แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
รู้หรือไม่รู้วันนี้ว่ามาทำอะไรกัน เขามาทำอะไรกันวันนี้ ใครรู้ วันนี้น่ะเขามาทำบุญอะไรกัน ใครรู้ ไม่มีใครรู้ ทำบุญอะไร ทำบุญส่งตายาย หมายความว่าอะไร หือ, หมายความว่าอะไร ใครรู้ ส่งตายายหมายความว่าอะไร นี้เขาสมมติว่าตายายมาวันก่อนน่ะ แล้ววันนี้กลับ ก็ส่งตายาย ทีนี้ตายายมาทำอะไรนี่ (นาทีที่ 1.12-2.03) ไม่มีเสียง ถ้ามาเห็นเด็กๆไม่ดีตายายเสียใจ เราจะต้องทำให้ตายายดีใจ ไม่ต้องเสียใจ เด็กๆทุกคนยังประพฤติดียังปฏิบัติดี ใครดื้อ ใครไม่ดื้อ ใครไม่ดื้อยกมือ หลอกเหรอ ใครดื้อ ใครดื้อยกมือ เออ, มีคนนึง สองคน สามคน สามคนดื้อ ถ้าดื้อตายายชอบไม่ชอบ หา, เออ, ตายายไม่ชอบเลิกดื้อเสียที พ่อแม่เรียกคำเดียวต้องมา พูดคำเดียวต้องฟัง ห้ามทีเดียวเชื่อตลอดเวลา นี่เขาเรียกว่าดี คำว่าดีนี่เขาแปลว่าบุญ เราได้บุญคือไม่มีบาปไม่มีชั่วแล้วเรามีความสุขเจริญ ใครชอบซวย ใครชอบซวย ไม่มีใครชอบ ใครรู้ว่าซวยคืออะไร ซวยคือะไร ใครรู้ หา, คงจะรู้กันทุกคน แต่อธิบายยาก คำว่าซวยก็มันคือ ทรุด หดลงไป มันไม่ดี มันไม่เจริญ ถ้าซวยแล้วก็มันก็ไม่เจริญ และก็หมดในที่สุด มันยากจน หรือมันเข็ญใจ หรือมันขอทาน แล้วมันก็ยังไม่ได้น่ะ คนที่ซวยไปขอทานก็ยังไม่ได้นะ จำไว้ทีเถอะ ถ้าคนมันซวยแล้วก็ ไปขอทานก็ไม่มีใครให้ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องอะไรนะเขาเรียก เฮง เฮง ดีเจริญ เฮง ไม่ต้องไปขอทานหรอก แล้วก็ยังมีคนเอามาให้อีกแหละ ตายายมาดูว่าเด็กๆยังดีอยู่หรือ จำไว้เถอะ จำไว้แม่นๆ ว่าตายายมาดูว่าเด็กๆยังดีอยู่หรือ แล้ววันนี้จะกลับ ถ้ากลับแล้วก็ ให้ตายายดีใจ ได้กลับ กลับไปด้วยความดีใจ เราอย่าทำให้ตายายผิดหวัง ตายายมาดูมาเยี่ยมมาเอาใจใส่ก็เพราะว่ารัก เหมือนกับว่าตายายยังไม่ตายแหละ ตายายยังรักลูกรักหลานรักพ่อรักแม่ของเราแหละ รักเราแหละ เหมือนตายายยังไม่ตายแหละ ตายายตายแล้วก็ยังรัก แล้วตายายอุตส่าห์มาดูมาเยี่ยมเป็นกังวลเป็นห่วงว่าเด็กๆยังดีอยู่หรือ เด็กๆต้องตั้งใจ ทำให้ดีที่สุด ใครสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด ใครสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดยกมือ อย่าดูเพื่อนสิ ไม่เอา ใครสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด นี่ก็ไม่เอาเหรอ ใครสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุดให้ถูกใจตายาย สัญญาก็จะต้องสัญญาจริงๆคนอยู่มากนะ คนอยู่มาก สัญญาต้องเป็นสัญญาจริงๆว่าเราจะทำให้ดีที่สุดให้พอใจตายาย ตายายมีบุญคุณ ใครรู้ ตายายมีบุญคุณ ใครรู้ ยกมือสิ ไม่มีใครรู้กี่คน ตายายมีบุญคุณอย่างไร ใครรู้ ใครรู้ ตายายมีบุญคุณอย่างไรใครรู้ ตอบได้ไหมตายายมีบุญคุณอย่างไร บอกหน่อย บอกเลย บอกเลย บอกเลย ถ้าไม่มีตายาย เราก็ไม่ได้เกิดมาหรอก ตายายเกิดพ่อเกิดแม่ของเรามา ซึ่งเราเกิดจากพ่อแม่ ถ้าไม่มีตายายพ่อแม่ก็ไม่มี เราก็ไม่มี เราก็ไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี้ เราก็ไม่ได้เป็นคนมานั่งอยู่ที่นี้ นั่นตายายทำให้เกิดพ่อแม่ลูกหลานเรื่อยๆมา ตายายอุตส่าห์สร้างไร่สร้างนาสร้างสวนไว้ให้ลูกหลาน ลูกหลานเนรคุณเอาแต่ขายกินเหล้าหมด ตายายอุตส่าห์สร้างนาสร้างสวนสร้างไร่ไว้ให้ลูกหลาน ลูกหลานเนรคุณเอาไปขายกินเหล้าหมด แล้วก็ไม่ได้สร้างให้ลูกหลานอีกต่อไป ถ้าลูกหลานที่ดีไม่เนรคุณก็ทำให้เรือกสวนไร่นาเจริญงอกงาม