้านมาจนบัดนี้ ก็เลยเป็นนิพพานจริงมาจนบัดนี้ ทีนี้ให้รู้ไว้ว่าไอ้คำพูดทางธรรมทางศาสนานี่สูงสุดนั้นเอาคำชาวบ้านมาใช้ทั้งนั้นแหละ ที่เห็นได้ง่าย ๆ เช่นคำว่า มรรค หรือมรรคา หรือมรรค ก็คือถนนหรือทางเดินนั่นแหละ มรรคาหรือมรรค พอมาเป็นภาษาธรรมนี่มันหมายถึง การปฏิบัติมีองค์ ๘ คือถูกต้องทุก ๆ อย่างใน ๘ อย่างแล้วเดินไปนิพพาน อะไร ๆ ก็ล้วนแต่เอาคำชาวบ้านมา แล้วเอามาในใช้ในทางศาสนาแล้วก็เลยเข้าใจยาก แต่ความหมายก็อันเดิม ฉะนั้นจึงไม่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้
กิเลสนี่เป็นชื่อของของสกปรกที่คนหนุ่มคนสาวเกลียดนัก ของสกปรกอะไรก็ตามนั่นน่ะเขาเรียกว่ากิเลส แต่พอมาเป็นคำทางศาสนาคำว่า กิเลส นั้นคือโลภะ โทสะ โมหะ นี่คือของสกปรกอย่างยิ่ง ทีนี้ว่าถ้ากิเลสที่เป็นความเคยชินสะสมเหมือนกับว่าดองไว้ในไหในโอ่งนี่เขาเรียกว่า อาสวะ ฉะนั้นอาสวะก็แปลว่า หนอง ฝี ก็ได้ เมื่อเรามี มีแผลเป็นฝีเป็นหนอง ไอ้หนองก็เรียกว่า อาสวะ ภาษาชาวบ้านเป็นอย่างนั้น แต่พอมันมาเป็นไอ้ ไอ้เรื่องทางธรรมทางศาสนาแล้วก็หมายถึงกิเลสที่เคยชินเป็นนิสัยอยู่ในจิต จิตใจของคนเรานั่น พูดกันกี่วันก็ไม่หมด ล้วนแต่แสดงว่าคำทางธรรมะนี้ไปเอาคำชาวบ้านมาให้ความหมายในชั้นลึกในชั้นภาษาธรรม นี่ขอเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างนี้แล้วจะไม่กลัว คนโดยมากกลัวว่านิพพานเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ อะไรเข้าใจไม่ได้ อะไรเข้าใจไม่ได้นั่นมันโง่เอง ก็ลองเข้าใจไปตั้งแต่ภาษาธรรมดาสิว่ามันเย็นแล้วมันก็ไม่ร้อน มันก็คือนิพพาน พระพุทธเจ้าเป็นดวงแก้ว พระธรรมเป็นดวงแก้ว พระสงฆ์เป็นดวงแก้ว แก้วในที่นี้ก็คือเพชร เราก็ชอบเพชรอย่างยิ่ง ชอบเพชรพลอยแก้วแหวนเพชรพลอยอย่างยิ่ง แต่แก้วแหวนเพชรพลอยอย่างธรรมดานั้นมันเท่านั้นเอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเพชรพลอยสูงสุด อย่างนี้เป็นต้น ก็เรียกว่าพระรัตนตรัย นี่ถือโอกาสพูดไว้เสียตรงนี้ว่าถ้าจะเข้าใจคำบัญญัติเฉพาะในทางธรรมแล้วให้นึกถึงไอ้รูปศัพท์นั้น ๆ ที่เป็นภาษาธรรมดาชาวบ้าน เช่นว่ามัคคะ แปลว่า หนทาง ก็ถนนนั่นแหละ มันเป็นทาง เดินไปไหน ก็เดินไปนิพพานนั่นแหละ นิพพานก็เดินจากร้อนไปหาเย็น นี่เป็นอย่างนี้ เข้าใจได้ง่ายแล้วไม่ต้องกลัวว่าไอ้ธรรมะนี่มันลึกล้ำเข้าใจยาก ศึกษาไม่ไหว
นี่ทบทวนอีกทีว่าปริยัติธรรม คือ คำสอนคำพูดหรือการศึกษาเล่าเรียน ปฏิปัติธรรม คือ การปฏิบัติอยู่ที่กายวาจาใจ เป็นศีลสมาธิปัญญา ปฏิเวธธรรม คือ ผลที่ได้รับเป็นมรรคผลและนิพพาน ทั้งหมดนี้เรียกว่าพระธรรม คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านรู้แล้วท่านนำมาสอน
ทีนี้พระสงฆ์ คือ หมู่แห่งบุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นฆราวาสก็ได้ เป็นพระที่วัดก็ได้ อยู่บ้านก็ได้ อยู่วัดก็ได้ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้วก็เรียกว่าพระสงฆ์ทั้งนั้น ทีนี้พระสงฆ์ก็แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ส่วนที่ยังกำลังปฏิบัติอยู่ ยังไม่ได้รับผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนี้ก็มีก็เรียกว่าพระสงฆ์เหมือนกัน แล้วพระสงฆ์ที่ปฏิบัติสำเร็จมรรคผลนี่ก็เรียกว่าพระสงฆ์เหมือนกัน แต่อย่าไปดูถูกพระสงฆ์นั่นพระสงฆ์นี่ ให้ถือเสียว่าถ้าเมื่อกำลังพยายามปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่แล้วก็เรียกว่าพระสงฆ์ก็แล้วกัน ฉะนั้นพวกคุณนี่ก็อาจจะเป็นพระสงฆ์ได้ เพราะพยายามปฏิบัติให้ถูกตามสามารถของตนในเรื่องทางธรรมทางศาสนา คือศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติอยู่ด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น ด้วยกำลังกายกำลังความเพียรทั้งหมดทั้งสิ้นก็เรียกว่าพระสงฆ์ได้เหมือนกัน แต่ที่เขาเรียกกันว่าพระอริยสงฆ์นั้นคือปฏิบัติสำเร็จ เป็น ๔ พวก โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์ ในขณะที่เกิดญาณเรียกว่ามรรค ในขณะที่ได้ผลเป็นที่สุดก็เรียกว่าผล ฉะนั้นจึงมีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล ๔ คู่ ๘ พระองค์ นี่ถ้าเราสวดมนต์เย็นเราก็ต้องสวดบทนี้ อิติปิโส ภควา พอถึง สุปฏิปันโน ภควโต ก็จะมีคำว่า ๔ คู่ ๘ พระองค์ จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะปุริสะปุคคะลา นักเรียนก็สวดอยู่ นั่นน่ะคืออริยสงฆ์ ๔ ๔ คู่ ก็นับได้ ๘ องค์ ถ้าว่ายังไม่ใช่พระอริยสงฆ์ ก็คือผู้ที่กำลังปฏิบัติอยู่ด้วยความพยายามอย่างยิ่ง นี่คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ก็เป็นอันว่าความทุกข์มีอยู่ในบุคคล แล้วบุคคลก็พยายามกำจัดความทุกข์นั้นเสีย ด้วยความรู้ ด้วยการปฏิบัติ รู้แล้วก็สอนผู้อื่นให้พลอยรู้ด้วย นี่มันหมดเท่านี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่แล้วเราไปแจกรายละเอียด มีศีลเท่านั้นข้อเท่านี้ข้อ สมาธิมันมีเท่านั้นอย่างเท่านี้อย่าง ปัญญาญาณอะไรมันก็มากมาย อย่างนี้พูดกันไม่ไหวหรอก มัน ๘๔,๐๐๐ ข้อ แต่เมื่อรวมแล้วมันก็เหลือเป็นเพียงเท่านี้ คือผู้รู้แล้วสอน แล้วสิ่งที่ท่านรู้และท่านสอน แล้วผู้ที่ได้ยินแล้วก็ปฏิบัติตาม นี่คือสังคมพุทธบริษัทเป็นอยู่กันอย่างนี้ที่อยากจะชี้ให้ชัดกันไปอีกนิดหนึ่งเท่าที่เวลามันยังเหลืออยู่นี่
การปฏิบัตินั่นมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำให้รู้แจ้งหรือเข้าใจกันเสียก่อน มันต้องเริ่มด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องก่อน เช่นว่าการที่บุคคลจะมาสนใจในธรรมะในศาสนานี่ก็เพราะว่ามีปัญญาชั้นแรก ปัญญาชั้นเริ่มต้นว่านี้มันต้องถูกแน่ มันต้องดีแน่ จึงมาสนใจ จนกระทั่งมีความรู้มีความเข้าใจเพราะการศึกษาเล่าเรียนมันจึงจะเกิดการปฏิบัติ ฉะนั้นเราจะต้องมีความรู้ความเห็นแจ้งนี่ก่อน ในเรื่องของความทุกข์ ในเรื่องของกิเลส ในเรื่องของความประมาท อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แล้วเราจึงลงมือบังคับกิเลส ทำลายกิเลส ถ้าพูดให้สั้น ๆ ก็บังคับตัวเอง เพราะตัวเองในที่นี้หมายถึงกิเลสหรือการที่จะทำไปตามอำนาจของกิเลส ตัวตน ตัวตนของบุคคลตามธรรมดาสามัญนั้นคือการทำไปตามอำนาจของกิเลส ไอ้กิเลสนั้นเองเป็นเหตุให้โง่ให้หลงคิดขึ้นไปว่าตัวตน ทั้งที่แท้มันไม่ใช่ตัวตน นี่จะพูดกันวันหลังว่าไม่มีตัวตนแต่ทำไมเกิดความรู้สึกว่าตัวตนขึ้นมาในใจได้ ทีนี้เราก็จะต้องมีการบังคับไอ้ตัวตนนี้ คือกิเลสนี้ อย่าให้มันแสดงบทบาทได้ ถ้ามันอยู่ในร่องรอยของศีลหรือของสมาธิ บังคับให้อยู่ในความถูกต้องเรื่อยไป มันก็จะทำให้ไอ้กิเลสนั้นมันร่อยหรอไป ๆ จนหมดกิเลส ในที่สุดก็จะใช้คำภาษาการเมืองสมัยนี้ก็ได้ว่า มันเป็นการปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกจำขังมานมนานนั้นน่ะให้มันหลุดไปได้ เพื่อวิญญาณของเราถูกจำขังอยู่ในความโง่ ความหลง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน มัน ๆ สูญเสียอิสรภาพจึงเกิดการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพ ให้มีอิสรภาพ มีศีล สมาธิ ปัญญา มันกลมเกลียวกัน ระดมกันทำงานทำหน้าที่มันจึงเกิดการปลดปล่อย ในภาษาบาลีเขาเรียกว่า วิมุต ความหลุดพ้นก็มี เรียกว่า วิโมกข์ คือ ความผ่องแผ้วก็มี ความผ่องแผ้วเกลี้ยงเกลาก็คือความหลุดพ้นออกไปจากสิ่งผูกมัดรัดตรึง นี่ใจความของการปฏิบัติ มันทำให้รู้และเข้าใจ แล้วก็บังคับให้อยู่ในความถูกต้อง แล้วไม่เท่าไรมันจะหลุดร่อนออกไป มีความหลุดพ้น นี้อุบายหรือระบบการแก้ปัญหา วิธีการแก้ปัญหาหรืออุปสรรคของสิ่งที่เราเรียกกันว่าชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรค
ทีนี้เราจะพูดให้มันง่ายขึ้นมาอีกให้เป็นคำธรรมดาสามัญที่สุด คอยฟังให้ดี ว่าตามปกติ ตามปกติที่เรามีชีวิตอยู่วันหนึ่ง ๆ จะปฏิบัตินั้นจะต้องมีปัญญา คือ ความรู้ที่แท้จริงที่ถูกต้อง ก็ต้องมีปัญญา เราต้องศึกษาให้เกิดปัญญา แล้วเราจะต้องมีสติ สตินั้นน่ะ คือ ความที่ปัญญาวิ่งมาช่วยเราทันที เรามีปัญญาแล้วไม่มีสติ อย่างนี้จะเป็นหมัน มันระลึกไม่ได้ ไอ้ความรู้ทั้งหลายมันจมอยู่ก้นบึ้ง มันไม่ขึ้นมา เหมือนเราเรียน เรียนมากจำไว้ได้มากนี่ พอถึงคราวสอบไล่นึกไม่ออก นี้มันมีปัญญาแล้วมันไม่มีสติ มันระลึกไม่ได้ มันก็ต้องมีปัญญาหรือความรอบรู้ไว้เป็นคลังใหญ่แล้วก็ต้องมีสติคือความระลึกได้ ให้ปัญญานั้นวิ่งมาทำหน้าที่ให้ตรงตามเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเป็นเรื่อง ๆ ๆ ๆ ไป ปัญญามีหลายรูปหลายเรื่อง แล้วสติเป็นสิ่งที่นำมาเหมือนกับว่าสายไฟฟ้าให้มันวิ่งมา แล้วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้
