แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
๒๕๑๕ สำหรับพวกเราที่นี่ได้ล่วงมาถึงเวลา ๔:๓๐ น. แล้ว เป็นเวลาที่ได้กำหนดไว้สำหรับจะได้บรรยายเรื่องต่อจากที่บรรยายแล้วในครั้งก่อน เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ต้องขอร้องให้เอ้อ, ทุกคนทบทวนอยู่ในใจเสมอไป ถึงข้อที่ว่าปัญหายุ่งยากลำบากทั้งหลายเกิดขึ้นในโลกก็เพราะสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมทางเนื้อทางหนัง มันมิได้เกิดจากสิ่งที่เรียกว่ามนุษยธรรมเลย อารยธรรมทางเนื้อหนังตั้งรากฐานอยู่บนความรู้สึกว่าตนและความเห็นแก่ตน หรือว่าอ้า, ถ้ารู้สึกว่าตนหรือความเห็นแก่ตนนั้น มันก็ได้เป็นเหตุให้เกิดความก้าวหน้าในอารยธรรมทางเนื้อทางหนัง มันอยู่กันแต่อย่างนี้ แล้วเราก็ได้พิจารณากันถึงข้อที่ว่ามันมีปัญหาเรื่องยากลำบากเกี่ยวกับการที่จะทำความเข้าใจในเรื่องตน ปัญหาในตอนนี้มันอยู่ที่ว่า ตนไม่ได้มีอยู่จริง มันมีแต่ความรู้สึกว่าตนไปตามอำนาจของอวิชชาของความไม่รู้เท่านั้น ทุกอย่างว่างเปล่าจากสิ่งที่เรียกว่าตนหรือความหมายของคำว่าตน แต่จิตก็ยังรู้สึกว่าตนอยู่นั่นเอง ถ้าเรื่องนี้ไม่ลำบากในการเข้าใจ คนก็เข้าใจกันเสียหมด เมื่อไม่เข้าใจมันก็ละไม่ได้ จึงต้องทำความเข้าใจกันเรื่อยๆ ไป จนกว่าจะให้เข้าใจให้มันละได้
สำหรับในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อที่ว่า เมื่อมันไม่ใช่ตน ทำไมมันจึงเกิดความรู้สึกว่าตน ประเด็นของปัญหาเอ้อ, มันมีอยู่ว่า ทุกสิ่งต่างๆ ไม่ใช่ตน จิตใจเรามิใช่ตน สิ่งที่เนื่องกันกับจิตใจก็มิใช่ตน ทำไมจิตใจมันจึงเกิดความรู้สึกว่าตน มันควรจะคิดดูให้ดีว่าไอ้สิ่งที่ไม่ใช่ตน ทำไมมันจึงไปเกิดความรู้สึกว่าตน มันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ หรือ ไม่ ไม่น่าจะเป็นได้ ขอให้มองย้ำตรงนี้ให้ดีๆว่า มันไม่ใช่ตนแต่ทำไมมันจึงไปเกิดความรู้สึกว่าตน ถ้ามองเข้าใจตรงนี้ก็จะเข้าใจได้ถึงสิ่งที่เรียกว่ามันเป็นมายา มันเป็นอ้า, ของหลอกลวง เป็นของเท็จ ทำให้สัตว์เข้าใจไม่ได้ หรือเข้าใจตรงกันข้าม เป็นของที่กลับตรงกันข้ามอยู่เสมอไป เมื่อเข้าใจผิดตรงกันข้าม เรื่องต่างๆ มันก็ผิดไปหมด มันเลยเป็นเรื่องที่คาราคาซังกันอยู่อย่างนี้จนเป็นโรคเรื้อรังถอนยาก แต่แล้วเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องหัวใจของพุทธศาสนาทั้งหมด เราเลยปล่อยไว้อย่างนั้นไม่ได้ ต้องพยายามทำความเข้าใจ เอ้อ, กันให้ได้ เพื่อเข้าใจพุทธศาสนาด้วย เพื่อทำความดับทุกข์ให้แก่ตัวเองด้วย ตลอดถึงเพื่อสั่งสอนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้รู้เรื่องนี้ด้วย นี้แหละคือหน้าที่เอ้อ, หรือกิจกรรมอันสำคัญของพุทธบริษัท ดังนั้นขอให้ตั้งใจฟังให้ดีๆ เพื่อจะเข้าใจในปัญหาว่าเมื่อทุกอย่างมิใช่ตนและว่างจากตน แต่ทำไมมันจึงเกิดความรู้สึกว่าตนหรือของตนเสียเรื่อยไป สำหรับคำตอบมันก็มีได้หลายชั้น อย่างแรกที่สุดจะตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ไม่มีทางผิดว่า เพราะไอ้พวกเรานี้มันเป็นกันแต่เพียงคน ไม่เป็นมนุษย์ ตอบอย่างนี้มันชวนวิวาท เพราะคนมันเป็นแต่เพียงคนยังไม่เป็นมนุษย์มันก็เหมือนกับคำด่า ถ้าเป็นมนุษย์ก็ไม่ควรจะไปรู้สึกว่าตนในสิ่งที่มิใช่ตน หรือว่าเมื่อเอ้อ, สิ่งต่างๆ มันมิใช่ตนอยู่แล้ว ถ้าเป็นมนุษย์จริงมันก็ไม่ควรจะไปมีความรู้สึกว่าตน เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นมนุษย์ตามความหมายที่สูงสุด คือใจมันไม่สูง ใจมันยังเป็นต่ำ เอ้อ,ยังต่ำยังเป็นแต่เพียงคน ก็เลยเอาสิ่งที่มิใช่ตน สำคัญสิ่งที่มิใช่ตนว่าเป็นตน นี่ก็เป็นคำตอบว่ากันว่ากำปั้นทุบดิน