แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักเรียนและนักศึกษา ครูบาอาจารย์ ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การพูดกันครั้งนี้จะพูดด้วยเรื่องนิพพาน บางคนยังสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกันกับชีวิต ขอตอบว่ามันเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา คือถ้ารู้จักนิพพานน้อยๆ ที่คอยช่วยให้ชีวิตมันรอดอยู่ได้ และเป็นนิพพานจริงสุดท้ายปลายทางของชีวิต ชีวิตมีจุดหมายปลายทางสูงสุดอยู่ที่นิพพาน นี่คำว่านิพพานหมายความอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ลูกเด็กๆ เขาสมัยนี้ไม่ค่อยจะได้ยินคำว่านิพพาน ถ้าเป็นสมัยก่อนง่ายมากที่จะได้ยิน คือคนเฒ่าคนแก่เขาสวดมนต์แล้วก็จะเอ่ยถึงนิพพาน จะทำบุญอะไรสักหน่อยก็จะมีคำอธิษฐานในตอนสุดท้ายว่า นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ เดี๋ยวๆ ก็ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ แปลว่าขอให้การกระทำของเรานี้จงเป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน คือเพื่อให้ได้นิพพาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครว่าไม่ค่อยมีใครเอ่ยถึงนิพพานกันมากเหมือนแต่ก่อน ลูกเด็กๆ สมัยนี้ก็ไม่ค่อยได้ยินคำว่านิพพาน แล้วก็จะเดาเอาเองว่านิพพานนั้นพ้นสมัยสำหรับเรา ไม่เกี่ยวกับเรา แต่เกี่ยวกับคนแก่ และก็มีคนเป็นอันมากสอนกันบอกกันว่า พ้นสมัยแล้วที่จะพูดถึงนิพพาน เราไม่อาจจะมีนิพพานได้อีกต่อไป จึงกลายเป็นคำแปลกหู คนสมัยนี้โดยเฉพาะรุ่นเล็กนี่จะแปลกหูสำหรับคำว่านิพพาน กระทั่งโตแล้วบางคนไม่มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังได้ศึกษาเรื่องนี้ก็แปลกหู ขอให้ทุกคนสังเกตดูตัวเองว่าพอได้ยินคำว่านิพพานรู้สึกอย่างไรบ้าง รู้สึกขยะแขยงว่ามันเป็นของครึคระ หรือว่าสนใจอยากจะรู้เรื่อง แต่อย่าลืมว่าเคยบอกมาแล้วและกำลังจะบอกอีกเดี๋ยวนี้ว่า ไอ้มนุษย์นี่มันรอดชีวิตอยู่ได้กับนิพพานน้อยๆ ที่มีอยู่หรือเกิดขึ้นเป็นประจำวัน พูดรวบรัดกันทีก่อนก็คือว่า เมื่อสบายใจนั่น เวลาเมื่อสบายใจจิตใจเกลี้ยงเกลาเยือกเย็น ไม่มีความระคายอะไร เป็นจิตใจเยือกเย็นนั่นแหละ คือมันอยู่กับนิพพาน ซึ่งเราก็มีอยู่พอสมควรเป็นระยะๆ ไป ถ้าใจของเรากลัดกลุ้มเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่มีระยะว่างเว้น เราก็ทนไม่ได้จะต้องป่วยเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต เป็นบ้าตายเลย เพราะจิตไม่เคยว่างจากกิเลสหรือความทุกข์ เดี๋ยวนี้มันมีระยะเวลาที่ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ เป็นจิตเกลี้ยง เป็นจิตว่าง อยู่ตามสมควร ก็เหมือนกับได้พักผ่อน มันจึงไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า แล้วก็ไม่ตาย ก็อยู่ได้ ถ้ารู้จักนิพพานตามความเป็นจริงกันอย่างนี้กันบ้างก็จะดี ก็จะรู้จักนิพพานขั้นสุดท้ายคือนิพพานยืดยาวติดต่อกันไม่ขาดสายถึงที่สุด แต่ว่านั่นคือความเป็นพระอรหันต์ พอบอกว่าเป็นพระอรหันต์ก็จะพากันสั่นหัวเสียอีก ดังนั้นต้องเข้าใจพร้อมๆ กันไปสำหรับคำว่านิพพานก็ดี คำว่าพระอรหันต์ก็ดี พระอรหันต์ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าว่า บรรลุนิพพานแท้จริงสมบูรณ์ถึงที่สุดเท่านั้นเอง ไอ้พวกปุถุชนนี่มันน้อยมันมีเป็นส่วนน้อย ยังมีเป็นระยะๆ ยังเป็นส่วนน้อย มีความทุกข์เข้ามาแทรกแซงสลับเสียมากกว่า เหลือทนก็มี เหลือทน ขี้เกียจก็เลยจิตมันหยุดไปเองบ้าง แล้วไม่รู้จักทำให้จิตสงบคือทำสมาธิไม่เป็น ถ้าทำสมาธิเป็นเราก็ทำสมาธิให้จิตมันว่างหรือเกลี้ยงจากกิเลสจากความทุกข์ เป็นนิพพานทันทีที่เราทำขึ้นมา นี่เรียกว่าเป็นความสุข ช่วยให้ชีวิตนี้มันสดชื่น เดี๋ยวนี้มันยังมีเหตุที่ทำให้ไม่เข้าใจหรือไม่สนใจในนิพพานอยู่อย่างหนึ่ง คือคำสอนที่ผิดๆ ที่สอนกันอยู่ในโรงเรียน และเชื่อว่ากระทั่งถึงวิทยาลัยถึงมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังเข้าใจผิดกันอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่ออาตมาเป็นเด็กก็ได้รับคำสั่งสอนเหมือนกับที่เขายังสั่งสอนกันอยู่เดี๋ยวนี้ คือนิพพานนั้นแปลว่าตาย ตายของพระอรหันต์ หมาตายแมวตายเรียกว่าตาย คนตายเรียกว่าถึงแก่กรรม พระเจ้าพระสงฆ์เรียกว่ามรณภาพ เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เรียกว่าสวรรคต อะไรก็เริ่มแต่ตายทั้งนั้น นั้นนิพพานนี่แปลว่าตายใช้กับพระอรหันต์ เด็กนักเรียนก็เลยรู้แต่เพียงว่านิพพานแปลว่าตาย แล้วไม่เกี่ยวกับเรา คำนี้เขาใช้สำหรับพระอรหันต์ ก็เลยไม่สนใจคำว่านิพพาน เพราะมันเป็นเรื่องตายของพระอรหันต์ ครูชนิดนี้ทำบาปหนักมาก เป็นผู้ที่ทำลายพระนิพพาน สอนเด็กว่านิพพานแปลว่าตาย บาปร้ายมาก เพราะว่านิพพานไม่ได้แปลว่าตาย คือนิพพานถึงได้โดยไม่ต้องตาย ไม่ใช่ความตาย แม้ว่าของพระอรหันต์ก็ไม่ใช่กิริยาที่พระอรหันต์ตาย นั้นไม่ใช่นิพพาน ท่านได้นิพพานตั้งแต่ก่อนตาย แล้วมันผิดเอามากๆ ตรงที่ว่า มันใช้คำพูดผิด คือพระอรหันต์นั้นตายไม่ได้ ช่วยจำกันไว้เสียด้วย พระอรหันต์นั้นตายไม่ได้ ความตายไม่มีแก่ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ถ้าจะมีได้ก็ที่ร่างกายที่เปลือกนั่นน่ะมันก็ตายเหมือนคนธรรมดา ร่างกายนั้นก็ตายเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่พระอรหันต์ตาย พระอรหันต์เป็นสิ่งที่ตายไม่ได้ คือจิตที่บรรลุถึงความจริงสูงสุด ไม่มีสัตว์บุคคล ไม่มีเกิด ไม่มีตาย สำหรับจิตชนิดนี้ จิตชนิดนี้เขาเรียกว่าพระอรหันต์ มีความเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์จึงตายไม่ได้ ก็เลยสอนกันผิดๆ ว่านิพพานแปลว่าตายของพระอรหันต์ ให้ครูช่วยสอนกันเสียใหม่ว่า นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย ถ้าว่าจะให้แปลว่าตายก็ต้องว่าตายของกิเลส กิเลสตัณหา อุปาทาน ที่ทำให้ยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูของกู ทั้งที่ไม่ต้องตายนี่ไอ้กิเลสชนิดนี้ตายได้ โดยที่คนนั้นไม่ต้องตาย ร่างกายไม่ต้องตาย กิเลสนี้ตายได้ ไอ้กิเลสนี้ตายเรียกว่านิพพานได้ คือกิเลสตาย หมายถึงมันตายจริงนะ ตายหมด เราควรจะเข้าใจคำว่านิพพานกันให้ดีๆ ครูก็ช่วยสอนกันเสียใหม่ว่า นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย พระอรหันต์ไม่อาจจะตายอีกต่อไป นี่การศึกษาของเมืองไทยยังน่าสงสารอยู่มาก สอนเด็กๆ ว่านิพพานแปลว่าตาย ถ้าให้ถูกให้จริงแล้วต้องแปลว่า เป็นที่ไม่รู้จักตาย นิพพานเป็นชีวิตที่เป็น เป็นแล้วก็ไม่รู้จักตายอีกต่อไป นั่นคือนิพพาน เรียกว่ามันถึงชีวิตนิรันดร ถึงอมตะ ถึงความไม่ตาย นิพพานเป็นความไม่ตาย ใครเข้าไปถึงนั่นจิตนั้นจะไม่รู้จักตาย เลยเรียกกันเสียใหม่ว่าชีวิตนิรันดร กลายเป็นว่าเป็นอยู่โดยที่ไม่รู้จักตาย นี่คือนิพพาน