ทีนี้ถ้าว่ามันไม่ค่อยจะเป็นอย่างนั้นคือมันไม่ค่อยจะนำมา เพราะว่าเรามันเหลวไหล เราจะต้องมีหิริและโอตตัปปะ จำคำว่าหิริและโอตตัปปะไว้ หิริ แปลว่า ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ แปลว่า ความกลัวต่อบาปกรรมหรือความชั่ว ถ้าอยู่กันได้เพียงเท่านี้ก็พอแล้วในชีวิตประจำวัน มีความรู้ที่สะสมไว้ให้เพียงพอ ความรู้ทางโลกก็มี ความรู้ทางธรรมทางศาสนาก็มี แต่แล้วต้องมีสติด้วยจึงจะขนเอาความรู้นั้นมาช่วยได้ทันเหตุการณ์ แล้วเพื่อไม่ให้เหลวไหลก็ต้องมีหิริและโอตตัปปะ ขอให้เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวัน ๆ ๆ เป็นอยู่ด้วยปัญญา เป็นอยู่ด้วยสติ เป็นอยู่ด้วยหิริและโอตตัปปะ เมื่อมีความละอายและกลัวบาปกรรม กลัวบาป กลัวความชั่ว กลัวความทุกข์อยู่ แล้วมันไม่เหลวไหล มันจะขยันขันแข็งในการที่จะมีปัญญาและมีสติ เราอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยหิริและโอตตัปปะ นี้เรียกว่าเป็นอยู่อย่างถูกต้อง ถ้าเป็นอยู่อย่างถูกต้องอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ท่านตรัสไว้สั้น ๆ นิดเดียวอย่างไม่น่าเชื่อว่าอยู่ให้ดี ๆ อยู่ให้ถูกต้องแล้วโลกก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ไอ้อยู่ดี ๆ อยู่ถูกต้องเท่านั้นมันมีความหมายลึกซึ้ง คือมันเป็นอยู่อย่างที่กิเลสไม่ได้กินอาหาร ความชั่วที่เราทำเป็นทำจนเคยชินเป็นนิสัยสันดานนั้นน่ะเขาเรียกว่ากิเลส ทีนี้เราอยู่อย่างถูกต้อง กิเลสนั้นไม่มีโอกาสที่จะได้กินอาหาร และสิ่งที่ไม่ได้กินอาหารนั้นเป็นยังไงบ้าง มันก็พอจะทายได้ว่ามันต้องตาย มันเหี่ยวแห้งลงแล้วต้องตาย กิเลสชั้นละเอียดชั้นอาสวะ คือ ความเคยชินเป็นนิสัยที่จะทำผิดทำชั่ว ทีนี้มันปิดโอกาสไม่ให้ได้ทำผิดทำชั่วเลย มันก็ขาดอาหารที่จะไปหล่อเลี้ยงมันไว้ มันค่อยจางไป ๆ ๆ จนนิสัยเปลี่ยน อย่างนี้เรียกว่าเป็นอยู่อย่างถูกต้อง แล้วก็จะไม่ โลกนี้ก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ เหมือนเราล้อมไว้ มีเสือ มีสัตว์ร้าย มีโจร มีอะไรก็ตาม เราล้อมไว้เป็นไม่ให้มันออกไป มันไม่ได้กินอาหาร มันก็ตายเอง ไม่ต้องไปฆ่ามันให้เหนื่อย ให้เหนื่อย ให้เมื่อยมือ คือล้อมไว้ไม่ให้มันกินอาหาร มันก็ต้องตายเอง ต้องขอให้ทุกคนเป็นอยู่ มีชีวิตเป็นอยู่วันหนึ่ง ๆ ในลักษณะที่กิเลสไม่ได้กินอาหาร คืออย่าไปทำชั่วทำผิดทำอะไรเหลวไหลให้ ๆ กิเลสมันได้กินอาหาร เราอยู่อย่างที่กิเลสไม่ได้กินอาหาร ไม่เท่าไรมันก็ค่อยร่อยหรอไป ๆ จนหมดสิ้น นี้เรียกว่าหลักของการเป็นอยู่ทั่วไป เป็นการแก้อุปสรรคปัญหาอย่างทั่วไปอยู่ในตัวมันเองโดยอัตโนมัติมันเป็นอย่างนี้ ขอให้ผู้ที่จะเป็นครูรู้ไว้ว่า ระบบของการที่จะตัดปัญหาแก้ปัญหาชะล้างไอ้ปัญหามันอยู่อย่างนี้