มันไม่มีทางผิด มันเป็นคำตอบที่หยาบๆ กว้างๆ เพื่อเตือนให้ระลึกนึกเอ้อ, ถึงตัวเองให้ดีๆ ในเบื้องต้นก่อน ทีนี้ถ้าจะตอบอย่างที่ไม่ชวนวิวาทก็อยากจะตอบว่า เพราะว่ามันมีการถ่ายทอดสัญชาตญาณแห่งตัวตนนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ ดึกดำบรรพ์ก็หมายความว่าตั้งแต่ครั้งแรก เอ้อ, เริ่มเดิมทีที่สัตว์ที่มีชีวิตจะได้เกิดขึ้นมาในโลก ดึกดำบรรพ์จนไม่รู้ว่าครั้งไหน พูดได้แต่เพียงว่าครั้งที่มันเอาสักว่าเกิดสัตว์ที่มีชีวิตขึ้นมาในโลกมันก็เริ่มมีสัญชาตญาณอันนี้เกิดขึ้น แล้วก็เจริญขึ้นด้วยและสืบๆๆ สืบกันมาเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงวันนี้และจนกระทั่งถึงวันอ้า, ข้างหน้าในอนาคตชั่วสัตว์มันยังมีอยู่ มันก็ต้องมีความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณชนิดนี้ถ่ายทอดโดยสายเลือดกันเรื่อยไป สำหรับคำว่าสัญชาตญาณนั้นบางคนยังไม่เข้าใจก็ได้ แต่ที่เป็นนักศึกษาก็ย่อมจะเข้าใจได้ดี พวกความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติ เกิดขึ้นในจิตใจของสัตว์นั้นๆ อันนี้มันเป็นความลับอันหนึ่งซึ่งถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้สังเกตแล้วก็จะไม่ทราบ อย่างถ้าได้สังเกตว่าผึ้งเอ่อ, มันทำรังสวยงามของมันได้โดยที่มันไม่ได้ อา, ลูกผึ้งนั้นมันไม่ได้เรียนจากแม่ผึ้ง ไม่มีใครมาสอนให้ เหมือนกับที่เราไอ้, สอนการจักสานเป็นต้นให้แก่กันและกัน กว่าจะสานกระบุงตะกร้าเป็นก็ต้องสอนกันหลายที แล้วก็ไม่สวยเหมือนรังผึ้ง ไอ้ตัวผึ้งมันก็บินออกไปจากไอ้, รังเดิม ฉะนั้นลูกๆ ของมันก็ต้องบินออกไปจากรังเดิมแล้วก็ไปสร้างรังใหม่ ทุก ทุกๆ รังจะเหมือนกัน จะสวยเหมือนกันหมด มันรู้จักทำให้เป็นอย่างนั้นๆ โดยอำนาจ อา, ของสัญชาตญาณ ไม่ต้องมีใครสอน นี่เราสังเกตเพียงข้อนี้ก็จะได้เห็น ก็จะเห็นได้ว่ามันมีอะไรแปลกอยู่ ทีนี้ที่เรื่องที่มันรู้จักกิน รู้จักเอ่อ, รู้จักเอ่อ, สืบพันธุ์ รู้จักคลอดลูก เลี้ยงลูก มันก็เป็นเรื่องที่ลึกลับยิ่งขึ้นไปกว่านั้น เช่น สุนัขมันคลอดลูกออกมามันก็รู้จักทำของมันทุกอย่าง จนกระทั่งลูกรอดชีวิตและเติบโตขึ้นมาได้และเฝ้าดูตั้งแต่ต้นจนตลอด เราก็เห็นว่ามันทำของมันได้ถูกต้องในลักษณะที่ว่าลูกของมันจะรอดออกมาได้ จะลืมตาขึ้นมาได้ เติบโตขึ้นมาได้ มันทำอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็ดูว่ามันเหมือนกันทุกตัว ความรู้ชนิดนี้เอ่อ, มันเอามาจากไหน มันก็ติดมาในสายเลือดที่ถ่ายทอดกันทางสายเลือด โดยหน่วยที่เขาเรียกว่ายีนหรืออะไรทำนองนั้น จำชื่อไม่ค่อยได้ แต่เข้าใจได้ว่ามันมีไอ้สิ่งหนึ่งมันถ่ายทอดกันมาอย่างนี้ มาเบิกบานออกเป็นจิตใจได้ สิ่งที่ถ่ายทอดกัน มันก็เป็นเรื่องวัตถุ แต่ในวัตถุนั้นมันก็มีจิตใจ มาขยายตัว มาเบิกบาน มาเอ่อ, เป็นจิต เป็นความรู้สึกทางจิตใจได้ มันได้เหตุได้ปัจจัย สิ่งที่เรียกว่า ไอ้จิตนี่มันลึกลับ ความรู้สึกหรือความรู้ก็ตามของจิตนั้นมันก็ลึกลับ ลึกลับ ในทางอื่นมันถ่ายทอดกันได้ ในทางความรู้สึกว่าตัวกูนี้ มันก็ถ่ายทอดกันได้ ทีนี้ความลับมันยังมีต่อไปอีกว่า ถ้ามันเกิดไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูของกู ไม่เห็นแก่ตัวกูของกู มันก็จะไม่ทำอะไรเอ่อ, ที่จะเป็นเหตุให้ตัวกูรอดอยู่ได้ อะไรต่างๆ ที่สัตว์มันรู้จักทำได้เอง มากมายหลายอย่าง หลายสิบอย่างก็ได้ ก็เพื่อให้ตัวกูมันรอดอยู่ได้ มันก็คือสัญชาตญาณอันนี้ ก็เป็นอันว่ามันเป็นสิ่งที่ทิ้งกันไม่ได้ อา, สิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ทิ้งกันไม่ได้กับสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เพราะว่าชีวิตจะต้องมีสมบัติติดตัวประจำตัวอยู่อย่างหนึ่งคือสัญชาตญาณ โดยรายละเอียดมันก็มีมาก เราอาจจะเห็นไอ้ลูกสัตว์เล็กๆ เอ้อ, มันกินอาหารได้โดยไม่ต้องสอน เพราะมันจะมีความหิว ความหิวบังคับให้กิน มันก็กินได้ถูกต้อง มันก็กินด้วยปาก นี้ บางสิ่งบางอย่างเอ่อ, มันจะไม่กิน บางสิ่งบางอย่างแม้ไม่เคยกินมันก็กิน หรือมันๆ มันคล้ายๆ กับมันรู้ว่ากินได้ เพียงแต่ดมมันก็รู้ว่ากินได้ ไม่มีใครสอนมันทีแรก ยิ่งดูไป ยิ่งดูไปก็ยิ่งพบไอ้ความน่าอัศจรรย์หรือจะเรียกว่ามหัศจรรย์ มหาอัศจรรย์ กระทั่งเป็นความลึกลับที่น่าอัศจรรย์ที่มันมีอยู่ในสิ่งที่มีชีวิต ว่าทั้งหมดนั้นมัน มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าตัวกู ที่เป็นเพียงสัญชาตญาณเท่านั้น ถ้ามันไม่มีสัญชาตญาณแห่งตัวกูแล้วมันก็ไม่ทำอะไร สิ่งต่างๆ มันก็มิได้คงอยู่จนถึงบัดนี้ อา, มันไม่ได้เกิดขึ้นเลยก็ได้ หรือว่าเกิดขึ้นแล้วมันก็จะตายด้านไป สูญหายไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้ แต่นี่มันก็อ้า, เกิดขึ้นแล้ว แล้วมันก็กำลังเกิดขึ้นในลักษณะที่แปลกๆ แปลกออกไปทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด จนในโลกนี้มันมีอะไรเต็มไปหมด แม้แต่ต้นไม้ ไอ้พันธุ์ขนุนอย่างของเรานี้มันก็มีหลายสิบชนิด ไอ้ขนุนอย่างเดียวนี้ ซึ่งทีแรกมันจะเกิดเอ้อ, มากมายอย่างนี้ไม่ได้ มันมีเพียงหนึ่งชนิด เอ้อ, สองชนิด แล้วมันก็แยกแขนงเปลี่ยนแปลงออกไปทีละนิด ทีละหน่อยต่างกัน สัตว์ก็เหมือนกัน คนก็เหมือนกัน ในคนนี่ยิ่งเป็นเร็วกว่าเพราะเคลื่อนไหวได้ ไปมาติดต่อกันได้ คิดนึกได้มาก อะไรได้มาก มันก็แปลกออกไปนั้นโดยร่างกายและโดยจิตใจ จึงมีการค้นคว้ามีการประดิษฐ์ มีการทำไอ้ที่เขาเรียกกันว่า ความก้าวหน้าความเจริญ แล้วเป็นทางวัตถุ เป็นทางเนื้อหนัง กลายเป็นทำมาโดยความเห็นแก่ตัว ด้วยความรู้สึกว่ามีตัว ฉะนั้นมันจึงฝังแน่นกันอยู่กับไอ้ชีวิตและการกระทำและความรู้สึกว่าตัว นี่เรามันจึงเกิดไอ้ความรู้สึกว่าตัวหรือเห็นแก่ตัวได้ โดยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณนั้น ทีนี้มันเสียอยู่อย่างเดียวน่ะว่าทำไมสัญชาตญาณนี้มันช่างไม่รู้สึกเสียเลยว่ามันไม่ใช่ตัว แล้วมันถึงจะได้สูญสลายไป เอ่อ, โดยไม่ต้องยุ่งยากลำบาก คือมันจะนิพพานไปในตัวของมัน ทำไมสัญชาตญาณนี้ไม่มีทางรู้สึกว่ามิใช่ตัว มันรู้สึกแต่ว่าตัวๆ หรือของตัวเรื่อยๆ มาจนบัดนี้ จนถึงเวลานี้ที่มีปัญหาอยู่กับพวกเรานี้ ว่าทำไมไอ้สิ่งที่มันไม่ใช่ตัวแท้ๆ มันดันไปเกิดไอ้ความรู้สึกว่าตัวเสียเรื่อย ถ้ามองให้ดีก็ควรจะเรียกว่านี่คือบาป บาปดั้งเดิมติดกันมา พร้อมกันมากับจุดตั้งต้นของชีวิต เขาใส่บาปมาให้เสร็จ ถ้าไม่มีบาปอันนี้แล้วมันก็ไม่เวียนว่ายไปในวัฏสงสารเลย แต่บางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่บาปนะ บุญด้วย ที่มันรู้อะไรอย่างนี้มาเสร็จ แล้วก็เวียนว่ายกันไป อีหลุก ขลุกขลัก มันก็สนุกดี เอ่อ, เป็นบุญ นี่ปุถุชนจะเห็นไปเสียอย่างนั้น เขาจะได้มาเวียนว่ายในวัฏสงสาร อย่างที่ยากลำบากระหกระเหิน กระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลานี้ มันสนุกดี คือเห็นอย่างนี้มันก็ไม่คิดที่จะละหรือข้ามไปเอ้อ, จากวัฏสงสาร ก็ผสมโรงกันสนุกกันไปเลย นี่คือการหลับหูหลับตาแล้วก็เรียกว่าปุถุชน นี้ของบังลูกตาหนามาก เกิดมีคนสังเกตเห็นขึ้นมา คือบุคคลประเภทพระอริยเจ้าไม่ต้องการจะเป็นอย่างนี้ มันก็เกิดปัญหา ประชันหน้ากันขึ้นกับสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณ ซึ่งเคยเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามที่จะต้องต่อสู้จะต้องรบกันกับสัญชาตญาณ จึงเกิดมีเรื่องราวที่จะต้องแก้ไขสัญชาตญาณ ซึ่งชินกับความรู้สึกว่าตัวตนมาเป็นแต่ดึกดำบรรพ์นี้ มันเป็นความรู้เฉพาะตน เฉพาะคน เฉพาะตัวเพื่อจะละสัญชาตญาณนั้นเสีย แล้วก็จะได้กลายเป็นความรู้สึกที่ไม่มีตน นี่ของเรา พุทธศาสนาเรา มันมาเสียอย่างนี้จนเป็นปฏิปักษ์กันไปความรู้สึกสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ทีนี้ของศาสนาอื่นที่ตรงกันข้ามเช่นศาสนาพราหมน์ ศาสนาฮินดู เป็นต้น เขาไม่เอาอย่างนี้ เขาเอาเข้ารูปกับสัญชาตญาณไปเลย เมื่อสัญชาตญาณของเรามีตนก็เอาสิ มันก็เลยยอมรับว่าในแง่ Positive ตามนั้น เพื่อมีตน แต่เพื่อมีตนให้ดียิ่งขึ้นไป ดียิ่งขึ้นไป ดียิ่งขึ้นไป จนกระทั่งว่ามีตนที่แท้จริงเป็นตนที่ถาวรอยู่ตลอดกาล ไม่ต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณ ก็รับเอาสัญชาตญาณนั้นเป็นหลักเกณฑ์ไปเลย มีตัวตน สัญชาตญาณแห่งความมีตัวตนดีแล้ว ก็ปรับปรุงขยายตัวตนเรื่อยไปจนกว่าจะเป็นตัวตนสูงสุดเป็นมหาตมัน (นาทีที่ 22:39) แล้วก็เป็นปรมาตมัน เป็นมหาอัตตาแล้วก็เป็นบรมอัตตาแล้วก็ถาวร เป็นอนันตกาลเป็นนิรันดร นี่มันได้เปรียบกันอย่างนี้ พวกที่รับเอาสัญชาตญาณเป็นหลักไปเลยมันก็มีตัวตนไป เขาก็ได้เปรียบที่ไม่ต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน ไอ้เราพุทธะ พุทธะ อ้า, พุทธศาสนานี้ มันเกิด ไปลืมหูลืมตาอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ พุทธะ นี้ ก็แปลว่า ตื่นนอนอยู่เรื่อย มันก็เกิดลืมหูลืมตาเห็นแนวทางที่ว่าไอ้สัญชาตญาณนี้เองทำความยุ่งยากลำบาก ฉะนั้นจะต้องแก้ไขปรับปรุงชำระสะสาง หรือว่าจะต้องสร้างไอ้ญาณอันอื่นมา บังคับควบคุมอย่าให้สัญชาตญาณมันแสดงบทบาทของมันเต็มที่เต็มเหวี่ยงคือมันไม่ตัวตนจัด มีของตนจัดเต็มเหวี่ยง มันก็มีความทุกข์แบบนี้ นี่ก็ต้องสร้างไอ้, ญาณที่ไม่ใช่สัญชาตญาณขึ้นมาควบคุมไอ้สิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณโดยเฉพาะ ก็คือสัญชาตญาณแห่งตัวตน สร้างญาณที่เป็นมรรคญาณ ผลญาณ อะไรญาณก็สุดแท้ละ แต่มันไม่ใช่สัญชาตญาณทั้งนั้น มันล้วนแต่ไม่ใช่สัญชาตญาณทั้งนั้นเป็นญาณอันใหม่ที่มันเป็นไปเพื่อต่อสู้กับสัญชาตญาณจนกว่าจะชนะ ชนะเด็ดขาดก็เป็นมนุษย์แบบนี้ เป็นพระอรหันต์ ถ้ายังต้องไปตามอำนาจสัญชาตญาณก็เป็นปุถุชนไปก่อน ฉะนั้นหลักการมันจึงต่างกันลิบระหว่างไอ้ลัทธิที่มองเห็นความไม่ ไม่ใช่ตัวตนแล้วก็ต้องการจะเอ้อ, ไม่มีตัวตน กับไอ้ลัทธิที่มันมีตัวตน มันก็ส่งเสริมไปให้เป็นตัวตนที่สูงสุด มันจะมีทางประนอมกันได้อย่างไรอ้า, ก็ค่อยๆ ค่อยพิจารณากันทีหลัง มันจะอยู่ร่วมโลกกันได้อย่างไรสำหรับลัทธิที่มันต่างกันอย่างนี้ ทีนี้เรียกว่าถ้าเรามองดูกันโดยสัญชาตญาณ ก็มองเห็นว่ามันเป็นสัญชาตญาณอันหนึ่งประจำสิ่งที่มีชีวิต ทำให้ไอ้สิ่งที่ไม่ใช่ตนน่ะ ชีวิตลิขิตที่ไม่ใช่ตนน่ะมันเกิดความรู้สึกเป็นตัวตนเสียเรื่อย ก็เป็นของธรรมดาอันหนึ่ง ทีนี้ถ้าเราจะตอบอย่างอื่นก็ยังตอบได้อีกอย่างกำปั้นทุบดิน อย่างเดียวกัน หรือจะตอบอย่างภาษาวัดๆวาๆที่มันสืบๆกันมาในวัดนี้ ก็เพราะจิตมันมีแต่อวิชชาที่ทำให้เกิดอุปาทาน ยึดถือว่าตัวตน นี่คือวิธีการหรือภาษาของทางวัดพุทธบริษัทแท้ จะไม่ไปคิดให้มันมาก ให้มันลึก ให้มันไกลไปถึงไอ้, อดีตหนหลังจนถึงดึกดำบรรพ์น่ะ มันไม่ต้องคิดก็ได้ แต่มันจะมองดูที่นี่และเดี๋ยวนี้ในปัจจุบันแท้ๆ นี้ ว่ามันมีอะไรอันหนึ่งคือเอ้อ, คือ อวิชชานี่แหละ คือความโง่ ความหลงนี่แหละ ปัจจุบันนี้แหละมันเกิดขึ้น เอ้อ, พรวดพราดออกมาได้ จากความที่มันปราศจากความรู้ เพราะมีอวิชชาอันนี้มันจึงไม่รู้ แล้วมันก็โง่ แล้วมันก็หลง แล้วมันก็ไปเกิดความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นไอ้คนหรือร่างกายหรือจิตใจอะไรรวมๆ กันนี้แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตนแต่มันเกิดความรู้สึกว่าตัวตน เพราะมันเกิดสิ่งที่เรียกว่าอวิชชาขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เราไม่ต้องย้อนไปหาไอ้, รากเหง้าหรือจุดตั้งต้นของอวิชชา ทางหลักในภาษาบาลีก็มันมีอยู่เหมือนกันว่า อนมตัคโคยัง อนมตัคโคอะยัง ภิกขเว อวิชชา(นาทีที่ 27:37) นี่ จำได้ว่าอย่างนี้ แต่บาลีนี้มันก็ยุ่งยากเอ้อ, ไม่สำคัญละ พูดเป็นไทยๆ ดีกว่าว่าไอ้, ภิกษุทั้งหลาย อวิชชานี้มีจุดตั้งต้นที่บุคคล ผู้ไปตามอยู่ก็รู้ไม่ได้ หมายความว่าเราอยู่ด้วยอวิชชาไปด้วยกันกับอวิชชาก็ไม่รู้ว่าอวิชชามันตั้งต้นที่ตรงไหน ฉะนั้นป่วยการไปคิดมันว่ามันตั้งต้นที่ตรงไหน จัดการไอ้ที่มันกำลังเกิดหรือมันกำลังจะเกิดเดี๋ยวนี้ดีกว่า ปัญหาจะได้เหลือน้อยเข้า บางทีก็ใช้คำว่า อนมตัคโคยัง ภิกขเว สังสาโร (นาทีที่ 28:35) สังสารวัฏนี่ไม่รู้มันตั้งต้นจากครั้งไหน มันก็สิ่งเดียวกันกับอวิชชา มันตั้งต้นมาแต่ครั้งไหนก็รู้ไม่ได้ เรามีหลักที่จะไม่ไปเสียเวลาเอ้อ, ค้นหาเรื่องอดีต คือไม่ ไม่ ไม่ไปเสียเวลากับอดีตและก็ไม่ไปเสียเวลากับอนาคต ให้มันเปลืองหัวยุ่งหัว จะใช้ไอ้, ไอ้, ไอ้เวลา อา,ใช้อะ กำลังทั้งหมดนี้จัดการกับเวลาที่มันเป็นปัจจุบัน เมื่อตาเห็นรูป พอหูฟังเสียง เมื่อจมูกกระทบกลิ่นนี่มันจะเกิดอะไรขึ้น สนใจแต่ปัจจุบันนี้ เพราะว่าเรามี มีบุญนะที่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระอริยเจ้าที่สอนสืบๆ กันมาจนถึงพวกเราเวลานี้ ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นอย่างไร ดูให้ดี ให้มีสติสัมปชัญญะ อย่าไปหลงอย่าไปเข้าใจผิด โดยเฉพาะเมื่อมันจะเกิดเรื่อง เมื่อมันจะเกิดเรื่องนั้นก็คือเมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น เป็นต้น มีสติสัมปชัญญะว่านี่ มันสักแต่ว่านี่ สักแต่ว่าอย่างนี้ สักแต่ว่าธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ เอ่อ, สักว่าธาตุตามธรรมชาติคือธรรมชาติตามธรรมชาติ หรือจะเรียกว่าธาตุตามธรรมชาติก็ตามใจ ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์ เหมือนที่เราสวดปัจจเวกขณ์ (นาทีที่ 30:45) สวดทุกวัน นี้เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติอยู่เนืองนิตย์ นิสสัตโต นิชชีโว สุญโญ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ตัวตนเราเขา ว่ากันจนคล่องปากแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร มันว่าอย่างเดียว ไม่เข้าใจ ขอให้ช่วยกันขยันทำความเข้าใจไอ้, ยะถาปัจจะยัง นี้ให้มาก ให้มันเป็นสติสัมปชัญญะได้ ทันควันทันเวลาที่เรื่องมันเกิดขึ้นคือตากระทบรูป เป็นต้น แบบโบราณของเราสอนให้เดินไป เอ้อ, บิณฑบาตร ก็ยังทำในใจว่า ยะถาปัจจะยัง อยู่ตลอดเวลา ก่อนไปบิณฑบาตร ตื่นขึ้นมาก็ ปัจจเวกขณ์ ยะถาปัจจะยัง นี้ให้มาก ให้มากที่สุดที่จะมากได้ สมัยก่อนได้รับการสั่งสอนว่า ๑๐๘ ครั้ง ฉะนั้นตื่น ตื่น ตื่นตั้งแต่ตีสาม ตีสี่ พิจารณา ยะถาปัจจะยัง ๑๐๘ ครั้งจึงสว่าง จึงไปบิณฑบาตรก็ยังเดินว่าไปอีก เดินพิจารณาไปอีก เดี๋ยวนี้มันเราได้แต่ว่า ได้แต่ท่อง ไม่ได้พิจารณา ยะถาปัจจะยัง จึงได้แต่ท่องจนขึ้นสมอง ไม่มีความเข้าใจที่ขึ้นสมอง ไม่มีความเห็นแจ้งที่ขึ้นสมอง มันน่าสงสารตอนนี้ แล้วมันแก้ปัญหาปัจจุบันไม่ได้ เมื่อตากระทบรูป เป็นต้น ยะถาปัจจะยัง ก็ไม่มา ถ้ามาก็มาอย่างท่องแล้วมันจะแก้กันได้อย่างไร มันก็เป็นเรื่องหนักหัว มันต้องมีสติปัญญามีแสงสว่างของ ยะถาปัจจะยัง อยู่ เพราะมันมาในรูปของสติสัมปชัญญะทันควันที่ตากระทบรูป เป็นต้น นี่มันจีงจะสำเร็จประโยชน์ เมื่อไม่ทำได้ เมื่อทำไม่ได้อย่างนี้มันก็มีอวิชชาเกิดขึ้นทุกทีไป ที่มันควรจะเกิด ที่มันอาจจะเกิดมันก็เกิดทุกทีไป เราจึงมีความรู้สึกในใจเป็นตัวเป็นตนทั้งที่สิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน มันก็เกิดความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนทุกทีไป ในเมื่อมันมีเรื่องอย่างนี้ตากระทบรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น เมื่ออารมณ์นั้นมันมีความยั่วยวนพอ อวิชชามันก็ทำงานตลอดเวลาจึงเกิดเป็นความอยาก ความต้องการ มันก็มีความรู้สึกส่วนหนึ่งแยกตัวออกมาเป็นตัวผู้อยาก ผู้ต้องการ นี่ใจความมันมีเพียงเท่านี้แต่รายละเอียดมันมีมาก ซึ่งยังจะต้องพูดกันต่อไปอีกสักหน่อยเพื่อให้เข้าใจให้ดีที่สุดว่า ทำไม ในเมื่อไอ้สิ่งทั้งหลายมันไม่ใช่ตัวตน ไอ้สิ่งทั้งหลายมันก็เกิดความรู้สึกว่าตัวตนอยู่ในใจเสียเรื่อย ไปทบทวนดูให้ดีๆ อย่างคำตอบที่ตอบมาแล้ว พอเป็นตัวอย่าง ๓ แนวหรือ ๓ สามทาง ทำไม เมื่อถามว่าทำไมสิ่งต่างๆ ที่มิใช่ตน เออ, ชีวิตที่มิใช่ตนมันผ่าไปเกิดไอ้ความรู้สึกเป็นตนเสียเรื่อย นี่เราก็มองเห็นชัดถึงเงื่อนงำของอวิชชาอยู่ในนั้นแล้ว มันมิใช่ตน แต่มันไปมองเห็นเป็นตนเสียเรื่อย ก็คืออวิชชา นั่นแหละคือสภาพ คือลักษณะ หรือกิริยาอาการไอ้ของสิ่งที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา แปลว่า ปราศจากวิชชาก็ได้ แปลว่ามิใช่วิชชาก็ได้ มันเป็นความรู้เป็นความรู้สึกไม่ใช่ไม่รู้ แต่มันเป็นความรู้ที่ไม่ใช่วิชชา มันเป็นความรู้ที่เป็นอวิชชา เมื่อมีความรู้ที่เป็นอวิชชาอย่างนี้ก็เรียกว่าไม่ใช่คน อา, ไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงสัตว์ธรรมดา ยังไม่ใช่มนุษย์ ยังเป็นเพียงชนซึ่งแปลว่า เกิดมา ใครๆ ก็เกิดมา สัตว์ก็เกิดมา มันก็เป็นสัตว์ที่เกิดมา สำหรับคนมันก็เรียกว่า ชน ประชาชน มหาชนอะไรก็ตาม นี่สักว่าเกิดๆ ตามๆ กันมาจนเต็มโลก มันก็เป็นชน มันก็เป็นคน มันก็ยังไม่เป็นมนุษย์ ต่อเมื่อมันจะเป็นไอ้, คนที่ดีกว่านั้น จะเป็นนร นรชนอะไรขึ้นมา เป็นมนุษย์ อา,ขึ้นมานี้ จึงจะ จะค่อยๆ ค่อยๆ มีวิชชา ค่อยๆ หมดอวิชชา แต่มันไม่ได้ ไม่ได้หมดสิ้นเลยนี่ มันก็เป็นกัลยาณชน เป็นอะไรชนขึ้นมาตามลำดับ จนเป็นนรชนเป็นอา, มนุษย์ที่สมบูรณ์ ว่ามีปัญญาอย่างมนู ถ้าไปยอดสุดอีกก็เป็นเอ้อ, มนุษย์ที่เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ หรือจะเรียกพระอรหันต์ว่า มนุษย์ยอดสุดสมบูรณ์ก็ได้ นั้นก็หมายความว่า มันเป็นการกำจัดไอ้สิ่งที่เรียกว่า อวิชชา ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เกิดญาณที่จะทำให้เจริญขึ้นโดยภาวนา ภาวนาทำให้เกิดญาณอันใหม่ขึ้น เพื่อรู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณ แก้ไขพฤติกรรมต่างๆ ของสัญชาตญาณ ให้มันมารู้อย่างไอ้, อย่างมัน อย่างนี้ อย่างวิปัสสนาญาณนี้ ไอ้สัญชาตญาณมันก็ ก็ยังเหลืออยู่แต่ในรูปที่จำเป็น ไอ้รูปที่มันทำให้โง่ ให้หลง ให้อะไรมากๆ นั้นมันถูกล้าง ถูกชะออกไป ถูกเอ้อ, ทำลายออกไป ถ้าไอ้สิ่งที่เรียกว่า วิปัสสนาญาณนี้ ขอ ขอเรียกไอ้สิ่งนี้ว่า วิปัสสนาญาณ คือทำขึ้นได้ด้วยภาวนานี้ มันทำหน้าที่ของมันแล้วมันก็ควบคุมไอ้, ไอ้สัญชาตญาณเดิมๆ นั้น อย่าให้แสดงบทบาทไปในรูปของอวิชชา คงเหลือแต่ที่มันจำเป็นที่จะต้องเออ, หล่อเลี้ยงไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้ไว้ แต่ว่าอย่าให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกู ฉะนั้นชีวิตมีอยู่ได้โดยอำนาจของวิปัสสนาญาณโดยไม่ต้องมีตัวกู มันก็ไม่ตายทั้งนั้น มันรู้จักทำให้ถูกต้องด้วยวิปัสสนาญาณ แทนที่ว่ามันจะเป็นไปตามอำนาจของสัญชาตญาณ มันก็เลยกลายเป็นชีวิตที่อยู่ได้คือไม่ตาย มันก็กลายเป็นชีวิตที่ตื่นขึ้นมา ที่เบิกบานขึ้นมา ที่สดใสแจ่มใสขึ้นมา เพราะสิ่งที่เรียกว่าไอ้, วิปัสสนาญาณ คือญาณความรู้ที่เราได้มาใหม่ในเมื่อปฏิบัติถูกวิธี ควบคุมสัญชาตญาณได้ สัญชาตญาณก็เหลืออยู่แต่ส่วนน้อยเท่าที่จำเป็น หรือว่าเราจะทิ้งหมดเลยก็ได้ ถือเอาตามความรู้อย่างวิปัสสนาญาณไปหมด แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไอ้ความรู้สึกตามสัญชาตญาณที่ไม่เป็นภัย ไม่อัน ไม่เป็นอันตราย มันก็ไม่ขัดขวางกันกับวิปัสสนาญาณ มันก็มีเหมือนกัน คือสักแต่ว่า มันจะรู้จักกิน เอ้อ, รู้จักดื่ม รู้จักกิน รู้จักอาบ รู้จักถ่าย รู้จักทำอะไรไปตามสัญชาตญาณนี้ แต่ก็ต้องในความควบคุมของไอ้วิปัสสนาญาณนี้เสมอไป ชีวิตระบบใหม่มันก็เป็นอย่างนี้ มันละจากระบบสัญชาตญาณล้วนๆ มาเป็นไอ้ระบบที่สว่างไสว คือ ไม่มืดอีกแล้ว จึงเรียกว่า วิ วิ แปลว่า แจ้ง คือวิเศษ หรือแปลกออกไป คุณเป็นนักเรียนเป็นนักศึกษาอา, ก็รู้ไว้บ้าง มันเป็นความรู้ทางภาษาศาสตร์ คำว่า วิ นี้ความหมาย เอ่อ,อุป อุปสรรคนะไม่ใช่คำ ไอ้คำว่าวินี้ไม่ใช่คำพูดแต่เป็นคำ เป็นอุป อา, เป็นอุปสรรคคือคำนำหน้า เป็น Prefix ในภาษาอังกฤษ คำว่า เอ้อ, คำว่า วิ หรือเขียนว่า วิ นี้มันมีความหมายว่า วิเศษ ก็ได้ สว่างไสว ก็ได้ ว่าแปลกออกไปก็ได้ เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าวิปัสสนาญาณนี้ถูกแท้เลย คือมัน วิ เข้ามา ปัสสนาก็แปลว่า เห็น เห็น วิ วิ เข้ามา คือ คือว่า พิเศษออกไป แจ่มแจ้งออกไป แปลกออกไป มันจึงแปลกแตกจากสัญชาตญาณเดิมๆ ไอ้ที่เป็นอวิชชามันก็กลายเป็นวิชชา พอมาถึงคำว่าวิชชานี้ก็อย่างเดียวกันอีกแหละ ไอ้ วิ มันแปลว่า แปลกออกไป หรือแจ่มแจ้ง หรือพิเศษ ไอ้ ชา มันแปลว่า รู้ วิชานี่ที่ใช้ในภาษาไทยเขียนเป็นวิชา ตัว ช. ตัวเดียว ชา นี่ ถ้าภาษาบาลีก็ วิชชา ต้องการให้พูดเต็มตัว ให้ ให้ ให้แน่นแฟ้น ซ้อน ช.เข้ามา มันวิชชา ที่จริงก็คำเดียวกัน วิชชา ก็คือวิชา วิ ก็แปลว่า แจ้ง ไอ้ ชาก็แปลว่ารู้ วิชาก็คือรู้แจ้ง รู้พิเศษ รู้วิเศษ รู้แปลกออกไป มันก็เลยแปลกจากเดิม ถ้าเรายิ่งมีวิชาเท่าไร เราก็ยิ่งแปลกไปจากเดิมเท่านั้น มันแจ่มแจ้ง วิเศษ พิเศษ แปลกไปจากเดิมเท่านั้น วิชชาจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี ขอพูดว่ามัน มันมีประโยชน์ที่สุด มันจำเป็นที่สุด แม้มันเป็นวิชาของลูกเด็กเด็กอมมือมันก็ยังวิเศษนี่แหละ มันวิเศษสำหรับเด็กอมมือ แล้วมันก็วิเศษสูงขึ้นๆ จนถึงไอ้คนสูงอายุทั้งโดยทางร่างกาย ทั้งโดยทางจิตใจ สูงสุดในทางจิตใจก็เป็นพระอรหันต์กันเพราะวิชชานี้ เพราะวิชชาก็ได้ เพราะวิปัสสนาก็ได้แล้วแต่จะเรียก นี่คนเราก็ต้องถือว่ามันมีวิ วิเอ้อ, วิวัฒนาการสูงขึ้นมาอย่างนี้ วิ ก็แปลว่า แปลกออกไป วัฒนา ก็แปลว่า เจริญ พัฒนาการ ก็อาการของวัฒนา มีอาการของวัฒนาเรียกว่า วัฒนาการ แล้วก็วิคือแปลกออกไป นี่วิวัฒนาการของมนุษย์มันก็มาตามกระแสของวิชา ขอแต่ว่ามันอย่ามาหยุดอยู่แค่อารยธรรมเนื้อหนัง ไอ้วิชาๆ อะไรนี่อย่ามาหยุดอยู่เพียงแค่อารยธรรมเนื้อหนัง มาหลงอยู่ที่อารยธรรมเนื้อหนัง มันจะไม่ วิ คือมันจะกลับโง่ คือมันจะกลับไปมีความเห็นแก่ตนไปตามเดิม หรือแรงขึ้น แรงขึ้น มันจะวิของอวิชชาหรือวิของไอ้ตัวกู มันจะมีตัวกูจับหนักเข้าๆ ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่วิวัฒนาการของวิชชาแล้ว มันเป็นอวิชชาแล้ว