นี่แหละเด็กๆจะต้องรู้ว่าตายายน่ะมีบุญคุณ ให้เกิดมาด้วย แล้วให้ทรัพย์สมบัติด้วย แล้วอุตส่าห์มาเยี่ยมทุกปีทุกปี เพราะเด็กๆยังดีอยู่ ลูกหลานยังดีอยู่ ให้ชื่นใจตายาย ตายายมาแล้วก็ได้เห็นลูกหลานดีแล้วก็ชื่นใจ ถ้าเห็นลูกหลานไม่ดี แล้วก็เสียใจ เสียใจ แต่ตายายบางคนยิ่งกว่านั้น โกรธ แช่งเลย ใครชอบให้ตายายแช่ง ใครชอบให้ตายายแช่ง เด็กคนไหนชอบให้ตายายแช่งยกมือ คนนี้ชอบ คนนี้ฟังไม่ถูกชอบให้ตายายแช่ง ใครชอบให้ตายายให้พร นี่มาก มาก มาก ถ้าชอบให้ตายายให้พร ต้องทำให้ดี ทำให้ดีถูกใจตายาย เหมือนกับเขาสวดพิมพิสารเมื่อเดี๋ยวเด็กๆไม่ฟัง ตายายมาถึงเห็นลูกหลานทำดี รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ให้ทาน คือทำดีทั้งนั้นแหละ รักษาศีล ไม่ขาดศีล และเจริญเมตตาภาวนาคือรักเพื่อนกัน รักเพื่อนมนุษย์กัน ไม่อยากให้ใครมีความทุกข์ เด็กๆจงตั้งใจว่าทุกๆคนอย่ามีความทุกข์ เป็นเพื่อนของเราเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทุกคนอย่ามีความทุกข์ นี่เขาเรียกเจริญเมตตาภาวนา วันนี้ตายาย ถึงเหลือแต่กระดูกก็อย่า อย่าเข้าใจผิดนะ ตายายถึงเหลือแต่กระดูกก็อย่าเข้าใจผิดนะ ให้พรก็ได้นะ แช่งก็ได้นะ เอ้า, กราบตายายหน่อย หันหน้าไปทางนั้น คุกเข่าหันหน้าไปทางนั้นแล้ว กราบ กองใหญ่นั้นตายาย เอ้า, เอ้า, กราบลุกขึ้นคุกเข่ากราบ เอ้า, เอ้า, กราบ เตรียม เตรียม เตรียมกราบ เอ้า, กราบกระดูกตายาย คือแทนตายายเมื่อตายายตายแล้วก็มีกระดูกอยู่แทน เอ้า, กราบพร้อมๆ กันกราบ สัญญาว่าจะทำให้ถูกใจตายาย ไม่ให้ตายายผิดหวัง กราบ 3 ครั้งสิ กราบ 3 ครั้งสิ แล้วนั่งเหมือนเดิม นั่งเหมือนเดิม เราเป็นลูกหลานที่ดีแหละ เราเป็นลูกหลานที่ดีของตายาย ตายายชื่นใจ ให้พร ให้พร ให้พร ว่าให้ลูกหลานมีความเจริญ จะได้มีความสุข ร่ำรวยมีความสุข อยู่กันเป็นสุข ตายายต้องการให้ลูกหลานทะเลาะวิวาทกันหรือว่าตายายต้องการให้ลูกหลานอยู่กัน รักใคร่กัน คิดดู ใครคิดว่าตายายต้องการให้ลูกหลานรักใคร่กัน ใครคิดว่าตายายต้องการให้ลูกหลานกัดกัน หือ, อือ, ไม่มี ตายายไม่ต้องการให้ลูกหลานทะเลาะวิวาทกัน ต้องการให้รักใคร่กัน ให้ช่วยเหลือกัน มีอะไรให้ปันกันกิน ให้ปันกันกิน เราจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปันกันกิน เรามีกล้วย ๑๐ ลูกให้เพื่อนกินลูกหนึ่งได้นี่ เพื่อนก็ได้กินตายายก็ขอบใจ ให้เพื่อนกินน่ะมันอยู่ในหัวใจของเพื่อนนะ เราให้เพื่อนกินน่ะมันก็อยู่ในหัวใจของเพื่อน ถ้าเรากินเองอยู่ที่ไหน หา, ใครตอบได้ เด็กตัวใหญ่นี่ก็ตอบไม่ได้ ถ้าเรากินเองมันอยู่ที่ไหน หา, ใครตอบได้ อยู่ไหน หา, อยู่ที่หัวใจของเรา ไม่ถูก ถ้าเรากินเองอยู่ที่ไหน ถ้าเราให้เพื่อนกินอยู่ที่หัวใจของเพื่อน ถ้าเรากินเองอยู่ที่ไหน ใครตอบถูก เออ, แล้วกัน ใครตอบถูก เอ้า, อยู่ไหน อยู่ที่ไหน หา, อือ, อยู่ในกระเพาะแล้วขี้ไปอยู่ส้วม กินพักเดียวอยู่ในกระเพาะ แล้วขี้ไปอยู่ในส้วม ถ้าให้เพื่อนกินอยู่ในหัวใจของเพื่อน ตลอดปี เป็นปีๆเลย ใครเคยได้กินของที่เพื่อนให้บ้างยกมือ นั่นแหละ เธอยังนึกได้ไม่ใช่เหรอ ยังนึกได้ว่าใครเคยให้อะไรเรา เราเคยกินอะไรของใครยังนึกได้น่ะมันอยู่ในหัวใจของเรา ไม่ไปอยู่ในส้วม ถ้าเรากินเอง ไม่กี่ชั่วโมงก็อยู่ในส้วมหมดกันจบกัน ให้เพื่อนกินนั่นแหละ ไม่หมด ให้เพื่อนกินไม่รู้จักหมด กินเองพักเดียวหมด เราจงพยายามมีอะไรให้เพื่อนกิน