เอ้า, ทีนี้มันมีอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่มีอารมณ์แรง ร้ายแรงเกิดขึ้นกะทันหัน ถ้าว่ามีใครมาด่าเราหรือว่ามีอะไรมายั่วกิเลสเรา ให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง เอาอันที่ว่ามีใครมาด่าเราดีกว่า นี้เรียกว่าอารมณ์ร้ายเข้ามาปะทะเฉพาะหน้าเราจะปฏิบัติอย่างไร เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ถ้าตามหลักของพุทธศาสนาก็ไม่พ้นจากสติ ไม่มีอะไรที่จะ ๆ นอกไปจากสติ ไอ้สตินี้เป็น เป็นยาสารพันโรค แก้โรคได้สารพัดโรค มันก็ต้องมีสติ ใครมาด่าเรานี่ ถ้าเราไปโมโหไปโกรธเราก็ไม่มีสติ ฉะนั้นเราต้องถือไอ้อุบาย อุบายหรือวิธีที่มันเป็นอุบายที่ให้มีสติเอาไว้ ฉะนั้นเขาจึงสอนว่าอย่าไปรับอารมณ์นั้นเข้า ให้คุมสติ ถ้าภาษาชาวบ้านก็เรียกว่านับสิบเสียก่อน ถ้าจะโลภหรือจะโกรธหรือจะหลงอะไรขึ้นมาตามไอ้สิ่งที่มันมายั่วเฉพาะหน้าแล้ว เราทำเหมือนกับยอมแพ้ หลับตานับหนึ่งถึงสิบเสียก่อน นี้ไม่ใช่อะไร เป็นการรวบรวมสติ เป็นรวมรวบการรวบรวมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้มันมีมาเสียก่อน ก็แปลว่าเราตั้งตัวได้ ตั้งสติได้ ไม่ล้มลุกคลุกคลาน จึงค่อยวินิจฉัยไปว่าเราจะทำอย่างไร ถ้าเมื่อเราทำได้อย่างนี้เราอาจจะหัวเราะเยาะเขาก็ได้ที่เขามาด่าเรา ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้เราก็ต้องด่าตอบเขาแน่ ๆ แล้วเรื่องมันก็จะเกิด แล้วมันก็จะมีความทุกข์ด้วยกันทุกฝ่าย นับสิบก่อนนี่เป็นการให้โอกาสแก่สติหรือทำสติขึ้นมาก็มีสติสัมปชัญญะ
อย่างที่ว่าน่ะ สติมันไปขนเอาปัญญามา ปัญญาที่เราเคยมีอยู่แต่ก่อน ศึกษาไว้แต่ก่อนว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะต้องแก้ไขอย่างไรนี่ สติมันไปขนเอาปัญญานั้นมา แล้วก็รู้สึกตัวก็คือสัมปชัญญะอยู่อย่างนี้ สัมปชัญญะนั้นก็เป็นตัวปัญญา สติไปขนเอาปัญญามา ก็ใช้ปัญญานั้นแก้ปัญหาที่ว่าเขามาด่าเรา เราควรจะทำอย่างไร ต้องใช้ปัญญาแก้ปัญหา สติเป็นผู้ไปขนเอาปัญญาวิ่งมา ก็ใช้ปัญญานั้นเป็นอาวุธแก้ปัญหา จำไว้ว่า อย่าใช้กิเลสแก้ปัญหา ประโยคที่สำคัญที่สุด ว่าทุกคนอย่าใช้กิเลสแก้ปัญหา มันจะหนักกว่าเดิม มันจะร้ายลงไปกว่าเดิม ให้ใช้โพธิหรือสติปัญญานั้นน่ะแก้ปัญหา นี้เราพูดอย่างที่ว่ามันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า เราอยู่ในโลกนี้มันก็มีปัญหาเฉพาะหน้าอย่างนี้ เดี๋ยวอะไรเกิดขึ้นสำหรับให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง เดี๋ยวก็ศัตรูคู่อาฆาตเขามาทำอันตรายเรา แม้แต่เพียงเห็นหน้ากันเท่านั้นมันก็หาความสุขไม่ได้แล้ว นี่อุบายที่ ๒ สำหรับแก้ปัญหากะทันหันเฉพาะหน้า อุบายที่ ๑ ก็อยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่อย่างถูกต้อง อุบายที่ ๒ แก้ปัญหาที่มันผลุนผลันเข้ามาเฉพาะหน้า
ทีนี้อุบายที่ ๓ จะใช้คำว่าเราสามารถแก้สิ่งร้ายให้กลายเป็นดี มันมาในลักษณะร้ายแต่เราเปลี่ยนให้มันเป็นดี คำ ๆ นี้มันมีความหมายเฉพาะของมันแหละ คือ จะเปลี่ยนไอ้ที่ไม่มีประโยชน์ให้เป็นมีประโยชน์ ที่ร้ายกลายเป็นดี ไปค้น ค้นปทานุกรมดูเอาเองภาษาอังกฤษใช้คำว่า sublimate ไอ้ sublimate นั่นน่ะมันมีความหมายอย่างไรแล้วก็เอามาใช้กันที่ตรงนี้ คำด่ามาจะกลายเป็นคำว่าให้พรไปก็ได้ ถ้าเรารู้จัก