แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันครั้งที่สองนี้จะได้ขยายความของคำว่าทำไมจึงต้องศึกษาธรรมะให้ชัดเจนกว้างขวางออกไป ท่านทั้งหลายรู้จักธรรมะกันแต่ผิวเผินหรือเป็นรายละเอียด แต่ไม่ได้รู้ถึงหัวใจหรือความมุ่งหมายที่เป็นใจความสำคัญ ขอให้คิดดูว่าเรารู้จักสิ่งต่างๆนั้นน่ะ เรารู้จักกันอย่างผิวๆ เหมือนเด็กๆรู้จักอะไรอย่างนี้ก็มี ให้รู้จักอย่างผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในวิชาสาขานั้นๆ ที่เราเรียกกันว่าผู้เชี่ยวชาญน่ะ มันก็รู้จักมากกว่านั้นอย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้ อย่างเด็กๆรู้จักบ้านเมืองชาติประเทศอย่างนี้ มันก็รู้ตามประสาเด็ก แต่ผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่อยู่โดยตรงนี้ ก็รู้จักมากกว่า ธรรมะก็เหมือนกัน เด็กๆ ก็เรียนธรรมะบ้างในโรงเรียน ก็รู้อย่างเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ หรือจะพูดก็พูดว่ามันเข้ามาจากทางปลายมากกว่า ไม่ได้รู้จักต้นไม้ที่ลำต้นหรือที่โคน เป็นที่รู้จักทางปลายเรื่องใบเรื่องยอดเรื่องอะไรเข้ามาโดยรอบด้าน มันก็มากเหมือนกัน ทีนี้การที่เรียนกันเป็นเดือนๆ ปีๆ มันก็ไม่แน่ว่าเราจะเข้าถึงหัวใจของธรรมะ นี่เรามาพูดกันในชั้นนั้นจะดีกว่า จะเป็นการประหยัดเวลากว่า เมื่อถามว่าธรรมะคืออะไรเท่านั้นแหละ มันก็เป็นปัญหาที่ตอบยากที่สุด แล้วก็บอกแก่คนที่ยังไม่ได้รู้ ไม่สนใจมาก่อนเลยมันก็ยิ่งยาก คือสนใจกันมาแต่ด้านนอกผิวๆเผินๆ มันก็ยังยาก ฉะนั้นขอให้ตั้งใจฟังให้ดีเป็นพิเศษว่าไอ้ธรรมะนั้นมันคืออะไร แล้วไม่ต้องพูดถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์หรือถึงศีลสมาธิปัญญาอะไรกันมากนักในตอนนี้ มันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยทั้งนั้นแหละ เป็นฝอยมาจากทางปลายทั้งนั้น ให้รู้จักหัวใจฐานรากแล้วมันก็ต้องรู้จักเรื่องของมนุษย์เองนั่นแหละก่อนเรื่องอื่น มนุษย์มีปัญหาอย่างไรน่าจะต้องรู้ก่อน เพราะธรรมะมันสำหรับแก้ปัญหานั้นๆของมนุษย์ นี่มองมองให้กว้างทำความเข้าใจเป็นวงกว้างอย่างนี้ มนุษย์มันมีปัญหาขัดข้องขึ้นมาอย่างไรในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือความทุกข์ทั้งทางกายทั้งทางจิตใจ ทั้งทางส่วนตัวและทางสังคม มันคือตัวปัญหา มนุษย์ตั้งแต่โน้น ครั้งแรกๆ เขาก็ค้นหรือความจำเป็นบังคับให้ค้น มันทนอยู่ไม่ได้ที่มันจะอยู่เป็นทุกข์ มันก็คิดหาทางออก คิดหาวิธีที่จะกำจัดปัญหาเหล่านั้น มันก็ค่อยๆพบ ค่อยๆพบมากขึ้นตามลำดับ ก็เรียกชื่อสิ่งที่ค้นพบนี้ว่าธรรมะ ธรรมหรือธรรมะ แล้วแต่จะใช้ภาษาไหน ที่เราใช้กันอยู่เดี๋ยวนี้ว่าธรรมะก็ได้ จะใช้เป็นธรรมเฉยๆก็ได้ ถ้าเป็นเสียงสันสกฤตก็ธรรมะก็ได้ แต่เป็นภาษาอินเดียด้วยกัน แล้วก็รู้ความหมายของคำนั้นๆ นี่เป็นเรื่องต้องมองกันก่อนว่าธรรมะนี่ไม่ใช่ว่ามันจะสอนกันมาได้ตั้งแต่แรกมีมนุษย์ มนุษย์มันเกิดขึ้นมาในโลกนี่เรียกว่าคนนี่ สัตว์คนนี่มันเกิดขึ้นมาในโลก แล้วก็มีความรู้เรื่องธรรมะ แล้วค่อยๆรู้ขึ้นมา มันก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานเท่าไหร่นักหรอก คิดดูให้ดีเถอะ พวกคุณก็เรียนเรื่องวิทยาศาสตร์เรื่องชีวิทยาอะไรต่างๆมามากพอที่จะรู้ว่าโลกนี้มันเกิดขึ้นมาอย่างไร มันมีสัตว์มีคนขึ้นมาในโลกนี้อย่างไรนั่นน่ะ ดูกันถึงตอนนั้น ไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วมันมีคำสอนสอนอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับสมัยนี้ สมัยนี้มีมันมีเรื่องราวเหล่านี้บันทึกไว้เป็นตำรับตำราสอนกันได้ทันทีเต็มที่ แต่สมัยนั้นมันไม่มีเลย มนุษย์มันก็ต่อสู้กับปัญหาด้วยความทุกข์ พบวิธีต่อสู้ขึ้นมาเรื่อยๆเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดบุคคลเช่นพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาทั้งหลายขึ้นมานี้ แล้วก็มากขึ้นๆจนเรียกว่าเฟ้อก็ได้ เรียกว่าเฟ้อก็ได้ คนที่ค้นพบธรรมะนี่มีมากมายหลายคือหลายสิบมากกว่า หลายสิบคณะ หลายสิบพวก หลายสิบหมู่ จึงสอนต่างๆกันตามความรู้ความเข้าใจของผู้ค้นพบ มันตามสติปัญญาของผู้ที่จะค้นด้วย มันจึงค้นได้ไม่เหมือนกัน แล้วมันก็ตามถิ่นประเทศนั้นๆซึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งปัญหาไม่เหมือนกัน มันก็พบไอ้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน เวลายุคสมัยมันก็ต่างกัน ฉะนั้นสิ่งที่ค้นพบยุคนั้น ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งมันก็ต่างต่างไปตามยุค ในประเทศอินเดียมีหลายยุคเหลือเกิน ธรรมะที่เกิดขึ้นตามยุคมันก็ต่างไปตามยุค จนกว่าจะเกิดพระพุทธศาสนาที่พวกเราชอบใจแล้วก็นับถือปฏิบัติกัน มันน่าแปลกอยู่นิดหนึ่งว่าศาสนาที่สำคัญๆทุกศาสนานี่มันเกิดในทวีปเอเชียทั้งนั้น จะเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามที่รู้จักกันดี แม้ศาสนาที่ไม่ค่อยรู้จักกันนักเช่นโซโรอัสเตอร์อย่างนี้ก็ยังมีอีกหลายก๊กหลายศาสนา ทางฝ่ายเมืองจีนนี้มีเล่าจื๊อมีขงจื๊อ นี่ขอให้สังเกตดูว่ามันต่างถิ่นต่างประเทศต่างกาละต่างเวลาต่างยุคต่างสมัย แล้วก็ต่างวัฒนธรรม คือคนที่นั่นกลุ่มนั้นมันมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ที่อื่นมันมีอีกอย่างหนึ่ง มันก็มีปัญหาต่างกัน ไอ้สิ่งแก้ปัญหามันก็ต่างกัน ฉะนั้นเรารู้ว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างครบถ้วนนี่ จนกระทั่งเฟ้อ จนกระทั่งที่อีกพวกหนึ่งรับไม่ได้ พวกหนึ่งคิดค้นขึ้นมาได้ บางพวกเขารับไม่ได้ เขาก็ไม่เอาน่ะสิ ฉะนั้นมันจึงมีการเลือกรับเลือกนับถือ จนกระทั่งว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร ในประเทศอินเดียนี่เต็มไปด้วยหลักธรรมะมากมายจนประชาชนต้องถามกันว่าท่านชอบธรรมะของใคร ที่เป็นคู่แข่งขันกับพระพุทธเจ้านี่เขาเรียกว่าศาสดาทั้งหก ก็มีคนชอบเลื่อมใสนับถือมาก ก็คงจะพอๆกับพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป แต่ว่ามันก็ค่อยๆพ่ายแพ้ไป เมื่อประชาชนไม่ชอบใจ มันก็ลดลงไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ เป็นคู่แข่งกันมา นี่สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ มันได้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติก็เพราะว่ามันทนต่อปัญหาบีบคั้นนั้นไม่ได้ มันก็ค้นหาวิธีแก้ปัญหา มันจึงเกิดขึ้นมา