มีอะไรที่พอจะปันให้เพื่อนกินได้แหละ ให้เขา คำหนึ่งก็เอา มีกล้วย ๑๐ ลูก ให้เพื่อนลูกก็เอา ถ้าเพื่อนไม่มีนะ เรามี ๑๐ สตางค์ เรามี ๑๐ สตางค์ เพื่อนไม่มี เอาให้เพื่อนสตางค์ สองสตางค์ นั่นแหละเขาเรียกว่าเพื่อน ถ้าไม่ช่วยกันเลย ไม่ ไม่ ไม่เป็นเพื่อน ถ้าไม่รักและไม่ช่วยกันเลยเขาว่าไม่ ไม่เป็นเพื่อน และคือไม่มีเพื่อน เป็นคนไม่มีเพื่อน เป็นคนคับแคบ เป็นคนที่เมื่อเกิดเรื่องแล้วไม่มีใครช่วย ถ้าเรามีเพื่อน เพื่อนคอยช่วย เกิดเรื่องอะไรเพื่อนคอยช่วย แม้แต่หกล้ม ก็เพื่อนยังช่วยวิ่งมายกถ้าเรามีเพื่อน ถ้าเราไม่มีเพื่อนก็นอนร้องอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นมีเพื่อนไว้ช่วยกัน พระพุทธเจ้าก็สอน ใครๆก็สอน สอนให้รักเพื่อนสอนให้มีเพื่อน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ทะเลาะกัน เราจึงไม่ทะเลาะกัน เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ทีแรกเราเป็นลูกเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ทีหลังเราเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนแหละ ทีหลังเราเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์แหละ ทีหลังเราก็เป็นคนที่ดีของบ้านเมืองแหละ เป็นราษฎรที่ดีของบ้านเมืองแหละ แล้วในที่สุดเราก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่ดีที่สุด พรนี้สูงสูงสุดกันเลย เอ้า, เขา เขา เขาบอกให้มานั่งที่นี้ให้มาฟังอาจารย์พูด ไม่ใช่เธอพูดเอง เขาให้มานั่งที่นี้ให้มาฟังตาหลวงพูด ไม่ใช่เธอพูดเอง คอยฟังให้ดีดีแหละ เพื่อให้ถูกใจตายาย เพื่อให้ถูกใจตายายน่ะ เราต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เพื่อให้ถูกใจตายาย เราต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เพื่อให้ถูกใจตายาย เราต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ให้เป็นที่ถูกใจตายายเราต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ เพื่อให้ถูกใจตายายที่สุด เราเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า ตรงนี้อาจจะไม่เข้าใจค่อยรู้ทีหลัง ใครเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดายกมือ ใครเป็นบุตรที่เลวของบิดามารดายกมือ มี ๒ คน ๓ คน เป็นบุตรที่เลวของบิดามารดา ใครทำให้บิดามารดาโกรธยกมือ ใครทำบิดามารดาโกรธ ไม่จริงกระมัง หือ, หลอกเราแล้วโว้ย ไหนใครได้ทำให้บิดามารดาโมโห หือ, ใครได้ทำให้บิดามารดาโมโห ใครถูกแม่ด่า ไหนยกมือสิใครถูกแม่ด่า อือ, ทีนี้หลายคนแหละ ไหนเมื่อเดี๋ยวถามว่าใครทำบิดามารดาโกรธไหม ไม่รู้ เหตุใดแม่ต้องด่า หา, เหตุใดแม่ต้องด่า เหตุใดพ่อต้องตีบางทีแหละ เพราะเขาอยากให้เราดีนั่นเขารักเรานั่น เขารักเรานะเขาจึงมาเสียเวลาด่าเราตีเราให้ดี เราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ให้ถูกใจตายาย เราจะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ใครเคยหยิกเพื่อน ใครเคยหยิกเพื่อน ไม่จริงแล้วเว้ย ใครเคยทะเลาะเพื่อน ใครเคยว่าเพื่อน นั่นแหละตายายไม่ชอบ เลิก เลิก เลิกเสีย เลิกเสียทีอย่าโกงเพื่อน อย่าทะเลาะกับเพื่อน อย่าหยิกเพื่อน อย่าตีเพื่อน อย่าด่าเพื่อน อย่าว่าเพื่อน ใครเป็นศิษย์ที่ดีเป็นนักเรียนที่ดี เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ของโรงเรียน คนนั้นจะสอบไล่ได้ดี ถึงตายายไม่ได้ให้พรก็ต้องสอบไล่ได้ดี ถ้าว่าทำดีแล้วก็ตายายก็ให้พรแล้วก็สอบไล่ได้ดี เอาล่ะเวลามีน้อย พูดมากกันไม่ไหวไม่ทัน คราวนี้สัญญานะ