เดี๋ยวนี้จะพูดถึงภาษากันก่อนเพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น พูดโดยทางภาษาโดยทางหนังสือ คำว่านิพพานที่เป็นภาษาบาลีนี่แปลว่าเย็น เป็นคำพูดของชาวบ้านสมัยนั้น สมัยพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาล คำพูดคำนี้พูดอยู่เป็นภาษาชาวบ้านมันก็แปลว่าเย็น เหมือนที่เราพูดตามธรรมดานี่ เมื่อไม่ร้อนน่ะคือเย็น เมื่อมันลดความร้อนลงมา ลดความร้อนลงมา จนไม่ร้อนนี่เรียกว่ามันเย็น นั่นแหละมันคือนิพพาน สมัยนั้นคำว่านิพพานไม่ได้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เป็นคำในศาสนา ต่อมาๆ เมื่อเขาเมื่อพระฤาษีมุนีก่อนพระพุทธเจ้า เขาไปพบความเย็นทางจิตใจ เช่น ทำสมาธิเป็นต้น พบความเย็นทางจิตใจก็ต้องขอยืมคำชาวบ้านที่ว่าเย็นๆ นี่ไปใช้ เพราะเดี๋ยวนี้เราจะพบนิพพานคือความเย็นอีกชนิดหนึ่ง คือเป็นเรื่องทางจิตใจ ทางสูง ทางลึก ไม่ใช่ภาษาชาวบ้าน แต่ต้องเอาคำนี้ไปใช้ เพราะว่าถ้าเอาคำอื่นมาใช้ คนมันฟังไม่รู้เรื่องก็ต้องเอาคำนี้ไปใช้ เพราะว่าเย็นตามภาษาชาวบ้านถูกยืมไปใช้เป็นเรื่องเย็นทางจิตทางวิญญาณในอันดับลึกอันดับสูง คำว่านิพพานในความหมายนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อเขาได้ค้นพบเรื่องของความเย็นทางจิตใจ ดังนั้นถ้าเป็นแต่ก่อนนี้เราก็ว่าเย็นก็แล้วกัน ใช้กับวัตถุก็ได้ วัตถุเย็น วัตถุร้อนๆ เย็นเขาเรียกว่ามันนิพพาน เช่น ถ่านไฟแดงๆ อยู่ในเตา เขี่ยออกมามันก็ค่อยๆ ดำ คือเย็นลง นั่นแหละคือถ่านไฟมันนิพพาน ถ้าพูดอย่างสมัยโน้นใช้คำพูดว่านิพพาน มันนิพพาน หรือว่าของร้อนที่เป็นอาหารแกงกับข้าวอะไรก็ดี โดยเฉพาะข้าวต้ม ต้องรอให้มันนิพพานจึงจะกินได้ เป็นภาษาพูดอยู่ในครัวด้วยซ้ำไป คือคนอยู่ในครัวร้องตะโกนบอกคนข้างนอกว่า เดี๋ยวนี้มันนิพพานแล้ว เช่นว่าข้าวต้มมันนิพพานแล้ว มากินกันได้ นิพพานมีความหมายแม้แต่ทางวัตถุอย่างนี้ ทีนี้ก็ยังใช้เป็นเรื่องทางกาย ร่างกายเย็น หรือสัตว์เดรัจฉานนิพพานคือว่าสัตว์ตัวนั้นเย็น เย็นคือหมดฤทธิ์ หมดพิษ ไม่มีอันตรายอีกต่อไป สัตว์ตัวไหนที่จับมาจากป่าเป็นอันตรายแล้วก็จับมาฝึกๆๆ จนหมดอันตรายเชื่องเหมือนแมว ก็สัตว์ตัวนั้นเรียกว่านิพพาน มันเย็นเหมือนกันคือมันเย็นลงจากพิษร้ายของมัน ช้างม้าอะไรก็ตามที วัวควายก็ตามที่ไปจับมาจากป่า มาฝึกจนมันไม่มีปัญหา มันเชื่องเหมือนกับแมว ก็เรียกว่าสัตว์ตัวนั้นเย็นแล้วคือนิพพานแล้วอย่างนี้ก็มี ต่อมาเขาเอาไปใช้กับความเย็นอกเย็นใจในขั้นต้น ถ้ารู้สึกสบายใจเย็นใจก็เรียกว่านิพพาน เกิดมีคนพวกหนึ่งกลุ่มหนึ่งแห่งหนึ่งเขาถือว่าเย็นได้ทางใจนี่ก็คือกามารมณ์สมบูรณ์ กามคุณ กามารมณ์ทางเพศนี่ทำให้เต็มที่ทำให้สมบูรณ์ก็เย็น ก็เลยถือเอาว่านี่ก็เป็นนิพพาน นิพพานกามารมณ์ กามารมณ์มาทำให้หยุดความกระหายชั่วขณะๆ นี่ก็เรียกว่านิพพาน อย่างนี้ก็เคยมีปรากฏหลักฐานอยู่ในพระบาลีนั้นเหมือนกัน ต่อมาจึงจะพบดีไปกว่านั้น คือพวกฤาษีมุนีในป่าเขาพบว่าทำจิตให้เป็นสมาธิ นี่คือเย็นจริงกว่ากามารมณ์ ก็เลยการเข้าฌานกลายเป็นการเข้าอยู่ในนิพพานหาความสุขหาความเย็น มันก็มีฌานเป็นนิพพานกันอยู่พักหนึ่งยุคหนึ่งสมัยหนึ่งแห่งหนึ่ง ข้อความนี้ก็มีปรากฏอยู่ในพระบาลี ก็ถือกันว่าไอ้ฌานชั้นดีสุดสูงสุดที่เรียกในสมัยนั้นว่าเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนั้นน่ะเป็นนิพพาน เพื่อพระพุทธเจ้าออกบวชมีคนถือนิพพานสูงสุดอยู่เพียงเท่านี้คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี่ เหมือนกับว่าตายแล้วก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นอยู่ก็ไม่ใช่ มันไม่มีความรู้สึก จะว่าตายแล้วก็ไม่ใช่ มันยังไม่ตาย อยู่ในสภาพอย่างนี้เรียกว่าเย็นแล้วก็เป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าก็ได้เข้าไปศึกษาลัทธินี้เป็นอันสุดท้าย พอถึงที่สุดแล้วท่านว่าไม่ได้ เราไม่เห็นด้วยว่าอย่างนี้เป็นนิพพาน ท่านก็ต้องออกไปหาของท่านเอง ไปค้นของท่านเอง จนพบไอ้นิพพานอย่างของท่าน นิพพานนี้คือกิเลสสิ้นไป กิเลสเป็นของร้อน กิเลสสิ้นไป มันก็เป็นของไม่ร้อนคือเป็นของเย็น แล้วก็จริงไม่กลับร้อนได้อีก นี่คือนิพพานที่ค้นได้เป็นขั้นสุดท้าย สูงสุดเป็นขั้นสุดท้าย ต่อมาก็ไม่มีใครจะสามารถค้นหานิพพานให้ดีไปกว่านี้หรือสูงไปกว่านี้ได้ เดี๋ยวนี้ก็คือนิพพานในพุทธศาสนา ขอให้รู้จักคำว่านิพพานนั้นคือความสิ้นกิเลส พอสิ้นกิเลส กิเลสมันนิพพาน คนไม่ต้องตาย คนได้เสวยความรู้สึกเป็นสุขเพราะไม่มีกิเลส นี่ก็เรียกว่าได้เสวยรสแห่งนิพพาน ดังนั้นนิพพานจึงมีอยู่เมื่อคนนั้นยังไม่ตาย คนนั้นก็ได้เสวยรสของนิพพาน นี่เป็นจุดสูงสุดปลายทางเรียกว่าปลายทางของมนุษย์ มนุษย์นี่จะดีไปกว่านี้ไม่ได้ ดีๆๆๆ เข้าไปเท่าไรๆๆ ก็ไปจบกันที่นิพพาน ไม่มีความดีของมนุษย์ที่สูงสุดไปกว่านั้น นี่ขอให้เข้าใจคำว่านิพพานโดยทางภาษาพูด ในครั้งพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาลก็พูดคำนี้กันมาในลักษณะอย่างนี้ แม้ความเย็นอกเย็นใจตามธรรมดาที่เราพูดถึงกันอยู่ก็เรียกว่านิพพานเหมือนกัน มีความเย็นอกเย็นใจก็เรียกว่านิพพานเหมือนกัน ทบทวนอีกทีว่าของร้อนเช่นถ่านไฟเย็นก็เรียกว่านิพพาน ข้าวต้มเย็นกินได้ก็เรียกว่านิพพาน สัตว์เดรัจฉานหมดพิษๆ ก็เรียกว่านิพพาน จิตใจที่ไม่ร้อนก็เรียกว่านิพพาน บางทีเอากามารมณ์มาเป็นนิพพาน จนกระทั่งเอาฌานสมาธิมาเป็นนิพพาน จนกระทั่งเอาความหมดกิเลสมาเป็นนิพพานที่แท้จริงอันสุดท้าย ในครั้งพุทธกาลมีคำว่านิพพานใช้หมายถึงความเย็นอกเย็นใจอยู่ทั่วไป ดังที่มีเรื่องเขียนไว้ในพระคัมภีร์ พระสิทธัตถะปรากฏตัวอยู่ในที่ชุมนุมแห่งหนึ่ง มีหญิงสาวในศากยะตระกูลคือเจ้าหญิงแห่งศากยะตระกูลเขาเดินผ่านไปทางนั้น เขาเห็นพระสิทธัตถะและรู้จักดี เขาก็บังคับความรู้สึกไว้ไม่ได้ เขาก็พูดออกไปว่า บุรุษนี้เป็นลูกของใคร แม่ของเขาก็นิพพาน บุรุษนี้เป็นลูกของใคร พ่อของเขาก็นิพพาน บุรุษนี้เป็นสามีของหญิงใด ภรรยาของเขาก็นิพพาน นี่พูดอย่างนี้ ไอ้คำว่านิพพานอย่างนี้หมายถึงเย็นอกเย็นใจทั้งนั้นแหละไม่ได้หมายถึงสิ้นกิเลสหรือว่าอะไรสูงสุดไปกว่านั้น บุรุษนี้เป็นลูกของใคร พ่อแม่ของเขาก็จะเย็นอกเย็นใจ ไม่มีทางที่จะร้อนใจ บุรุษนี้เป็นสามีของใคร ภรรยาของเขาก็จะเย็นอกเย็นใจ แต่เมื่อพูดเกินภาษาในครั้งกระนั้นก็คือคำว่านิพพาน เพราะมันแปลว่าเย็น จะเรียกว่าเย็นเฉยๆ ก็ได้ จะเรียกว่าเย็นอกเย็นใจก็ได้ มันเป็นเรื่องเดียวกัน นี่จึงควรจะทำความเข้าใจกันเสียทีว่า นิพพานนี้เป็นเรื่องอะไร น่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ พ้นสมัยแล้วหรือยัง ที่เราไม่เข้าใจคำว่านิพพานกันสมัยนี้ก็เพราะเหตุอย่างที่ว่ามานี้ เชื่อว่าเมื่อครั้งแรกๆ ที่พุทธศาสนาจะเข้ามาในประเทศไทยนี่ เขาก็เอาเรื่องนี้มาสอนกันอย่างถูกต้อง เข้าใจกันอย่างถูกต้องอยู่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งแหละ รู้ว่านิพพานเป็นอะไร จนมีคำพูดเกิดขึ้นมาว่านิพพานนี่คือตายเสียก่อนตาย คำพูดมันยาวหน่อยว่า งามอยู่ที่ซากผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย งามอยู่ที่ซากผี ซากผีมันสอนให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ดังนั้นคนที่เขาชอบความจริงเขาก็เลยเห็นซากผีเป็นของงาม จึงพูดว่างามอยู่ที่ซากผี คนเดี๋ยวนี้ก็สั่นหัวไม่อยากดูไม่กล้าดู แต่คนที่เขามีความรู้เรื่องทางจิตใจ เขาเห็นซากผีเป็นเรื่องจริงเป็นของจริงเป็นสิ่งที่แสดงความจริง เขามองไปในแง่ที่มันงาม เพราะมันไม่หลอกใคร ไอ้คนงามคนสวยเดี๋ยวนี้มันเรื่องฉาบทาทั้งนั้นแหละ มันเรื่องฉาบทาให้มันงาม ซากผีนี่ไม่ต้องมีอะไรมาฉาบทา มันเปิดเผยความจริง ก็เลยถือว่ามันเป็นเรื่องที่น่าดูสวยงาม ที่นี้ดีอยู่ที่ละ คนที่เขาพูดนี่เขาหมายความว่า ไอ้ที่ดีๆ ต้องอยู่ที่สละออกไป อย่าเอาเข้ามาอย่าเอามาเป็นของกู อย่าเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักให้ใคร ไม่รู้จักสละให้แก่ใคร ถ้าดีจริงต้องละออกไปๆ นี่ก็ดีอยู่ที่ละ ทีนี้ก็พระอยู่ที่จริง ความเป็นพระอยู่ที่จริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนกันไปจริงๆ แล้วก็เป็นผู้เปิดเผยไม่มีความเร้นลับที่ซ่อนเร้นปกปิดหลอกลวง ก็เรียกว่าพระอยู่ที่จริง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตายคือความคิดนึกรู้สึกยึดถืออย่างโง่เขลาว่าตัวกูๆๆ นี่ มันตายไปแล้วก่อนแต่ที่ร่างกายจะตาย หมายความว่าบุคคลนั้นไม่ทันตายเข้าโลง แต่ว่าไอ้กิเลสตัวกูๆ นี่ ตายหมดแล้ว เขาไม่รู้สึกว่ามีตัวกูอีกต่อไป นี่คือนิพพาน ได้แก่ตัวกูตายเสียแล้วก่อนแต่ร่างกายนี้ตาย ตัวกูนั้นเป็นกิเลสยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานว่าเป็นตัวกู ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญไม่มีใครรังเกียจกิเลสว่าตัวกู จะเป็นอย่างที่เขารู้เรื่องพุทธศาสนาดีเขาจะรังเกียจไอ้คำว่าตัวกูตัวตนนี่ เพราะมันไม่ใช่ของจริง
ในคัมภีร์ก็มีนิทานด่ามนุษย์ล้อมนุษย์อยู่เรื่องหนึ่งเรียกว่า เรื่องลิงล้างหู ลิงโพธิสัตว์ถูกจับมาเลี้ยงอยู่ในวัง เสร็จแล้วก็ปล่อยกลับไป บริวารลิงทั้งหลายมาถามว่าในวังเขาทำอะไรกัน พระโพธิสัตว์ก็ไม่อยากจะเล่า แต่ลิงทั้งหลายมันบีบบังคับให้ต้องเล่าต้องบอก จึงโพธิสัตว์ก็บอกว่าที่นั่นทั้งวันทั้งคืนมีแต่คำพูดว่า เงินของกู ทองของกู บ้านของกู เมียของกู ผัวของกู ลูกของกู เงินทองเกียรติยศข้าวของของกู ไม่ทันจบ ไอ้ลิงทั้งหลายมันก็พอๆๆ บอกให้หยุด สกปรกหูนักมันก็เลยไปล้างหูกันที่ลำธาร เขาเรียกว่านิทานเรื่องลิงล้างหู ด่ามนุษย์ที่ไม่มีอะไรนอกจากว่าตัวกู ของกู ตัวกู ของกู คุณเอาไปคิดดูให้ดี เพื่อจะได้ปรับปรุงกันเสียบ้าง อย่าให้ลิงมันด่ามากเกินไป ระมัดระวังว่าจะพูดอะไรออกมาว่า เป็นกูหรือของกูสักคำหนึ่งยับยั้งไว้ดีกว่า มีสติยับยั้งไว้ดีกว่า ลิงมันจะไม่ได้ด่า ที่จริงไม่ใช่ลิงจะต้องด่าหรอก ไอ้ตัวกูพอเกิดขึ้นมันก็กัด มันก็กัดหัวใจคนนั้นแหละยิ่งกว่าลิงกัดเสียอีก
พอมีความรู้สึกว่าตัวกูของกูเกิดขึ้นในจิตใจ หมายความว่าจิตใจของคนนี่มันเจ็บปวดด้วยความเผาลนของกิเลส กิเลสที่ว่าตัวกูของกูนี่มันหมายถึงโกรธแล้วทั้งนั้น หรือว่ารักแล้วทั้งนั้น หรือกลัวแล้วทั้งนั้น เช่น วุ่นแต่เรื่องร้อนๆ ทั้งนั้น รัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล ก็เป็นเรื่องกูๆๆๆ นั้นมันเป็นเรื่องร้อน มันตัดจิตตัดใจเผาแต่จิตใจให้ร้อน ถ้านิพพานเข้ามามันก็จะหยุดหรือจะเย็นไปพักหนึ่ง เดี๋ยวนี้นิพพานไม่มามันก็มีตัวกูๆ ออกเป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ก็ร้อนกันอยู่ รู้จักเวลาที่ไม่มีนิพพานกันเสียบ้าง แล้วรู้จักเวลาที่มีนิพพาน คือไม่มีชนิดนั้น ไม่มีโลภ โกรธ หลง แห่งตัวกู มันสงบมันว่างมันเยือกเย็นสักเท่าไร เช่นว่าเราไปที่ทะเล ธรรมชาติมันช่วยกิเลสเกิดไม่ได้ กิเลสระงับไปพักหนึ่ง กิเลสไม่รบกวนจิต แล้วรู้สึกว่ามันสบายใจจริงโว้ยไปเดินอยู่ริมทะเล เมื่อขึ้นไปยอดภูเขาก็เหมือนกันแหละ สิ่งแวดล้อมที่นั่นมันไม่ชวนให้เกิดกิเลส ว่างไปพักหนึ่ง สบายเหลือเกินบนนี้ หรือบางทีมาที่นี่นั่งกันตรงนี้ บางคนก็รู้สึกว่าสบายเหลือเกิน จิตใจมันว่างจากกิเลสไปชั่วครู่หนึ่ง ขอให้สนใจกันเสียบ้าง ว่าเมื่อไรมันไม่ว่างจากกิเลสร้อนระอุอยู่ แล้วเมื่อไรว่างจากกิเลสแล้วก็เย็นสบายดี ธรรมชาติมันก็ช่วยได้ อย่างว่าคุณสังเกตดู ขึ้นรถไฟจากกรุงเทพฯ มาที่นี่ พอรถไฟเคลื่อนๆ ห่างจากกรุงเทพฯ มาไปเรื่อย จิตมันได้รับการแวดล้อมชนิดที่ไม่เกิดกิเลสว่าตัวกูของกู จึงรู้สึกสบายโล่งใจไกลออกมาๆ จากกรุงเทพฯ จึงเป็นบ้านที่เราอยู่และเต็มไปด้วยธุระการงานขึ้น วิตกกังวล รับผิดชอบ ซึ่งล้วนแต่มันเป็นที่ตั้งของกิเลส พอนั่งรถไฟออกจากสถานีไกลมาๆ กิเลสไม่ได้โอกาสปรุงขึ้นเหมือนกับมันไม่ได้ตามมา มันไม่ได้มีโอกาสที่ปรุงขึ้น ไอ้เราก็รู้สึกสบายๆๆ อย่างน้อยก็เป็นพักหนึ่งแหละ เลยไปเที่ยวที่ภูเขา ที่ทะเล ที่สวนโมกข์ ที่ไหนก็สุดแท้ มันก็ไปพบที่ที่ว่าไม่ช่วยให้กิเลสเกิด กิเลสไม่ได้เกิด มันก็สบายใจ มีคนเข้ามาในวัดนี่ได้ยินบ่นอยู่คนเดียวว่าสบายใจๆ บอกไม่ถูกก็มี