แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทั้งที่เป็นครูบาอาจารย์และนักการภารโรง อาตมาได้รับอนุมัติจากท่านเจ้าคุณอาจารย์ให้มาพูด ไม่ได้มาพูดแทนท่านอาจารย์นะไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาพูดกับท่านทั้งหลาย ในฐานะที่เรามาร่วมมือพูดคุยกันในลักษณะที่อาตมาพูดคนเดียว หรือว่าเราจะคุยกันทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้ขอพูดคนเดียวไปก่อน ก่อนอื่นก็รู้สึกยินดีเพราะว่าถ้าท่านไม่มาที่นี่ สวนโมกข์ก็คงจะเหงา ไม่มีคนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครเคยมาแล้ว ก็จะเห็นว่าการต้อนรับในลักษณะเช่นนี้อะ เป็นการให้เกียรติอย่างยิ่งในฐานะพุทธบริษัท คือเราจะใช้อาสนะที่เป็นพื้นดิน อย่างที่ท่านทั้งหลายกำลังนั่งอยู่กับดินนั่นแหละ ยิ่งนั่งใกล้ดินเท่าไรก็ยิ่งได้บุญมากเท่านั้น เพราะอะไรเพราะว่าถ้าเราศึกษาในเรื่องของพุทธศาสนา คือเรื่องของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็จะทราบว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้น ราก็จะทราบว่า นที่ ๑๕ ธันวาคม พท่านเป็นลูกกษัตริย์ แต่ว่าตอนประสูติ ประสูติที่พื้นดิน ใต้ต้นสาละ แม้นตอนท่านจะตรัสรู้ท่านก็ใช้พื้นดินนั่นอีกแหละ เป็นสถานที่ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ต้นโพธิ์ ตลอดชีวิตของท่านที่เผยแพร่พระศาสนาไปนั้น เราทราบได้ว่าท่านอาศัยพื้นดินทั้งนั้นเป็นส่วนมาก วัดในสมัยพุทธกาลถ้าท่านวาดภาพพจน์ไม่ออก ท่านก็ดูที่นี่ก็ได้ เพราะว่าเจตนาที่ท่านอาจารย์สร้างสวนโมกข์ขึ้นมานี้ เพื่อให้เรามีวัดอย่างครั้งพุทธกาลไว้ดูกันบ้าง เรียกว่าอนุรักษ์ของเก่าแก่สองพันกว่าปีซึ่งมันไม่มีแล้ว หายาก เดี๋ยวนี้เราจะเห็นวัดอยู่ในเมืองจนเคยชิน จนกระทั่งบางคนนี่ มาที่นี่แล้วบอกว่าทีนี่ไม่เห็นมีโบสถ์ นี่ เขาเข้าใจว่าที่นี่ไม่มีโบสถ์ ทั้งๆ ที่นี่มีโบสถ์ถูกต้องตามกฎหมายของสงฆ์ กฎหมายบ้านเมืองน่ะ ถูกต้องหมดอะ แต่ว่าเราทำลักษณะอย่างพุทธกาล
ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายได้ขึ้นไปชมโบสถ์บนยอดเขาพุทธทองหรือยัง ถ้ายังก็หาโอกาสขึ้นไปดู เพราะว่าในการที่เราจะทำอะไรให้อยู่ในรูปแบบของครั้งพุทธกาลนั้นน่ะ มันช่วยได้มากทีเดียว อย่างน้อยท่านเข้ามาในวัดที่มีลักษณะอย่างครั้งพุทธกาลนี่ ท่านจะรู้สึกสบายใจ เพราะมองอะไรมันก็สบายตาไปหมด มีต้นไม้ มีอะไร หินอะไรก็ถูกจัดไว้ในลักษณะที่ทำความสะดวกให้แก่ผู้ที่มาเยือน คราวนี้วัดอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในเมืองนั่นน่ะ ในครั้งพุทธกาลไม่มี เพราะว่าครั้งพุทธกาลนั้น วัดอยู่นอกเมืองห่างไกลออกไปจากผู้คนที่อยู่ และก็วัดอย่างที่ท่านเห็นอย่างนี้ ไม่ใช่วัดป่าแต่เรียกเป็นวัดธรรมดา ซึ่งในครั้งพุทธกาล วัดอย่างนี้มีมากเช่น เชตวัน หรือว่า เวฬุวัน ก็แล้วแต่ ก็เป็นวัดอย่างนี้ ถ้าเป็นวัดป่าจริงๆ แล้ว ท่านต้องไปดูข้างหลังวัด คือมันจะรก มีเฉพาะกุฏิพระ และบริเวณรอบกุฏินั้นก็เป็นป่ารกๆ นั่นน่ะป่ากันจริงๆ มันต้องรกจริงๆ แต่ด้านหน้านี้ก็ทำให้มันสะดวกสบายในการที่จะนั่ง ฉะนั้นการที่ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์นั่งลงไปกับพื้นดินนี้ ก็นับว่าท่านให้เกียรติแก่ตัวท่านเองอะ เพราะว่าเราทั้งหลายนี่ เคารพพระพุทธเจ้าเป็นยอดสุด
ทีนี้ถ้าเรามาดูชีวิตของพระองค์แล้ว หรือว่าเราต้องการที่อยากจะใกล้ชิดกับพระองค์ในความรู้สึกแล้ว ก็ต้องทำอะไรที่เหมือนๆ กัน
การที่เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตการเป็นอยู่ของพระพุทธเจ้าบ้างเล็กน้อยนี้ เพื่อเป็นการทบทวนความจำให้เราระลึกถึงว่าชีวิตที่พยายามจะหนีออกไปจากสภาพความเป็นจริง ซึ่งบุคคลที่เราเคารพที่สุดท่านก็ใช้ชีวิตเป็นอยู่กับพื้นดิน คราวนี้เราอาศัยวัตถุความเจริญเข้าครอบงำมากจนลืมสภาพที่อำนวยความสะดวกตามธรรมชาติ เราสังเกตดูก็ได้ว่าที่ไหนก็แล้วแต่ ที่คนเป็นจำนวนมากไม่อยู่กับดิน ที่นั่นมีปัญหามากที่สุด ปัญหามากที่สุด ไม่ว่าจะอาชญากรรม ปัญหาอะไรก็แล้วแต่ มันจะมากๆ ถ้าอยู่กันในลักษณะที่อย่างธรรมชาติอย่างนี้ ปัญหามันน้อย หรือว่าค่าซ่อมแซมแทบไม่ต้องใช้เลย ท่านก็เห็นอยู่ นี่ เรามีที่นั่ง ที่อะไรกันอย่างนี้ ฝนตกมาก็ไม่ต้องกลัว แดดออกก็ไม่ต้องกลัวมันจะชำรุด ถึงเวลาจะใช้ เราก็กวาดทีหนึ่งก็ใหม่ ก็ใช้ได้ ไม่ เรียกว่าไม่ต้องเสียค่าดูแล ค่าอะไรมากมาย หรือแม้นว่าถ้าโรงเรียนโดยทั่วๆ ไป ถ้าเรียนกันแบบครั้งพุทธกาล เรียนกันอย่างนี้บ้างก็สบาย ค่างบประมาณอะไรก็ไม่ต้องมี แต่ว่าเขาเรียนกันอีกคนละอย่าง เดี๋ยวนี้เราต้องการวิชาความรู้มาก จนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างที่ควบคุมกันไม่ค่อยได้ รู้มาก เด็กเดี๋ยวนี้ก็รู้มาก จนเถียงครูอะ คุณครูก็มีปัญหาเพราะเด็กมันรู้มาก รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ แล้วสิ่งที่ควรรู้ที่ครูสอนให้ เขาก็ไม่อยากจะรู้ เป็นอันว่าในตอนแรกนี้ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างแล้วว่า การต้อนรับในลักษณะเช่นนี้เป็นการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท และเราก็มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่สูงสุด ท่านเป็นอยู่อย่างไร เราพยายามเป็นอยู่อย่างท่าน อย่างนั้น ทำให้เราขจัดปัญหาโดยทั่วๆ ไปได้ขั้นหนึ่ง