ข้าพเจ้า เป็นบุตรที่ดี ของบิดามารดา ข้าพเจ้า เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ข้าพเจ้า เป็นศิษย์ที่ดี ของครูบาอาจารย์ โตขึ้น ข้าพเจ้า เป็นพลเมืองที่ดี ของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดี ของ พระพุทธเจ้า
ทุกคน เราก็ดี ปู่ย่าตายายก็ดี นับถือพระพุทธเจ้า เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่แหละเขาเรียกว่าดี ตายายชอบ เราก็ไม่เสียที ที่ได้เกิดมาเป็นคนที่ดี เป็นบุตรที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เอ้า, จะปิดประชุมแล้ว ร้องเพลงค่าน้ำนม เอ้า, ว่าตามเพื่อนก็ได้ ฟังก็ได้ เอ้า, ร้องเพลงค่าน้ำนม ปิดประชุม
(นาทีที่ 18.40-20.53) เสียงร้องเพลงค่าน้ำนม
ตัวเล็กนี้ก็ร้องเป็น ปีก่อนร้องไม่เป็น ปีก่อนร้องไม่เป็น เราว่าไม่ดีไม่เก่ง เราล้อ ปีนี้ร้องเป็นกันหลายคน ดี ปีหน้าต้องร้องเป็นทุกคน ปีหน้าต้องร้องเป็นทุกคนเลย เพลงค่าน้ำนม เอ้า, คุกเข่าหันหน้าไปทางพระ กราบ หันหน้าไปทางพระพุทธรูปแทนพระพุทธเจ้า เอ้า, คุกเข่ากราบพร้อมๆกัน เอ้า, กราบพร้อมๆกัน กราบพระพุทธเจ้า มีพระพุทธรูปแทนพระพุทธเจ้า กราบ 3 ที
ทีนี้ถ้าจะออก เดินออกให้ถูกตามวิธี เขาว่าต้องเดินประทักษิณ เป็นการเคารพ อย่าทำเป็นเล่น ต้องเดินชนิดที่มือขวาอยู่ด้านสิ่งที่เราเคารพ เราเคารพพระพุทธรูปมือขวาต้องอยู่ด้านเดียวกับพระพุทธรูปแล้วถึงจึงเดินออกไปอย่า อย่าหันหลังให้ อย่าหันท้ายให้ ปัดท้ายใส่ ไม่ถูก ลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินประทักษิณ ยืนพร้อมๆกัน แล้วเดินไปทางโน้น เดินไปทางโน้น อย่า อย่า อย่ารีบร้อน ไป ไปให้เรียบร้อย ไปให้เรียบร้อย เดินไปตามลำดับ เอ้า, รอๆกันก่อน รอๆกันก่อน เดินไปสิ เดินลงไป เดินลงไปทางนี้ไปทางนี้ไปทางนี้ ไปทางนี้ไปทางนี้ นี่ไปทางนี้ ไปทางนี้เอ้า, ของเด็กคนไหนเอาไปให้ เด็กคนไหนลืมรองเท้า เด็กคนไหนลืมรองเท้า ใครลืมรองเท้า เอาเก็บหน้าเตียงนี่
ทีนี้พูดก็ พูดแทนตายาย ตามเคย ข้อแรก ก็ว่าให้นึกให้ได้ว่าเป็นความดีที่เราได้รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ปู่ย่าตายายเคยทำกันมา ขนบธรรมเนียมประเพณีนี้แหละ มันดีด้วย จำเป็นด้วย เพราะว่าเขาไม่ได้ตั้งขึ้นลอยๆโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้หลับตาตั้งประเพณี มันมีปัญหายุ่งยากลำบากเสียหาย ทีนี้ผู้ที่มีปัญญามีความรู้ แนะนำว่าให้ทำแบบนั้นแบบนั้น แบบนั้น เพื่อจะแก้ความเสียหาย แล้วเมื่อทำบ่อยเข้า บ่อยเข้า บ่อยเข้า มันก็เลยกลายเป็นทำประจำ ทำได้เอง ทำเป็นประจำ ก็เลยเกิดประเพณี ทีแรกก็มีปัญหาหรือความเสียหายเสมอแหละ จึงจะเกิดประเพณี ขนบธรรมเนียมหรือว่าวัฒนธรรมแล้วแต่จะเรียก มันไม่ใช่เรื่องงมงายประเพณีน่ะ เว้นไว้แต่ว่าจะมาทำให้งมงายเสียเองทีหลัง ทีแรกมันเป็นของที่จำเป็นจะต้องทำ แล้วต่อมาก็เป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์ควรจะทำ แล้วก็เลยทำ ทำจนเป็นประจำ แล้วก็เลย ช่วย ช่วยมนุษย์ ช่วยมนุษย์ ป้องกันมนุษย์ไม่ให้ต้องเสียไปในส่วนที่ไม่ควรเสียแหละ ทีนี้ประเพณีนั้นคือ สิ่งที่ถอด ถอดออกมาจากศาสนา จะเรียกว่าเป็นชั้นนอกของศาสนาก็ได้ จะเรียกว่าเปลือกก็ได้ ถ้าเข้าใจนะ ข้างในมันเป็นศาสนาข้างนอกเป็นประเพณี ไม่มีใครที่ตั้งประเพณีเอาเองได้ตามชอบใจหรือว่าไม่มีเหตุผล