แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาส :.. เห็นพระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่/ นิมนต์//
พระอาจารย์พยอม: ตอนนี้จะให้ทำความรู้สึกว่า อยากจะใช้คำว่า ให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มารวมอยู่ในตัวเราเอง คือเราเป็นหมดครบทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าเองก็คลอดออกมาจากพระธรรม เพราะท่านตรัสว่าพอท่านได้รู้ธรรมเห็นธรรมแล้ว ท่านก็ไม่มีอะไรอื่นใดที่จะน่าเคารพไปกว่าธรรม ก็เหมือนกับลูกที่กตัญญูนี้ก็คิดว่าไม่มีอะไรที่จะน่าเคารพบูชายิ่งกว่าแม่ เพราะฉะนั้นก็ถือว่าพระธรรมเป็นผู้คลอดพระพุทธเจ้า และก็คลอดทั้งพระสงฆ์ออกมาด้วย ถ้าพระสงฆ์องค์ใดเห็นธรรมชัด ก็จะเป็นพระสงฆ์ที่สมบูรณ์ หรือดังพุทธภาษิตที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตหรือเห็นพระพุทธเจ้า ทีนี้ถ้าหากว่าเราได้เห็นธรรม เราก็คลอดออกมาเป็นพระสงฆ์ด้วย แล้วก็ถือว่าที่เราจะได้คลอดออกมานี้ เพราะเราได้รับเชื้อ ลำพังแม่อย่างเดียวนี้ไม่เกิดได้ ต้องมีเชื้อของบิดาเข้ามาผสม
ฉะนั้นที่พวกเราได้มาศึกษาธรรมะนี้ ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้านี้หรือเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนนั้นยังเป็นชาวบ้านอยู่ พอตอนหลังท่านเริ่มมาเห็นธรรม ท่านก็มาเปิดของที่คว่ำให้หงาย เพราะฉะนั้นจิตใจของเรานี้ที่มันยังเคยมืดมนมา พอมันพ้นจากความมืดมน เห็นแนวทางที่ควรจะปฏิบัติ ควรจะเปลี่ยนชีวิตให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา เราก็เลยได้เชื้อของพ่อ นี่พูดเป็นอุปมา แล้วก็เลยได้คลอดออกมาเมื่อเห็นธรรมประพฤติธรรมมากขึ้น แล้วในบางขณะเราก็ได้เป็นพี่เลี้ยงผู้อื่น และบางทีเราก็เป็น,ตอนแรกๆ ก็อาจจะเป็นน้องไปก่อน แล้วไม่ช้าก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นพี่ ถ้ามีคลอดน้องออกมาอีกคน
ก็ให้ความเห็นว่าตัวเราเองนี้ควรจะมีลักษณะอย่างนั้น หรือว่าที่มีเรื่องในพวกของเซ็น เขาถือพระพุทธเจ้าไม่ใช่สำคัญที่เนื้อหนัง ถ้าพระพุทธเจ้าเดินมาเป็นเนื้อหนังผ่านมาข้างหลังเขานี้ เขากำลังนั่งทำจิตให้สะอาด สว่างสงบ หรือ หรือเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีจิตเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อหนังเดินผ่านมาข้างหลัง จะไม่ยอมเหลียวไปดูแม้แต่น้อยถ้าจิตของเขากำลังเหมือนพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขอให้เรานึกถึงที่สำคัญที่สุดก็คือทำจิตให้เหมือนพระพุทธเจ้าดีกว่าได้เห็นรูปพระพุทธเจ้า หรือพวกเราทั้งหลายที่มาที่สวนโมกข์ทำจิตเหมือนท่านเจ้าคุณอาจารย์ของเรา ดีกว่าจะเหลียวไปดูรูปของท่าน ถ้าจะยกให้น้ำหนักอ้วนๆ ใหญ่ๆ อย่างนี้ เราก็คงจะไม่อยากเอาไป แต่ถ้าได้ยกจิตใจของเราให้เหมือนกับท่าน ให้เห็นอะไรว่าเป็นเช่นนั้นเอง เป็นตถาคต เป็นตถตา นั่นแหละคือพระพุทธที่จะคลอดพวกเราออกมาเป็นพระสงฆ์ ได้เป็นพี่เลี้ยงผู้อื่นต่อไป ก็ขอให้ความเห็นไว้เพียงเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : เอ้า, คุณประชา ขอนิมนต์คุณประชาโดยไม่มีข้อขัดแย้ง/ พูดให้เห็นชัดว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ เท่าที่จะให้ชัดได้//
พระอาจารย์ประชา : จิตใจในปัจจุบันของเรานี้ที่จะใฝ่ในการทำความดี มันยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ ยังไม่สามารถมั่นคงอยู่กับที่ได้ สมมติว่าเราปรารถนาที่จะทำความดีนี้ บางครั้งนี่เราก็ไม่สามารถทำได้ตามที่เราต้องการ คือว่าจิตของเราตอนนี้ก็ยังอยู่ในลักษณะของจิตของเด็กๆ จิตของลูกนกอยู่ ฉะนั้นเราต้องการที่พึ่งพี่เลี้ยงคอยดูแล พระสงฆ์นี้คือผู้ที่มีความมั่นคงมากกว่าเราในเรื่องคุณงามความดี ทีนี้พระสงฆ์นี้กำเนิดมาจากไหน ก็กำเนิดมาจากการพบกันระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระธรรม ซึ่งมีอยู่แล้วทั้งสองอย่าง พระพุทธเจ้าพอพบพระธรรม ก็สามารถจะให้กำเนิดเป็นพระสงฆ์ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่
และพระสงฆ์นี้เป็นพี่ของเรา//
ท่านพุทธทาส : เอ้า, อาจารย์มานะ,คุณมานะ มา,ไม่ต้องปฏิเสธ พูดให้เห็นชัดเผงๆ ลงไปเลยว่า พระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่//
พระอาจารย์มานะ : เกี่ยวกับประเด็นทั้งสามนี้ เราจะต้องเข้าใจก่อนว่าพ่อมีหน้าที่อย่างไร แม่มีหน้าที่อย่างไร แล้วก็พี่ คือพ่อนั้นมีหน้าที่ให้กำเนิด เสร็จแล้วก็หน้าที่เลี้ยงดูหรืออุ้มธารดูแลรักษาอยู่กับแม่ แล้วก็พี่มีหน้าที่เลี้ยงดูอีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ค่อยใกล้ชิดหรือสนิทสนมเหมือนกับแม่เท่าไหร่ ฉะนั้นพระพุทธที่ว่าเปรียบเสมือนกับว่าเป็นพ่อก็คือให้กำเนิด พอให้กำเนิดมาแล้ว คือการสั่งสอนธรรมะต่างๆ ให้ดำเนิน แล้วก็บอกว่า จงดำเนินกันเองนะ อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก เธอจงดำเนินกันไปเอง การดำเนินนั้นดำเนินอย่างไร ก็ต้องอาศัยพระธรรม ดำเนินไปตามพระธรรม อาศัยธรรมะเป็นกำลัง อาศัยธรรมะเป็นเสบียง อาศัยธรรมะเป็นเครื่องดำเนิน พอดำเนินไปๆ นี้มันจะต้องมีธรรมะอยู่กับตัวตลอดเวลา คล้ายๆ กับว่าอยู่กับแม่ตลอดเวลา อยู่บนกระเอวแม่อยู่ตลอดเวลา เสร็จแล้วก็มีพระสงฆ์คอยแนะนำตักเตือนบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งอุปมาเหมือนกับว่าเป็นพี่ซึ่งไม่แนบสนิทเหมือนกับแม่เท่าไหร่นัก เรานี้อยู่บนกระเอวแม่อยู่ตลอดเวลา แต่พี่นั้นคอยเลี้ยงดูบ้างเป็นบางครั้งบางคราว อันนี้แหละจึงเป็นทัศนะอีกอันหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนกับพ่อ พระธรรมเหมือนกับแม่ และก็พระสงฆ์เหมือนกับเป็นพี่ ดังนี้//
ท่านพุทธทาส : คงจะไม่เคยมีพี่/ เมื่อเด็กๆ เราเคยมีพี่ มีแม่ มีพ่อ ทำในใจย้อนหลังไปถึงคราวอย่างนั้น แล้วก็เอามาจับกันกับว่าพระพุทธเจ้าเหมือนพ่อ พระธรรมเหมือนแม่ พระสงฆ์เหมือนพี่ เอ้า,ขอนิมนต์อาจารย์วรศักดิ์ เมื่อตะกี้ก็อยู่นี่ พระอาจารย์วรศักดิ์/ เอ้า,ช่วยจำไว้ ญาติโยมช่วยจำไว้ เดี๋ยวจะถามว่า ชอบองค์ไหนพูดมากที่สุด/ เอ้า,ญาติโยมช่วยจำไว้ ชอบองค์ไหนพูดมากที่สุด//
พระอาจารย์วรศักดิ์ : ท่านผู้สนใจธรรมทั้งหลาย ในหัวข้อว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ และพระสงฆ์เป็นพี่ พูดถึงพระธรรมเสียก่อน ที่เป็นแม่ พระธรรมนี้คือสิ่งทั้งหมดสิ่งทั้งปวงที่เราได้ศึกษามาว่า หมายถึงตัวสภาวะหรือตัวทุกสิ่งในโลกนี้ และก็กฎเกณฑ์ของสิ่งทุกสิ่ง และก็หน้าที่ที่สิ่งทั้งหลายจะเกี่ยวข้องกัน และผลที่ออกมาจากการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกันนั้น เรียกว่าพระธรรม เพราะฉะนั้นกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ความดีความงามทั้งหลายนี้อยู่ในพระธรรมทั้งนั้น พระธรรมเป็นผู้ให้มา แต่ว่าถ้าพระธรรมเป็นผู้ให้ แสดงอยู่โดยไม่มีใครไปค้นพบหรือไม่มีใครเข้าถึง มันก็เป็นหมันคือยังไม่มีผล อยู่มาวันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านเข้าถึงธรรมชาติในส่วนที่มีผลสูงสุดมีประโยชน์สูงสุด สำหรับสิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือมนุษย์ ก็คือความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็พระธรรมให้ เป็นสิ่งที่อยู่ในพระธรรมนั่นเอง แต่พระพุทธเจ้าท่านเข้าถึงโดยเฉพาะในส่วนนี้ เพราะว่าพระธรรมนั้นเป็นเรื่องทั้งหมด แต่พระพุทธเจ้าเข้าถึงในส่วนที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับสิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ก็คือการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะฉะนั้นพระธรรมนั่นแหละจึงเป็นเสมือนแผ่นดิน เป็นที่ให้สิ่งทั้งหมด แม้เดี๋ยวนี้ท่านนั่งอยู่ ท่านก็นั่งอยู่บนแม่ นั่งอยู่บนพระธรรมคือแผ่นดิน พระพุทธเจ้าท่านเป็นเสมือนหนึ่งเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน คือเป็นผู้ให้กำเนิด ก็หมายความว่าเป็นผู้ให้สิ่งที่ดีงามสูงสุดสำหรับมนุษย์ที่พระองค์ไปได้มาจากธรรมชาติ เป็นผู้เอามามอบให้กับพวกเรา