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ว่าพระศาสนาควรจะเกี่ยวข้องกับชีวิตของฆราวาสหรือเปล่า อาศัยที่ได้ศึกษามาบ้างพอสมควรก็มองเห็นว่าเรื่องของพระศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะให้ใครบวช คือเจตนาที่จะให้ชาวบ้านหนีบ้านหนีเรือนแล้วก็มาบวชเป็นพระนี่ ไม่ใช่เจตนาของพระศาสนา พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วเผยแพร่ธรรมะไป เขามาฟังธรรมแล้ว ท่านไม่ได้บอกว่าให้มาบวช ไม่ได้บอกเลย แต่ว่าคนที่ฟังธรรมะนั้นส่วนมากมักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างเช่นว่าอาชีพหน้าที่การงานอะไรก็แล้วแต่ เขาทำจนสำเร็จดีแล้ว แต่ยังไม่พบความสุขที่เขาต้องการ เขาก็เลยละออกมาเสีย มาอยู่ป่า อยู่โคนไม้อะไรก็แล้วแต่ เพื่อหาชีวิตที่ยิ่งๆ ขึ้นไปตามความคิดของเขา จนกระทั่งมาถึงยุคพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ท่านก็ออกเผยแพร่ท่านก็เลือกดูว่าบุคคลประเภทไหนควรจะฟังธรรมะ เพราะว่าธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั้น ตามคัมภีร์ก็บอกไว้ว่าท่านตรัสรู้แล้ว ไม่อยากจะสอนเพราะว่าเป็นของลึกซึ้งมาก แต่ท่านก็คิดว่าถ้าเผยแพร่ออกไป ต้องมีคนบางพวกสามารถเข้าใจได้ และพระองค์ก็ตั้งใจเผยแพร่ออกไป ก็มีคนรับได้ พอดีคนรับพระธรรมที่พระองค์แสดงแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาอย่างจับใจ เพราะเห็นประจักษ์ทันทีว่าการดำเนินชีวิตอย่างที่พระองค์แสดงนั้นน่ะ ทำให้พ้นทุกข์ เป็นสุขได้ เขาก็เลยขอบวช ขอบวช แล้วพระองค์ก็บวชให้ นี่ จากสิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นได้ว่าพระศาสนานั้นไม่ได้ไปดึงให้คนมาบวช แต่ว่าคนเหล่านั้น เมื่อได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าแล้ว เขายินดีที่จะมาบวช
นั่นเป็นเรื่องสมัยก่อน สมัยโน้น แต่มาปัจจุบันนี้ ศาสนาเข้ามาอยู่เมืองไทยแล้วอย่างนี้ เราก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ต่างออกไปว่าให้คนมาบวชโดยประเพณี คนมีวัยยี่สิบก็มาบวชระยะสามเดือนเป็นประเพณี อย่างนี้เขาเรียกว่าเปลี่ยนประเพณีออกไป ก็นับว่าได้ประโยชน์มากทีเดียว นี่เราก็เข้าใจได้ในอีกส่วนหนึ่งแล้วว่า เรื่องของพระศาสนานั้นไม่ใช่ต้องการให้คนมาบวช แต่เป็นเรื่องที่จะช่วยคนทั้งหลายที่มีปัญหาอยู่ ได้ใช้ธรรมะแก้ปัญหานั้นๆ แล้วคนเหล่านั้นเมื่อเขาได้รับธรรมะถึงขนาด ก็เลยตัดสินใจมาบวช แล้วส่วนมากเขาก็บวชกันไม่สึก นั่นเป็นเรื่อง เรื่องตามธรรมชาติแต่ก่อนโน้น นี้เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็จะ พอจะเห็นเค้าโครงได้ว่าเรื่องศาสนานั้นเกี่ยวกับชีวิตการเป็นอยู่ของฆราวาสมากกว่าของบรรพชิต คือของนักบวช เพราะว่าฆราวาสนั้นมีปัญหามาก หน้าที่การงานที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวันก็มีปัญหาจึงต้องอาศัยธรรมะ
คราวนี้เมื่อพูดถึงธรรมะ เมื่อตอนเช้านี้ท่านทั้งหลายก็ได้ฟังจากท่านเจ้าคุณอาจารย์พูดไว้นิดหน่อยแล้วว่าธรรมะคำนี้แปลยากที่สุด ท่านทั้งหลายก็ควรทราบไว้ด้วยว่า ท่านอาจารย์ ท่านเจ้าคุณอาจารย์นี่ พยายามเหลือเกินที่จะแปลธรรมะนี่ ให้ได้ความมากที่สุด กินความมากที่สุด ท่านก็เลยแปลออกมาสี่ความหมาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนทั่วๆ ไป พวกฝรั่งซึ่งว่าเขามีหัวคิดอันเลิศ เขายังบินมาจากเมืองนอกนี่ บินมาโดยตรงเลย เพื่อที่จะมาถามธรรมะกับท่านอาจารย์ คือเขาเริ่มจะเห็นแล้วว่าประเทศที่เขาว่าเจริญๆ นั้นน่ะ แต่ก็มีปัญหาไม่อาจจะแก้ได้ แม้นศาสนาที่เขาถืออยู่ในประเทศของเขาก็ไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ เขาเลยทราบชื่อเสียงของท่านอาจารย์ ก็บินเสียค่าเครื่องบินมาเพียงแต่เพื่อจะมาคุยเท่านั้นเอง มาสอบถามปัญหาต่างๆ แล้วเขาก็ได้รับความพอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องธรรมะว่าธรรมะนั้นน่ะ มันช่วยได้จริงๆ อย่างไร