มันเกิดเรื่องเสียหายขึ้นแล้วก็ธรรมะนั้นแก้ได้ ศาสนานั้นแก้ได้ก็เลยเอามาใช้ ให้แก้ จนกลายเป็นว่าประเพณี ทำกันเป็นประเพณี แม้จะไม่มีเหตุร้ายไม่มีความเสียหายก็ยังรักษาประเพณี ยังทำตามประเพณี ประเพณีที่ดีคือสิ่งที่คุ้มครอง หรือจะพูดให้ถูกก็คือว่าศาสนาที่มาอยู่ในรูปของประเพณีแหละมาคุ้มครองเรา ถ้าอยู่เป็นรูปของศาสนาล้วนๆน่ะมันยังไกลเกิน มันไม่ค่อยออกมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ แต่ถ้ามาทำเป็นประเพณีแล้วมันจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์ กระทั่งในบ้านในเรือนตั้งแต่เด็กจนโตทีเดียว นั่นมันดีแบบนั้น เขาจึงมีประเพณีประจำบ้าน ประจำเมือง ประจำชาติ หรือว่าประจำมนุษย์เลย ขอให้ช่วยกันรักษาประเพณีไว้เพื่อคุ้มครองเราและคุ้มครองลูกหลานของเราที่จะมาในอนาคตโน่น อย่าให้มันขาดตอน ประเพณีขนบธรรมเนียมอะไรก็ตามที่ปู่ย่าตายายเคยทำมา ทำมาน่ะ อย่ามาให้ อย่า อย่าให้มันขาดตอนเสียที่เรา อย่าให้เราได้ชื่อว่าเป็นคนสุดท้าย เราจะรักษาส่งมอบต่อๆกันไป ประเพณีนี้จะอยู่ต่อไปช่วยมนุษย์แน่นอน ประเพณีจึงเป็นของที่จำเป็น ถ้ามันชั้นสูงชั้นดีเขาเรียกว่าวัฒนธรรมอะไรกันไปตามเรื่อง แต่ความจริงมันก็คือธรรมะของศาสนาที่มาอยู่ในรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่งให้เหมาะกับเหตุการณ์ เวลา บุคคล ให้มันเหมาะน่ะ เรา เรา เราจงสนใจประเพณีที่มันได้ช่วยเรามา พูดให้หยาบคายก็คือที่มันคุ้มหัวเรามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เป็นทอด ทอด ทอด ทอดกันมา ให้มนุษย์เป็นมนุษย์น่ะ ขออย่าทำเล่นกับประเพณี ช่วยกันให้ยังคงมีอยู่ทั้งในทางวัตถุและทั้งในทางจิตใจ เป็นเรื่องทางวัตถุ เช่นจะทำอะไรสิ่งของอะไร แม้แต่ว่าทำขนมอะไรแบบนี้ ช่วยกันรักษา ฉันเข้าใจว่า ไอ้พวกขนมเขนิมแบบนี้มันมาตั้งพันปีแล้ว มันมาตั้งแต่เมื่อชาวอินเดียแรกมาสอนให้ ถึงทำบุญตายายมันก็เป็นประเพณีอินเดีย การทำบุญให้ตายายมันเป็น เป็น เป็นประเพณีอินเดีย ถึงแม้ว่าจะมี มีประเพณีจีน แต่ที่เห็นอยู่นี้เราทำตามประเพณีอินเดีย เพราะฉะนั้นเราจึงทำอะไรหลายๆอย่างคล้ายอินเดีย นับตั้งแต่ขนม ขนมที่ทำนั่นแหละ เขายังมีทำกันอยู่ที่ในอินเดีย โดยเฉพาะไอ้ยาหนม นั่นแหละ ที่อินเดียก็ยังทำยังมีขายแล้วแพงที่สุดเลย ไอ้ยาหนมที่อินเดีย เขาเรียกว่า ฮาลูวะ ฮาลูวะ ฮาลูวะ แทนที่จะใส่น้ำกะทิแล้วมันใส่นม แล้วใส่แป้งอย่างดี ใส่น้ำตาลอย่างดี กวนแล้วอ่อน ไม่ ไม่ ไม่แข็งทื่อเหมือนของเรา แต่มันคืออันเดียวกัน คือ ยาหนม นี่ของแบบนี้ชาวอินเดียมาสอนให้ เมื่อชาวอินเดียแรกมาบ้านเราน่ะ เข้าใจว่าเกือบสองพันปีแล้ว เมื่อสมัยศรีวิชัยนี้มันพันกว่าปีเท่านั้นเอง มันมาก่อนสมัยศรีวิชัยชาวอินเดีย รู้ รู้ได้แน่นอน เข้ามาสอนเรื่องวัฒนธรรมอินเดียกันตั้งเกือบสองพันปีมาแล้ว นุ่งผ้าโจงกระเบนนั่นแหละวัฒนธรรมอินเดียไม่ใช่เขมร อย่าเข้าใจว่าเป็นขี้ข้าเขมร เอาทำอย่างเขมร ถึงเขมรก็เอาอย่างอินเดีย นุ่งผ้าโจงกระเบนนั่นของอินเดียนะ แล้ว แล้วถ้าอินเดียใต้แล้วนุ่งเหมือนบ้านเราเลย ดูจากข้างหลังไม่รู้ว่าคนไทยหรือคนอินเดีย ทูนเฌอ (นาทีที่ 29.56-29.57) ฟังไม่ออก ทูนเฌอ มือแกว่ง เหยียด เหยียด เหยียด เหยียด เหมือนกับคนไทยเลย การนุ่งห่มการแต่งตัวการทำอาหารการทำขนม ขนมบาง หลายๆชนิดที่ทำให้ตายายนี่ตั้งพันปีแล้ว