จึงได้พูดมาตั้งแต่ต้นตลอดเวลาจนบัดนี้ว่าให้ระวังไอ้สิ่งที่เรียกว่า อารยธรรม มันจะเป็นเพียงวิวัฒนาการของอวิชชา มันก็ดีกว่าไม่ ไม่วิวัฒน์เสียเลย หรือว่าถ้าเป็นวิชามันก็เป็นวิชาแต่ทางฝ่ายเนื้อหนัง มันเนื้อหนังหนาเข้ามันก็หุ้มห่อปิดบังไอ้จิตใจ เรากำลังพูดว่าเนื้อหนังกำลังชนะจิตใจเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ ก็คือวิชาทางเนื้อหนังมันกำลังชนะวิชาทางจิต จิตใจ วิชาทางเนื้อหนังนี้มันพาไปๆๆ โลกนี้อยู่ในสภาพที่ผมชอบเรียกว่า เอ้อ, ความมืดสีขาว มันเป็นความมืด แต่ว่าสีมันขาว มันหลอกลวง มันพรางตา โลกเรากำลังอยู่ในความมืดสีขาว ถ้าดูไม่ดีก็เห็นเป็นความสว่าง ที่แท้มันเป็นความมืด นี้ขอให้พวกคุณอย่าได้หลงในเรื่องของความมืดสีขาว คอยลุ่มหลง ทุ่มเนื้อทุ่มตัว อย่างที่เขาเรียกว่าเทกระจาดไปให้แก่ความมืดสีขาว เป็นเรื่องความลุ่มหลงในเรื่องอารยธรรมเนื้อหนัง ที่พวกฝรั่ง มัน ต้องใช้คำว่า ฝรั่ง ไม่ใช่ด่า แต่ว่าพูดตามความจริง มันทำให้ก้าวหน้ามากขึ้น สำหรับผม เมื่อพูดว่าฝรั่งนี่ผมหมายแต่พวกฝรั่งวัตถุนิยมนะ ผมไม่หมายถึงฝรั่งทั้งหมดนะ ผมพูดว่าฝรั่งก็จริงแหละ แต่หมายถึงพวกที่ก้าวหน้าทางวัตถุนิยม ฉะนั้นเมื่อพวกคุณไปตามก้นฝรั่ง ผมก็จะเรียกว่าฝรั่งไปด้วย เพราะว่ามันมีความหมายว่าก้าวหน้าแต่เรื่องวัตถุนิยม แต่ทางวัตถุ นี่พูดให้รู้เสียทีว่าถ้าผมพูดว่าฝรั่งแล้วก็หมายถึงไอ้พวกหลงใหลในวัตถุนิยม ก้าวหน้าแต่ทางวัตถุนิยม มันจะเป็นฝรั่งขาว ฝรั่งดำ ฝรั่งเหลือง ฝรั่งอะไรก็ได้ มันรู้แต่เรื่องวัตถุนิยม ก้าวหน้าแต่ทางอารยธรรมของเนื้อหนัง ไม่รู้อะไรถูกต้องตามที่เป็นจริงที่เป็นวิชา หรือเป็นวิปัสสนาตามหลักของพุทธศาสนาที่ต้องการจะขจัดเสียซึ่งอิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณ จะสร้างวิปัสสนาญาณขึ้นมาสำหรับควบคุม หรือว่าทำลายสัญชาตญาณที่มันเจืออยู่ด้วยอวิชชานั้นเอง นี่เราพูดกันในวันนี้ เอ้อ, เฉพาะประเด็นที่ว่า เมื่อทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวตน ทำไมมันไปเกิดความรู้สึกว่าตัวตนเสียเรื่อย มันเรื่องทางปัญหา มันไม่มีประโยชน์อะไร ข้อที่จริง ถ้าเราปฏิบัติไปตามแบบที่วางไว้ถูกต้องแล้ว ไม่ต้อง ไม่ต้องมาแก้ปัญหาข้อนี้ก็ได้ ไม่ต้องมารู้ปัญหานี้ก็ได้ แต่ทีนี้เราอยากจะพูด เพื่อความเข้าใจอะไรบ้างนอกไปจากการปฏิบัติ เพราะมันรบกวนความสงสัยให้หยุด ทำให้หัวยุ่งไม่สบายใจ ทำไมๆๆนี่ มันเป็นรูปปรัชญานอกขอบเขตของไอ้, ศาสนา ให้รู้ไว้บ้างเท่าที่จำเป็นก็ดีเหมือนกัน บางทีมันก็สนุกด้วย ฉะนั้นขอให้ไปมองดูในรูปของปรัชญาที่มีประโยชน์แก่ศาสนาว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ที่มันไม่ใช่ตัวตนอยู่โดยกำเนิดโดยธรรมชาติ มันไปเกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนเสียตลอดเวลา ก็โดยสัญชาตญาณเสียด้วย คือไม่ต้อง ไม่ต้องพยายามอะไรมันก็เกิดของมันเอง หรือมันพร้อมที่จะเกิด นี่คือต้นตอแห่งความยุ่งยากลำบากของมนุษย์ที่เป็นพุทธบริษัทที่มุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่งอุปาทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ อัตตวาทุปาทาน ละได้ก็เป็น เป็นเรื่องที่จบ ไปจบเรื่องของมนุษย์ สูงสุดที่มนุษยธรรมกันตรงนี้ เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้เต็ม เป็นผู้สมควรที่จะเรียกว่า มนุษย์ โดยแท้จริง เช่น มีคนสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่าเป็นมนุษย์ เป็นนรชน เป็นมนุษย์ เป็น มนุช เป็น มนู อา, เป็น มนูช คือมนุษย์ที่เกิดแต่มนู แล้วเวลาที่กำหนดไว้ก็หมด และขอเอ้อ, ยุติการบรรยายวันนี้ไว้เพียงเท่านี้