แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านครูบาอาจารย์นิสิตนักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายในครั้งนี้ก็มีใจความติดต่อกันจากที่บรรยายแล้วในตอนเช้า คือ เราได้พูดกันถึงว่า สันติภาพของมนุษย์มีรากฐานอยู่บนความไม่เห็นแก่ตัว ในความไม่เห็นแก่ตัวนั้นต้องอาศัยธรรมะ มีธรรมะเป็นหลัก มีธรรมะเป็นเครื่องกำจัดความเห็นแก่ตัว ก็เลยจะต้องพูดกันถึงเรื่องธรรมะ เป็นเรื่องสำคัญ ความจริงคำว่าธรรมะ ธรรมะคำเดียวก็สำคัญอย่างยิ่งอยู่แล้ว เพราะมันเป็นคำพิเศษประหลาดที่สุดที่ไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอื่นได้ แม้จะมีผู้พยายามแปลๆ กันก็ไม่สำเร็จประโยชน์หรอก แปลได้ตั้งสามสิบสี่สิบคำ มันก็ยังไม่หมดความหมายของคำว่าธรรมะ ดังนั้นเราก็ต้องใช้คำว่าธรรมะเนี่ย เป็นภาษาอินเดียโบราณไปตามเดิม จะไปอยู่ในภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอะไรก็ต้องใช้คำว่าธรรมะเนี่ยอยู่นั่นเอง ก็เป็นสิ่งที่จะต้องศึกษากันเป็นพิเศษให้เข้าใจเรื่องธรรมะ ถ้าเข้าใจเรื่องของคำว่าธรรมะโดยถูกต้องแล้ว มันจะง่ายไปหมดทุกเรื่องในการที่จะศึกษาเรื่องอะไรก็ตาม ขอให้สนใจ เพื่อศึกษาคำว่าธรรมะ แล้วเราจะสามารถปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะให้มีธรรมะทุกอิริยาบถ ที่เนื้อที่ตัว ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ให้มีธรรมะ บางคนจะไม่เชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่จะมีได้ ก็ขอให้สนใจแล้วก็ลองใคร่ครวญดูว่าจะมีได้หรือไม่ ในการที่จะมีธรรมะกันทุกอิริยาบถ ขอตั้งต้นด้วยการพิจารณากันถึงคำว่าธรรมะ ธรรมะ โดยขอบเขตอันกว้างขวางหรือทั้งหมดทั้งสิ้นก่อน แล้วค่อยระบุไปยังธรรมะเฉพาะที่เราต้องการที่จะมาแก้ปัญหาเหล่านี้ มีคนเคยสังเกตทดสอบว่าจะตั้งปัญหาขึ้นมาอย่างไร จะได้ตั้งคำถามขึ้นมาอย่างไร คำตอบก็ยังมีคำเดียวเท่านั้น น่ะว่าธรรมะธรรมะ ตอบได้ทุกปัญหา จะเป็นเรื่องฝ่ายสร้างสรรค์ก็ธรรมะ ฝ่ายเสียหายก็ธรรมะ นี่ มันขาดธรรมะ หรือมีธรรมะ หรือด้วยธรรมะ หรือโดยธรรมะ เป็นคำประหลาดที่ว่าจะตอบปัญหาได้ทุกปัญหา ข้อนี้มันจะจริงหรือไม่เท่าไรก็จะได้ลองพิจารณากันดู ในชั้นต้นที่สุดก็จะต้องกล่าวถึงคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่าธรรมชาติ เมื่อเอาตามภาษาบาลีภาษาบาลีเป็นหลัก คำว่าธรรมะเนี่ยมันหมายถึงธรรมชาติ ไอ้ธรรมชาติเนี่ยก็เป็นคำลำบากเหมือนกัน เพราะว่ามันใช้ในความหมายที่ไม่เท่ากัน ถ้าในฝ่ายพุทธศาสนา ตามหลักธรรมะแล้ว ธรรมะแปลว่าธรรมชาติ แต่มันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร ธรรมะคือธรรมชาติ มันยกเว้น ไม่มียกเว้นอะไร เป็นธรรมชาติหมด แต่ถ้าโดยภาษาไทยหรือภาษาฝรั่งก็ตาม มันยังมียกเว้น เพราะมันยังมีคำว่าเหนือธรรมชาติ ธรรมชาติบ้าง นอกเหนือธรรมชาติบ้าง มันมีแยกกันอย่างนั้น แต่ถ้าในภาษาบาลีแล้วไม่มีนอกเหนือธรรมชาติ สิ่งที่ว่านอกเหนือธรรมชาตินั้นไม่มี เป็นธรรมชาติหมดเลย เนี่ยรู้ไว้เถอะว่ามันทำความลำบากเกี่ยวกับภาษากันอย่างนี้ ในภาษาบาลีก็มีคำคู่คือว่า สังขารหรือวิสังขาร สังขตะหรืออสังขตะ ก็หมายความว่าสิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งนั้นพวกหนึ่ง และสิ่งที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งนั้นอีกพวกหนึ่ง แต่ก็เป็นธรรมชาติเสมอกัน นี่ภาษาฝรั่งมันจะมีคำว่า Natural หรือ Supernatural แล้วมันยังมีคำที่แบ่งแยกออกไปว่า ไอ้สิ่งที่เป็น มีปัจจัยปรุงแต่งนั้น น่ะ มันเรียกกันว่า Phenomena แล้วก็มีเรียกสิ่งที่ตรงกันข้ามว่า Noumenon มันเลยไม่เหมือนกัน มันเลยแยกกันตรงกันข้ามจากกัน แต่ภาษาธรรมแล้วเหมือนกันเท่ากัน จะเป็น Phenomena หรือ Noumenon ก็เป็นธรรมชาติเท่ากัน เนี่ยยังรู้จักคำว่าธรรมชาติธรรมชาติในภาษาบาลีให้ถูกต้องอย่างนี้ว่า เราใช้คำว่าธรรมชาติ มันก็หมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร นับตั้งแต่ขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งขึ้นไป จนถึงสิ่งสูงสุดขึ้นมาสูงสุดขึ้นมาเป็นมนุษย์เป็นคนเป็นอะไรต่างๆกระทั่งถึงพระนิพพานอันสูงสุดก็ยังรวมเรียกว่าธรรมชาติ เป็นธรรมชาติคำเดียว เป็นธรรมชาติเสมอกัน นี่มันหมายถึงว่า มันเป็นตามธรรมชาติ เป็นตามธรรมชาติของมันเช่นนั้นเอง แม้แต่คำว่าธาตุ ธา-ตุ ธา-ตุ นั้นก็เหมือนกันแหละ มันทรงตัวมันเองได้ มันจะเป็นธาตุชนิดไหนก็ตาม มันทรงตัวมันเองอยู่ในลักษณะอย่างนั้น ความที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ มันก็เรียกว่าธรรมชาติบ้าง เรียกว่าธาตุบ้าง เรียกว่าธรรมเฉยๆบ้าง แล้วทีนี้ก็จะถือเอาตามที่มันมีอยู่ใน มีข้อความตามที่มีอยู่ในข้อความในพระบาลีในคัมภีร์พระไตรปิฎกทั้งหมด น่ะ คำว่าธรรม ธรรมหรือธรรมะเนี่ย ถ้าเป็นภาษาบาลีมันต้องว่าธรรมะ ภาษาไทยว่าธรรมเฉยๆ เนี่ย มันกินความไปถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร จนเรามาใคร่ครวญดูทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว เห็นได้ว่าพอจะแบ่งออกได้เป็นสี่ประเภทด้วยกัน สี่ประเภทด้วยกัน เนี่ย ถ้าเข้าใจดีแล้วท่านจะเข้าใจธรรมะได้โดยง่าย ขอให้ตั้งใจฟังให้ดีว่าสี่ประเภทนั้นมันอย่างไร สี่ประเภท ประเภทที่หนึ่ง ธรรมะคือธรรมชาติ หรือธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติ น่ะ เป็นตัวธรรมชาติ เป็นตัวของธรรมชาติ นี่ก็เรียกว่าธรรมะในภาษาบาลี แล้วอีกประเภทหนึ่งที่เป็นกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินี่ก็เรียกว่าธรรมะ คำเดียวกันอีก แล้วทีนี้ก็มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ ไอ้ส่วนที่เป็นหน้าที่หน้าที่นี้ก็เรียกว่าธรรมะอีกเหมือนกัน ทีนี้ผลอะไรเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นผลดีผลร้ายผลอะไรก็เป็นผลที่เกิดมาจากหน้าที่ ก็เรียกว่าธรรมะอีกเหมือนกัน นี่มันคล้ายกับบ้า แต่มันไม่บ้าเพราะว่ามันเป็นความจริงที่ลึกที่สุด ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือตัวธรรมชาติ ก็เป็นธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็ยังเนื่องอยู่ด้วยธรรมชาติ ตัวผลที่เกิดจากหน้าที่ก็ยังเนื่องอยู่ด้วยธรรมชาติ ภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะ ธรรมะ เหมือนกันหมดเลย ตัวกฎของธรรมชาตินี่ มันก็ ได้แก่สิ่งที่ว่ามาแล้วว่าจะมีปรากฏการณ์หรือไม่มีปรากฏการณ์ก็ตาม เป็น Phenomena หรือ Noumenon ก็สุดแท้แต่ มันเป็นเพียงสักว่าธรรมชาติธรรมชาติ ถ้าภาษา ถ้าพูดอย่างภาษาวัดในภาษาพุทธศาสนาก็ว่า มีปัจจัยปรุงแต่งหรือไม่มีปัจจัยปรุงแต่งก็ตาม ที่จะเป็น Compounded thing (นาทีที่ 10:01) หรือ Non-compounded thing (นาทีที่ 10:04) ก็ตาม มันเป็นธรรมชาติเหมือนกัน เลย ธรรมชาติเนี่ยมันก็กว้างขวางที่สุดเลย ที่เป็นตัวธรรมชาติไม่ยกเว้นอะไรบรรดาที่มนุษย์รู้จักหรือไม่รู้จักก็สุดแท้ ที่มันมีอยู่เราก็เรียกว่าธรรมชาติ ทีนี้มันก็มีกฎของธรรมชาติประจำอยู่ในสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ดังนั้นสิ่งที่เป็นธรรมชาติจึงเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติก็บังคับให้สิ่งนั้น น่ะ เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ส่วนที่เป็นกฎนี้ก็เรียกว่าธรรมะ มีลักษณะเป็นสังขตะล้วน คือไม่มีอะไรปรุงแต่งเป็นไปได้ในตัวเอง มีลักษณะเหมือนพระเป็นเจ้า ไม่ต้องมีอะไรปรุงแต่ง เป็นอยู่ได้ในลักษณะของตนเอง นี่เราเรียกกฎของธรรมชาติเป็นสัจจะเป็น Truth เป็นความจริง เป็น Ultimate truth ของธรรมชาติ ทีนี้ก็มาถึงหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เมื่อมันมีกฎของธรรมชาติควบคุมธรรมชาติทั้งหลายอยู่ ไอ้ธรรมชาติทั้งหลายก็ ที่มีชีวิตนะ ก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เนี่ยเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ อันนี้เป็นความหมายที่สำคัญที่สุด ขอกำหนดไว้เป็นพิเศษ ว่ามันเป็นความหมายที่สาม คือหน้าที่หน้าที่ เนี่ย สำคัญที่สุด มันก็ต้องมีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีการทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันตาย มันอยู่ไม่ได้ มันต้องทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติมันจึงจะอยู่รอด หรือว่าอยู่รอดแล้วยังมีหน้าที่จะต้องทำให้ได้รับความสุขสบายด้วย หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ก็เรียกสั้นๆว่าธรรมะเหมือนกัน ธรรมะในความหมายนี้อาจจะเป็นเรื่องที่เราจะต้องพูดกันอีกมาก เลยไปถึงความหมายที่สี่ ผลผลที่เกิดจากหน้าที่นั้นก็เรียกว่าธรรมะด้วยเหมือนกัน มันจะเป็นผลอย่างไรก็สุดแท้ เป็นผลอย่างโลกียะมีความพอใจอย่างโลกๆ หรือจะเป็นอย่างโลกุตระพอใจสูงสุดอะไรก็ยังเรียกว่าผลมันเกิดมาจากหน้าที่ทั้งนั้น จำไว้ง่ายๆว่าธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ กฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะ ผลที่เกิดจากหน้าที่นั้นก็เรียกว่าธรรมะ เรียกว่าธรรมะสี่ความหมาย ถ้าท่านมองเห็นไอ้เรื่องเหล่านี้โดยถูกต้องตามที่เป็นจริงแล้วก็จะเรียกว่าเข้าใจธรรมะหมดเลย หรือจะเข้าใจพุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น คือคำกล่าวในพระบาลีในพระคัมภีร์ทั้งหมด น่ะ มันก็มีกล่าวถึงสี่เรื่องนี้แหละ คือกล่าวถึงธรรมชาติ กล่าวถึงกฎของธรรมชาติ กล่าวถึงหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ กล่าวถึงผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้น ธรรมะตามธรรมชาติก็เรียกว่าสภาวธรรมตามธรรมชาติ กฎของธรรมชาติก็เรียกสัจจะ สัจจะ ของธรรมชาติ สัจธรรมของธรรมชาติ ที่ว่าหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเรียกว่า ปฏิปัติธรรม ปฏิปัติธรรม (นาทีที่ 13:54) สิ่งที่ต้องปฏิบัติ และผลเกิดขึ้นจากหน้าที่ก็เรียกว่าปฏิเวธธรรม ถ้าคำสี่อย่างสี่คำนี้มันยุ่งยากสำหรับท่าน จำยากไม่ต้องจำก็ได้ แต่ขอให้เข้าใจความหมายของมันให้เพียงพอก็แล้วกันว่า มีธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็มีผลเกิดจากหน้าที่นั้น ดูกัน ดูกันเป็นข้อแรกเป็นตัวอย่างก่อนก็ได้ว่า ในภายในคนๆหนึ่งนี่ คนๆหนึ่งนี่ ส่วนที่เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นเลือดเป็นไอ้ประกอบของร่างกายเนี่ยเป็นธรรมชาติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อะไรกี่ส่วนกี่ส่วน เป็นดินเป็นน้ำเป็นไฟเป็นลมเป็นอะไรก็ตามเรียกว่า เป็นตัวธรรมชาติที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายนี้ และในตัวธรรมชาตินี้มันมีกฎของธรรมชาติ บังคับอยู่ ทุกส่วน ทุกอณู ทุกปรมาณูแห่งร่างกายนี้ ก็ต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ตาย มันจึงมีหน้าที่ มีหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แม้แต่เซลล์ๆหนึ่งมันก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ของมัน ไม่อย่างนั้นมันก็ตายเหมือนกัน แม้จะประกอบกันขึ้นเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นเลือดเป็นอะไรก็มันก็ต้องมีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของมัน โดยเฉพาะชีวิตเนี่ยมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ให้ถูกต้อง ชีวิตมันจึงจะรอดอยู่ได้ ครั้นเมื่อมันมีการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว มันก็มีผลเกิดขึ้นมา มีผลเกิดขึ้นมา เช่น เราอยู่สบาย หรือถ้าทำผิด ทำหน้าที่ผิด ผลก็ตรงกันข้าม คือไม่สบาย เนี่ยขอให้สนใจเถอะว่าในธรรมะสี่ความหมายนั้น หาดูได้ในร่างกายของคนเพียงคนเดียวนี่ ร่างกายของคนๆหนึ่งน่ะมีตัวธรรมชาติ แล้วก็มีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ แล้วก็มีหน้าที่ที่มันปฏิบัติอยู่อย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็มีผลเกิดจากหน้าที่นั้นตามสมควรแก่การปฏิบัติ เนี่ยดูธรรมะสี่ความหมายในตัวเราเองให้เข้าใจให้ชัดเจนให้แจ่มแจ้งเสียก่อน นี่ก็เรียกว่ารู้ธรรมะ สี่ความหมายในตัวเรานี้ เมื่อในตัวเราเป็นอย่างไร ตัวผู้อื่นทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น น่ะ เป็นอย่างนั้น น่ะ ในตัวคนนี้เป็นอย่างไร แม้ในตัวสัตว์ทั้งหลายสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น น่ะ ช้าง ม้า วัว ควาย อะไรมันก็มีเรื่องอย่างเดียวกัน มีธรรมชาติ มีกฎธรรมชาติ มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีผลจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ประกอบกันอยู่มันจึงเป็นสัตว์ที่มีชีวิต แม้แต่ต้นไม้ต้นไร่ เนี่ยมันก็มีไอ้ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติควบคุมมันอยู่ทุกเซลล์ ทุกส่วน