ทีนี้เรามาดูความหมายทั้งสี่ของธรรมะกันบ้าง ธรรมะความหมายที่หนึ่ง ก็คือธรรมชาติ ธรรมชาตินี้มันเป็นภาษาบาลี ภาษาอังกฤษเขาก็แปลไม่ได้อะ ใช้ศัพท์ตัวเดียวแปลคำนี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นความหมายที่รวมมาก ของฝรั่งนั่นเขาว่าธรรมชาตินั้นไม่เกี่ยวกับคน เช่นน้ำตก ฝนตก แดดออก นี่เป็นธรรมชาติ แต่พอดีสิ่งที่คนสร้างขึ้นมา เช่นรถยนต์อะไรนี้ เขาไม่เรียกธรรมชาติ นี่เขาไปจำกัดความรู้หรือขอบเขตแคบไป แต่ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นธรรมชาติในความหมายของธรรมะนี้ คือปรากฏการณ์ที่เรามองเห็น คนนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติด้วย กิเลสก็เป็นธรรมชาติ ฉะนั้นกิเลสมันก็เกิดขึ้นกับคนซึ่งเป็นธรรมชาติได้ นิพพานก็เป็นธรรมชาติ ฉะนั้นบางคราวคนก็อยู่กับนิพพาน สบายอกสบายใจ บางคราวก็มาอยู่กับกิเลสก็เป็นทุกข์ ร้อนอกร้อนใจ นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ สรุปสั้นๆ ว่าธรรมชาติก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เรา ทั้งที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น
ทีนี้ธรรมะในความหมายที่สองก็คือ กฎของธรรมชาติ ธรรมชาติทุกอย่างตั้งแต่เล็กที่สุดเป็นปรมาณูจนถึงใหญ่ที่สุด เป็นอะไรก็แล้วแต่น่ะ ที่ใหญ่ที่สุด ทุกอย่างนี้มันก็อยู่ใต้กฎเกณฑ์ มันเป็นไปตามกฎของมัน แล้วกฎอันนี้แหละที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ฉะนั้นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับมนุษย์ อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ว่าฝรั่งเขาก็ทึ่งอะ แต่ก่อนนี่เขาไม่รู้จักพุทธศาสนาโดยความหมายที่ถูกต้อง หลังจากที่เขามา ได้มาพูดคุยกับท่านเจ้าคุณอาจารย์ รู้จักธรรมะหรือพุทธศาสนาที่ถูกต้อง คือรู้จักสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เขาก็ยอมรับ คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กฎของธรรมชาติ แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เรียกว่ากฎของธรรมชาติ ท่านเรียกว่าธรรม หรือ เราเรียกกันว่าพระธรรม แต่ถ้าระบุให้ชัดลงไปว่าพระธรรมนั้นคืออะไร พระธรรมนั้นก็คือ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปาโท คำนี้รู้สึกว่ายาก และก็ไม่ค่อยจะคุ้นหูนัก เพราะว่าผู้ที่นำมาเผยแพร่ก็มีแต่ท่านเจ้าคุณ อาจารย์นั่นแหละที่พยายามอุทิศสติปัญญาทั้งหมดที่จะค้นเอาสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดเอามาให้มนุษย์ได้รู้ มาใช้ให้ทันกับเวลา ทีนี้เรื่องคือ อิทัปปัจจยตา นี่ ชื่อมันก็ฟังยาก พูดก็พูดยาก ให้เราจำแต่ความหมายก็ได้ว่า อิทัปปัจจยตา แปลว่าความที่มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น เมื่อไม่มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น หรือว่าดับไป นี่เป็นประโยคสั้นๆ น่ะแหละ เหมือนกับว่าไม่สำคัญ แต่ท่านทั้งหลายก็ลองมองดูซิว่ามีอะไรบ้างที่ไม่มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย
อย่างเช่นว่า ดูกันง่ายๆ อย่างเช่นท่านทั้งหลายมาที่นี่ มันก็มีปัจจัยที่จะให้มา ปัจจัยนั้นก็เป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่แหละ ก็เป็นสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย เสร็จแล้วท่านทั้งหลายก็ต้องมาที่นี่ เสร็จแล้วท่านทั้งหลายก็มีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัยและท่านทั้งหลายก็มานั่งอยู่ตรงนี้ คือหมายความว่ามันไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นโดยลำพัง มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ฉะนั้นของทุกอย่างจึงไหลเรื่อยไม่มีหยุด ไม่มีหยุดนิ่ง มันไหลไปตลอดเวลา เมื่อมาทราบความจริงข้อนี้แล้วมันจะไม่ท้อถอยจะไม่หมดหวังในชีวิต อย่างเช่นท่านทั้งหลายขณะนี้มีอาชีพต่างกัน บางคนรู้สึกท้อถอย เป็นครูรู้สึกท้อถอยว่าเงินไม่พอใช้ หรือว่าท่านทำหน้าที่เป็นนักการภารโรงรู้สึกท้อถอยในชีวิตว่าเรานี้มีอาชีพที่ต่ำต้อย ไปคิดซะอย่างนี้ด้วยความคิดที่ผิดๆ มันก็เลยไม่สบายใจ แต่ถ้าเราทราบความจริงที่ว่า เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น ฉะนั้นอาชีพที่ท่านทำอยู่นั้น มันขึ้นอยู่กับว่าปัจจัย คือสติปัญญา หรือว่าท่านรักสมัครที่จะเป็น หรือจะถือในอาชีพอะไร แล้วท่านก็ทำไปตามนั้น ท่านอยากจะเปลี่ยนอาชีพก็ได้ เมื่อท่านเปลี่ยนปัจจัย คือความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ ท่านอาจจะเป็นช่างรถ ช่างเชื่อม ช่างซ่อมก็ได้ เมื่อท่านเปลี่ยนปัจจัยมันเสีย มันก็เปลี่ยนไปอย่างอื่น