ทีนี้เมื่อมีทั้งพ่อมีทั้งแม่ก็ออกลูกมา ก็คือผู้ที่เข้าถึงอันนี้ สิ่งที่พ่อแม่ต้องการ ก็คือว่าเข้าถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วย อันนี้เป็นพระสงฆ์
ทีนี้ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ต่อให้มีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์สักเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าเราไม่ได้เกิดมาในโลกนี้ พระพุทธเจ้านี้ไม่มีความหมายเลย พระธรรมก็ไม่มีความหมายหรอก พระสงฆ์ก็ไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่ได้เกิดมานั่งอยู่ที่นี่ ฉะนั้นมันมีปัญหาว่าเราได้เกิดมา โดยเฉพาะเกิดมาเป็นคนนี้ มันจะมีความดีงามที่ไหนก็ตามถ้าเราไม่ได้เกิดมาแล้ว ไม่ต้องพูดถึง ทีนี้เราได้เกิดมา เราได้เกิดมา ที่แท้จริงถ้าเกิดมาเฉยๆ นี่ยังไม่ได้เป็นลูกคนที่สี่หรอก ถ้าเป็นลูกคนที่สี่ได้นี้จะต้องมีการเกิดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่าหน้าที่ของลูกที่สี่นั้น จะต้องเชื่อฟังพ่อแม่และพี่ชาย ฉะนั้นหน้าที่ของลูกคนที่สี่ก็คือการเชื่อฟัง เชื่อฟังพ่อ เชื่อฟังแม่ และเชื่อฟังพี่ชายด้วย
ทีนี้มาถึงคำว่าเชื่อ-ศรัทธานี้ ตัวนี้สำคัญมาก ศรัทธานี้อาตมาจะให้ความหมายสักสองความหมาย คือศรัทธาในความหมายที่แปลว่าเชื่อฟัง อย่างเช่นในศาสนาคริสต์อย่างนี้ ศรัทธานั้นหมายถึงเชื่อฟังและก็ต้องทำตาม แต่ศรัทธาคือเชื่อในพุทธศาสนานี้หมายถึงว่าเราเห็นสิ่งนั้นโดยประจักษ์ แล้วเราก็เชื่อลงไปชนิดที่ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน
ยกตัวอย่างว่าอย่างนี้ ว่าท่านทั้งหลายหรือคนใดคนหนึ่งก็ตาม ชิมทองหยิบเข้าไป พอท่านชิมทองหยิบเข้าไปก็รู้สึกว่าทั้งหวานและทั้งมัน ทีนี้อาตมาบอกว่าทองหยิบที่คุณชิมเข้าไปนั้นมันเปรี้ยว ผู้ชิมก็เถียงอาตมาทีเดียว บอกว่ามันทั้งหวานทั้งมัน ก็แสดงว่าเขาเชื่อแน่ลงไปว่าทองหยิบนี้มันทั้งหวานและทั้งมัน นี่คือเขาศรัทธาในทองหยิบนั้นเต็มที่ ทีนี้ถ้าหากว่าเชื่อในพ่อแม่ในพี่ชาย ก็หมายความว่าเขาศรัทธาแน่ลงไปในความรู้ความตื่นความเบิกบานหรือความสะอาด ความสว่าง ความสงบ เมื่อเขาได้สัมผัสกับความสะอาด ความสว่าง ความสงบนั้นโดยตนเอง เมื่อเราปฏิบัติตามที่พ่อแม่ หรือพี่ชายนี้ช่วยกันสั่งสอน แล้วเราก็เกิดความรู้สึกสะอาด สว่าง สงบขึ้นในจิตใจ แล้วเรารู้สึกลงไปอย่างนี้เรียกว่าเราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง มีคนมาบอกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นมันเป็นความเร่าร้อนวุ่นวาย ญาติโยมทั้งหลายก็ต้องเถียงทีเดียวว่าไม่ใช่ มันเป็นความเย็น เป็นความสะอาด สว่าง สงบ เชื่อลงไปอย่างนี้ เรียกว่าเริ่มที่จะเป็นลูก,เริ่มที่จะเป็นลูกแล้ว เพราะเชื่อพ่อแม่ ทีนี้ก็ยืดความเชื่อนี้ให้ยิ่งขึ้น ก็คือว่ายืดความสะอาด สว่าง สงบ หรือยืดความเป็นคนเชื่อมั่นในพ่อในแม่ในพี่ชายนี้ให้มันยิ่งขึ้นจนถึงที่สุด เราก็เลยเป็นลูกคนที่สี่ แล้วก็เป็นพระสงฆ์เสียเองด้วย เป็นลูกคนที่สี่ที่เป็นพระสงฆ์เหมือนกัน แต่ว่าเป็นพระสงฆ์ผู้น้อง
เอ้า,ก็สรุปอีกทีหนึ่ง พูดมายืดยาว ว่าพระธรรมนั้นเป็นผู้ให้เกิดมีสิ่งทั้งปวง ทั้งความดีความงามทุกอย่างนั้น เกิดมาจากแม่ ส่วนพ่อนั้นเป็นผู้เข้าถึงภาวะอันนั้น โดยเฉพาะเข้าถึงความดีงามสูงสุดในส่วนที่เกี่ยวกับมนุษย์ แล้วก็นำมาเปิดเผย ทีนี้ก็มีคนปฏิบัติตาม ก็ได้รับผลก็คือเข้าถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี้เหมือนกัน ทีนี้เราเกิดมาทีหลัง เราก็เชื่อฟังพ่อแม่ เชื่อฟังพี่ชาย และเราก็ปฏิบัติตามพ่อแม่พี่ชายที่เป็นคนเข้าถึงก่อนแล้วจนถึงที่สุด เราก็เลยกลายมาเป็นลูกคนที่สี่ ก็เรียกว่าก็เป็นพระสงฆ์เสียเอง แต่ว่าเป็นพระสงฆ์คนน้อง ความหมายเป็นอย่างนี้ตามที่เข้าใจ ก็ขอยุติไว้แค่นี้//
ท่านพุทธทาส : อาจารย์สุชีพ/ อาจารย์สุชีพ/ ญาติโยมคอยสังเกตไว้ ได้รับความสว่างแจ่มแจ้งชัดเจนเพราะอาจารย์องค์ไหนพูด//
พระอาจารย์สุชีพ : ถ้าเป็นแตงลูกหนึ่ง ก็จากซีกเป็นเสี้ยว เป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ เศษหนึ่งส่วนแปด ก็หมดไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะขึ้นประตูไหน ยังนิดหนึ่งก็คือเปลือกที่จะใช้เหล็กขูด ซอยๆ เข้าแล้วก็เอาหอมใส่ พริกใส่ กะปินิดหน่อย เรียกว่ายำล่ะทีนี้ ได้ฟังของท่านวรศักดิ์รูปสุดท้าย ก็รู้สึกมีความเข้าใจเกิดขึ้นมาอีกในรูปของพระรัตนตรัย ซึ่งพระรัตนตรัยเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ซึ่งเรียกว่ารัตนตรัยนั้นคือเรียกว่าเป็นแก้วอันประเสริฐ ของที่เป็นแก้วอันประเสริฐนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยาก มีค่ามาก เหมือนดวงตาที่เป็นแก้วตา ฉันใดก็ฉันนั้น ทีนี้ผู้ที่จะเข้าถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อันมีความสำคัญดุจแก้วตานั้นเป็นของยาก เพราะว่าแต่ละบุคคลที่ได้ถือจุดกำเนิดเป็นดวงชีวิตแต่ละบุคคลนั้น กว่าที่จะรู้จักคุณค่าของพ่อ ก็ยากลำบากนานแสนนาน กว่าจะรู้จักคุณค่าของแม่ ก็ยากลำบากนานแสนนาน จะมาซึ้งถึงความเป็นพี่ที่อุตสาห์เลี้ยงน้องมาจนตัวเองยุ่งยากลำบาก น้องจะมารู้สึกนั้นก็ยากนานแสนนาน แต่เมื่อใดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่สูญสลายหายไป ก็รู้สึกว่าธรรมดาๆ มันพรรค์นั้นแหละ อย่างที่หลวงพ่อว่า แต่เมื่อขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปโดยฉับพลันหรือปัจจุบันทันด่วน รู้สึกว่าสิ่งที่สูญไปหายไปนั้นมีค่าขึ้นมาฉันใด ธรรมชาติของชีวิตคือเรา เมื่อใดยังได้รับความสุขจากพ่อ จากแม่ จากพี่ อย่างนั้น ก็มักจะทำอะไรไม่ค่อยเป็น ไม่แต่หาสิ่งที่มีประโยชน์เป็นสาระ วางพื้นฐานของตนเท่าที่คนมันจะได้ในโอกาสอันนั้นๆ แต่เมื่อสิ่งใดที่รู้สึกว่าเกิดพลาดหวังเกิดขึ้นมา นั้นคือหมายถึงทุกข์ทั้งมวลที่มีอยู่เข้ามาสู่จิตใจแล้ว ปัญหามันก็เกิดขึ้นมาทันที เห็นใครก็อยากจะพึ่งคนนั้นก่อน เจอพี่ก็ร้องเรียกพี่ให้ช่วย เจอแม่ก็อยากจะวิ่งเข้าตัก เจอพ่อก็อยากให้โอบอุ้มขึ้นมาทันที ค่าของชีวิตของตัวเองนั้นเกิดรู้สึกสำนึกว่าตอนนี้มีความสำคัญ ซึ่งอยากจะเข้าไปพึ่งท่านผู้อื่นโดยแท้จริง
ทีนี้การที่จะไปพึ่งเขานั้น ทั้งบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดนั้น เราจะพึ่งอย่างไร ญาติโยมก็เช่นเดียวกันนี้นี่แหละ บางท่านที่เป็นคนฉลาด ก็พึ่งตั้งแต่วัยกลางคน บางคนที่วัยเฒ่าชราหรือว่ายังโง่ไปมากหน่อย ก็พึ่งเมื่อวัยเฒ่าวัยแก่ บางทีโง่ถึงที่สุด ก็อย่างที่อาจารย์พยอมว่านั้น อรหังนำพ่อนะอย่างนี้ ก็ยังนึกไปถึงว่าอะไร,หมามีหาง ของผมมากยิ่งไปกว่านั้นอีก นี่อย่างนี้ คือเรียกว่าเพราะความไม่เข้าถึงนั่นเอง นี่เป็นหลัก เมื่อธรรมชาติลงโทษคือความทุกข์เกิดขึ้น เกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว ก็ร้องเรียกให้ผู้อื่นช่วย นั้นก็คือพ่อคือแม่และก็คือพี่
ทีนี้ช่วยได้อย่างไร ถ้าบุคคลผู้นั้นถึงธรรม นี่วาระเบื้องต้นก็คล้ายๆ กับของท่านอาจารย์วรศักดิ์ ถึงธรรมในวาระเบื้องต้นเสียก่อน ก็จะรู้ค่าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะรู้คุณสมบัติของพระสงฆ์ที่เราเสมือนน้องคนสุดท้องที่จะประพฤติปฏิบัติตามได้ เรื่องพระรัตนตรัยที่เรียกว่าสามประการนั้น อาตมาจะไม่พึงกล่าวไม่พึงสังวัธยายค่าและความสำคัญ คือพระพุทธสำคัญอย่างไร พระธรรมสำคัญอย่างไร พระสงฆ์มีความสำคัญอย่างไร ก็สำคัญอยู่ในตัวดังที่พระท่านแต่ละองค์แสดงมาแล้ว แต่ที่สำคัญที่สุด ก็ไม่ใช่สำคัญอยู่ที่ท่านทั้งสามนั้น,ไม่ใช่ สำคัญอยู่ที่ตัวเรานี่เอง ที่จะเข้าไปพึ่งอย่างไรนี่ สำคัญอยู่ตรงนี้ และรู้จักค่าของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วหรือยังเท่านั้นเอง ถ้าบุคคลใดรู้จักคุณของพระพุทธเจ้าเหมือนกับพ่อแล้ว รู้จักคุณของพระธรรมเหมือนกับแม่แล้ว รู้จักคุณของพระสงฆ์เหมือนกับพี่แล้ว โดยอาศัยการที่เราเข้าไปใกล้ชิดโดยที่สุด นั้นคือการประพฤติปฏิบัติและรู้ถึงคุณของพระพุทธเจ้า รู้ถึงคุณของพระธรรม รู้ถึงคุณของพระสงฆ์ เมื่อความรู้สึกเกิดขึ้นที่จะบรรเทาบั่นทอนความทุกข์ของเราได้โดยฉับพลันในนาทีนั้นวิธีนั้นในการแก้ทุกข์คลายปัญหาของเราได้อย่างแท้จริง ความเอิบอิ่มเบิกบานก็เกิดขึ้นแก่เราโดยอาศัยพระธรรมเป็นหลักขึ้นมาก่อน แล้วย้อนไปสู่พระพุทธ แล้วก็เอาแนวปฏิบัติหันไปหาพระสงฆ์ ซึ่งเราจะเหมือนวิ่งตามพี่ที่จะโอบอุ้มไปสู่ตักของแม่โดยอาศัยผู้ที่เป็นพ่อ พึงแสวงหาสิ่งเหล่านั้นหยิบยื่นให้ตามความพึงประสงค์และพึงพอใจของเรา เราก็จะได้รับความสุข ได้รับความอบอุ่น จากคุณของพระรัตนตรัยทั้งสาม นั้นก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยประการฉะนี้แล//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,อาจารย์เสมอ องค์สุดท้าย นิมนต์อีกที องค์สุดท้าย/ ไม่ต้องกลัว ซ้ำก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้มันชัด รวบรวมมาให้ชัด//
พระอาจารย์เสมอ : ญาติโยมหลายท่านก็กำลังจะง่วงนอน ทีนี้อาตมาก็จะพูดต่อไปอีก จากหัวข้อว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่เป็นน้อง ตามความเข้าใจที่นั่งนึกอยู่ ถือว่าคนเรานั้นเกิดสองครั้ง คือเราทั้งหลายที่เกิดมาแล้วจากท้องแม่นี้เกิดมาครั้งหนึ่ง ทีนี้พวกเราทั้งหลายที่นับถือพุทธศาสนานี้ เราต้องเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือเกิดเป็นชาวพุทธ เราทั้งหลายที่วันแรกที่เราถูกนำไปแสดงตนเป็นพุทธมามกะนั้น เราจะได้รับความสำนึกรู้สึกตัวว่า เรานี้ต้องเกิดใหม่ เกิดทางวิญญาณคือเกิดสติปัญญา รู้พระธรรมวินัยคำสอนพระพุทธเจ้า มีภาษิตที่ว่า พุทฺโธ ปิตา, ธมฺโม มาตา, สงฺโฆ เชฏฺฐา พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ คือเราทุกคนนี้ให้มีความรู้สึกว่า เราที่มานับถือพุทธศาสนานี้โดยที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบพระธรรม เสมือนหนึ่งทำสิ่งที่ให้สิ่งที่มีปรากฏขึ้น เหมือนบิดาให้กำเนิด ทีนี้ส่วนมารดาคือพระธรรม คือพระธรรมนั้นเป็นผู้ที่เราได้รับการเลี้ยงดูโดยเราถือว่าแม่เป็นผู้เลี้ยงดูเรา ให้เราปรากฏขึ้น
ทีนี้เราเองจะต้องถือว่า การที่เราเกิดขึ้นมาได้นี้ก็ต้องมีพี่เลี้ยงช่วยเหลือให้การเลี้ยงดู ถ้าหากว่าเราทุกคนมีความสำนึกว่า เรานับถือพระพุทธเจ้าเป็นพ่อทางวิญญาณ เราจะรู้อะไร รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค รู้ทางพ้นทุกข์ได้ เพราะพระพุทธเจ้าทำให้ปรากฏขึ้น สิ่งที่ปรากฏนั้นก็คือผู้ทำให้ปรากฏแจ่มชัดก็คือพระธรรมที่ทำให้เรารู้อะไรเป็นอะไรขึ้น และผู้ที่ทำเราในฐานะเป็นน้องสุดท้องให้เรารู้อะไรขึ้นได้โดยอาศัยพระสงฆ์ ซึ่งถือว่าพระสงฆ์นั้นเป็นผู้ที่สืบต่อจากพระพุทธเจ้า อันเป็นเหมือนกับพี่หรือเป็นผู้เกิดครั้งแรกแล้วก็สืบต่อกันมา ให้มีการเลี้ยงดูเอาใจใส่ดูแลกัน มีความสัมพันธ์กัน ถ้าเรามีความเคารพพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่เป็นน้องอย่างนี้แล้วถือว่า เราอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เราจะได้มีความไม่แตกแยก เรามีความซาบซึ้ง มีความรู้สึก
ข้อนี้อาตมาในฐานะที่เคยนำไปสอนเด็ก ให้เด็กทุกคนรักพระพุทธเจ้าเหมือนพ่อ ว่าเรามีพ่อคนหนึ่งนะ คือเป็นพ่อทางวิญญาณ หนูนี้แสดงตนเป็นพุทธมามกะแล้ว สำหรับพระพุทธเจ้าเหมือนพ่อ ถ้าเธอเคารพพ่อเธออย่างไร นั่น เป็นพ่อที่ให้เกิดเธอทางที่บ้าน เป็นการเกิดขึ้นในทางร่างกาย แต่คุณสมบัติในทางจิตใจที่เธอจะรู้บาปบุญคุณโทษนี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดแก่เรา ให้เธอรู้ว่าการที่เราทั้งหลายปฏิบัติรู้นี้ ก็เพราะเธอนี้อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของพระธรรม พระธรรมเหมือนกับแม่คอยอุ้มธารเลี้ยงดูรักษาเธอ ให้เธอทุกคนเป็นคนดี เธอเชื่อฟังแม่ แม่ว่าลูกอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเธอไม่ทำ หนูก็จะเป็นคนดี ส่วนอาจารย์ที่มาสอนนี้ เหมือนกับเป็นพี่เลี้ยงคอยจะมาเตือนเธอให้เธอนี้อยู่ในคำสอนของแม่ ถ้าเธอรักพ่อ รักแม่ รักพี่แล้ว เธอก็ต้องปฏิบัติตามคำสอนที่บิดามารดาสอนไว้ เธอก็จะเป็นคนปลอดภัย ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าเขามีพ่อมีแม่แล้วก็มีเราคือพระสงฆ์นี้เป็นผู้ใกล้ชิดกับเขา เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่หว้าเหว่ใจ ทำให้มีความเชื่อมั่นขึ้นว่าเขาเป็นคนเกิดขึ้นใหม่ในลักษณะที่เรียกว่าเกิดทางวิญญาณ ผมก็ให้ความคิดเห็นตามที่ถูกปฏิบัติมา แค่นี้ครับผม//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,ทีนี้ญาติโยม ญาติโยมคนไหนจะฟังเข้าใจขึ้นมาพูด/ ท่านพระครูรู้จักคนไหน จะพูดได้ เอาไมโครโฟนไปให้/ อาจารย์พูดตั้งชั่วโมงสองชั่วโมง ลูกศิษย์ฟังไม่ถูกสักคำเดียวเลยหรือ/ หญิงก็ได้ ชายก็ได้ เด็กก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ได้/ ได้รับความรู้ความเข้าใจ เห็นด้วยหรือจะค้านก็ได้ ถ้าไม่เห็นด้วย ค้านเลย ถ้าเห็นด้วยก็ว่าให้มันชัด จะเก็บเอามาได้/ มาจากสวีเหรอ/ เอาเถอะ,พูดภาษามนุษย์ก็แล้วกัน/ เข้าไปใกล้ๆ/ เราได้รับความเข้าใจสว่างแจ่มแจ้งมีประโยชน์หรือเปล่า ให้ชัด,พูดแทนอีกทีให้ชัด//
ญาติโยมที่มาร่วมงาน : ข้าพเจ้าไม่ได้มีความสามารถพูด ได้มาที่สวนโมกขพลารามนี้ก็สี่ครั้งแล้ว ได้ผู้นำคืออาจารย์พระครูศรีธรรมนิเทศก์ ทีนี้ก็จุดหมายประสงค์ว่าจะให้ข้าพเจ้าพูดเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือว่าพูดไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะไม่เคยได้พูด มันเมื่อยคอด้วย แล้วก็ความมุ่งหมายของพระเดชพระคุณอาจารย์เจ้าคุณว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ แล้วก็อุบาสกอุบาสิกานี้เป็นน้อง สี่คนนี้นี่จะอยู่กันได้อย่างไร ความหมายของผมว่า อยู่เพื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิด แล้วก็เกิดตรัสรู้ธรรมะขึ้นในทางด้านจิตใจของท่านเอง เป็นผู้ที่ค้นคว้าหาพบเอง แล้วก็เกิดเป็นตัวพระธรรมขึ้น ทีนี้พระธรรมนั้นคือว่าเป็นแม่ จัดว่าเป็นแม่ แล้วได้เกิดพระสงฆ์ขึ้น เกิดพระสงฆ์ขึ้นแล้วก็ได้เลี้ยงน้องคือว่าเผยแผ่ให้แก่บรรดาพี่น้องพุทธศาสนิกชนทั่วไปให้รู้เรื่องในทางด้านพระพุทธศาสนาและทางด้านธรรมะ ทีนี้ธรรมะนี้เป็นที่ตัวจริงแท้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แท้ ไม่ได้ว่ามีเคลือบแคลงหรือมีลี้ลับตรงไหน แล้วพระสงฆ์ก็เป็นผู้ปฏิบัติซื่อปฏิบัติตรงแท้ ปฏิบัติเพื่อจะออกจากทุกข์แท้ เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแท้ ทีนี้พระธรรมนั้นก็ย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่วแท้ พระธรรมนี้เป็นของจริง ถ้าจริงแล้วก็พระธรรม ถ้าไม่ใช่พระธรรม ไม่จริง ทีนี้เหมือนคำบาลีที่พระเดชพระคุณกล่าวไปถึงวัดจันทราวาสว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ, ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเป็นนิตย์ นี่ก็เป็นมารดาแท้ เป็นแม่แท้ แล้วทีนี้พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ตรัสรู้แท้ นี่มันเกี่ยวพันกัน คนกี่คนก็เกี่ยวพันกันอยู่อย่างนี้ ข้าพเจ้าขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : โยมผู้หญิงล่ะ,ใครพูดได้บ้าง เอาไมโครโฟนไปให้/ นักเรียนนักศึกษาไม่มีบ้างหรือ/ กลับกันไปหมดแล้ว/ ถ้าเผื่อมีใครพูดได้ ก็ให้พูดดูสักคนสิ ว่าได้ฟังถูกหรือไม่ ที่เราพูดกันตั้งหลายองค์นั้นญาติโยมฟังถูกหรือไม่/ ผู้หญิงควรจะรู้จักรักษาเครดิตของผู้หญิง เทวดาพูดว่าไม่ใช่จะเป็นบัณฑิตได้แต่ผู้ชาย อิตฺถีปิ ปณฺฑิตา โหติ ตตฺถ ตตฺถ วิจกฺขณา ผู้หญิงถ้าว่าเป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน ในเมื่อพิจารณาโดยประจักษ์แจ่มแจ้งอยู่แล้วก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน/ เรื่องโจรจะพาไปผลักให้ลงเหวนั้น ผู้หญิงคนนั้นช่วยให้ตัวเองรอด//
เอาล่ะ,ขอให้ญาติโยมเอาไปใคร่ครวญจนให้เห็นชัด จะได้รักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ฉันขอพูดสักนาทีเดียว,สักสองนาที พระพุทธเจ้าเป็นเหตุให้พระธรรมปรากฏขึ้นในโลก นี่เป็นข้อแรก ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เป็นเหตุเป็นต้นเหตุ พระธรรมไม่ปรากฏขึ้นมาในโลก ทำให้เห็นชัดตรงที่ว่านี้แหละ จริงหรือไม่จริง ลองคิดดู ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ พระธรรมก็ไม่ได้ปรากฏ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทำให้พระธรรมปรากฏขึ้นมาในโลก เราจึงได้เอาพระธรรมมาสร้างตัวเราในการเกิดทางวิญญาณ เรามีการเกิดทางวิญญาณ เอาพระธรรมมาสร้างตัวเรา นี่เราก็เลยเกิดออกมาจากพระธรรม คนที่แรกมันก็เป็นพี่ คนถัดๆ มามันก็เป็นน้อง เอาตัวเราเป็นน้องเป็นบุคคลที่สี่ พ่อ,แม่,พี่ เราเป็นบุคคลที่สี่ ทำให้ได้รับประโยชน์เหมือนกับเมื่อแรกๆ เราได้รับประโยชน์จากพ่อ จากแม่ จากพี่ของเราอย่างไร ขอให้เราทำตัวเราบัดนี้ให้ได้รับประโยชน์จากพ่อคือพระพุทธเจ้า จากแม่คือพระธรรม จากพี่คือพระสงฆ์จริงๆ นะ เราก็จะรักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วพอเรารู้ความประสงค์ของผมว่าผมต้องการให้ใช้วิธีพูดโดยปฏิภาณอย่างยิ่งมากขึ้นกว่าที่แล้วๆ มา ขอให้ผู้ที่จะเป็นครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนต่อไปนี้เขยิบการใช้ปฏิภาณในการพูดจาให้ยิ่งขึ้นๆ ให้หนักขึ้น ให้แรงขึ้น จนสามารถพูดให้ญาติโยมเข้าใจว่า พระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ ได้จริง
นี่เราก็ได้อภิปรายด้วยวิธีของเรานะ ไม่ใช่ของเขานะ เสร็จไปหัวข้อหนึ่งแล้ว คือว่าเราจะมีวิธีพูดอย่างไร ใช้วิธีพูดจาอย่างไร ให้ผู้ฟังเข้าใจพระธรรมลึกแหลมลึกลงไปจนถึงขนาดนี้ได้ เรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน มีอีกหลายเรื่องหลายสิบเรื่อง แต่วันนี้ยกตัวอย่างมาเรื่องเดียวว่า พูดอย่างไรคนจึงจะรู้สึกว่าพระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ เราจะพูดอย่างไร เอาเป็นว่าเสร็จไปหัวข้อหนึ่ง กินเวลามากจริง
เอ้า,ทีนี้จะเอาข้อที่ถัดไปอีก ช่วยฟังให้ดีๆ คือผมเสนอว่า พ้นสมัยเสียแล้วที่เราจะมีการขัดแย้งกันในระหว่างศาสนา ถ้าเป็นสมัยก่อนสมัยโบราณยังมีทางที่จะขัดแย้งกัน แต่มาโลกสมัยนี้ไม่ไหวแล้ว พ้นสมัยแล้วที่จะมีการขัดแย้งกันในระหว่างศาสนา โดยเฉพาะประเทศไทยเรามีพลเมืองที่นับถือศาสนาต่างๆ กันหลายศาสนา เราจะพยายามทำลายอุปสรรค เพื่อจะให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี เราก็จะทำลายอุปสรรคเหล่านั้นให้หมด ให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวในจิตใจที่แท้จริงในระหว่างศาสนา
เอ้า,ฟังให้ดีสิ ผมจะตั้งปัญหาถามให้แต่ละอาจารย์ได้อภิปรายกันอีกคนละสองสามนาที/ ถึงญาติโยมก็ฟังให้ดีนะ/ ว่าศาสนาอิสลาม ยกศาสนาอิสลามขึ้นมาพูดสักศาสนา ศาสนาอิสลามก็มีหลัก ๕ ประการใหญ่ๆ ห้าประการ ข้อที่ ๑ ว่าพระเจ้ามีแต่องค์เดียวคือพระอัลลาห์ เราจะไม่ยอมรับนับถือศาสนาพระเจ้าอื่นอีกแล้วนอกจากพระอัลลาห์องค์เดียว มีพระเจ้าองค์เดียว ทำหน้าที่พระเจ้าสร้างโลกทั้งหมดนี้ ข้อที่ ๑ มีพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลาห์
ข้อที่ ๒ เราจะต้องทำละหมาด เขาเรียกละหมาด ทำจิตใจถึงพระเจ้าเข้าถึงพระเจ้าวันหนึ่ง ๕ หน ให้แบ่งเวลากันให้ดีๆ ทำละหมาดสมาธิ จิตใจฝังในพระเจ้าวันละ ๕ หน ทีนี้เราจะถือศีลทรมานกิเลสปีละหนึ่งเดือน เดือนที่ ๙ เขาเรียกเดือนรอมฏอน เดือนนี้จะไม่กินอาหาร จะไม่กลืนแม้แต่น้ำลายในเวลากลางวัน กลางคืนกินได้พอสมควร นี่ข้อบัญญัติหลักที่ ๓ ถือศีลอดหนึ่งเดือนต่อหนึ่งปี
ทีนี้ข้อที่ ๔ เราจะบริจาค ๒.๕ / ๒.๕นี้มันเท่ากับเท่าไหร่/ ๒๕ เปอร์เซ็นต์/ ๒.๕ ของทรัพย์สมบัติบำรุงศาสนาแต่ละปีๆ บริจาคประโยชน์ที่เราหาได้นี้ ๒.๕/ สักกี่เปอร์เซ็นต์นะ/ ๒.๕ สองเปอร์เซ็นต์ครึ่ง,เท่ากับสอง เปอร์เซ็นต์ครึ่ง เช่นบาทหนึ่งเท่ากับกี่สตางค์ล่ะ/ ว่าแล้ว,ตายกันหมดเลย/ สองสตางค์ครึ่ง/ ถ้าร้อยบาท สองบาทห้าสิบ มุสลิมทุกคนจะบริจาคทรัพย์ ๒.๕ เปอร์เซ็นต์ให้แก่ศาสนา
และข้อสุดท้ายข้อที่ ๕ ถ้าสามารถจะทำได้ ให้ไปร่วมพิธีฮัจญ์ที่เมกกะ ในชีวิตอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ช่วยฟังดูให้ดีนะ มันไม่ใช่เรื่องเล่นนะ (๑)นับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลาห์ (๒)ทำละหมาดสมาธิ มีจิตใจถึงพระเจ้าวันละ ๕ หน เราจะถือศีลอดหนึ่งเดือนในหนึ่งปี และเราจะบริจาคทรัพย์ ๒.๕ เปอร์เซ็นต์แก่พระศาสนา และเราเมื่อสามารถจะทำได้หรือว่าเราพยายามที่จะให้มันได้ ไปร่วมพิธีฮัจญ์ที่เมกกะอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต หลักทั้ง ๕ ประการนี้จะเอามาปรับให้เป็นพุทธศาสนาได้อย่างไรบ้าง ให้หลักของพระพุทธศาสนากลมกลืนกับหลักของศาสนาอิสลาม ๕ ประการนี้ได้อย่างไรบ้าง ขอให้แสดงความคิดเห็นอย่างมาก ๕ นาที, ๒ นาที, ๓ นาทีก็ได้ อย่างมาก ๕ นาที/ ให้หลักปฏิบัติของอิสลามมากลมกลืนกับของพุทธบริษัทได้อย่างไร
เอ้า,นิมนต์เลย (๑)พระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลาห์ (๒)สมาธิในพระเจ้าวันละ ๕ หน แล้วแต่จะแบ่งเวลา และ(๓)ถือศีลอดอาหารทรมานกิเลสหนึ่งเดือนในหนึ่งปี (๔)บริจาคทรัพย์ ๒.๕ เปอร์เซ็นต์ บำรุงพระศาสนา ข้อที่ ๕ ถ้าทำได้ ขอให้ไปร่วมพิธีฮัจญ์ที่เมกกะในชีวิตนี้หนึ่งครั้ง เราจะเอาหลักเกณฑ์อันนี้มาปรับให้พุทธบริษัทปฏิบัติตนต่อพระพุทธศาสนาของเราได้ด้วยวิธีใดบ้าง อย่างไรบ้าง จะดีหรือไม่ดี จะขัดกันหรือไม่ขัด/
ก็เดี๋ยวอาจารย์สุชีพก่อนเพื่อนไม่ใช่หรือ/ เอ้า,อาจารย์สุชีพก่อนเพื่อน (๑)มีพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลาห์ (๒)เราจะละหมาดวันละ ๕ ครั้ง (๓)เราจะอด,ถือศีลอดหนึ่งเดือนในหนึ่งปี (๔)เราจะบริจาคทรัพย์ ๒.๕ เปอร์เซ็นต์บำรุงศาสนาทุกปีๆ และ(๕)เราถ้าทำได้จะไปเมกกะหนึ่งครั้งในชีวิต/ นี้ทำความเข้าใจระหว่างศาสนานะ ปรับปรุงความกลมเกลียวกลมกลืนระหว่างศาสนาในประเทศ/ คิดไปพลาง,คิดไปพลางเถอะ องค์อื่นๆ ก็คิดไปพลางก่อนเถอะ//
พระอาจารย์สุชีพ : ตามที่หลวงพ่อพระเดชพระคุณ ให้ได้มากล่าว เรียกว่าศาสนาสัมพันธ์ ก็คงจะไม่พลาดนัก คือเหมือนกับประยุกต์ศาสนาทุกศาสนาเข้ามาด้วยกัน เพราะรากฐานของศาสนาทุกศาสนานั้นก็มีเจตนาให้คนเป็นคนดี สอนคนให้รู้จักโทษของการทำชั่ว แนะนำคนให้ทำซึ่งความดีอันเป็นประโยชน์อย่างนี้ แต่พุทธศาสนาของเรานั้นยังมีส่วนลึกล้ำดื่มด่ำ เกิดติดเนื้อถูกใจแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติคือตัวของเราเอง ไม่ใช่ผู้อื่น นั้นก็คือการทำใจให้สบายหรือสงบ หรือว่าผ่องใสหรือสะอาดก็สุดแท้ แต่ให้มันสบาย นี้คือพุทธศาสนา
ทีนี้การเข้าไปประยุกต์ในรูปการของศาสนาอิสลามคือพระอัลเลาะห์หรืออัลลาห์ อย่างที่เราเปิดวิทยุพบ เขาไหว้สวดมนต์อะไรอย่างนี้ ของพระอัลลาห์ข้อที่ ๑ ว่า นับถือพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลาห์ ข้อนี้ถ้าจะมาประยุกต์ในพุทธศาสนาของเราแล้ว ก็ให้มีความมั่นคงในความศรัทธาเชื่อถือต่อพระผู้เป็นเจ้า ถ้าเรามีความหมายอย่างนั้น ทีนี้พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้น ถ้าจะพูดเข้าไปอีก มิติที่สอง นั้นคือเจ้าแห่งไฟ แห่งลม แห่งดิน แห่งน้ำ เป็นเทพเจ้าเข้าไปสิงสถิตหมด ตามความกลมกลืนของพราหมณ์ แต่สภาพความเป็นจริงที่เหนือไปสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งเราทุกคนคิดไม่ถึงหรือคาดไม่ได้ ก็คือตัวแท้ คือธรรมชาตินั่นเอง ทั้งความเป็นเจ้า ทั้งความเป็นใหญ่ ทั้งพระเพลิง พระพาย ที่เรารู้ๆ กันมา นั่นก็คือตัวธรรมชาติตัวแท้ ฉะนั้นการเข้าถึงธรรมชาตินั่นแหละ ก็คือเข้าถึงเทพเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้า โดยเข้าถึงตัวของเราเองต่างหาก นี่ข้อที่ ๑ การเข้าประยุกต์ว่า ของพระอัลลาห์นั้นถึงซึ่งพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวคือพระอัลลาห์ มาเปรียบเทียบกับพุทธ ก็คือว่าให้ถึงซึ่งเทพเจ้า แต่ยังไม่ถึงก่อนนะ เป็นมิติหนึ่ง เจ้าตัวนั้นก็คือธรรมชาติตัวแท้ ซึ่งที่เรามักจะอ่อนช้อยไปกับธรรมชาติ ขอพระผู้เป็นเจ้า ขอพระพรหมเจ้าขา เทวดาช่วยด้วย อะไรทำนองนี้ นั่นก็คือธรรมชาติอันเป็นอยู่ซึ่งพระพุทธเจ้าค้นพบนั่นแหละ คือให้เข้าถึงธรรม
ข้อที่ ๒ มีการเข้าสมาธิหนึ่งวัน ๕ หน,๕ ครั้ง การฝึกจิตบ่อยๆ เป็นสิ่งที่พึงควรกระทำ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงดำรัสแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ประกาศสัจธรรมว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค มีความเอื้อเฟื้อในจิตให้ยิ่งขึ้นไป อย่าละเลยจิต ระวังจิต อบรมจิต หรืออย่างน้อยๆ อย่าทิ้งงานทางใจ จะเอาอื่นมาเป็นเครื่องอ้างว่าเหนื่อยนัก เพลียนัก ทำการงานมากแล้ว วันนี้หยุดเสียที,ไม่ได้ ให้เสมือนหนึ่งว่าการไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา การให้มี ให้เป็น ให้เกิดขึ้นแก่เรานั้น เป็นเสมือนหนึ่งไม่ใช่ยาเสพติด แต่เหมือนหนึ่งอาหารที่เรารับประทานหรือบริโภคเข้าไปเป็นการชูกำลัง ใจก็เหมือนกัน ต้องอาศัยธรรมะ คือการเจริญภาวนาสวดมนต์ไหว้พระ ให้มีให้เป็นแก่เรา แม้ช่วงระยะเวลาอันเล็กน้อย ๕ นาที ๓ นาที ก็ยังดี ดีไปกว่าไม่ทำเสียเลย นี่ข้อที่ ๒ ฉะนั้น ๕ หน เกล้ากระผมก็ว่ายังน้อยไป ๕ ครั้ง/
ท่านพุทธทาส : แต่ไม่ได้ทำเลย ใช่ไหมล่ะ ต้องนึกข้อนี้บ้าง/ หนึ่งวัน ๕ ครั้ง/
๕ ครั้งนะครับ หนึ่งวันใช่ไหมครับ/ คือการฝึกจิต ถ้ามาประยุกต์ของศาสนสัมพันธ์คือพุทธศาสนา อบรมจิต ฝึกจิตของตน/
ข้อที่ ๓ อดอาหารหนึ่งเดือนในหนึ่งปี คือโดยเฉพาะในเดือน ๙ อดอาหารหนึ่งเดือนในหนึ่งปี ข้อนี้ถ้าจะประยุกต์กันแล้ว การที่จะอดอาหารนั้น ถือว่าเป็นส่วนจำเป็นด้วยเหมือนกัน ทีนี้ต้องพิจารณาถึงภูมิประเทศ เหมือนของอาหรับอย่างนี้ นี้ถ้าทางภูมิศาสตร์ การที่จะให้สมบูรณ์ฟุ่มเฟือย อย่างเช่นในเอเชีย เช่น อินเดีย ลังกา พม่า ไทย จีน อะไรทำนองนี้,น้อย ฉะนั้นอาหารที่จะบริโภคจะดื่มทานเข้าไปนั้น ก็ให้รู้จักประหยัด นี่หนึ่งล่ะ ในหนึ่งปีประชากรอดกันตั้งหนึ่งเดือน หรือว่าเอาแต่เพียงเล็กน้อยนี่ เป็นการเซฟไปในตัว เป็นกุศโลบายของศาสนาของเขา ของเราเรียกว่า พระพุทธเจ้านี้เป็นผู้ปรีชาญาณเฉลียวฉลาด ให้มีการถือศีลอดหนึ่งเดือน ๔ ครั้ง, ๑๒ x ๔ = ๔๘ ถ้ารวบเพื่อทบทวนกันแล้ว ในหนึ่งปีเราอด ๔๘ ครั้ง มากกว่าเสียด้วยซ้ำไป แต่กุศโลบายอันฉลาดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นไปโดยนัยยะ ซึ่งไม่เกิดความรู้สึกว่าถูกห้ามด้วยประการทั้งปวง เพราะอาหารมื้อเย็นไม่มีความสำคัญเท่าใดนัก รับประทานแล้วก็นอน ฉะนั้นการเที่ยวเตร่ การที่โต๊ะห้าร้อย,พัน,สองพันนี้ จึงเป็นส่วนเกิน อย่างหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพุทธทาสว่า เรานั่งโต๊ะห้าร้อย โต๊ะพัน ในมุมกลับ ตรอกซอย ซึ่งกำลังดีด สี ตี เป่า ตีฉิ่ง ตีกรับ หรือเจ้าพระคุณสันเนม่า(นาทีที่ 58:07) จากโน่น ทางเหนือนี่ แต่ก่อนขายร้อยหนึ่ง เดี๋ยวนี้ขายสามสิบ อย่างนี้ พระเครื่องอะไรทำนองนี้เป็นต้น เพื่อความอยู่รอดของชีวิต จำเป็นจะต้องมีวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อความอยู่รอดได้ อย่างนี้ก็มี แต่ถ้าเรามานึกอย่างนั้น ก็น่าจะเสียสละ นี่ข้อที่ ๓ นี้การอดอาหารของพุทธศาสนาของเรานี้ ถ้าจะเปรียบเทียบกันแล้วยังมากกว่า พร้อมกันนั้นเดือนเพ็ญกลางเดือนนี้ พระจันทร์นั้นเป็นสิ่งที่ชวนให้ฝันชวนเพ้อชวนมองระหว่างปุถุชนทั้งหลาย พระพุทธเจ้าจึงมีแนวโน้มในการป้องกันสังคมที่จะเกิดขึ้นมาล้นเหลือไปจากอาหารที่ผลิตไม่ทัน นั่นคือการคุมกำหนัดโดยปราศจากคุมกำเนิดอย่างยุคปัจจุบันเขาทำกัน เพื่อการกระทำส่วนนั้นเป็นทางควบคุมประชากรล้นโลกไปในตัวด้วย นี่ข้อที่ ๓
ข้อที่ ๔ ๒.๕ เปอร์เซ็นต์บำรุงศาสนา ข้อนี้ให้นึกว่าเป็นการเสียสละ นอกจากบำรุงศาสนาแล้ว ก็เหมือนบำรุงประเทศชาติบ้านเมืองของเขา เราก็มีการเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ พุทธศาสนาจึงเป็นหลักสำคัญเป็นหัวใจของประเทศชาติเช่นเดียวกัน เมื่อใดเกิดวิกฤตการณ์บ้านเมืองซึ่งก่อให้เกิดความไม่สงบร่มเย็นก็ต้องการมุ่งหาสันติ สงครามโลกครั้งที่ ๑ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเสร็จสงครามกันแล้ว ต่างฝักต่างฝ่ายก็มุ่งหาสันติ จึงทำสัญญาต่างๆ เกิดขึ้น ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย เพื่อความผูกมิตรสัมพันธ์ในระหว่างกลุ่ม ระหว่างหมู่ ระหว่างคณะ ระหว่างประเทศ ระหว่างทวีป ฉันใดก็ฉันนั้น ฉะนั้นเมื่อท่านได้บำรุงพระพุทธศาสนาแล้ว ส่วนอื่นก็เรียกว่าเป็นส่วนที่พลอยได้รับความมั่นคงไปด้วย นั้นก็คือประเทศชาติและองค์ประมุขอย่างนี้เป็นต้น จุดสำคัญของการช่วยเหลือกันบำรุงพระพุทธศาสนานี้เป็นการเสียสละ ซึ่งจะเกิดขึ้นแก่ทุกศาสนา พุทธศาสนาของเรานั้นรู้สึกว่าการเสียสละหรือด้วยเกิดความศรัทธานั้น บางทีก็เรียกว่าหนักไปในด้านความโง่ หลง งมงาย เกิดจากเหตุก็ไม่ดับที่เหตุ อย่างอาจารย์พระพยอมว่าก็ได้ คือข้อนี้ เช่นเรียกว่าร้อนที่เรา ไปนึกว่าชาติก่อนไม่เคยสร้างพัดลมอย่างนี้ แต่ถ้าพามาถวายอาตมาก็รับเหมือนกัน ข้อที่ ๔ นะ นี่อย่างนี้
ข้อที่ ๕ หากเป็นไปได้ ไปเมกกะ หากเป็นไปได้ ก็ให้ถือโอกาสเดินทางไปเมกกะ เพื่อไหว้สิ่งอันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นมูลรากฐานอันเกิดขึ้นแห่งแหล่งศาสนา พุทธศาสนาก็เหมือนกัน ดูกรสงฆ์ทั้งหลาย สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล นั่นคือ ที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงธรรมจักรและปรินิพพานนี้ เป็นที่ที่เธอควรจะสำนึกอยู่เสมอฉันใดก็ฉันนั้น ฉะนั้นแม้พุทธศาสนา อุบาสก อุบาสิกา ก็ยังอยากจะน้อมนึกระลึกถึงเป็นพุทธานุสติไปในตัว แม้จะไม่ได้ไป ผู้มีความศรัทธาแก่กล้าจะเดินทางไปคารวะนมัสการที่อันเป็นที่ประดิษฐานที่สำคัญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสี่ยงต่อล่อแหลมอันตรายขึ้นเครื่องบินชีวิตอยู่ปลายเข็มอย่างนี้เป็นต้น ก็ยินดีเสียสละเอาชีวิตเข้าแลก ก็เพราะอาศัยมีความสำนึกในความเป็นมหากรุณาธิคุณแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นศาสนาของอิสลามซึ่งได้มีเจตนาในการที่จะให้ศาสนิกของเขาเดินทางไปเมกกะ อันเป็นดินแดนถิ่นที่เกิดแห่งศาสนานั้น ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนพุทธศาสนาของเราเหมือนกัน ให้นึกถึงค่าของพระอัลลาห์ หรือนึกถึงคุณสมบัติของพระอัลลาห์ อันเกิดมาก็เพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกอย่างแท้จริง หรือเป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นไปเพื่อความสร้างสรรค์อันแท้จริง ฉะนั้นการประยุกต์ศาสนาอิสลามเข้าสู่พระพุทธศาสนา ก็มีนัยยะดังที่มีความสามารถมีความเข้าใจอรรถาธิบายให้ญาติโยมและเพื่อนสหธรรมิกฟัง ก็มีแต่เพียงเท่านี้ สวัสดี//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,นิมนต์อาจารย์มหาประทีป เพราะว่าอยู่ใกล้อิสลาม/ เรืออิสลามมาจอดที่วัดนั้นเป็นประจำ เป็นที่จอดเรือปลาของอิสลาม/ คือให้เห็นว่ามันไปด้วยกันได้ ไม่ขัดกัน หรือว่าแทนกันได้ พระเจ้าองค์เดียว ละหมาด ๕ ครั้ง อดอาหารหนึ่งเดือนในหนึ่งปี บริจาคทรัพย์บำรุงศาสนา ๒.๕เปอร์เซ็นต์ทุกปี ถ้าอย่างไรก็ให้ไปเมกกะสักหนหนึ่ง//
พระอาจารย์มหาประทีป : เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับอิสลาม ก็เคยมีโต๊ะครูไปที่เกาะซึ่งเรียกว่าได้คุยกันก็เป็นที่พอใจ คือเข้ากันได้หมด อาตมาเคยสนทนากันว่า เรื่องปลีกย่อยเกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมต่างๆ นั้นก็ไม่ต้องเอามาพูดกัน ว่ากันอย่างนั้นก่อนทีแรก ขอให้ควักหัวใจมาดูกันทีเถอะ เมื่อเราควักหัวใจมาดูกันแล้วว่า ศาสนาอิสลามมีวิธีปฏิบัติอย่างไรที่สั้นๆ สรุปสั้นๆ ว่าทำให้พ้นจากความทุกข์ได้ ส่วนข้อปลีกย่อยเรื่องพิธีกรรมอย่างนั้นอย่างนี้นั้นเอามายืนยันไม่ได้ เพราะมันขึ้นอยู่ที่ปัจจัย โต๊ะครูคนนี้เรียกว่าโต๊ะครูหลี อาจารย์ของแกก็อยู่ที่เกาะยาว ที่พังงา ก็พูดได้สรุปสั้นๆ ๓ ข้อ ซึ่งมันสรุปอยู่ใน ๕ ประการนั้นทั้งหมด
คือข้อที่ ๑ ทำอะไรลงไปก็ตาม ถ้าหวังสิ่งตอบแทน อย่างนี้พระอัลเลาะห์ลงโทษ แล้วก็ไม่ให้รางวัล เพราะเห็นแก่ตัว ข้อที่ ๒ ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปก็ตาม ผลงานที่เกิดขึ้นยกให้พระอัลเลาะห์หมด อย่างนี้พระอัลเลาะห์ให้รางวัลและไม่ลงโทษ ให้รางวัลและไม่ลงโทษนะข้อที่ ๒ นี่ คือเนื้อตัวยังไม่ให้ แต่ข้อที่ ๓ ทั้งเนื้อตัวนี้และผลงานทั้งหมดยกถวายแก่อัลเลาะห์หมด อย่างนี้อัลเลาะห์เข้ารับ รับเข้าเป็นอันเดียวกับอัลเลาะห์เลย เรียกว่าเป็นหัวใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง หมายความว่าหมดปัญหา หมายความว่าไม่มีตัวตน หมดจากตัวตน ก็เลยมาเข้ากับแบบชาวพุทธของเรานี้ว่าอีกแง่หนึ่ง มุมหนึ่ง และทั้ง ๓ ประการนั้นวิธีปฏิบัติ พวกที่ทำถูกต้องจริงๆ แล้ว ก็คือในข้อที่ ๓ จึงเข้าถึงหัวใจหรือทำตามพระอัลเลาะห์อย่างแท้จริง ส่วนขั้นที่ ๒ นั้น ก็ยังไม่ถึงที่สุด ส่วนชั้นที่ ๑ นั้นไม่ทำตามอัลเลาะห์เลย เพราะทุกสิ่งเป็นของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์สร้าง
ทีนี้มาดูถึงแบบพุทธบ้าง เรามาดูแบบชาวพุทธ ที่จริงนั้น ตอนเย็นๆ ที่เราทั้งหลายได้ทำวัตรเย็น
ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แก่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แก่พระธรรม ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แก่พระสงฆ์ หมายความว่าทั้งเนื้อตัวและผลงานที่เกิดขึ้นต้องอุทิศพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หมดเหมือนกัน คือหมดตัวเหมือนกัน ก็ไม่มีตัว หรือจะถือหลักที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นคำพูดสั้นๆ แก่คนในยุคโน้นว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา เพราะทุกสิ่งเป็นของพระธรรม ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า เราเกิดขึ้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้นก็ตาม สิ่งนี้มันมีอยู่ก่อนแล้ว อย่างของอิสลามที่หลักปฏิบัติข้อแรกก็คือ ทุกสิ่งเป็นของอัลเลาะห์ อัลเลาะห์สร้าง ฉะนั้นถ้าลุกขึ้นมาเช้าๆ ตอนตี ๔ จะได้ยินเสียงลั่นหมดเลย แล้วก็ทำอย่างจริงๆ จังๆ เคยไปที่โต๊ะครูที่รัตตภูมิที่สงขลา ไปดูเขาทำละหมาดกันทั้งวันเลย คือเขาทำจริงๆ เลย เขากระแทกจริงๆ หมดทั้งเนื้อทั้งตัว ยังมาคิดอยู่ว่า เอ๊,จะทำอย่างไร ให้แบบพุทธจะได้สัมผัสทั้งหมดทุกส่วน ของเขาทุกส่วนเลย ยืนแล้วก็นั่ง แล้วก็เวลานอนก็ว่าละลายไป(นาทีที่ 01.08)จนหลับไปเลย ทีนี้แบบชาวพุทธเราก็ว่าแต่ปาก เดี๋ยวนี้แม้แต่ปลายปากมันชักจะว่าไม่ออก เวลาสวดมนต์ตามบ้านอะไรต่างๆ นี้ไม่ค่อยได้ยินเสียง แต่ถ้าหากว่าเรื่องคุยกันอย่างอื่นนั้นดังลั่นไปหมด นี่เรียกว่าชักจะไม่จริงเข้าทุกวัน
ฉะนั้นในหลักปฏิบัติ ๕ ประการนั้นมาสรุปอยู่ที่ตรงนั้น นี่เอามาพูดแบบสั้นๆ ซึ่งเคยสนทนากันกับโต๊ะครูหลี คนนั้น ต่างคนต่างก็เข้าใจกันได้ แล้วตอนนี้พวกอิสลามก็ไปที่เกาะเพิ่มขึ้น แล้วบางคนก็พาลูกพาหลานไป เพราะว่าคือเขามาเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่งว่า นอกจากอัลเลาะห์แล้วจะไม่เคารพใคร ทีนี้กับพ่อกับแม่ โดยมากพวกอิสลามนี้เขาจะพูดมึงกูทั้งนั้น ทีนี้เลยบอกว่า ที่ว่านอกจากอัลเลาะห์แล้วจะไม่ก้มหัวให้ใครนั้น นี่เรียกว่ายังไม่เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอัลเลาะห์สร้างใช่ไหม ในพ่อในแม่เขานั้น อัลเลาะห์สร้าง อัลเลาะห์อยู่ในนั้น เมื่อเราเคารพคุณพ่อคุณแม่,ปะ มะ ก็เท่ากับเคารพอัลเลาะห์ ทีนี้ทำให้พ่อแม่อิสลามชอบใจ แล้วก็ชอบใจมาก แกบอกลูก เห็นไหมลูก,เห็นไหมลูก ชี้ลูกให้ฟัง ที่คุยให้เขาฟัง นี่เป็นปัญหา ก็เลยอยู่กันอย่างสบาย แม้อาตมาเองคุณย่าก็เป็นอิสลาม ทีแรกไม่รู้เรื่องเลย คล้ายๆ เอาแต่ขัดแย้งกันเรื่องอย่างนี้ เด็กๆ เคยเรียน ๘๐ เปอร์เซ็นต์เป็นอิสลาม พวกเด็กอิสลามบอก เถียงกันไปเถียงกันมา เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าของพวกแกไม่เห็นดีตรงไหน หัวแหลมเหมือนหนามทุเรียน นี่เขาว่าอย่างนี้ เถียงกันไปเถียงกันมาอย่างนี้ เราก็ด่าเขาว่ากันเจ็บๆ เพราะไม่รู้เรื่องนี่แหละ ทีนี้ตอนนี้เรียกว่าพอได้หัวใจแล้วก็มาอธิบายได้ง่ายมาก ในเรื่องข้อปลีกย่อย เช่นละหมาดวันหนึ่ง ๕ ครั้ง หรือให้ทานจุนเจือช่วยพระศาสนา หรือไปละหมาดวันละ ๕ ครั้ง เป็นเรื่องการที่ไม่เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละใน ๕ ประการนั้น นี่มีความเห็นอย่างนี้ ซึ่งก็เคยได้รับผลสำเร็จมาแล้ว ด้วยการคุยกับโต๊ะครู แล้วเดี๋ยวนี้ก็ว่าทำให้เข้าใจกันได้ พวกอิสลามก็มาฟังเข้าใจ ขอให้ความเห็นเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,นิมนต์ๆ อาจารย์เสมอ อีก จะได้สำเร็จไปเสียที/ มีหน้าที่ศาสนสัมพันธ์//
พระอาจารย์เสมอ : ต่อไปก็เข้าในเรื่องปัญหาที่เป็นคนตั้ง เรื่องศาสนาอิสลามให้ประยุกต์ให้เข้ากับศาสนาพุทธ จะได้บ้างหรือไม่ หลักเบื้องต้นในศาสนาอิสลาม ๕ ประการดังที่ท่านทราบแล้ว ถ้าเราจะประยุกต์ให้เข้ากับศาสนาพุทธจะได้บ้างหรือไม่นั้น ก็อย่างที่คุณท่านมหาได้พูดไปแล้ว คืออาตมามีฐานะเป็นที่ปรึกษาของศูนย์ศาสนสัมพันธ์ของจังหวัด ก็พยายามเคยลากมาแล้ว เคยลากเข้าวัด ใช้ภาษาว่าลากเข้าวัด คือจะลากศาสนาอิสลามให้ตรงกับศาสนาพุทธบ้าง คือข้อที่ว่าเรามีพระเจ้าองค์เดียว คือถือพระเจ้าองค์เดียว ไม่ถือสิ่งอื่นนั้น อันนี้อาตมาก็บอกว่า เราก็มีพระเจ้าเหมือนกัน แต่พระเจ้าของเขานั้นคือพระอัลเลาะห์ คำว่าอัลเลาะห์นั้น ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีขา ไม่มีแขน ไม่มีอะไรทั้งหมด คือไม่มีอะไรทั้งหมด ไม่เป็นรูป ไม่มีรูป แต่ว่าทรงรู้พิเศษ สิ่งนี้เราก็ได้แก่พระธรรม อันนี้ก็เลยบอกว่า นี่ของเราก็มีพระธรรม พระธรรมก็เหมือนกับว่าไม่มีตัวมีตน เป็นนามธรรม อันนี้เราก็เข้ากับพระธรรม
ส่วนคำว่าทำละหมาดวันละ ๕ ครั้ง อันนี้ก็การเข้าถึงพระธรรม คือการเข้าถึงพระเจ้า ๕ ครั้งนั้น เรามีการปฏิบัติเพื่อทำละหมาด เดิมทีต้องทำวันละ๒๕ ครั้ง แต่เมื่อขอมาๆ ก็เหลือ ๕ ครั้ง แต่ต้องทำทุกวัน อันนี้ก็การเข้าถึงพระเจ้า การเข้าถึงของเราก็คือการปฏิบัติตามพระธรรมนั่นเอง คือกิจวัตรประจำวันของเราที่เราชาวพุทธมีการทำวัตรสวดมนต์ อย่างของเขา ๕ ครั้ง ของเราวันละ ๒ ครั้ง คือที่บ้านเอง อย่างทำสมาธิภาวนาอาจจะทำเกิน ๕ ครั้งก็ได้ อันนี้การปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงพระเจ้า คือเข้าถึงพระธรรม
ข้อ ๓ การถือศีลอดนี้ ก็คือการรักษาศีล การรักษาศีลอดของอิสลามในเดือนรอมฎอน หรือเดือนที่ ๙ นี้ ปีละหนึ่งครั้ง ของเราอย่างที่อุบาสกอุบาสิกาถือปฏิบัติกันอยู่ ก็เดือนละ ๔ ครั้ง คือถือศีลอด ก็คือรักษาศีลอุโบสถนั่นเอง คือการถือศีลอด เราเป็นพระนี้ถือตลอดชีวิตของความเป็นพระ ถือศีลอดเหมือนกัน คือถือตลอดชีวิต มากกว่าอิสลามเสียอีก สรุปเรียกว่าการถือศีล เราใช้คำว่ารักษา ถือศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็คือการถือศีล อันนี้ก็เข้ากันได้ในแง่ของการถือศีล
แล้วการที่บำรุงศาสนา ๒ เปอร์เซ็นต์ครึ่งนี้อย่างที่ว่าแล้วนั้น ของเราก็ทำอยู่ คือการบริจาคเงินบำรุงพระพุทธศาสนาตามคุณสมบัติของอุบาสกว่า เราต้องบริจาคอุปถัมภ์บำรุงพระศาสนา เราทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทำอะไรกันอยู่นี้ ก็เรียกว่าเราก็มีการทำบุญบำรุงศาสนาเหมือนกัน แต่ถ้าศาสนาอิสลามเขาใช้คำว่าทำบุญไม่ได้ ต้องบอกว่าช่วยสงเคราะห์ ช่วยเหลือกัน ระหว่างศาสนานี้ถ้าว่าทำบุญไม่ได้ กลัวบาป แต่พูดของเขาได้ แต่ถ้ามาใช้กับเราว่าทำบุญไม่ได้ แต่บอกว่าช่วยเหลือได้ ช่วยเหลือกันอย่างนี้ได้ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในฐานะเป็นมนุษย์ต้องช่วยกัน อย่างสังคมสงเคราะห์ อย่างคุณแสงดาว,คุณหญิงแสงดาว สยามวาลา ปัจจุบันนี้ก็เป็นเจ้าหน้าที่อยู่ด้านนี้ เราใช้คำว่าสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือกัน อย่างโรงเรียนเด็กกำพร้าอย่างนี้ก็ช่วยกัน อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นบาป ถ้าเราถือว่าทำบุญแล้ว เขาห้ามทำบุญระหว่างศาสนาด้วยกันนะครับ อันนี้เราก็ใช้ได้
ข้อที่ว่าไปฮัจญ์ในเมกกะ ทุกคนมีสุขภาพอนามัยดี อย่างน้อยในช่วงชีวิตหนึ่ง ปีละหนึ่งครั้ง ชีวิตหนึ่ง ๑ ครั้ง อันนี้เราก็อาจจะไปกับพี่น้องชาวพุทธเราก็ทราบว่า อย่างที่พุทธประวัติกล่าวไว้ชัดว่า ถ้าเมื่อตถาคตนิพพานแล้ว บุคคลคิดถึงพระองค์ก็ไปยังสังเวชนียสถาน ที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน บุคคลที่ยังไปไม่ได้ในวันเช่นนั้นก็คิดวันสำคัญ เช่นวันมาฆะ วิสาขะ วันมาฆองอุบาสก อุบาสิกา เราต้องบริจาค้วนั้น ของเราก็ทำอยู่ คือการะนอนใจได้ว่าต้องรังเกียจ ้ครับบุญญาวัตถุของเรานั่นเอง ถึง อันนี้อาตมบูชานี้ก็เป็นวันเข้าถึงสถานที่เช่นนี้เหมือนกัน,แทน คือถึงวันสำคัญเราก็ทำพิธีบูชาในวันสำคัญนั้นองอุบาสก อุบาสิกา เราต้องบริจาค้วนั้น ของเราก็ทำอยู่ คือการะนอนใจได้ว่าต้องรังเกียจ ้ครับบุญญาวัตถุของเรานั่นเอง ถึง อันนี้อาตม
สรุปให้สั้นก็คือว่า ปฏิบัติในทานศีลภาวนานั่นเอง พูดให้สั้น คือข้อการเข้าถึงพระเจ้า การมีพระเจ้าองค์เดียว หรือการเข้าถึงพระเจ้าวันละ ๕ ครั้งนี้ หรือการไปทำฮัจญ์นี้ ถ้าเราจะพูดให้สั้นก็คือเข้าในข้อภาวนาของเรา ทีนี้การถือศีลก็ชัดแล้วคือการรักษาศีล นอกนั้นการบำรุงศาสนาก็บริจาคทาน แล้วก็ทาน ศีล ภาวนา คือบุญกิริยาวัตถุของเรานี่เอง ก็เข้ากับบุญกิริยาวัตถุของเรา ที่เราทั้งหลายชาวพุทธทำอยู่ แล้วก็พอจะเข้ากันได้ พูดอย่างนี้ก็ไม่เป็นการขัดข้อง ที่ทำกันอยู่ก็ทำกันได้อย่างนี้ ผมมีความเห็นอย่างนี้ครับ//
ท่านพุทธทาส : ถ้าจะพอแล้วกระมัง ไม่ต้องเอาทั้งหมด เพราะฟังดูก็พอจะได้ความแล้วว่า ไม่มีข้อที่จะต้องรังเกียจ, ไม่มีข้อที่จะต้องรังเกียจ โดยหลักเราก็มีอะไรที่มีความมุ่งหมายคล้ายๆ กันอยู่ จึงอาจจะนอนใจได้ว่าไม่มีปัญหาที่จะตั้งข้อรังเกียจ/ เดี๋ยวนี้ ๒๔.๐๐ น. สมาชิกก็หายหมดแล้ว/ ผมยังมีอีกสองข้อ แต่ถ้าว่าสู้ไม่ไหวแล้ว ก็เลิก/ ประชาชนไม่เกลียดชังกิเลส มีหนทางจะแก้ไขอย่างไร/ ประชาชนของเรานั้นไม่เกลียดกิเลส ไม่เกลียดความทุกข์ เขาจึงไม่รับฟังคำสั่งสอนของเรา เขาไม่กลัวกิเลส เขาไม่เกลียดกิเลส ถ้าประชาชนยังไม่กลัวกิเลสไม่เกลียดกิเลส คำสอนก็เป็นหมัน แล้วเขาก็ไม่ยินดีจะฟังแก่เรา ฉะนั้นท่านผู้ใดมีความคิดเห็นอย่างไรที่จะแก้ไขให้ประชาชนเกลียดกลัวกิเลสยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์/ เอ้า,อาจารย์จำนรรค์คนแรก เสนอความเห็นส่วนตัวว่า เรามีวิธีอย่างไรที่จะให้ประชาชนเกลียดกลัวกิเลสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าเราทำได้อย่างนี้ แล้วการงานของเราก็จะต้องสำเร็จแน่ ทีนี้มันติดอยู่ที่ประชาชนเขาไม่กลัวกิเลส ไม่เกลียดกิเลส ไม่เกลียดความทุกข์//
พระอาจารย์จำนรรค์ : บัดนี้เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร แล้วสมาชิกก็เหลือน้อยเต็มที แต่ก็ยังต่อสู้กัน ถึงแม้ว่าจะพูดฟังเองก็เอา ไม่มีคนฟังก็ฟังกันเอง คือปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการเผยแผ่หรือการประกาศพุทธศาสนาไม่สำเร็จ นี้เป็นปัญหาสำคัญมาก ที่ไม่สำเร็จปัญหาใหญ่ก็คืออยู่ที่เหตุผลหลายอย่าง อาจจะอยู่ที่ผู้เผยแผ่ด้วย แล้วก็อยู่ที่ผู้รับการเผยแผ่หรือผู้รับฟังด้วย ทีนี้ผู้รับฟังโดยทั่วๆ ไปนั้นเขายังมองไม่เห็น ที่มองไม่เห็นนั้นบางทีผู้ที่ไปพูดหรือไปแสดงนั้นชี้ไม่ถูกจุด หรือมองไม่เห็นชัดว่ากิเลสความชั่วร้ายต่างๆ นั้นให้ผลอย่างไร ให้ผลแก่ผู้มีผู้ประพฤติปฏิบัติอย่างไร คือบางทีก็ชี้ไม่ชัด จึงทำให้คนมองไม่เห็นโทษของกิเลส เมื่อคนส่วนมากมองไม่เห็นโทษของกิเลส บางทีก็เลยเป็นเกลอกับกิเลสไปเลย แล้วก็ถูกกิเลสนี้มีอำนาจเหนือจิตใจ คือธรรมะนั้นมีน้อย ซึ่งตามปรกติธรรมดาแล้ว ฝ่ายธรรมะนั้นมันมีน้อยอยู่แล้ว ก็เลยทำให้เมื่อกิเลสมันเกิดขึ้นก็รู้ไม่เท่ารู้ไม่ทัน เพราะที่ไม่เคยฝึกไม่เคยฝึกหัดมีสติมาก่อน ก็เลยรู้ไม่ทัน เมื่อรู้ไม่ทันก็เลยเป็นฝ่ายของกิเลสเรื่อยไป ก็เลยถูกอำนาจของกิเลสนี้มีอำนาจเหนือจิตใจ ก็ทำให้คนมองไม่เห็นโทษ ทั้งๆ ที่บางทีผลของกิเลสมันก็ให้โทษอยู่แล้ว อย่างเช่นต้องประสบความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน อันนี้เห็นอยู่ประจักษ์ชัดแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึก เหมือนกับคนโง่ไปจับไฟ ทั้งๆ ที่มันร้อนก็บ่นว่าร้อนๆ ก็ยังดันไปจับอยู่เรื่อย เพราะรู้ไม่ทัน คือเรียกว่าเพราะความโง่,เพราะความโง่
ทีนี้การที่จะทำให้คนเห็นหรือกลัวกิเลสหรือความชั่วร้ายต่างๆ นี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำกันหลายฝ่าย แล้วก็ต้องทำกันอย่างจริงจัง ให้ประชาชนหรือคนทั่วไปมองเห็นชัดว่า กิเลสนี้เป็นสิ่งชั่วร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดๆ หมด คน,ปัญหาของคนก็ดี ปัญหาสังคมก็ดี ปัญหาของโลกก็ดี ที่เดือดร้อนวุ่นวายกันอยู่ทั่วไปนั้น ก็เพราะกิเลสตัวเดียว กิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก่อให้เกิดความทุกข์ความยุ่งยาก ก่อให้เกิดปัญหามากมายหลายประการนั้น ก็เกิดมาจากสิ่งๆ เดียวคือกิเลส
ทีนี้การที่จะทำให้รู้ ก็ต้องอธิบายคือต้องชี้แจงให้เหมือนกับคนที่จะต้องรู้ว่าไฟมันร้อนอย่างไร มันให้โทษอย่างไร มันร้อนอย่างไร แล้วก็พยายามชี้แจงหรือบางทีก็เอาประสบการณ์ที่เขาประสบการณ์อยู่แล้วมาชี้ให้เห็นจริงๆ ให้เห็นประจักษ์ชัดจริงๆ ว่ากิเลสนี้มันก่อให้เกิดความทุกข์จริงๆ แล้วก็ยกตัวอย่างของบุคคลที่ถูกกิเลสครอบงำแล้วก็ทำตามอำนาจของกิเลสมีความทุกข์อย่างไร จนกระทั่งความทุกข์ที่เกิดมาจากอำนาจของกิเลสนี้มันมีความทุกข์ยาวนานด้วย บางทีความทุกข์นั้นไม่ใช่เฉพาะตัวเราคนเดียว ยังก่อให้ผู้อื่นบุคคลอื่นที่เกี่ยวเนื่องก็พลอยเป็นทุกข์ด้วยยืดยาว อย่างเช่นคนเพียงคนเดียวนี้สามารถที่จะทำให้คนทั้งโลกเดือดร้อนได้ เป็นทุกข์ได้ เพราะคนเพียงคนเดียว คนเพียงคนเดียวนั้น ที่มันก่อความทุกข์ความเดือดร้อนนั้น ก็เพราะอำนาจของกิเลสครอบงำจิต
ทีนี้ที่เป็นอยู่นั้น จะว่าเขาไม่มีศาสนาก็ไม่ใช่ อย่างเช่นในเมืองไทยนี้ ปัญหาเดือดร้อนเบียดเบียนกัน อย่างเช่นเขาบอกว่าฆ่ากันตายเป็นอันดับหนึ่งของทวีปเอเชียนี้ ก็ไม่ใช่คนไม่มีศาสนา ล้วนแต่เป็นผู้ที่ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพุทธศาสนาเกือบเรียกว่า ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แล้วทำไมจึงฆ่ากันเหมือนกับผักกับปลา เป็นเพราะอะไร นี่ก็เพราะไม่เห็นโทษ ไม่เห็นโทษของกิเลส แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ธรรมะหรืออำนาจของธรรมะฝ่ายธรรมะไม่พอ จะเรียกว่าไม่สมดุลกัน ฝ่ายธรรมกับฝ่ายอธรรมนั้นเรียกว่ามันไม่สมดุลกัน คือฝ่ายอธรรมมันมีมากกว่า จึงมีอำนาจ,มีอำนาจเหนือ แต่ฝ่ายธรรมะมีน้อย ทีนี้จะเรียกว่าเราชาวพุทธไม่รู้ธรรมะไม่รู้ศีลธรรมเลย ก็ไม่ถูกเหมือนกัน รู้,ทำไมจะไม่รู้ ศีลคืออะไรก็รู้ ธรรมคืออะไรก็รู้ แต่ทำไมจึงไม่มี นี่เราขาดอยู่ คือขาด ๒ อย่าง คือขาดมี รู้เฉยๆ แต่ไม่มี รู้ธรรมะแต่ไม่มีธรรมะ รู้ศีลแต่ไม่มีศีล แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไร รู้ด้วย มีด้วย แล้วก็สามารถใช้ด้วย เหมือนกับมีเงิน รู้ว่าเงิน แล้วก็มีเงินด้วย ใช้เงินด้วย มันก็สำเร็จประโยชน์
ทีนี้ในสภาพที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ในเมืองไทยนี้ รู้เฉยๆ แต่ไม่มี คือไม่มีธรรม อย่างเช่นเรามาสวนโมกข์นี้ รู้ นี่ไม่ใช่นั่น อะไรก็ไม่ใช่ ตถตานี้ อย่างที่ท่านอาจารย์ท่านสอน รู้แต่ว่าเราไม่มี ฉะนั้นทางศาสนานั้น จึงให้สอนให้รู้ด้วย ให้มีด้วย ให้ใช้ด้วย ถ้ามีทั้งสามอย่างนี้ รู้ด้วย มีด้วย ใช้ด้วย สำเร็จประโยชน์เต็มที่เลย กิเลสไม่สามารถที่จะครอบงำได้ เราก็เป็นฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกิเลส ทีนี้การที่จะทำให้คนทั้งโลกหรือประชากรทั่วไปคนทั่วไปนี้เห็นโทษ เห็นทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นจากอำนาจของกิเลสนี้ ก็ต้องมีวิธีการมีหลักการหลายๆ อย่าง อย่างที่พระเดชพระคุณท่านได้ทำอยู่นี้ อย่างเช่น มีวิธีการหลายๆ อย่างร่วมกันนี้ ชี้แจง แนะนำ ตักเตือน สั่งสอนกัน ว่ากันเรื่อยไป แล้วก็จะทำให้ประชาชนหรือคนทั่วไปนี้เห็นโทษของกิเลสอย่างชัดเจน แล้วก็จะทำให้หาทางเอาตัวรอด เมื่อหาทางเอาตัวรอด ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากศาสนาหรือพระธรรมซึ่งเป็นที่พึ่งอันสูงสุด แล้วก็เมื่อมีพระธรรม รู้พระธรรม มีพระธรรม ใช้พระธรรมด้วย แล้วกิเลสก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ สำหรับผมก็มีความคิดเห็นเพียงแค่นี้//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,นิมนต์/ ปัญหาคนไม่เกลียดกิเลสไม่กลัวกิเลส เราสอนเรื่องละกิเลส เขาก็อุดหูเสีย/ ผมพยายามอย่างยิ่งแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในการที่จะให้ผู้ฟังเกลียดกิเลสหรือกลัวกิเลส เดี๋ยวนี้ชักว่าจะหมดปัญญาอยู่แล้วที่จะพูดเรื่องนี้/ นิมนต์อาจารย์เสมอ,อาจารย์เสมอ/ ทำอย่างไรประชาชนจึงจะเกลียดกิเลสยิ่งกว่าอะไร กลัวกิเลสยิ่งกว่าอะไร//
พระอาจารย์เสมอ : ญาติโยมหลายคนยังสู้อยู่ แสดงว่าปักหลักสู้/