ทีนี้เรามาดูกันว่าปัญหานี่แหล่ะจะมากมายอย่างไรกี่ร้อยกี่พันอย่าง มันก็เหลืออยู่แต่เพียงสองอย่าง คือว่าทางร่างกายและทางจิตใจ ปัญหาทางร่างกายนี่ไม่ลึกซึ้งอะไร เพราะว่าสัตว์มีชีวิตทั้งหลายมันก็รู้กันได้โดยสัญชาตญาณโดยธรรมชาตินี้ก็มีอยู่มาก แต่มันต้องการให้ดีกว่านั้น มันก็มีเหมือนกันน่ะ มันก็ต้องมีส่วนที่ต้องรู้เพิ่มเติม เพิ่มเติม เพิ่มเติมขึ้นไปเรื่อย อ้า,ทางฝ่ายร่างกาย จะได้มีร่างกายถูกต้อง บุคคลก็อยู่เป็นสุข สังคมก็อยู่เป็นสุข เมื่อมีความเป็นอยู่ทางกายถูกต้อง ทางจิตใจมันก็สะดวกหรือมันดี สะดวกไปตามด้วย เพราะว่าจิตใจนี้มันต้องอาศัยร่างกาย รู้ไว้ให้ดี ถ้าเรามีความผิดทางร่างกายเสียแล้ว จิตใจมันก็วิปริตหรือผิดไปด้วย ไม่มีสติปัญญาที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ หลักการอันนี้มันก็ยังเหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้แหล่ะ ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัตถุสิ่งของร่างกายภายนอกนี่ก็เรียกว่าทางกายหมด มันง่ายกว่า มันตื้นกว่า มันเห็นได้ง่ายกว่า แต่มันก็มีขอบเขตกว้างขวางนะ เพราะมันเป็นเรื่องของสังคมทั่วไปหมดก็ได้ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันจึงเป็นมันปรากฏเป็นปัญหาที่แจ่มชัดมากทีเดียวทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายร่างกายนี่ นี้ทางฝ่ายจิตใจมันเห็นยาก กว่ามนุษย์จะรู้เรื่องว่าเรามีจิตใจโว๊ย นี่มันนานหนักหนาล่ะ เหมือนสุนัขหรือแมวนี่มันไม่รู้เรื่องจิตใจ มันไม่รู้ว่ามีจิตใจ หรือเรื่องจิตใจจะมีอะไรอย่างไรมันก็ไม่รู้ ไอ้มนุษย์ที่มันแรกมีขึ้นมาในโลกมันก็คล้ายๆสัตว์ มันก็ไม่รู้ จนพอเวลาล่วงมานานเข้า แล้วมันก็ค่อยเจริญจนรู้ว่า อ้าว, เรามีเรื่องจิตใจ มีสิ่งที่เป็นจิตใจ แล้วมันเป็นสิ่งที่รู้ยาก เข้าใจยาก มันก็รู้ผิดๆกันไปมาก จึงมีลัทธิความรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตใจนี้มากมาย แล้วก็ผิดกันได้ไม่ได้ก็มี นี่เราพูดกันเดี๋ยวนี้นะ เช่นว่าเขาพูดกันสมัยโน้น ของใครๆมันก็ถูกของคนนั้นน่ะ ไม่มีไม่มีทางผิดสำหรับผู้ที่เขาคิดขึ้นมาได้อะไรได้ เขาชอบ เพราะมันไม่ได้คิดขึ้นมาอย่างลอยๆ มันก็คิดไปตามปัญหาที่มันมีอยู่จริง แต่ว่าเรื่องจิตใจนี้เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง มันจึงต้องพูดกันมากต้องอธิบายกันมากกว่าจะมีความรู้เรื่องทางจิตใจซึ่งละเอียดมากลึกซึ้งมากสุขุมมากเข้าใจยาก แต่ว่าในที่สุดมนุษย์ก็มีความรู้สมบูรณ์ทั้งทางฝ่ายร่างกายและทางฝ่ายจิตใจ ทีนี้ต่อมา ต่อมา มันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ว่า คนไปหลงในเรื่องฝ่ายกายฝ่ายวัตถุกันมากเกินไป มันจึงค้นพบไอ้ของใหม่ๆทางกายทางวัตถุอย่างวิจิตรพิสดารก็เลยเฮกันไปในทางวัตถุทางร่างกายมาก จนกระทั่งเรื่องทางวัตถุนี่มันเจริญมาก มันเจริญอย่างท่วมท้นกว่าเรื่องทางจิตใจ นี่สำหรับประชาชนทั่วไป มันก็ไปเอร็ดอร่อยสนุกสนานในเรื่องทางวัตถุจนไม่สนใจเรื่องจิตใจ เช่นสมัยนี้ไม่สนใจเรื่องจิตใจมากเท่ากับเรื่องทางวัตถุ เขาก็ทำผิดในทางวัตถุ ก็ดูเอาเองว่าปัญหาอะไรมันเกิดขึ้น ไปหลงใหลในเรื่องวัตถุซึ่งให้ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานจนลืมเรื่องที่ดีที่ถูกต้องที่ยุติธรรมหรืออะไรเหล่านี้ เพราะว่าความอร่อยทางวัตถุนี่มันทำให้เกิดวามเห็นแก่ตัว แล้วก็มีการยึดถือเรื่องของตัว เห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ มันผิดไปแล้ว เรื่องทางจิตใจก็ผิดหมด ฉะนั้นเราจึงมีโลกที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว ขวนขวายกันแต่เรื่องที่จะเป็นประโยชน์ของตัวเพื่อจะเอาเปรียบผู้อื่น เพื่อจะขึ้นหน้าผู้อื่น เพื่อจะควบคุมผู้อื่น จะเอาอะไรๆของผู้อื่นมาเป็นของตัว นี่ปัญหาที่มันมีอยู่ในยุคปัจจุบันที่ไอ้ความเจริญทางวัตถุมันก้าวหน้าเหมือนกับวิ่ง นี่เรื่องทางจิตใจมันหยุดแล้วมันพอแล้ว ทีนี้เราก็ควรจะเปรียบเทียบกันดูว่าไอ้ยุคไหนมันจะดีกว่ายุคไหน คงจะเข้าใจกันได้โดยความคิดนึกธรรมดาว่าไอ้ยุคที่มันถูกต้องทางจิตใจนั้นน่ะ คนก็มีความสงบสุขทางจิตใจ ฉะนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องทางวัตถุกันมากมาย เพราะเรื่องทางจิตใจให้ความสุขสงบสุขที่ละเอียดปราณีตสุขุมน่ารักน่าพอใจกว่า ก็แปลว่าตอนนั้นคนก็ยังไม่ได้ก้าวหน้าทางวัตถุ แต่เขาก็แก้ปัญหาสำเร็จในทางจิตใจ จนกระทั่งว่าไม่มีวัตถุอะไรนักก็อยู่กันผาสุกอยู่กันสบายเยือกเย็นโดยไม่ต้องอาศัยวัตถุมากเหมือนเดี๋ยวนี้ พูดกันง่ายๆค่อนข้างจะไม่น่าฟังนักแต่ก็เป็นความจริงอย่างยิ่ง ที่ว่าพระพุทธเจ้านี้ไม่รู้จักรถยนตร์ไม่รู้จักเรือบินไม่รู้จักอะไรเหล่านี้ เพราะมันไม่มี มากกว่านั้นอีกก็ว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักแม้แต่ช้อนส้อมที่พวกเรากินข้าวน่ะ ช้อนส้อมเดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าไม่รู้จัก อย่างมีดดีๆสำหรับตัดเล็บก็ไม่มี คิดดูสิ อย่างไอ้คีมตัดเล็บอย่างใช้สะดวกดีอย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่รู้จัก ก็เพราะยุคนั้นมันไม่มีความก้าวหน้าในทางวัตถุ ไม่เคยได้ยินพูดถึงมุ้งในบาลี ก็ยังจะพูดว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักแม้แต่มุ้ง ไม่มีมุ้งนอน ไม่ได้นอนมุ้ง นี่ก็ลองเปรียบเทียบดูเองว่าไอ้ความไม่เจริญไม่ก้าวหน้าทางวัตถุมันมีอยู่อย่างนั้น ถ้าเรานั่งรถยนตร์ไปไหนสักทีเราก็นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกทีเลย ท่านเดิน ท่านดำเนินไปเลยโดยพระบาตรเพราะไม่มีรถยนตร์ รองเท้าดีๆอย่างเดี๋ยวนี้ก็ไม่มี ดูรองเท้าแขกก็แล้วกัน เป็นรองเท้าหนีบหนังของอินเดีย แต่แล้วทำไมเราจึงมานับถือสติปัญญาของพระพุทธเจ้าเข้า ก็ที่พวกคุณมาหาธรรมะมาศึกษาธรรมะนั้นน่ะ ก็รู้ไว้เถิดว่ามันเป็นผลงานของพระพุทธเจ้าที่ค้นธรรมะออกมาได้แล้วมาสั่งสอนกัน มีความรู้เรื่องทางจิตใจจนกระทั่งไม่มีความทุกข์ในทางจิตใจ ถ้าปฏิบัติครบถ้วนแล้วนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทุกคนในอินเดียสมัยนั้นจะรู้ธรรมะทางจิตใจถึงสูงสุดกันหมด ไม่ใช่ ก็มีเป็นส่วนน้อย ส่วนมากก็รู้ครึ่งๆกลางๆหรือไม่รู้เป็นส่วนมาก แต่ก็ยังดี รู้เท่าที่ว่ามันมีความทุกข์น้อยกว่าที่ไม่รู้ แต่จะรู้หมดจดสิ้นเชิงเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่รู้ทุกคน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองว่าจะเป็นมามันก็มีน้อย แต่เราต้องเปรียบเทียบกันดูว่าที่มันไม่มีเลย มันไม่เคยรู้มาเลยนั่น ก่อนโน้นมันจะเป็นอย่างไร ถึงแม้เดี๋ยวนี้ที่เคยรู้กันมาแล้ว แล้วปล่อยปละละเลยสูญหายไปหมดไม่ต้องรู้กันอีก แล้วมันเป็นอย่างไร คนเดี๋ยวนี้มันจะร้องไห้หรือหัวเราะเหมือนกับคนบ้ายิ่งกว่าคนครั้งพุทธกาล แม้คนธรมดาสามัญที่ว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์ เป็นชาวบ้านนี่ เขาก็ยังมีความทุกข์น้อยกว่าคนเดี๋ยวนี้มาก เพราะเขารู้จักทำจิตใจ แล้วก็รู้จักควบคุมเรื่องที่มันเนื่องกับจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือสิ่งที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตที่เราเรียกว่าปัจจัยสี่ เพราะมีอาหารกิน มีเครื่องนุ่งห่มใช้ มีที่อยู่อาศัยใช้สอย แล้วก็มีหยูกยาแต่พอดี พอเหมาะพอดีที่จะเป็นอยู่โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงตำหนิการมีสิ่งเหล่านี้มากเกินไป แม้ว่าจะดีเกินไป ถ้ามันมากเกินไป มันก็เป็นปัญหาก็ทำให้เกิดความทุกข์ เพราะปัจจัยเหล่านี้ถ้าไปปรับปรุงให้ดีให้มากเกินความต้องการตามธรรมชาติแล้ว มันก็กลายเป็นสิ่งหลอกลวง เป็นสิ่งที่ทำให้หลงใหล อย่างเดี๋ยวนี้เราหลงใหลแต่เรื่องกินเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเรื่องเครื่องใช้ไม้สอยกันเกินความจำเป็นนี่ มันก็มีปัญหาอย่างยิ่งสำหรับสมัยนี้ มันจึงก้าวพ้นไปจากปัญหาทางวัตถุไม่ได้ ก็เลยไม่ต้องรู้เรื่องจิตใจกัน ฉะนั้นขอให้ดูให้ดีๆว่าจะเอาธรรมะชนิดไหนกันอย่างไรกันโดยวิธีใดกัน มันต้องให้ถูกต้อง ต้อง ถ้าพูดกันให้มันชัดลงไปว่าความมุ่งหมายของธรรมะนี้มันต้องการจะดับทุกข์ ดับความทุกข์ แก้ปัญหาที่เกี่ยวกับความทุกข์ มันไม่ต้องการให้เลยไปถึงความสนุกสนานเอร็ดอร่อยหลงใหลกันไปถึงส่วนที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยที่เกินธรรมชาติเกินจำเป็นของไอ้สัตว์นี่ ก็กลายเป็นเรื่องผิดกัน เป็นเรื่องผิดเป็นเรื่องเลวร้ายกัน จะถูกก็ต่อเมื่อมันพอดีพอเหมาะไม่สร้างปัญหาอะไรขึ้นมา นี่มันก็จะมีปัญหากันเดี๋ยวนี้เลยว่าคุณ พวกคุณน่ะยังยินดีเอาด้านธรรมะความสงบสุข หรือว่าจะยังคงบูชาความสุขสนุกสนานไอ้ทางกิเลสทางเนื้อทางหนัง เดี๋ยวนี้เราสังเกตเห็นว่ากำลังหลงกันไปทั้งโลก ซึ่งต้องการความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อหนังไม่มีขอบเขตจำกัด แล้วเดี๋ยวนี้มันก็เจริญขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว แล้วอย่าหวังหรืออย่าไปคิดว่ามันจะหยุด มนุษย์ยังต้องการจะมีอะไรที่ดีดีดี วิเศษสะดวกสบายวิจิตรพิสดารยิ่งขึ้นไปกว่าปัจจุบันนี้อีกมากนัก บอกแล้วว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักแม้แต่ช้อนส้อม แม้แต่มุ้ง แล้วเรื่องวีดีโอที่ดูกันเมื่อตะกี้ มันเป็นเรื่องบ้าสักเท่าไหร่ แต่เราก็ชอบใช่มั้ย ทุกคนก็คิดจะมีวีดีโอ ทุกคนก็ว่าได้ ถ้ากล้าท้าอย่างนี้ นี่เรากำลังจะบ้ากันไปอีกกี่มากน้อย มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น แล้วมันก็เป็นเรื่องที่สร้างปัญหาขึ้นมา ทุกคนกำลังบ้า ยกตัวอย่างเพียงวีดีโออย่างเดียว มีมากมายหลายสิบอย่างที่ว่าเราต้องการหวังจะได้จะมีจะใช้ที่ไม่จำเป็นน่ะ มันมีอีกมากมาย เรื่องนี้เราได้ยินกันว่าไม่มีใครอยากจะขี่รถยนต์ราคาแสนกันแล้ว เขาจะขี่รถยนตร์รุ่นราคาล้านกันทั้งนั้น ที่เขาพูดกันอยู่หรือปรากฎเป็นความจริงอยู่ นี่ดูเถอะว่าเราบ้ากันสักเท่าไร สิ่งนี้แพงมากทำยากมาก แล้วมันทำให้มนุษย์มีความสงบสุขดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ พูดได้เลยว่าไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าของความที่มันแพง แล้วมันก็ไม่แก้ปัญหาอะไรได้ นี่คนเรากำลังทำผิด กำลังเดินทางผิด คนไทยเรากำลังโง่ ต้องใช้คำบรมโง่ก็ได้ ไปตามหลังฝรั่ง ไปตามก้นฝรั่งที่จะก้าวหน้ากันไปในทางวัตถุ แล้วก็ไม่รู้จุดจบ อย่างไปโลกพระจันทร์อย่างนี้ มันก็เรียกว่าประหลาดวิจิตรพิสดารที่สุด แต่มันมีประโยชน์อะไร คิดดูเถอะ มันเสียเงินมากมายเหลือประมาณแล้วมันมีประโยชน์อะไร แต่เขาก็ทำกันแหละ เขาก็ทำไปโดยคิดว่าถ้าเราสามารถขนาดนี้แล้วเราจะชนะคู่แข่งขันของเราได้โดยใช่วิชาการอย่างนี้ นี่อะไรเขากำลังจะไปโลกอื่นๆ โลกอังคาร โลกอะไรก็ตาม ก็ไป ยิ่งไปก็ยิ่งบ้า แล้วพวกเราก็จะเป็นคนโง่ตามหลังฝรั่งอย่างนี้อยู่เรื่อยไป น่าสงสารนี่ คนไทยที่ว่ามีพุทธศาสนานี้กลับไปตามหลังพวกที่ไม่มีธรรมะไม่มีศาสนา เป็นอย่างไรบ้างถ้าพูดอย่างนี้ ใครจะค้าน ก็คงจะมีคนจะค้านในใจหลายคนแต่ไม่ได้พูดออกมา เอาสิ ตัดสินกันสิ จะเอาอย่างไหนน่ะ จะเอาเรื่องความเจริญทางวัตถุอันแสนจะวุ่นวาย หรือจะเอาทางความสงบสุขทางจิตทางใจนี่ แต่เมื่อมันแน่ใจว่าเราจะเอาความสงบเยือกเย็นแท้จริงนั้นแหละ มันจึงจะเป็นไปได้ในการที่จะศึกษาธรรมะ รู้ธรรมะ เอาธรรมะไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันมันก็ป่วยการไม่รู้จะเอาธรรมะไปทำไมเล่า เมื่อธรรมะต้องการให้สงบเย็นหยุดทางจิตใจแล้วเราไม่ต้องการ เราต้องการสิ่งกระตุ้นทั้งทางกายและทางจิตใจให้มันรู้สึกรสชาติอันแปลกอันใหม่อันเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียทั้งนั้น มาถึงตอนนี้ก็อยากจะพูดว่ามีคำพูดอยู่สองคำที่ควรจะสนใจกันไว้ให้ดีๆ คำพูดสองคำนั้นก็คือคำว่ากิเลสคำหนึ่ง อีกคำคือคำว่าโพธิ คงได้ยินกันมาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่รู้ความหมายเพียงพอที่จะเอามาเป็นคู่เปรียบเทียบคู่ปรับกัน เรื่องผิดในทางจิตใจก็เรียกว่ากิเลส ถ้ามันถูกต้องในทางจิตใจก็เรียกว่าโพธิ ทีนี้คนมีกิเลสมันก็ก็ก็คิดว่าถูกของกิเลส ถูกตามกิเลส กิเลสเป็นเหตุให้เข้าใจว่าถูก ก็ทำไปตามกิเลส บูชากิเลส มันก็เลยเป็นเรื่องของกิเลสอยู่ซีกหนึ่งทีเดียว มันต้องมีความถูกต้องทางจิตใจก็เป็นเรื่อง อ้า,เป็นเรื่องของโพธิ นี่มันเป็นฝ่ายที่ยากมาก มันเป็นฝ่ายที่ยากมาก ละเอียดลึกซึ้งคือความถูกต้องในทางจิตใจ ถ้าว่าถูกต้องอย่างกิเลสน่ะมันง่าย ง่าย มันเป็นเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติและโดยง่าย แต่ถ้าเป็นเรื่องโพธิแล้วมัน มันเหมือนกับว่าจะต้องพูดว่าฝืนน่ะ ฝืนธรรมชาติ ฝืนธรรมดา ต้องศึกษาต้องอบรมต้องเรียนกันเป็นอย่างมากจึงจะรู้จักไอ้ความถูกต้องทางจิตใจที่เรียกว่าโพธิ
ทีนี้ก็มาพิจารณาดูตัวเราเองสิ เรามีชีวิตอยู่แต่ละวันๆน่ะตามอำนาจของกิเลสหรือตามอำนาจของโพธิ ที่จริงผู้ที่สนใจอาจจะมีธรรมะ อุตส่าห์มาที่นี่มาศึกษาหาธรรมะนั้น มันก็ มันก็แสดงอยู่แล้วว่าต้องการโพธิ แต่มันจะต้องการจริงหรือไม่นี่มันอีกเรื่องหนึ่ง แล้วมันรู้จักแล้วหรือยัง รู้จักว่าถูกต้องเพียงพอที่จะหาให้พบหรือเลือกเอาได้หรือยัง มันก็เรื่องธรรมะนั่นแหละที่จะทำให้เรารู้จักเลือกเอาโพธิ และมีโพธิได้ก็เพราะธรรมะอีกนั่นเอง ในการรู้ทางธรรมะก็เป็นความลืมหูลืมตา ไม่หลับตาไม่โง่ไม่เง่าไม่หลงหลับกันอยู่ มันก็แก้ปัญหาทางจิตใจได้ ขอให้สนใจส่วนนี้ว่าจะเอากิเลสกันหรือว่าจะเอาโพธิกัน เดี๋ยวนี้ดูจะเป็นเรื่องรู้กันแล้วว่าเราอุตส่าห์เรียน เรียนอย่างขนาดนักนี่ ให้ได้ปริญญา ให้ได้วิทยฐานะสูง ได้ไปทำงานเงินเดือนสูง แล้วจะเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไร ทุกคนก็คงจะรู้อยู่แก่ใจว่าเอาเงินนั้นไปทำอะไร จะเอาไปเลี้ยงกิเลสหรือจะไปเลี้ยงโพธินี่ ในอนาคตเราจะมีเงินเดือนแพงเงินเดือนสูง แล้วเราจะเอาเงินเหล่านั้นไปเลี้ยงกิเลสหรือจะเอาไปเลี้ยงโพธิ มันก็จะรู้กันเสียแต่เดี๋ยวนี้มากกว่า มันจะได้ไม่ผิดพลาด แต่ที่มันเห็นอยู่เป็นอยู่แล้วเวลานี้ มันไปเลี้ยงกิเลสทั้งนั้น