นี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่ต้องท้อถอยไม่ต้องกลัวว่าอะไรมันจะเปลี่ยนไม่ได้ แต่ขอให้เราเปลี่ยนที่ปัจจัยเถิด เปลี่ยนให้ถูกกับปัจจัยของมัน ในเฉพาะกรณีเฉพาะเรื่อง แล้วมันก็จะเป็นไปตามที่เราปรารถนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องจิตใจนั้นแหละ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนตลอดสี่สิบห้าปี เพื่อที่จะให้มนุษย์ทั้งหลายได้กระทำที่เนื้อที่ตัวในลักษณะที่ว่า จะมีแต่เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดสุขโดยสถานเดียว อันนี้ก็ขยายความออกไปโดยกว้าง คือเจตนาจะพูดให้เห็นว่าธรรมะ ธรรมะ เป็นกฎของธรรมชาติ และกฎของธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านตรัสรู้แล้วท่านไม่นำมาสอนทั้งหมด เพราะสอนทั้งหมดไม่ไหว มันเกิน เกินที่มนุษย์ทั้งหลายจะรับได้ ต้องอาศัยสติปัญญาขนาดพระพุทธเจ้านั่นแหละถึงจะตรัสรู้ทั้งหมด ท่านเปรียบสิ่งที่ท่านตรัสรู้ไว้ว่าเปรียบเสมือนใบไม้ในป่า ท่านเหลียวไปดูสิ ใบไม้ในป่านี่ มากขนาดไหน นั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แต่สิ่งที่พระองค์นำมาสอนแก่มนุษย์นั้นเท่ากับกำไม้ เท่ากับใบไม้นี่เพียงกำมือเดียว นี่แหละจึงจะเห็นน้ำพระทัยของพระองค์ว่า พระองค์ทราบดีว่าชีวิตมนุษย์นั้นน่ะมันน้อยนัก ถ้าจะให้รู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นก็ได้ แต่ว่าเขาจะมีความร้อนอกร้อนใจ ในขณะที่มีความรู้ในส่วนที่ไม่จำเป็นด้วย ฉะนั้นพระองค์จึงนำสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้จำนวนมากเท่ากับใบไม้ในป่านั้น เลือกเฟ้นเฉพาะสิ่งที่จำเป็นที่สุด นั่นคือธรรมะเท่ากับใบไม้กำมือเดียว แล้วนำมาบอก มาเผยแพร่กับมนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายก็ได้รับประโยชน์เป็นจำนวนมาก เพราะว่าเขามีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา นี่เป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ
นี่ถ้าจะยกตัวอย่างให้ท่านเห็นง่ายขึ้นอีกหน่อยก็ได้ว่า อย่างเช่นว่าร่างกายของเรานี่ ทั้งร่างกายนี่ก็มีสองส่วน คือที่เป็นเนื้อเป็นหนังนี่ ก็ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นจิตใจ เป็นนามธรรมนี้อีกส่วนหนึ่ง นี้เรียกว่าธรรมชาติ เสร็จแล้วการหายใจก็มี ระบบการขับถ่ายก็มี ระบบย่อยอาหารก็มี นี่ระบบเหล่านี้ มันกำลังเป็นไปตามกฎ คือมันมีกฎสั่งให้ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ให้หายใจนะ ให้มีการพองโตของหัวใจอย่างนี้นะ สูบฉีดโลหิตอย่างนี้นะ ให้ย่อยอย่างนี้นะ ให้น้ำย่อยออกมานะ เป็นกฎของมันอย่างนั้นแหละ แล้วก็ร่างกายนี้ก็จะอยู่ได้ นี่กฎมันเป็นอย่างนั้น และเมื่อมันเปลี่ยนไป คือกฎนี่ มันทำงานลักษณะอย่างนี้ ชีวิตก็อยู่ได้ ถ้ามันไม่ทำงานในลักษณะอย่างนี้ มันก็อยู่ไม่ได้ หรือท่านที่มีนาฬิกาอยู่ที่ข้อมือ ท่านลองถอดฝาหลังของนาฬิกาออกมาดู ท่านจะเห็นเครื่องมันเดินไปเดินมาอยู่ ตัวเรือนนาฬิกานั่นแหละ เป็นธรรมชาติ แต่ตัวที่ทำให้เคลื่อนไหวซึ่งเรามองไม่เห็นนั่นแหละ คือกฎของธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาตินั้นมองไม่เห็น แต่ว่าสิ่งที่เรามองเห็นเคลื่อนไหวอยู่นั้น เป็นปรากฏการณ์ไม่ใช่กฎ กฎนั้นเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่มันจะให้ผลออกมาในทางที่เรามองเห็นได้
ทีนี้มาดูธรรมะอีกความหมายหนึ่ง ก็คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินี้ ถ้าเกี่ยวกับมนุษย์ก็คือการที่เราจะต้องบำรุงรักษาร่างกาย หรือจิตใจให้มันอยู่ในสภาพที่จะไม่ตาย หรือไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าเป็นหน้าที่โดยธรรมชาติอย่างต้นไม้อย่างนี้ มันไม่มีปัญหามาก เพราะว่าเกี่ยวกับวิญญาณคือการรับรู้ของมันนั้น มีขอบเขตจำกัด มันก็ทำหน้าที่ไปตามเรื่องของมัน เช่น ดูดแร่ธาตุในอาหาร แล้วก็สังเคราะห์แสงจากแสงแดด อะไรก็แล้วแต่นี่ ก็ทำหน้าที่ของมันไป ทีนี้เรามาดูส่วนที่เกี่ยวกับมนุษย์ดีกว่า มนุษย์ก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำตามหน้าที่แล้วแต่ความถนัดความสามารถนั่นแหละ ก็ทำหน้าที่ไป แต่ถ้าเป็นหน้าที่เกี่ยวกับร่างกายของเรานั้น มันจะเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนอยู่ในซีกไหนของโลกนี้ เป็นฝรั่ง เป็นจีน เป็นแขก เป็นอะไรก็แล้วแต่ เขาจะต้องทำกับร่างกายของเขาเหมือนกัน คือต้องมีการกินอาหาร มีการกินน้ำ กินอะไรนั่นแหละที่ถูกต้อง นี่เรียกว่าปฏิบัติหน้าที่ ท่านทั้งหลายขอให้มองเห็นความเป็นจริงข้อนี้เถิดว่า เรื่องหน้าที่อย่างนี้ เราทำจนชินจนกระทั่งเราไม่เห็นว่ามันเป็นภาระ และรู้สึกว่าไม่มีใครที่จะเบื่อหน่าย หรือว่าไม่กล้า หรือว่ากล้า กล้า คือกล้าที่จะขัดขืนได้ ท่านมาดูหน้าที่ของร่างกายเรา เช่นเรามีหน้าที่ต้องกิน ทุกคนไม่มีใครจะขัดขืนได้ ใครที่จะประท้วงไม่กิน มันก็ต้องตาย นี่แหละคือความเฉียบขาดของพระธรรมอย่างนี้เอง ถ้าเราไม่กินก็ต้องตาย หรือว่าถ้าเรากินแล้ว เราประท้วงไม่ถ่าย ไม่ถ่าย ถ่ายหนักถ่ายเบาไม่ถ่ายทั้งนั้น ประท้วงต่อสู้กับธรรมชาติ ต่อสู้กับพระธรรม เราก็ต้องตายอีก มันอยู่ไม่ได้
