แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาที่จะกลับในวันพรุ่งนี้ มีข้อที่อยากจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับท่านทั้งหลายอยู่บางประการ สำหรับข้อความที่ได้บรรยายมาหลายครั้งนั้น ก็เป็นหลัก ธรรมะโดยตรง การบรรยายหลักธรรมะโดยตรงนี้ก็เป็นเรื่องส่วนหนึ่ง ทีนี้ข้อความส่วนที่จะรวบรวมข้อตักเตือนเกี่ยวกับการใช้ธรรมะนั้นให้เป็นประโยชน์นี้ มันก็มีอยู่อีกส่วนหนึ่ง ในวันนี้เราก็จะพูดกันถึงส่วนนี้ คือส่วนที่จะใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในเรื่องประจำวัน
นี่ท่านทั้งหลายได้มาด้วยความสนใจที่จะศึกษาธรรมะในลักษณะพิเศษ ซึ่งก็มีคนเห็นแล้วก็ประหลาดใจ ว่าผู้อยู่ในเยาว์วัยนี้มาสนใจธรรมะ นั่นแหละเป็นเครื่องบอกอยู่ในตัวแล้วว่า มีคนจำนวนมากเขาไม่รู้ค่าของธรรมะ ตัวเองไม่สนใจ เมื่อเห็นลูกเด็กๆสนใจ กลับเห็นเป็นของแปลก นี่ประเทศไทยเราก็ยังอยู่ในสภาพที่น่าสงสาร ในกรณีที่เกี่ยวกับธรรมะเช่นนี้ เกี่ยวกับข้อนี้ควรจะรู้ข้อเท็จจริงที่เป็นเท้าใหญ่ๆ ว่าสมัยโบราณกับสมัยเดี๋ยวนี้ ก็มีคนเกี่ยวข้องกับธรรมะในลักษณะที่ต่างกันมาก โบราณแท้ๆเขาก็เก็บเอาเรื่องของธรรมะไว้สำหรับคนเฒ่าคนแก่ สำหรับตัวเองในวัยที่แก่เฒ่า ส่วนคนหนุ่มนั้นเขาไม่ได้สนใจธรรมะในระดับนี้
เดี๋ยวนี้เราถือว่าการศึกษาเจริญ คนมีสติปัญญาควรจะรู้ธรรมะชั้นสูงได้ ให้รู้ว่าโลกสมัยนี้มันผิดกับสมัยโบราณ มีสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ในทางจิตใจมากกว่ากัน เราก็ควรจะต้อนรับความทุกข์เหล่านั้นด้วยธรรมะที่เพียงพอ ที่แปลกออกไปจากนั้นอีกก็คือว่ามีการศึกษาธรรมะเพื่อประโยชน์พลอยได้ ไม่ใช่ผลโดยตรง คือจะให้ศึกษาธรรมะเพื่อมีจิตใจดีสำหรับการศึกษาเล่าเรียน จนกระทั่งว่าฝึกสมาธิภาวนาเพื่อให้มีจิตใจมีสมรรถภาพยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับการศึกษาเล่าเรียนก็ตาม สำหรับการทำงานก็ตาม ตลอดถึงการต่อสู้ปัญหาใหม่ๆในโลกปัจจุบันนี้ก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ดูแล้วก็น่าภาคภูมิใจที่ว่าเราสมัยนี้สามารถที่จะเอาประโยชน์จากธรรมะได้มากกว่าสมัยโบราณ
การที่จะได้รับผลอย่างที่ว่านี้ มันก็ลำบากบ้างตรงที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ แล้วก็ต้องปฏิบัติดูด้วย อย่างน้อยก็ระยะสั้นเท่าที่เราจะมีเวลาหรือโอกาส มันจะได้เป็นจุดตั้งต้นที่ดีสำหรับที่จะเดินไปตามนั้นต่อไปข้างหน้า ฉะนั้นการที่ได้มาฝีกฝนอะไรเพิ่มเติมอีกบางอย่าง ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีกำไร ให้ได้ประโยชน์มากออกไปอย่างที่กล่าวได้ว่าไม่น้อยเหมือนกัน รวมความแล้วทุกอย่างที่ได้ศึกษาเล่าเรียน ได้ทดลองปฏิบัติ กระทั่งได้มีการเป็นอยู่แบบของชาวพุทธให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้นี้ ควรจะแจ่มแจ้งชัดเจนอยู่ในความรู้สึกตลอดไป อย่าให้เป็นว่าพอกลับไปจากสถานที่นี้แล้ว มันก็เลือนไปหมด ทิ้งเสีย เหมือนกับว่าทำเล่น ไม่คุ้มค่าของเวลา
ได้เคยพูดมาหลายครั้งหลายหน แล้วก็แก่หลายคณะหลายหมู่แล้ว ว่าส่วนที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือจะต้องลองเป็นอยู่ให้คล้ายกับพระศาสดาผู้บัญญัติและแสดงธรรมะและวินัย ถ้าเราเป็นอยู่เหมือนท่าน มันก็มีความเหมาะสมหรือความพร้อมแห่งจิตใจที่จะเข้าใจคำสั่งสอนของท่าน หรือว่ามันจะเกิดคิดขึ้นมาได้เองเหมือนๆ กันก็ได้ เป็นได้มากถึงอย่างนี้ ทีนี้มันทำให้เรารู้ด้วยความรู้สึกว่าธรรมะมันมีอย่างไร มีรสชาติอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นในความรู้สึกนั่นแหละเป็นตัวธรรมะจริง ไม่อาจจะมีความรู้สึกชนิดนี้ได้ด้วยการเดาหรือการคาดคะเน หรือแม้แต่การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่การฟังเทศน์ ความรู้อะไรในทำนองนั้นมันเป็นอีกแบบหนึ่ง ขอให้ดูให้ดีๆ อย่าได้ประมาท อย่าได้เห็นว่ามันเหมือนๆกัน
ถ้าเรามาอยู่ในสถานที่ที่มันคล้ายกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านเคยอยู่ แล้วก็มีการเป็นอยู่ชนิดที่ง่ายที่สุดที่ต่ำที่สุด หรือที่จะเรียกว่าใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด ก็จะใช้คำว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ นี่มันจะได้อะไรมากในทางความรู้สึก เพราะฉะนั้นจึงได้ขอร้องตั้งแต่วันแรกๆว่าให้พยายามเปลี่ยน เปลี่ยนอะไรทุกอย่างที่จะเปลี่ยนได้ เปลี่ยนการเป็นอยู่ การกิน การอยู่ การอะไรต่างๆ กระทั่งว่าไอ้เรื่องหลุกหลิกซิกซี้สรวลเสเฮฮานั้น ให้เหวี่ยงทิ้งไปให้หมดเสียสักคราวหนึ่งก่อน แล้วก็มีใจชนิดที่ปกติอยู่ในรูปที่มันเหมาะ จะมีความคิดนึกอย่างลึกซึ้ง ได้ใกล้ชิดธรรมชาติได้มากกว่า
ทุกคนสังเกตเห็นคนเป็นอันมากเมื่อเขาไปที่ทะเล ไปตากอากาศหรือไปอะไรทำนองนั้น ซึ่งเป็นโอกาสที่จะใกล้ชิดกับธรรมชาติ แล้วก็จะได้รู้อะไรจากธรรมชาติ แต่แล้วเขาก็ไม่ได้รับประโยชน์อันนั้น เพราะว่าเขาไปมัวระริกซิกซี้สรวลเสเฮฮาเล่นหัวเรื่องกินเรื่องเล่นเรื่องหยอกเอิน เป็นเรื่องเลยไปถึงกับเรื่องหาความเพลิดเพลินระหว่างเพศ มันก็ไม่มีวันที่ได้พบกันกับความลึกซึ้งของธรรมชาติหรือตัวธรรมชาติ
ที่นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าจะมาอยู่อย่างแบบปล่อยตามใจตัวเอง โดยระริกซิกซี้เล่นหัวอะไรต่างๆ มันก็ไม่ได้โอกาสที่จะชิมรสของธรรมชาติ จึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ จึงขอร้องอย่างนั้น และให้นำหลักการอันนี้ไปทำต่อ เมื่อกลับไปแล้วหรือว่าจะไปที่ไหนก็สุดแท้ ต่อไปข้างหน้านี่ให้พยายามเจียดความสนุกสนานออกไปเสีย ให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดธรรมชาติให้มาก นึกว่าหัดปิดหูปิดตา ปิดปากด้วยก็ยิ่งดี นั้นก็จะได้ประโยชน์ยิ่งขึ้น
ถ้าเราปิดหูปิดตาปิดปากได้ มันก็จะทำให้โลกนี้เป็นคนละโลก หรือว่ามันแปลกออกไป ก็อาจจะมีโลกอันสงบนี้ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วก็ทั้งในห้องเรียนก็ได้ คือว่าอย่าใช้ตาที่จะดูอย่างที่เคยชินมาแต่ก่อน ก็ปิดเสีย อย่าให้สิ่งที่มันเร้าความรู้สึกเข้ามาทางตา ปิดหูเสียบ้าง คือว่าอย่าไปฟังมันไอ้ส่วนที่มันจะไม่ต้องฟัง เดี๋ยวนี้เขาฟังวิทยุฟังเพลงไปพลาง เขียนหนังสือไปพลางทำงานไปพลางอย่างนี้ มันเกินไปแล้วก็ไม่รู้สึกตัว แล้วมันได้ประโยชน์น้อยเขาก็พอใจ ปิดปากนี้ คือว่าอย่าพูดมาก แม้เรื่องที่เคยพูดก็ควรจะหยุด แล้วปิดปากนี่มันก็ทำให้จิตใจแน่วแน่มีลักษณะของความเป็นสมาธิได้มากเหมือนกัน เรียกว่ามันเคยชินแต่เรื่องตามใจตัว มันเผลอไม่ได้ เผลอเป็นร้องเพลง เผลอเป็นผิวปาก มันเสียนิสัยมานานแล้ว นี่ก็เลยเป็นเหตุให้มันไกลจากความสงบ คือไปทำให้มันไม่สงบ ที่แท้มันควรจะสงบ แล้วเราก็ไปทำให้มันไม่สงบเสียเอง หัดปิดตาปิดหูปิดปากให้มากเข้าไว้ เหมือนอย่างที่เคยแนะนำในระหว่างที่มาพักอยู่ที่นี่ แต่มันก็เป็นชั่วระยะเวลาน้อยนัก ยังไม่ได้รับประโยชน์อานิสงส์ในข้อนี้ ก็ขอให้ไปทำต่อไป
การที่พอใจในการที่จะถืออุโบสถศีล นี่นับว่าดีมาก ถ้าหากว่าถืออุโบสถศีลกันได้จริงๆแล้ว มันก็ดีมาก โดยมากนี้มันก็ถือแบบพอเป็นพิธี ทำแต่ท่าแต่ทาง แล้วบางทีก็เป็นเรื่องทำตามๆกันไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีเสียกว่าที่ไม่ถือไม่ทำ เดี๋ยวนี้เราอยากจะพูดถึงการถือกันจริงๆ สำหรับการถืออุโบสถนี่ มันก็คือการเก็บตัวไว้ในที่สงบ ในภาวะที่สงบ อยู่ในบรรยากาศที่สงบ เพราะว่าเราจัดเอาได้ด้วยการปิดตาปิดหูปิดปากอะไรต่างๆ อุโบสถนั้นแปลว่าเข้าไปอยู่ในที่สงบ นี้มันแห่งจิตใจด้วย ไม่ใช่เพียงแต่แห่งกายอย่างเดียว ก็มีระเบียบปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้แล้วแต่จะวางไว้ ในพุทธศาสนาก็วางไว้อย่างนี้ คืออย่างอุโบสถศีลแปดประการ เราก็ลองสังเกตดู
ข้อแรกไม่เบียดเบียนชีวิตทรัพย์สมบัติร่างกายอะไรของใคร มันก็เป็นความสงบส่วนหนึ่ง ไม่ขโมยก็เป็นความสงบส่วนหนึ่ง ไม่ประกอบกิจกรรมของคนที่อยู่กันเป็นคู่ นี่ถ้าดูให้ดี ยิ่งสงบถึงที่สุด กิจกรรมระหว่างเพศนั้นเป็นเรื่องร้อนในทางวิญญาณในทางจิตใจ แล้วก็ไม่สงบอย่างยิ่งปั่นป่วนอย่างยิ่ง นั้นที่จริงถือเป็นข้อสำคัญของอุโบสถ แม้แต่การคิดนึกก็จะเว้น ไม่ใช่มุ่งหมายเฉพาะการกระทำโดยตรงอย่างเดียว แม้แต่การคิดนึกก็เว้น และการหลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกี่ยวข้องกันหรือมันเป็นเบื้องต้นของกิจกรรมระหว่างเพศทุกๆชนิด มันต้องเว้นหมด มันเกลี้ยงไปหมด มันจึงไม่มีเล่นหัวหยอกเอินร้องเพลงอะไรต่างๆ ทีนี้พูดจริง พูดเท็จพูดจริงนี้ นิสัยของการพูดจริงนี่...มีได้ยาก เพราะมีกิเลสเป็นเหตุให้พูดเท็จ ต้องบังคับต้องระวังกันอย่างยิ่ง มันจึงจะเปลี่ยนเป็นคนไม่มีการพูดเท็จ กระทั่งพูดที่ไม่น่าดูไม่น่าฟังอย่างอื่นๆด้วย
เว้นจากของมึนเมา ไม่ใช่เฉพาะเหล้ายา แต่เป็นของมึนเมาทุกชนิด อะไรก็ตามที่ทำให้สติสัมปชัญญะผิดปกติไปแล้วก็ต้องเว้นหมด นั้นก็ควรจะรวมออกมาถึงการเล่นการหัวการดูหนังดูละครอะไรด้วยได้เลย ชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความมึนเมา แม้แต่อ่านหนังสือบางเรื่องที่ทำให้จิตใจเสียการทรงตัวของสมปฤดีอะไรต่างๆก็ต้องเว้น เว้นอาหารที่เหลือเฟือ นี่ก็ขอให้เอาไปสังเกตต่อไปด้วย ว่าอย่ากินอาหารส่วนเกินที่มันทำให้มีปัญหาขึ้นมากมายหลายอย่างหลายประการ นับตั้งแต่ทำให้ง่วงให้ซึมให้อะไรต่างๆที่มันส่งเสริมความรู้สึกที่ขัดต่อความสงบมาก ให้กินอาหารแต่เท่าที่จำเป็น นี่จึงให้เว้นเสียอาหารหลังวิกาล คือจะถือเอาประโยชน์ว่าเราจะได้มีเวลามากๆทำความสงบ แม้แต่การศึกษาเล่าเรียนก็เหมือนกัน ถ้าไม่บังคับเรื่องการกิน มันก็คอยแต่จะกินบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นอีกมันก็จะกินเล่นกินจุบกินจิบ ต้องมีอะไรคาปากอยู่เสมอ มันเป็นของที่ไม่ต้องกินก็กิน เรียกว่าเป็นคนโลเล