ว่าอย่างนี้ก็มี นี่เป็นธรรมดาแท้ๆ ไม่ได้มีปัญญา ไม่ได้รู้อะไรมากมาย แต่ว่าธรรมชาตินี่มันช่วยแวดล้อมจิตใจไว้ไม่ให้เกิดกิเลสไปพักหนึ่ง มันก็เลยสบาย นี่ถ้าเป็นแก่ใครอาการอย่างนี้เป็นแก่ใครช่วยสังเกตให้ดี นั่นแหละโอกาสที่จะรู้เรื่องนิพพาน สังเกตไว้ให้ดี ศึกษาให้ดี เข้าใจให้ดี รักษาไว้ให้ได้ แล้วก็ทำให้มันมากขึ้นๆ ความรู้สึกสบายเช่นนั้น เยือกเย็นเช่นนั้น รักษาไว้ให้ได้แล้วขยายให้มันมากขึ้น ถ้าเดี๋ยวนี้สบายก็รักษาไว้ แล้วเอาไปกรุงเทพฯ ด้วยสิ ก็ขึ้นไปบ้านบนเรือนก็ขอให้มันเหมือนกับนั่งอยู่ที่นี่บ้าง อย่าให้มันเข้ารูปเดิมกลัดกลุ้มหม่นหมองมืดมัวไปเสียสิ แล้วก็ศึกษาเปรียบเทียบกันไว้เรื่อย เดี๋ยวมันก็จะเกลียด เอามาเปรียบเทียบกันไว้เรื่อย เดี๋ยวก็จะเกลียดฝ่ายที่ไม่ใช่นิพพาน ฝ่ายที่ยุ่งเหยิงเร่าร้อนมืดมัวกระวนกระวาย ก็จะมารักฝ่ายที่มันหยุดมันเย็นมันเกลี้ยงมันเป็นนิพพาน นี่วิธีศึกษาพระนิพพานอย่างนี้เข้าใจว่าจริง จริงกว่าที่จะอ่านหนังสือเสียอีก อ่านหนังสือก็จะรู้เรื่องได้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้ชิมด้วยจิตใจ เราอ่านหนังสือเป็นนิพพานในหนังสือ เป็นความรู้ เป็นความเข้าใจ เป็นความคาดคะเน ก็พอให้หยุดได้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่เท่ากับว่ามันไปสัมผัสด้วยจิตใจจริงๆ เรียกว่าเราได้ชิมพระนิพพานจริงๆ ต่อเมื่อจิตมันเกลี้ยงมันว่าง จะรู้จักพระนิพพานดีกว่านิพพานในหนังสือ
เดี๋ยวนี้ได้ยินว่าเป็นโรคประสาทกันเป็นแสนๆ คน คนไทย ๔๘ ล้านคนนี่เป็นโรคประสาทจำนวนแสนๆ คน หลายแสน และเป็นโรคจิตเป็นบ้าหลายหมื่นคน เป็นหมื่นๆ คน นี่เพราะว่าพระนิพพานไม่เคยมาเยี่ยมคนเหล่านี้เลย คนเดี๋ยวนี้มีแต่จิตใจกลัดกลุ้ม นอนไม่หลับๆๆ ไม่เท่าไรมันก็ได้เป็นโรคประสาท และก็ต้องกินยานอนหลับจนติดยานอนหลับ พอชินเข้ามันก็ไม่หลับอีกเหมือนกัน เขาก็อยู่ด้วยความที่ไม่รู้จักพักผ่อนจนเป็นโรคประสาท มากเข้าจะเป็นบ้า มากเข้าก็จะตายเลย เราเลี้ยงแมวไว้ดู เลี้ยงหมาไว้ดู ไม่เห็นมันเป็นโรคประสาท แล้วมันหลับมาก คือมันนอนหลับมากไม่ต้องกินยา นี่ ๒ ตัวนี่ก็หลับอยู่นี่ไม่ได้กินยา ไอ้คนกินยานอนหลับมันก็ยังไม่ค่อยหลับ น่าอายไหม คิดดูว่าน่าอายไหม กินยานอนหลับแล้วยังไม่ค่อยหลับ ไอ้นี่มันนอนหลับเพราะมันไม่มีตัวกูๆ โลภะ โทสะ โมหะ วิตกกังวล หม่นหมอง หวาดระแวง มารบกวน มันก็นอนหลับ แต่ถ้าว่าเรารู้จักทำให้มีนิพพานเข้ามาสลับฉากๆ เราก็จะนอนหลับ กลางคืนก็จะหลับได้สบายเต็มที่ กลางวันเมื่อต้องการจะหลับก็ยังหลับได้ นี่พระนิพพานก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคประสาท ไม่ให้เป็นโรคจิต ดังนั้นพยายามให้มีความหยุด สงบ หรือเกลี้ยงของจิตไว้ นั่นคือพระนิพพาน จะมาเป็นเครื่องรางที่แท้ที่จริงที่สูงสุดป้องกันไม่ให้เป็นโรคประสาทไม่ให้เป็นบ้า เหมือนกับฉีดวัคซีนกันหมาบ้า ฉีดวัคซีนกันหมาบ้าหมามันก็ไม่บ้าสิ เราก็ฉีดวัคซีนคือพระนิพพานไว้ในจิตใจบ่อยๆ เราก็จะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น นี่ควรสนใจไหม ควรจะนึกถึงกันไหม คนในยุคปรมาณูนี่ มนุษย์ในยุคปรมาณูนี่ ควรจะสนใจเรื่องนิพพานกันไหม ยุคอวกาศ ยุคคอมพิวเตอร์นี่ จะควรสนใจเรื่องพระนิพพานกันไหม ไปคิดเอาเอง ถ้าเราไม่ให้เรื่องของพระธรรม พระศาสนา หรือพระนิพพานเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คนมันก็จะเป็นโรคทางจิตกันมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันยังดีอยู่บ้างที่ว่าธรรมะหรือศาสนามันยังเหลืออยู่บ้าง พอให้คนระงับไอ้ความรู้สึกรุนแรงนี้ได้บ้าง แล้วเขาก็ทำยาระงับประสาทดีๆ มาขายให้กินกันพอประทังไปได้ นี่เรียกว่านิพพานยาเม็ด ซื้อมาระงับประสาทพอนอนหลับไม่ต้องเป็นบ้า แต่ว่าพระอริยะเจ้าไม่ต้องกินนิพพานยาเม็ด มันมีนิพพานที่แบบของจิตใจล้วน อยากจะสงบระงับเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น คือท่านจะเข้าฌาน เข้าปฐมฌานนี้เป็นต้น ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ มันยิ่งกว่านอนหลับ มันพักผ่อนยิ่งกว่านอนหลับ คือพักทั้งกาย ทั้งจิต ทั้งวิญญาณ นอนหลับธรรมดานี่ไม่ค่อยจะพักผ่อนจิต มันฝันเรื่อย ถึงกินยานอนหลับช่วยก็ไม่ลึกซึ้งเหมือนกับว่าทำนิพพานด้วยจิตเอง คืออยู่ในฌาน เป็นต้น นี่เราสมัยนี้ไม่อยากจะได้ยินคำว่านิพพาน รู้สึกเป็นสิ่งที่พ้นสมัยครึคระ หรือว่ามารวบกวน มากีด มาเกะกะ มาทำอะไรตามที่เราชอบใจไม่ได้
ขอให้สนใจเรื่องนิพพานในฐานะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทุกวันๆๆ เอานิพพานน้อยๆ เข้ามาช่วยด้วยก่อนเป็นโรคประสาท เป็นโรคบ้า นิพพานน้อยๆ มาคอยประคับประคองไว้ เราก็อยู่สบาย แล้วในที่สุดชีวิตนี่จะต้องไปถึงที่นั่นในฐานะเป็นจุดหมายปลายทาง ดังนั้นก็แปลว่านิพพานนี้เกี่ยวข้องกันอยู่กับชีวิตตลอด ตลอดกาลจนกว่าจะไปเป็นชีวิตนิรันดรอยู่กับนิพพานธาตุ ธาตุนิพพานก็มีอยู่ตลอดอนันตกาลในธรรมชาตินี้ ถ้าจิตเข้าถึงธรรมชาตินั้นก็อยู่กับนิพพานเป็นชีวิตนิรันดร จำคำว่าชีวิตนิรันดรไว้คิดเล่นๆ กันดูบ้าง หมายถึงว่าชีวิตที่ไม่รู้จักตาย ชีวิตที่มีอยู่ตลอดกาล แล้วก็มีคำเรียกพระนิพพานแปลกๆ ออกไปหลายๆ อย่าง เช่น เรียกว่าอมตะ อมตะมหานิพพาน นิพพานนี่ไม่ตายเป็นอมตะ ศิวะโมกข์มหานิพพาน นิพพานนี่เย็นอย่างยิ่ง ศิวะแปลว่าเย็น โมกขะแปลว่าเกลี้ยงหลุดพ้น นิพพานเย็น นิพพานไม่รู้จักตาย ไม่มีความตาย มีชีวิตเป็นนิรันดร ความเป็นอย่างนั้นท่านถือว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง ถ้าเราเอากิเลสออกเสียหมดจากจิต แล้วจิตจะเข้าถึงธาตุนั้น ไอ้จิตมันก็เป็นธาตุชนิดหนึ่งแต่มันป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่ ทำไม่ดีก็เกิดกิเลส มันก็เลยไม่ถึงนิพพานธาตุ นี้วิธีทำให้กิเลสหมดไป จิตนี้ก็ถึงนิพพานธาตุ ท่านเรียกว่านิพพานธาตุ สอุปาทิเสสปรินิพานธาตุ อนุปาทิเสสปรินิพานธาตุ แปลว่าถึงเต็มที่ไม่มีส่วนเหลือ หรือว่าถึง ถึงที่สุดแล้ว เย็นถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่เพิ่งถึงใหม่ๆ เรียกว่านิพพานหลายๆ ชื่อ ทำจิตให้ถูกต้องจนกิเลสเกิดขึ้นในจิตไม่ได้ จิตนั้นก็ว่างจากกิเลส ก็ถึงกันเข้ากับนิพพานธาตุ ไอ้เรื่องของเรื่องมันมีอย่างนี้ มันสั้นๆ อย่างนี้ ถ้าจิตยังไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมที่ถูกต้องก็เป็นที่เกิดของกิเลสอยู่ตลอดเวลาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางผิวหนัง ทางใจเอง เหมือนที่พูดแล้วเมื่อคืนที่แล้วมา จิตมันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ฝึกฝนให้ดีเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสก็เกิดกิเลสอยู่เรื่อย เป็นความร้อนอยู่เรื่อย ทีนี้มาอบรมกันเสียใหม่มันก็เปลี่ยนสภาพเป็นจิตที่กิเลสเกิดไม่ได้ มันก็เกลี้ยงว่างไปจากกิเลส ก็คือเย็นเป็นนิพพาน เพราะไม่มีความร้อนคือกิเลส จิตนี้ก็เข้าถึงนิพพานธาตุ นี่จิตที่เข้าถึงความไม่ตายมันก็พลอยเป็นของไม่ตาย แต่ว่าจิตชนิดนี้ต้องรู้ธรรมะในลักษณะที่สูงพอสมควรนะ จนกระทั่งรู้ความไม่มีตัวตน ความไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีตัวตน จิตนี้ได้รับการศึกษาดีศึกษาจากหนังสือหนังหา ศึกษาจากครูบาอาจารย์ ศึกษาจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วในจิตเองได้ผ่านมามาก นี่เรียกว่าการศึกษาทั้งนั้น จนมันหายโง่ พอมันหายโง่แล้วก็ไม่ไปหลงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ที่หลงกันอยู่ทุกวันนี้ มันก็จะหยุดหลง มันก็ไม่ไปเพลิดเพลินในอารมณ์เหล่านั้น มันไม่หลงใหลในสิ่งเหล่านั้น ไม่ฝังตัวแน่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น นี่เรียกว่าจิตไม่ผูกกิเลส จับฉวย ยึดถือ ครอบงำ มันก็ว่างจากกิเลส มันก็เลยปรากฏความเย็นเพราะไม่มีกิเลส ดับเย็น เมื่อนั้นที่เรียกว่าเป็นอะกาลิโก คือเมื่อนั้นไม่ต้องรอ นิพพานมีเมื่อไม่มีกิเลส กิเลสไม่มีก็เมื่อดับมันเสียโดยวิธีที่ถูกต้อง หรือป้องกันมันเสียโดยวิธีที่ถูกต้อง มันก็ไม่เกิดกิเลส ไม่มีกิเลสเมื่อไรมันก็มีนิพพานเมื่อนั้นเวลานั้นไม่ต้องรอ ทีนี้เราได้รับคำสั่งสอนมาว่าเราต้องรออีกร้อยชาติพันชาติหรือหลายแสนชาติก็ไม่รู้ที่เขาพูดกัน เราไม่เชื่อเราก็เลยทำไม่ได้ก็ต้องรออีกกี่ชาติ เราว่านิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เมื่อเราสามารถทำให้กิเลสไม่พุ่งขึ้นมาในใจได้ เราก็มีนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้ายังยึดถือว่าหมื่นชาติแสนชาตินี่เรามีวิธีนับอย่างอื่นนะ ไม่ใช่นับว่าเข้าโลงทีหนึ่งชาติหนึ่ง เข้าโลงทีหนึ่งชาติหนึ่ง ไม่นับอย่างนั้นนะ คือนับว่าความโง่ว่าตัวกูโผล่ขึ้นมาทีหนึ่งนั้นชาติหนึ่ง จนดับไปเดี๋ยวตัวกูของกูโผล่ขึ้นมาในใจอีกชาติหนึ่งอีก ดังนั้นตัวกูของกูเป็นความรู้สึกโง่ๆ โผล่ขึ้นมาได้ในใจกี่ครั้งก็เท่านั้นชาติแหละ เรียกว่าเท่านั้นชาติ เช่นว่าวันนี้มันโผล่ขึ้นมา ๒๐ ครั้งก็ ๒๐ ชาติ ๑๐๐ ครั้งก็ ๑๐๐ ชาติ เดือนหนึ่งก็หลายร้อยหลายพันชาติ ปีหนึ่งก็หลายหมื่นชาติได้ นับชาติอย่างนี้สิจะได้นิพพาน เร็วทันก่อนแต่ที่จะเข้าโลง เพราะก่อนแต่จะเข้าโลงก็มีหลายร้อยชาติหลายพันชาติหลายหมื่นชาติได้เหมือนกัน แต่คนพวกอื่นเขาไม่ถืออย่างนี้นะ เขาถือว่าเกิดแต่ท้องแม่ครั้งหนึ่งแล้วเข้าโลงครั้งหนึ่งนับว่า ๑ ชาติ นี่รอไปเถอะมันรอไปเถอะคนๆ นี้ รอกว่าจะครบหมื่นชาติแสนชาติ เราสามารถจะผ่านหมื่นชาติแสนชาติได้ภายในไม่กี่วันกี่เดือนกี่ปี เราก็มีนิพพานได้เหมือนกัน เมื่อนิพพานมันก็ไม่มีตัวกูของกู มันก็ไม่มีชาติ ไม่มีคำว่าชาติสำหรับจิตที่ไม่ยึดถือเป็นตัวตน ถ้าจิตยังยึดถือเป็นตัวตนนี้ตัวตนของกูตัวกูมันก็ต้องมีชาติแหละ เพราะไอ้ความรู้สึกชนิดนั้นมันก็เกิด ไม่ว่าชาติทางวิญญาณ มันก็ยึดถือเกิดจากท้องแม่แล้วเข้าโลง เป็นชาติทางวัตถุทางเนื้อหนังร่างกายก็ชาติอีกเหมือนกัน มันก็มีชาติแหละถ้ามันมีกิเลสโง่เป็นตัวกู พอมันหมดกิเลสโง่ว่าตัวกู ว่าของกู มันไม่รู้จะเอาชาติที่ไหนมันไม่มีอะไรเกิด มันมีแต่ธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ตามธรรมชาติเป็นไป มันก็ไม่มีชาติแห่งตัวกู นั่นก็คือดับไปแห่งกิเลส ก็เป็นนิพพาน
เราศึกษาธรรมะกันให้มากๆ จนรู้ว่ามันไม่ใช่ตัวตนตัวกูอะไร ไอ้เนื้อหนังร่างกายไปแยกดูเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ จิตก็แยกดูเป็นจิต เป็นวิญญาณธาตุ คำที่ถือเป็นหลักทางธรรมะก็มีอยู่ ๖ ธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ธาตุดินคือธาตุที่มันมีอาการกินเนื้อที่ มันแข็งมันกินเนื้อที่ ธาตุน้ำมีอาการคือเหลว แต่เป็นเครื่องดึงดูดให้เกาะกุมกันเข้าไว้อย่าให้กระจัดกระจาย ธาตุไฟคือทำให้ร้อน ให้เผาผลาญ ให้เปลี่ยนแปลง ให้อาหารมันย่อย เพื่อจะทำให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง ธาตุลมให้มันเคลื่อนไหว ให้มีการเคลื่อนไหวได้ ที่เรียกว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ๔ ธาตุ มีอยู่ในตัวเรา คือคุณสมบัติ ๔ ประการนี้ เช่น เนื้อของเราเฉือนเนื้อที่แขน ที่ขา ออกมาก้อนหนึ่ง ที่มันเป็นของแข็งกินเนื้อที่คือธาตุดิน ธาตุน้ำ เช่น เลือดที่มันซึมอยู่ในนั้นมันเป็นธาตุน้ำ มันเพื่อทำให้เกิดการยึดเหนี่ยวเกาะกุมซึ่งกันและกัน ธาตุไฟคืออุณหภูมิที่มันมีอยู่ในเนื้อมากบ้างน้อยบ้าง จนกระทั่งอุณหภูมิศูนย์ก็เรียกว่ายังมีอุณหภูมิมีธาตุไฟอยู่ที่ศูนย์ ทีนี้ธาตุลมคือระเหย มีการระเหยอยู่เป็นนิจ ถ้าตายแล้วก็ระเหยจนพองจนบวมจนเน่า นี่มันมีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่ในตัวเรา แล้วส่วนที่มันเป็น ที่ว่างให้ธาตุเหล่านี้เข้าไปตั้งอาศัยได้นี่เราเรียกว่าธาตุอากาศ หรือธาตุว่าง ส่วนนี้ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกาย แล้วก็มีธาตุจิตใจ มโนธาตุ วิญญาณธาตุ อีกธาตุหนึ่ง เรียกว่าวิญญาณธาตุเข้ามาสิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติ ธาตุชีวิต ธาตุจิตใจ นี่มันก็มีอยู่พร้อมเสมอที่จะเข้าไปสิงอยู่ในร่างกายที่มีความเหมาะสม มีความเหมาะสมที่ไหนไอ้วิญญาณธาตุก็เข้าไปจับฉวยเอาได้ที่นั่น ในท้องมารดาก็ได้ ออกมาแล้วก็ได้ ไอ้ธาตุฝ่ายวัตถุฝ่ายร่างกายนี้ต้องให้พร้อมอยู่เสมอ ไอ้วิญญาณธาตุนี้มันจึงจะอาศัยอยู่ได้ พอทางฝ่ายร่างกายไม่ถูกต้อง มันอยู่ไม่ได้มันก็คือตาย คือมันไม่มีจิตใจไม่มีวิญญาณธาตุอาศัยอยู่ได้ นี่เรารู้จักว่าดิน น้ำ ลม ไฟ คือส่วนที่เป็นร่างกายนี่มันก็เป็นที่อาศัยของส่วนที่เป็นจิต มันจึงมีทั้งกายและจิต ทั้งกายและจิตรวมกันเข้านี่คือตัวเรา