นี่แหละ ขอให้เห็นเถอะว่าหน้าที่ของธรรมชาตินั้นน่ะ มันเป็นสิ่งที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหลีกเลี่ยงมันจะต้องตาย ตายอย่างที่เรียกว่าไม่น่าดูทีเดียว อย่างนี้เรามองเห็นง่าย เพราะว่ามันไปมีผลกระทบ กระทบโดยตรงต่อร่างกายของเรา เรามองเห็นง่าย อย่างเช่นกำลังหายใจอยู่อย่างนี้ เป็นหน้าที่ของมนุษย์ต้องหายใจ ท่านทั้งหลายลองต่อสู้สิ บอกว่าไม่หายใจ เราก็ต้องตาย แต่อย่างนี้มันมีความรับผิดชอบโดยตรงเพราะว่ามันในฐานะที่เป็นร่างกายของเรา เราก็ยินดีที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ไม่บิดพลิ้ว เพราะเรารักความเป็น ความอยู่ในสภาพเช่นนี้ ไม่อยากให้มันตาย คราวนี้หน้าที่ที่มันขยายออกไปอีกส่วนหนึ่ง ที่เรามองไม่เห็น แต่มันทำให้คนตายช้าๆ ค่อยๆ ตาย หรือว่าไม่น่าอยู่เลย ก็คือหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่ในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ว่าคนนั้นจะทำหน้าที่อะไร เรื่องหน้าที่ นี่ แต่ก่อนนี้มันเป็นหน้าที่ เขาเรียกว่าหน้าที่ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ไม่มีใครกำหนดหรอกว่าให้คนนั้นเป็นครูนะ ให้คนนั้นเป็นนายก หรือว่าให้คนนั้นเป็นนายช่าง เป็นพ่อค้านี่ ไม่มีใครกำหนดขึ้น แต่ว่าเมื่อการรวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นคณะขึ้นมาแล้วนี่ มันก็แบ่งความสามารถออกไป ถ้าใครที่ถนัดในทางทะเล ว่ายน้ำเป็น ว่ายน้ำเก่ง เขาก็ไปหาอาชีพในการทำประมง ไปจับปลา ไปทำอะไรทางทะเล ถ้าใครมีความสามารถที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูก เขาก็ไปทำในการเพาะปลูกไป ใครที่เขามีความคิดอ่านที่ว่าจะย้ายของจากที่นี่ไปขายที่โน่นดี ย้ายของจากที่โน่นมาขายที่นี่ เขาก็เริ่มทำหน้าที่ของเขาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนต่างถิ่น คนนั้นก็กลายเป็นพ่อค้าไป คนใดที่ไม่ชอบความคิดอ่านนัก ชอบแต่ใช้แรงกาย เขาก็ทำหน้าที่แบกหามช่วยเหลือคนที่มีแต่ปัญญา แต่ว่าขาดกำลังแรงที่จะแบกหาม เขาก็ช่วย ของหนักเขาก็แบกให้ คนนั้นก็ไม่ต้องแบก อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นหน้าที่ทั้งหลายน่ะ มันเกิดโดยธรรมชาติ เพื่อที่จะให้มนุษย์ทั้งหลายรวมกันอยู่เป็นหมู่เป็นคณะได้อย่างดี
ท่านทั้งหลายลองมองดูที่ครอบครัวของท่านเองก็ได้ ทุกคนก็ต้องมีหน้าที่ เรามี อ่า, แม่บ้านที่คอยทำความสะอาดบ้าน คอยหุงหาอาหารให้ ฝ่ายสามีก็ไปทำงานนอกบ้าน ไปทำงาน ทีนี้กลับมาที่บ้านก็มีข้าวปลาอาหารเตรียมอยู่บ้านเรือนก็สะอาด น้ำท่าก็มีอยู่ให้อาบ มันก็เหนื่อยน้อยลง ถ้าท่านจะอยู่เพียงคนเดียว ท่านไปทำงานคนเดียวกลับมาข้าวปลาอาหารก็ไม่มี ที่อยู่ก็ยังรกอยู่ ท่านก็ต้องเหนื่อยเป็นสองเท่า ฉะนั้นการที่มนุษย์มีชีวิตเป็นคู่ คือแต่งงานขึ้นมานั้น ก็เพื่อให้ความเป็นอยู่แบบฆราวาสนั้นสะดวกขึ้น เพราะว่าฆราวาสนั้นมีภาระมาก ไม่เหมือนบรรพชิตซึ่งอยู่สบายเพราะว่าเป็นอยู่โดยผู้อื่นเขาเลี้ยง ข้าวปลาอาหารไม่ต้องหา ฉะนั้นการมีเหย้ามีเรือนมันก็ต้องเป็นหน้าที่อีกแหละ ท่านมองให้เห็นเถิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่จริงๆ เลย ทีนี้ถ้าคนไม่รู้เรื่องนี้ เขาก็หาเมียที่สวย หุงข้าวก็ไม่เป็น กวาดก็ไม่เป็น เช็ดถูก็ไม่เป็น มีอย่างเดียวคือว่าแต่งตัว แล้วบ้านนั้นก็จะเดือดร้อน เพราะว่าเขาไม่ได้เอาคนมาช่วย เขาเอาคนมาเพิ่มภาระ มันก็หนักขึ้นไปอีก นั่นแหละเพราะว่าเขาไม่รู้จักว่าธรรมชาตินั้นน่ะ ต้องการให้เราเป็นอยู่อย่างไร ให้เรามีหน้าที่ที่ทำ ที่ถูกต้อง แล้วก็จะอยู่กันได้อย่างดี
ทีนี้เมื่อพูดถึงหน้าที่แล้ว ก็จะเลยมาถึงคำว่าวรรณะด้วย ท่านทั้งหลายอาจจะเคยได้ยินคำว่าวรรณะ วรรณะวรรณะนี่ มันแปลว่าชั้น แบ่งชั้นกันอยู่ คือเมื่อคนทำหน้าที่ในการปกป้อง อ่า, บริเวณบ้านเมืองนั้น ฝึกฝนในการที่จะใช้อาวุธให้มีความสามารถปกครองบ้านเมืองนั้นให้พ้นภัยจากศัตรู หรือหมู่ข้าศึกจากที่อื่น นี่ เขาก็ทำหน้าที่อย่างนี้ เขาก็เรียกว่าเป็นวรรณะกษัตริย์ คือมีหน้าที่ที่จะปกป้องบ้านเมือง คราวนี้อีกพวกหนึ่งก็ทำหน้าที่ เอ่อ, ศึกษาเล่าเรียน ค้นคว้าตำรับตำราให้มีความสามารถจดจำถ่ายทอดวิชาความรู้กันไว้อีกพวกหนึ่ง พวกนี้ก็เป็นพวกพราหมณ์ มีหน้าที่สั่งสอนให้รอบรู้ในวิชาเกี่ยวกับการทำพิธี ประกอบพิธี หรือบางครั้งก็สอนพวกกษัตริย์ให้มีความรู้ อ่านออกเขียนได้ อะไรพวกนี้ไปด้วย พวกนี้ก็เป็นพวก พวกพราหมณ์ พวกทำหน้าที่ในส่วนนี้ คราวนี้อีกพวกหนึ่งซึ่งไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนอะไร ไม่เกี่ยวกับการทำพิธีหรือว่าไม่ต้องไปทำหน้าที่ป้องกันบ้านเมือง เขาก็มีหน้าที่ทำมาค้าขายอยู่ตามปกติ มันก็เกิดอีกวรรณะหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า วรรณะแพศย วรรณะแพศย ไม่ไม่ใช่แพทย์แบบหมอนี่นะ เป็นวรรณะแพศย ใช้ ศ. เป็นหน้าที่ที่จะทำมาหากินอยู่ใน ในบ้านในเมืองนั้น คราวนี้ก็มีอีกพวกหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ช่วยแบกหามเกี่ยวกับการแรงงานต่างๆ ใช้แรงงานช่วยเหลืองานหนักๆ ทั้งหลายนี่ ช่วย หรือว่างานที่คนอื่นเขาไม่อยากจะทำกัน เห็นว่าเป็นงานของต่ำอะไรก็แล้วแต่ นี่ คนนี้ก็สมัครอาสาที่จะทำงานส่วนนี้ให้มันครบบริบูรณ์ ก็เป็นวรรณะศูทรเกิดขึ้นมา