sublimate คือว่าสิ่งที่เขามาให้ ให้มาในลักษณะที่เป็นโทษน่ะ เรามาทำให้เป็นคุณไปก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็ความหมายสูงไปกว่านั้น ว่าไอ้สิ่งที่น่าเกลียดน่าชังมาทำอันตรายเรานี่ เราใช้วิชาความรู้ของพระพุทธเจ้าปะทะมันไว้ มันจะกลายเป็นดี เช่น ความเจ็บไข้มาถึงนี่เราจะนั่งร้องไห้อยู่ทำไม เราก็พิจารณาว่ามันมาสอนให้เราฉลาด ให้เราเข้มแข็ง ให้เราสามารถ ให้เรารู้จักความจริงว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้ โลกนี้มันเป็นอย่างนี้ เราไม่กลัวความเจ็บความไข้ กลายเป็นไอ้ความเจ็บความไข้นั้นมาสอนให้เราเก่งขึ้นให้เราฉลาดขึ้น เราต่อสู้ด้วยจิตใจอย่างนี้มันจะหายไปโดยง่าย บางทีไม่ต้องกินยาก็ได้
เราจะพูดกันเป็นคำกลอนดีกว่าเพราะว่าจำง่ายดีว่า ดูให้ดี แล้วก็มีแต่ได้ ไม่มีเสีย นี้เป็นคำกลอนบาทเดียว ดูให้ดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย เราจะเป็นบุคคลประหลาดที่สุดที่อยู่ในโลกนี้ คือไม่มีอะไรเสีย มีแต่ได้ เอาสิ สมมุติว่าเงินหายไปร้อยบาท คนอื่นเขาเป็นทุกข์เดือดร้อน เราเงินหายไปร้อยบาทกลายเป็นไม่เป็นทุกข์ ไม่เดือดร้อนแต่ฉลาดขึ้นกว่าเดิม รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาดีขึ้นกว่าเดิม แล้วก็รู้จักฉลาดในการที่จะต่อไปนี้จะไม่หายอีกต่อไป เพราะมันมาสอนให้เราฉลาด นี่ไอ้สิ่งเหล่านี้มันมีค่ามากเกินกว่าเงินร้อยบาท เพราะนั้นเราไม่ได้ขาดทุนอะไร เราได้กำไร เพราะเงินหายไปร้อยบาทแต่เรามีความฉลาดเกิดขึ้นพันบาท เราจะ ๆ เสียอะไร ดูให้ดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย แม้ที่สุดแต่ว่าของรักมันตายไปตามธรรมชาติ สัตว์สังขารบุคคลอันเป็นที่รักมันตายไปตามธรรมชาติ เขาก็ร้องไห้กันโฮ ๆ เสียลูกเสียเมียเสียผัว เราไม่มีอย่างนั้น เราดูให้ดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย มันทำให้เราฉลาดขึ้นไปกว่านั้น ฉลาดขึ้นไปกว่าเดิม อย่าไปมัวร้องไห้ มันจะโง่ แล้วมันจะเสียมากขึ้นไปอีก เงินหายแล้วยังเสียน้ำตาอีก มันโง่ เพราะฉะนั้นถ้าเงินหายไปร้อยบาทก็ต้องได้ความฉลาดพันบาทอย่างนี้เป็นต้น ถ้าคนที่เรารักตายไปคนหนึ่ง เราต้องได้ความเฉลียวฉลาดในทางธรรมะสูงขึ้นไปถึงมรรคผลนิพพานทีเดียว ดูให้ดี มีแต่ได้ ไม่มีเสีย ไอ้ความดีที่มันอยู่ในความทุกข์หรือในความน่าเกลียดน่ะ เขาเปรียบกันมาแต่โบราณเรียกว่ามันมีเพชรอยู่ในหัวคางคก คางคกเป็นสัตว์ที่น่าเกลียดน่าชังที่สุด แต่ถ้าค้นให้ดีมีเพชรอยู่ในหัวคางคก ก็หมายความว่าในสิ่งที่เราเกลียดกันนักหนา กลัวกันนักหนา เดือดร้อนกันนักหนานี่ ในนั้นจะมีของดีชนิดที่เป็นเพชรที่เราจะควักออกมาให้ได้ คนโบราณเขาก็พูดไว้ดีแล้วว่าความผิดก็เป็นครูความถูกก็เป็นครู นี้ทุกคนเคยทำผิดทำถูกมาแล้วใช่ไหม ก็คิดสิดูว่าในความผิดกับความถูกสองอย่างนี้ อันไหนเป็นครูมากกว่า ไอ้ความถูกนั้นมันทำให้เราเหลิงเจิงลิงโลดลืมตัว