ฉะนั้นเงินเดือนเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แล้วไม่เท่าไหร่ก็ได้รับผลร้ายจากการเลี้ยงกิเลส จึงมีความทุกข์เป็นปรกติ แล้วก็เลยกว่านั้นไปก็คือว่าเป็นอันธพาลเบียดเบียนผู้อื่นฉ้อโกงผู้อื่น ฉ้อโกงกันอย่างชั้นสูงทีเดียว ฉันคนฉลาด ฉันคนร่ำรวย เขาก็ฉ้อโกงกันไปตามเรื่อง เพราะมันได้ไปหล่อเลี้ยงกิเลสแล้ว โพธิมันก็หลบหน้าหายไป คนเราก็อยู่กันด้วยอำนาจของกิเลส ภายใต้อำนาจของกิเลส เราเข้าไปในย่านตลาดสรรพสินค้าให้ดี มันก็มีมากดี ไปเดินตรวจดูว่าไอ้ร้านสรรพสินค้านั้น สินค้าเหล่านั้นมีอะไรที่จำเป็นแก่ชีวิตโดยแท้จริงบ้าง ก็จะพบว่าอูย, ก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ล้วนแต่ไม่จำเป็นแก่ชีวิต สักห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองที่ยังจำเป็นแก่ชีวิต แต่แล้วเขาก็ขายหมด ขายหมด ขายหมด ขายลุสต๊อกกันทุกคราวเลยนี่ ไอ้คนโง่พวกไหนที่มันไปซื้อไอ้ของเหล่านั้น แล้วพวกเราจะทำอย่างไร นี่ทำไมในโลกนี้มันจึงได้ผลิตไอ้ของที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตขึ้นมามากนัก อย่างว่าเครื่องที่เขานิยมกันอยู่ เช่น ตู้เย็นก็ดี ทีวีก็ดี วีดีโอก็ดี มันจำเป็นหรือไม่ แล้วทำไมมันจึงมีมาก มีเข้ามามาก มันมาขายคนโง่ทั้งนั้นแหละ เพราะสิ่งเหล่านี้ใช้เพื่อสนองกิเลสตวงทางกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้ใช้ไปในทางที่ถูกต้อง เพราะว่าถ้าในทางธรรมะที่ถูกต้องที่จำเป็นมันไม่ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ นี่ขอให้คิดดูสิว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่มีแม้แต่ช้อนส้อม ไม่มีแม้แต่มุ้ง ไม่มีแม้แต่รองเท้าอย่างที่พระสมัยนี้เขาสวมกันอยู่ มันไม่จำเป็นที่ที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไมพระทั้งหลายนั่งเฝ้าจอโทรทัศน์กันอยู่มากขึ้นๆๆ เพราะอะไร เพราะว่าอวิชชามันกำลังครองโลก ไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ความสงบสุขหรือนิพพาน ใช้เพื่อส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมกิเลส แล้วกิเลสมันก็ลากคอไปทั้งพระทั้งฆราวาสไปเป็นเหยื่อของกิเลสทั้งนั้น ไปนั่งเฝ้าจอโทรทัศน์ทีวีกันอยู่ทั้งนั้นเลย นี่ของสมัยนี้ที่ว่าเอามาเป็นตัวอย่างน่ะ โทรทัศน์ก็ดี ทีวีก็ดี วีดีโอก็ดี ตู้เย็นก็ดี อะไรทำนองนั้นก็ดี มันลากลากคอคนมาเป็นบ่าวเป็นทาสของมันได้แม้แต่พวกพระ ธรรมะจะอยู่ที่ไหน ศาสนาจะอยู่ที่ไหน ขอให้ลองคิดดู แล้วคนจะไม่ร้อนเป็นไฟกันได้อย่างไร ไอ้ที่เราเอามาดูมันกลายเป็นส่งเสริมกิเลส เราอุตส่าห์ไปซื้อมาแพงๆ กลับเอามาส่งเสริมกิเลสของตัว เรียกว่ามันได้กำไรอย่างไร มันได้กำไรอย่างไร มันเป็นสิ่งเสพติด ทำให้คนเสพติดเหยื่อของกิเลสยิ่งกว่าอบายมุขเช่นสุราน้ำเมาเฮโรอีนอะไรยิ่งไปเสียอีก ไม่กี่คนที่มันเป็นทาสของสุราหรือเฮโรอีน แต่ทุกคนก็ว่าได้เป็นทาสของกิเลสชั้นละเอียดชั้นละเอียดอย่างพวกนี้ แล้วเมื่อมันเป็นกันเสียแล้วทุกคน มันก็ไม่มีใครตำหนิใคร ถ้าใครไปเป็นกินเหล้าติดเฮโรอีนก็ประณามกันอย่างมาก แต่ที่มันเป็นทาสของวัตถุอันประณีตอันหลอกลวงอย่างยิ่งนี้ ไม่มีใครติเตียนใครเพราะมันเป็นกันทุกคน ก็ขอให้คิดดูมันมันผิดธรรมะหรือถูกธรรมะกันอย่างไร มันทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาอย่างไร เมื่อทุกคนเป็นทาสของมันแล้วทำคนนั้นแหละให้ลำบาก มันน่าหัวที่ว่าเราลงทุนไปซื้อหาสิ่งที่มาทำให้เราลำบากหรือเป็นทุกข์ แล้วมันก็ยังทำให้คนอื่นเพื่อนมนุษย์ของเราพลอยยุ่งยากลำบากไปด้วย เลยได้เป็นทุกข์กันทั้งเราและทั้งเพื่อนของเรา แล้วโลกนี้มันจะเป็นอย่างไร นี่ขอให้เตรียมตัวไว้เดี๋ยวนี้เลยว่าเราจะเรียนเราจะสำเร็จการเรียน แล้วเราก็จะมีเงินใช้ตามมาตรฐานของไอ้วิทยฐานะ เราจะใช้เงินนั้นอย่างไร จะใช้เงินไปเพื่อฝากตัวให้เป็นทาสป็นทาสของกิเลส จะมีบ้านมีเรือนอย่างนั้นอย่างนี้ จะมีเครื่องใช้ไม้สอยอย่างนั้นอย่างนี้ จะมีงานให้มีหน้ามีตาสวยหรูหรากันอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งกำลังทำกันอยู่ในเวลานี้ เป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้น หรือยินดีที่จะจ่ายเงินกันไม่อั้นก็เป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้น มันประหลาดอย่างนี้ ถ้าเป็นเรื่องความสุขที่ถูกต้องมันกลายเป็นไม่ต้องจ่ายเงิน ไม่ต้องจ่ายเงิน เราประพฤติธรรมะให้มีจิตใจที่ถูกต้อง จิตใจมันก็เยือกเย็นอยู่ เมื่อประพฤติหรือปฏิบัติธรรมะหรือเมื่อทำงานอยู่แท้ๆก็มีความสุขสงบเย็น มันก็เลยไม่ต้องการเอาเงินไปซื้อหาไอ้เครื่องบำรุงบำเรอกิเลสมา มันเลยไม่ต้องใช้เงิน นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจดจำไว้เสียแต่เดี๋ยวนี้ว่า ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงจะไม่ต้องใช้เงินเลย ถ้าเป็นความสุขหลอกลวงยิ่งต้องใช้เงินมากหรือแพงมาก ความสุขของกิเลสที่ต้องเอาเงินไปซื้อไปหาเอามานั้นน่ะ เป็นความสุขของกิเลส เรียกว่าความสุขหลอกลวง อันนี้ต้องใช้เงินมาก เงินเดือนเดือนละหมื่นก็ไม่พอใช้ แต่ถ้าเป็นความสุขแท้จริงของธรรมะแล้ว มันไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สักสตางค์เดียว เพราะเราทำเอาได้โดยจิตใจ พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้อย่างนั้นแล้วว่านิพพาน พระนิพพานน่ะเป็นของให้เปล่า ไม่ต้องใช้เงิน นี่เตรียมไว้เถอะว่าในอนาคตของเราน่ะ เราจะทำอย่างไร เราจะเป็นอยู่อย่างต้องใช้เงินเดือนหมด เงินเดือนหมดทุกเดือนน่ะเพื่ออะไร ก็เพื่อเป็นทาสของกิเลส แต่ถ้าเราทำจิตใจถูกต้อง ไม่ต้องใช้เงินเลย แล้วก็อยู่ด้วยความสงบเย็น ถ้ามองเห็นอย่างนี้ พอใจอย่างนี้ นั่นแหละถูกแล้วที่จะมาแสวงหาธรรมะความรู้ธรรมะ แต่ถ้าไม่ต้องการอย่างนี้ ต้องการไปเป็นสมาชิกของกิเลสแล้วละก็ กลับไปเสียดีกว่า มาสวนโมกข์ให้มันเปลืองเงินเปลืองเวลาเปลืองเรี่ยวเปลืองแรง มันไม่เข้ารูปกันได้เลย แล้วไม่ต้องมาอีกก็ได้ ถ้าสมัครจะเป็นสมาชิกของฝ่ายกิเลสคือฝ่ายวัตถุ ทำไมบอกกันอย่างนี้ ก็เพื่อจะไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าหลอกนะหรือปิดบังความจริง ไม่ไม่ยอมให้ถูกหาว่าหลอกลวงหรือปิดบังความจริง จึงบอกเสียอย่างนี้ว่า ถ้าต้องการธรรมะแล้วมันเป็นอย่างนั้นๆ แต่ถ้าต้องการเพื่อกิเลสเพื่อตรงกันข้ามละก็มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น จะมาเสียเวลาเปล่า ถ้าเราต้องการอย่างนั้นแล้วมาศึกษาธรรมะซึ่งมันมีผลอย่างอื่นนี่ มันก็เสียเวลาเปล่า เหนื่อยเปล่า จึงขอให้ถือว่าเป็นการพูดจริง พูดอย่างคนหวังดีหรือพูดจริง