ฉะนั้นวรรณะทั้งสี่ที่เกิดขึ้นมานี่ มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ต่อมานี่ มันถึงจะมาแบ่งกันโดยคำพูดที่ยึดถือกันต่างออกมา เพื่อให้เข้าใจอันนี้ง่าย ท่านทั้งหลายมีโอกาสมาอยู่ในสวนป่าอย่างนี้แล้ว ท่านลองมองดูจะเห็น ดูรอบๆ ให้ทั่วๆ นี่ จะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายนี่ มันอยู่กันอย่างทำหน้าที่รับผิดชอบของมันทีเดียว อย่างเช่นว่าใบไม้นี่ มันตกลงมาเต็มไปหมด มันก็มีปลวกชนิดหนึ่งน่ะ ทำหน้าที่เป็นพนักงานทำความสะอาดจะกัดกินใบไม้ที่เน่าเปื่อยอย่างนี้ให้หมดไป นี่มันทำหน้าที่เป็นพนักงานอย่างนี้ หรือว่ามีสัตว์ตาย มดมันก็ทำหน้าที่มากัดกินทำให้ซากอันนั้นน่ะ มันสลายไปเสีย อย่าให้มันเหม็นจนเน่าคลุ้งไปหมด หรืออาจจะมีพวกอีแร้งสำหรับจะกินไอ้ส่วนพวกนี้ให้หมดไป นี่มดมันก็ทำหน้าที่ทำให้พื้นดินตรงนั้นมันสะอาดขึ้น นี่มันก็ช่วยกันอย่างนี้ ฉะนั้นเรามองไปให้รอบๆ เถิดว่า แม้นโดยทั่วๆ ไปในหมู่ของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย มันก็มีหน้าที่ แล้วมันก็ช่วยกันควบคุมอยู่ มันต้องมีเสือไว้ควบคุมไม่ให้มีกวางมากเกินไป เดี๋ยวมันจะกินหญ้าเสียหมด อย่างนี้เป็นต้น มันก็ต้องมีอะ มันต้องมีเสือคอยควบคุมปริมาณพลเมืองของสัตว์ทั้งหลายนี่ ไม่ให้มีมากเกินไป ควบคุมกันอย่างนั้น หญ้าจะขึ้นมากนักก็ไม่ได้ ก็มีสัตว์จำพวกกินหญ้า มีควาย มีกวาง อะไรก็แล้วแต่ หรือว่าต้นไม้ใหญ่ก็อาศัยต้นไม้เล็กทำหน้าที่ปกคลุมทำให้เกิดความชุ่มชื้น ต้นไม้ใหญ่นั้นก็อยู่ได้ ต้นไม้เล็กก็อาศัยต้นไม้ใหญ่บังแดดไม่ให้แรงกล้าจนเกินไปทำให้ต้นไม้ ทำให้หญ้าเล็กๆ เหล่านั้นต้องตายไป พวกมอส พวกอะไรเหล่านี้ เป็นต้น
นี่ขอให้เรามองเห็นในลักษณะทั่วๆ ไปอย่างนี้ก่อนว่า มันมีหน้าที่โดยธรรมชาติอย่างนี้เพื่อที่จะอยู่รวมกันได้ ฉะนั้นการทำหน้าที่นั้น ในทางพระศาสนา หรือพูดให้ถูกต้องก็ว่าตามความเป็นจริงนั้น หน้าที่หรืออาชีพ ไม่มีอาชีพอะไรชื่อว่าอาชีพที่ต่ำ ไม่มีอาชีพอะไรชื่อว่าอาชีพที่ไร้เกียรติ ไม่มีอาชีพอะไรที่เป็นอาชีพที่ไม่ควรจะทำ แบบว่าอาชีพโดยสุจริตแล้วล่ะก็ ถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติทั้งนั้น ไม่มีต่ำไม่มีสูง ไม่ใช่ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีจะมีเกียรติกว่าคนกวาดถนนเพราะว่าความสามารถไม่เหมือนกัน ถ้าคนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นประธานาธิบดีมากวาดถนน เขาก็สู้คนกวาดถนนไม่ได้ จับไม้กวาดก็ไม่เป็น กวาดก็ไม่เกลี้ยง ยืนก็ไม่ทน อย่างนี้เป็นต้น จะเอาคน คนกวาดถนนไปทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีก็ทำไม่ได้ ไม่มีความสามารถมันก็ปวดหัวอีกแหละ ฉะนั้นอาชีพนั้นมันเป็นของธรรมดา มันเป็นหน้าที่น่ะแหละ คือหน้าที่โดยธรรมชาติน่ะแหละ เสร็จแล้วหน้าที่เหล่านี้มันทำขึ้นมาแล้วเขาก็เรียกเป็นอาชีพเพื่อที่จะให้เงินประจำเอาไว้ตามตำแหน่งต่างๆ เพื่อที่ว่าคนทำอาชีพอย่างนี้มีเงินเท่านี้ก็พอแล้ว เพราะว่าเขาอยู่ในวงจำกัด ไม่ต้องเดินทางไปไกล ๆ ไม่ต้องติดต่อ ไม่ต้องเลี้ยงเพื่อนฝูงมาก เขาก็ใช้เงินจำกัดเท่านี้พอ
ทีนี้ถ้าเขาทำอาชีพที่สูงขึ้นไป เป็นคนบริหาร ต้องติดต่อคนมากมายก็ต้องใช้เงินมาก เขาก็เลยให้เงินมากขึ้นไปตามหน้าที่ตำแหน่งที่บริหาร ฉะนั้นเรื่องเงินเดือนจึงไม่ใช่เครื่องวัดว่าคนได้เงินเดือนน้อยเป็นคนต่ำต้อย นั่นเป็นความเข้าใจผิดซึ่งสร้างขึ้นมาให้เกิดชนชั้น ชนชั้นที่เกิดมาจากความโง่หรือกิเลสนั่นเองแหละทำให้คนเกิดมาเป็นชนชั้น แต่ชนชั้นที่แท้จริงนั้นคนไม่สนใจ ขอให้ท่านทั้งหลายลองพิจารณาเรื่องของชนชั้นกันให้จริงๆ สักทีหนึ่งเถิด ชนชั้นที่จะนำมาพูดก็คือเรื่องของวรรณะ ชนชั้นนี้เราจะไม่มองเห็นได้ด้วยตาไม่อาจจะมองเห็นจากอาชีพของเขา ไม่อาจจะมองเห็นจากการกระทำโดยส่วนเดียวได้ แต่ชนชั้นนี้เป็นชนชั้นที่เกิดขึ้นในจิตใจของแต่ละบุคคล มันมีอยู่ ๔ ชนชั้น ก็คือชนชั้นกษัตริย์ ชนชั้นแพศย ชนชั้นพราหมณ์ ชนชั้นศูทร นั่นแหละ แต่มันมีความหมายอีกลักษณะหนึ่ง เรียกว่าความหมายในทางภาษาธรรมซึ่งเป็นความหมายที่ลึกซึ้งไปกว่าความหมายปกติ ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูชีวิตประจำวันของเราเถิดว่า ในวันหนึ่ง วันหนึ่งนั้น ชีวิตของเรา จิตใจของเรานั้น มันอยู่ในชนชั้นไหน ถ้าอยู่ในชนชั้นกษัตริย์มันก็มีจิตใจที่เข้มแข็งต่อสู้กับกิเลสไม่ยอมให้กิเลสคือ โลภะ โทสะ โมหะ เข้าครอบงำได้ มันต่อสู้มันรบกับกิเลสจนชนะ อย่างนี้เรียกว่าเป็นวรรณะกษัตริย์ขณะที่ต่อสู้กับกิเลสอยู่ ทีนี้ถ้าขณะใดกำลังศึกษาวิธีที่จะดับความทุกข์หรือว่าสั่งสอน หรือว่าพูดคุยถึงวิธีที่จะดับความทุกข์กันอยู่ อย่างนี้ก็เป็นชนชั้นพราหมณ์ ถ้าประกอบหน้าที่การงานตามปกติ ทำไปตามหน้าที่ทำตามอาชีพไปตามปกติ ไม่เกิดกิเลสอะไรรบกวนจิตใจ ขณะนั้นก็เป็นชนชั้นแพศย คือมีหน้าที่ธรรมดาทำไปตามปกติ แต่ขณะใดถูกกิเลสย่ำยี ถูกโลภะ โทสะ โมหะ เข้าย่ำยีครอบงำจิตใจแล้วก็ทำไปตามอำนาจของกิเลสนั้นๆ ที่บังคับผลักไสให้ทำไป เช่น มีความอยากได้อะไร มันก็ร้อนใจอยากจะเอาให้ได้ ไปขโมยหรือว่าไปทำร้าย ไปทำอะไรต่างๆ ในสิ่งที่ผิดออกไปอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าถูกกิเลสย่ำยี ถูกกิเลสผลักไส ถูกกิเลสบังคับให้ทำไปตามเรื่องนั้นๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นชนชั้นศูทร
ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูเถิดว่า ถ้าเราจะสนใจสิ่งเหล่านี้บ้างจะดีไหม เพื่อให้มองเห็นว่าไอ้ชนนั้นนั่นน่ะ มันมีเป็นสองพวก พวกหนึ่งนั้นถูกตั้งขึ้นโดยคนที่ไม่รู้จักความจริง เขาเห็นว่ามองไปภายนอก ถ้าใครมีเงินมากกว่าก็เรียกมันเป็นนายทุนไป ไอ้คนใดที่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำก็เรียกเป็นกรรมกร เสร็จแล้วก็แบ่งเป็นพวกกัน เพื่อที่ทำ ทำร้ายเข่นฆ่ากันโดยที่ไม่เห็นความเป็นจริงว่า ไอ้การแตกต่างกันในหน้าที่การงานนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่การที่เขาเบียดเบียนกันทำร้ายกันนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส ฉะนั้นการที่จะลบล้างความชั่วร้ายทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก ที่เบียดเบียนกันเอารัดเอาเปรียบกันนั้น ไม่ใช่ไปทำร้ายที่คนโดยตรงโดยส่วนเดียว แต่จะต้องทำความเข้าใจในจิตในใจให้เขาเข้าใจก่อนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากในกิเลสก่อน เกิดขึ้นจากในใจ คือกิเลสนั่นแหละ เป็นตัวทำ ดลบันดาลให้ทำอะไรๆ ไปตามกิเลส ทบทวนอีกทีหนึ่งก็ได้ว่า ถ้าขณะใดกิเลสเกิดขึ้นและเราต่อสู้ไม่ยอมแพ้ อย่างเช่นท่านทั้งหลายกำลังนั่งอยู่อย่างนี้ เกิดความง่วงเกิดขึ้น ง่วง มันจะหลับ กิเลสมันเข้ามาแล้ว ก็สู้ สู้อย่างนักสู้ ต่อสู้กันไป ไม่ไหวก็ลุกขึ้นไปล้างหน้า ล้างตา หรือว่าพยายามแข็งอก แข็งใจ สู้กับมัน รบกับมัน ไม่มีใครเห็นหรอก แต่ขณะนั้นแหละ เรากำลังทำหน้าที่อย่างนักสู้ ควรจะเรียกได้ว่าเป็นวรรณะกษัตริย์ คือเลือดนักรบไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งชั่วร้าย คือกิเลส
ทีนี้ว่าขณะใดจิตใจของเรากำลังศึกษาหาธรรมะเพื่อที่จะดับทุกข์กัน อย่างเช่นว่า เรากำลังฟังธรรมหรือว่าอ่านหนังสือธรรมะ คือสิ่งที่จะต่อสู้กับกิเลสเรียกว่าหาอุบาย หาอะไรต่างๆ นี่ เป็นการศึกษาเอาไว้ อย่างนี้ก็ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ก็ได้ เรียกอย่างนี้ก็ได้ ถ้าเราประกอบอาชีพไปตามปกติ เรามีหน้าที่อะไร เป็นครู เป็นอะไรก็ทำหน้าที่ไป โดยที่ไม่มีกิเลสรบกวน มันก็มีอยู่ ท่านทั้งหลายเห็นอยู่ว่าบางวันเราก็สบายใจ สอนหนังสือก็สบายใจ ท่านทั้งหลายที่ทำหน้าที่เป็นนักการอะไรต่างๆ ก็ทำหน้าที่เปิดประตูกวาดอะไรไป มันก็สบายใจ เพราะกิเลสมันยังไม่กวน อย่างนี้ก็ชื่อว่าอยู่ในวรรณะแพศย คือไม่มีอะไรรบกวน สบายดี
แต่ท่านลองดูเถอะว่าขณะใดที่จิตของเรามันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าวรรณะศูทรคือถูกกิเลสครอบงำนั่นแหละ มันเดือดร้อนเหลือประมาณ เพราะว่าใจมันอยากจะไปทำในสิ่งที่รู้ๆ อยู่ว่าไม่อยากจะทำ หรือว่าเราเกิดความขี้เกียจขึ้นมานี่ ไม่อยากจะทำงานอย่างนี้ นี่ เราถูกกิเลสมันครอบงำ จิตใจของเรามันก็ไม่สบายเพราะว่าถูกกิเลสครอบงำ นี่เราก็กลายเป็นคนที่ไร้เกียรติ ไร้เกียรติไปโดยที่ว่าเราสมัครที่จะเป็นอย่างนั้นเอง ได้ยินบางคนเขาเขียนไว้ เขาเขียนไว้ดีมาก เขาบอกว่าไม่ ไม่มีใครจะปกครองใครได้ ถ้าคนนั้นไม่ยอมให้ปกครอง ท่านทั้งหลายลองฟังประโยคนี้ดูสิ ไม่มีใครจะปกครองใครได้ ถ้าคนนั้นไม่อยากให้ใครปกครอง ไอ้ปกครองทางกายนั่นน่ะ มันอาจจะได้แหละ ก็อาจจะเอาปีนอะไรมาขี่ก็ได้ มาจี้ มาทำอะไรให้เราทำก็ได้ แต่การที่เราจะถูกปกครองโดยกิเลส หรือถูกปกครองโดยพระธรรมนั้นน่ะ มันอยู่ที่เราสมัครใจ ถ้าเราสมัครใจที่จะอยู่ใต้พระธรรม อยู่ใต้ความถูกต้องซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นผู้ประทานความถูกต้องให้อยู่ เราประพฤติปฏิบัติไปตามนั้น เราก็อยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรอันร่มเย็น สุขกายสบายใจอยู่ เรียกว่าเรายินดีที่จะปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ โดยอาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย มาให้เราประพฤติกระทำกัน ทีนี้ถ้าเราสมัครใจที่จะอยู่ใต้อำนาจของซาตานหรือของกิเลส นั่นก็อยู่ที่ว่าเราสมัครใจ เพราะกิเลสแล้วมันเข้าไม่ได้หรอก มันเข้ามามันก็ต้องสู้กับเราแหละ แต่เมื่อเราเปิดประตูต้อนรับมัน มันเข้ามา มันก็เข้ามาครอบงำจิตใจของเรา ตลอดระยะเวลายี่สิบปี สามสิบปี ขนาดนี้แล้ว กิเลสที่เคยเข้ามาจนเคยชินนั่นแหละ มันก็เลยเข้ามาจนเคย ทำอะไรๆ ก็ได้ ข่มขี่ใช้เรา จนกระทั่งเราอาจจะหมดเรี่ยวหมดแรง ทีนี้ถ้าเราจะฮึดสู้กันขึ้นมาบ้าง มันก็ได้ โดยที่เราเห็นตามความเป็นจริงเถิดว่า กิเลสนั้นเป็นสิ่งที่เพิ่งเข้ามา