ความถูกไม่ค่อยเป็นครูหรอก เป็นบ้างเหมือนกันแหละแต่น้อย ไอ้ความผิดนั้นน่ะมันเป็นครู เพราะมันเจ็บปวด เพราะมันทำให้เข็ดหลาบ ไอ้ความทุกข์น่ะมันสอนดีกว่าความสุข ความสุขทำให้เหลวไหลลิงโลดโลเลไปก็ได้ แต่ความทุกข์นี้มันทำให้ต้องคิด ต้องนึก ต้องต่อสู้ ฉะนั้นความทุกข์หรือความที่เรียกกันว่าไม่ดีน่ะมันสอนมากกว่าไอ้ที่เรียกว่าดี ถ้าเราไปติดคุกติดตะรางหรือลงนรก เราก็ต้องคิดมากคิดหาความดีความถูกมาก ถ้าเราไปสวรรค์เราก็ลืมไปเลย เราสนุกไปเลยจนไม่ค่อยได้คิดอะไร แล้วถ้ายอมให้ว่าความผิดก็เป็นครู ความถูกก็เป็นครู ความผิดก็เป็นครู อย่าให้อะไรที่มันไม่เป็นครู ฉะนั้นในชีวิตประจำวันในวันหนึ่ง ๆ ก็มีแต่ครูทั้งนั้น ทำถ้วยแก้วแตกใบหนึ่งมันก็เป็นครู หรือเราทำน้ำร้อนลวกมือทีหนึ่งมันก็เป็นครู อะไรมันก็เป็นครูไปหมด เราก็ดีขึ้นทุกที ถ้าเราสามารถจัดหรือทำหรือต้อนรับไอ้ทุกสิ่งให้ที่มันเขาเรียกกันว่าร้าย ๆ นั่นน่ะให้มันกลายเป็นดีไปได้ นี่อุบายที่จะแก้ปัญหา แก้อุปสรรคให้เป็นบุคคลที่ไม่มีปัญหาไม่มีอุปสรรคในที่สุด แม้แต่ความพ่ายแพ้ เรากลับทำให้เป็นการได้ฉลาดขึ้นมา แม้แต่ความวิบัติน้ำท่วมไฟไหม้อะไรก็ตามอย่าไปร้องไห้ป่วยการ บ้านเรือนเราถูกไฟไหม้หรือว่าถูกน้ำท่วมพัดพาไปหมด เราอย่าไปเสียใจให้ป่วยการ เรารีบ ๆ พิจารณาให้รู้ความจริงของสิ่งที่มันมีอยู่ในโลกในจักรวาลในธรรมชาติเหล่านี้ เราได้ความฉลาด เราก็ได้ความ ได้สิ่งที่มีค่ามากกว่าบ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้หรือว่าที่ไอ้ถูกน้ำพัดพาไปเสียอีก เอาสิคุณจะทำอย่างไร สมมุติว่าเรือนไฟไหม้นี่จะไปนั่งร้องไห้ให้มันกลับมานั้นเหรอ มันก็เป็นไปไม่ได้ เขาก็ไม่ร้องไห้ แล้วก็ใช้อันนี้เป็นประโยชน์สำหรับการอบรมจิตใจให้มันสูงขึ้นไป ได้ธรรมะที่มีราคามากกว่าเรือนที่ถูกไฟไหม้เสียอีก อย่างนี้เราเรียกว่าทำสิ่งที่ร้ายให้กลายเป็นดี ไอ้สิ่งที่เขาเรียกกันว่าความทุกข์น่ะ เราทำให้มันเป็นความสุขได้ เราหาความสุขพบในความทุกข์นั่นเอง
ที่ตรงโน้นมีสัญลักษณ์ของความจริงข้อนี้คือ สระมะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นมะพร้าวนั้นหมายถึงนิพพาน สระนั้นหมายถึงวัฏฏะสงสารหรือความทุกข์ ที่ความทุกข์เราจะหาพบความดับทุกข์ อย่าเห็นเป็นพูดเล่น อย่าฟังว่าพูดเล่นนะ ที่ไฟเราจะหาพบความดับไฟ ถ้าไม่มีไฟแล้วจะดับอะไร เราอยากจะได้ความดับไฟ เราต้องไปดับที่ไฟ ถ้าเราอยากจะได้ความดับทุกข์ เราก็ต้องไปดับที่ความทุกข์ ฉะนั้นเราจะต้องต้อนรับไอ้ความทุกข์นี่ให้ถูกต้อง ให้มันกลายเป็นความดับทุกข์ เราก็ได้รับความสุขจากความทุกข์นั่นเอง นี่ผู้มีปัญญาท่านทำกันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนอย่างนี้ เป็นผู้ที่มีปัญญาเป็นผู้ชนะไปหมดทุกกรณี ไม่มีพ่ายแพ้ ไม่มีอะไรมาทำให้เป็นทุกข์ได้ เพราะสามารถ sublimate สิ่งที่มาในรูปนี้ให้เปลี่ยนกลายเป็นไอ้รูปอื่นที่มีประโยชน์ ที่เห็นได้ง่ายที่สุดเดี๋ยวนี้อย่างที่น้ำ น้ำในแม่น้ำมันเป็นอันตราย ท่วมให้คนตายบ้านเมืองฉิบหายก็ได้ แต่เขาใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ทำเขื่อนชลประทานหรือว่าทำกังหันไฟฟ้า ทำกำเนิดไฟฟ้าเอามาใช้เสีย มันก็ไม่มี ไม่มีโทษ กลายเป็นมีประโยชน์ ถ้าทำไม่ถูก มันกลายเป็นท่วมบ้านท่วมเมือง แต่พอ ๆ ทำถูกมันก็กลายเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เราได้รับประโยชน์ อาการอย่างนี้เขาเรียกว่า sublimate ฉะนั้นอะไรเข้ามาหาเราในลักษณะที่เป็นความร้าย แล้วก็อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่าร้องไห้ ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ มีค่าสูงมากกว่าที่ต้องเสียไป
ทั้งหมดนี้มันเป็นการแสดงตัวอย่างของระบบวิธีการแห่งการแก้ปัญหา แห่งการทำลายอุปสรรคศัตรูที่มีอยู่ในตัวชีวิตของเรา ให้มันเป็นชีวิตที่ชนะหรือว่ารอดหรือว่าหลุดพ้น สถาบันครูเป็นสถาบันนำโลกเป็นผู้จูงวิญญาณของสัตว์โลก เพราะฉะนั้นต้องรู้ ต้องรอดตัวก่อนจึงจะช่วยผู้อื่นให้รอดได้ นี่เราต้องช่วยตัวเองได้ก่อนเราจึงจะช่วยผู้อื่นให้รอดได้ อย่างว่าเราว่ายน้ำเป็นเสียก่อน เราจึงจะช่วยคนตกน้ำได้อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราทำได้แล้วเราก็ต้องช่วยผู้อื่นได้แน่ เดี๋ยวนี้เราเป็นครูแล้ว เรารู้แล้ว เราก็สอนเด็ก ๆ ที่ไม่รู้หนังสือให้มันรู้หนังสือได้นี่ มันง่าย ๆ อย่างนี้แหละ ทางธรรมะมันก็เหมือนกัน ฉะนั้นขอให้พยายามให้เป็นครูที่ถูกต้องตามอุดมคติของพระพุทธศาสนาด้วย อย่าเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิตอย่างเดียว มันไม่น่าชื่นใจอะไร เราเผลอเข้าไปยึดมั่นถือมั่นชนิดที่จะทำให้ยุ่งยากมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นทำงานให้ตรงตามหน้าที่ ยกจิตใจให้มันสูงเข้าไว้ มุ่งหมายเป็น เป็นครูที่มีอุดมคติไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือ เรียกว่าทางกายก็ทำได้ถูกต้อง ทางจิตใจก็ทำได้ถูกต้อง ทางเรื่องเนื้อหนังร่างกายนี้ก็ทำถูกต้อง สอนได้ถูกต้อง เรื่องทางจิตทางวิญญาณเกี่ยวกับกิเลสความทุกข์ที่มันเป็นทุกข์กันจริง ๆ นั้นก็ทำได้ถูกต้อง เรียกว่าเป็นผู้ชนะทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตใจ อย่างนี้เราเรียกกันว่าชีวิตนี้มันเทียมด้วยวัวสองตัว ตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางร่างกาย ตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจ ชีวิตนี้มันก็ถูกต้องและสมบูรณ์ เหมือนกับว่าลากไปด้วยวัวสองตัวนี้มันก็ดีกว่าวัวตัวเดียว นั่นแหละคือวิธีการแก้ปัญหา ป้องกันปัญหา ป้องกันอุปสรรคอยู่โดยอัตโนมัติ ถ้ามันเกิดขึ้นมาก็แก้ได้ด้วย ผู้ที่จะเป็นครูควรจะรู้ระบบวิธีการที่จะแก้ปัญหาอุปสรรคศัตรูได้อย่าง อย่างที่เรียกว่าถนัดถนี่ เพื่อช่วยผู้อื่นได้โดยแน่นอน เวลาวันนี้ก็หมดแล้ว เลยไปนิดหน่อยแล้ว ขอยุติกันที