ธรรมะคือสิ่งที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์คือความทุกข์ ถ้าเราไม่มีปัญหาหรือมันไม่มีความทุกข์แล้วก็ไม่ต้องมาหาธรรมะ ฝรั่งบางคนมันโง่ถึงกับว่าไม่มีความทุกข์ เราก็ถามว่ามาศึกษาพุทธศาสนาทำไม มาศึกษาไว้เป็นความรู้รอบตัว บางทีจะไปหางานทำได้ดี ไปสอนเป็นครูสอนได้เงินเดือนแพงขึ้นไป มันเรียนธรรมะอย่างนี้ มันไม่ตรงกับความมุ่งหมายของธรรมะหรอก จึงบอกเสียเดี๋ยวนี้ว่ามันต้องมีความทุกข์ที่เป็นปัญหา เราจึงมาเรียนธรรมะเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านั้น อย่างนี้ถูกฝาถูกตัว แต่ถ้าไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหา แล้วก็มาหาสิ่งที่แก้ความทุกข์หรือแก้ปัญหา มันก็เป็นคนบ้าเกินบ้า บ้าอะไร บ้าจนเกินบ้า เพราะธรรมะมันมีไว้อย่างนี้ มีไว้สำหรับแก้ปัญหาของมนุษย์ เดี๋ยวนี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้จำไว้ด้วย แล้วไปคิดไปนึกดูไปสังเกตดู ในเวลาข้างหน้าแล้วก็จะมองเห็นเองว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ฉะนั้นถ้าเราต้องการจะมีความสุขในทางจิตใจแท้จริงนั่นจึงจะมาเกี่ยวข้องกับธรรมะมาศึกษาธรรมะมาหาธรรมะ แต่ถ้าว่าจะไปสมัครเป็นสมาชิกของกิเลสวัตถุนิยมแล้ว ไม่ต้องละ ไม่ต้องมาศึกษาธรรมะ มันมีให้ไม่ได้ แล้วมันจะเป็นศัตรูกันเสียอีก เดี๋ยวก็จะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในที่สุด บางคนจะคิดว่าเราจะมีธรรมะเพื่อจะไปหาเหยื่อของกิเลสให้มากโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ก็ถูกนิดเดียวแหล่ะ แล้วมันจะเพื่อประโยชน์อะไร ที่จริงธรรมะนี้มันช่วยให้คนไม่ให้เป็นทุกข์ แล้วเขาก็จะเอาไปใช้ในการแสวงหาเหยื่อของกิเลสโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าอย่างนี้มันถูกนิดเดียว ไม่ไม่คุ้มค่า อย่าไปหวังเลย คือมีธรรมะก็เพื่อจะใช้ประโยชน์เพื่อจะดับทุกข์กันเสียก็แล้วกัน นี่คือข้อเท็จจริงอันลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมะที่มันเป็นปัญหาของมนุษย์ เอ้า, รวบรัดกันเสียทีว่าธรรมะเป็นกฎของธรรมชาติ ลึกลับมาก เมื่อมนุษย์ไม่รู้ก็ทำผิด ผิดกฎของธรรมชาติ แล้วก็มีความทุกข์ เหมือนกับมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์นั้นน่ะเขาทำผิด แล้วเขาก็มีความทุกข์ ต่อมาเขาคอยสังเกต ค่อยๆค้นพบ จนกระทั่งว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น แล้วค้นพบหมดเลยไอ้ความลับของธรรมชาติเกี่ยวกับความทุกข์มีอย่างไรนั้น ค้นพบหมด แล้วท่านเอามาสอน นี่คือตัวธรรมะแท้หรือตัวพุทธศาสนาก็ได้ เดี๋ยวนี้เราพอใจธรรมะของพุทธศาสนา จะว่าโชคดีก็ได้ที่คนไทยเรานั้นได้เป็นคู่กันมากับพุทธศาสนา แต่ว่าชนชาติอื่นที่เขาไม่ได้เป็นคู่กันมากับพุทธศาสนานี้ ไอ้พวกคนที่มีสติปัญญามันก็เริ่มพบแล้วว่าหลักธรรมะในพุทธศาสนาน่ะดีที่สุด คนที่มันมีสติปัญญามากเช่นไอน์สไตน์น่ะ เข้าใจว่าที่นั่งอยู่นี้หลายคนก็คงจะอ่านเรื่องของไอน์สไตน์ แล้วมีข้อความพิเศษอยู่ที่ไอน์สไตน์เขาเขียนไว้ก่อนจะตายว่าต่อไปนี้ถ้าจะมีศาสนาใดๆ ศาสนานั้นต้องเป็นศาสนาที่ใช้ได้ทั่วสกลจักรวาล เขาใช้คำว่า Cosmic เลย ไอ้ Cosmo มันกว้างขวางยิ่งกว่า Universe ไอ้ Cosmo นี่มันไม่ยกเว้นอะไร คำคุณศัพท์ของมันว่า Cosmic ไอน์สไตน์เขาเขียนว่าต้องเป็น Cosmic Religion Religion ที่เป็นCosmic ใช้ได้ทั่วสกลจักรวาลซึ่งมันวัดไม่ได้ว่ามันสักเท่าไรสกลจักรวาล แล้วก็ต้องไม่มี Dogma และไม่ต้องเป็นTheology Dogma คือในศาสนาที่มีพระเจ้า เขาบัญญัติว่าต้องเชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น ไม่ยอมให้คิดอย่างอื่น ไม่ยอมให้เชื่ออย่างอื่น ไอน์สไตน์เขาบอกว่าศาสนาที่จะมีกันต่อไปต้องไม่มีDogma แล้วต้องไม่เป็น Theology คือไม่เป็นเรื่องของเทพเจ้า ไม่ต้องเป็นเรื่องของพระเจ้า ไม่ต้องเป็นเรื่องของเทพเจ้า แต่เป็นเรื่องของธรรมชาติ Natural และก็ต้องเป็นรูปแบบของวิทยาศาสตร์คือเป็น Scientific เขาสรุปคำสุดท้ายว่า Can cope scientific modern need สามารถเผชิญหน้ากับความต้องการทางวิทยาศาสตร์ของโลกยุคปัจจุบัน ในที่สุดก็จบว่าถ้าจะมีศาสนาอย่างนี้บ้างก็คือพุทธศาสนานั่นเอง และไอน์สไตน์ก็ตายแล้ว เขาจะถือพุทธศาสนาเท่าไรก็รู้ไม่ได้ แต่เขาเขียนไว้อย่างนี้ ศาสนาที่จะเผชิญหน้ากับความต้องการของโลกวิทยาศาสตร์แห่งยุคปัจจุบัน นี่เราจะเอากันหรือไม่ ก็คิดดูเถอะ ถ้าเราจะเอาก็ขอให้เอากันให้จริงๆให้มันได้ ให้มันได้ให้มันถูกต้องที่ทำให้มนุษย์ประสบความสุขสันติภาพกันจริงๆ เดี๋ยวนี้เขาก็มองเห็นกันแล้วว่ามันไม่มีสันติภาพที่ไหน มีแต่ความเลวร้ายรบราฆ่าฟันกันมากขึ้นทุกที ความเป็นอยู่ส่วนบุคคลก็เป็นทาสของกิเลสมากขึ้น คุณกินน้ำแข็งเดือนหนึ่งกี่บาทกี่สิบบาท แต่ปู่ย่าตาทวดของเราไม่เคยเสียสตางค์แม้แต่สตางค์เดียวค่าน้ำแข็ง เห็นไหม เดี๋ยวนี้ทั้งโลกน่ะมันกินน้ำแข็งกันวันหนึ่งกี่ล้านล้านตัน แล้วเป็นเงินกี่ล้านล้านบาท ทั้งโลกน่ะ แล้วสมัยปู่ย่าตายายของเราไม่เคยกินเลยทำไมอยู่ได้ ทำไมไม่ตาย ทำไมเกิดลูกหลานคือพวกเรามาได้ ไม่ได้กินน้ำแข็งก็ไม่ตาย แต่เดี๋ยวนี้ต้องกินน้ำแข็งกันทั้งโลกวันหนึ่งเป็นมูลค่าเป็นล้านล้านบาท ล้านสองล้าน ค่าน้ำแข็งอย่างเดียว นี่คือความเจริญบ้าบออะไรกัน เอาละถ้าว่าเราจะถือว่ามันไม่มีปัญหาแก่เรา เงินของเรามีมากกว่า ซื้อหาได้ ก็ได้ ไม่เป็นไรหรอกแต่เราควรจะนึกว่าถ้าใช้อย่างอื่นจะดีกว่ามั้ย นี่เรามามองดูที่ไอ้กระดาษม้วนกระดาษเช็ดชำระเช็ดหน้าเช็ดอะไรก็ตามนี่ ปู่ย่าตายายไม่เคยใช้ เดี๋ยวนี้เต็มไปหมด ม้วนหนึ่งหลายบาท ทั้งโลกใช้กระดาษชำระกันวันละกี่ล้านล้านบาท นี่มันคือความเจริญอะไรกัน แล้วเมื่อก่อนเขาใช้น้ำใช้อะไรกันไปตามเรื่อง ไม่ต้องใช้กระดาษม้วน เดี๋ยวนี้กระดาษม้วนมันใช้กันอย่างที่เรียกว่าเหลือประมาณ ในสวนโมกข์ก็พลอยใช้กับเขาด้วยเหมือนกันแหล่ะ ก็เขาเอามาให้ ทำยังไงได้ แล้วก็นึกว่าไอ้นี่เราก็บ้ากับเขาเหมือนกัน แต่เราก็ไม่รู้จะว่าทำยังไงนี่ เขาเอามาให้เรื่อยๆไป นี่เรื่องน่าหัวไหม เรื่องที่มันไม่จำเป็นแต่มันก็ต้องมี นี้มันไม่ใช่แต่เรื่องน้ำแข็งเรื่องน้ำอัดลมเรื่องกระดาษม้วนเรื่องอะไรเหล่านี้ มันมีอื่นๆอีกมากมาย ถ้ารวมกันแล้วมันมีตัวเลขที่เราๆๆนับไม่ไหว ออกชื่อไม่ไหว ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆบาทต่อวันที่เราใช้ในสิ่งที่ปู่ย่าตายายไม่เคยใช้ แล้วเขาก็อยู่กันได้ อยู่กันได้ไม่ตาย แล้วเกิดลูกหลานคือพวกเราออกมาได้ นี่เราเกิดมาจากปู่ย่าตายายที่เขาไม่เคยใช้สิ่งเหล่านี้เลย แล้วลูกหลานมันเป็นยังไงมา มันก็ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้สึกตัวเสียบ้าง อย่าทำอะไรชนิดที่ไม่ทำก็ได้ ไม่ทำดีกว่านั่น ถือๆๆหลักอย่างนี้ก็ได้ ไอ้เรื่องที่มันไม่ต้องทำก็ได้น่ะ อย่าไปทำมัน แล้วไม่ทำดีกว่า ก็อย่าไปทำ ยิ่งๆไม่ควรจะทำอย่างยิ่ง ถ้าเราหลงไปตามนี้เราก็ไม่มีอะไร นอกจากว่าเกิดมาแล้วก็บ้าหลงวัตถุกว่าจะเข้าโลง