นี้เขาเรียกว่ารักษาขนบธรรมเนียมประเพณีทางวัตถุ ลูกหลานเพิ่งเกิดก็ยังได้เห็นของที่มีอายุตั้งพันปีสองพันปี นั่นควรจะทำไว้แหละถึงจะลำบากสักนิดก็ควรทำไว้เถอะ ถึงจะว่าไม่ชอบกินก็ขอให้ทำ เพื่อรักษาประเพณี แต่ถ้าทำเป็นมัน มัน มันกินอร่อยทั้งนั้น ถ้าทำไม่เป็นมันก็กินไม่อร่อย ทำขนมจูจุ้น ทำขนมฝักบัว หมาก็ไม่กินถ้าทำไม่เป็น ถ้าทำดีฉันก็ว่าดี ยิ่งดี ยิ่งอร่อย ยิ่งดี ยิ่งกินไม่ค่อยพอ ให้มัน ให้มันหวานๆสักนิด อย่าให้มันแข็งๆทื่อนักแล้วมันก็ คนมันก็กินแหละ เพราะฉะนั้นอย่าละเลยว่าเท่าสักแต่ว่าทำ ทำให้ดีที่สุด จะทำขนมลา ขนมพอง ให้ทำให้มันถึงขนาดมาตรฐานแหละ แล้วคนจะกินแหละ จะได้ทำกันต่อต่อต่อต่อกันไว้อวด อวดลูกหลานว่า โอ้, นี่มันทำกันมาตั้งพันสองพันปีแล้วนั่น เรื่องประดับประดานี่ก็เหมือนกันแต่ว่าตายายไม่ค่อยมี ไอ้เรื่องชักพระ ชักแห่พระ ประดับประดานั่นก็เป็นเรื่องเกือบพันกว่าปีสองพันปีนั่นแหละ เมื่อฟาเหียนไปเยี่ยมอินเดียพันกว่าปีมาแล้วนี่มันก็เขียนบันทึกว่ามีการแห่พระ เล่าไปแบบนั้น เหมือน เหมือนกับบ้านเราแหละ ทีนี้เรื่องทางจิตใจนี่สำคัญ วัฒนธรรมทางจิตใจ ช่วยอบรมลูกหลานให้ดีดี คนแก่ช่วยอบรมลูกหลานให้ดีๆให้มีวัฒนธรรมทางจิตใจ อย่าให้เสียหาย ข้อแรกก็อย่าให้มันกระด้าง อย่าให้เด็กๆมันกระด้าง ให้เด็กมันอ่อนน้อมถ่อมตัว อย่าให้มันกระด้าง หัวแข็ง ถ้าหัวแข็งมันไปกันใหญ่ ผิดหมดทุกทาง ถ้ามันยังอ่อนน้อมมันจะถูก ถูกทุกทาง แล้วมันจะเชื่อฟังแล้วมันจะถูกทุกทาง ฉะนั้นข้อแรกอบรมให้เด็กๆอ่อนน้อม ไม่ดื้อ ไม่กระด้าง ใช้คำเดียวทำ เรียกคำเดียวมา นั่นแหละอบรมแบบนั้นแหละ แล้วมันจะเชื่อฟังแล้วมันจะคุ้มครอง ว่าเป็นหนุ่มเป็นอะไรขึ้นมามันจะไม่อันธพาลน่ะ เวลานี้เด็กมันอันธพาลมากขึ้นนะ เป็นอันธพาลขนาดที่เรียกว่า ไม่น่าเชื่อแหละ อันธพาลของ ของเด็กรุ่นหลังนี้ ขอให้ตายาย พ่อแม่ตายายรับผิดชอบ อย่าพูดว่าไม่ไหวไม่ไหวยอมแพ้ ทั้งบ้านทั้งเมืองไปหมดแล้ว เรายอมแพ้ ยอมแพ้เด็กๆ ว่าไม่ได้แล้ว ยอมปล่อยแล้ว นี่เขาเรียกว่าตายายโง่ ตายายที่ไม่รับผิดชอบ ตายายที่ไม่รับผิดชอบจะพูดว่าไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วเด็กสมัยนี้ เอาไม่อยู่แล้ว ปล่อย ปล่อย ทุกคนปล่อย จึงเป็นอันธพาลกันไปเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะฉะนั้นเราต้องรับผิดชอบไอ้ลูกหลานของเราเพียงสองสามคน เราต้องเอาให้อยู่แหละ ถ้าเราเอามากทั้งหมดไม่อยู่ เราเอาลูกหลานของเราสองสามคนไว้ให้อยู่ เพราะฉะนั้นทุกคนต่างคนต่างเอาลูกหลานของตัวอยู่ มันก็ไม่มีเด็กเหลืออันธพาลแหละ เพราะว่าเด็กทุกคนต้องเป็นลูกเป็นหลานของใครคนใดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นพ่อแม่อย่า อย่าปล่อย สองสามคนเท่านั้นแหละเอาไว้ให้ได้ ไม่ใช่ว่าต้องรับผิดชอบทั้งบ้านทั้งเมือง ฉันได้ยินแล้วบิดามารดาบางคนว่ายอมแพ้ ยอมแพ้ ไม่ไหว สู้ไม่ไหว ปล่อย ปล่อย นี่ไม่ถูก มันจะทำให้พ่อแม่ตกนรก แล้วทำให้เพื่อนบ้านเรือนเคียงเขาพลอยเดือดร้อนกันไปหมด แล้วบาปมันก็จะรุมมาที่เรา ไอ้ความซวยมันจะรุมมาที่เรา นี่เราต้องรับผิดชอบเด็กของเราสองสามคน สี่ห้าคนอย่างมาก ให้ยังคงเป็นเด็กที่ถูกต้อง นั่นแหละมันแหละแทนคุณตายาย รับตายายให้ตายายพอใจชื่นใจ โดยทำให้เด็กๆมันดี สมัยตายายเคยหลับตานึกดู ก็ทันเห็นนี่แหละ ยังผิดกันมาก ยังผิดกันมาก สมัยตายายกับสมัยรุ่นนี้ สมมติว่ารถยนต์มาถึงคว่ำที่หน้าบ้านเรานี้ สมัยตายายมันช่วยกันเหลือประมาณแหละ มันอาจจะช่วยให้กินข้าวให้กินน้ำ ช่วยขนของ ช่วยอะไร ไม่สูญสักชิ้นหนึ่ง พอมาถึงสมัยนี้ลองรถมาคว่ำบ้าน หน้าบ้านเราดูสิ หมดเลย หมดเลยไม่มีอะไรเหลือ มันต่างกันเท่าไหร่เล่าดูสิดู จิตใจมันต่างกันเท่าไหร่เล่า ทีนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกไม่ใช่ว่ารถยนต์จะมาคว่ำหน้าบ้านเรา มันแกล้งนี่ มันแกล้งนี่ มันแกล้งให้รถยนต์มาคว่ำที่หน้าบ้านเรานี่แล้วขนกันสนุก นี่แหละสมัยตายายถ้าใครมาเจ็บมาไข้มาเป็นมาตายอะไรข้างหน้าบ้านเรามันก็ช่วยกันสุดความสามารถทุกคนทุกคน แล้วมันก็รอดตายมันก็กลับไปได้ด้วยความปลอดภัย ถ้าสมัยนี้ บางแห่งว่าเหลือแต่กางเกง แล้วบางแห่งกางเกงก็ไม่เหลือ แล้วมันยังแกล้งให้เกิดเรื่องแบบนี้ที่หน้าบ้านเรา เราก็จะขนกันใหญ่ นี่ชั่วไม่กี่สิบปีนี่มันเปลี่ยนถึงขนาดนี้เพราะจิตใจมันต่ำลงต่ำลง ถ้าตายายมาเห็นเหตุการณ์นี้ เสียใจที่สุดเลยว่าลูกหลานนี่มันช่างเลว มันช่างตกต่ำ ช่างเลว นั่นแหละขอให้รับผิดชอบกันทุกคนแหละ โดยเฉพาะเด็กๆของ ของตนเอง สองคน สามคน สี่คน ห้าคน พ่อแม่รับผิดชอบไว้ให้ได้ ต้องยอมลำบาก มันจริงแหละ มันปล้ำแหละ มันเหน็ดเหนื่อยแหละ การที่รบสู้กับเด็กๆ มันเหน็ดเหนื่อยเหลือประมาณ แต่ต้องทำ ถ้าไม่แบบนั้นแล้วมันก็คือฆ่าเด็กนั่นแหละ ฆ่าลูกหลานของตัวแหละ แล้วก็ทำลายวงศ์สกุลแหละ เมื่อเด็กๆนั่นมันเป็นเด็กที่เลวแล้วมันคือทำลายวงศ์สกุล เพราะฉะนั้นอดทนเถอะ ถึงจะต้องลำบากบ้าง ต้องหมดเปลืองบ้าง เสียเวลาบ้างต้องอดทน ทำให้เด็กๆยังคงเป็นเด็กที่ดี เป็นมนุษย์ที่ดี สำเร็จด้วยความอดทน ข้อนี้เห็นแล้วว่าสำเร็จด้วยความอดทนถึงจะมีปัญญา มีความรู้เพื่อจะทำ แต่ถ้ามันไม่อดทนมันก็ทำไม่ได้ มันต้องอดทน มันต้องอดทนเป็นปีๆ ด้วยในการจะควบคุมเด็กให้ดี ต้องดูแล ต้องว่ากล่าว บางทีต้องไปตาม ต้องเฆี่ยนต้องตีต้องอะไรกันไปตามเรื่อง ต้องอดทน ฉันคิดว่าเรื่องเดียวนี้แหละ ที่จำเป็นก่อน จำเป็นก่อน ว่าตายายก็จะยินดีปรีดาปราโมทย์ คือลูกหลานยังดีอยู่ ลูกหลานชั้นพ่อแม่ก็อบรมลูกหลานเด็กๆ ชั้นเด็กๆดี แล้วชั้นเด็กๆมันก็ดี ต้องตั้งใจจริงๆแหละ ต้องเสียสละจริงๆแหละ จึงจะเอาเด็กๆสมัยนี้ไว้ได้ เพราะว่าสิ่งที่ยั่วให้เลวมันมากนัก ความยั่วยวนทางวัตถุทางกามารมณ์มันมากนัก ก็น่าเห็นใจเด็กๆนะ พ่อแม่ช่วยกันรั้งไว้ให้ดี พ่อแม่นั่นแหละอย่าส่งเสริม อย่าส่งเสริมให้เด็กๆ ไปหลงใหลในเรื่องวัตถุทางกามารมณ์ เรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อย ที่ไม่จำเป็น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีกันอยู่ในตัวนั่นแหละแล้วมันไปลุ่มหลงในเรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยที่เกินจำเป็น จนใหญ่ขึ้นเป็นเรื่องทางเพศ นั่นยิ่งร้ายกาจยิ่งควบคุมยาก ถ้าว่าอบรมดีตั้งแต่เล็กๆค่อยยังชั่ว ถ้าอบรมไม่ดีเมื่อชั้นเล็กๆ พอโตขึ้นแล้วคงจะควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้นพยายามให้เด็กๆได้รับการดูแลอบรมที่ดีตั้งแต่เล็กๆ เหมือนที่ว่าแล้วว่าให้หัวอ่อนไว้ก่อน นี่ที่อินเดียนะ นักบวชทั้งหลาย นักบวชนิกายไหนก็ตามใจ เป็นนักบวชแล้วเขา เขา เขาจะเรียกว่าสาธุ สาธุ เหมือนบ้านเราพูดว่าพระมา พระมา นั่นแหละ ที่อินเดียเขาจะพูดว่าสาธุมา สาธุมา ยังคงมาสอนเราข้อนี้นะ พอเห็นพระมาก็ว่าสาธุ ยกมือไหว้ ไอ้สาธุคำนี้ก็หมายถึงพระ พระนั้นคือสาธุ ไม่ใช่ว่าเด็กๆมันมีความรู้จนถึงว่าสาธุการบวชการอะไรของพระไม่ใช่ แต่เขาเรียกพระนั่นแหละว่าสาธุ แค่ว่าเด็กเห็นพระต้องยกมือไหว้ จนเป็นธรรมเนียม ไม่ต้องใช้ จนไม่ต้องใช้ เด็กบางคนที่ฉันเห็นเองที่มาที่นี้ เด็กเล็กๆมัน มันไหว้เองก็มี มันไหว้เองโดย โดย โดยผู้ใหญ่ที่พามาไม่ต้องใช้ นี่แสดงว่าดีมาก ใน ในครอบครัวนั้นต้องดีมาก เด็กๆเห็นพระแล้วไหว้เอง แต่ว่าบางคนก็ไม่ไหวไม่ไหว ใช้ก็ใช้ มันก็ไม่ไหว้ จนแม่โมโห คนที่อุ้มมันโมโห ทะเลาะกันกับเด็กๆ เสียอีก ใช้เท่าไหร่มันก็ไม่ไหว้ เพราะมันไม่อบรมมาดีในบ้านในเรือนนี่ นี่มันมีทั้งสองอย่างแหละ ที่เด็กมันไหว้พระเองน่าเลื่อมใสนี้ก็มี แล้วใช้เท่าไหร่ก็ไม่ไหว้ หนักเข้ามันก็ร้อง มันดิ้น มันทะเลาะกันเสียเลย ทะเลาะกันกับพ่อแม่ที่พามา พ่อแม่ก็โมโหเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมา มันก็ไม่สำเร็จแหละ ข้อนี้แหละสำคัญ ให้เคารพ ให้อ่อนน้อม ให้เชื่อฟังไว้เถอะ มันจะเข้าหลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ไอ้บุตรที่ดีที่สุดคือบุตรที่เชื่อฟัง ไม่ใช่บุตรที่ดีกว่า สวยกว่า เก่งกว่า อะไรกว่า อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร อะไรก็ตามแหละ ไม่ ไม่ดีเท่ากับบุตรที่เชื่อฟัง เป็นบุตรที่ดีที่สุด เพราะบุตรที่เชื่อฟังมันจะทำอะไรได้ทุกอย่าง นี่เราจะต้องช่วยกันอบรมให้เด็กเล็กๆของเราเป็นคนที่เชื่อฟังมาตั้งแต่แรกลืมหูลืมตา แรกรู้สา ให้เชื่อฟัง ให้มันมีพระเจ้า พระสงฆ์ มีคนเฒ่าคนแก่ มีพ่อมีแม่ ผู้ที่ต้องเคารพเชื่อฟังติดเป็นนิสัย แล้วต่อไปมันก็มีแต่ความดี เพราะมันจะมีคนเมตตากรุณารักใคร่เอ็นดู โดยไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้องไปเที่ยวส่งเสริมกันแล้ว เอาแหละเวลามันไม่มีพอที่จะพูดกันมาก ถ้าอย่างไรถ้าจะตั้งใจฟังกันจริงๆ ก็ต้องเที่ยงแล้ว กินข้าวแล้วมาพูดกันก็ได้ นี่เวลามันมากแล้ว มัน ๑๐ โมงกว่าแล้ว มันต้องทำพิธีนี้ต่อไป ขอเตือนเป็นข้อสำคัญข้อเดียวว่า ต้อนรับตายายนี้ก็คือขอให้ต้อนรับด้วยการช่วยกันรักษาลูกหลานไว้ให้ดีๆ ให้ตายายมาเห็นแล้วชื่นใจ นั่นแหละต้องรับตายายที่ดี ทุกคน ทุกคน พูดกับตายาย คราวนี้ก็หมดเวลาที่จะพูดแล้ว เริ่มพิธีตายาย หัวหน้าก็เตรียมจุดเทียนจุดอะไร จุดเทียน จุดเทียน ทุกอย่างเพื่อตายาย ทำบุญให้ตายาย รับศีลเพื่อตายาย ถวายทานเพื่อตายาย ฟังเทศน์เพื่อตายาย ทำจิตใจให้ดีก็เพื่อตายาย ทุกๆอย่างเพื่อตายาย ให้สมกับว่าเป็นวันทำบุญตายาย ทำกันมาตั้งพันกว่าปีแล้ว ผู้ที่รับวัฒนธรรมอินเดีย ทำบุญตายายแบบอินเดียนะ ไม่ได้ทำอย่างจีน ถ้าทำอย่างจีนก็สำหรับคนที่เป็นจีนแหละ แต่คนไทยโดยทั่วๆไปนี่ทำอย่างอินเดียทั้งนั้นเลย เขามีที่ที่กำหนดไว้สำหรับทำบุญอุทิศให้คนที่ล่วงลับไปแล้ว ที่อินเดียทำกันจริงจริง จริงจังแหละ ทำกัน บางแห่งทำกัน คนตั้ง ตั้งล้านก็ว่าได้ มีที่แห่งหนึ่งฉันไปดู ที่นี้เขามาประชุมกันเป็นแสนๆเป็นล้าน เขาเรียกกุรุเกษตร ทุ่งกุรุเกษตร สมัยโบราณโน่น สนามรบโน่น เป็นที่ล้างบาป เป็นที่บำเพ็ญบุญ เป็นที่อะไรของคนทาง ทางอินเดียแหละ พระ พระแบบฮินดู เป็นหมื่นเป็นแสน พระและประชาชนเป็นแสนเป็นล้าน นั่นชาวอินเดียจึงอยู่ได้ไม่เป็นคอมมิวนิสต์ ของเราก็จะอวดได้ภูมิใจได้อยู่ ก็ทำบุญตายายนี้แหละ เกือบพันกว่าปีแน่นอนแหละ ที่จะพออวดกับเขาได้บ้าง นอกนั้นก็ยังไม่มองเห็นอะไร เอ้า, เริ่มพิธีเสีย