แล้วมันก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตามหน้าที่ของมัน มันจึงมีผลคือว่าต้นไม้นี่มันรอดชีวิตอยู่ได้ นี้เรียกว่าเรามีธรรมะสี่ความหมายเป็นหลักสำหรับการศึกษา นะขอให้สนใจให้เข้าใจว่าธรรมะมีอยู่สี่ความหมาย อย่างนี้ ที่ในสี่ความหมายนั้นนะ ความหมายที่สามนั่นแหละสำคัญที่สุดที่เราจะต้องมาพูดกัน หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่หนึ่ง ธรรมชาติก็รู้ ความหมายที่สอง กฎของธรรมชาติก็รู้ แต่พอหน้าที่หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินี้ยังต้องปฏิบัติ และส่วนผลของการปฏิบัตินั้นไม่เป็นไรมันตามมาเอง ถ้ามีการปฏิบัติหน้าที่แล้วผลของการปฏิบัติมันก็ตามมาเอง ที่สำคัญที่สุดก็คือความหมายที่สามว่าหน้าที่ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วมันก็คือความตาย เราสนใจคำว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ จะต้องรู้จักความหมายของมัน ว่ามันมีความสำคัญอย่างไร มันก็เท่ากับชีวิต หน้าที่เท่ากับชีวิต ถ้าไม่มีหน้าที่มันก็คือตาย ความหมายมันก็เท่ากับว่า มันชีวิต ไม่มีหน้าที่ก็ไม่มีชีวิต ทีนี้หน้าที่ หน้าที่ คำนี้ ความหมายที่ว่าหน้าที่ ความหมายของคำว่าธรรมะนี้ดูจะเป็นคำที่รู้จักพูดรู้จักใช้ขึ้นมาก่อน ในประวัติการณ์ของมนุษย์ นับตั้งแต่มนุษย์มันเริ่มมีมนุษย์ขึ้นมาในโลกมันไม่รู้จักอะไร เป็นคนป่า หรือยิ่งกว่าคนป่าก็ตามใจแล้วก็ค่อยๆเป็นคน เป็นคนป่าเป็นคนคิดนึกได้รู้สึกได้ มันมีคนสักคนหนึ่งที่ได้สังเกตเห็นว่า โอ้ มันมีสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ ที่ภาษาไทยเราเรียกว่า หน้าที่ อยู่ในโลกหรือในที่ทั้งหมดนี้ ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ ก็คือตาย เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกมันว่าหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ แนะนำกันให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นภาษาโบราณ ในประเทศอินเดีย คำนั้นคือคำว่าธรรมะหรือธรรม นี่ก็น่าสนใจว่าคำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ ใน Dictionary ในประเทศอินเดียคำว่าธรรมะ ธรรมะ แปลว่าหน้าที่ แต่ใน Dictionary พจนานุกรมภาษาไทยเรา ธรรมะไม่ได้แปลว่าหน้าที่ก็ได้ แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรืออะไรไปทำนองนู้น ไม่ได้บอกว่าเป็นหน้าที่ แต่ที่แท้คำว่าธรรมะนี้ตามภาษาอินเดียแท้ๆ มันแปลว่าหน้าที่ นี้คำว่าหน้าที่ หน้าที่เนี่ยเอามา ธรรมะ ธรรมะเนี่ยเอามาใช้เป็นไอ้ คำพูดสำหรับบอกกันว่าหน้าที่อย่างไร หน้าที่อย่างไร คนนี้รู้หน้าที่อย่างนี้ก็สอนอย่างนี้ คนอื่นรู้อย่างอื่นก็สอนอย่างนั้น แล้วก็เกิดเป็นลัทธิหลายๆ ลัทธิขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์หลายสำนัก บอกหน้าที่หน้าที่นี้ต่างๆ กัน สูงต่ำกว่ากัน สูงขึ้นมา สูงขึ้นมาจนเป็นเรื่องของศาสนา จะแสดงหน้าที่สูงขึ้นไป แม้ทางศาสนาก็ยังสูงกว่ากันตามลำดับตามลำดับไม่ใช่ว่าทีเดียวก็เท่ากันเสมอกันหมด จนกระทั่งพระพุทธเจ้าได้บอกหน้าที่ตามแบบของท่านหรือของพุทธศาสนาว่า มีหน้าที่อย่างนี้หน้าที่อย่างนี้ทำแล้วจะได้รับผลสูงสุด คือบรรลุความสุขสมบูรณ์เป็นนิพพาน ที่จริงมันเรื่องหน้าที่เนี่ย จะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้ามันก็เรื่องหน้าที่นั่นแหละ ท่านสอนเรื่องหน้าที่ ธรรมะโดยความหมายแท้จริงคือหน้าที่ แต่โดยเหตุที่เอามาสอนกันมันก็เลยเป็นคำสอนของศาสดาองค์นั้นองค์นั้น แต่เดี๋ยวนี้เราก็หมายถึงคำสอนของพระศาสดาไปเสีย ความหมายเดิมธรรมะแปลว่าหน้าที่หน้าที่ เป็นสิ่งสูงสุด สูงสุด ใครไม่ทำหน้าที่คนนั้นจะต้องตาย เนี่ยธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ความหมายก็เท่ากับชีวิต น้ำหนักคุณค่าสูงสุดก็มัน มันหมายความว่าคู่กันกับชีวิต ถ้าปราศจากธรรมะแล้วชีวิตก็ตาย ดังนั้นเราจะต้องถือว่าธรรมะเป็นคู่ชีวิต อยู่เป็นสูงสุดที่บันดาลให้อยู่ได้ จะเทียบว่าพระเจ้าก็ได้ ธรรมะหรือหน้าที่เนี่ยคือพระเจ้าหรือพระเป็นเจ้า มาทำหน้าที่แล้วมันก็ช่วยให้รอด ถ้าไม่ทำหน้าที่แล้วไม่มีใครช่วยให้รอด ฉะนั้น การทำหน้าที่ น่ะเป็นการช่วยให้รอด หน้าที่นั้นๆก็คือธรรมะ หรือเท่ากับพระเจ้า ในพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ไม่มีคำว่าพระเจ้า แต่มีคำว่าธรรมะนี่ในความหมายเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎของธรรมชาตินั่นแหละ มีหน้าที่เหมือนกับพระเจ้า กฎของธรรมชาติบันดาลให้เกิดขึ้นมา กฎของธรรมชาติควบคุมสิ่งทั้งหลายอยู่ กฎของธรรมชาติทำให้สิ่งต่างๆ ระงับหายไป สูญหายไปหรือตายไปเป็นครั้งเป็นคราว เป็นผู้สร้างให้เกิดขึ้นมา เป็นผู้ควบคุมอยู่ เป็นผู้ทำลายไปเป็นครั้งเป็นคราว มีลักษณะเหมือนกับพระเป็นเจ้า ที่สร้าง ที่ควบคุม ที่ทำลาย ที่สร้าง ที่ควบคุม ที่ทำลาย สิ่งนี้ในพุทธศาสนาเรียกว่าธรรมะ ธรรมะ จึงเป็นกฎของธรรมชาติ มีหน้าที่อย่างนี้ ทีนี้ธรรมะคือหน้าที่ เนี่ยจะต้องขอฝากไว้ตลอดชีวิตว่าธรรมะคือหน้าที่ ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้สมบูรณ์ แล้วก็จะได้รับผลสมบูรณ์ตามที่ควรจะได้ หน้าที่ทั้งหลาย หน้าที่ทั้งหลาย ไม่ว่าหน้าที่อะไรที่เป็นหน้าที่แล้วเรียกว่าธรรมะหมด หน้าที่ชั้นแรกก็คือรอดชีวิต หน้าที่ต่อมาก็รอดชีวิตแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้มันเป็นสุข ให้เป็นที่พอใจ ถ้าว่าเป็นอย่างพื้นฐานทั่วๆ ไปก็เป็นหน้าที่ต่ำๆ ก็หน้าที่รอดชีวิต ถ้าสูงขึ้นไปก็หน้าที่ให้รอดชีวิตอยู่อย่างมีค่าที่สุด มีความสงบสุขที่สุด เราจึงต้องเคารพหน้าที่ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง แล้วก็จะรอดชีวิต ถ้ารอดชีวิตแล้วทำหน้าที่ให้ถูกต้องอีกทีหนึ่งก็ได้ความสุขที่สมบูรณ์ หน้าที่เป็นสองชั้นอยู่อย่างนี้ อย่ารู้แต่ชั้นเดียวที่จะหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องรอดชีวิต แล้วก็เห็นแต่เพียงเท่านั้นมันไม่ถูก มันเป็น ต่ำเกินไป ทีเดียวจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ทันรู้ มันต้องรู้จักทำชีวิตที่รอดอยู่เนี่ยให้มีค่าให้มากที่สุดด้วย แล้วก็อย่าให้บกพร่อง เคารพหน้าที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เคารพหน้าที่ เคารพธรรมะ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เคารพธรรมะ พระพุทธเจ้าอดีต ก่อนๆ ก็ดี พระพุทธเจ้าเดี๋ยวนี้ก็ดี พระพุทธเจ้าในอนาคตก็ดี ทุกพระองค์เคารพธรรมะ คือเคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้เคารพเฉยๆ ท่านต้องปฏิบัติด้วย ปฏิบัติหน้าที่ของพระพุทธเจ้า นั่นแหละเรียกว่าเคารพหน้าที่ เราอยากจะพูดว่าแม้แต่พระเจ้า พระเป็นเจ้าก็ต้องเคารพหน้าที่ ทำหน้าที่ของพระเป็นเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ทำหน้าที่ของพระเจ้า พระเจ้าก็ตายไปหมดแหละ พระเจ้าก็ต้องทำหน้าที่ของพระเจ้า มีหน้าที่อย่างไรก็ต้องทำไป ก็เรียกว่า ก็ต้องเคารพหน้าที่ด้วยเหมือนกัน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วนับประสาอะไรกับพวกเราคนๆ อย่างนี้ ที่จะไม่เคารพหน้าที่ มันก็ต้องเคารพหน้าที่ ฉะนั้นขอให้ทุกคนเคารพหน้าที่ อย่าบกพร่องในหน้าที่ของตนเลย แล้วจะต้องมีหน้าที่ คือธรรมะ ถ้าเรียกว่าธรรมะหรือหน้าที่มันก็ต้องถูกต้อง ต้องถูกต้อง คือมีประโยชน์น่ะถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน และก็ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ แม้กระทั่งเพื่อประโยชน์เราเอง และเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไอ้บทนิยามหรือ Definition ของไอ้คำว่าธรรมะ ธรรมะ นี้ คืออย่างนี้ ช่วยจำไว้เถอะว่าธรรมะน่ะคือระบบปฏิบัติ ระบบแห่งการปฏิบัติ มันเป็นระบบ มันเป็น System มันไม่ใช่อันเดียว มันหลายอันรวมกันมันเป็นระบบ ระบบของการปฏิบัติ รู้เฉยๆไม่พอต้องปฏิบัติด้วย ระบบของการปฏิบัติ ก็ที่ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มีความหมายอย่างไร ระบบปฏิบัตินั้นต้องถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ เพื่อให้มันมีความเป็นมนุษย์ให้จนได้ ถ้าไม่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์แล้วมันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร ระบบปฏิบัตินั้นต้องถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ เพื่อมี เพื่อมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง แล้วก็ถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ วิวัฒนาการนี้จะหมายความอย่างไรก็ได้ หมายความว่าตั้งใจว่าเด็กๆ ทารกเป็นเด็กโตเป็นเด็กวัยรุ่นเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนแก่คนเฒ่า นี่ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ปฏิบัตินั้นต้องถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ที่นี้ต้องทั้งเพื่อประโยชน์ตนเองด้วยและเพื่อประโยชน์ผู้อื่นด้วย คือถูกต้องทั้งที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนเองด้วย ถูกต้องเพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย มันจึงมีคำกล่าวโดยสมบูรณ์ว่า ธรรมะคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาทั้งเพื่อประโยชน์ตนเองและเพื่อประโยชน์ผู้อื่นด้วย นี่มันยาวสักหน่อย มันฟังดูรุงรังยืดยาวสักหน่อย แต่มันรัดกุมที่สุด มันจะขาดเสียไม่ได้ มันต้องมีครบอย่างนี้แหละ ถ้าเป็นระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการทั้งเพื่อประโยชน์ตนและเพื่อประโยชน์ผู้อื่น นี่เรียกว่าธรรมะ เป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้อง มันมีความหมายอย่างนี้ นี่เราก็จะต้องมีธรรมะนี่แหละ เป็นเครื่องแก้ปัญหา เดี๋ยวนี้ในโลกนี้มันไม่มีธรรมะมันไม่มีการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ มันจะไปถูกต้องแก่ความเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันเห็นแก่ตัว มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว มันก็แย่งชิงกันต่อสู้แข่งขันแย่งชิงกัน จนกระทั่งจะแย่ง แย่งกันครองโลก แย่ง แย่งกันจะเป็นเจ้าโลก มันเตลิดเปิดเปิงไปถึงอย่างนั้น มันไม่รู้ว่าผิดถูกอย่างไรเสียแล้ว มันจะต้องมีความถูกต้องในการที่จะเป็นอยู่อย่างรักใคร่กัน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน แล้วก็เลยรักกัน ไม่มีความแตกแยกเป็นมึงเป็นกูเป็นใครที่ว่าเป็นข้าศึกแก่กัน ถ้ารักกันมันก็ทุกคนมาจากบิดามารดาเดียวกันก็ได้ หรือว่าจะรักกันอย่างกะว่าทุกคนในจักรวาลนี้เป็นเพียงคนๆเดียวกันอย่างนี้ก็ได้ ให้มันมีความรักกันถึงที่สุดอย่างนั้นล่ะมันก็จะมีสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ขึ้นมาอย่างครบถ้วน ทีนี้เราก็จะต้องปฏิบัติหน้าที่ หน้าที่ของตน ของตน มีอยู่อย่างไร เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่เนี่ย เว้นไม่ได้ อะไรเป็นหน้าที่ จะต้องปฏิบัติ ต้องปฏิบัติอย่างแท้จริง คือมีสติ สัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวแล้วปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างถูกต้องนี่ ข้อแรกปฏิบัติอย่างถูกต้อง เมื่อรู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้องมันก็พอใจ พอใจ ยินดี พอใจเพราะถูกต้อง เมื่อมันยินดี พอใจ เพราะถูกต้อง พอใจ พอใจแล้ว มันก็มีความสุข ถูกต้องและพอใจแล้วมีความสุข เนี่ยคือการปฏิบัติธรรมะ จึงต้องรู้เสียก่อนว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติให้ถูกต้อง ถูกต้องแล้วก็พอใจ พอใจแล้วก็เป็นสุข ในความถูกต้องมันทำให้พอใจ ความพอใจทำให้เป็นสุข มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ ตามกฎของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้ นี่เรียกว่ามีธรรมะ มีการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่บกพร่อง ต่อให้เป็นเทวดา ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของเทวดา ไม่อย่างนั้นมันตาย มันเป็นมนุษย์ มันก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์อย่างถูกต้อง ไม่อย่างงั้นมันตาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องปฏิบัติอย่างถูกต้อง มันจึงจะรอดอยู่ได้ เป็นต้นไม้ต้นไร่ ก็ต้องปฏิบัติอย่างถูกต้อง และตลอดเวลา เราจะต้องทำหน้าที่อย่างถูกต้องตลอดเวลานะ กินอาหารหรือทำอะไร บำรุงร่างกายสุขภาพอนามัย กระทั่งว่าต้องพักผ่อนนะ แม้การพักผ่อนก็เป็นหน้าที่นะ ถ้าไม่พักผ่อนมันตายนะ แม้แต่การพักผ่อนมันก็รวมอยู่ในคำว่าหน้าที่ ฉะนั้นทำหน้าที่ที่เพียงพอ มีการพักผ่อนที่เพียงพอ มันก็รอดอยู่ได้ แต่ต้องเป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง เขาพูดกันว่านะ อาตมาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เขาพูดกันว่านักวิทยาศาสตร์บอกว่า ต้นไม้เนี่ย กลางคืนมันคายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดคืน กลางวันมันคายแก๊สออกซิเจนตลอดวัน ก็แปลว่า ต้นไม้นี่มันเก่งมากนะ มันทำหน้าที่ตลอดวันตลอดคืนนะ มันจะเก่งกว่าคนนะ ไอ้คนนี่มันมักจะเหลวไหลไม่ทำหน้าที่เต็มที่อย่างนี้ เอาละ เป็นอันว่าถ้ามันมีชีวิตแล้วมันต้องทำหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่แล้วมันก็จะต้องตาย ทีนี้เราก็มาดูกันในส่วนที่เป็นบุคคล เป็นคน น่ะมันมีหน้าที่อะไรบ้าง ทุกหน้าที่เลย ถ้าทำให้ถูกต้องแล้วจะพอใจ แล้วจะให้ความสุข จึงพูดได้ว่าหน้าที่ทุกหน้าที่ ทำลงไปเถอะมันจะให้ความพอใจและเป็นสุข ถ้าเราทำหน้าที่ของเราทั้งวัน เราก็เป็นสุขทั้งวัน ทำหน้าที่ทั้งคืนก็เป็นสุขทั้งคืน ทำหน้าที่ทั้งเดือนก็เป็นสุขทั้งเดือน ทำหน้าที่ทั้งปีก็เป็นสุขทั้งปี เพราะว่าความสุขมันเกิดมาจากความพอใจในการทำหน้าที่ที่ถูกต้อง นี่เรียกว่า เป็นไอ้ความสุขที่ถูกต้อง ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้รับความพอใจแล้วก็เป็นสุข ทีนี้ก็อยากจะระบุเป็นรายละเอียดสักหน่อยว่า จะเป็นชาวนาก็ทำนาให้ดีให้ถูกต้อง จะเป็นชาวสวนก็ทำสวนให้ดีให้ถูกต้อง จะเป็นพ่อค้าค้าขายก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง จะเป็นข้าราชการก็ทำหน้าที่ของข้าราชการให้ถูกต้อง จะเป็นกรรมกร เป็นกรรมกรแบกหาม แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ รับกวาดถนน ก็เป็นกรรมกร ก็ทำหน้าที่ของกรรมกรให้ถูกต้อง เป็นธรรมะเสมอกัน กระทั่งว่ามันเป็นคนขอทาน มันนั่งขอทานอยู่ มันทำอะไรไม่ได้เพราะมันพิกลพิการ มันก็ต้องรับสภาพขอทาน มันก็นั่งขอทานอยู่ ทำหน้าที่เป็นคนขอทานอยู่ ก็ขอให้ทำหน้าที่ขอทานให้ดีก็เป็นธรรมะเสมอกัน เป็นชาวนา ชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นกรรมกร เป็นคนขอทาน เมื่อทำหน้าที่ของตนโดยครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์แล้วก็มีธรรมะเสมอกัน ธรรมะคือหน้าที่ มันต้องเป็นอย่างนี้ เป็นเทวดาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ของเทวดาให้ถูกต้อง มิฉะนั้นมันตาย เป็นมนุษย์ก็ทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้อง มิฉะนั้นมันตาย เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ทำหน้าที่สัตว์เดรัจฉานให้ถูกต้อง มิฉะนั้นมันตาย เป็นต้นไม้ต้นไร่ก็ทำหน้าที่ของมันให้ถูกต้อง มิฉะนั้นมันตาย เนี่ยธรรมะคืออย่างนี้ ธรรมะคืออย่างนี้ ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนก็ขอให้ฟังเดี๋ยวนี้ เป็นเรื่องจริงอย่างนี้ เป็นเรื่องที่ศึกษาค้นคว้ามาเป็นสิบๆปี มันได้ความอย่างนี้ ไม่ใช่พูดตบตาหรือหลอกลวงอะไร ว่าธรรมะคือหน้าที่ น่ะหมายความว่าอย่างนี้ ทำหน้าที่แล้วมันก็เป็นธรรมะหมด เป็นธรรมะหมด หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เพราะว่าหน้าที่นั้นก็คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ธรรมะนั้นก็คือสิ่งที่ช่วยให้รอด คำว่าธรรมะ ธรรมะ นั้นแปลว่าชูขึ้นไว้ ชูขึ้นไว้ ช่วยให้รอด ไอ้หน้าที่มันก็ช่วยให้รอด ช่วยให้รอด เพราะฉะนั้น ไอ้ธรรมะกับหน้าที่มันก็เป็นสิ่งเดียวกัน แล้วมันจะเลยขึ้นไปถึงพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้ามีหน้าที่ช่วยให้รอดนะ ถ้าไม่ช่วยใครให้รอดก็ไม่ใช่พระเจ้านะ อะไรที่มันช่วยให้รอด ช่วยให้รอด นั่นก็คือธรรมะทั้งนั้นเลย นี่ขอให้รู้จักธรรมะไว้ ในลักษณะอย่างนี้ ที่เป็นฆราวาสก็ทำหน้าที่ตามแบบที่กล่าว ถ้าเป็นบรรพชิต เป็นพระ เป็นผู้สั่งสอนอบรม ก็ทำหน้าที่ของตน บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สั่งสอนไปจริง เป็นพระที่ดีจริง นั่นก็ทำหน้าที่ของพระ มันก็เป็นผู้ที่มีหน้าที่หรือมีธรรมะ สรุปความว่าถ้ามันมีหน้าที่แล้วมันก็มีธรรมะ เมื่อปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ เมื่อปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ ถ้าไม่มีหน้าที่ ไม่มีธรรมะ ต่อให้ในโบสถ์ ในโบสถ์นั่นแหละ มันมีแต่พิธี รีตรองบวงสรวงอ้อนวอนสั่งเซียมซีในโบสถ์ อย่างนี้ไม่มีธรรมะ ใน ที่กลางทุ่งนาไถนาอยู่ น่ะกลับมีธรรมะ เค้าก็ทำหน้าที่ ชาวนาทำหน้าที่ไถนาอยู่เป็นธรรมะ ในโบสถ์มีแต่นั่งสั่งเซียมซีอ้อนวอนขอร้องอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีธรรมะ ในโบสถ์ไม่มีธรรมะ เนี่ยจึงจำกัดตายตัวลงไปว่า ถ้ามันมีหน้าที่ที่ไหนมันก็มีธรรมะที่นั่น มีธรรมะที่ไหนมันก็เป็นหน้าที่อยู่ที่นั่น ฉะนั้นขอให้สนใจคำว่าหน้าที่หน้าที่นี้ให้ดีๆ เอ้า,จะขอชี้ระบุโดยรายละเอียดเลย ขอให้ช่วยฟังให้ดีๆ บางทีมันอาจจะแปลกหู สำหรับท่าน หน้าที่ของเราตามธรรมดาสามัญ คนธรรมดาสามัญนี่ เช้าตื่นนอนขึ้นมา ตื่นนอนขึ้นมา ตามธรรมดาคนทั่วไปก็มี ล้างหน้า มีหน้าที่ล้างหน้า ฉะนั้นการล้างหน้าให้ดีที่สุด นั่นแหละคือธรรมะ ในการล้างหน้า มีสติสัมปชัญญะทำการล้างหน้าให้ดีที่สุด จนเห็นว่าถูกต้อง แล้วก็พอใจ แล้วสบายใจเพราะการล้างหน้า คนๆ นี้ก็มีความสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้า กว่าจะเสร็จมีความสุข พอใจในตัวเอง แต่คนโง่ๆ มันทำอย่างนั้นไม่ได้ มันไม่รู้ว่าธรรมะ มันไม่ตั้งใจจะล้างหน้าด้วยซ้ำไป บางคนมันก็ไม่อยากจะล้างหน้าด้วยซ้ำไป มันมีจิตใจอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันล้างหน้าใจลอยไปอย่างนั้น น่ะ อย่างนี้ไม่มีความสุขในการล้างหน้า ถ้ารู้ว่าการล้างหน้าเป็นธรรมะ ล้างหน้าอย่างดีที่สุด ถูกต้องที่สุด พอใจที่สุด ก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้า คนหนึ่งมีความสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้า อีกคนมันบ้าบอจิตใจมันไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีความรู้สึกพอใจเป็นสุขอะไรเลย นี่มันเสียเปรียบกันอย่างนี้แล้วเห็นไหม เอ้า ,ทีนี้ล้างหน้าแล้วมันจะไปอาบน้ำ ไอ้คนที่มันมีธรรมะ มันมีความรู้ว่า ไอ้อาบน้ำนี่คือหน้าที่ ก็คือธรรมะ มันก็มีสติสัมปชัญญะ ทำการอาบน้ำให้ดีที่สุด ทุกระยะของการอาบน้ำ จะเป็นการตักรด หรือจะเป็นการไขก๊อก หรือจะเป็นการทำอะไรก็ตาม ทุกอิริยาบถในการอาบน้ำนั้นถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ พอใจ เป็นสุข เป็นสุข คนๆ นี้ก็มีความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ ไอ้คนโง่ๆ ใจลอยมันอยู่ที่อื่น มันด่า มันด่ามันแช่งอะไรไปพลางก็ไม่รู้ มันอาบน้ำด้วยจิตใจที่วิปริตผิดปกติ อย่างนี้ไม่มีความสุขในการอาบน้ำ คิดดูซิ คนหนึ่งมีความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ อีกคนหนึ่งเหมือนกับคนบ้าอาบน้ำ บางทีเป็นทุกข์หม่นหมองอะไรไปพลาง อาบน้ำไปพลาง มันตกนรกไปพลาง อาบน้ำไปพลาง อีกคนหนึ่งมันขึ้นสวรรค์ พอใจ เป็นสวรรค์ไปพลาง อาบน้ำไปพลาง มันต่างกันอย่างไร เนี่ยธรรมะคือหน้าที่ เมื่อปฏิบัติถูกต้องแล้วมันให้ผลอย่างนี้ เอ้า,ทีนี้จะพูดถึงที่สุดเลย ว่าถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ เมื่อมีสติสัมปชัญญะรู้ว่าเป็นหน้าที่ ก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ในการที่จะถ่ายอุจจาระ จะถ่ายปัสสาวะ ถูกต้องที่สุด แล้วก็พอใจ เมื่อพอใจก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นี่มันได้บุญ ได้กำไรเท่าไร เป็นสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ แต่คนโง่มันทำไม่ได้ จิตใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ บางทีมันโกรธอะไรอยู่ หรือมันโกรธไอ้การถ่ายนั่นเอง หรือมันไม่อยากจะถ่ายด้วยซ้ำไป มันก็ไม่มีความสุข ความพอใจ ตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มันต่างกันอย่างนี้ ไอ้คนหนึ่งมีความสุขตลอดเวลา พอใจตลอดเวลา ปฏิบัติถูกต้องตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ คนหนึ่งจิตใจเหมือนกับผีสิง ทำหวัดๆ หยาบๆ ลวกๆ ไม่ถูกตามอนามัย ไม่ถูกต้อง แล้วก็ยังไม่มีความสุขความพอใจด้วย เอ้า,ทีนี้จะไปกินอาหาร เข้าไปในห้องอาหาร ก็หน้าที่ที่จะต้องกินอาหาร ก็ต้องทำให้ถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ จำไว้คำนี้สำคัญมาก ต้องมีสติสัมปชัญญะ ทำมัน จะหยิบจานมา จะหยิบช้อนมา จะตักข้าว จะกินข้าวใส่ปาก จะเคี้ยว จะกลืน จะอะไรก็ตาม มีสติสัมปชัญญะทำให้ถูกต้อง ถูกต้องจนพอใจ พอใจแล้วก็เป็นสุข เขาก็เป็นสุขแท้จริงตลอดเวลาที่กินอาหาร ไอ้คนโง่ทำไม่ได้ เพราะจิตใจมันวุ่นวายกระสับกระส่ายด้วยเรื่องต่างๆ ใจลอยกินข้าว อย่างที่เรียกว่าไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันไม่มีความสุขตลอดเวลาที่กินอาหาร ถ้ารู้ว่าเป็นหน้าที่ทำให้ดีที่สุด มันก็มีความพอใจและเป็นสุขตลอดเวลาที่กินอาหาร เสร็จแล้วถ้าว่ามันเป็นคนฉลาด มันก็จะช่วยล้างจาน แม้มันจะเป็นนายเป็นคนมั่งมี มันจะลองช่วยล้างจานดูบ้างก็ได้ หรือถ้าเราตามธรรมดาเราก็ล้างจาน หรือคนใช้มันต้องล้างจาน มันก็รู้ว่าการล้างจาน ล้างถ้วย ล้างชาม ล้างหม้อ ล้างไห ในครัว เนี่ยมันเป็นหน้าที่ มันก็พอใจทำดีที่สุด ถูกต้องที่สุด มันก็พอใจในการล้างจาน มันก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างจาน ฟังดูแล้วมันขำดี ไหม เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างจาน ตลอดเวลาที่กวาดบ้าน ตลอดเวลาที่ถูพื้น ตลอดเวลาที่ทำงานอย่างนี้ มันก็เลยมีความสุขไปหมด มันเป็นความสุขอย่างเดียวกันกับที่ไปซื้อหามา บางทีก็ไม่สุขเท่า เพราะว่าไอ้ความสุขในธรรมะ ในหน้าที่นี้มันสุขแท้จริง มันสุขเยือกเย็น ไอ้สุขที่เอาเงินไปซื้อหามาเป็นความฟุ่มเฟือยทั้งนั้น น่ะ เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงนะ ความสุขที่แท้จริงต้องเย็นนะ ไอ้ความสุขหลอกลวงเป็นความเพลิดเพลินนั่นร้อนนะ และใช้เงินมากใช้เงินจนไม่พอใช้นะ คุณจะใช้เงินจนหมดเงินของคุณก็มันยังไม่เป็นที่พอใจ นั่นเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สักสตางค์เดียวนะ ได้รับความพอใจเพลิดเพลินเยือกเย็นในการที่ว่าเราจะล้างหน้าจะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระ จะถ่ายปัสสาวะ จะกินข้าว จะล้างจาน ถูบ้านกวาดเรือนอะไรก็ตาม มีความสุขที่แท้จริง แล้วจะเอาอะไรกันอีกเล่า ใครๆ มันก็อยากจะหาเงินหาทองมาซื้อหาความสุข แต่แล้วมันไปซื้อความเพลิดเพลินที่หลอกลวงมาให้มันโง่หนักขึ้นไปอีก ไม่พบกับความสุข อย่างนั้นความสุขที่แท้จริงมีได้โดยไม่ต้องใช้เงินสักสตางค์เดียวนี่ คือความพอใจในการประพฤติหน้าที่ที่ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจเป็นสุข ถูกต้อง พอใจเป็นสุข เลยมีความสุขโดยไม่ต้องใช้เงิน ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน แล้วทำให้เงินเหลือ เงินเหลืออยู่ เอาไปใช้อะไรตามที่ถูกที่ควรได้ต่อไปอีก แต่เพื่อความสุขที่แท้จริงแล้วไม่ต้องใช้เงิน ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องอยู่ทุกเวลาที่หายใจเข้าออกเถอะ มันก็มีความสุขโดยแท้จริงอย่างนี้ เราจะเป็นผู้ที่ร่ำรวย แต่เราไม่รู้จักทำหน้าที่ให้ถูกต้องก็ไม่มีความสุข จะสู้ชาวไร่ ชาวนา พ่อค้า กรรมกร ที่ทำหน้าที่ให้ถูกต้องแล้วเป็นสุขก็สู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เป็นคนเนี่ย เป็นคน เป็นหัวหน้า มีลูกน้อง มีคนใช้ เป็นข้าราชการ ลองไปช่วยภารโรงกวาดขยะดูบ้าง เป็นหัวหน้า เป็นข้าราชการชั้นสูง ชั้นผู้ใหญ่ เป็นครูบาอาจารย์เนี่ย ไปช่วยภารโรงกวาดขยะดูบ้าง มันก็พอใจว่าหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วก็จะมีความสุขเหมือนกัน มันไม่มีสูงมีต่ำหรอก ถ้าเป็นธรรมะ เป็นหน้าที่แล้วมันไม่มีสูงมีต่ำ มันให้ความถูกต้องและความพอใจเสมอกันไปหมด นี้เรียกว่าเรามีความถูกต้อง การกระทำที่ถูกต้องในหน้าที่ของตน อยู่ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไร มีความถูกต้องพอใจทุกๆอิริยาบถตลอดวัน หน้าที่เป็นสิ่งที่เราต้องเคารพ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเคารพกระทั่งห้องทำงานของเรา เครื่องใช้ไม้สอยของเรา ถ้าเป็นชาวนาจะต้องให้ความเคารพแก่ควายของเขา แก่ไถ คันไถที่ใช้ไถนาของเขา ชาวสวนก็ต้องเคารพในเครื่องมือหรือแผ่นดินหรืออะไรที่เขาจะประกอบอาชีพ เป็นข้าราชการก็เคารพออฟฟิศสถานที่เครื่องใช้ไม้สอย เคารพในอุปกรณ์ ที่จะใช้ในการทำหน้าที่ของตนของตน อย่างนี้จิตใจมันจะลดลงไปสู่ความสงบเย็น ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เลื่อนลอย ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่หลงใหล นี่มันมีส่วนที่จะทำให้ถูกต้องถึงขนาดนี้ ระมัดระวังให้ถูกต้องไปหมด ตลอดวัน เอ้า จบวันหนึ่งแล้วจะนอน จะนอน ไอ้นอนจะพักผ่อนนี่ก็ต้องเป็นหน้าที่เหมือนกัน ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อว่าจะมีกำลังสำหรับทำหน้าที่ในวันรุ่งขึ้น เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่าพักผ่อนให้ดีๆ มันไม่ใช่พักผ่อนเหลวไหล มันหน้าที่นะ มันหน้าที่ต้องพักผ่อนนะ ถ้าไม่พักผ่อนมันตายนะ ทีนี้ต้องพักผ่อนให้ดีที่สุด จะถึงเวลาจะนอนจะพักผ่อน ก็คิดดูว่าก่อนจะนอน น่ะ คิดดูว่าวันนี้เราได้ทำอะไรบ้าง วันนี้ได้ทำอะไรบ้าง ตั้งแต่เช้ามา ทำอะไรกี่อย่าง กี่อย่าง ก็ถูกต้องทุกอย่าง ถูกต้องทุกอย่าง พอใจทุกอย่าง ถูกต้องทุกอย่าง มีแต่ความถูกต้องและพอใจ แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองเสียสักทีหนึ่ง แปลกไหม เคยได้ยินไหม ยกมือไหว้ตัวเอง ใครเคยทำไหม นั่น น่ะ มันยังไม่รู้จักแสวงหาความสุขที่แท้จริง ถูกต้อง พอใจ พอใจ มีความสุข แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อไรยกมือไหว้ตัวเอง เมื่อนั้น น่ะคือสวรรค์ เมื่อนั้น น่ะคือสวรรค์ที่แท้จริง สวรรค์ต่อตายแล้วนั่นไม่แน่ สวรรค์บนฟ้านู้นก็ไม่แน่ ไม่แน่ สวรรค์ที่แน่ที่สุด คือพอใจในความถูกต้องของตน และยกมือไหว้ตัวเองได้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มีสวรรค์อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ มีความถูกต้องอยู่ในชีวิตนี้ ความถูกต้องนั้นเป็นสวรรค์แท้จริง ในชีวิตนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เนี่ยคือประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างแท้จริง ของสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เมื่อทำได้อย่างนี้มันก็หมดปัญหา ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องฟุ้งซ่าน ไม่ต้องวุ่นวายอะไร มีแต่ความพอใจ ความสงบเยือกเย็นไปทุกหน้าที่การงานทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับและทั้งตื่น เป็นสวรรค์ทุกอิริยาบถ ไอ้นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้านั่น น่ะ ไม่ต้องนึกถึงก็ได้ มันพูดกันอยู่ก่อน ก่อน ก่อน ก่อน พระพุทธเจ้าเสียอีก พูดอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ก่อนพระเยซู ก่อนพระมูฮัมหมัด นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า แต่เรามีนรกที่นี่ถ้าทำผิด มีสวรรค์ที่นี่ถ้าทำถูก อยู่ที่เนื้อที่ตัวที่ชีวิตที่ตาหูจมูกลิ้นกายใจเนี่ย ถ้าทำผิดก็เป็นนรกกันที่นี่ ถ้าทำถูกก็เป็นสวรรค์กันที่นี่ อย่างนี้มันจริงกว่าใช่ไหม มันจริงกว่าใช่ไหม อย่างนั้นขอให้สนใจในธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติสัมปชัญญะให้ถูกต้อง แล้วก็พอใจ พอใจแล้วก็เป็นสุข นี่คือสวรรค์ พบแต่ความถูกต้องอย่างนี้ก็ยกมือไหว้ตัวเอง เคารพตัวเองเนี่ยเป็นคำที่ไม่ค่อยได้ยินกันเสียแล้ว เดี๋ยวนี้ แต่ก่อนก็พูดกันมาก เคารพตัวเอง คนเดี๋ยวนี้มันบูชาเงิน มันเคารพตัวเองไม่ได้ มันเคารพกิเลส มันก็เคารพตัวเองที่ถูกต้องไม่ได้ เคารพความถูกต้องไม่ได้ เคารพเงิน เคารพกิเลส เคารพความสนุกสนานเพลิดเพลินอันหลอกลวง มันก็ไม่มีความสงบสุข ไม่มีสันติภาพใดๆ ในโลกนี้ เนี่ย ขอให้เรามีธรรมะถูกต้องทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีธรรมะทุกอิริยาบถคือมีหน้าที่ถูกต้องทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกสถานที่ ถ้าทำได้อย่างนี้แล้วมันจะมีอะไรเหลือ จะมีปัญหาอะไรเหลือ มันไม่มีปัญหา มันไม่มีปัญหายุ่งยากลำบากอะไร ทุกคนพอใจ ทุกคนเป็นสุข ไม่ต้องแยกกัน เป็นศัตรูกัน ทำลายล้างกัน ถึงเป็นความโง่ที่สุด ในการที่มีตัวกู มีของกู เกลียดชังผู้อื่น อิจฉาริษยาผู้อื่น โดยคิดว่าอย่างนั้นจะเป็นความสุข นี่มันเป็นความโง่สุดเหวี่ยงแล้ว ถ้ามันมาทำหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ของตัวเสีย มันก็หมดปัญหา มันจะมีสันติภาพขึ้นในโลกนี้ยิ่งกว่าสันติภาพใดๆ ถ้าจะพูดถึงว่าเป็นศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย มันก็เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยที่ยิ่งกว่าพระศรีอาริยเมตไตรย เนี่ย ถ้าทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง จนพอใจ จนเป็นสุข ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้ว โลกนี้ก็จะมีสันติภาพ ยิ่งไปกว่าสันติภาพใดๆ เราก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ไม่มีปัญหาใดๆ ไม่เกิดลัทธิอะไรที่ทำความวุ่นวาย ไม่เกิดลัทธินายทุน ลัทธิชนกรรมาชีพ ที่มุ่งจะประหัตประหารกันอยู่ตลอดไป แล้วจะไม่เกิดการแย่งชิงกันเพื่อจะครองโลก กูจะเป็นจ้าวโลก จะครองโลก แย่งชิงกันเป็นจ้าวโลก เหมือนที่กำลังมีอยู่ในปัจจุบัน เต็มไปด้วยปัญหาทั้งนั้น ทำโลกที่ดีที่พระเจ้าสร้างมาดีๆ ให้เป็นโลกบ้า ให้เป็นโลกวุ่นวาย น่าหัวที่สุดนะ ที่ว่าปีนี้เขาจะกำหนดให้เป็นปีสันติภาพ นี่เรียกว่ามันหลับตาพูดที่สุดเลย สันติภาพมันเป็นพื้นฐานของการไม่มีเรื่องไม่มีเหตุการณ์อะไร ไม่มีวุ่นวายอะไร เป็นพื้นฐาน พระเจ้าสร้างโลกมาในลักษณะเป็นสันติภาพตลอดกาล ตลอดเวลา ไอ้มนุษย์บ้าเนี่ยมันสร้างวิกฤตการณ์ขึ้นมากลบเกลื่อนสันติภาพเสีย จนสันติภาพไม่ปรากฏ มีแต่วิกฤตการณ์ ที่จริงสันติภาพมันไม่ต้องสร้าง มันระวังแต่อย่าให้วิกฤตการณ์มันเกิดขึ้น อย่าให้วิกฤตการณ์มันโผล่ขึ้นมา ไอ้โลกนี้ก็จะเป็นสันติภาพ ตามความมุ่งหมายของธรรมชาติหรือของพระเป็นเจ้าที่สร้างมาดีแล้ว สร้างมาสำหรับมีสันติภาพตลอดกาล แล้วมนุษย์ที่โง่เขลานี่มันสร้างความวุ่นวาย วิกฤตการณ์ขึ้นมาปิดบังสันติภาพเสีย มันควรจะพูดเอาไอ้ปีนี้มาเป็นปีที่กวาดล้างวิกฤตการณ์ เป็นปีที่ทำลายวิกฤตการณ์ สันติภาพพื้นฐานที่มันมีอยู่ตลอดเวลามันก็จะโผล่ออกมาเอง ไม่อาจจะสร้างสันติภาพหรอกมนุษย์ อย่างมนุษย์เนี่ยมันไม่มีปัญญาที่จะสร้างสันติภาพ พระเจ้าสร้างมาดีแล้วให้มีสันติภาพ แต่มนุษย์โง่เขลานี่มันสร้างวิกฤตการณ์ขึ้นมากลบสันติภาพเสียหมด จนโลกนี้เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ ถ้าจะทำปีนี้ให้ดีที่สุด ก็มาเป็นปีที่เลิกล้างวิกฤตการณ์ ควบคุมอย่าให้มีวิกฤตการณ์ ไม่ต้องสร้างสันติภาพ เพราะสันติภาพจะเป็นพื้นฐานมีอยู่ตลอดกาล แล้วมันมีความเลวร้ายมาปิดมาคลุม ก็เลิกมันขึ้นเสีย เพิกถอนมันขึ้นมาเสีย สันติภาพมันก็จะโผล่ออกมา