ทีนี้เรื่องการฟ้อนรำการขับร้องการอะไรต่างๆนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่ามันเป็นเรื่องของคนที่ตามใจตัว แล้วยังต่ำมาก คือไม่มีอะไรที่จะถือเป็นความงามความดี ต้องไปใช้ของอย่างนั้นเป็นการประดับประดาตบแต่ง มันก็ยังส่งเสริมความรู้สึกอย่างอื่นๆที่ไม่ควรปรารถนา ที่ไม่พึงปรารถนา อย่างน้อยที่สุดมันก็เปลืองเปล่าๆ เรื่องเล่นหัวเรื่องประดับประดาเรื่องตบแต่ง มันจะพอดีสำหรับใครก็ไม่รู้ละ แต่มันไม่พอดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบ ต้องการให้มีจิตใจที่อยู่กับความสงบ คือมีจิตใจที่เป็นอิสระ เข้มแข็ง บึกบึน เป็นสมาธิ ถ้าเราต้องการอย่างนี้ เรื่องเล่นหัวฟ้อนรำทำเพลงประดับประดาตบแต่งนี้มันเป็นเรื่องทำลาย ส่งเสริมความรู้สึกกิเลสอีกหลายๆประการ
นี้การไม่นั่งนอนบนที่นอนสูงใหญ่ หมายความว่าที่นอนที่มันสบาย คำว่าสูงใหญ่ในที่นี้ก็คือว่าในระดับของคนมั่งมีที่เขาใช้กัน ที่มันสบาย ที่มันเกินจำเป็น รวมทั้งสวยงาม รวมทั้งอะไรต่างๆด้วยเสร็จ คือจะถือเอาแต่ตามตัวหนังสือว่ามันสูงใหญ่นี่มันยังไม่พอ ที่จริงสูงมันก็ไม่ควรอยู่แล้ว มันหรูหรา ใหญ่นั้นมันเป็นที่นอนของคนที่อยู่กันเป็นคู่ มันก็เลยลดลงมา ทีนี้ก็ลดที่มันให้ความอบอุ่นหรือความสบายที่เกินจำเป็นเสีย ที่มันทำให้นอนมาก ทำให้มันเกิดความรู้สึกไปในทางต่ำคือกิเลส
เมื่อเราได้ลองถืออุโบสถดูอย่างนี้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ควรจะให้เข้าถึงข้อเท็จจริงหรือเจตนารมย์ของมัน อย่าเพียงว่าถือตามๆกันไปชั่วขณะหนึ่ง ต้องเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้จนตลอดชีวิต คือรู้ความพอดีของสิ่งเหล่านี้ และเป็นอยู่อย่างพอดี และบางคราว บางเวลา บางโอกาส ก็ถืออย่างเคร่งดูบ้าง เพื่อกันลืม เมื่อมันเผลอไป มันก็เอาไม่พอดีมาเป็นพอดี แล้วเราไม่ต้องอวดใครในการถืออุโบสถ เพื่อประโยชน์แก่เราเอง และถ้าทำให้ผู้อื่นไม่รู้ว่าเราถือได้ก็จะยิ่งดี คือมันจะไม่เป็นการอวด ถ้าถือด้วยเจตนาที่คิดว่าจะอวด อย่างนี้มันล้มละลายแล้วตั้งแต่ทีแรก ทีแรกที่จะถือด้วยสมาทาน ฉะนั้นถ้าป้องกันการอวดได้เท่าไหร่ก็เป็นการดีเท่านั้น ถ้าเราสามารถจะทำให้ไม่มีใครรู้ได้ก็ดี เพราะว่าเราไม่มีทางจะอวด มันอาจจะเกินไปบ้างถ้าจะพูดอย่างที่บางลัทธิบางคนเขาพูดหรือเขาสอนไว้ ว่าเพื่อไม่ให้ใครรู้ เราก็ทำอย่างที่เหมือนกับว่าไม่ได้ถือ อย่างจะประดับประดาตบแต่งทาน้ำหอมทาอะไร ให้คนเขาไม่รู้ว่าเราถืออุโบสถ อย่างนี้ก็มีสอน แต่มันคงจะยาก สำหรับผู้ที่ยังไม่ถึงขนาดน่ะมันยาก เอาแต่ความบริสุทธิ์ใจ ไม่อวด แล้วก็ไม่พยายามให้ใครมารู้ว่าเราถือ เท่านั้นก็พอ
ในชั่วโมงที่ถืออุโบสถนี่มันป็นชั่วโมงการบังคับตัวอย่างยิ่ง เป็นใจความสำคัญของศาสนาทุกศาสนา จึงขออนุโมทนาด้วยเป็นพิเศษที่เข้ามาถืออุโบสถ และก็คงจะถือต่อๆไปอีก แม้ว่ากลับไปที่บ้านที่อยู่ตามปกติแล้ว มันก็มีทางที่จะถืออุโบสถโดยไม่ให้ใครรู้ว่าเราถืออุโบสถ แล้วมันก็ไม่ขัดขวางอะไรใครในการที่จำป็นจะต้องอยู่ร่วมที่อยู่บ้านเรือนอะไรกิจการงานต่างๆ ถ้าเรารู้จักกำหนดจิตใจกำหนดการกระทำบางอย่างที่มันเป็นการถืออุโบสถได้ดี สามารถจะทำได้โดยไม่ต้องให้ใครรู้ แล้วเราก็ไม่บอกเขาก็ได้ว่าเราถืออุโบสถ เพราะจะทำให้เขาแหย่หรือทำความรำคาญให้กับเรา เช่นถ้าเราไม่ไปดูหนัง เราก็ไม่ต้องบอกเขาว่าเราถืออุโบสถ เราพูดอย่างอื่นก็ได้
นี่ที่พูดถึงเรื่องนี้ก็มุ่งหมายจะให้สังเกตให้เห็น ว่าระหว่างที่อยู่ที่นี่นั้นเรามีระบบการบังคับตัวทุกอย่างที่จะบังคับได้ ในอุโบสถนี่บังคับไม่ให้โลเล ไม่ให้เฟ้อ ไม่ให้เกิน ไม่ให้ตามใจกิเลส และยังมีการบังคับอย่างอื่นอีก คือว่าจะต้องไม่นอนสาย ต้องขยันขันแข็ง ต้องรู้จักเสียสละ จะต้องมีหลักที่เรียกว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม เมื่อเราทำงานอะไรที่เป็นการเสียเหงื่อเสียกำลังกายเรี่ยวแรง นี่ก็ให้เห็นความดีของมันว่าเป็นการปฏิบัติธรรม อย่างกวาดวัดนี่ ก็สอนให้พระเขาพิจารณาดูให้ดี ว่ากวาดวัดนั่นน่ะมันกวาดในจิตใจด้วย ถ้าเราขี้เกียจ พอไปกวาดวัด มันก็กวาดความขี้เกียจออกไปจากจิตใจ เราไม่เสียสละ พอไปกวาดวัดเข้า มันก็เกิดการกวาดความไม่เสียสละหรือความเห็นแก่ตัวอะไรต่างๆเหล่านี้ ระหว่างที่อยู่ที่นี่ก็มีการกวาดกันบ้าง เห็นอยู่แล้ว ถ้าใครจะกวาดได้ถึงจิตใจด้วยอย่างนี้ หรือไม่งั้นก็ไปรู้สึกเอง ดูเอาเอง นี่เป็นตัวอย่างของคำว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม พอกลับไปถึงบ้านแล้วก็ลองใช้วิธีอย่างนี้ ที่ให้การทำงานมันเป็นการปฏิบัติธรรม ที่เราไม่ค่อยชอบเพราะมันเหนื่อยเพราะมันสกปรก แล้วมันก็จะได้ชอบเพราะมันเป็นการปฏิบัติธรรมที่ก้าวหน้าในทางธรรมอย่างเร็ว
คำว่าธรรมในที่นี้มันมีมากเยอะไปหมด แต่คนไม่เรียนก็ไม่รู้ การอดทนนี่ก็เป็นธรรม ถ้าเราต้องมีการอดทนทำอะไรก็ให้ได้ นั่นก็คือการปฏิบัติธรรมในข้อที่เรียกว่าอดทนหรือขันติ ถ้าเราบังคับจิตให้มันทำได้โดยการบังคับความรู้สึกเลวๆที่มันไม่อยากทำออกไปเสียได้ ก็เรียกว่าจาคะ เสียสละของสกปรกให้มันออกไปเสียจากจิตใจ ถ้าเราทำให้เป็นเวลา เรียกว่ามีสัจจะ การซื่อตรงต่อการงานต่อตัวเราเองต่ออะไรทุกๆอย่าง ให้มันเป็นการบังคับตัวอยู่เสมอ การบังคับตัวอยู่เสมอนั่นน่ะคือธรรมะสูงสุด มันจะค่อยๆก้าวไปๆหาความสูงในทางจิตใจ เดี๋ยวนี้คนถูกอบรมผิดๆถูกสอนผิดๆไม่ให้รักการทำงาน พยายามหลีกเลี่ยงการงานที่เหน็ดที่เหนื่อย หรือทำงานแต่ต้องได้รับประโยชน์ให้มาก
ดูให้ดีเถอะ ที่ว่าโลกมันกำลังมีปัญหา เพราะว่าเขาไปหลงใหลในอารมณ์หรือวัตถุเครื่องใช้ไม้สอย ที่ทำให้เกิดความสุขสนุกสนานมากเกินไป แล้วก็อยากจะไปอยู่กับสิ่งเหล่านั้นมากเกินกว่าที่จะทำงาน พอถึงเวลาทำงานแล้วมันเบื่อ มันเหมือนกับ..บอกไม่ถูก ถ้าได้ไปเล่นหัวแล้วก็สนุกสบายพอใจอย่างนี้ มันก็เริ่มเสียนิสัยอย่างนี้กันไปตั้งแต่เล็กๆมากขึ้นๆ ลูกเด็กๆคนไทยเรานี่กำลังเสียในส่วนนี้ สมัยโบราณเขาไม่เป็นมากถึงอย่างนี้ นี่ถ้าเป็นลูกคนจีนลูกอะไรต่างๆเขาก็ยังรักษาไว้ได้ คนจีนยังรักษาวัฒนธรรมอย่างนี้ไว้ได้ พร้อมกับวัฒนธรรมอย่างอื่นๆอีกหลายอย่าง เช่น การกตัญญู การอะไรเหล่านี้ยังมีดีกว่า การเคารพบิดามารดา การยอมให้พ่อแม่เผด็จการ