เป็นมนุษย์ที่เกิดมาสำหรับบ้าหลงใหลในทางวัตถุทางเนื้อทางหนังจนกว่าจะเข้าโลง อย่างนี้แมวมันก็หัวเราะ หัวเราะเยาะคน นี่เพราะว่าคนไม่เป็นคนตามความหมายของคนหรือของมนุษย์ มนุษย์เป็นมนุษย์น้อยกว่าความที่แมวมันเป็นแมว เมื่อเช้าพูดแล้วช่วยจำไปด้วย มนุษย์ยังเป็นมนุษย์น้อยมากกว่า น้อยมากน่ะ น้อยกว่าที่แมวมันเป็นแมว แมวมันเป็นแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มนุษย์ไม่ได้เป็นมนุษย์ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะมันไปหลงอย่างนี้ ไปหลงอย่างที่ว่านี่ จึงไม่มีความเยือกเย็น คือไม่มีความสะอาดสว่างสงบแห่งจิตใจให้สมกับที่เป็นมนุษย์ ถ้าใครยังต้องกินยานอนหลับแล้วก็ละอายหมาแมวเหล่านี้ มันไม่เคยกินเลย สุนัขและแมวนี่ไม่เคยกินยานอนหลับ ไม่ต้องกินยานอนหลับ ไม่ต้องกินยาช่วยให้นอนหลับ ถ้าคนต้องกินแล้ว คนมันก็น่าละอายแมวละ แต่ถ้ามีธรรมะ ถ้ามีธรรมะไม่ต้องกิน มันจะปรกติ มันจะนอนหลับได้ถ้ามีธรรมะนะ มันไม่ใช่มีได้ง่ายๆนะ แต่ถ้ามันมีแล้วมันก็ช่วยได้ ไม่ต้องละอายแมว ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ไม่ต้องเป็นโรคจิตให้ละอายแมว ไม่ต้องเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ให้ละอายแมว ไม่ต้องอกหักบ่อยๆซึ่งแมวไม่เคยมี นั่นน่ะคือเรื่องของธรรมะ คือมันจะแสดงบทบาทให้มนุษย์เป็นมนุษย์อยู่เหนือปัญหา คำว่ามนุษย์ก็แปลว่าจิตใจมันสูง ศัพท์ ศัพท์นี้แปลว่าจิตใจสูง ถ้าว่าคนชนชนะนี่มันเพียงแต่ว่าเกิดมามันก็เป็นคน เราเกิดมาเป็นคนแล้วก็ต้องเป็นมนุษย์ให้ได้
นี้ธรรม ธรรมะะก็มีทั้งสองระดับ ธรรมะระดับต่ำเขาเรียกว่าโลกียะธรรมะ ช่วยเพียงให้คนเป็นคน เป็นคนที่อยู่ได้ไม่ตายพอสะดวกสบายนี้เรียกว่าโลกียะธรรมะ แต่ให้เป็นมนุษย์สูงอยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์ทั้งปวงแล้วเขาเรียกว่าธรรมะชั้นโลกุตระ โลกุตระธรรมะ ธรรมะที่อยู่เหนืออำนาจของโลกเหนืออิทธิพลของโลก ทำให้มนุษย์อยู่สูงเหนืออิทธิพลของโลกคือกิเลส ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นคน มันมีอยู่ธรรมะชั้นโลกียะก็เป็นไปในโลกจมอยู่ในโลก เรียกว่าโลกียะ ทีนี้ถ้าว่าเราต้องการธรรมะเพื่อสวยเพื่อรวยเพื่ออะไรอย่างนั้น ก็เป็นโลกียะธรรมะ จะไม่คุ้มค่าก็ได้ ถ้าเป็นธรมะจริง มันก็ต้องการธรรมะประเภทโลกุตระที่จะอยู่เหนืออิทธิพลของโลก แต่เขาสอนกันผิดๆ เขาสอนว่าเดี๋ยวนี้ไม่ๆๆต้องหวังที่จะอยู่เหนือโลกที่จะเป็นโลกุตระ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องหวัง มันก็ถูกของเขานะ เพราะว่าคนเดี๋ยวนี้มันๆๆไม่ชอบ มันเป็นไปไม่ได้จริงเหมือนกัน ไม่ต้องสอนกันก็ได้ แต่ที่แท้แล้วมันก็ยังต้องมีต้องรู้ธรรมะชนิดที่อยู่เหนือโลก คำว่าเหนือโลกน่ะคือเหนืออิทธิพลของโลก โลกมีอิทธิพลอะไรที่จะบีบบังคับเราให้นั่งร้องไห้อยู่ คืออารมณ์ที่เข้ามากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีอิทธิพลบีบคั้นให้เราเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ถ้าถูกใจก็หัวเราะ พอไม่ถูกใจก็นั่งร้องไห้อยู่ นี่เรียกอิทธิพลของโลก ใครอยู่ใต้อิทธิพลของโลก คนนั้นก็เป็นได้แต่เพียงคน เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้เหมือนกับคนบ้า ไม่เป็นมนุษย์ จนกว่าเมื่อใดเรามีธรรมะเพียงพอมีความรู้เพียงพอที่จะไม่ให้สิ่งเหล่านี้บีบคั้นเราได้นี่ ไม่ให้อิทธิพลในโลกนี้บีบคั้นเราได้ เมื่อนั้นเราเป็นมนุษย์ บางคนอาจจะยอมแพ้เสียแล้วก็ได้ไม่อยากเป็นมนุษย์ อยากเป็นแต่เพียงคน เพื่อจะได้สนุกสนานกับสิ่งเหล่านี้ไปก่อน นี่มีปัญหามากและมีๆอยู่จริง บางคนไม่อยากจะให้ดีไปกว่านี้ ต้องการให้จมอยู่ในโลก มันสนุกสนานดี ถ้าอยู่เหนือโลกเขาว่ามันจืดชืดแห้งแล้งไม่มีรสชาติอะไร เขามองธรรมะผิด เขามองสิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นผิด ชีวิตที่เยือกเย็นแสนจะเยือกเย็นเป็นนิพพานน่ะเขาว่าไม่มีรสชาติอะไร ไม่เอร็ดอร่อยไม่สนุกสนานอะไร นี่ต้องการกิเลสสนุกสนานกันเต็มที่ เขาต้องการอย่างนี้ ก็เลยไม่ต้องการนิพพาน ทีแรกเขาเข้าใจผิดว่านิพพานคงจะสนุกสนานเอร็ดอร่อยตามแบบที่เขาคาดหวัง แต่พอเราบอกว่านิพพานน่ะพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างนี้ๆนะ สั่นหัวเลย ไม่ต้องการนิพพาน เดี๋ยวนี้พวกเจ้านายครูบาอาจารย์น่ะเขาไม่ต้องการนิพพาน ไม่ให้สอนนิพพานในโรงเรียน ผู้ๆๆตรวจการศึกษาที่ควบคุมการศึกษา อย่าออกชื่อเขาเลยมันไม่ดีนะ มาที่นี่แล้วมาคุยกัน เขาบอกว่าไม่ได้ ต้องจัดการศึกษาให้มีกิเลสให้มีกามารมณ์เป็นเครื่องยั่วเครื่องล่ออยู่ มันจึงจะพัฒนา เขาว่า ถ้าไม่มีเรื่องของกิเลสแล้วโลกนี้ไม่พัฒนา เขาว่าอย่างนั้น ไปคิดกันดูเถอะ มีกิเลสชนิดที่ขึ้นๆลงๆเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้นั่นแหละเขาว่ามันจะพัฒนา มันก็พัฒนาตามแบบกิเลส ไม่ได้พัฒนาตามแบบของพระพุทธเจ้าที่ให้หยุดให้เย็นให้สงบ นั่นพัฒนาตามแบบของพระพุทธเจ้า ถ้าพัฒนากันตามแบบนั้น แบบของกิเลส มันก็มีแต่เรื่องของกิเลสน่ะ มันมีแต่เรื่องขึ้นๆลงๆกระโดดโลดเต้นหัวเราะร้องไห้สลับกันไปอย่างนั้น ขอๆให้ระวังให้ดีๆว่าจะพัฒนากันอย่างไร จะพัฒนากันแบบไหน พัฒนาในภาษาบาลีวัฒนะ นี่มันแปลว่ารกรุงรังเพราะมันมาก เพราะมันมาก ขยะมากนี่ก็เรียกว่าขยะพัฒนา ผมรกก็เรียกผมมันพัฒนา ระวังพัฒนาในความหมายอย่างนั้น เขาพบว่าไอ้ภาษาละติน Progressive Progressive ที่เดี๋ยวนี้เขาชอบกันนักว่าความเจริญนั้น ไอ้รากศัพท์คำนี้มีความหมายว่าบ้า ไอ้ Progressive น่ะความหมายเดิมแปลว่าบ้า เอากับมันสิ มันก็จริงน่ะ ถ้ามันๆๆยุ่งมากน่ะมันคือบ้า และนั่นคือ Progressive คือเจริญ ระวังให้ดี พัฒนา พัฒนานั้นพัฒนาให้มันบ้าให้มันฟุ้งเต็มไปหมดทั้งโลกก็ได้ ก็พัฒนาเหมือนกัน พัฒนาของกิเลส แต่ถ้าพัฒนาของโพธิมันกลายเป็นเงียบสงบเย็น เย็น ไม่ต้อง ไม่ต้องกินน้ำแข็งละ ไม่ต้องใช้น้ำแข็งเลยมันก็เย็นดีกว่า
นี่อนาคตของเราจะพัฒนากันแบบไหน อุตส่าห์มาทั้งที มาหาธรรมะเพื่อพัฒนาน่ะ แล้วก็ระวังเถอะว่าพัฒนากันแบบไหนจึงจะเป็นธรรมะในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านวางไว้แน่นอนเด็ดขาด หยุด เย็น ไม่กระโดดโลดเต้น และหยุด และเย็น แล้วชีวิตเป็นความเย็น ชีวิตกับความเย็นเลยกลายเป็นอันเดียวกัน เป็นชีวิตเย็น นั่นน่ะคือพัฒนาตามแบบของพระพุทธศาสนา เมื่อเราก็ทำงานด้วยเย็น ทำงานด้วยความเย็น เป็นอยู่อย่างเย็น มีชีวิตเย็น ทำงานไปด้วยความสงบเย็น มันก็ได้มากจนกินใช้ไม่หมด ต้องเอาไปช่วยคนอื่นอยู่ดี มันเลยเย็นกันทั้งโลกแหละ มันได้เย็นกันทั้งโลก กระทั่งกิเลสเข้ามาแล้วก็กินคนเดียวมันไม่พอ ไม่มีส่วนที่จะไปแจกปันให้แก่ผู้อื่น นี่พัฒนา ธรรมะช่วยให้พัฒนาเป็นสองขั้นตอน ธรรมะพัฒนาให้เป็นคนวิธีหนึ่ง แล้วธรรมะพัฒนาให้เป็นมนุษย์อยู่เหนือปัญหา พัฒนากันแต่เพียงคน มันก็อยู่ใต้ปัญหา เกลือกกลั้วอยู่ด้วยปัญหาคือกิเลส พัฒนาอีกทีเป็นมนุษย์ กระโดดขึ้นไปเหนือกิเลสเหนือปัญหา นั่นแหละจะถึงนิพพานล่ะ นี่ธรรมะนี่พระพุทธเจ้าค้นพบหมดตามที่ธรรมชาติมันมี ท่านจึงค้นพบถึงกับว่าทำให้เป็นมนุษย์ นิพพานไปได้เลย แต่เดี๋ยวนี้คนในโลกมันต้องการเป็นแต่เพียงคน มันไม่ต้องการมากกว่านั้น มันไม่ต้องการเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์แต่ปาก ทั้งที่ไม่รู้ว่ามนุษย์คืออะไร ที่แท้ต้องการเป็นแต่เพียงคนคือเกลือกกลั้วอยู่ด้วยกิเลส ธรรมะที่แท้จริงเลยเป็นหมัน น่าหัวนะ ธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเลยเป็นหมันเป็นโมฆะหมดเลย ไม่มีใครต้องการ เมื่อคุณต้องการเป็นแต่เพียงคน ธรรมะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นหมันหมด เดี๋ยวนี้พวกพระพวกเณรมันก็ไม่อยากเป็นมนุษย์ อยากเป็นแต่เพียงคนเหมือนกัน อะไรๆก็เหมือนอย่างคน เล่นหัวอย่างคน มีกินมีใช้อะไรหลงใหลอย่างคน มันเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คิดดู ทำให้ธรรมะส่วนที่เป็นมนุษย์โลกุตระน่ะเป็นหมันหมด น่าเสีย น่าเสียดายหรือจะน่าเสียใจก็ได้ที่พระไตรปิฎกส่วนที่เป็นโลกุตระธรรมเป็นหมัน เป็นหมัน นอนเป็นหมันอย่างนั้นไม่มีใครต้องการ เขาต้องการแต่เรื่องลาภเรื่องยศเรื่องสรรเสริญเรื่องสุขเรื่องสนุกสนาน เป็นเรื่องเป็นคนกันก็แล้วกัน นี่บอกให้รู้นะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ากำลังเป็นหมันเกินครึ่ง แล้วธรรมะที่ทำให้เป็นแต่เพียงคนน่ะนิดเดียวก็พอ แต่ธรรมะที่เป็นมนุษย์ใจสูงเหนือปัญหามันมาก แล้วกำลังเป็นหมันเพราะไม่มีใครต้องการ นี่เราจะช่วยกันสักหน่อยได้ไหม อย่าให้ธรรมะนี้มันเป็นโมฆะเลย ให้ธรรมะสำหรับเป็นมนุษย์นี้ได้ถูกเอามาใช้ให้เป็นมนุษย์สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปเป็นพระอริยบุคคลเป็นพระอริยเจ้าตามลำดับ ธรรมะมีทั้งที่ทำให้เป็นคนเท่านั่นน่ะ รอดชีวิตอยู่อย่างเป็นคนตามปรกติ มีกินมีใช้ไปตามแบบคน เกลือกกลั้วอยู่ด้วยกิเลสซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้มันเป็นคนมากๆ ทีนี้ธรรมะส่วนที่จะพัฒนาให้ไปเป็นมนุษย์อยู่เหนือปัญหาเหนือกิเลสเป็นพระอริยเจ้านั้น กำลังไม่มีใครสนใจ เราก็พูดบ้าไปคนเดียวเพราะพูดเรื่องอื่นไม่เป็น เดี๋ยวนี้คุณก็เห็นแล้วใช่ไหมว่าพูดเรื่องอื่นไม่เป็น พูดเรื่องนี้ ผู้ฟังจะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่รู้ แล้วมันก็ไม่สนุกเหมือนท่านพยอมพูด เราพูดไม่เป็น พูดเป็นแต่เรื่องน่าเบื่อหรือชวนให้ง่วงทั้งนั้นเลย แต่ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่สุดเลย นี่เป็นเรื่องจริงที่สุดเลย มันมีอยู่อย่างนี้แต่ว่าจะเป็นคนกัน หรือว่าจะเป็นขึ้นไปให้ถึงมนุษย์แล้วหมดปัญหา ธรรมะมีให้ครบ ธรรมชาติมีความจริงอยู่อย่างครบถ้วน พระพุทธเจ้าได้ค้นพบมาหมดแล้ว ท่านสอนหมด จะเป็นคนกันเต็มที่ แล้วก็เลยขึ้นไปเป็นมนุษย์เป็นอริยบุคคลเป็นพระอรหันต์ ไอ้คำสุดท้ายนี่เรียกว่าพระอรหันต์ จบหมดของความเป็นมนุษย์ คงที่อยู่ในความสงบไม่มีความทุกข์เลยนี่เขาเรียกว่าพระอรหันต์ เอ้า, พูดมากไปแล้ว เลยเวลาไปเยอะแยะแล้ว สรุปความว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นน่ะมันก็คือสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาของคนของมนุษย์ของสัตว์ที่มีชีวิต ถ้าพูดให้ลึกไปถึงตัวธรรมชาติกฎของธรรมชาติ ก็พูดได้ว่าธรรมะคือหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิต ในเมืองไทยเราน่าสงสารนะ มาสอนกันโรงเรียนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บอกเท่านั้นแหละ แล้วไม่บอกพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร เลยรู้ธรรมะแต่เพียงว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วไม่รู้ว่าสั่งสอนอย่างไร นี่ปทานุกรมภาษาไทยมันแปลธรรมะว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าในประเทศอินเดีย ปทานุกรมเด็กๆนี่ชั้นต่ำๆนี้ ธรรมะเขาแปลว่าหน้าที่ หน้าที่เสมอ ธรรมะคำแปลคือ Duty คือหน้าที่ หมายความว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ธรรมดาสิ่งที่มีชีวิตแล้วต้องมีหน้าที่ ถ้าไม่อย่างนั้นมันตาย มันตาย ตายแน่ๆ ถ้ามันไม่ทำหน้าที่คือไม่มีหน้าที่แล้วมันก็ต้องตาย ฉะนั้นหน้าที่ที่จะต้องทำให้รอดชีวิตอยู่ได้นั่นน่ะคือธรรมะ นี่ใจค่อย ค่อยนึกชอบธรรมะขึ้นมาหน่อย ธรรมะแปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เอาตั้งแต่ต้นไม้นี่ก็ได้ ต้นไม้ขึ้นไปนี่ ต้นไม้ก็มีชีวิต แล้วต้นไม้ก็ต้องทำหน้าที่ มีอาหารเลี้ยงต้นให้เจริญให้ออกลูกออกดอกไม่สูญพันธุ์ ออกดอกออกลูกสืบกันต่อไปไม่สูญพันธุ์นั้นน่ะเรียกว่าหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่ต้นไม้ก็ตายหมดละ ลองไม่ดูดน้ำกิน ไม่ดูดแร่ธาตุกิน ไม่ปรุงอาหารที่ใบมาเลี้ยงลำต้น มันก็ตายหมด เขาเรียกหน้าที่ ต้นไม้ก็ธรรมะของต้นไม้ เรียกว่าธรรมะของต้นไม้ ที่นี้เป็นสัตว์เดรัจฉานสูงขึ้นมา มันมีชีวิต มันก็ทำหน้าที่เพื่อให้มันรอดชีวิต สุนัขหรือแมวหรือสัตว์อะไรก็ตามต้องทำหน้าที่ตามหน้าที่ คือมันต้องมีกินอาหาร ต้องมีการเป็นอยู่อย่างถูกต้อง แล้วก็ไม่ตาย แล้วก็ออกลูกออกหลานไม่สูญพันธุ์ นี่คือหน้าที่ มนุษย์ก็เหมือนกัน ต้องมีหน้าที่จึงจะรอดชีวิตอยู่ได้ นี่ในๆๆชั้นต้นคือหน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ และทุกๆปรมาณูน่ะมันมีหน้าที่ มันประกอบกันเป็นหน้าที่ที่จะต้องหมุนต้องอะไรของมันอย่างถูกต้อง แล้วรอดชีวิตอยู่ได้ ฉะนั้นเราจึงมีหน้าที่ในชั้นต่ำสุดคือให้รอดชีวิตอยู่ได้ เราต้องกินอาหาร เราต้องอาบน้ำ ต้องถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันรอดชีวิตอยู่ได้ นี่ก็เป็นได้แต่เพียงคน ยังไม่เป็นมนุษย์ ก็เพียงแต่รอดชีวิตอยู่ได้ หน้าที่นี้จบลงเพียงว่าเป็นคนก็แล้วกัน หน้าที่ต่อไปหน้าที่ชั้นสูงก็คือให้รอดจากปัญหาที่มันครอบงำจิตใจของคน คือมีจิตใจที่ถูกต้อง ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นในใจ นี่มันเป็นสูงในทางจิตใจ เรียกว่าบรรลุมรรคผลนิพพาน รอดจากความทุกข์ หน้าที่ที่หนึ่งรอดชีวิต รอดจากความตาย หน้าที่ที่สองรอดจากปัญหาทั้งปวงคือความทุกข์ทั้งปวง มีอยู่สองรอด มันใช้ได้ทั้งสองรอดน่ะ เพราะมันต้องรอดชีวิตก่อน ชีวิตมันจึงอยู่ได้ แล้วชีวิตรอดอยู่ได้แล้วมันไม่รอดจากกิเลส ไม่รอดจากความบีบคั้นของกิเลสหรือความทุกข์ เอ้า, ต้องรอดกันอีกทีหนึ่ง หลุดออกมาจากความบีบคั้นของกิเลส รอดอีกทีหนึ่ง นี่รอดนี้จะรอดสำหรับเป็นมนุษย์ แล้วเป็นอริยมนุษย์เป็นอริยบุคคลจนถึงเป็นพระอรหันต์ มันมีอยู่สองรอดหรือสองชั้น ถ้าไม่ต้องการทั้งสองชั้น ชั้นที่สองก็เป็นโมฆะอย่างที่ว่า