เป็นพื้นฐานอยู่ตลอดไป เนี่ยจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจมามีความเห็นอย่างนี้ว่า มันเป็นความโง่เขลาที่จะพูดว่ามาสร้างสันติภาพ สันติภาพมันมีมาตามธรรมชาติอยู่ตลอดชาติไม่มีเหตุวุ่นวาย แต่ความโง่ของมนุษย์สร้างความวุ่นวายมากลบสันติภาพเสีย เรามาตั้งใจกันเพิกถอนไอ้ความผิดพลาด ความโง่เขลาของมนุษย์นั่นออกไปเสีย สันติภาพก็จะปรากฏออกมาอย่างแต่เก่าก่อน มีอยู่ตลอดกาล เนี่ยจะสร้างกันอย่างไรล่ะ จะวิกฤตการณ์ จะเพิกถอนวิกฤตการณ์ได้อย่างไร ก็คือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะให้ถูกต้อง วิกฤตการณ์เกิดไม่ได้ วิกฤตการณ์เกิดไม่ได้เพราะมีธรรมะ มีหน้าที่อันถูกต้อง สันติภาพดั้งเดิมนิรันดรก็โผล่ออกมาให้เห็น โผล่ออกมาให้เห็นเป็นสันติภาพ เนี่ยมันมีความคิดที่เดินสวนทางกันอยู่อย่างนี้กับธรรมชาติ ธรรมชาติมันมีอยู่อย่างนี้ มนุษย์มันโง่ มันเดินสวนทางกันกับธรรมชาติ มันพูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่ประสบสันติภาพได้เพราะมันผิดกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ฉะนั้นขอให้รู้จักธรรมะว่าเป็นธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่จะเกิดมาจากหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ถ้ามีหน้าที่ มีธรรมะอย่างนี้แล้ว วิกฤตการณ์ก็หายไปเลย หายไปเลย สันติภาพก็ไม่ต้องสร้าง มันมีของมันเอง มันมีของมันเองเป็นพื้นฐานอยู่ตลอดไป เราเพิกถอนวิกฤตการณ์ที่กำลังมีอยู่ให้หมดสิ้นไป และอย่าสร้างวิกฤตการณ์ใดๆขึ้นมาอีก สันติภาพก็จะเป็นนิรันดรเป็นการถาวร มนุษย์ก็จะได้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องสมกับที่ว่ามันเป็นมนุษย์ มนุษย์มันก็ต้องดีกว่าสัตว์น่ะ ก็มนุษย์แปลว่าใจสูง คนธรรมดาใจต่ำก็เป็นคนไปก่อน ถ้าเป็นมนุษย์มันก็มีความรู้พอที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ควรจะสร้างสรรค์ จะให้สัตว์เดรัจฉานช่วยสร้างสันติภาพมันก็เหลือเกินนะ มนุษย์ไม่สร้างสันติภาพแล้วจะให้สัตว์เดรัจฉานสร้างสันติภาพนั้น น่ะ มันก็ไม่ไหว มันจะให้สัตว์เดรัจฉานมาเลิกล้างวิกฤตการณ์มันก็ไม่ถูก เพราะว่าวิกฤตการณ์ในโลกนี้คนมันสร้างขึ้นมา ไม่ใช่สัตว์มันสร้างขึ้นมา สัตว์มันไม่มีส่วนสร้างวิกฤตการณ์ใดๆขึ้นมาในโลก ไอ้คนเนี่ยมันสร้างวิกฤตการณ์เลวร้ายขึ้นมาในโลก มันก็เป็นหน้าที่ของคน น่ะ ที่ว่าจะต้องเพิกถอนวิกฤตการณ์เหล่านั้นโดยมามีธรรมะ มีธรรมะกันเสียให้ถูกต้อง ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง จะถูกต้องได้ก็ต้องอาศัยความมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นเรื่องยืดยาวอีกเรื่องหนึ่ง เอาไว้พูดกันวันหลัง ถ้าเรามีโอกาสแล้วจะพูดเรื่องสติสัมปชัญญะกันให้เพียงพอ จะเป็นเครื่องมือกวาดล้างวิกฤตการณ์ออกไป สันติภาพก็จะโผล่ออกมา เนี่ยในวันนี้ ขอพูดเพียงเรื่องเดียวว่าธรรมะ ธรรมะคำเดียว เป็นคำที่ใช้ตอบปัญหาได้ทุกปัญหา เช่น ถามว่าทำไมยากจน มันขาดธรรมะ ทำไมจะเป็นสุข มันต้องมีธรรมะ ทำไมโลกมีวิกฤตการณ์ เพราะมันขาดธรรมะ อะไรอะไรก็ตามมันจะมีคำว่าธรรมะเป็นคำตอบทั้งนั้น แล้วแต่ว่ามันเพราะขาดธรรมะ เพราะไม่มีธรรมะ หรือว่าเพราะมันมีธรรมะ นี่ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ถึงกับจะเป็นคำตอบของคำถามทุกอย่างที่มนุษย์จะถามขึ้นมา เอาสิ ลองถามมาสิ อาตมาจะตอบได้ด้วยคำว่าธรรมะ เพียงคำเดียวเท่านั้น เพราะมันขาดธรรมะ หรือเพราะมันมีธรรมะเท่านั้น น่ะ มันมีสองอย่างเท่านั้น ขอร้องนะให้สนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เป็นความหมายที่สามในบรรดาความหมายทั้งสี่ของคำว่าธรรมะ แล้วมันก็เป็นเพียงธรรมชาติ เป็นเพียงธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ เหนือตามความหมายไป พุทธศาสนาแล้วไม่มีอะไรที่มิใช่ธรรมชาติ และเป็นเพียงธรรมชาติ ไม่มีเหนือธรรมชาติ แม้ว่าจะประหลาดกันอย่างตรงกันข้ามเป็น Phenomenon กับ Noumenon มันก็ยังเป็นธรรมะ ธรรมชาติอยู่นั่นแหละ ปฏิบัติให้ถูกต้องต่อคำว่าธรรมชาติ ให้ถูกต้องต่อความหมายของคำว่าธรรมชาติ ปัญหามันก็จะหมดไป วันนี้เราพูดกันเพียงคำว่าธรรมะ เพียงคำเดียว อย่างนั้นขอให้เห็นว่าเป็นหน้าที่ เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำให้มีขึ้นมา ให้ถูกต้องให้พอใจแล้วเป็นสุขอยู่ทุกๆอิริยาบถ แล้วท่านทั้งหลายก็จะหมดปัญหา ไม่มีปัญหาใดๆ เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ ได้รับความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ สิ่งนั้นก็คือความไม่มีความทุกข์ ความไม่ปัญหานั่นเอง เราควรจะได้รับชีวิตที่เยือกเย็น เย็นเป็นชีวิตที่เย็น ไม่มีความร้อนเพราะความโลภ เพราะความโกรธ เพราะความหลง เพราะความโง่ใดๆ ไม่มีความร้อนแต่เป็นชีวิตที่เย็น ครอบครัวก็เย็น บ้านเมืองก็เย็น โลกนี้มันก็เย็น ถ้ามนุษย์ทุกคนมันเย็น เดี๋ยวนี้มนุษย์ทุกคนมันไม่เย็น มันร้อนเพราะความโง่ของตน เพราะความโลภ เพราะความโกรธ เพราะความหลง ไอ้ทั้งโลกมันก็พลอยร้อน เอาธรรมะเข้ามามันก็ไม่ร้อน มันก็เย็นเป็นคนๆไป แต่ละคนละคนแล้วมันก็ประกอบกันเป็นโลกที่เย็น ขอให้ช่วยกันทำให้มีความเย็นขึ้นในชีวิตทุกชีวิต มนุษย์ก็เย็น เมื่อมวลมนุษย์เย็นแล้วสัตว์เดรัจฉานก็พลอยเย็นเพราะไม่มีใครเบียดเบียนมัน ต้นไม้ต้นไร่ก็พลอยเย็น ไม่มีใครทำลายมัน เดี๋ยวนี้มนุษย์ร้อน น่ะมันทำลายสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำลายต้นไม้บ้าง ทำลายทรัพยากรของธรรมชาติทุกอย่างทุกประการ แล้วได้ผลไม่คุ้มค่านอกจากความโง่ ความหลงใหลในความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เอาละเป็นอันว่าขอให้มีความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติธรรมะให้ถูกต้องแล้วก็พอใจ พอใจแล้วก็เป็นสุข เป็นสุขอยู่ทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ มีธรรมะได้ทุกอิริยาบถ มีความสุขได้ทุกอิริยาบถ นี้คือความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องตามความมุ่งหมายของพระเจ้าที่เขาสร้างมา หรือธรรมชาติมุ่งหมายไว้ ขอให้ทุกท่านมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ปฏิบัติตนให้มีธรรมะ มีหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วมีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุขทุกทิพาราตรีกาลเทอญ