ก็ทำให้เป็นที่อาศัยของพระธรรม ของธรรมะ ของพระธรรม ให้มีการปฏิบัติถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางจิต อยู่ที่ร่างกายนี่ที่ร่างกายและจิตใจนี่ มันก็มีธรรมะคือความถูกต้องอยู่ที่นี่ เมื่อถูกต้องไปในทางที่จะไม่เป็นทุกข์ มันก็ไม่เป็นทุกข์แหละ ก็อย่างที่ว่ากิเลสมันเกิดไม่ได้ แต่ถ้ามันถูกต้องผิด คือถูกต้องไปในฝ่ายที่จะเป็นทุกข์มันก็ได้เป็นทุกข์ ทำไปในทางให้กิเลสเกิด มันก็ต้องได้เกิดกิเลสแหละ ต้องได้เป็นทุกข์ ดังนั้นเรารู้เรื่องความถูกต้องกันไว้ให้พียงพอ ให้มันถูกต้องมาแต่ในทางที่จะไม่เป็นทุกข์ ดังนั้นศึกษาให้พอ ทำกาย ทำวาจา ทำใจ ทำความคิดนึกสติปัญญาอย่างไร จึงจะถูกต้องสำหรับที่จะไม่เกิดกิเลส พอไม่เกิดกิเลสก็ว่างจากกิเลส ก็เย็นเป็นนิพพาน เราฉลาดในการที่ไม่ให้กิเลสเกิดได้เท่าไร เราก็มีนิพพานมากขึ้นเท่านั้น จนกว่าจะถึงที่สุดคือกิเลสเกิดไม่ได้จริงๆ โดยประการทั้งปวง นี่ก็ถึงนิพพานอันสมบูรณ์ ดังนั้นเรารู้จักนิพพานว่าไม่ใช่ความตาย แต่ความเป็นอยู่อย่างที่น่าเป็นอยู่ คือไม่มีความทุกข์เลย
ไปศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทว่า ทำผิดทำถูกอย่างไรกิเลสเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ในเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องหัวใจของพุทธศาสนา หาหนังสืออ่านก็ได้ สังเกตดูจากตัวเองก็ได้ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ในลักษณะที่ถูกต้องแล้ว กิเลสไม่เกิด ก็ได้อยู่กับนิพพาน ถ้าเราทำผิดต่อสิ่งเหล่านี้กิเลสก็เกิด ก็ได้อยู่กับความทุกข์ เรียกว่าวัฏฏสงสาร วนเวียนอยู่ในความทุกข์ เรามีการศึกษาธรรมะที่เพียงพอ เราจะมีปัญญารู้เรื่องนี้ แล้วเราก็จะมีสติความระลึกที่รวดเร็ว เอาความรู้เรื่องนี้มาใช้ทันแก่เวลาที่มันจะเกิดกิเลส เมื่อผ่านเข้าไปในที่ที่มันชวนให้เกิดกิเลส ต้องมีสติมีปัญญาที่เราศึกษาอบรมไว้แล้วอย่างเพียงพอมาควบคุมกำกับอยู่ในจิตใจ แล้วมันก็ไม่ต้องเกิดกิเลสให้เป็นทุกข์ เราก็ได้นิพพานกันที่นี่ตลอดไป ถ้าใครจะเกิดถามขึ้นมาว่านิพพานอยู่ที่ไหน คุณลองคิดดูว่านิพพานอยู่ที่ไหน ถ้าตอบตามคำตอบที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ท่านก็ตรัสว่า อยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งและยังเป็นๆ นั่น ก็คือทุกคนที่มีร่างกายยาวประมาณวาหนึ่งแต่ยังเป็นๆ นะ ไม่ใช่ตายนะ แต่มันจะมาอยู่ได้อย่างไร มันก็มาอยู่ได้ก็เมื่อกระทำถูกต้องตามเรื่องของนิพพาน เช่น รู้จักสกัดกั้นกระแสแห่งการปรุงแต่งของปฎิจจสมุปบาทได้ ไม่เกิดกิเลส ก็เย็นเป็นนิพพานอยู่ในจิตซึ่งอยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี่ ถ้าถือตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นิพพานอยู่ในร่างกายที่ยังเป็นๆ ที่มีการประพฤติถูกต้องจนกิเลสเกิดไม่ได้ ทีนี้บางคนเขาว่านิพพานอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เราก็ขี้เกียจจำ เขาชี้ไปทางทิศไหนบนฟ้า หรือไม่มีสาระ ไม่มีเหตุผล ไม่มีหลักฐานอะไร เขาก็ไม่รู้ว่านิพพานอยู่ที่ไหน ทั้งที่เขาชวนให้ไปนิพพาน ชวนไปเมืองนิพพาน ชวนไปอยู่เมืองนิพพาน ชาวบ้านที่รับการศึกษาไม่พอ รับการศึกษามาผิดๆ เขาก็ต้องการนิพพานตามที่บอกเล่ากันมาอย่างผิดๆ มันก็เป็นเรื่องน่าหัว มันจะเป็นนิพพานจริงไปไม่ได้ ถามขี้เมาเขาก็อยากไปนิพพานนะ พอบอกว่าที่นิพพานไม่มีเหล้ากินนะ เขาบอกว่าถ้าเช่นนั้นไม่ไปๆ ขอถอน ไม่ไป มันก็ชวนตลกกันอยู่อย่างนี้ เคยถามไอ้คนที่ชอบรำวงว่า อยากไปนิพพานไหม ก็อยาก แต่ที่นั่นไม่มีรำวงนะ ถ้าเช่นนั้นไม่ไป ขอถอนคำพูด ไม่อยากได้นิพพาน ไม่ไป นี่เขามีความรู้สึกเพียงเท่านี้เสียอย่างนี้ คุณลองคิดดูว่ามันโง่หรือฉลาดสักกี่มากน้อย พระนิพพานอยู่ที่นี่ในนี้ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังเป็นๆ แล้วมีสติปัญญาถูกต้อง พระนิพพานอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรออีกหลายชาติแสนชาติ แล้วไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ชี้ไปทางไหนก็ไม่รู้ ชี้เลยสวรรค์เลยพรหมโลกไปอีกไปถึงนิพพาน ก็เป็นเรื่องหลับตาพูด ดังนั้นเราจงรู้ว่านิพพานอยู่ที่นี่ ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังเป็นๆ อยู่ ที่มีการปฏิบัติถูกต้องจนกิเลสเกิดไม่ได้ นี่คือนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้
ในพุทธศาสนามีนิพพานเป็นสิ่งสูงสุด ถ้าไม่มีนิพพานก็ไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้าเอาเรื่องนิพพานออกไปเสียพุทธศาสนาก็ไม่มี นิพพานเป็นเรื่องสูงสุดในพุทธศาสนา ทำให้มีค่าสูงสุด ทีนี้การเป็นพุทธบริษัทก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีนิพพานแล้วไม่มีความหมาย ความเป็นพุทธบริษัทจะไม่มีความหมายถ้ามันไม่มีคำว่านิพพาน ก็เป็นพุทธบริษัทที่ไม่มีความเป็นพุทธบริษัท ไม่มีความหมาย ในพุทธศาสนาก็เหมือนกันถ้าไม่มีนิพพานก็ยกเลิก พุทธศาสนาไม่มีอะไร เลิก ในพุทธบริษัทก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีนิพพาน ไม่มีเรื่องนิพพาน ก็ไม่มีความเป็นพุทธบริษัท เมื่อเรายังรักความเป็นพุทธบริษัทอยู่ก็ดี ยังรักพระพุทธศาสนาอยู่ก็ดี ต้องมีนิพพาน ต้องรู้จักนิพพาน ต้องให้มาอยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ได้ นี่ก็มีพุทธศาสนาอยู่ในเรา มีความเป็นพุทธบริษัทอยู่ในเรา เพราะว่ามีนิพพานอยู่ในเรา พยายามศึกษาให้รู้จักสิ่งที่จะป้องกันกิเลสไม่ให้มาเกิด คือทำลายกิเลสที่กำลังเกิดอยู่ คือความรู้เรื่องที่อ่านๆ เขียนๆ เรียนๆ กัน เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็ดี เรื่องปฎิจจสมุปบาทก็ดี เรื่องจตุราริยสัจก็ดี เขาพูดเรื่องนี้กันทั้งนั้นว่า ทำอย่างไรกิเลสไม่เกิด เช่น อยู่อย่างมีอริยมรรค มีองค์ ๘ ความถูกต้อง ๘ ประการนั้นแหละ กิเลสเกิดไม่ได้ ทีนี้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสังขารทั้งปวง คือของกาย ของจิตใจ ของอะไรอยู่เสมอ ก็ไม่ยึดถือว่าตัวตน กิเลสก็เกิดไม่ได้ ถ้าเห็นโดยละเอียดชนิดปฏิจจสมุปบาททุกขั้นตอนก็ยิ่งดี จะเห็นว่าไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่ธาตุตามธรรมชาติปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุทั้ง ๖ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน ว่างจากตัวตน แล้วก็เป็นเช่นนั้นเอง ธรรมะสูงสุดไปรวมอยู่ที่คำว่าเช่นนั้นเอง พอเราบอกเขาอย่างนี้ เขาว่าพูดเล่น อาตมาบอกเขาว่า ธรรมะสูงสุดมันรวมอยู่ที่คำว่าเช่นนั้นเอง เขาหาว่าพูดเล่น เขาไม่เชื่อ เขาขอให้พูดใหม่ ถึงเดี๋ยวนี้ก็คงจะมีหลายคนที่ว่าพูดเล่นที่ว่าธรรมะสูงสุดคือเช่นนั้นเองๆ เป็นเช่นนั้นเอง ไม่เป็นอย่างอื่น ดูให้ดี เช่นนั้นเอง คือมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ มันต้องเป็นเช่นนั้นเอง ทำอย่างนี้กิเลสเกิดขึ้นก็เช่นนั้นเอง ทำอย่างนี้กิเลสไม่เกิดก็เช่นนั้นเอง กิเลสเกิดก็ร้อนเป็นไฟก็เช่นนั้นเอง กิเลสไม่เกิดก็เย็นเป็นนิพพานก็เช่นนั้นเอง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็เช่นนั้นเอง เป็นสักแต่ว่าธาตุเท่านั้น แล้วมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน มันก็เช่นนั้นเอง นี่คำว่า เช่นนั้นเองมีความหมายครอบจักรวาลเลย ความทุกข์ก็เช่นนั้นเอง ตามแบบของความทุกข์ ความไม่ทุกข์ก็เช่นนั้นเอง ตามแบบของความไม่ทุกข์ ความสุขหลอกๆ ก็เป็นเช่นนั้นเอง ตามแบบของความสุขหลอกๆ ขอให้เห็น เช่นนั้นเอง เราจะไม่หลงยึดถือในสิ่งนั้นๆ แม้ว่าเราจะไปกินไปใช้ไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นๆ ก็ให้มันเช่นนั้นเอง อย่าไปหลงรักให้มากกว่านั้น บ้านเรือนข้าวของเงินทองอะไรก็ตามที่มันมีอยู่เกี่ยวข้องอยู่ให้มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะหลงรักในที่มันยั่วให้รักหลง โกรธในที่มันยั่วให้โกรธ หลงเกลียดในที่มันยั่วให้เกลียด หลงกลัว ในที่มันยั่วให้กลัว เดี๋ยวได้เป็นบ้า คือมันไม่เห็นเช่นนั้นเอง ดังนั้นที่เรากลัวอะไรกันมากมาย นอนไม่หลับ เพราะไม่เห็นเช่นนั้นเอง พอเห็นเช่นนั้นเองมันก็ไม่ต้องกลัว เช่น เขาพูดกันว่า เราจะต้องรบกันเอาระเบิดปรมาณูมาทำลายโลกหมด มันก็แค่นั้นเอง ไม่กลัว ยังไม่มานี่ก็ไม่กลัว แม้มาถึงเข้าจริงๆ ก็ไม่กลัว มันเช่นนั้นเอง รอดชีวิตนี่ก็เช่นนั้นเอง ตายก็เช่นนั้นเอง ก็เลยไม่ต้องกลัวว่าจะต้องตาย แล้วก็ไม่หลงใหลในเมื่อไม่ตายคือรอดชีวิตอยู่ เจ็บไข้ก็เช่นนั้นเอง มันไม่ต้องเป็นทุกข์ กินยาก็กิน ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ รักษาหายก็เช่นนั้นเอง ถ้ามันไม่หายก็ เช่นนั้นเอง ตายมันก็เช่นนั้นเอง ดังนั้นอะไรๆ ที่มันไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนามองเห็นเป็นเช่นนั้นเอง จะได้ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าควรแก้ไขอย่างไร ก็แก้ไขสิ ไม่ใช่ใครห้าม แล้วก็แก้ไขให้ถูกเป็นเรื่องเช่นนั้นเอง มันก็จะได้ผลตามสมควรแหละ เช่น เจ็บไข้นี่มันเช่นนั้นเอง ไม่ต้องเป็นทุกข์ รักษาเยียวยาไปเพื่อความเป็นเช่นนั้นเองของความหาย มันก็หายได้ ถ้าไม่หายก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าตายก็ตาย ไม่ต้องเป็นทุกข์ กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักทุกข์ เช่นนั้นเองเป็นภาษาไทย เป็นเช่นนั้นเอง ไม่เป็นอย่างอื่น เด็กว่าเช่นนั้นเอง ภาษาบาลีก็เรียกว่าตถาตา หรือตถตา ตถาก็ได้ แปลว่าเช่นนั้นเอง ความเป็นเช่นนั้นเอง ตถาแปลว่าเช่นนั้นเอง ตถาตาแปลว่าความเป็นเช่นนั้นเอง อวิตถตา ไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น อนัญญตถตา ไม่เป็นโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น อิทัปปัจจยตาคือความที่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น หรือเพราะทำอย่างนี้ๆ อย่างนี้ๆ จึงเกิดขึ้น หรือเพราะทำอย่างนี้ๆ ไอ้ความดับมันก็มี เพราะมันมีความดับอย่างนี้เกิดขึ้นมา ก็เรียกว่าอย่างนี้เหมือนกัน ฉะนั้นเราจึงไม่มีความแปลก ไม่เห็นอะไรแปลก ขาดทุนก็ไม่แปลก ได้กำไรก็ไม่แปลก ถูกลอตเตอรี่ ๑๐ ล้านก็ไม่แปลก ไม่ถูกก็ไม่แปลก ไม่มีอะไรที่มันแปลกเพราะมันเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง ถ้าอย่างนั้นเองยังอยู่แล้วกิเลสไม่เกิด ถ้าไม่เห็นอย่างนั้นเองแล้วกิเลสก็เกิดแล้วก็ได้เป็นทุกข์ อุปมาให้ฟังง่ายๆ ว่าอย่างนั้นเอง เช่นนั้นเอง หรืออย่างนั้นเอง มันเป็นเจ้าเงาะเป็นรูปเงาะที่สวมพระนิพพานไว้ คือพระนิพพานของแต่ละคนไม่เคยถอดรูปเงาะ เป็นนิพพานตายด้านอยู่ในรูปเงาะ เพราะว่าเขาไม่รู้จักเช่นนั้นเอง ไอ้ถอดรูปเงาะที่ว่าเช่นนั้นเองออกมาได้จะเห็นพระนิพพาน เห็นรูปทองอยู่ข้างในรูปเงาะ คือนิพพานซึ่งเป็นทุกข์ไม่ได้ มันซ่อนอยู่ภายใต้ความเป็นเช่นนั้นเอง ดังนั้นเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง เปิดเผยออกมาให้ได้ ก็เหมือนกับถอดรูปเงาะของพระนิพพานออกแล้วเราก็ได้รูปทอง สิ่งสูงสุดคือพระนิพพานนั้น เดี๋ยวนี้พอพูดว่าเช่นนั้นเองก็ไม่รู้ว่าอะไร บางทีบางคนจะเกลียดเสียด้วยซ้ำไป เห็นเป็นพูดเล่นเพราะมองไม่เห็นความหมายของคำว่าเช่นนั้นเอง แต่ที่แท้นี่ความลึกซึ้งที่สุดแหละ ถ้าเหลียวไปทางไหนเห็นเป็นเช่นนั้นเองไปหมดคนนั้นไม่มีทางจะเกิดกิเลส ก้อนหิน ดิน ทราย ต้นไม้ สัตว์ คน อะไรก็ตาม มันก็คือความเป็นเช่นนั้นเองๆ เหลียวไปทางไหนมันก็ตะโกนว่าเช่นนั้นเองๆ เหมือนกับว่าทุกสิ่งในทั่วโลกนี่มันร้องตะโกนบอกเราว่าเช่นนั้นเองๆ เราก็ได้ยิน แต่เดี๋ยวนี้เรายังไม่มีหูที่สามารถจะได้ยิน เพราะว่ามันยังโง่อยู่ด้วยอวิชชา มีธรรมะไม่พอรู้ธรรมะไม่พอ เราไม่มีหูที่จะได้ยินคำว่าเช่นนั้นเองๆ ที่มันร้องตะโกนอยู่ทั่วไปในทุกหนทุกแห่ง เรียนธรรมะเรื่องเช่นนั้นเองให้พอ เรื่องอริยสัจก็ได้ เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ได้ เรื่องไตรลักษณ์ พระไตรลักษณ์ของสำคัญวิเศษของปู่ย่าตายายเขาเคยรอดตัวกันมา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียนเรื่องนี้ให้มากพอ เราก็จะรู้จักเช่นนั้นเอง สำหรับปะทะกับข้าศึกทุกอย่างเลย ข้าศึกจะตายหมดถ้าเราเอาไอ้เช่นนั้นเองใส่เข้าไป มันจะไม่ทำอะไรเราได้ จะไม่เป็นทุกข์ จะไม่เป็นปัญหาขึ้นมาได้ คนชั้นปู่ย่าตายายเขาสนใจกันมาก เขาจึงรู้เรื่องเช่นนั้นเองนี่มาก แต่เขาก็เรียกไปตามเดิมว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นคือเช่นนั้นเอง คนรุ่นก่อนถ้าเขาพลั้งอะไรออกมาด้วยความพลั้ง เขาจะพลั้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นะ เขาไม่พลั้งมาด้วยคำหยาบคายเหมือนคนสมัยนี้นะ เขาพลั้งออกมาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะเขามันมีความรู้เรื่องนี้ เคยชินกับเรื่องนี้ หรือจะพลั้งออกมาเป็นพุทโธ เป็นอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่พลั้งกันหยาบคายเหมือนคนสมัยนี้ ดังนั้นเราพยายามรู้จักความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้ใดเข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเอง ผู้นั้นเป็นพระตถาคต พระตถาคตคือพระพุทธเจ้านั่นแหละหรือพระอรหันต์ก็ได้ ล้วนแต่เข้าถึงความเป็นเช่นนั้นเองมาแล้ว เขาก็เรียกว่าตถาคตทั้งนั้นแหละ เข้าถึงซึ่งตถา เข้าถึงซึ่งความเป็นเช่นนั้นเอง รู้แจ่มแจ้งตลอดความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเจ้าเรือนไปเลย แจ่มแจ้งสว่างไสวอยู่ในนั้นเลย จึงไม่เกิดกิเลสและไม่เกิดความทุกข์ นี่พระอรหันต์เป็นอย่างนี้ ท่านจึงอยู่กับนิพพานๆ จิตนั้นอยู่กับนิพพานตลอดอนันตกาลร่างกายจะแตกดับก็ตามใจ ไม่ใช่เรื่อง นี่เราควรจะรู้จักพระนิพพานจนเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้สูงสุดตลอดเวลา นี่เรียกว่านิพพานสมบูรณ์ อยู่กับนิพพานน้อยๆ ไปก่อนแต่ให้มันบ่อยๆ นะ ให้นิพพานน้อยๆ ขยายตัวออกยาวไปเป็นนานเข้าๆ จนเรามีจิตที่ว่าง ที่เกลี้ยง ที่เย็น มากเข้าบ่อยครั้งเข้าและครั้งหนึ่งนานๆ เข้า ต่อไปมันก็จะถึงกันหมดจนเป็นนิพพานสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องนี้ไว้มากพอที่จะเข้าใจให้สำเร็จประโยชน์ได้ แต่เราไม่สนใจเอง จะทำอย่างไร ดังนั้นขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้า อย่าให้ความพยายามของท่านเป็นหมัน พยายามรู้เรื่องความทุกข์และความดับทุกข์ให้มากพอ ให้ดับทุกข์ได้ เมื่อดับทุกข์ได้ทันทีที่ทำอย่างนั้นไม่ต้องรอก็ตายแล้ว ทุกข์ไม่ต้องดับก็ตายแล้ว ทุกข์ดับเมื่อมีการปฏิบัติถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวไว้ดีแล้ว สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคกล่าวไว้ดีแล้วนั่นแหละ พอเราปฏิบัติมันก็ได้ผลทันทีเป็นอะกาลิโก เราก็รู้สึกได้เองก็เป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกรู้สึกอยู่ในใจเอง โอปะนะยิโก เอหิปัสสิโก เรามีอยู่จริง รู้สึกอยู่จริง เช่นเราเย็นอยู่ เย็นอยู่อย่างไม่ร้อนนี่ เอหิปัสสิโก เรียกเพื่อนมาดูได้ว่ามันเย็นอยู่อย่างนี้ๆ ที่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ ที่มันไม่เกิดกิเลสเกิดทุกข์ มันเย็นอยู่อย่างนี้ เรียกกันมาดูได้ ไอ้นี่ดีพอที่จะเอามาไว้ในตัวเรียกโอปะนะยิโก แต่ว่ามันต้องทำได้เฉพาะผู้ที่มีความรู้พอสมควรตามสมควร ไม่ใช่คนบ้าก็แล้ว คนดีๆ ตามปกติเป็นวิญญูชนมันก็พอจะมีพอจะเข้าถึงพอจะบรรลุได้ นี่ท่านตรัสไว้อย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ นี่สำหรับพระธรรม ถ้าเป็นเรื่องพระนิพพานเสียงมันจะเปลี่ยนไปตามรูปศัพท์ตาม ริงคะ (นาทีที่ 74:14) ของรูปศัพท์ ดังนั้นจะได้ยินว่า สวากขากัง ภะคะวะตา นิพพานัง สันทิฏฐิกัง อะกาลิกัง เอหิปัสสิกัง โอปะนะยิกัง ปัจจัตตัง เวทิตัพพัง วิญญูหิ นี่ถ้าเป็นเรื่องนิพพาน ทำให้ถูกตามที่ตรัสไว้แล้วจะเกิดผลทันทีที่นี่เดี๋ยวนี้รู้สึกได้เอง เรียกเพื่อนมาดูได้ เห็นชัดว่าควรน้อมเข้ามาใส่ตัวเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่บ้าไม่บอเกินไปก็ทำได้แน่ ท่านตรัสไว้อย่างนี้ นี่วันนี้เราพูดกันเรื่องนิพพาน อย่าเอาไปไว้นอกชีวิตสิ อาจจะได้ยินได้ฟังมาอย่างหนึ่งเอาไปไว้นอกชีวิตไม่ได้ประโยชน์อะไร เอาไว้ในชีวิตประจำวัน ต้องมีนิพพานน้อยๆ คอยคุ้มครองรักษาอยู่จนกว่าจะเป็นสูงสุดยอดสุดของชีวิต นี่ก็คือเรื่องนิพพานเป็นเรื่องชีวิตอย่างยิ่ง ไม่มีชีวิตอย่างไหนจะยิ่งไปกว่าเรื่องนิพพาน ดังนั้นขอให้ครูบาอาจารย์ช่วยไปสอนกันเสียให้ถูกว่านิพพานไม่ใช่ตายนะ นิพพานไม่ใช่ความตายของพระอรหันต์ แต่เป็นความเป็นอยู่อย่างไม่รู้จักตายและของพระอรหันต์ เพราะว่าพระอรหันต์นั้นไม่ตาย ตายไม่ได้ ถึงร่างกายจะแตกดับลงพระอรหันต์ก็ยังไม่ตาย อยู่ที่ไหนก็บอกไม่ได้ อยากรู้ก็เป็นพระอรหันต์เอาเองสิ แล้วก็จะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน นี่ขอให้สนใจเรื่องนี้ในฐานะที่มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ ถ้าไม่มีนิพพานแล้วก็ไม่มีพุทธศาสนา ไม่มีความเป็นพุทธบริษัท เราอุตสาห์ยกกองกันมาศึกษาพูดจาหารือนี่ก็ให้มันสำเร็จประโยชน์ ให้มันมีความรู้เพียงพอที่จะไปทำได้ด้วยตนเอง ต่อไปนี้ก็ไปทำด้วยตนเอง ปฏิบัติด้วยตนเอง แล้วมันจะสอนให้ด้วยตัวเอง อย่ากลัว การต่อสู้กับกิเลสนั้นเรารู้วิธีบ้างแล้วก็ไปต่อสู้กับกิเลส แล้วมันก็จะสอนให้ในตัวจนชนะได้เป็นแน่ คนสอนกันไม่ได้แล้วตอนนี้ สอนได้แต่ว่าทำอย่างนี้ๆ แล้วก็ไปทำๆ แล้วก็ไม่ได้ ไม่ได้มันก็สอนให้จนทำได้ๆ เหมือนกับเด็กๆ มันจะสอนยืน สอนเดิน มันค่อยๆ ลุกของมันเอง ไอ้คนที่จับให้ยืนให้เดินทีแรกทำได้เพียงเท่านั้นแล้วเด็กก็ยังเดินไม่ได้ยืนไม่ได้ ต่อไปความล้มการล้มมันจะช่วยสอนให้เด็กยืนได้และเดินได้โดยตัวมันเอง ธรรมะนี่ก็เหมือนกัน บอกกันได้แต่ว่าทำอย่างนี้ๆ แต่จะช่วยทำให้ได้นั้นมันทำไม่ได้ เขาต้องไปทำเอง พอไม่ได้แล้วไอ้ไม่ได้นั่นแหละมันจะสอนให้ เหมือนกับที่ว่าหกล้มมันจะสอนให้ไม่หกล้ม หรือขี่จักรยานนี่มันก็ล้ม แต่ว่าไอ้การล้มมันจะสอนให้ทุกทีจนเราขี่รถจักรยานได้โดยไม่ต้องล้ม การฝึกฝนจิตก็เหมือนกัน ได้รับการบอกเล่าทำอย่างนี้ๆ พอไปทำเข้ามันก็ล้มแหละ คือมันไม่ได้แต่เราไม่ยอมแพ้ เอาไอ้ความที่ล้มนั่นมานั่นใหม่มาปรับปรุงใหม่ จนกระทั่งมันล้มน้อยเข้า จนกระทั่งมันไม่ล้ม มันชนะ ชนะกิเลส สู้กันกับกิเลส อย่ายอมแพ้ อย่าท้อถอย ไอ้การสู้จะสอนให้เองจนรู้จักทำให้มันชนะได้ นี่เรียกว่าปฏิบัติจริงๆ เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง
เอาล่ะการบรรยายเรื่องนิพพานนี้ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้สำเร็จประโยชน์จนถึงกับว่าท่านชอบเรื่องนิพพาน ไม่รังเกียจคำว่านิพพาน ไม่เห็นว่าครึคระพ้นสมัย ไม่เห็นเป็นความไม่ตาย แล้วก็พอใจ ให้สามารถ นี่เขาเรียกว่าบำรุง บำรุงรักษาเจริญธรรมะของพระนิพพานนั้นเพิ่มขึ้นทุกทิวาราตรีกาลเถิด