ลูกคนไหนไม่ยอมให้พ่อแม่เผด็จการนั้นละก็เตรียมตัวไว้สำหรับลงนรกเถอะ ไม่ใช่ด่า ไม่ใช่ประชดประชันอะไร บอกข้อเท็จจริงให้อย่างหนึ่ง ว่าไอ้ลูกที่มันไปรับการอบรมอย่างตามก้นฝรั่งหรืออะไรอย่างนี้ มันจะไม่ยอมให้พ่อแม่หรือครูบาอาจารย์นี้ทำอย่างเผด็จการ คือบังคับให้เด็ดขาดนั้น เขาก็จะต่อสู้ อย่างน้อยก็ต่อสู้อยู่ในใจ แล้วเมื่อเขาต่อสู้ไม่ได้เพราะมันต่อสู้ผู้ใหญ่หรือผู้คุมอำนาจไว้อย่างบิดามารดานี้มันก็ลำบาก แล้วเขาก็จะเป็นโรคเส้นประสาทไปตั้งแต่เด็กๆ กระทั่งว่าเขาเติบโตขึ้นมาได้รับช่วงกิจการงานของบิดามารดา ก็ยากที่จะทำกันได้ เพราะว่าบิดามารดาก็เจ้าระเบียบเคร่งครัดทำแบบเก่าๆ นี่ลูกหลานชั้นนี้มันชอบสำออยสำอาง ชอบปล่อยไปตามอารมณ์ที่เรียกว่าประชาธิปไตยอิสระเสรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันไม่ชอบเหน็ดเหนื่อย ไม่ชอบอดทน ไม่ชอบการทำอย่างสุขุมรอบคอบ นี่จึงเรียกว่ามันตกนรก มันเตรียมตัวลงนรก
ฉะนั้นขอให้ฝึกความอดทนให้มากจากการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมะ แล้วก็จะไม่ต้องรู้สึกว่าจะต้องอดทน เราอาจจะอดทนได้โดยไม่รู้สึกว่าต้องอดทน สิ่งต่างๆจะไม่เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา โดยเฉพาะกับบิดามารดานั้น ดูให้ดีหน่อย อย่าคิดว่าบิดามารดาไม่ได้เล่าเรียนมากเหมือนเรา เป็นคนโง่เป็นคนไม่ทันสมัย ให้ดูให้ดี อย่างน้อยนี่เขาก็ต้องมีอะไรที่ดีกว่าเรา เขาจึงเลี้ยงเรามาได้ แล้วก็ทำอยู่ในร่องในรอย ก็เกิดแตกคอกันตรงนี้ คือเรามันชอบอย่างสมัยใหม่ บิดามารดายังดึงไว้อย่างสมัยเก่าบ้างหรือไม่ก็ทั้งหมด มันก็ไม่ยอม ก็ไม่สงบ ก็เกิดความแตกแยกกันเป็นการนี้ไป การต่อสู้ แล้วโอกาสหนึ่งก็ต้องได้ฆ่าบิดามารดา หรือโอกาสหนึ่งก็ได้ชกต่อยครูบาอาจารย์ นี่ความที่ไม่อดทนอย่างถูกต้องมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วใครเป็นผู้เสียหาย คิดดู ไอ้เรานี่จะเป็นผู้เสียหาย คือลูกศิษย์ผู้ไม่เชื่อฟังหรือบุตรหลานผู้ไม่เชื่อฟังจะเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่บิดามารดาหรือครูบาอาจารย์ที่จะเสียหาย เว้นว่าเขาจะถือว่าลูกของเขานั้นมันเป็นของเขา เขาก็ร่วมรับความเสียหาย
จึงขอให้มองเห็นประโยชน์ของการอยู่ปฏิบัติธรรม จะแก้นิสัย แก้กิเลส หรือแก้หลายๆอย่างหลายๆประการ ที่จะทำให้ไปเป็นอยู่ได้อย่างถูกต้องอย่างสงบราบเรียบร้อยในอนาคต อย่างน้อยมันก็จะต้องนึกถึงข้อที่ว่าจะต้องอดกลั้นได้บังคับตัวเองได้ที่เรียกว่าชนะกิเลส จึงจะทำอะไรไปได้เรียบร้อยในโลกสมัยปัจจุบัน สมัยที่เขามีประชาธิปไตยเป็นหลักยึดถือ ถ้าเราจะบันดาลโทสะ มันก็ต้องพบกันกับการแสดงปฏิกิริยาอย่างทัดเทียมกัน มันก็วินาศไปด้วยกัน เตรียมตัวเองไว้ให้เหมาะสมสำหรับประชาธิปไตย ก็คือการบังคับตัวเองให้ได้ บังคับกิเลสของตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบังคับการบันดาลโทสะหรือการเอาแต่ใจตัว บรรพบุรุษของเราเขามีอย่างนี้มากเหลือเกิน เราน่ะมีแต่ความรู้ที่เรียนจากโรงเรียนจากมหาวิทยาลัย แต่เราไม่มีคุณธรรมส่วนนี้
เพราะฉะนั้นโลกสมัยปัจจุบันมีการศึกษาอย่างที่เจริญ มันก็พิสูจน์อยู่แล้วว่าไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติภาพ ไม่มีศีลธรรมที่ทำบ้านเมืองให้สงบ สู้สมัยปู่ย่าตายายโน้นคนโบราณโน้น สู้กันไม่ได้ เขาอยู่กันด้วยความสงบ มีศีลธรรมเป็นเบื้องหน้า มันจึงมีแต่ความปลอดภัย ผู้ที่มีอายุน้อยเกินไปไม่ทันเห็น ก็พูดยาก ฉะนั้นขอให้สนใจสังเกตทดสอบค้นคว้าเอาเอง ว่าสมัยก่อนอยู่กันด้วยความมีศีลธรรม แล้วก็อยู่กันด้วยความสงบ แล้วก็ไม่รู้อะไรมากเหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้รู้ รู้จนท่วมหัวกันอะไรกัน ก็ยังหาความสงบไม่ได้ทั้งโดยส่วนตัวและส่วนสังคม ความเสียหายเหล่านี้มาจากการบังคับตัวเองไม่ได้ และการไม่ยอมบังคับตัวเอง ซึ่งพอกพูนขึ้นมาตั้งแต่เล็กๆ..เล็กๆ เราจึงเห็นคนที่ร่ำรวยเป็นคนไม่มีศีลธรรม เป็นคนที่มีการศึกษามาก เป็นคนไม่มีศีลธรรม แล้วก็เป็นคนที่ทำคอร์รัปชั่นทำความเดือดร้อนยุ่งยากลำบากทุกอย่างทุกประการ เพราะว่าเขาบังคับตัวเองไม่ได้
นี้เราจะเอาอย่างไหนก็ต้องเลือกเอาเอง ถ้าต้องการความสงบสุขโดยส่วนตัวโดยส่วนสังคมแล้ว มันต้องเพ่งจ้องไปยังสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม คือความปกติแห่งความรู้สึกคิดนึกการพูดจาการกระทำทั้งหลาย ต้องให้ถูกต้องตามศีลธรรมหรือปกติ เดี๋ยวนี้มันมีเรื่องสนุกสนานมากเกินไป ก็เหลือที่จะบังคับความปกติ ในบ้านเรือนสมัยนี้มันเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุจิตใจไปในทางของกิเลส สมัยก่อนหายาก จะมีดนตรีสักทีหนึ่งมันก็มีไม่ได้ มันต้องไปที่นั่นไปที่นี่ ไปหาเอามาจากนั้นจากนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีดนตรีได้ทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมง จากวิทยุก็ได้ จากแผ่นเสียงจากเทปบันทึก เสียงนี่ก็ได้ มีสเตอริโออะไรก็ได้ ซึ่งเมื่อก่อนมันทำไม่ได้ ก็จึงห่างเหินจากสิ่งเหล่านี้ หลบไปอยู่กับการงานหรือว่าการพักผ่อนเสีย เป็นการบังคับตัวเองได้ดีกว่า
จึงขอให้ระวังกันให้ดีๆหน่อย เพราะมันเต็มไปด้วยสิ่งที่จะดึงจิตใจลงไปในทางโลเล ซึ่งในที่สุดมันก็ตก ต่ำ อย่ายินดีที่ว่าจะมีอะไรมากมายสำหรับหรูหราโก้เก๋มีเกียรติมีอะไรอย่างนี้ ระวังให้ดี มันจะทำให้เป็นคนที่บังคับตัวเองไม่ได้ คือบังคับไม่ได้ลึกซึ้งถึงขนาดที่จะอยู่ด้วยธรรมะหรือด้วยความสงบ ทีนี้เขาก็ไม่ชอบบังคับตัวเอง คือไม่รู้ว่าจะบังคับไปทำไม แล้วก็บังคับตัวเองไปในทางที่จะให้ไปหาสิ่งที่เป็นข้าศึก เอาให้ได้..ทำให้ได้..ไปให้ได้ในทางที่จะส่งเสริมกิเลส ถ้าคำพูดเหล่านี้มันไม่ตรงกับความประสงค์ของคนในยุคปัจจุบันนี้ นั้นก็ไปเลือกเอาเองเถิดว่าจะยึดถือหลักอย่างนี้อย่างที่พูดจาอยู่นี้ หรือว่าจะปล่อยอย่างอิสระเสรีไปตามที่เขานิยมกันโดยมาก ก็คงจะอ้างเสรีภาพหรือประชาธิปไตยอีกนั่นเอง แล้วก็เลยไม่มีใครบังคับใครได้
แต่ว่าผลที่มันจะเกิดขึ้นนี่มันแน่นอน ผู้นั้นจะเดือดร้อน ผู้นั้นจะตกนรกทั้งเป็น แล้วสังคมนั้นก็จะระส่ำระสายเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ เพราะทุกคนไม่อยู่ในร่องในรอยของธรรมะ สังคมมันเดือดร้อน ไม่ใช่เพราะนายทุนเอาเปรียบชนกรรมาชีพอย่างที่อ้างกันมากเกินไป นั้นมันเป็นส่วนน้อย สังคมเดือดร้อนเพราะคนไม่มีศีลธรรม ปัญหาต่างๆทั้งหมดนี้จะแก้ได้โดยสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม เมื่อศีลธรรมกลับมา นายทุนก็ตายหมด ชนกรรมาชีพก็ตายหมด ไม่ปรากฎเป็นนายทุนผู้เอาเปรียบหรือชนกรรมาชีพผู้ยื้อแย่ง เพราะมันจะไม่มีคนจน เพราะมันจะไม่มีคนที่เอาเปรียบ ศีลธรรมแก้ได้ เดี๋ยวนี้ก็จะแก้กันด้วยกำลัง มันก็เป็นไปไม่ได้ คอยดูเถอะ มันต้องแก้กันได้ด้วยธรรมะ ด้วยความรู้สึกที่ถูกต้องพร้อมๆกันทั้งสองฝ่าย นี่คือประโยชน์ที่แท้จริงของศีลธรรม ของการมีธรรมะ ของการที่เราจะศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกแก่ทุกคนในโลก