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พระองค์ตรัสไว้ว่าจิตเดิมนั้นปกติ ไม่มีกิเลสเข้าครอบงำจิตเดิมนี่ คือจิตของเราตามปกตินั้นน่ะไม่มีกิเลสอยู่ แต่กิเลสนั้นจะเข้ามาเป็นบางครั้งบางคราว กิเลสจะเข้ามาเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจคิดนึก ขณะที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำหน้าที่ของมัน ในขณะนั้นแหละจะเป็นโอกาสอยู่สองโอกาส โอกาสหนึ่งให้พระธรรมเข้ามาครอบครองจิตใจ โอกาสหนึ่งคือให้กิเลสเข้ามาครอบครองจิตใจ มันก็แล้วแต่ความสมัครใจของผู้นั้นเอง นั่นแหละจึงถึงว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าพระองค์เป็นเพียงผู้ชี้เท่านั้นเอง ไม่อาจที่จะช่วยใครได้มากกว่านี้ นำมาเปิดเผยพระธรรมคำสอน เสร็จแล้วเราทั้งหลายก็น้อมนำมา ถ้าเรานำมาประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง กิเลสมันก็ไม่เข้า เราก็อยู่อย่างเป็นสุข แต่มันก็เป็นที่โชคดีอยู่อย่างหนึ่งว่า โดยทั่วไปแล้วพระธรรมยินดีที่จะช่วยมนุษย์เสมอ ฉะนั้นมนุษย์เป็นจำนวนมากแม้นย่ำยีพระธรรม ไม่เคารพพระธรรม แต่พระธรรมนั้นไม่เคยน้อยอกน้อยใจไม่เคยเสียใจ เพราะพระธรรมนั้น คือกฎของธรรมชาติที่มีหน้าที่อย่างเดียวคือว่า ต้องช่วย ต้องช่วย ต้องช่วยเสมอ เมื่อมีโอกาส
ฉะนั้นท่านจะเห็นว่า แม้นคนจะทำชั่ว ขี้เหล้าเมายา ขี้เกียจ คอรัปชั่น คดโกง เขาก็ยังมีเวลานอนหลับ เพราะพระธรรมจะเปิดโอกาสให้เขาเสมอ ให้เขามีโอกาสได้ลิ้มรส ชิมรส แต่เพราะว่าความเคยชิน คืออนุสัยในการทำชั่วจนเคยชิน กินเหล้าเมายาจนเคยชิน หรือคดโกงจนเคยชิน มันมากเข้าๆ จนกระทั่งเกิดความร้อนอกร้อนใจ หรือความระส่ำระสายในจิตใจเป็นนิจสิน จนโอกาสแห่งพระธรรมนั้นมันเหลือน้อยมาก จนเหมือนกับว่าสายใยของสายบัวมันขาดไปเสียแล้ว การต่อเชื่อมระหว่างธรรมะที่เป็นกฎแห่งความร่มเย็นจะเข้ามาในจิตใจนั้น มันเข้าไม่ได้ เหมือนกับทางตันทางรกที่ไม่มีเคย ไม่มีใครเคยใช้ทางนั้นเลย ทางนั้นก็สูญเสียไป จิตใจนั้นก็เลยเสื่อมสภาพ ผลสุดท้ายก็เป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ มันขบคิดวิตกกังวลอยู่ว่าเขาจะจับได้ เขาจะพูดกระทบเราบ้างละ ใครพูดนิดก็คิดว่าเขากระทบเรา จิตใจจะนั่งตรงไหนมันก็ไม่สบาย มองสายตาไปตรงไหนก็คิดว่าเขารู้ความในบ้าง เขาจับความเท็จเราได้บ้าง เขาเจตนาจะพูดอย่างโน้นอย่างนี้เพื่อทำให้เราเจ็บใจบ้าง
นี่แหละ เพราะว่ากิเลสที่มันเข้าไปอยู่ในจิตใจจนเคยชินนั้น มันจะสร้างภาพพจน์ ภาพหลอน ภาพหลอกต่างๆ นานา ให้เกิดขึ้น จนกระทั่งคนนั้นไม่อาจจะหลับลงไปได้ด้วยพระธรรมเขาหลับก็ฝันร้ายฝันถึงผี ฝันถึงถูกจับได้ ฝันถึงถูกไล่ออก ฝันถึงถูกตกงาน ต่างๆ นานา ในชีวิต ในความฝันของเขา เพราะว่าการกระทำในชีวิตประจำวันนั้น ทำลงไปด้วยตามใจตัวเองจนเคยชินนั่นเอง ผลสุดท้ายมันก็ฝังอยู่ในสำนึกที่เราเรียกกันสั้นๆ ฟังง่ายๆ ก็คือว่าสันดาน เมื่อมันฝังอยู่ในสันดานแล้วมันถอนไม่ออก มันจะระบายออกมาเมื่อตอนที่เราขาดสติ เช่นตอนที่เราง่วง หรือว่าตอนที่เราหลับ มันก็จะระบายออกมา ทำให้เกิดภาพหลอนต่างๆ คนนั้นก็เริ่มไม่หลับ เป็นโรคประสาทนอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับบ่อยๆ เข้า ระบบร่างกายทั้งหลายก็สูญเสียไปหมด ประสาทก็หย่อน ร่างกายก็อ่อนเพลีย หนักเข้า หนักเข้า มันก็เลยต้องฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็ต้องทำอะไรบ้าๆ ออกไป ทำให้คนอื่นเขาต้องฆ่าคนนั้นตาย และเมื่อมีคนเป็นอย่างนี้เป็นจำนวนมากๆ ท่านสังเกตดูสิ อย่างเช่นว่าเรานอนไม่หลับมีความเครียด แล้วไปที่ทำงานใครพูดจาอะไรมันก็แลขัดหูไปหมด ทำให้เกิดกระทบกระทั่งกันขึ้น ผลสุดท้ายก็มีเรื่องมีราว เพราะว่ามันไม่มีความเย็นอกเย็นใจอยู่ นี่เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราเปิดโอกาสให้พระธรรมได้เข้ามาครอบครองจิตใจกันบ้างแล้ว เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุข
นี่กำลังพูดถึงเรื่องธรรมะสี่ความหมาย ว่าธรรมะความหมายที่หนึ่งนั้นหมายถึงธรรมชาติ ธรรมะที่สองนั้นหมายถึงกฎของธรรมชาติ ธรรมะที่สามนั้นก็คือหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ธรรมะที่สี่ก็คือผล ผลมันก็ออกมาจากการประพฤติปฏิบัติในหน้าที่นั้นๆ ผลมันให้ทันที ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำดี ดีทันทีทำชั่ว ชั่วทันที มันไม่มีอะไรมากกว่านี้ แต่ผลนั้นมันมีสองแบบขอให้ท่านทั้งหลายลองมองเห็นความจริงข้อนี้เถิด แล้วจะรู้สึกสบายใจ