แต่ถ้าได้ทั้งสองชั้นมันก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้าใครมาด่าเราว่าไม่เป็นมนุษย์ เราโกรธใช่มั้ย เราโกรธอย่างยิ่ง แต่แล้วเราก็ไม่เป็นมนุษย์เสียอีก เราก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ และใครมาด่าว่าไม่เป็นมนุษย์เราก็โกรธ หากว่ารีบๆๆเป็นมนุษย์ จะไม่มีใครมาด่าประมาทให้เราเจ็บปวดได้อีก ก็ต้องมีธรรมะชั้นนี้ ธรรมะชั้นที่ว่านี้ ให้รอดจากกิเลสมีโพธิปัญญางอกงามขึ้นมา ไม่โง่ไม่เง่า ไม่โง่อย่างเดิม ไม่โง่อย่างเก่า เดี๋ยวนี้มันโง่อย่างเก่าเสียเรื่อยไป ระวังนะ ไอ้คำนี้สำคัญมากนะ ไปๆมาๆก็โง่อย่างเก่า ดิ้นรนเกือบตาย ขวนขวายเกือบตาย มันก็ยังโง่อย่างเก่า นี่ระวังให้ดี ใครๆจงหลีกให้พ้นจากไอ้ความโง่อย่างเก่าที่โง่มาตลอดเวลา ให้มันตั้งชื่อว่านายฉลาดแล้วมันก็โง่อย่างเก่าน่ะ ชื่อมันช่วยไม่ได้ ตั้งชื่อว่านายปัญญานายอะไรก็ตาม แล้วมันก็โง่อย่างเก่าอยู่นั่นเอง ฉะนั้นเรามาฉลาดขึ้นให้มากกว่าเดิม อย่าต้องให้ฉายซ้ำว่าโง่อย่างเก่า อะไรก็โง่อย่างเก่า พรุ่งนี้ก็โง่อย่างเก่า มะรืนนี้ก็โง่อย่างเก่า จะดับทุกข์ไม่ได้
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ให้ช่วยจำไว้ แล้วมีอยู่สองขั้นตอน หน้าที่ให้รอดชีวิตอยู่ได้ไม่สูญพันธุ์นี่ก็ตอนหนึ่งแล้ว แล้วๆมันรอดอยู่ได้มันต้องเจริญในทางถูก ที่ถูกคือว่าเย็น เย็น เย็น เย็น เย็น ไม่ร้อน ถึงที่สุดเย็นเป็นการถาวร นั่นเป็นนิพพาน เมื่อใดไม่มีกิเลสรบกวนเมื่อนั้นเป็นนิพพาน เดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่ว่าเดี๋ยวมันก็มาอีก ไอ้คนธรรมดามันมีนิพพานชั่วขณะๆ เพราะไม่รู้จักทำอย่าให้กิเลสกลับมาอีก ถ้ามีธรรมะพอ รู้จักทำ กิเลสไม่กลับมาอีกก็เย็นถาวร นี้เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เย็นไม่มีไฟกิเลสเผาลนเป็นการถาวร คนธรรมดานี้ดีที่ว่ากิเลสมันปราณีให้บ้างเป็นระยะๆ เย็นนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ยังดี พยายามให้รู้จักความเย็นเมื่อไม่มีกิเลสรบกวน เมื่อใดไม่มีราคะไม่มีโทสะไม่มีโมหะเผาลนเรา เราเย็นอย่างไร อุตส่าห์สังเกตไว้ เราก็จะชอบ จะชอบ จะยิ่งชอบ และจะทำให้มันยาวออกไป ให้ความเย็นนี้มันยาวออกไป ให้วันหนึ่งๆมันเย็นได้หลายๆชั่วโมง ก็ดี ถ้าเย็นหมด เย็นเด็ดขาดไม่เร่าร้อนอีกเป็นพระอรหันต์ ทีนี้เอากันแต่ว่าเป็นมนุษย์ชั้นดี เป็นกัลยาณปถุชนไปพลางก่อน ไม่มีอะไรช่วยได้นอกจากธรรมะ ธรรมะเข้ามาแล้วก็เย็น ชีวิตนี้ก็เย็น ทำงานก็เย็น พักผ่อนก็เย็น มันเย็นไปหมดเลย จะหาตั้งใจจะหาเงินก็เย็น หาอยู่ก็เย็น มีแล้วไว้ก็เย็น กินใช้ก็เย็น ให้มันเป็นเรื่องเย็น อย่าให้เป็นเรื่องร้อน เดี๋ยวนี้เราไม่มีธรรมะไม่มีปัญญา มันเป็นเรื่องร้อนไปหมด ก่อนที่จะหาเงินก็ร้อน หาอยู่ก็ร้อน ได้มาก็ร้อน เก็บไว้ก็ร้อน กินก็ยังร้อน กินเข้าไปก็ยังร้อน เพราะไม่มีธรรมะ ช่วยจำไว้ข้อนี้เป็นเครื่องทดสอบ เป็นเครื่องสอบไล่ตัวเองว่าถ้าเรายังร้อนอยู่ยังไม่ใช่ไม่มีธรรมะหรอก ถ้ายังร้อนอยู่มันไม่มีธรรมะ จะเรียกอีกทีก็ว่ายังไม่เป็นมนุษย์ ฉะนั้นการศึกษาปฏิบัติที่จะเป็นมนุษย์เย็นตลอดเวลาอย่างไรต่อไปนั้นน่ะ มันก็มี เหมือนกับว่าศึกษากันต่อไป วันนี้มันไม่มีเวลาจะพูดอีกแล้ว ตัวพระศาสนาที่เรียกว่าหนทาง หนทาง อัฏฐังคิกมรรคนั่นน่ะคือทางปฏิบัติที่จะไปเย็น ไปเย็นกันโดยเด็ดขาด นั่นน่ะตัวศาสนาก็เรียกว่าหนทาง อริยมรรคมีองค์แปดนั่นเป็นทั้งหมด ฉะนั้นใจความสำคัญของพระศาสนา ถ้ามองก็มาเข้ารูปนี้คือธรรมะที่ทำให้เกิดความเย็น ให้สูงขึ้นมาจนอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งต่างๆในโลก อย่ามีอะไรในโลกเข้ามาทำให้เราเปลี่ยนไปตามอำนาจของมัน มีความรัก มีความโกรธ มีความเกลียด มีความกลัว มีความวิตกกังวล มีความอาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวงฆ่าฟันกัน อย่างนี้มันเลวกว่าแมวหรือเลวกว่าสุนัขซึ่งมันทำไม่เป็นนะ ถ้าเป็นมนุษย์มีจิตใจคิดนึกได้เก่งกว่าสัตว์ เราต้องคิดนึกให้เก่งกว่าสัตว์ ถ้าเราไม่คิดนึกให้เก่งกว่าสัตว์ ไอ้ความเป็นมนุษย์มันกลายเป็นบาป สติปัญญาที่ใช้ไม่ถูกต้องมันกลายเป็นของบาป อย่าพูดว่ามีสติปัญญาแล้วจะเป็นของโชคดีหรือได้บุญ ไอ้ความฉลาดน่ะมันจับใส่นรกยิ่งกว่าความโง่ มันตกนรกลึกกว่าความโง่ ถ้าเราเป็นมนุษย์มีจิตใจที่คิดได้ดีมีปัญญาดี ก็ต้องคิดให้มันถูกต้องสิ มิฉะนั้นจะเลวกว่าสุนัขจะเลวกว่าแมวซึ่งไม่มีความคิด คิดไม่เป็น สัตว์เดรัจฉานมันโชคดีที่มันคิดไม่ได้ มันจึงมีความทุกข์น้อย ไอ้เรามันมีความคิดเก่งแต่คิดไม่เป็น กลับมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน นี่มันเป็นเรื่องที่น่า น่าเศร้า ธรรมชาติให้มนุษย์มีความคิดดีคิดเก่งแต่กลับคิดผิดมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน สมน้ำหน้าใคร คิดดูเถอะ ถ้าไม่เอาธรรมะมาเป็นเครื่องรับประกันเป็นเครื่องต่อต้านแล้ว เราก็ยังจะอยู่ในภาวะที่น่าละอายสัตว์เดรัจฉานอยู่เรื่อยไป
ฉะนั้นขอให้พวกคุณที่ว่าตั้งใจจะศึกษาธรรมะมาศึกษาธรรมะนี่ รู้จักธรรมะกันในลักษณะนี้ แล้วไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องสำหรับพูดเล่น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำชุ่ยๆไปได้ตามสบาย แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถูกต้องให้มันมีธรรมะจริงๆ เมื่อเช้านี้ก็พูดกันทีหนึ่งแล้วว่ามันเรียนธรรมะแต่มันไม่รู้ธรรมะ เอ้า, บางคนมันรู้ธรรมะแต่มันไม่มีธรรมะ นี่มันรู้เฉยๆมันไม่มีตัวธรรมะ บางคนมีตัวธรรมะแล้วมันไม่รู้จักใช้แก้ปัญหาอะไรเลย เป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอยู่นั่น เราต้องเรียนธรรมะรู้ธรรมะมีธรรมะ และใช้ธรรมะแก้ปัญหาความเป็นมนุษย์ของเราให้ได้ นี่จึงหวังว่าทุกคนจะรู้ความจริงข้อนี้ แล้วก็จะทำให้เป็นผู้มีธรรมะที่ใช้แก้ปัญหาได้ หรือเลื่อนจากความเป็นคนไปสู่ความเป็นมนุษย์ แล้วก็ไปสู่ยอดสุดของความเป็นมนุษย์ เอาแค่เป็นมนุษย์มันก็พอแล้ว เอายอดสุดมนุษย์จนจะเกินไป ไม่กล้าเสียอีก เอาแต่ว่าเป็นมนุษย์ชนิดที่น่าดูตามความหมายของคำว่ามนุษย์ ก็ไม่เสียทีที่มาสวนโมกข์ การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว เวลาสิ้นไปเยอะแล้ว ขอยุติการบรรยาย แล้วก็ไม่ อดไม่ได้ที่จะขอแสดงความยินดีเหมือนพูดเมื่อตอนเช้านี้ว่า ขอแสดงความความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้และในลักษณะอย่างนี้ คือให้รู้ธรรมะให้มีธรรมะให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะต่อๆไปให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ เราเองก็ได้รับประโยชน์ก่อนใครๆ มีความสงบสุขซึ่งเป็นผลของธรรมะที่เรียกว่าความเย็น ชีวิตเย็นเป็นนิพพานสำเร็จตามความประสงค์อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย