แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมมิคทั้งหลาย และผู้จัดโครงการสัมมนาขอร้องให้ผมให้ช่วยบรรยายประกอบการสัมมนานั้นบ้าง เพื่อประโยชน์แก่พวกเราที่จะได้ร่วมมือกันกับรัฐบาลในการที่จะพิทักษ์ป่าไม้ให้ดียิ่งขึ้น ผมก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุผล หรือบางทีจะเรียกว่าจำเป็นด้วยซ้ำที่จะต้องช่วยกันทำ แต่เนื่องจากเดี๋ยวนี้ผมเป็นผู้ทุพพลภาพไปแล้วคือไม่มีแรง เวลาที่จะมีเรี่ยวแรงบ้างก็คือเวลาอย่างนี้ เวลาหัวรุ่งตีห้า พอจะมีเรี่ยวแรงยิ่งกว่าเวลาอื่นจึงต้องขอบรรยายในเวลาอย่างนี้ แต่มันมีเหตุผลอย่างอื่นรวมอยู่ด้วยคือเวลาอย่างนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะฟัง จะคิดนึกศึกษา คือ จิต หรือมันสมองก็ตาม มันกำลังสดชื่น สดใสมีเรี่ยวมีแรง ก็ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาสมควร ยังไม่มีอะไรบรรจุลงไป มันยังว่างอยู่ ไอ้จิตหรือสมองมันยังว่างอยู่ จึงบรรจุอะไรลงไปได้โดยง่าย เราเรียกกันว่ามันเป็นเวลาที่น้ำชายังไม่ล้นถ้วย ยังเติมลงไปได้โดยง่าย ถ้าไปถึงกลางวัน บ่าย เย็น ไปแล้ว มันใส่อะไรลงไปมากจนน้ำชาเต็มถ้วย ใส่ไปก็ล้น แต่ว่าเรามองอีกทางหนึ่งก็คือเป็นความเหมาะสมโดยธรรมชาติ ธรรมชาติมันจัดให้ โลกเวลา ๕ น. คืออย่างนี้ เวลานี้ เรียกว่า โลกเวลา ๕ น. มันเป็นเวลาที่พร้อมที่จะเบิกบาน ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ แม้แต่ดอกไม้ในป่านี่มันก็จะเริ่มบานกันเวลาอย่างนี้ จิตใจของคนก็เหมือนกัน ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ คือ เวลาจะรุ่ง เป็นเวลาเหมาะสม คือ จิตใจเบิกบานพร้อมที่จะรับ จึงเลือกเอาเวลาอย่างนี้ เวลาอย่างนี้ก็ใช้นอน กำลังนอนสบาย นอนสบาย ยิ่งฆราวาสด้วยแล้วก็ยิ่งนอนสบาย และพระก็เหมือนกัน โดยมากก็ใช้เป็นเวลานอนที่สบาย ไม่ได้ใช้โลกเวลา ๕ น. นี้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้น ขอถวายความแนะนำว่า ถ้ายังไม่ได้เคยใช้โลกเวลา ๕ น. ให้เป็นประโยชน์อยู่เป็นประจำแล้ว ขอให้ไป ไปจัดการปรับปรุงเสียเถิด ให้ได้ใช้โลกเวลา ๕ น. ทำการคิดนึกศึกษาหรือปฏิบัติธรรมะ หรืออะไรก็ตาม จนมันเคยชินเป็นนิสัย เคยชินเป็นนิสัย มันก็จะสนุกไป ไม่เสียดายเวลานอนสนุก ทำไมมันจึงแข็งๆ อย่างไรวันนี้ ไมโครโฟน ล็อกไปเถิด ได้ยินน่ะ
สำหรับหัวข้อที่เขากำหนดให้ก็มีว่า ชีวิตกับป่าไม้ มีอีกหัวข้อหนึ่งก็ว่า การพัฒนาชีวิตกับสิ่งแวดล้อม นี่ขอให้ ให้กำหนดไว้ในใจว่าเราจะพูดกันด้วยเรื่อง ๒ หัวข้ออย่างนี้
ก็พูดกันเรื่องชีวิตกับป่าไม้ ป่าไม้กับชีวิต นี่ก่อน มันควรจะลำดับกาลเวลามาตามลำดับว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ชีวิต นี้มันตั้งต้นอย่างไร มาตั้งแต่เมื่อไร อย่าคิดว่าตั้งต้นว่าออกมาจากท้องแม่ มันจะโง่มากเกินไปกระมัง เพราะสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิต มันมีหลายความหมาย ความหมายถึงชีวิต คือ สิ่งที่มีชีวิต ที่เกิดเป็นสิ่งที่มีชีวิต เจริญงอกงามพัฒนาขึ้นมา นี่ก็เรียกว่าชีวิต ชีวิตสำหรับตายอีก แล้วตายเล่า อย่างนี้ก็เรียกว่าชีวิต การดำเนินชีวิตก็เรียกว่าชีวิต วิถีชีวิตก็เรียกว่าชีวิต แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อฟังดูจากหัวข้อนี้แล้วว่า ชีวิตกับป่าไม้ มันจะต้องหมายถึงชีวิตอันใหญ่หลวง ชีวิตอันใหญ่หลวง เพราะว่าโลกแต่ก่อนโน้น จุดตั้งต้นของโลก มันไม่มีสิ่งที่มีชีวิต มันมีแต่โลก โลกอย่างวัตถุ ยังไม่มีชีวิต มันมีไม่ได้ พวกนักวิทยาศาสตร์เขาเขียนไว้สรุปใจความสั้นๆ ว่า ไอ้ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่มันมีอยู่ แต่ไหนเมื่อไร ก็ไม่รู้ มันก็มีอยู่แล้ว วันหนึ่งมันเกิดระเบิด Big Bang, Big Bang, Big Bang คือ ปังใหญ่ขึ้นในดวงอาทิตย์นั้น ไอ้ส่วน ไอ้ส่วนที่มันระเบิดออกไป กระจายออกไปนั่นแหละ เป็นควัน เป็นอะไรก็แล้วแต่มากมาก เป็นหมอกควัน หมอกเพลิง หมอกอะไรก็แล้วแต่จะเรียก เรียกลำบาก จากการระเบิด ปังใหญ่ของดวงอาทิตย์ยุคนั้น ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ เป็นหมอกเพลิง และไอ้หมอกเพลิงเหล่านี้ค่อยเข้มข้นเข้า จับตัวกันเข้า จับตัวกันเข้าเป็น ไอ้ดวงดาวต่างๆ นี่ รวมทั้งโลกเรานี้ด้วย ก็เรียกว่านิดเดียว ถ้าเมื่อเทียบกับดวงดาวต่างๆ มันมากมายมหาศาล ในโลก โลกเดี๋ยวนี้ มันนิดเดียว แต่ก่อนมันก็มาจากไอ้ระเบิด ปังใหญ่ เป็นหมอกควัน แล้วก็หลอมตัว จับตัว กันเข้ามาเป็นก้อนกลมๆ เป็นโลกเกลี้ยงๆ ไม่มีชีวิต ชีวิตมันตั้งต้น ไอ้ลูกกลมๆนี้ มันมีอายุนานเข้า นานเข้า รวบรวมความชื้นได้มากเข้า จนมีน้ำ มีอะไรขึ้นมา มีน้ำขึ้นมานั่นน่ะ มันเป็นฐานที่ตั้งของชีวิต ชีวิตมันตั้งต้นในน้ำ มันตั้งต้นเมื่ออยู่ในน้ำ แล้วค่อยออกมา เป็นบก เป็นอะไรทีหลัง ชีวิตที่ละเอียด ที่มองไม่เห็น ตั้งต้นขึ้นมาในความชื้นหรือในน้ำ ของที่ ค่อย ๆ ๆ มีขึ้นมาในโลก ก็เป็นชีวิตที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่มีลักษณะต่างๆ กัน จะจับกลุ่ม จับกลุ่ม จับกลุ่มกันเข้าเป็นชีวิต ชนิดที่เป็นพืช และเป็นสัตว์ นานเข้า นานเข้า นานเข้า มันมีปัจจัยที่จะหล่อเลี้ยงมากขึ้น มากขึ้น ชีวิตพืช ตั้งต้นขึ้นมาก่อน คือ เป็นอาหารของไอ้ชีวิตประเภทสัตว์ ชีวิตประเภทสัตว์ มันก็มาทีหลัง มันได้อาศัยชีวิตประเภทพืชนั่นแหละ เป็น เป็นรากฐาน เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แล้วมันก็เจริญขึ้นมาด้วยกัน เจริญขึ้นมาด้วยกัน ไอ้พืชที่ เล็กจนมองด้วยตาไม่เห็น ก็ค่อยโต ค่อยใหญ่ ค่อยใหญ่ ขึ้นมา เป็นเซลล์ เป็นอะไรขึ้นมา กระทั่งเป็นพืชพันธุ์ต่างๆ ฝ่ายสัตว์ก็เหมือนกัน มันก็เป็นสัตว์ที่มองด้วยตาไม่เห็น จนกระทั่งมันเป็นสัตว์ที่เติบโตขึ้นมา เป็นสัตว์ทั่วๆ ไปอย่างนี้ ไอ้ชีวิตพืชและชีวิตสัตว์ เรียกว่ามันเป็นคู่หูกันมาแหละ ไม่มีชีวิตพืช ไอ้ชีวิตสัตว์มันก็เกิดไม่ได้ นี่เรียกว่ามันมีพืชขึ้นมา สำหรับเป็นรากฐานให้เกิดชีวิตสัตว์ ชีวิตสัตว์ได้อาศัย เลี้ยงชีวิตพืช ตั้งอยู่บนชีวิตพืช จนกว่าจะมาเป็นไอ้พืช พฤกษาชาติ และพืช สัตว์ สัตว์ทั้งหลายอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน นี่แหละชีวิต มีจุดตั้งต้น และก็เป็นมาในลักษณะอย่างนี้ มีพฤกษชาติ และก็มีสัตวชาติ พฤกษชาตินี้คือ พืชพันธุ์ฝ่ายพฤกษาทั้งหลาย ตั้ง ตั้งแต่ไอ้ตะไคร่อันละเอียด กระทั่งเป็นหญ้า เป็นบอน เป็นต้นไม้ เป็นต้นไม้สูงใหญ่ โตมหึมา นี่สัตว์ สัตว์น้ำ สัตว์ในน้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กระทั่วเป็นสัตว์บก กระทั่งเป็นสัตว์มีปีกบินไปได้ เชื่อกันว่ามาสูงสุดอยู่ที่คนนี่ หรือ หรือสัตว์ที่มันมีความฉลาดไล่เลี่ยกับคน เช่น ช้าง เป็นต้น แยกไปเป็นแขนง แขนง แขนง ก็รวมเรียกว่าสัตว์ ได้เกิดขึ้น มันต้องมีพืช และก็มีป่าไม้ มันจึงมีสัตว์ทั่วๆ ไปกระทั่งเป็นคน เราก็มาแยกดูสิว่า ไอ้ชีวิต ชนิดพืชพันธุ์ป่าไม้ พฤกษาชาติ กับชีวิตชนิดเป็นสัตว์น่ะ อันไหนมันจะมากกว่ากัน อันไหนมันมากกว่ากัน แม้เท่าที่เราเห็นอยู่ได้ในปัจจุบันนี่ก็เห็นได้ว่า ไอ้พืชหรือพฤกษชาตินั่นน่ะ มันมากกว่า มันมากกว่า แล้วมันก็เริ่มถูกทำลาย มันก็เริ่มถูกทำลาย ลดลงไป ปัญหามันก็มา ก็เกิดขึ้นมา เมื่อไอ้ส่วนที่เป็นพืช มันไปหล่อเลี้ยงส่วนที่เป็นสัตว์ ส่วนที่เป็นสัตว์มีมากขึ้น มันก็ ก็ ก็กินพืชได้มากขึ้น แต่ตลอดเวลาเห็นได้ว่าไอ้ชีวิตประเภทพืชน่ะมันเลี้ยงชีวิตประเภทสัตว์ แต่มันก็เกื้อกูลซึ่งกันและกันน่ะ มันไม่ใช่ฝ่ายเดียวล้วน แต่ว่าชีวิตประเภทสัตว์มันต้องอาศัยอยู่บนชีวิตประเภทพืช ก็สัตว์กิน กินพืชมากกว่าที่พืชกินสัตว์ คิดดูก็จะเห็นได้ไม่ยากเลย ทีนี้ที่มันจำเป็นหรือมันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นก็ว่าไอ้ป่าไม้หรือพืชพันธุ์ พฤกษาชาติทั้งหลายน่ะ มันหล่อเลี้ยงไอ้ชีวิตประเภทสัตว์ คือ มันช่วยทำให้มีความเหมาะสมที่ชีวิตประเภทสัตว์มันจะอยู่ได้ ชีวิตประเภทพืชทั้งหลาย มันจะปรับให้ไอ้โลกนี้มีความเหมาะสมสำหรับที่จะให้ชีวิตประเภทสัตว์นั้นมีอยู่ได้ มันปรับอากาศ ให้เหมาะสำหรับสัตว์จะมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพืชพันธุ์ พฤกษาชาติแล้ว ไม่มีอากาศสำหรับที่เหมาะสมที่ไอ้สัตว์มีชีวิตมันจะอยู่ได้ พืชเองมันก็อยู่ไม่ได้ พืชมันมาก่อน แล้วมันจัดเตรียมให้เกิดความเหมาะสมที่จะมีชีวิต เจริญงอกงาม เจริญงอกงาม เจริญงอกงาม ไปตามยุค ตามสมัยจนมาเป็นโลกอย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่นี้ ให้มีโลกพฤกษาชาติ กับโลกไอ้สัตวชาติ เลี้ยงกันมาอย่างถูกต้องและสมดุล มันจึงเจริญ เจริญ เจริญ เจริญขึ้นมาในยุคหนึ่ง อาศัยกันระหว่างพืชกับสัตว์ พอมาถึงยุคนี้มันจะล้านปี อะไรก็ไม่รู้ อย่าเอาแน่กับมัน แต่มันต้องเป็นล้าน ล้านปี มันเริ่มการไม่สมดุลเพราะว่าไอ้คนนี่มันทำลายพืช ทำลายส่วนที่เป็นพืชพันธุ์ หรือเป็นต้นไม้ เป็นพฤกษาชาติลดลงไป ลดลงไป จนไม่สมส่วน จนไม่สมดุล จนเกิดปั่นป่วนขึ้นมา อย่างที่รู้กันอยู่เดี๋ยวนี้ โลกนี้มันแห้งแล้งขึ้นกว่ายุคโน้นมาก ความชุ่มชื้นหรือน้ำ หรือความสดเขียว มันลดลงไป มันเกิดความไม่สมดุล ไม่เหมาะสม ไม่เพียงพอ ที่ฝ่ายที่เป็นพืชจะหล่อเลี้ยงฝ่ายที่เป็นสัตว์นี่ปัญหาได้เริ่มเกิดขึ้น แล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น รุนแรงยิ่งขึ้น การเป็นอยู่ของสัตว์มันก็เปลี่ยนแปลง กระทั่งการเป็นอยู่ของคน มันก็เปลี่ยนแปลง มันก็เปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนมีป่ามาก จนอะไร อะไร อยู่ในป่า สำเร็จอยู่ในป่า คนไปเอามาจากป่ามากิน ไม่มีนา ไม่มีการทำนา แต่มีพืช ข้าว หญ้าที่เป็นข้าวเกิดในป่าเรียกว่าข้าวสาลี เกิดเต็มทั่วไป ก็ไปเก็บเอามากิน เก็บเอามากิน ประจำวันไม่ต้องทำนา แล้วพอคนมันมากเข้า มากเข้าน่ะมันไม่พอ มี ต้องมีการทำนา มันก็เลยทำลายป่า ป่าซึ่งเคยให้ชีวิต เคยมีบุญคุณนั่นแหละ ทำลายป่าลงไป ทำลายป่าลงไป ส่วนที่เป็นฝ่ายพฤกษาชาติก็ลดลง เพราะไอ้ฝ่ายที่เป็นคนน่ะไปทำลายมันเข้า
ผมไปประเทศอินเดีย สังเกตเห็นประเทศอินเดีย ที่กว้างใหญ่ ขนาดทวีป ทวีปหนึ่ง เราเห็นชัดว่าไอ้ทุ่งนาอันมหาศาลเท่ากับทวีป ก่อนนั้นเคยเป็นป่าทั้งนั้นแหละ มันเคยเป็นป่า มันถูกเอาลงเป็นทุ่งนา เป็นทุ่งนาทั่วไปหมด ไอ้แม่น้ำเนรัญชรา ที่เรียกว่าลึกจนพญานาคอยู่ในใต้แม่น้ำเยอะแยะ เดี๋ยวนี้คือทราย ข้ามแม่น้ำเนรัญชรา คือ เดินลุยทราย แดดร้อนเปรี้ยง เหงื่อแตก ข้ามแม่น้ำเนรัญชราด้วย มันมีความเปลี่ยนแปลงมากมายมหาศาล จะไปคิดถึงว่าสมัยโน้นเป็นป่าดงไปทั้งอินเดีย เดี๋ยวนี้เป็นเวิ้งว้างเป็นทุ่งนาไปหมด ก็ใจหาย มนุษย์ไม่ยอมแพ้ ตักน้ำใต้ดิน สูบน้ำใต้ดิน ตักด้วยโพรง บ่อมันตื้นๆ ถ้าบ่อลึกก็ต้องตักด้วยวัวลาก ไอ้ลากเชือกไปให้ถังน้ำขึ้นลงตามที่ไอ้วัวมันลากลูกลอกไปนี้ ไม่สามารถจะตักน้ำอยู่ลึกเป็นวา วา ได้ ถ้ามันลึกเป็นกว่านั้นเป็นสิบวาไป มันก็ต้องใช้เครื่อง เครื่องจักร เครื่องกลที่หมุนด้วยด้วยเครื่องจักร หรือเอาวัวหมุนก็ได้ แต่มันมีลักษณะเหมือนกับเครื่องจักรเอาน้ำขึ้นมาทำนา จะเรียกว่าโทษหรือว่าอะไรล่ะ ปฏิกิริยาอะไรของธรรมชาติก็ได้ ทำให้อินเดีย ต้องตักน้ำใต้ดิน สูบน้ำใต้ดินขึ้นมาทำนา ตั้งแต่ สองเมตร สามเมตร จนถึงสิบเมตร ยี่สิบเมตร เชือกที่มันวัวมันลากไปมันยาวเกือบยี่สิบเมตร แสดงว่าเอาน้ำจากยี่สิบเมตรข้างใต้มา และไอ้เครื่องที่มันหมุนด้วยแบบไอ้เครื่องจักรกลนั้น มันก็ยังลึกไปกว่านั้นอีกนี่ นี่ก็จะเรียกว่าถูกลงโทษก็ได้ แกต้องเอาน้ำจากใต้ดินขึ้นมาทำนา เมืองไทยยังไม่ต้องนะ เมืองไทยยังโชคดีอยู่นะ แต่ก็บ่นอู้ ถ้านึกถึงชาติอินเดียแล้วเราไม่ควรจะบ่น มันเป็นเรื่องที่ได้เป็นมาอย่างไม่สมดุล คือ ธรรมชาติจัดไว้อย่างสมดุล มนุษย์ก็ทำลาย ทำลายจนไม่มีความสมดุล เสียความสมดุลไปเท่าไร ปัญหามันก็เกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องสงสัย เด็กๆก็พอจะเข้าใจได้ เดี๋ยวนี้มันไม่มองกันนี่ มันดีแต่จะเอาประโยชน์ เอาประโยชน์ ทำลายป่า ทำลายป่า ทำลายป่าเอาประโยชน์ หลับตาอกตัญญู คนอกตัญญูอย่างหลับตา เรื่อยมา เรื่อยมา เรื่อยมา จนปรากฏสภาพที่ว่าป่าไม่เพียงพอ หรือไม่เหมาะสมที่จะคงสภาพสดชื่น เยือกเย็น สันติสุข สันติภาพ เหมือนแต่เดิมได้ มันเปลี่ยน แผ่นดินมันก็เปลี่ยน อากาศมันก็เปลี่ยน ดินฟ้าอากาศมันก็เปลี่ยน มันก็ไปถึงโรคภัย ไข้เจ็บ อะไรมันก็เปลี่ยนมันก็เปลี่ยนหมด ความเหมาะสมที่จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขสบายน่ะก็ลดลงทุกที ความเหมาะสมมันลดลงทุกที ความเหมาะสมที่มีชีวิตอย่างปกติเป็นสุขสบายมันลดลง มันลดลง มันก็มีความไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้นมา เพิ่มขึ้นมา ชั่วเวลาไม่ ไม่นานเท่าไรนี้นะ ที่ภูเขานางเอ ที่เดี๋ยวนี้มันหาน้ำสักหยดก็ยาก มันมี ยังมีคราบน้ำตก มีคราบน้ำตกอยู่ที่หินผาใหญ่ด้านหนึ่งเป็นคราบน้ำตกน่ะ มันคงจะไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้วก็ไม่ทราบ ด้านทิศโน้นของวัดก็มีหินแรงชนิดที่เคยเป็นแม่น้ำ เป็นไอ้ลำธารอยู่ใต้ดินลึกๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีน้ำสักหยดก็ไม่มี ทางนี้มีก็อยู่แห้ง มีอยู่ก็ยังแห้งและดูแล้ง ในวัดนี้ที่สังเกตดู มันเสียความสมดุลอะไรไปมากมายมหาศาล แล้วทั่วทั้งประเทศจะเป็นอย่างไร ขอช่วยคิดดู ทั่วทั้งประเทศมันจะเป็นอย่างไร นี้ป่าไม้มันถูกลิดรอนลงไป ไอ้มนุษย์มันก็มากขึ้น ไอ้สัตว์เดรัจฉานก็มีอาหารน้อยลง นี่คือปัญหาเรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการความเลวร้ายที่เดือดร้อน มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว
ทีนี้เราก็จะดูให้มันลึกลงไปอีกว่าป่า ป่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงให้ปัจจัยทางวัตถุ ทางร่างกาย อย่างที่ว่ามาแล้ว มันให้ความสะดวก ความเหมาะสม หรือเป็นปัจจัย ในทางด้านจิตใจด้วย เพราะในป่าอันมหาศาลเหล่านั้น แต่โบราณกาล มันเป็นที่เกิดแห่ง มุนี ฤาษี ชีไพร มุนี ฤาษี ชีไพร ไม่ได้อยู่บ้าน อยู่ป่าทั้งนั้น เพราะป่ามันมีความเหมาะสมที่มีฤาษี มุนี ผู้มีความคิดในด้านจิตใจ ไม่ ไม่ใช่ชาวนาทำนาเอาข้าวกิน แต่เป็นผู้ที่มีความรู้สึกคิดนึกในด้านจิตใจ เป็นฤาษี เป็นมุนี มันก็เกิดขึ้นมา นั่นน่ะเป็นบ่อเกิดของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม วัฒนธรรม ศาสนา อันเป็นธรรมะด้านจิตใจที่ลึกซึ้ง มันก็เกิดจาก ฤาษี มุนี ที่เกิดขึ้นในป่า ป่าให้เกิดฤาษี มุนี แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าในยุคหลัง หรือประมาณแล้วมันก็ยังเกี่ยวกับป่า นั่นเพราะว่าพระพุทธเจ้าประสูติในป่าลุมพินี ป่าสำหรับเที่ยวเล่นของพวกกษัตริย์ ตรัสรู้ก็ในป่า เมื่อตรงนั้นยังเป็นป่า เดี๋ยวนี้เป็นทุ่งนาที่พุทธคยาน่ะไปดู แล้วก็สอน สอนอย่างในป่า ก็อยู่อย่างอยู่ป่า และก็นิพพานในป่า นิพพานในป่า เกิดในป่า ตรัสรู้ในป่า สอนในป่า อยู่ในป่า ตายในป่า นี่ประวัติของพระพุทธเจ้าองค์นี้ และผมก็ยังคิดว่าองค์อื่นๆ ก็คงจะเหมือนกันอีกแหละ แม้ศาสดาในศาสนาอื่นก็มีลักษณะคล้ายกัน ก็ต้องไปหาความสงัดในป่าจึงจะตรัสรู้ นี่ก็ป่ายังสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิดว่า ถ้าไม่มีป่า ไม่เกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เกิดพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่เกิด มุนี ฤาษี พุทธบุคคลใดๆ จะพูดอย่างนี้ก็ได้ ถ้าเอาพยานหลักฐานที่แล้วมาแต่หนหลัง มันเห็นชัดว่าคนเรานี้มันเกิดในป่านี่ ไม่มีใครตรัสรู้ในบ้าน หรือในมหาวิทยาลัย ตรัสรู้ในป่ากันทั้งนั้น นี่ป่าเป็นที่เกิดแห่งมุนี รวมความว่ามันให้ทั้งวัต ทางวัตถุ ให้ความเจริญทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจ ทำไมไม่ขอบคุณป่ากันเสียบ้าง
มันก็สรุปความให้มันสั้นๆ เข้าใจง่าย ฟังง่ายก็ว่า เอามาตั้งแต่ต้นว่าพอเกิดพืช พืชพันธุ์ เป็นต้นไม้ขึ้นแล้ว มันก็ช่วยปรับปรุงอากาศในผิวโลกนี้ ให้เหมาะสม สำหรับจะมีชีวิตอยู่กันสบายทั้งสัตว์และทั้งคน มันเหมือนกับว่าธรรมชาติ หรือพระเจ้าก็แล้วแต่จะเรียก พระเจ้าก็พระเจ้าธรรมชาติน่ะ จัดสวัสดิการให้แก่มนุษย์เหลือประมาณ เหลือประมาณ แต่และไอ้สัตว์อกตัญญู มันก็ทำลายสิ่งที่พระเจ้าธรรมชาติจัดมาไว้ดี แล้วก็ได้รับการตอบแทนด้วยความยุ่งยากลำบาก ถ้าใครจะไปถามพระพุทธ เออพระเจ้าธรรมชาติเหล่านี้ว่า จะว่ายังไง พระเจ้าธรรมชาติก็คงจะพูดช่างหัวแม่มัน มันอกตัญญู มันไม่รู้จัก ตอบแทนคุณอะไรก็ช่างหัวแม่มัน ก็ดูซิ ป่ามันก็ถูกทำลายมาเรื่อย เรื่อย เรื่อย เรื่อย ต้นไม้เป็นอันมากที่เคยเต็มไปในโลก มันคุมความเป็นพิษในบรรยากาศ ที่มันจะมาจากแสงอาทิตย์ แสงอันร้ายกาจที่จะมาจากดวงอาทิตย์ ต้นไม้ก็คุมไว้ให้ ในความเป็นพิษชนิดที่มนุษย์ทำขึ้นเอง ทำขึ้นเอง มลภาวะทั้งหลายมันก็คุมไว้ให้ ความเป็นพิษในบรรยากาศ ที่เป็น โดยธรรมชาติก็ดี ที่เป็นโดยมนุษย์โง่ทำขึ้นก็ดี ต้นไม้มันจะได้คุมไว้ให้นั่นน่ะ มันจึงอยู่รอดมาจนถึงบัดนี้ นี่ช่วยคุมกะลาหัวกันถึงขนาดนี้แล้วมันก็ยังไม่รู้จักบุญคุณ ไอ้ของง่ายๆ ที่ว่า ใช้น้ำทำนา ทำสวน ทำเกษตรกรรม ทำสัตวกรรม รับเลี้ยงสัตว์ มันก็ยังน้อยไปนะ ที่แท้มันให้ชีวิต มันคุมชีวิตของมนุษย์เหล่านั้น ที่เห็นได้โดยทั่วไป ก็ว่าไอ้ป่านี่มันให้ปัจจัยทั้ง ๔ ที่จำเป็นสำหรับคนเรา คือ อาหาร ได้มาจากป่าด้วยความถูกต้อง และความเป็นป่า แม้จะทำนา มันก็ไอ้หลักการอันเดิมนั่นน่ะ หรือถ้าป่าไม่ ไม่ช่วยให้เกิดฝนตก ก็ไม่มีน้ำทำนา เครื่องนุ่งห่มก็ได้มาจากป่า เพราะมันเป็นพืช เช่นว่า จะได้มาจากฝ้าย มันก็เป็นเรื่องของ ของป่า มาจากขนสัตว์ ไอ้สัตว์มันก็ต้องมีชีวิตอยู่ในป่า ที่อยู่อาศัย บ้านเรือน ก็ทำด้วยไอ้ของที่ได้มาจากป่า ทีแรก ไม่มี ยังไม่รู้จักทำอย่างอื่น ไม่มีโลหะ ไม่มีไอ้อิฐ อะไรกันอย่างนั้น มัน มัน มันทำมาจากป่า ของที่มันมาจากป่า เป็นไม้ เป็นไร่ หยูกยานี่น่ะมัน สมุนไพร นี่มันเหลือเกิน มนุษย์แต่โบราณ รู้จักดีมาก ปัจจัยสี่มันได้มาจากป่า ไอ้ยาสมุนไพร มากมายมหาศาลนั่นน่ะ เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนรูปเป็นไอ้เราไม่รู้ว่ายาสมุนไพรเสียแล้ว เอาไป เอาไปทำเป็นสารเคมี เป็นเม็ดขาว ขาว ไปหมด เช่นยาควินินที่เป็นเม็ดขาว ขาว มันมาจากต้นไม้ มาจากต้นไม้โดยตรง ก็คือสมุนไพรมาเปลี่ยนรูปเป็นไอ้ของที่เราไม่รู้จัก ว่าเป็นสมุนไพร โลกมันให้สมุนไพรไว้เยอะแยะ พอที่จะแก้โรคทุกโรคแต่ว่ามนุษย์มันไม่ได้รู้ทั้งหมด มันใช้ทั้งหมดไม่เป็น แต่มันก็รู้เยอะเหมือนกัน แต่ว่าเยอะยังไม่พอที่จะแก้ได้ทุกโรค ถ้ามนุษย์รู้จักค่าของสมุนไพรมากๆ แล้วผมคิดว่าไม่มีโรคอะไรเหลืออยู่น่ะ มัน มัน โรคเอดส์ โรคแอด บ้าๆบอๆ อะไรก็มีล่ะ แต่มนุษย์มันยังไม่รู้
นี่ประโยชน์คุณของไอ้ธรรมชาติ ของไอ้โลกน่ะที่ให้สมุนไพรมาครบถ้วน ให้ที่อยู่แก่คนและสัตว์ ให้ข้าว ปลา อาหาร ให้เครื่องใช้ไม้สอย ที่อยู่ที่อาศัย ให้อาหาร แต่ไม่มีใครขอบใจมัน แล้วก็ไม่นึกถึงข้อที่ว่า ความรู้ ความคิด ของมุนี ฤาษี ของพระศาสดาทั้งหลาย ตั้งต้นในป่า ออกมาจากป่า นี่ควรจะขอบใจป่า พระพุทธเจ้าท่านก็ยังเรียกร้องหาป่า แล้วเราจะบอกภิกษุว่า นั่นโคนไม้ นั่นไป ไป ไปทำความเพียรที่นั่นให้สำเร็จประโยชน์ ตามที่ต้องการ อย่าได้เสียใจทีหลังว่าเกิดมาไม่ได้รู้อะไร ไม่ได้อะไร สูตรหลายๆ สูตรทีเดียว นั่นป่า นั่นโคนไม้ ไป ไป ไป นี่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ มีข้อปฏิบัติมากมาย หลายอย่าง หลายสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุไปแล้วสู่ป่า นั่งที่โคนไม้ ตั้งต้นตรงดำรงสติมั่น แล้วก็ทำภาวนา ยังเป็นคู่ชีวิตชีวากันมากับ ฤาษี มุนี นักบวชอะไรต่างๆ ดูจะมีประโยชน์ มีบุญคุณเท่าไร ป่านี่มันมีบุญคุณโดยไม่รู้สึกตัว โดยไม่ทวงบุญคุณอะไรสักเท่าไร แล้วคนมันทำลายป่าได้ลงคอ นี่มันต้องเป็นคนบ้า หรือมัน หรือว่ามันไม่ได้คิด มันมีอยู่สองอย่าง มันเป็นคนบ้าคนโง่ คนอะไรก็ตาม มันจึงทำลายป่าไม้ที่มีบุญคุณได้ลงคอ หรือว่ามันไม่ได้คิด ไม่คิดเสียเลย มันตามันเห็นแต่ประโยชน์ จะเอาประโยชน์อย่างเดียว มันไม่ได้คิดถึงบุญคุณของป่า มันจึงทำลายป่า ทั้งหมดนี้ก็พอจะเห็นได้แล้วว่า ชีวิตกับป่าน่ะมันสัมพันธ์กันมาอย่างไร ป่ากับชีวิตมันสัมพันธ์กันมาอย่างไร ชีวิตของป่าเอง ของต้นไม้เองก็ดี ชีวิตของสัตว์ก็ดี ชีวิตของคนก็ดี มันสัมพันธ์กันกับป่าอย่างไร ถ้าป่าไม่มีความถูกต้อง ป่าก็ฆ่าตัวเอง หมดป่าไปในตัวเอง ป่าไม่มีความถูกต้อง ไอ้สัตว์ป่าก็อยู่ไม่ได้ ป่าไม่มีความถูกต้องมนุษย์ก็ตายหมด ไม่มีอะไรที่จะคุ้มครองไอ้ความเป็นพิษที่มาจากดวงอาทิตย์ ที่เดี๋ยวนี้เขาสนใจกันมากว่า ไอ้โลกนี้มันมีบรรยากาศอันหนึ่งหุ้มไว้รอบโลก โดยที่ป่านี่มันช่วยสร้างขึ้น ความเลวร้ายของจากดวงอาทิตย์ เช่น แสงอัลตราไวโอเลตเข้ามาทำลายไม่ได้ แล้วก็ควบคุมอุณหภูมิ คือ ความร้อนให้ลดลง ลดลง เหมาะที่จะมีชีวิตอยู่ ถ้ามันไม่ ไม่มีไอ้สิ่งนี้ สิ่งที่ควบคุมหุ้มห่ออยู่ทุก รอบโลกนี้ แสงอาทิตย์มันจะเผาโลก หรือว่าอยู่ไม่ได้จะต้องตายเพราะไอ้แสงอัลตราไวโอเลตนั่นก็ ก็ได้ หรือว่ามันจะลุกเป็นไฟไปเสียก็ได้ เรียกว่าไม่มีความชื้นที่พอดี พอเหมาะ ที่จะมีชีวิต ชนิดที่มันมีอยู่ในโลกเวลานี้ ของนักวิทยาศาสตร์กำลังตื่นตกใจที่ว่า ไอ้สิ่งนี้ถูกทำลาย ถูกทำลาย แล้วโลกมันร้อนขึ้น ร้อนขึ้น ปีละองศา ครึ่งองศา อย่างนี้ ถ้ามันยังอยู่อย่างนี้ สักวันหนึ่ง มันไหม้ ลุกไหม้ นี่ชีวิตกับป่าไม้ ป่าไม้กับชีวิตสัมพันธ์กันอย่างนี้ รัฐบาลก็ต้องการให้พวกเราช่วย แต่เราจะไปช่วยด้วยเรี่ยวแรงด้วย ก็บ้าแล้ว แต่ว่าให้สอนให้ประชาชน รู้ รู้ รู้ว่า จะทำอย่างไร ช่วยกันอธิบายให้ประชาชนรู้ว่า ป่ามีพระคุณอย่างไร มีพระคุณอย่างไร ถ้าไม่ ไม่เห็นแก่ตัวเวลานี้ ก็เห็นแก่ลูกหลานในอนาคต ช่วยรักษาป่าไว้ให้ลูกหลานในอนาคต มีชีวิตสำหรับจะยืนยาวต่อไป ทั้งหมดนี้เป็นความจริงตามธรรมชาติ ไม่ต้องเป็นไสยศาสตร์ ไม่ต้องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ พวกไสยศาสตร์เขาก็พูดกันไปทางไสยศาสตร์ ว่าป่าไม้เป็นที่อยู่ที่อาศัย หรือเป็นบ้านเรือนของเทวดา พวกเทวดา ไปตัดต้นไม้ลงมา เทวดาก็ไม่มีที่อยู่ อย่างนี้ก็มี มันเป็นเรื่องไสยศาสตร์ อย่างนั้นอย่าเอาเลย เอาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ตามธรรมดา ตามธรรมชาตินี่ ชีวิตนี้มันอยู่ได้เพราะความสดชื่นที่มีอยู่ในโลก ที่ป่าไม้ได้สร้างขึ้นมาให้ แล้วก็รักษาไว้ตลอดเวลา แต่ความเหมาะสมอันนี้ ความถูกต้องอันนี้ กำลังลดลง ลดลง ลดลง เพราะมนุษย์ทำลายมัน ด้วยความโง่เขลา เบาปัญญาอะไรก็แล้วแต่ ไปคิดดูกันทีหลัง นี่คือหัวข้อที่ว่า ป่าไม้กับชีวิต ชีวิตกับป่าไม้ เท่าที่ผมจะนึกได้มาพูดให้ฟังได้ก็คืออย่างนี้ นี่เป็นหัวข้อแรก
ทีนี้ก็มาถึงหัวข้อที่สองที่ว่า การพัฒนาชีวิตกับสิ่งแวดล้อม คำพูดกำกวมอย่างไรอยู่ก็ไม่รู้ พัฒนาชีวิตกับสิ่งแวดล้อม คือ พัฒนาสองสิ่งพร้อมกันไปหรือว่าการพัฒนาชีวิตด้วยอาศัยสิ่งแวดล้อม เอาสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือ แต่เพื่อจะตัดบทไอ้คำกำกวมอันนี้ เอามารวมกันเสียเลย ว่าพัฒนาชีวิตพร้อมๆ กันไปกับสิ่งแวดล้อมชีวิตอย่างนี้ อย่างนี้ดีกว่า พัฒนาชีวิตพร้อมๆ กันไปกับสิ่งที่เป็นปัจจัยเกื้อกูลแวดล้อมชีวิต อย่างนี้ดีกว่า มันจะได้ความดีกว่า มันก็เรียกว่าปัจจัยแห่งชีวิตนั่นแหละ คือ สิ่งแวดล้อมชีวิต มันก็เลยว่าพัฒนาชีวิตกับปัจจัยแห่งชีวิต สั้นเข้ามาดี พัฒนาชีวิตกับปัจจัยแห่งชีวิต หรือจะพูดให้สั้นกว่านั้นอีกก็พัฒนาปัจจัยแห่งชีวิตนั่นแหละ คือพัฒนาชีวิต พัฒนาปัจจัยแห่งชีวิตนั่นแหละคือพัฒนาชีวิต มันก็เหลือ พัฒนาปัจจัยแห่งชีวิต เริ่มขึ้นมาด้วยหลักธรรมะ หลักธรรมะในพระพุทธศาสนา ชีวิตทุกชนิดมันมีปัจจัย ชีวิตเป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง สร้างหรือหล่อเลี้ยงนี่ คือ ธรรมทั้งหลายที่เป็นสังขตธรรมทั้งหมดมีปัจจัย มีปัจจัย ไอ้ชีวิตมันก็รวมอยู่ในคำนี้ คือ สังขตธรรม ทั้งหลายมันมีปัจจัย แล้วก็มีปัจจัยของปัจจัย คือ ซ้อนปัจจัย ชีวิตมีปัจจัย แล้วปัจจัยนั้นก็มีปัจจัย ปัจจัยนั้นก็มีปัจจัย มีปัจจัยแห่งปัจจัย นั่นดูให้ดี มันต้องพัฒ พัฒนากันทั้งสอง ทั้งสองชั้น พัฒนาปัจจัย และพัฒนาปัจจัยแห่งปัจจัย จึงจะสมบูรณ์ สิ่งแวดล้อมก็คือปัจจัยนั่นแหละ แวดล้อมให้ ให้มี ให้มีชีวิตดำรงอยู่ได้ คำว่าปัจจัยมันมีความหมายอย่างนั้น มันทำให้เจริญงอกงามขึ้นมาตามลำดับ มันจึงขาดไม่ได้ ต้องมีปัจจัยแวดล้อมอยู่ แวดล้อมอยู่ ชีวิตจึงจะตั้งอยู่ได้และเจริญต่อไป
เอ้า, ทีนี้มามองดูคำว่าปัจจัย โดยเฉพาะกันก่อนว่ามันจะมีขอบเขต กว้างขวางสักเท่าไหน สำหรับคำว่าปัจจัย หรือสิ่งแวดล้อมให้รอดอยู่ได้ เราเป็นนักธรรมะ นักศึกษาธรรมะด้วยกันทุกคน โดยเฉพาะเป็นบรรพชิต เรียนธรรมะ ก็ต้องดูว่าตั้งแต่ในท้องมารดามาเลย ในท้องมารดา ตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา ก็มีปัจจัย ปัจจัย ที่ทำให้ชีวิตรอด ปัจจัยทั้งหลาย หล่อเลี้ยงช่วยเหลือเรามาตั้งแต่อยู่ในท้องมารดา พอออกมาจากท้องมารดาก็สิ่งที่แวดล้อมตัวเราอยู่ทุกชนิด ทุกระดับ ทุกชนิด เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงเรา หล่อเลี้ยงเรา ที่เมื่อพูดถึงปัจจัย ปัจจัย ก็ต้องมองให้ครบ คือว่าปัจจัยที่จะปรุงแต่งในทางวัตถุ ในทางที่เป็นวัตถุสิ่งของนี่ก็ต้องมีปัจจัยที่ถูกต้อง ในทางร่างกายเนื้อหนังก็ต้องมีปัจจัยที่ถูกต้อง ในทางจิตโดยเฉพาะเกี่ยวกับจิตโดยเฉพาะก็ต้องมีปัจจัยที่ถูกต้อง ทางวิญญาณ คือ ทางสติปัญญา ความคิดนึกก็ต้องถูกต้อง ปัจจัยทางวัตถุ ปัจจัยทางร่างกาย ปัจจัยทางจิตใจ ปัจจัยทางวิญญาณ คือ สติปัญญา นี่ก็เรียกว่า สิ่งแวดล้อมหรือปัจจัยทั้งนั้น ที่ว่าจากต้นไม้มันเป็นปัจจัยได้ในทางวัต แก่วัตถุ แก่ร่างกาย แล้วก็แก่จิตใจโดยอ้อม มีสติปัญญาอยู่ เป็นปัจจัยทางวิญญาณก็โดยอ้อม เพราะทำให้เกิดฤาษี มุนี และก็มีความรู้ ความถูกต้องทางจิต ทางวิญญาณ ทางสติปัญญา เกี่ยวเนื่องไปถึงต้นไม้อีกแหละ ตั้งแต่ในท้องมารดา มารดาของเราก็อา อาศัยปัจจัย ต้นไม้ที่เลี้ยงโลก หล่อเลี้ยงโลกและสังคมมนุษย์ทั้งหลาย ก็อยู่ได้ด้วยปัจจัยของโลกที่ถูกต้อง มันก็เกี่ยวเนื่องกับต้นไม้อีกอย่างเดียวกัน เรื่องวัตถุ เรื่องกาย เรื่องจิต เรื่องวิญญาณ ก็อาศัยไอ้ต้นไม้นี่ก็เหมือนกัน ป่าไม้เหมือนกัน แต่มันก็ขยายกว้างออกไปจนถึงสิ่งที่ไม่ใช่ป่าไม้ หรือว่า แต่ก็ยังเนื่องกับป่าไม้อยู่นั่นน่ะ เพราะว่าโลกนี้มันต้องเนื่องกันอยู่กับป่าไม้