บางคนก็จะไม่คิดว่าเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องนึกถึงคนอื่นหรือผู้อื่นในโลก คิดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เมื่ออยู่รวมกันแล้วมันก็หลีกไม่พ้น ต้องคิดถึงคนอื่นด้วย ถึงจะช่วยให้เกิดความผาสุกเป็นส่วนรวมด้วย เราไม่อาจจะปิดประตูบ้านแล้วอยู่แต่ในบ้านมีความผาสุกเฉพาะในครอบครัวของเรา อย่างนี้มันทำไม่ได้ ถ้าข้างนอกมันเต็มไปด้วยอันธพาล นี้ต้องศึกษาฝึกฝนให้มีความสามารถในการที่จะขจัดอันธพาลในโลกนี้ ขจัดความเป็นอันธพาลในภายใน..ในตัวเราเองก่อน แล้วก็จะขจัดอันธพาลข้างนอกได้ นี่ถ้าต่างคนต่างที่จะไปบังคับผู้อื่นข่มขี่ผู้อื่น ประพฤติไม่บังคับตัวเองนี้ มันเป็นไปไม่ได้
สิ่งทั้งหมดนี้ ที่พูดมานี้ก็เพื่อว่าจะได้เข้าเรื่องเข้าราวกันกับคำบรรยายชุดที่ต้องการให้เอาธรรมะไปประยุกต์ใช้ให้ได้ อย่างที่พูดกันประจำวันว่าเพื่อประโยชน์อย่างไร ให้มองเห็นแล้วก็จะเกิดกำลังใจในการที่จะอดทน แล้วประพฤติให้ได้ แม้ว่าจะได้ชี้ถึงวิธีว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร มันก็ยังไม่พอ ยังต้องชี้ไปถึงวิธีที่ว่าทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติได้อย่างนั้น เข้าใจว่านี่คือปัญหาที่ทุกคนจะต้องพบ เหมือนอย่างพวกท่านทั้งหลายรู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร อย่างนี้ก็จะพอแล้ว แต่นี่ก็จะปฏิบัติอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรสามารถบังคับให้ปฏิบัติอย่างนั้น เพราะความโลเลหรือความตามใจตัวเองมันมากเกิน มันจึงได้พูดกันส่วนนี้เป็นพิเศษในวันนี้ ก็ถือว่าเป็นข้อตักเตือนแนะนำอะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก เป็นบทสุดท้ายสำหรับท่านทั้งหลายที่ว่าจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ขอให้ได้ไปทั้งความรู้ที่ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร และได้ทั้งความรู้ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติได้อย่างนั้น คือบังคับตัวเองไว้ในอำนาจได้
นี่คือคำพูดในวันนี้ จะถือว่าเป็นโอวาทก็ได้ เป็นพรก็ได้ หรือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายก็ได้ หรือที่ระลึกแก่การที่จะจากไป จึงขอตั้งจิตอวยพรให้เธอทั้งหลายทุกคน จงเป็นผู้ชนะตนด้วยความรู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาได้ฝึกฝนตลอดเวลาที่พักอยู่ที่นี่ จงติดอยู่ในนิสัยเป็นสิ่งคุ้มครองอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็มีความเจริญงอกงาม ปราศจากภัยพิบัติอันตรายทั้งปวงอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ และถือเป็นโอกาสลาอะไรให้เสร็จในการนี้ พรุ่งนี้เมื่อถึงเวลาจากไปก็ไปได้ ไม่ต้องลาอีกที มันเรียบร้อยดี มันไม่ฉุกละหุก