สรุปสั้นๆว่า ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ได้ มีชีวิตอยู่ได้ทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนาม ทั้งฝ่ายรูปธรรมและฝ่ายนามธรรม อย่าไปมองกันแต่ในแง่วัตถุ จะเป็นคนโง่ เป็นคนพาล เหลือประมาณ มันมองแต่วัตถุ ว่า กูมีข้าวกินก็หมดปัญหา ไอ้คนเหล่านี้มันทำลาย ทำลายโลกทั้งหลาย มันมองแต่ในแง่ของวัตถุ มันจึงทำลายวัตถุ โดยเฉพาะคือป่าไม้ได้ลงคอ มันไม่มองในแง่ที่เป็นจิตใจ หรือเป็นอะไรสูงๆ ขึ้นไป เพราะมัน มัน มัน ไอ้ชีวิตนี้ต้องประกอบอยู่ด้วยร่างกายและจิตใจ คือ รูปและนาม ถ้ามันไปสนใจแต่ มันสนใจแต่รูป รูปทางฝ่ายร่างกายอย่างเดียว มันก็ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไอ้มนุษย์คนนี้มันตายครึ่งหนึ่งแล้ว มันไม่มีความรู้สึก คิด นึก ทางจิต ทางวิญญาณเสียเลย มันก็เท่ากับตายไปครึ่ง ครึ่งตัวแล้ว ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว มันไม่มองดูทางจิต เพราะมันโง่ มันไม่รู้ว่าไอ้ความถูกต้องทางกาย ทางวัตถุนั้น มันมาจากความถูกต้องของจิต มันต้องมีความถูกต้องทางจิตก่อน จึงจะเกิดความถูกต้องทางร่างกายหรือทางวัตถุ อย่าไปมองแต่ว่าแวดล้อม มันมีแต่เรื่องทางวัตถุ จิต เรื่องทางจิตก็เป็นสิ่งแวดล้อมชีวิต แล้วก็ผ่านไปทางวัตถุ ทางร่างกาย ความถูกต้องทางจิต ทำให้เกิดความถูกต้องทางวัตถุ หรือทางร่างกาย ชีวิตมันจึงอยู่ได้ นี่ขอให้คิดดูให้ดี ไอ้เรื่องกายกับใจนี้มันช่วยไม่ได้ มันเนื่องกัน มันช่วยไม่ได้ที่จะให้มันแยกกันอยู่ มัน มันไม่มีทาง เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่า นามะรูปัง นามะรูปัง ไม่ใช่นามะรูป่าว นามะรูปัง ประกอบอยู่ด้วยของ ๒ สิ่งคือ นามและรูป แต่เอามาทำรวมกันเป็นสิ่งเดียว เป็นเอกวจนะ คำว่า นามะรูปปัง เป็นเอกวจนะ ไม่ใช่พหุวจนะ นี่มันรู้จักว่าไอ้นามกับรูป ไอ้กายกับใจนี้แยกกันไม่ได้ แยกกันไม่ได้ ความถูกต้องมันต้องถูกต้องสำหรับของทั้งสองนี้รวมกันอยู่ สัมพันธ์กันอยู่ ไปด้วกัน อุปมาของคนโบราณ เรื่องนี้ก็ว่า คนหนึ่งแข็งแรงกำยำ ล่ำสัน แต่ตามันบอด ก็ยากที่จะไปไหนได้เพราะตามันบอด ไอ้คนหนึ่งผอมแกรน ขี้โรค แต่ตามันดี มันมาพบกันเข้า เออ มาร่วมมือกัน ร่วมมือกันนี่ ไอ้ตาบอดตัวเล็กก็ขึ้นขี่ไอ้ตาดีตัวใหญ่ ไอ้ตาบอด ไอ้ตาดีตัวเล็กก็ขึ้นขี่ไอ้ตาบอดตัวใหญ่ แล้วก็ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน นี่นามรูป นี่อุปมาอย่างนี้ กายและใจมันมีอุปมาอย่างนี้ แต่ว่าทั้งกายและใจมันก็ต้องอาศัยปัจจัยเดียวๆ กัน คือ ความถูกต้องของสิ่งแวดล้อมที่แวดล้อมโลกอยู่ นั่นคือความถูกต้องของป่าไม้ ได้สร้างความถูกต้องให้แก่โลก สร้างความสมดุลให้แก่ชีวิต สำหรับจะมีอยู่ จะมีชีวิตอยู่ จึงว่า มันเหลือเกิน ถ้ามันทำลายสิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งชีวิตของตนเอง ถ้ามัน ถ้ามันรู้เรื่องนี้มันคงทำไม่ลงคอ ทำไม่ได้ แต่ แต่เดี๋ยวนี้ปรากฏว่า ทำได้ และทำขึ้นไปอย่างหลับหูหลับตาทำ ทำ ทำ ทำ ทั่วกันไปทุกหนทุกแห่งในโลกและมากขึ้น มากขึ้น นี่มันเพราะอะไร เพราะว่าตามันไม่มองไปทั่วๆ ไอ้ตาของมันมองแต่ ตัวกู มองแต่ตัวมันเอง มันก็เกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งขึ้นมาในชีวิตนี้ คือ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว แต่ข้อนี้มันยากนะ มันยากนะ ที่จะไม่เห็นแก่ตัว นี่มันยากเหลือเกิน เพราะมันมีสิ่งที่เรียกว่าตัว ที่มันยึดถือเอาว่าเป็นตัว และก็มีของตัว และก็มีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว คำบาลีหายาก ผมค้น ค้น ค้น ในที่สุดก็มาพบคำหนึ่งที่ว่าจะใช้เป็นความหมายเดียวกันกับความเห็นแก่ตัวได้ อัตตา แปลว่า ตัวตน อัตตนียา แปลว่าของตน อตฺตตฺถปัญญา อตฺตตฺถปัญญา ปัญญาที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนนั่นแหละ คือความเห็นแก่ตัว มีบาลีที่ว่า อตฺตตฺถปัญญา อสุจี มนุสฺสา ผู้ที่มีปัญญาเห็นแต่ประโยชน์ของตนนั้น เป็นมนุษย์สกปรก รู้เห็นได้ทันที มนุษย์สกปรก คือ ผู้เห็นแก่ตนกำลังทำลายโลกเลย มนุษย์สกปรก ความเห็นแก่ตัวก็คือปัญญาที่มองแต่ประโยชน์ของตน ไม่มองแต่ประโยชน์ของผู้อื่น ฉะนั้น ถ้าพวกเรา บรรชิตทั้งหลายจะช่วยรัฐ ร่วมมือกับรัฐบาล ป้องกันไอ้วินาศภัยอันนี้ ก็จงมุ่งมาที่นี่แหละ สอนประชาชน ประชาชนทั้งหลาย อย่าให้เห็นแก่ตัว ให้ลดความเห็นแก่ตัว ให้เพิ่มความไม่เห็นแก่ตัว ผมขอร้องเลยว่าให้ช่วยศึกษาเรื่องนี้เป็นพิเศษ ศึกษาเรื่องความเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวนี้เป็นพิเศษ มันจึงจะช่วยมนุษย์ได้ เพราะว่าโลกมันกำลังจะวินาศ เพราะความเห็นแก่ตัว บ้านเมืองกำลังวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว ครอบครัวก็วินาศเพราะความเห็นแก่ตัว แม้บุคคลก็วินาศเพราะความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้เด็กๆ เห็นแก่ตัว เด็กวัยรุ่นทั้งหลายเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น จนทำให้พ่อแม่ น้ำตาตก น้ำตาตก น้ำตาตกกันเหลือประมาณ เท่าที่มาร้องทุกข์กับผมนี้ก็เยอะแยะแล้ว ว่าลูกมันไม่เชื่อฟัง เห็นแก่ตัวตามเรื่องของมัน ไม่ ไม่ ไม่กตัญญู ไม่เชื่อฟัง ไม่ซื่อสัตย์ พ่อแม่น้ำตาไหล ไม่รู้จะทำอย่างไร นั่นแหละความเห็นแก่ตัว พูดเรื่องความเห็นแก่ตัวให้มันชัดขึ้นไปอีกหน่อยดีไหม เพราะมันเกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้ ว่าความเห็นแก่ตัวกำลังเจริญขึ้นในโลก เจริญขึ้นในโลก เจริญขึ้นในโลก จนเรียกได้ว่าความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก ครองโลกทั้งหมด แต่ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจ ก็ได้ทำหน้าที่ แข่งกับความเห็นแก่ตัว และมันเป็นผู้เห็นแก่ตัวเสียเองด้วย และจะชนะได้อย่างไร ขอสมมติหน่อยนะ ถ้าพูดตรงๆ แล้วมัน มันน่าเกลียด เดี๋ยวมันจะถูกด่าเข้าไป สมมติว่ามีประเทศสักประเทศหนึ่ง พลเมืองทุกคนมันเห็นแก่ตัว ราษฏรทุกคนเห็นแก่ตัว แล้วมันก็เลือกผู้แทนที่เอาเงินมาจ้างมัน ผู้แทนก็เห็นแก่ตัวจึงเอาเงินมาจ้าง มันก็เลือกผู้แทนด้วยความเห็นแก่ตัว มันก็ได้ผู้แทนที่เห็นแก่ตัวไปทั้งนั้นเลย ผู้แทนกี่คนๆ ก็ไปเห็นแก่ตัว ไปรัฐสภาของผู้เห็นแก่ตัว มันจะมีสมาชิกกี่ร้อยก็ช่างหัวมัน แต่มันเป็นรัฐสภาที่เห็นแก่ตัว เพราะมันเลือกขึ้นไปโดยราษฏรที่เห็นแก่ตัว ที่นี้จากรัฐสภานั้นคัดเลือกไปตั้งรัฐบาล มันจะหนีไปไหนพ้น มันก็เป็นรัฐบาลที่เห็นแก่ตัวสิ เป็นรัฐบาลที่เห็นแก่ตัวหมดแล้วใช่ไหม ราษฏรเห็นแก่ตัว รัฐสภาเห็นแก่ตัว รัฐบาลเห็นแก่ตัว เมื่อรัฐบาลเห็นแก่ตัว แล้วข้าราชการทั้งหลาย ข้าราชการ พลเรือน ปัญหาแต่ละขั้น ราชการทั้งหลายก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันก็กำลังลามเข้ามา จนพระเจ้าพระสงฆ์ก็เห็นแก่ตัว ผมไม่ได้ด่านะ ผมกำลังบอกความจริงที่มันกำลังมีอยู่ว่า พระเจ้าพระสงฆ์เราก็กำลังเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ผิดแต่ก่อนแล้ว พระเจ้าพระสงฆ์เริ่มเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น ดูปัญญาหาที่มันเกิดขึ้นสิ แก่พระสงฆ์ พระเจ้าพระสงฆ์ก็เห็นแก่ตัว แล้วมันจะอยู่ไหวหรือทีนี้ ลูกเล็กเด็กแดง ลูกเล็กเด็กแดงมันก็เห็นแก่ตัวหมด อย่างที่ว่ามาแล้ว ลูกเล็กเด็กแดงเห็นแก่ตัว จนพ่อแม่น้ำตาไหล ลูกเล็กเด็กแดงก็หมดเลย ก็ทั้งบ้านทั้งเมืองเลย เอ้า, ทีนี้หมาก็จะเห็นแก่ตัวนะ ถ้าลูกเล็กเด็กแดงเห็นแก่ตัว แล้วไอ้หมา หมู กา ไก่ ก็จะเห็นแก่ตัว หนักเข้า หนักเข้า ก้อนหินก็จะเห็นแก่ตัวขึ้นมา ถ้ามันเห็นแก่ว่าทุกปรมาณูในโลก แม้ก้อนหินที่ไม่มีชีวิต ก็จะเห็นแก่ตัวขึ้นมาได้เหมือนกันนะ นี่ เรียกว่ามันไม่มีอะไรเหลือแล้วนะ ประชาชนเห็นแก่ตัว รัฐสภาเห็นแก่ตัว รัฐบาลเห็นแก่ตัว ข้าราชการเห็นแก่ตัว พระเจ้าพระสงฆ์เห็นแก่ตัว ลูกเล็กเด็กแดงเห็นแก่ตัว หมู หมา กาไก่เห็นแก่ตัว ก้อนหินก็จะพลอยเห็นแก่ตัวขึ้นมาได้ ไปคิดเอาเองเถิดว่าก้อนหินจะเห็นแก่ตัวขึ้นมาได้อย่างไร คนเห็นแก่ตัวมันก็ใช้ก้อนหินเพื่อเห็นแก่ตัว ก้อนหินที่ไม่มีชีวิตจิตใจก็พลอยเห็นแก่ตัวไปด้วย ไม่รู้สึกตัว เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวกำลังครองโลก ครองโลกทั้งโลก โลกไปตามความเห็นแก่ตัวของคนในโลก นายทุนใหญ่ของโลก ทุก ทุกคนก็เห็นแก่ตัว ชนชั้นกรรมาชีพก็เห็นแก่ตัว มันจึงได้ฟัดกันไม่มีที่สิ้นสุด ระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ มองให้แคบเข้ามา แคบเข้ามา ไอ้นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว มันทะเลาะกันไม่มีที่สิ้นสุดเรื่องค่าจ้าง เรื่องค่าจ้าง นี่เรียกว่าอะไร มีอะไรเหลือ มันก็มีคนร่ำรวยก็เห็นแก่ตัว คนยากจนก็เห็นแก่ตัว มหาเศรษฐีมันก็เห็นแก่ตัว ไอ้คนขอทานมันก็เห็นตัว อย่าว่ามหาเศรษฐีจะไม่เห็นแก่ตัว มันไม่ใช่เศรษฐีครั้งพุทธกาล ถ้าเศรษฐีครั้งพุทธกาลมันไม่ใช่นายทุนผู้เห็นแก่ตัว เศรษฐีครั้งพุทธกาลมันประเสริฐ ประเสริฐ สมกับคำว่าเศรษฐี เศรษฐีผู้มีความประเสริฐ มันเลี้ยงคนจนคนยาก เลี้ยงทาสกรรมกรเหมือนกับเลี้ยงตัวเอง ทำงานด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน อะไรด้วยกัน เหมือนกับลูกหลาน คนมั่งมีสมัยพุทธกาล เรียกว่าเศรษฐีมันต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นเศรษฐี เศรษฐีแล้วมันต้องมีโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทานมันก็ไม่ใช่เศรษฐี โรงทานช่วยเหลือคนยากจนให้สวัสดิการแก่คนยากจน แทนรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ บำรุงนักบวชทั้งหลายด้วยโรงทาน โรงทานเป็นที่อาศัยของนักบวช ถ้าเศรษฐีทำงานมากมีเงินเหลือ เก็บไว้เลี้ยงโรงทาน ไม่ได้เอาไปลงทุนสำหรับขูดรีด เพื่อนมนุษย์กันต่อไป ไม่มีธนาคาร ไอ้สมัยนั้นไม่มีธนาคาร จะเก็บไว้ที่ไหน เอาไปฝังดินในที่ลับๆ ไม่มีใครเห็น เอาทรัพย์ เอาเงินเอาทอง ไปฝังดินไว้เพื่อจะหล่อเลี้ยงโรงทาน อย่าให้มันขาดมือ นั่นแหละคือเศรษฐี เศรษฐีใจบุญ ที่นายทุนเดี๋ยวนี้ทำอย่างนั้นหรือเปล่า ทำอย่างนั้นหรือเปล่า ยิ่งมีเงินมาเท่าไร ก็ยิ่งเอาลงทุน ควบคุมหมด เอาหมด รวบรัดหมด มาหาประโยชน์ให้แก่เราหมด นายทุน นายทุน ก็ลงทุนตลาดทรัพย์ ครั้งก่อนโน้นเศรษฐีใจบุญ แต่เดี๋ยวนี้เรียกนายทุนตลาดทรัพย์ ทรัพย์หมดทุกหยดไม่มีเหลือ นี่เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็ไม่ลดลง ไม่ลดลง เพราะว่าเขาสร้างสิ่งที่ให้โง่เง่าในทางเนื้อหนัง ความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อหนังมันมากขึ้น มากขึ้น มันสร้างด้วยเครื่องจักร มันสร้างด้วยอุตสาหกรรม เครื่องจักร ผลิตวัตถุ ส่วนเกินมามอมเมาคนในโลก ให้หลงใหลในสิ่งเหล่านี้ แล้วก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มากขึ้น มากขึ้น แล้วมันจะลดลงได้อย่างไร ระวังยุคน่ะอุตสาหกรรม ยุคนิค ยุคแน็ค อะไรน่ะ มันจะเพิ่มปัญหาของความเห็นแก่ตัว นี่คือความเห็นแก่ตัวครองโลก ครองโลก ไม่มีใครชนะ ชนะผู้ครองโลกคนนี้ได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันยังมองไม่เห็น สหประชาชาติก็เอาชนะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลกไม่ได้ สำนักงานสหประชาชาติก็เป็นที่ถกเถียงกันของผู้เห็นแก่ตัวนะ ผู้แทนประเทศ มันก็ต่อต้านเพื่อประโยชน์ของประเทศ ของตัว ของตัว ความเห็นแก่ตัวมันก็ยังอยู่ในโลก นี่แหละความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มันก็ระบาดลงมา ระบาดลงมา ถึงทุกคนไม่ยกเว้นใคร ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว เป็นกิเลสเลวร้าย เป็นแม่บท เป็นแม่บทของกิเลสทั้งปวง กิเลสทั้งปวงเกิดขึ้นมาจากความเห็นแก่ตัว ราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี เป็นเหตุแห่งความเห็นแก่ตัว หรือเป็นอาการแห่งความเห็นแก่ตัวเสียทั้งหมด ฉะนั้นเรามีกิเลสโลก ความเห็นแก่ตัวครองโลก ก็คือกิเลสครองโลก ก็ดูผู้เห็นแก่ตัวโดยเฉพาะ ถ้าเห็นแก่ตัวแล้วมันขี้เกียจทำงาน มันไม่ยอมทำงาน มันชอบนอน มันจึงยากจนได้ เพราะความเห็นแก่ตัวของมัน ความเห็นแก่ตัวของมัน ทำลายตัวมันให้มันยากจน พอเห็นแก่ตัวแล้วมันขี้เกียจ ขี้เกียจ อยากจะนอน แต่เงินจะเอา เห็นแก่ตัวขี้เกียจทำงาน เห็นแก่ตัวก็เอาเปรียบ เอาเปรียบทุกอย่าง ทุกทาง เอาเปรียบ เห็นแก่ตัวแล้วก็อิจฉาริษยา อิจฉาริษยาไปหมด เห็นแก่ตัวแล้วก็ไม่สามัคคี ไม่สามัคคี เรียกมาทำประโยชน์ส่วนรวมไม่ทำ เรียกมาช่วยชาตินี่ไม่มี ไม่มี ไม่มีหวัง จะเรียกคนเห็นแก่ตัวมาช่วยชาติด้วยความสามัคคี เพราะความ เพราะผู้เห็นแก่ตัวมัน มันพร้อมที่จะขายชาติ มันจะมาสร้างชาติได้อย่างไร นี่เห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างนี้ มันเห็นแก่ตัว แล้วมันก็ทำลายธรรมชาติ ทำลายป่า ทำลายอะไรอย่างที่ว่ามาแล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ความเห็นแก่ตัวเริ่มต้นทำลายป่า ทำลายเรื่อยมา ทำลายเรื่อยมา ด้วยความเห็นแก่ตัว สร้างมลภาวะที่กำลังเป็นปัญหาเต็มไปหมด เรื่องใหญ่เรื่องเล็ก มลภาวะเล็กๆ น้อยๆ สกปรก รกรุงรังนี่ก็มาจากความเห็นแก่ตัว เรื่องใหญ่โตมหาศาลที่จะทำลายโลกก็มาจากความเห็นแก่ตัว ที่มันไปเอายาเสพติดเป็นที่พึ่งก็เพราะโง่ และเห็นแก่ตัว แม้แต่โรคบ้าๆบอๆ โรคเอดส์ โรคแอด อะไรก็ไม่รู้ มันมาจากความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสนุกสนานของตัว ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่ชีวิต มันเห็นแก่ตัวคือกิเลส ฉะนั้นโลก โลก โลกจึงมีปัญหาเรื่องมลภาวะบ้าง เรื่องทำลายธรรมชาติบ้าง เรื่องยาเสพติดบ้าง เรื่องความหลงใหลในอบายมุข จนได้เป็นโรค โรค โรคนานาชนิด มาจากความเห็นแก่ตัว สรุปแล้วมันให้เกิดอันธพาล อันธพาล คนโง่เขลา เบาปัญญานานาแบบ นานาแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันธพาลที่มันทำลายความสงบสุข มันจะทำงานให้เหงื่อออก เหน็ดเหนื่อยทำไม ไปปล้นไปจี้ดีกว่า ฉะนั้น อันธพาลก็มากขึ้น มากขึ้น เมื่อมันเข้มข้น เข้มข้น เข้มข้นมากขึ้น มันก็เป็นบ้า เป็นบ้า มันก็สร้างภาระใหญ่ สร้างคุก สร้างเรือนจำ เท่าไรก็ไม่พอ สร้างศาล สร้างศาลเท่าไรก็ไม่พอ สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไรมันก็ไม่พอ รายงานของรัฐบาลเอง งบประมาณสร้างคุกสร้างเรือนจำ สร้างศาล สร้างโรงพยาบาลบ้านี่ไม่พอ ความเห็นแก่ตัวเอากับมัน ในที่สุดมันก็เป็นบ้า ไปดูคนบ้าทุกคนในโรงพยาบาลบ้าทุกแห่ง ตั้งต้นด้วยความเห็นแก่ตัวที่หลงทาง ความเห็นแก่ตัวที่หลงทางทั้งนั้น มันจึงเป็นบ้า ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าตัวเองตายตามไปนี่ ซึ่งมีมากขึ้นทุกที ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุให้ไม่สามัคคี สงฆ์จะแตกกันก็เพราะความเห็นแก่ตัว เรื่องเล็กๆ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็อยากจะพูด แต่มันก็คงจะถูกด่า คนกรุงเทพมันเห็นแก่ตัว ยุงมันจึงครองกรุงเทพ ยุงมันครองกรุงเทพ เพราะคนกรุงเทพมันเห็นแก่ตัว มันจะเสียสละคนละเล็กละน้อย คนละไม้คนละมือไม่ได้ ถ้าคนกรุงเทพเสียสละเล็กๆ น้อยๆ คนละไม้ละมือ ยุงไม่ครองกรุงเทพหรอก ไม่รู้ไปไหนหมด นี่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังเห็นชัดอยู่ว่ามันมาจากความเห็นแก่ตัว ทุกปัญหา ทุกปัญหา อันธพาลมากขึ้นในโลก อะไรมากขึ้นในโลกที่ไม่พึงปรารถนามันมาจากความเห็นแก่ตัว ดังนั้น เป็นอันว่าป่าไม้ถูกทำลายเพราะความเห็นแก่ตัว ถ้าคนเห็นแก่ตัวยังมีอยู่ในโลก ป่าไม้ก็ต้องถูกทำลายเรื่อยไป จะไปตัดปลายเหตุหรือต้นเหตุ จะไปปราบไอ้คนทำลายป่าไม้หรือจะไปปราบคนเห็นแก่ตัวดีกว่า ปราบที่ต้นเหตุก็ปราบคนเห็นแก่ตัว ปราบที่ต้นเหตุน่ะ เป็นเสือ เป็นสิงโต ปราบที่ปลายเหตุน่ะมันเป็นม้า เห็นในง่ายๆ ที่ยกตัวอย่างว่าไอ้คนเอาไม้ยาวๆ ไปแหย่หมา หมาก็กัดที่ปลายไม้ ถ้าไปแหย่เสือ แหย่สิงโตสิ มันกระโจนเข้าไปกัดคนที่ถือไม้ พูดได้ว่าตัดที่ต้นเหตุมันเป็นเสือเป็นสิงโต ตัดที่ปลายเหตุมันเป็นหมาโง่ ช่วยบอกประชาชนให้เข้าใจเรื่องนี้ ว่าช่วยกันกำจัดไอ้สิ่งเลวร้ายนั้นที่ต้นเหตุ ที่ต้นเหตุ รัฐบาลก็ควรจะมีแผนการตัดที่ต้นเหตุ คือ ทำลายความเห็นแก่ตัว จัดการศึกษาทุกกระเบียดนิ้วให้ทำลายความเห็นแก่ตัว สั่งสอนเรื่องเรียนเรื่องปฏิบัติ ไม่ต้องสอนเรื่องอื่นน่ะป่วยการ สอนให้ฉลาด ฉลาดแล้วมันไปเห็นแก่ตัว นี่มันเลวร้ายยิ่งขึ้น การศึกษาบ้าบอ สอนแต่ฉลาด ฉลาดมันก็เลวร้ายยิ่งขึ้น เพราะคนมันเห็นฉลาด คนฉลาดเห็นแก่ตัว มันฉลาดเห็นแก่ตัว มันต้องจัดการศึกษา ชนิดที่ทำลายความเห็นแก่ตัว โรงเรียนพุทธก็ทำลาย ความเห็นแก่ตัว โรงเรียนคริสต์ก็ทำลายความเห็นแก่ตัว โรงเรียนอิสลามก็ทำลายความเห็นแก่ตัว นี่มาทะเลาะกันเรื่องจัดการศึกษา ปรับกันไม่ลง ถ้ารวมจุดว่าทำลายความเห็นแก่ตัวด้วยกันทุกโรงเรียนแล้วก็ดีมาก เพราะว่าศาสนาทุกศาสนา ทุกศาสนา ผมกล้ายืนยัน เท่าที่ได้ศึกษามาพบว่าทุกศาสนามุ่งกำจัดความเห็นแก่ตัว พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู อะไรก็ตาม มันมุ่งกำจัดความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ทำไมไม่เอาหัวใจของพระศาสนามาใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาเหล่านี้ ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ปัญหาก็จะหมด จัดโรงเรียนแข่งกันใครจะลดความเห็นแก่ตัวของนักเรียนได้มาก นี่เรียกว่าตัดที่ต้นเหตุ ตัดที่ต้นเหตุ อย่าไปมัวแก้ที่ปลายเหตุ เดี๋ยวนี้การศึกษามันไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัวเสียเอง ฉลาด ฉลาด แล้วไปใช้เพื่อเห็นแก่ตัว สัตบุรุษ สัตบุรุษในพุทธศาสนาไม่มีความเห็นแก่ตัว แต่สุภาพบุรุษ สุภาพบุรุษของโลกยุคปัจจุบัน ยุคปรมาณูนี้มีความเห็นแก่ตัวโตๆ ทั้งนั้น คำว่าสุภาพบุรุษเสียความหมายหมดแล้ว มันเป็นสุภาพบุรุษที่มีความเห็นแก่ตัว หน้าไหว้หลังหลอก กลับไปหาความเป็นสัตบุรุษ สัตบุรุษกันดีกว่า คือ มันลดความเห็นแก่ตัว จนไม่มีเหลือ ขอให้เราช่วยประเทศชาติ ช่วยบ้านเมือง ช่วยเพื่อนมนุษย์ ด้วยความ ด้วยการช่วยที่ถูกต้อง ที่ดี ที่มีค่า ที่ช่วยให้เขาลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเห็นแก่ตัว ก็จะไม่มีใครเดือดร้อน
เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัวมันเข้ามากระทั่งว่า ผัวเมียเห็นแก่ตัวอยู่กันไม่ได้ ต้องหย่ากัน แม่กับลูกเห็นแก่ตัว แม่ก็ต้องน้ำตาตกเสมอ ลูกก็เป็นบ้าเป็นบอ ความเห็นแก่ตัวลุกล้ำเข้ามาจนถึงขนาดนี้แล้ว ผู้เห็นแก่ตัวย่อมทำลายชีวิตของตัว ทำลายปัจจัยแห่งชีวิตของตัว กระทั่งทำลายตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว มันบ้า เกินกว่าที่จะเป็นบ้า ไปจบลงด้วยฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตาม ทำลายสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องไปเสียทุกแง่ทุกมุม เพราะนั่นผู้เห็นแก่ตัวทำลายโลก ทำลายโลก ธรรมชาติ หรือจะเรียกว่า พระเจ้าก็ได้ เรียกโดยภาษาคนก็เรียกว่าพระเจ้า เรียกภาษาธรรมว่าธรรมชาติ นี่มันจัดโลกให้เหมาะสม พร้อมที่จะให้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปจนเป็นโลกที่พัฒนา แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์ มนุษย์นี่ทำลาย ทำลายมาเสียเรื่อยๆ เรื่อยๆ ธรรมชาติสร้างไว้สมบูรณ์ มนุษย์ก็มาทำให้มันขาดแคลน ขาดแคลน เอ้า,พอมาชวนกัน เอ้า,เดี๋ยวนี้เรา เราย้อนกลับพัฒนาโลกให้กลับไปสู่สภาวะเดิม ทุกคนก็หมดปัญญา หมดปัญญา ไม่สามารถ ผมหมดปัญญา ผมไม่สามารถที่จะพัฒนาโลกให้ย้อนกลับไปสู่ความถูกต้องอย่างแต่ก่อน สิ่งแวดล้อมมันผิดหมดแล้ว หมด หมด สิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง มันก็ตายทั้งเป็น มันก็ตายทั้งไม่รู้สึกตัว อย่างที่เป็นปัญหาอยู่เดี๋ยวนี้ มาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ ไอ้สัตว์บาป สัตว์อกตัญญูทั้งหลายเหล่านี้ มาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ มาสารภาพบาปว่าผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว มาชวนกันตั้งต้นใหม่ มาทำลายความเห็นแก่ตัว ไถ่บาป ไถ่บาป ที่บาปที่ได้ทำผิดมาแต่เดิม พระเจ้า พระสงฆ์ เรามีหน้าที่อยู่แล้วโดย โดย โดยธรรมชาติ โดยปกติว่าสอนธรรมะ ละกิเลส ละกิเลส ก็คือละความเห็นแก่ตัว ให้ประชาชนเขารู้ว่าผิดแล้ว ผิดแล้ว กลับ กลับตัว กลับตัว สารภาพความผิดแล้วกลับตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัวจะเห็นแก่อะไร ช่วยบอกเขาด้วยว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัว แล้วจะให้เห็นแก่อะไร ก็เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง และก็เห็นแก่ผู้อื่น ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ไม่เห็นแก่ธรรมะได้ มันก็เห็นแก่ตัวเรื่อยไป มันไม่เห็นแก่ผู้อื่น มันเห็นแก่ตัวเรื่อยไป มันต้องเห็น ต้องไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ไปเห็นแก่ผู้อื่น แล้วเห็นแก่ความถูกต้อง ศึกษาความถูกต้อง บังคับตัวให้ได้ บังคับตัวให้ได้ มีสติสัมปะชัญญะ สำหรับบังคับตัว มีปัญญา มีความรู้ สำหรับบังคับตัว และก็บังคับตัวให้ได้นั่นแหละ มันจะแก้ปัญหาอันเลวร้ายที่สุดเหล่านี้ได้ เราช่วยเขาเพราะว่าเป็นหน้าที่ของเรา เพราะว่าเราเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าคิดว่าเราไปรับใช้รัฐบาลเลย มันไม่ไหว มัน มัน มัน ฟังไม่ไหว แต่ว่าเราสนองพระคุณพระพุทธองค์ รับใช้พระพุทธองค์ พระพุทธองค์นี่ได้ทรงสร้างไว้ว่าให้ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่ธรรมะ ให้เป็นที่รู้จักเป็นที่เข้าใจ แก่มนุษย์โลก เทวโลก มาลาโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมสมณะ พราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ให้เขามีธรรมะ ตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกเพื่อว่าแสดงธรรมะ เพื่อทำให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ให้รู้ธรรมะและก็เมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว ก็ทรงหวังว่าเราทั้งหลาย พวกเรานี่จะช่วยกันสืบอายุธรรมะ ให้มีธรรมะอยู่ในโลก เพียงแต่เราตั้งหน้าตั้งตาสนองพระพุทธประสงค์ มีความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธองค์มันก็ทำได้ ทำได้ คือ ทำให้มนุษย์หมดความเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัว พอหมดความเห็นแก่ตัว มันก็ไม่ทำลายอะไรบ้าๆ บอๆ มันก็จะทำความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง เพราะมันมีความเห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง เมื่อเห็นแก่ความถูกต้อง มันต้องเห็นแก่ผู้อื่น เพราะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยมิตรภาพและความถูกต้อง ความถูกต้องว่าสร้างมิตรภาพ มิตรภาพก็เต็มไปในโลกนี้ มันก็ไม่มีใครเดือดร้อน จะเป็นศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยได้ในพริบตาเดียวด้วยซ้ำไป สร้างความถูกต้องขึ้นมาเถิด มันจะเกิดมิตรภาพอย่างแท้จริงขึ้นมาในโลก เต็มโลก ปัญหามันก็หมดไป ผู้มีธรรมะมันรัก รักเพื่อนมนุษย์ รักสัตว์เดรัจฉาน รักต้นไม้ต้นไร่ รักเพราะมันเมตตา เพราะมันเมตตา ถ้าว่ายิ่งไปกว่านั้นมันก็รู้จักบุญคุณ มันเป็นคนกตัญญูกตเวที มันรู้จักบุญคุณของสิ่งที่มีบุญคุณ แม้แต่หมาตัวหนึ่ง นี่มันก็มีบุญคุณ วัดนี้ถ้าไม่มีหมาก็อยู่ได้ด้วยความยากลำบาก แม้แต่หมามันก็มีบุญคุณ เพราะฉะนั้นขอให้สนใจว่าอะไรที่มันมีบุญคุณละก็ช่วยตอบแทนคุณมัน ป่าไม้มันมีคุณมหาศาล มันเป็นปัจจัยแก่ชีวิต ก็ช่วยกันตอบแทนคุณของมัน ช่วยกันทำให้กลับสมบูรณ์ขึ้นมา กลับสมบูรณ์ขึ้นมา อย่าพูดแต่ปาก มีแต่ตัวเลขหรือตัวหนังสือ ขอให้มีการกระทำที่แท้จริง
สรุปความว่า ผมก็เลยบรรยายเรื่องตามคำขอร้องของผู้จัดโครงการสัมมนานี้ ๒ หัวข้อว่า ป่าไม้กับชีวิต หรือชีวิตกับป่าไม้นี้หัวข้อหนึ่ง และก็พัฒนาสิ่งแวดล้อมชีวิตให้ถูกต้อง นี่อีกเรื่องหนึ่ง เป็น ๒ หัวข้อด้วยกัน ผิดหรือถูกก็แสดงอยู่ที่คำพูดนั่นแล้ว ไม่ต้องเชื่อผม อย่า อย่าเชื่อผมป่วยการ ด้วยเหตุผลที่มันแสดงอยู่ที่ตัวคำพูด ชัดเจนอยู่นั่นน่ะ ถ้าเห็นแล้วก็เชื่อเหตุผลอันนั้น ไม่ต้องเชื่อใครก็ได้ ไม่ต้องเชื่อใครทั้งปวง ก็ได้ แต่เชื่อเหตุผลที่มันแสดงอยู่ที่ สิ่งที่ได้พูดออกไปว่ามันเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น ป่าไม้มีความจำเป็นสำหรับให้โลกนี้มีอยู่ได้ มันกำลังถูกทำลายไปด้วยความเห็นแก่ตัว มาช่วยกันต่อสู้ ทำลายความเห็นแก่ตัวเสียที มันก็หมดปัญหา นี่ขอถวาย ถวายความคิดเห็นความรู้อะไรที่ประกอบการสัมมนาในคราวนี้ ในลักษณะอย่างนี้ และขอแถมพกข้อเล็กๆ อีกสักข้อหนึ่งว่าขอให้เรารู้จักใช้โลกเวลา ๕ น. ให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้โลกเวลา ๕ น.สำหรับเห็นแก่ความสุขในการนอน ก็จะทำงานอะไรได้มากขึ้น มากขึ้น ก็จะทำให้ประโยชน์ จะ จะสร้างประโยชน์ได้มากขึ้น สร้างประโยชน์ได้มากขึ้น ก็จะเป็นผู้สงบเย็น ด้วยความไม่ทุกข์แล้วก็มีประโยชน์แก่คนทุกคน ทำประโยชน์แก่คนทุกคนก็เป็นหน้าที่ด้วยเหมือนกัน ประโยชน์นี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มีอยู่ ๓ อย่าง อัตตัตถะประโยชน์ ประโยชน์ตนเอง ปรัตถะประโยชน์ ประโยชน์แก่ผู้อื่น อุภยัตถะประโยชน์ ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายที่มันเกี่ยวเนื่องกัน ขอให้เรามองเห็นประโยชน์อันนี้ ก็เกิดความกำลังใจ เกิดความกล้าหาญ เกิดเรี่ยวเกิดแรงที่จะบำเพ็ญประโยชน์ให้มันครบถ้วนทั้ง ๓ ประการ ความเป็นมนุษย์ของเราก็สูงสุด เพราะว่าเป็นผู้สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ๒ คำพอ สงบเย็น คำหนึ่งไม่มีความทุกข์ ก็เป็นประโยชน์ไม่เป็นหมันนี้อีกคำหนึ่ง สงบเย็นและเป็นประโยชน์ ช่วยกันสร้าง นี่ก็ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์นี้โดยสมบูรณ์
การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ชั่วโมงครึ่งแล้ว และผมก็ไม่มีแรงแล้ว ขอยุติการบรรยาย พร้อมกับขอแสดงความหวังสักหน่อยว่า ได้โปรดนำคำพูดเหล่านี้ไปพินิจพิจรณาดู เห็นด้วยแล้ว ก็ขอให้พยายามสุดความสามารถของตน เพื่อให้เกิดผลดังที่กล่าวมานั้น ได้เกิดเป็นความสุขสวัสดี แก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ทุกทิพาราตรีกาล เป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยาย