แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อไปประกอบกิจกรรมอันเป็นหน้าที่การงานให้มีผลดียิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงเป็นสิ่งน่าอนุโมทนาเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น
ในชั้นแรกนี้อยากจะทำความเข้าใจเรื่องเวลาที่มาพูดกันที่จะทำเช่นนั้น ในชั้นแรกนี้อยากจะทำความเข้าใจเรื่องเวลาที่มาพูดกันในเวลาอย่างนี้ มันดูเหมือนจะไม่มีเขาทำกัน นอกจากเรื่องในวัด เรื่องของบรรพชิตในวัดนิยมทำกันในเวลาอย่างนี้ เมื่อพวกฆราวาสเขาขวนขวายในการนอนหลับสบาย มันเป็นเรื่องของการรู้จักธรรมชาติด้วยเหมือนกันแหละที่เราจึงเลือกเวลาอย่างนี้มาพูดจากัน เวลาหัวรุ่งเป็นเวลาที่มันตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ถือว่าจิตใจยังว่าง ยังไม่มีอะไรใส่ลงไปให้มันยุ่งยาก มันว่างมันเหมาะสมที่จะรับ เรียกว่ามันเบิกบาน มันพร้อมที่จะเบิกบาน อย่าว่าแต่คน แม้แต่สัตว์ก็เหมือนกัน เป็นเวลาที่จิตใจจะเบิกบาน ดอกไม้ในป่ามีส่วนมากที่จะเบิกบานในเวลาเช้าอย่างนี้ และพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เวลาอย่างนี้ มันก็เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่พิเศษอยู่เหมือนกัน ในเวลาหัวรุ่ง ที่จะรุ่งขึ้นมาเป็นเวลาเช้า เวลาพร้อมที่จะเบิกบาน แล้วก็ถือเอาเป็นเครื่องศึกษา เป็นเวลาสำหรับศึกษากับพระเจ้า ให้อนุโลมตามเรื่องของธรรมชาติ ไปศึกษาธรรมชาติ ก็มีอะไร ๆ ที่จะอนุโลมกันได้กับธรรมชาติ เราจึงเลือกเวลาอย่างนี้
ได้ยินพระบอกว่าท่านทั้งหลายต้องการให้บรรยายเรื่องมนุษย์กับธรรมชาติก็รู้สึกว่ายินดีอีกหรือมีเหตุผล แต่ว่าฟังดูแล้วมันก็ยังยังไง ๆ ชอบกลอยู่ เพราะโดยแท้จริงแล้วมนุษย์ก็คือธรรมชาติ มนุษย์กับธรรมชาติก็คือธรรมชาติกับธรรมชาติ เรารู้จักมนุษย์โดยแท้จริงแล้วท่านก็รู้จักมนุษย์โดยความเป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง เรื่องก็กลายเป็นว่าธรรมชาติกับธรรมชาติ ธรรมชาติที่เป็นมนุษย์กับธรรมชาติที่มิได้เป็นมนุษย์ มันจะต้องปรับปรุงกันอย่างไรให้มีความสัมพันธ์กันให้ดี
ธรรมชาติหลัก ๆ ที่เกี่ยวกับธรรมะมันก็มี ๒ ชนิด แทนที่จะไปแบ่งเป็นมนุษย์กับธรรมชาติ ก็มีแต่ธรรมชาติอย่างเดียว ก็คือธรรมชาติที่เป็นไปในทางวัตถุหรือทางฝ่ายกาย และธรรมชาติที่เป็นไปในทางจิต รูปธรรม นามธรรม ที่ไม่ใช่กาย ที่มันจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน จึงจะเป็นไปได้ด้วยดี ยังมีร่างกายที่เราใช้เป็นที่ทำหน้าที่หรือที่อาศัยหรือทำหน้าที่ แม้โดยธรรมชาติแท้ ๆ เรื่องฝ่ายวัตถุมันก็เป็นอย่างนั้น เรื่องสสารอาศัยพลังงาน เรื่องพลังงานอาศัยสสาร มันเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกันจึงจะแสดงบทบาทได้ถึงที่สุด มิฉะนั้นมันจะแสดงไม่ได้ด้วยซ้ำไป จะแสดงอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ เหมือนกับรูปหุ่นต้องมีคนชักมันจึงจะแสดงบทบาทได้ เรื่องวัตถุก็มีเรื่องจิตใจสำหรับชักให้ดำเนิน ๆ ไปอยู่ภายใน บังคับให้ดำเนินไป อุปมาทางธรรมะแต่โบราณก็มีว่าไอ้คนหนึ่งตาบอดแข็งแรงดี อีกคนหนึ่งตามันดีแต่ขามันเป็นง่อย ง่อยเปลี้ยมันเดินไม่ได้ คนตาบอดมาเจอะกับคนตาดี พยายามให้คนตาดีขึ้นขี่หลังขี่คอ รวมกันเป็นคนเดียวกัน นึกว่าไปได้ไปทำอะไรต่ออะไรได้ นี่เรื่องฝ่ายวัตถุ ก็เรื่องฝ่ายจิตใจมันต้องอาศัยกันอย่างนี้ อันไหนที่สำคัญ มันก็สำคัญเท่ากัน ถ้าถามว่าอันไหนสำคัญกว่า มันก็คงจะระบุไปยังเรื่องจิตใจที่สามารถควบคุมวัตถุหรือร่างกายให้เป็นไป
เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาเรื่องทำลายธรรมชาติหรือทำลายวัตถุ ทำลายธรรมชาติฝ่ายวัตถุกัน นี่ก็เพราะมันไม่รู้จักธรรมชาติฝ่ายจิตใจ ให้พูดตรง ๆ มันก็คือคนโง่ที่สุด ท่านทั้งหลายก็คงจะได้ศึกษามาแล้วว่า ธรรมชาติฝ่ายวัตถุเป็นที่ตั้งอาศัยของธรรมชาติฝ่ายจิตใจ แล้วมันจะต้องเกิดก่อนด้วย มีความถูกต้องของธรรมชาติฝ่ายวัตถุ มันจึงเกิดเรื่องส่วนจิตใจที่ถูกต้อง อย่างว่าโลกนี้มันมีความถูกต้องทางวัตถุ มันจะมาจากไหนก็แล้วแต่ จะมาจากดวงอาทิตย์ หรือมันจะรวมมาจากหมอกเพลิงขึ้นมาก็ตามใจมัน มันก็เป็นโลกร้อน ๆ เปรี้ยง ๆ ไม่มีอะไร มันมีความเย็นลง ๆ มันมีความถูกต้องในทางวัตถุเกิดขึ้น สำหรับจะได้เกิดชีวิต ความถูกต้องของวัตถุเป็นรากฐานแล้วชีวิตจึงจะเกิดขึ้นมาได้ จะเรียกว่าธรรมชาติก็ได้ จะเรียกว่าพระเป็นเจ้าก็ได้แล้วแต่จะชอบ แต่มันก็มีสิ่งที่จัดให้โลกหรือวัตถุในโลกหรือโลกที่เป็นวัตถุเป็นไปอย่างนี้ มีความถูกต้องขึ้นมาอย่างนี้ จนมีความเหมาะสมที่จะเกิดโลกในฝ่ายจิตใจ มันจะมีสิ่งที่หุ้มห่อโลกหรือบรรยากาศที่หุ้มห่อโลก หุ้มห่อผิวโลก ถูกต้องเหมาะสมเสียก่อนมันจึงจะเกิดสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาได้ ก็ไปเรียนกันเองหรือว่าเรียนรู้มาแล้วก็ได้ว่ามีอะไรต่ออะไร มีอะไรอย่างไรหุ้มห่อโลกอยู่ ก็เกิดสิ่งที่มีความชื้น มีเป็นน้ำ เป็นอะไรเป็นที่ตั้งที่เกิดแห่งชีวิตง่าย ๆ แล้วค่อยเจริญสูงขึ้นมาจนเป็นชีวิตที่สูงขึ้น
ชีวิตที่เป็นพืชมาก่อน เป็นอาหารที่เตรียมพร้อมไว้สำหรับชีวิตที่มีจิตมีใจคือเป็นสัตว์ พวกที่เป็นพืช ฟลอร่าอะไรต้องมาก่อนพวกที่เป็นสัตว์คือ กัวน่า ฟลอร่าหรือกัวน่า (นาทีที่ 12:44) จะกลัวอะไร (นาทีที่ 12:50) ถ้ามันแยกจากกันมันก็เป็นไปไม่ได้ จึงต้องมีความถูกต้องสมสัดสมส่วนกัน ส่วนที่เป็นพืชเจริญเพียงพอเป็นที่ตั้งที่อาศัย ส่วนที่เป็นสัตว์มันก็ออกมาทั้งคู่ ก็เลยไปด้วยกัน ถ้าส่วนที่เป็นพืชถูกทำลายก็หมายถึงทำลายส่วนที่มันเป็นสัตว์ด้วย ไม่มีทั้งคู่ มันก็ไม่มีความงดงามอะไร คิดดู ถ้ามันไม่มีด้วยกันทั้งคู่แล้วมันก็ไม่มีความงดงามอะไร เดี๋ยวนี้โลกมันเจริญมาถึงเกิดพืช เกิดสัตว์ เกิดมนุษย์ เกิดมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีความคิด มีความคิดเหลือประมาณ มนุษย์นั่นแหละ ใช้ความคิดไปในทางหาประโยชน์เพื่อตัวเองแล้วมันก็เกินพอดี
พอมาถึงสมัยนี้มันก็ยิ่งเกินพอดี นี่ก็เป็นเรื่องทำลาย ทำลายโลก ทำลายธรรมชาติที่เป็นพืชพรรณพฤกษาชาติก็ถูกทำลายมากเกินไป ที่เป็นพวกโลหะก็ถูกทำลายมาก ที่เป็นน้ำมันก็ยิ่งถูกทำลายมาก ถ้ามันทำลายกันอยู่อย่างนี้ไม่อีกเท่าไรมันก็หมดน่ะ ไม่มีน้ำมันเหลืออยู่ในโลกแม้แต่หยดเดียวแล้วจะเป็นยังไง นี้ก็หลับตาโง่ คือไม่ใช่ลืมตาโง่ มันทำลายโลกทำลายธรรมชาติกันมากมายถึงขนาดนี้ มันมีปัญหาเพิ่มขึ้น ๆ ๆ จนเหลือวิสัยที่จะแก้ได้ แล้วยังอวดดีด้วย อวดดีที่จะไม่ง้อธรรมชาติ ที่จะไม่รักษาธรรมชาติ ให้มันอวดดีต่อไป แล้วมันก็จะพังพินาศในที่สุด มันไม่ทดแทนในสิ่งที่มันถูกใช้ไป ถูกทำลายมากกว่าถูกทดแทน เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มันถูกทดแทนน้อยไปกว่าที่ถูกทำลาย ที่เป็นแร่ธาตุธรรมชาติมันก็ไม่ได้รับการทดแทน มันทดแทนไม่ได้ แล้วมีเด็กอวดดีว่ากูจะหาทางออกแก้ปัญหาต่อไป จนกว่าน้ำมันในโลกมันหมด มันก็อวดดีว่าจะใช้พลังอย่างอื่น พลังแสงอาทิตย์ ไอ้นี้ยิ่งไปกว่าเดิมอีก นั่นมันอวดความโง่ คุณก็พอจะมองเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ จึงควรจะมีวิธีที่ทดแทนรักษาที่มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ ไม่ใช่พูดกันแต่ปาก ต้องแก้ไข
เดี๋ยวนี้เรียกว่าไอ้สัตว์ที่อันธพาลที่สุดก็คือมนุษย์นั่นแหละ อย่าไปเห็นเป็นสัตว์เดรัจฉานหรืออะไร มนุษย์อันธพาลที่สุด ทำลายธรรมชาติ ทำลายโลก ทำลายสิ่งที่พระเป็นเจ้าสร้างมาดีแล้วหรือธรรมชาติสร้างมาดีแล้ว แต่เราไม่มีพระเจ้า พวกที่เขาถือพระเจ้าเขาก็ถือว่าพระเจ้าสร้างมาดีแล้ว จนมีคำพูดว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ทำลาย จึงมองดูเหมือนเป็นความจริงอย่างนั้น พระเจ้าสร้างมา ๆ ครบ ๆ ครบบริบูรณ์ แล้วมนุษย์ก็ทำลายแหว่งเว้า เว้าแหว่งไป ๆ ที่นั่นที่นี่ แล้วยังเรื่องปัญหาบรรยากาศโลกมันไม่พอสำหรับจะหุ้มห่อโลกที่มีสัตว์มีชีวิตให้มันถูกต้อง ปัญหาเรือนกระจกหรืออะไรก็ตามไปดูเอาเอง ล้วนแต่ทำลายสิ่งที่พระเจ้าสร้างมา พระเจ้าสร้างมาดี มนุษย์ก็ทำลาย แล้วมันก็ต้องได้รับโทษจึงจะยุติธรรม มีปัญหายุ่งยากลำบากจริง ๆ จนถึงกับมันต้องตายหมดโลก แล้วสร้างกันใหม่ นี่มนุษย์มันไม่ใช่มนุษย์ เพราะว่ามนุษย์มันแปลว่ามีจิตใจสูง มันเฉลียวฉลาดในทางที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้มันเฉลียวฉลาดแต่ในทางที่จะทำลาย เพราะมันเห็นแก่ตัว การศึกษามันก้าวหน้า เทคโนโลยีมันก็เลยก้าวหน้า แต่มันก้าวหน้าในทางที่จะเห็นแก่ตัว ๆ ไม่รับผิดชอบอะไรเอาแต่ประโยชน์ เอาแต่การได้ของตัวเอง ธรรมชาติก็ถูกทำลาย ๆ ทิ้งปัญหาไว้ในคนที่อยู่ทีหลังแก้ไข มันจะรู้กันได้ว่าคนที่อยู่ที่หลังจะโง่หรือจะฉลาด มันจะแก้ไขได้หรือไม่ มันจะแก้ไขที่ปลายเหตุกระมัง มันไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุ ต้นเหตุของการทำลายมันอยู่ที่ความโง่ของมนุษย์ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เป็นต้นเหตุ แล้วคุณจะมาสอดส่องหาทางแก้ไขที่ตัววัตถุนี้มันเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ในทางธรรมะถือว่าไม่มีความสำเร็จล่ะ การแก้ไขที่ปลายเหตุ แล้วมันโง่เหมือนหมา ขออภัยที่พูดคำตรง ๆ หยาบ ๆ การแก้ไขที่ปลายเหตุมันโง่เหมือนกับหมา คือหมาเมื่อเราเอาไม้อะไรไปแหย่มัน มันกัดที่ปลายไม้แน่ แต่ถ้ามันเป็นเสือหรือราชสีห์ คุณเอาไม้ไปแหย่มันจะกระโจนกัดคนถือไม้ มันแก้ไขที่ต้นเหตุ มันฉลาดเหมือนราชสีห์ แก้ไขที่ปลายเหตุมันโง่เหมือนกับหมา ไม่ใช่มัวมาแก้ไขกันที่ปลายเหตุ ๆ มันไม่มีทางจะสำเร็จ มันต้องดูว่าต้นเหตุมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ไม่รู้จักธรรมชาติ แล้วมีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ๆ มากขึ้น ๆ ๆ นี่เรามนุษย์อันธพาลซะเอง เป็นคนโง่เป็นอันธพาลทำลายล้างสิ่งที่พระเจ้าสร้างมาดีแล้วเสียเองมันไม่รู้ แล้วยังหลับหูหลับตาเห็นแก่ประโยชน์ของตัว
แล้วทีนี้จะแก้ไขภายในที่เป็นต้นเหตุมันก็ต้องรู้เรื่องธรรมชาติ ธรรมชาติต้องให้ครบถ้วนและถูกต้อง ต้องขอใช้ทั้ง ๒ คำอย่างถูกต้อง แล้วก็ครบถ้วน ถูกต้องนิด ๆ หน่อย ๆ ใช้ไม่ได้ล่ะ จะถูกต้องด้วยครบถ้วนเพียงพอด้วย ตามหลักธรรมะก็คือไอ้เรื่องของธรรมชาติเพราะธรรมะเป็นคำเดียวกันกับคำว่าธรรมชาติ เป็นภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะเฉย ๆ ก็พอ แต่ที่แท้มันหมายถึงธรรมชาติ ธรรมะคำเดียวหมายถึงธรรมชาติ ถ้าเป็นภาษาไทยล่ะก็แปลเป็นธรรมชาติ ๆ ธรรมะคือธรรมชาติ แยกออกเป็น ๔ ความหมาย ถ้าอย่างไรก็ขอให้ช่วยจำกันดี ๆ ไปคิดดูดี ๆ ธรรมะ ๔ ความหมาย หรือธรรมชาติ ๔ ความหมายนั้นเป็นอย่างไร
ความหมายที่หนึ่ง ธรรมะ คือ ตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาตินั้นเองจะเป็นวัตถุก็ได้ เป็นจิตใจก็ได้ซึ่งมันเป็นตัวธรรมชาติ เช่นร่างกายคนเราคนหนึ่งมีทั้งร่างกายและจิตใจ ตัวก้อนธรรมชาตินี้ก็เรียกว่า ธรรมะ ในภาษาบาลี คือธรรมชาติ เป็นสภาวธรรม เป็นได้เอง เป็นมาเองตามธรรมชาติ ไอ้ตัวธรรมชาติก็คือธรรมะ
ทีนี้ในตัวธรรมชาติในทุก ๆ ตัวทุก ๆ ส่วนทุก ๆ อณูของมัน มันมีกฎประจำอยู่ที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเป็นไปเปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้เรียกว่ากฎของธรรมชาติสิงอยู่ในสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ในภาษาบาลีเรียกว่า สัจธรรม สัจธรรมความจริงของธรรมชาติ นี่คือกฎของธรรมชาติสิงอยู่ในตัวธรรมชาติ ตัวธรรมชาติจึงมีการเปลี่ยนแปลงหรือว่ามีการเป็นไป เจริญเปลี่ยนแปลงไป งอกงามหรือเสื่อมทรามก็แล้วแต่ มันมีกฎธรรมชาติอย่างไร ในความหมายที่ ๒ ได้แก่ กฎของธรรมชาติ
มีความหมายที่ ๓ มันก็มีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ มิฉะนั้นมันอยู่ไม่ได้ มันจะต้องตาย ในตัวธรรมชาติจึงมีกฎธรรมชาติที่จะต้องมีการปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ ที่ในร่างกายเรามีกายใจเป็นธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติบังคับให้มันปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้น แล้วมันก็มีหน้าที่ ๆ ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องให้ร่างกายและจิตใจมันคงอยู่ได้ มีชีวิตอยู่ได้ นี่เรียกว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ นี่เป็นความหมายที่ ๓ เรียกว่ากรณียกิจ หรือปฏิปัติธรรม ปฏิปัติธรรม ธรรมะที่ต้องปฏิบัติ คือ สิ่งที่ต้องปฏิบัติ
ทีนี้ก็มาถึงอันสุดท้ายที่ ๔ คือ ผลของมัน เมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่แล้วมันก็ต้องมีผล เรียกเป็นบาลีว่า ปฏิเวธธรรม สิ่งที่เราได้รู้สึก เสวยต่อมัน มี experience ต่อมันนี้เรียกว่า ปฏิเวธธรรม เป็นภาษาบาลีว่าเรียกอย่างนี้ ยุ่งยากนักไม่เต็มใจก็ได้
สภาวธรรม สัจธรรม ปฏิปัติธรรม ปฏิเวธธรรม เรียกเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ก็ว่าตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และก็ผล ตัวผลที่เกิดจากหน้าที่ รวมกันเป็น ๔ ความหมาย เรารู้ เราศึกษา และเราปฏิบัติให้ถูกต้องให้สำเร็จ แล้วก็จะได้รับผลเต็มตามที่ควรจะได้รับ และถ้าไม่ถูกต้องก็ไม่ได้รับ ทำไม่ได้ถึงขนาดก็ไม่ได้รับ ผู้ที่จะจัดการกับธรรมชาติจะต้องรู้ความจริงของธรรมชาติทั้ง ๔ ความหมายนี้ ไม่มีความรู้เรื่องธรรมชาติ ไปแก้ไขธรรมชาติ ไปจัดการกับธรรมชาติ มันก็ต้องเรียกว่าโง่ ๆ ๆ เกินโง่ ลืมตาโง่ ๆ โง่เกินไป นี่มนุษย์จัดอยู่ในสถานะอย่างนี้มันถึงทำลายธรรมชาติกันอย่างน่าใจหาย อย่างน่าใจหาย แล้วก็ไปโทษธรรมชาติ ไม่โทษตัวมนุษย์ผู้ที่โง่และทำลายธรรมชาติ จึงควรจะจัดการกับธรรมชาติก็ต้องมีความรู้เรื่องธรรมชาติ ความรู้เรื่องธรรมชาติมันมี ๔ ความหมายอย่างนี้ ที่เป็นภายนอกทางกาย ที่เป็นภายในทางจิต แล้วแต่ปัญหามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ว่าเราจะต้องจัดการทุกปัญหา ทั้งปัญหาทางวัตถุร่างกายและปัญหาทางจิตใจซึ่งลึกซึ้งลงไป ขอให้รู้เรื่องของธรรมชาติและจัดการกับมันให้ถูกต้อง
วิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันสนใจกันแต่ธรรมชาติทางวัตถุ รู้เหลือประมาณรู้เรื่องธรรมชาติทางวัตถุ แต่รู้เรื่องธรรมชาติทางจิตใจน้อยมาก พวกนักวิทยาศาสตร์ ศาสตร์ฝรั่งที่เราไปตามก้นเขานั่นแหละมันรู้แต่ด้านวัตถุเท่านั้นแหละ มันไม่มีความรู้ถึงที่สุดในทางด้านจิตใจ มันจึงไม่อาจจะสร้างสันติภาพขึ้นมาในโลก มันจะรู้เรื่องปรมาณู เรื่องสร้างระเบิดปรมาณูได้ แล้วไปโลกพระจันทร์ได้ มันก็ไม่อาจจะสร้างสันติภาพ เห็นไหม มันยังมีปัญหาเกี่ยวกับสันติภาพมากขึ้น นับตั้งแต่ว่าสร้างปรมาณูได้ ไปโลกพระจันทร์ได้ ไปอวกาศได้ มันก็ไม่สร้างสันติภาพ เพราะมันไม่รู้จักใช้ธรรมชาติให้มันถูกต้อง ทั้งทางฝ่ายวัตถุและทางฝ่ายจิต เราก็ยังจะตามก้นเขาไปบูชาเขาซึ่งมีความรู้เพียงครึ่งเดียว ตามหลักพุทธศาสนาใช้ไม่ได้ มันต้องรู้ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจด้วย ทั้งฝ่ายเหตุและฝ่ายผล ฉลาดให้ถึงที่สุด มันคือต้นเหตุของมัน อะไรเป็นเรื่องสันติภาพ อะไรเป็นเรื่องให้เกิดสันติภาพ อะไรเป็นศัตรูของสันติภาพ มันมาจากไหน ถ้ารู้กันหมดก็สร้างสันติภาพได้ นี่กำลังหลับตา ขุดตัวเอง ทำลายตัวเอง ก็เท่ากับทำลายสันติภาพของตัวเอง ทำลายความถูกต้องของธรรมชาติของโลก มันจนเนื่องมาถึงร่างกาย เนื่องมาถึงร่างกาย เช่นทำลายธรรมชาติจนจะอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ มันผิดไปหมด หรือทำลายธรรมชาติใกล้ ๆ ตัวมันก็เกิดมลพิษ (นาทีที่ 29:27 - 30:32 ซ้ำกับนาทีที่ 30:42 - 31:33) มลภาวะอะไร เต็มไปหมดจนจะอยู่กันไม่ได้ นี่คือความโง่ที่ไม่รู้เรื่องธรรมชาติ
ดังนั้น ขอให้รู้สิ่งนี้คือความจริงของธรรมชาติ ที่เรียกว่าธรรมะ ๆ พระธรรม ๆ แล้วก็รู้ในความหมายที่สำคัญที่สุดคือความหมายที่ ๓ ความหมายที่ ๑ คือ ตัวธรรมชาติ ความหมายที่ ๒ คือ กฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๓ คือ หน้าที่ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ข้อนี้ต้องรู้กันจริง ต้องรู้กันถึงที่สุดแล้วปฏิบัติให้ถูกต้องเราจึงได้รับผลดีจากธรรมชาติ
นี่คุณก็ไปดูเอาเองว่ามนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้เขากำลังทำกันอย่างไร เขารู้แต่เรื่องกอบโกยหาประโยชน์ด้วยความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ธรรมชาติ ต้องขอใช้คำว่ามันเป็นสัตว์อกตัญญู เลวทรามที่สุด มนุษย์เป็นสัตว์อกตัญญูเลวทรามที่สุด ที่มันไม่รู้บุญคุณของธรรมชาติ แล้วมันไม่ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามเรื่องของธรรมชาติ คุณยังถูกลงโทษอย่างสาสมเพราะมันทำกันอย่างนี้เรื่อย ๆ ไปไม่เท่าไรมันก็วินาศ แต่เดี๋ยวนี้มันก็ชักจะยุ่งยากลำบากวินาศกันมากขึ้น ๆ เรื่องธรรมชาติกำลังเป็นพิษเป็นภัยมากขึ้น มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นในโลกมากขึ้น ๆ จนมนุษย์ไม่มีความผาสุก เพราะมันไม่รู้เรื่องสิ่งที่ควรจะรู้ คือ หน้าที่อันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติทั้งทางฝ่ายกายและฝ่ายจิต
ว่าหน้าที่ ๆ นี้เป็นภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีก็คือคำว่า ธรรมะ ๆ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ ธรรมชาติในความหมายที่ ๓ ๑. คือตัวธรรมชาติ ๒. คือกฎธรรมชาติ ๓. คือหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ๔. คือผลที่จะได้รับ ทั้ง ๔ อย่างนี้เรียกว่าธรรมะคำเดียว ภาษาบาลีเรียกว่าธรรมะคำเดียวหมายถึง ๔ อย่าง คำว่าธรรมะนั้นหมายถึงทุกอย่างไม่ยกเว้นอะไร ธรรมชาติชนิดไหน นอกธรรมชาติเหนือธรรมชาติอะไรก็เรียกว่าธรรมะคำเดียว รู้ธรรมะแท้จริงก็คือรู้หน้าที่ที่จะช่วยให้รอด ขอให้สนใจ เดี๋ยวนี้มันไม่รู้เรื่องฝ่ายจิตใจกันเสียเลย มันก็ควบคุมไว้ไม่ได้ก็เกิดความผิดพลาดขึ้นมาในทางฝ่ายจิตใจ คือความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวทุกคนก็เห็นแก่ตัว ก็แย่งกันกอบโกย มันทำลายล้างกันด้วยการขัดแย้งกัน ต่อสู้หรือสงครามอันไม่มีที่สิ้นสุด
นี่เราไม่ได้เรียนรู้เรื่องธรรมชาติให้หมดทุกความหมายเราก็แก้ปัญหาไม่ได้ นี่เราก็ไม่อยากสนใจธรรมชาติที่สำคัญคือฝ่ายจิตใจ ธรรมชาติที่เป็นไปทางจิตทางใจเราไม่ค่อยจะสนใจ สนใจแต่ธรรมชาติที่เป็นไปทางวัตถุ เอามากินเอามาใช้เพื่อความสุขสนุกสนานบำรุงบำเรอ กลายเป็นเรื่องปัญหาทางกามารมณ์ ทางกามารมณ์ทางเพศ ปัญหาอะไรทำนองนั้น เมื่อปฏิบัติผิด ๆ ไม่มีศีลธรรมเกิดปัญหาทางจิตใจขึ้นมาอีกส่วนหนึ่งด้วยบวกกับปัญหาทางฝ่ายวัตถุ มันทำผิดธรรมชาติทั้งฝ่ายทางกายทั้งทางฝ่ายจิตใจ ปัญหาในโลกกำลังล้น หาความสุขสงบยากเห็นไหม ยิ่งยากยิ่งขึ้นทุกที มันไม่มีสันติภาพ มันไม่มีความสงบสุข เพราะมันทำผิดธรรมชาติทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ ฝ่ายจิตใจนี่สำคัญมากกว่า เราควรจะสนใจว่ามันมีอยู่อย่างไร ธรรมชาติฝ่ายจิตใจมันมีอยู่อย่างไร จิตใจในที่นี้มันก็เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติเท่ากับร่างกาย แต่มันเป็นฝ่ายละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ควบคุมร่างกาย บันดาลความเป็นไปทางร่างกาย หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็ว่า พลังทางร่างกายทางวัตถุนี่มันไปก่อให้เกิดพลังอีกทางหนึ่งคือทางจิตใจ มันต้องถูกต้องด้วยกันเหมือนกับมันเป็นเกลอ ประหนึ่งตาบอดให้คนตาดีขี่หลังแล้วไปด้วยกัน รับผิดชอบด้วยกัน ต้องทำอย่างนั้น สันติภาพถึงจะมีในโลก
ทีนี้ทางฝ่ายจิตมันผิดมันผิด คือมันเกิดความรู้สึกเห็นแก่ตัว ๆ กิเลสเลวร้ายที่สุด ไม่มีกิเลสไหนจะเลวร้ายเท่าก็คือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์นั่นเอง พูดถึงโทษของมันก่อน เป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่มันมีอยู่เฉพาะหน้าที่ความเห็นแก่ตัวก่อให้เกิดปัญหา คนไหนเห็นแก่ตัวไอ้คนนั้นมันก็ขี้เกียจ ขี้เกียจไม่อยากจะทำอะไรอยากจะนอนแล้วพลอยได้รับประโยชน์ที่ผู้อื่นทำ คนเห็นแก่ตัวมันขี้เกียจ คนเห็นแก่ตัวมันเอาเปรียบ ๆ ๆ คนเห็นแก่ตัวมันก็ไม่สามัคคี ๆ จะเรียกมาช่วยกันหน่อยมันก็ไม่มา มันทุกเรื่อง ต้องการความสามัคคีจากผู้เห็นแก่ตัวนี่ไปหาเลือดกับปูซะดีกว่า เหมือนกับจูงช้างรอดรูเข็ม จูงคนเห็นแก่ตัวมาร่วมกันสามัคคีกันมันยาก นี่เป็นเรื่องของคนเห็นแก่ตัว ๆ แล้วในที่สุดมันก็เป็นอันธพาล ๆ มันทำลายประโยชน์ของผู้อื่น เอามาให้ตัว เอามาให้ตัว มันจึงเกิดระเบียบในทางศีลธรรมขึ้นมาว่า อย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ อย่าประพฤติผิดในกาม อย่าโกหกหลอกลวง อย่าไปกินของเมาที่ทำให้บ้า คนดี ๆ ไปกินของเมาเข้ากลายเป็นคนบ้า นี่หลักพื้นฐานเรียกว่า ศีล ๕ เพื่อป้องกันความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้ไม่มีใครถือ มันหาโอกาสที่ไม่ต้องทำแล้วคดโกง ความเห็นแก่ตัว ๆ มันก็เป็นอันธพาล มันก็ทำลายผู้อื่นสิ ทำร้ายผู้อื่น กอบโกยประโยชน์ของผู้อื่นเอามาเป็นของตัว มันก็มีแผนการตามความฉลาดของมันที่จะกอบโกยมาได้อย่างไร มีกอบโกยด้วยสติปัญญา ด้วยโฆษณา ด้วยอะไรอย่างนั้น พวกที่มีทรัพย์มีสติปัญญา มันสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาเพื่อกอบโกยประโยชน์ของผู้อื่นมาให้แก่ตัวด้วยเครื่องจักร คิดดู เครื่องจักรมันต้องผลิตไอ้สิ่งที่คนชอบซื้อ แล้วก็ขายได้แล้วก็มาเป็นประโยชน์แก่ตัว เรียกว่าความกอบโกยมันเป็นไปถึงขนาดนี้ มันก็เกิดความไม่สมดุล ๆ ไอ้คนก็จนลงไปเหลือประมาณ ไอ้รวยก็รวยไปเหลือประมาณ มันก็เบียดเบียนกันอยู่อย่างนี้ มีความเห็นแก่ตัวเป็นต้นเหตุ มีความเห็นแก่ตัวเป็นต้นเหตุ คนจนก็เห็นแก่ตัวเหมือนกัน คนรวยก็เห็นแก่ตัว พวกนายทุนก็เห็นแก่ตัว คนทำมาอาชีพก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว แต่ไอ้ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว มันมีแต่ผู้เห็นแก่ตัวในโลกมนุษย์ มันถึงได้รบราฆ่าฟันกัน จนโลกไม่มีสันติภาพเหลืออยู่ จะรบกันที่นี่ไม่พอ มันก็เตรียมสำหรับไปกัดกันในโลกพระจันทร์ โลกพระอังคารต่อไป มันไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้
ยิ่งเราจะต้องรู้เรื่องนี้ เราจะต้องควบคุมความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้มันเลวร้ายจนไม่มีคำจะพูด พูดกันทั้งปีก็ไม่หมด ไอ้โทษของความเห็นแก่ตัว จะไม่เห็นแก่ตัวได้ด้วยวิธีใดนั้นน่ะควรสนใจ ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่มีใครทำลายธรรมชาติ ไม่ต้องทำให้มนุษย์อีกส่วนหนึ่งจะวิ่งเต้นป้องกันธรรมชาติ ความเห็นแก่ตัวของคนกลุ่มหนึ่งทำให้เกิดปัญหาแก่คนพวกหนึ่ง ขอให้เราสนใจเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ในทางศาสนาอย่างพุทธศาสนาสอนว่าไม่มีตัว โดยแท้จริงไม่มีตัว ความโง่มันเข้าใจว่ามีตัว ตามความเป็นจริงไม่มีตัว เห็นความจริงข้อนี้เสีย ไม่มีตัวแล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัว ก็กำจัดความเห็นแก่ตัวได้
ถ้าศาสนาที่เขามีตัวก็มีพระเป็นเจ้าสร้างตัวสร้างอะไรมา มันก็มีทางที่ว่าอย่ามีตัวของเรา เอาตัวของเราไปมอบถวายพระเป็นเจ้าเสีย มันก็ไม่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน จะใช้อุบายไหนวิธีไหนก็ได้ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่มีปัญหา สำหรับพวกที่ไม่มีพระเจ้าสร้างมันก็เป็นความเห็นแก่ตัวที่เกิดมาจากธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ตามกฏของธรรมชาติ มันมีธรรมชาติฝ่ายร่างกายทุกคนก็รู้ มันก็มีระบบประสาททั่วไปทั้งนั้น ธรรมชาติฝ่ายร่างกายมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ พวกอย่างนี้ล้วนแต่มีระบบประสาทสำหรับรู้สึก แล้วก็มันมีของภายนอกที่เข้ามาสัมผัสกับระบบประสาทในภายใน เช่น มีรูปมากระทบทางตา มีเสียงมากระทบทางหู มีกลิ่นมากระทบทางจมูก มีรสมากระทบทางลิ้น มีสัมผัสทั่ว ๆ ไปมากระทบทางผิวหนัง มีความคิดนึกหรืออารมณ์กระทบจิตให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้
ทีนี้มันไม่มีความรู้ เมื่อมีอะไรมากระทบมันก็รู้สึกตามไปความไม่รู้ มันก็เลยมีความรู้สึกเป็น ๒ ฝ่าย คือถ้าชอบใจก็เป็นฝ่ายบวก ไม่ชอบใจก็เป็นฝ่ายลบ มันมีความรู้สึกไม่บวกก็ลบไปเรื่อยไป ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อความรู้สึกฝ่ายบวกมากระทบมันก็เกิดตัวกูบวกตัวกู ตัวกูบวก เกิดความเป็นบวก ถ้าเป็นลบก็เกิดตัวกูลบ ถ้าเกิดตัวกูบวกมันก็จะเอามายึดมาเป็นเหมือนหลงใหล ถ้าเกิดตัวกูลบมันก็จะฆ่า มันก็จะทำลาย มีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบอยู่อย่างนี้ตลอดเวลามันก็ไม่มีความสงบสุข ร้อนทั้งนั้น ร้อนทั้งตัวกูบวก ตัวกูลบ ถ้าอยากมีตัวกูเสียเลยมันก็ไม่มีความเป็นบวก ไม่มีความเป็นลบ มันก็สงบสบายดี ขอให้เรารู้จักสัจธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติ มันลึกซึ้ง มันเฉียบขาดข้อนี้ว่าอย่าโง่ให้เป็นบวกให้เป็นลบขึ้นมา ก็จะมีความปกติสุขและก็ไม่เห็นแก่ตัว
เมื่อตัวกูบวกมันก็เกิดกิเลส โลภะ หรือราคะ กำหนัดยินดีจะเอามา เกิดตัวกูลบมันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะ หรือโกธะทำลายเสีย ไม่แน่ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ มีความสงสัย สงสัยติดตามอยู่นั่นแหละด้วยความโง่ จึงมีกิเลสเป็น ๓ ประเภท คือ ราคะ โทสะ โมหะ เป็นบวกเป็นลบ แล้วก็ไม่แน่ว่าบวกหรือลบ นั่นแหละเหตุให้เห็นแก่ตัวที่ทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อเห็นแก่ตัว แล้วกอบโกยเป็นเงินเป็นทอง ทำลายธรรมชาติ ๆ ทั้งโลกเลยทั้งจักรวาล เพราะว่ามนุษย์มีทั่วไปทั้งจักรวาล ถ้ามันยังไม่มีที่สิ้นสุด มันจะเป็นไปไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามันโง่ต่อไป ๆ ไม่เท่าไหร่โลกนี้ก็วินาศ และถ้ามันกลับตัวเสียได้ กลับสู่ความถูกต้องโลกนี้ก็จะรอด ไม่งั้นโลกนี้มันจะวินาศเพราะว่ามันขาดธรรมะ มันจะรอดก็เพราะว่ามันมีธรรมะ มีความถูกต้องหรือมีความผิดพลาด
ขอให้เราสนใจเรื่องนี้ มูลเหตุอันแท้จริงของการทำลายธรรมชาติอยู่ที่ความผิดพลาดทางจิตใจของมนุษย์ จนเกิดความเห็นแก่ตัว เกิดความเห็นแก่ตัว เข้มข้น ๆ ขึ้นมาตามความเจริญทางวัตถุ มนุษย์ยิ่งเจริญทางวัตถุ ยิ่งเจริญทางวัตถุก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ก็เทียบดูศึกษาดูทางที่ว่า ศึกษาในแง่ชีววิทยา มนุษยศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เมื่อมนุษย์ยังเป็นคนป่าเห็นแก่ตัวน้อย ยังมีสิ่งสนองความต้องการตามธรรมชาติมาก มันก็ไม่เดือดร้อนเบียดเบียนกันเหมือนเดี๋ยวนี้ ยิ่งเดี๋ยวนี้สิ่งสนองความต้องการตามธรรมชาติมันหมดไป มนุษย์ก็เพิ่มมากขึ้น การแย่งชิงแข่งขันมันก็มี และความก้าวหน้าทางวัตถุหรือสร้างความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังทางกิเลสให้มันมากขึ้น ๆ การเบียดเบียนมันก็ต้องมีมากขึ้นพร้อมความเจริญทางวัตถุ บูชากามารมณ์ บูชาวัตถุเป็นพระเป็นเจ้า มีมนุษย์โง่พวกหนึ่งบูชากามารมณ์เป็นพระเป็นเจ้า เรียกว่า กามเทพ ๆ อะไรก็ไม่รู้ แล้วก็พลอยตามไปกันทั้งโลก เด็กสมัยนี้รู้จักวันวาเลนไทน์มากกว่าวันวิสาขบูชา คุณรู้ไว้ มันบูชากามารมณ์ กามารมณ์มันเป็นเรื่องสกปรกเพื่อความบ้าวูบเดียว หยาบคายหรือไม่หยาบคายก็ขออภัย เรื่องกามารมณ์ทั้งหลายเป็นเรื่องทำสิ่งสกปรกเพื่อความบ้าวูบเดียวเท่านั้น มันก็ยังบูชากันได้เป็นพระเจ้า เป็นกามเทพเป็นอะไรไม่รู้ นั่นมันยิ่งหลงใหล ๆ เรื่องทางวัตถุ ๆ มากขึ้น จัดไว้เป็นสวรรค์ ในสวรรค์ก็เป็นเรื่องบ้ากามารมณ์ทั้งนั้น ถ้าไม่มีกามารมณ์ในสวรรค์ไม่มีใครอยากไปสวรรค์ เดี๋ยวนี้ทำบุญ ๆ จะไปสวรรค์เพราะมันมีกามารมณ์ให้เลือก ก็หยุดโง่ในส่วนนี้กันเสียสิจึงจะลดความเห็นแก่ตัว มันจะลดความเห็นแก่ตัวให้อยู่ในความถูกต้อง แล้วมันก็จะมีความคงที่ มีความคงที่ ไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ
เดี๋ยวนี้เราบูชาความเป็นบวกกันมากเกินไป ดูตามโฆษณาสินค้านี่ สินค้าหลอกหลวงเพื่อความหลงใหลเป็นส่วนใหญ่ มันก็ยิ่งหลงใหลไปในทางบวก ยิ่งหลงใหลไปในทางความเป็นบวกมันก็เกลียดทางเป็นลบ มันก็มีปัญหายุ่งยาก จนมีลักษณะเกิดขึ้นมาให้เราเห็นชัดลงไปว่า ชีวิตกำลังกัดเจ้าของ ชีวิตกำลังกัดเจ้าของ เป็นความจริงเหลือประมาณที่ไม่เห็นจะมีใครสนใจ เมื่อมันปราศจากธรรมะคือความถูกต้อง ไม่มีธรรมะไม่มีความถูกต้องแล้วชีวิตนี้ก็จะกัดเจ้าของ เมื่อพูดว่ากัดเจ้าของมันก็ต้องเลวกว่าหมาใช่ไหม เพราะว่าหมามันยังไม่กัดเจ้าของนี่ นี่ทำไมชีวิตกลายเป็นกัดเจ้าของเล่า ก็เพราะว่าไม่มีธรรมะ เพราะว่าไม่มีธรรมะ ชีวิตมันก็กัดเจ้าของ เดี๋ยวความรักกัด เกิดความรักความรักกัด เกิดความโกรธความโกรธกัด ไม่เป็นไรความโกรธ เกิดความเกลียด เกลียดนั่นเป็นหนอนกัด เกิดความกลัว ๆ กลัวมันก็กัด เกิดความตื่นเต้น ตื่นเต้นมันก็กัด หากเกิดความวิตกกังวลในอนาคตมันก็กัด อาลัยอาวรณ์อดีตหนหลังมันก็กัด เกิดอิจฉาริษยามันก็กัด เกิดความหวงมันก็กัด เกิดความหึงมันก็กัด ถึงกับฆ่ากันตาย ตัวอย่างชีวิตมันก็กัดเจ้าของร้อยอย่างพันอย่าง ยกมาสักสิบอย่างแล้วก็ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความอิจฉาริษยา ความหวง ความหึง เป็นสิบอย่างก็เหลือเกินแล้วที่เห็นว่ามันกัดเจ้าของอย่างไร
คุณไปดูของคุณเองว่ามีหรือไม่มี ถ้าไม่มีธรรมะแล้วมันก็เกิดเป็นบวกเป็นลบขึ้นมา ก็มีอาการอย่างที่ว่า ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ถ้ามันมีความถูกต้องควบคุมความเป็นบวกเป็นลบได้อยู่ในความถูกต้องมันจะไม่เกิดสิ่งเหล่านี้ มันจะเกิดความสงบสุขหรือความเป็นปกติ ถ้าพูดกันง่ายสำหรับเด็ก ๆ ฟังคือว่าไม่บวกไม่ลบ คือว่าไม่ดีใจไม่เสียใจ ไม่มีเรื่องดีใจเสียใจ เป็นเรื่องปกติ ๆ ๆ ดีใจมันก็วุ่นวายไปตามแบบดีใจ ดีใจอย่างยิ่งก็นอนไม่หลับกินข้าวไม่ลง ดีใจ เสียใจก็เหมือนกันนอนไม่หลับกินข้าวไม่ลง งั้นอย่าบวกอย่าลบ อยู่เหนือบวกเหนือลบ มันก็ปกติ ๆ สงบเย็น ๆ สามารถคิดนึกอะไรได้ดีทำอะไรได้ดีมีประโยชน์ นั่นแหละที่สุด ที่สุดของความดี สงบเย็นก็เป็นประโยชน์ ๒ คำเท่านั้นแหละพอ คุณทำให้ชีวิตสงบเย็น ให้ชีวิตเป็นประโยชน์ก็พอ จะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐที่สุด
แต่เดี๋ยวนี้มันยังร้อน ๆ ไม่เย็น เดี๋ยวความรัก เดี๋ยวความโกรธ เดี๋ยวความเกลียด เดี๋ยวความกลัว ก็ไปดูสิ เมื่อเกิดความรักในอะไรมันเย็นไม่ได้หรอก มันวุ่นไปหมด ความโกรธจะตรงกันข้าม ความโกรธก็เผาผู้โกรธ บางทีผู้ถูกโกรธยังไม่รู้เรื่อง ผู้โกรธนั่นแหละไฟ ความเกลียดก็เหมือนกันแหละ ผู้เกลียดก็กัดหัวใจผู้เกลียด ความกลัวก็ยิ่งแล้วใหญ่ เดี๋ยวนี้มีความกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวตายอยู่เป็นพื้นฐาน กลัวลำบาก กลัวยากจน กลัวไม่มีหน้าไม่มีตา ไม่มีเกียรติ มันก็กลัวล่ะสิแล้วมันจะตื่นเต้นนั่นนี่ ตื่นเต้น มีอะไรมายั่วยุให้ตื่นเต้น มันก็ต้องไป ร้องเพลง ร้องเพลงโง่ ๆ เต้นรำผีบ้า อาการของผีบ้า บัลเล่ต์บัลล่าอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นอาการของผีบ้าทั้งนั้นล่ะ เพื่อให้มันตื่นเต้น เพื่อให้มันตื่นเต้น ไม่ให้มันสงบ เพื่อให้มันตื่นเต้นเข้าไว้แล้วก็บูชา เรื่องมันชอบความตื่นเต้น ต้องไปดูฟุตบอลเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น จะไปดูการแข่งขันนั่นนี่ที่มันเกิดความตื่นเต้น เมื่อก่อนยังมีประโยชน์ไปดูฟุตบอลเพื่อจะพบความไม่เห็นแก่ตัว ความยุติธรรม เดี๋ยวนี้ในสนามฟุตบอลเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวจนได้โอกาสเอาเปรียบ ๆ ๆ จนถูกไล่ออก คอยจ้องที่จะเอาเปรียบทุกกระเบียดนิ้ว ในกีฬาในฟุตบอลกลายเป็นเรื่องส่งเสริมความเห็นแก่ตัวไม่เหมือนแต่ก่อน ถ้ามีกองเชียร์แล้วยิ่งเห็นแก่ตัว เอากองเชียร์มาเชียร์ก็ยิ่งเห็นแก่ตัว มันยิ่งสร้างความเห็นแก่ตัว ความตื่นเต้นชนิดนี้เลวร้าย ทำให้จิตใจเสียความสมดุล อย่าไปตื่นเต้นดีกว่า คงที่ ๆ แล้วก็อย่าไปวิตกกังวลที่ยังมาไม่ถึง มันป่วยการ มันกัดหัวใจ
เรามีเราต้องเข้าใจถูกต้องแล้วทำไป ไม่ต้องไปหวังให้มันกัดหัวใจ ท่านทั้งหลายที่เคยหวังมาแล้ว ความหวังกัดหัวใจอย่างไรไม่ต้องบอก อย่าไปหวังตามคำสั่งโง่ ๆ คำสอนโง่ ๆ ว่าให้มีความหวัง ว่าชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง มันจะตายเร็ว มันจะเป็นบ้า อย่าหวัง ๆ ตามหลักธรรมะแล้วคิดให้ถูกต้องแล้วก็ทำไปเถอะ ทำไปเถอะ หยุดความหวังเสีย มีแต่ความคิดว่าถูกต้องแล้วก็ทำไป ๆ อย่าไปหวังให้มันกัดหัวใจ เรื่องความรักก็ดี เรื่องอะไรก็ดี อย่ามีความหวังให้มันกัดหัวใจ มีสติปัญญาคิดให้มันถูกต้องแล้วทำไปอย่างถูกต้องก็พอแล้ว อย่างนี้มันสงบเย็น อย่าหวังอนาคตให้มันกัดหัวใจ อย่าอาลัยอาวรณ์เรื่องที่แล้วที่แล้วมาแต่หนหลังให้มันกัดหัวใจ มันแล้วไปแล้ว มันแล้วไปแล้ว ตั้งต้นทำใหม่ให้ถูกต้อง อย่าไปเอามาอาลัยอาวรณ์อะไรให้กัดหัวใจ นี่ก็อย่าอิจฉาริษยา อย่าอิจฉาริษยา ความอิจฉาริษยาทำให้เกิดการเบียดเบียน นักศึกษาวิทยาลัยยกพวกตีกัน มันเลวที่สุด เพราะว่ามันไม่รักผู้อื่น มันอิจฉาริษยา มันก็ได้ขัดแย้งกัน มันก็ได้รบราฆ่าฟันกันในโลกนี้ทั้งโลก ล้วนแต่มีความริษยากัน ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายได้ริษยากัน ประเทศเล็ก ๆ มันก็ริษยากัน เดี๋ยวนี้กำลังขัดแย้งอะไรกันที่ไหนก็ไปดู มันมาจากความอิจฉาริษยากัน และถ้ามันเป็นเมืองเล็ก ๆ แล้วก็น่าหัว ๆ ลองริษยาใครสิ ผู้นั้นยังไม่ทันรู้นะ แต่เราผู้ริษยานี่ถูกความริษยากัดหัวใจแล้ว ริษยาหรือร้อนอยู่กัดหัวใจผู้ริษยา ผู้ถูกริษยายังไม่รู้ด้วยซ้ำไป ความริษยามันเลวขนาดนั้น ถ้ามันรู้ขึ้นมามันก็ได้ต่อสู้กัน มันได้ขัดแย้งกันเป็นเรื่อง เหมือนกันที่กำลังมีอยู่ในโลกไม่เคยขาด ริษยากัน ขัดแย้งกัน ต่อสู้กัน ไม่มีขาด เพียงแต่จะปรากฏให้เห็นหรือไม่ปรากฏให้เห็น เป็นสงครามร้อนให้เห็น เป็นสงครามเย็นอยู่ใต้ดินมองไม่เห็น เรียกว่ามันริษยากัน ความหวงมันทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ไม่เผื่อแผ่แก่กัน ความหึงก็คือความหวงที่มันเข้มข้น แล้วก็มันเป็นไปในเรื่องทางเพศที่มันมีอารมณ์รุนแรงมาก มันก็กัด ชีวิตนี้ก็กัดเจ้าของ ชีวิตนี้ก็กัดเจ้าของ
พวกฝรั่งมาที่นี่ทุกเดือน เดือนหนึ่งราวหลายสิบร้อยคนเสมอ เขาชอบประโยคนี้ ประโยคที่ว่าชีวิตไม่กัดเจ้าของ แล้วเขามาพบชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เลยสนใจเลยมาศึกษามาปฏิบัติกัน แล้วก็มากันเองเหมือนมาตลาดนัด มาทุกเดือน ๆ เดือนละ ๑๐ วัน วันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๐ พวกฝรั่งมันจองเสร็จคนอื่นไม่ต้องใช้ เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ยังนั้น จะสิ้นสุดวันที่ ๑๑ นี่ แต่คนไทยยังสนใจน้อย สนใจธรรมะน้อย ไม่ค่อยเห็นหน้า ฝรั่งนี่มา (ชั่วโมงที่ 1:02:50) มาเหมือนมาตลาดนัด ก็ต้องจัดให้ทุกเดือน ๆ มันก็น่าหัวที่เขาสนใจคำว่าชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เพราะเขาเคยมีแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของอย่างที่ว่ามาแล้ว แล้วมาพบชีวิตที่มันสะอาดเกลี้ยงเกลา ปกติ เยือกเย็นเป็นสุข ไม่กัดเจ้าของ มันลดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึง มันลดในใจ มันลดในใจ มันกลายเป็นชีวิตเย็น ชีวิตเย็นเท่านั้นแหละที่จะเป็นอิสระ
ถ้าเป็นชีวิตที่มีกิเลสครอบงำล่ะมันร้อนแล้วมันก็เห็นแก่ตัว ต่อให้มันหมดกิเลสแล้วไม่เห็นแก่ตัว มันจึงจะมีชีวิตเย็นแล้วทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ รักกันได้ รักความถูกต้องได้ ไม่เห็นแก่ตัว นี่โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเมื่อมันหนักเข้า ๆ มันก็หลงทาง มันก็ทำความเดือดร้อน เป็นอันธพาล เป็นอาชญากร สร้างคุกสร้างตารางเท่าไรก็ไม่พอ รายงานของรัฐบาลของบประมาณสร้างคุกสร้างตารางก็ไม่ค่อยจะมี ต้องทำอย่างอื่น สร้างศาลยุติธรรมก็ไม่ค่อยมี สร้างโรงพยาบาลบ้าก็ไม่ค่อยจะมี ต้องหาวิธีถ่ายเทกันอย่างอื่น เพราะความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้นในโลก อาชญากรมันก็มากขึ้นมาในโลก เมื่อความเห็นแก่ตัวมันหลงทาง เข้มข้นหนักเข้ามันก็ถึงกับว่า มันฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าพ่อฆ่าแม่ แล้วฆ่าตัวเองตายตามไปเลย มันโง่ถึงขนาดนี้ แล้วทำไมมันจะทำลายธรรมชาติไม่ได้เล่า เอ้า, ไปคิดเอาเองสิ ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าลูกฆ่าเมีย ฆ่าตัวเองตายตามไป คือมันเป็นบ้าน่ะเพราะความเห็นแก่ตัว แล้วทำไมมันจะทำลายธรรมชาติไม่ได้ ทำไมมันจะไม่สร้างมลภาวะอะไรต่าง ๆ มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ทำอะไรไม่สำเร็จ แม้หน้าที่ที่จะแก้ไข จะแก้ไขให้มันดีขึ้นก็แก้ไขไม่สำเร็จ นี่คุณจะมาหาทางแก้ไขความเห็นแก่ตัว หยุดทำลายธรรมชาตินั่นน่ะ ถ้าไม่มีธรรมะมาช่วยก็ตายเปล่า ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าความเห็นแก่ตัวยังเต็มไปทั้งโลก ความเห็นแก่ตัวมันยังเต็มไปทั้งกรุงเทพฯ ทั้งกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นมันจึงปราบยุงก็ยังไม่ได้ ถ้าคนกรุงเทพฯ ลดความเห็นแก่ตัวลงเสียบ้าง ช่วยกันคนละครึ่งไม้ครึ่งมือ ไม่ต้องเต็มไม้เต็มมือ ไม่มีความเห็นแก่ตัว ช่วยกันปราบยุง แล้วยุงในกรุงเทพจะหมด ไม่มีเหลือสักตัว เดี๋ยวนี้มันยังมีความเห็นแก่ตัว มึงไม่ปราบ กูก็ไม่ปราบ บ้านใครก็เลี้ยงยุงล่ะ สมน้ำหน้ามัน อย่าพูดอะไรมาก มันก็เต็มไปด้วยยุง ยุงรอดชีวิตอยู่ได้ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของคนกรุงเทพฯ ทั้งโลกก็เหมือนกันแหละ ไอ้สิ่งเลวร้ายนี่มันกำจัดออกไปไม่ได้ เพราะว่าคนมันเห็นแก่ตัว มันเห็นแก่ตัว มันสร้างทุกอย่างเพื่อความร้อน เพื่อกัดเจ้าของ ๆ เห็นแก่ตัว ทำไปแต่ในรูปแบบของความเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ผู้อื่น ไม่รักผู้อื่น ไม่รักความถูกต้อง ไม่รักความเป็นธรรม มันเห็นแก่ตัวอยู่ เป็นกลุ้มกลัดกลุ้มอยู่ บูชาบวก ๆ หวังในเรื่องบวกด้วยความหลงใหลในความเป็นบวก หวังให้ทุกอย่างมันเป็นบวก ชอบพูดกันในลักษณะที่ขอให้มันเป็นบวก หวังความเป็นบวกแต่ข้างเดียว เมื่อมีหวังในทางเป็นบวกก็กลัวความเป็นลบ มันก็ไม่มีความสงบสุข มันก็นอนไม่หลับ ยิ่งบูชาบวกมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเกลียดกลัวความเป็นลบมากเท่านั้น มันหาทางสงบสุขไม่ได้ เหมือนอย่างว่าคุณเห็นบุรุษไปรษณีย์เอาโทรเลข เอาจดหมายมาส่ง คุณก็หวังความเป็นบวก เกลียดกลัวความเป็นลบ เปิดจดหมายหรือเปิดโทรเลขด้วยมือที่สั่น เพราะมันหวังบวกแล้วมันเกลียดลบ ผิดปกติถึงขนาดนี้ มันจะทดสอบหรือสอบไล่เอาเอง ถ้ามันไม่มีความหวังอย่างนี้มันก็ปกติ ถ้ามีธรรมะ มีธรรมะคือความถูกต้อง มันก็ไม่ต้องเป็นบวกไม่ต้องเป็นลบ มันไม่เห็นแก่ตัว แต่มันเห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่ความถูกต้อง
เรื่องนี้ละเอียดถ้าจะยาก ศึกษายาก แล้วศึกษากันผิด ๆ สอนกันผิด ๆ ถ้าจะให้ง่ายก็แบ่งออกว่า นี่มันตัว ฝ่ายนี้มีตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวเพราะว่ามันมีตัว มีอัตตา คนโง่ทำแบบนั้น ที่สุดฝ่ายนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย เป็นนิรัตตา นิรัตตา ไม่มีอะไรเลย มันก็ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ก็ทำไปแบบที่ไม่มีตัว แต่ความถูกต้องมันอยู่ที่ตรงกลาง ตรงกลางนี่เรียกว่า ตัวซึ่งมิใช่ตัว เรียกเป็นธรรมะว่า อนัตตา อนัตตา นักศึกษาสมัยใหม่เกลียดคำโง่ ๆ คำคร่ำ ๆ ครึ ๆ คุณยายตามศาลาวัดกูไม่สนใจ คำว่าอนัตตา มันก็เลยมีตัว มีความเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่เข้าใจเรื่องอนัตตา อนัตตา แปลว่า มีตัวซึ่งมิใช่ตัว จิตคิดว่าเป็นตัวแต่ความจริงมันไม่ใช่ตัว นี้เรียกว่าอนัตตา มิใช่ตัว จะไปเห็นเป็นตัว แล้วก็เห็นแก่ตัว แล้วก็เกิดกิเลสนานาชนิดอย่างที่ว่ามาแล้ว มันก็เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น บรรดาสิ่งที่มีชีวิตนั้นมันต้องมีความรู้สึกที่เป็นตัว มันเป็น Instinct เป็นสัญชาตญาณเกิดเอง ไม่ต้องมีใครสอน มันต้องมีตัว
เด็ก ๆ อยู่ในท้องแม่ไม่มีความรู้สึกบวกลบหรือตัว พอมันคลอดออกมาแล้ว อย่างว่าที่แรกมันก็กินนม ถ้านมอร่อยมันก็เกิดความรู้สึกเป็นบวก ก็มีความรู้สึกว่ากูอร่อย ๆ ตัวกูเพิ่งเคยเห็น ไม่ได้เกิดมาแต่ก่อน เกิดด้วยความโง่ โง่ไปตามความรู้สึกอร่อยว่านี่ตัวกู ว่านี่ตัวกูอร่อย ถ้าไปโดนของที่ไม่อร่อยก็กูไม่อร่อย ก็โกรธ ก็มีตัวกู ตัวกูติดลบ ตัวกูไม่ใช่ตัวจริง มันเพิ่งเกิดตามความโง่ เกิดจากความโง่ ไม่ใช่ของจริง นี่แหละจึงเรียกว่าตนซึ่งมิใช่ตน มันต้องมีในจิตใจทุกคนแหละว่ามีตัวกู เสร็จแล้วมันไม่ใช่ของจริง เห็นอะไร น่ารักก็รัก น่าเกลียดก็เกลียด ตัวกูเกิดขึ้นมารักหรือเกลียด ตัวกูเป็นของใหม่เพิ่งเกิดมาด้วยความโง่แต่มันก็มีฤทธิ์เดชมาก ทำ ๆ อะไรก็ได้ด้วยความโง่ นี่เราจะมีความถูกต้อง อนัตตา ตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน อย่าปล่อยไปตามความโง่ ควบคุมมันไว้ให้ได้ ให้มันถูกต้องอยู่เสมอ ๓ คำจำง่าย ๆ ฝ่ายนี้อัตตา ๆ ๆ ตัวกูร้อยเปอร์เซ็นต์ ฝ่ายนี้นิรัตตา ๆ ไม่มีอะไรเลย ที่ตรงกลาง อนัตตา ๆ ตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน ตัวกูซึ่งมิใช่ตัวกู กูไม่เอามึง ถ้าความรู้มันถูกต้องเมื่อไรมันก็จะไม่เกิดความรู้สึกอันนี้ มันก็มีความสงบ มีความสงบ เป็นความถูกต้องเรียกว่าธรรมะ ๆ ๆ มีความรู้ถูกต้อง มีการปฏิบัติถูกต้อง
ขอพูดเรื่องคำว่าธรรมะสักหน่อย น่าสงสารนะที่ว่าในโรงเรียน พวกครูบาอาจารย์เขาสอนเด็กนักเรียนว่าธรรมะ ธรรมะนั้นคือคำสอนของพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าท่านเหล่านี้ก็เคยได้รับคำสอนอย่างนี้มาแล้วจากครูในโรงเรียน ธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันผิดไม่รู้จะผิดยังไง เพราะว่าในประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล คำสอนของศาสดาองค์ไหนก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้น ศาสดามีหลายองค์ในอินเดีย คู่แข่งขันกับพระพุทธเจ้า นิครณห์บุตร หรือ (นาทีที่ 1:13:12) เป็นศาสดาทั้งนั้น คำสอนของคนเหล่านั้นก็เรียกว่าธรรมะ ประชาชนเขาก็มีหลักว่าชอบใจธรรมะของใคร เขาถามกันว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร ก็หมายความว่าท่านถือศาสนาไหนนั่นแหละ ชอบใจธรรมะของพระสมณโคดมก็ถือพุทธศาสนา ชอบใจธรรมะของนิครณห์บุตร (ชั่วโมงที่ 1:13:47) ก็ถือคติของเดียรถีย์นิครณห์ อย่างนี้เป็นต้น คำว่าธรรมะไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำสั่งสอนของพระศาสดาเรียกว่าธรรมะ
ทีนี้ตัวคำสั่งสอนในคำสั่งสอนมันเองมันสอนเรื่องหน้าที่ ๆ ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ตัวธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ คำว่าหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ ช่วยจำไว้อย่างนี้ เห็นหน้าที่นั้นคือสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ถ้าไม่ทำมันจะต้องตาย เป็นคนก็ต้องตายเมื่อไม่ทำหน้าที่ เป็นสัตว์ก็ต้องตายเมื่อไม่ทำหน้าที่ เป็นต้นไม้นี้ก็ต้องตายเมื่อมันไม่ทำหน้าที่ บางทีต้นไม้จะทำหน้าที่ดีกว่าคนด้วยซ้ำทำตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน เหมือนพระพุทธเจ้า (ชั่วโมงที่ 1:14:58) ต้นไม้ทำหน้าที่ทั้งวันทั้งคืนเหมือนพระพุทธเจ้า ไอ้มนุษย์มันเอาเปรียบ กบฏหน้าที่ ทรยศหน้าที่ โกงหน้าที่
ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ คือสิ่งที่จะช่วยชีวิตไว้ได้ ตัวหนังสือมันก็หมายถึงธรรมะ ธรรมะตัวนี้ต้องยกขึ้นไว้ ยกขึ้นไว้อย่าให้พลัดลงไป คำว่าธรรมะ ยกชีวิตขึ้นไว้อย่าพลัดไปสู่ความตาย จึงเรียกว่าธรรมะ ๆ เป็นหน้าที่ในภาษาไทย หน้าที่ หน้าที่ก็คือยกชีวิตขึ้นไว้อย่าให้ตกไปสู่ความตาย คำว่าธรรมะ ๆ นี้มีบทนิยามที่สมบูรณ์ที่สุด ถูกต้องที่สุดที่ควรจะจำไว้ว่า ธรรมะ คือ ระบบปฏิบัติ ต้องใช้คำว่าระบบปฏิบัติเพราะมันไม่ได้ปฏิบัติข้อเดียว มันต้องปฏิบัติครบทั้งระบบ จึงใช้คำว่าระบบปฏิบัติ ใช้คำที่ถูกต้อง ๆ ที่ผิดใช้ไม่ได้ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้อง ๆ ที่ถูกต้องนั้นต้องถูกต้องแต่ความรอด คือเป็นไปเพื่อความรอด ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อความรอดมันไม่ถูกต้อง ถ้าความรอด ต้องรอดทั้งทางร่างกายและจิตใจ รอดทั้งทางร่างกายและจิตใจ มันต้องรอดทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ตั้งแต่เกิดจนเข้าโลง ทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น มันจึงเป็น ๖ ความหมาย อย่างน้อยนะ ปฏิบัติเป็นระบบเพื่อความถูกต้องแด่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งชีวิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น ถ้าไม่ครบอย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะ ถูกต้องเพื่อตัวเองคนเดียวก็ไม่ใช่ธรรมะ แล้วรอดแต่ทางฝ่ายกายก็ไม่ใช่ธรรมะ ต้องรอดฝ่ายกายและฝ่ายจิต ท่านไปชำระสะสางชีวิตตัวเองดูว่ามันมีความถูกต้อง ๖ ความหมายนี้หรือเปล่า ถ้ามันไม่มีมันก็ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะมันจะถูกต้องหมดนี้ ปฏิบัติครบถ้วนตามระบบ ถูกต้องเพื่อความรอดทั้งทางกายและทางจิต ตลอดชีวิตทั้งตนเองและผู้อื่นได้รับประโยชน์
ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ แปลว่า หน้าที่ที่ถูกต้อง ไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอน คำสั่งสอนมันมีคำอื่น คำสั่งสอนมันผิดก็ได้ แต่ถ้าธรรมะแล้วธรรมะไม่มีผิด ถ้าผิดก็เรียกว่าอธรรมะไป ขอให้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง หน้าที่ที่ถูกต้อง ไม่ได้บอกว่าต้นไม้จะดีกว่าคนนะ ทำหน้าที่ถูกต้องทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีหยุด มนุษย์หยุดพักซะมากกว่า ทำหน้าที่ถูกต้องทั้งกลางวันและกลางคืน และตลอดชีวิต นั่นแหละคือการกระทำของพระพุทธเจ้า
ขอให้อดทนฟังสักนิดว่า พระพุทธเจ้าปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดวงจรและจนตลอดชีวิต แต่มนุษย์คดโกง กบฏหน้าที่ หลอกหลวงหน้าที่ บิดพลิ้วหน้าที่ สมุดลงเวลามาทำงานประจำวันเขียนโกหกทั้งนั้น มันบอกความไม่จริง พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ตลอดทั้งวันทั้งคืน คือว่าหัวรุ่ง ๆ อย่างตี ๕ นี้ ท่านเที่ยวสอดส่องไปในทุกหนทุกแห่งว่าวันนี้รุ่งขึ้นจะไปทำอะไรที่ไหน คือไปโปรดสัตว์ แล้วท่านก็ได้ยิน ได้เห็น ได้ฟัง ที่ไหนมีอะไรที่ไหน มีอะไรใครเป็นอะไร ท่านก็จะรู้ว่ารุ่งเช้านี้ควรจะไปทำอะไรที่ไหน ท่านก็ตัดสินพระทัยเสร็จตั้งแต่ก่อนรุ่ง ทีนี้พอรุ่งขึ้นมาท่านก็ไปไปที่นั่น คำว่าไปบิณฑบาตคือไปโปรดสัตว์ ก็พยายามจะพบกับคนนั้นหรือเหตุการณ์อันนั้น แก้ไขมันให้ได้ ได้พบกับเจ้าของบ้าน ได้คุยกับเจ้าของบ้าน บางทีก็ฉันที่บ้านนั้นเสร็จ คุยกันตลอดเวลา จนเขามีความเข้าใจถูกต้องได้รับประโยชน์ การโปรดนั้นก็สำเร็จ สายไปจนถึงเที่ยงก็ได้ ท่านต้องทำหน้าที่สำเร็จ หรือคนไหนก็ได้ที่พบตามถนนหนทาง ช่วยแก้ไขให้เกิดความถูกต้อง ว่าตอนเที่ยงจะร้อนนักจะพักสักนิดเดียวก็พอแล้ว พอตอนบ่ายกลับมาถึงวัดแล้วมันก็ต้องพบกับคนที่เขาไปหาที่วัด ประชาชนจะไปหาพระพุทธเจ้าที่วัดตอนบ่ายหรือตอนเย็น ตอนบ่ายหรือตอนเย็นท่านก็ติดธุระสอน ประชาชนจะไปหาถึงวัด ไม่ได้นอน ไม่ได้จะจำวัด จนค่ำ มีงานทำจนค่ำ พอค่ำลงก็สอนภิกษุสามเณรประจำวัด ภิกขุ โอวาทัง (ชั่วโมงที่ 1.21.07) พอพลบค่ำลงก็ให้โอวาทแก่ภิกษุที่อยู่ประจำวัด ก็ทำเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ไป จนถึงเวลาเที่ยงคืน ๆ อัตถะรัตเต (ชั่วโมงที่ 1.21.24) เวลาเที่ยงคืนตอบคำถามของเทวดา เทวดาคน ๆ จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มหากษัตริย์ก็ตาม เทวดาที่มาจากสวรรค์โน่นก็ตาม คำบาลีจะกล่าวว่า ไปหาพระพุทธเจ้าเวลาเที่ยงคืนทั้งนั้น พระพุทธเจ้ารับแขกคนชั้นเทวดาในเวลาเที่ยงคืนเรื่อยไป ๆ จนเหลือเวลาพักผ่อนสักนิด เขาก็กลับแล้ว พักผ่อนสักนิดแล้วก็ช่างยาก แล้วก็ถึงหัวรุ่งอีกแหละ และเล็งญาณส่องโลกว่าจะไปทำอะไรที่ไหน มันครบวงจร พระพุทธเจ้ามีสมาธิจิตพักผ่อนอยู่ในการทำการงานนั้นเอง กิจปกติไม่เร้าร้อนด้วยกิเลสมันเป็นการพักผ่อนไปหมด จนเกือบจะไม่ได้นอนทางด้านร่างกายแต่พักผ่อนทางจิตใจอยู่ในตัว
นี่พระพุทธเจ้าทำการงานครบวงจรทั้งวันและคืนเหมือนต้นไม้ คนและสัตว์ยังทำงานน้อย น้อยกว่านั้น มีเวลาพักผ่อนน้อยกว่านั้น และมีเจตนาจะบิดพลิ้วหน้าที่การงานเอาเปรียบคดโกงด้วย ท่านก็ทำหน้าที่ ๆ อย่างนี้ไป ๆ ๆ ๆ ๆ จนเมื่อที่บ้านนี้เมืองนี้พอแล้วก็เลื่อนไปบ้านอื่นเมืองอื่น แล้วไปทำอย่างเดียวกัน ทำอย่างเดียวกัน จนตลอดวาระสุดท้ายแห่งชีวิต คือในการที่ท่านจะย้ายจากเมืองนี้ไปสู่เมืองอื่นต้องเดินเป็นโยชน์ ๆ เป็นหลายสิบกิโลก็มี ท่านไม่มีรถยนต์ เรามีรถบัส มีรถยนต์ ที่นั่นสมัยนั้นไม่มีรถยนต์ จะนั่งเกวียนท่านก็ไม่นั่งเพราะว่าเกวียนมันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิต จะนั่งรถม้าท่านก็ไม่นั่งเพราะว่ารถม้ามันเทียมด้วยสัตว์มีชีวิตเหมือนกัน ไม่นั่งเกวียน ไม่นั่งรถม้า ท่านก็ต้องเดิน ในบาลีตรวจดูหมดแล้วไม่พบตรงไหนที่ว่าพระพุทธเจ้ามีร่มหรือมีรองเท้า ร่มก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่มี ไม่เหมือนพระเดี๋ยวนี้มีกระทั่งกล้องถ่ายรูป แม่ชีแก่ ๆ ก็มีกล้องถ่ายรูป คุณจะไม่เชื่อ แม่ชีอายุมาก ๆ ก็ยังมีกล้องถ่ายรูปมาถ่าย แม่ชีแก่ ๆ ก็ยังมีกล้องถ่ายรูป พระพุทธเจ้าไม่มีแม้แต่ร่มและรองเท้า เป็นพระศาสดาเท้าเปล่า พระบรมศาสดาเท้าเปล่า แล้วก็เดินไปกี่กิโลเมตรกี่สิบกิโลเมตรก็ตามใจกี่โยชน์ ๆ ก็ไปถึงจนได้ สอนครบถ้วนที่จะต้องไป จนตลอดเวลาในชีวิตของท่านที่เป็นพระศาสดา ๔๕ ปี
ทีนี้เดี๋ยววันนี้เป็นวันจะนิพพานแล้ว กำหนดเป็นวันนิพพานแล้วไม่สบายแล้ว วันนั้นก็ยังเดินอยู่เป็นโยชน์ ๆ ไม่ไปโรงพยาบาลนะ ไม่ไปนอนนิพพานในโรงพยาบาลเหมือนเดี๋ยวนี้ ก็ไปในที่ที่จะกำหนดว่าจะปรินิพพานน่ะ ในอุทยาน วนอุทยาน park ของพวกกษัตริย์ทั้งหลาย เตรียมตัวปรินิพพานกันที่นั่น ภิกษุทั้งหลายประชุมพร้อมเพื่อเตรียมการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า จะมีในหัวค่ำ ๆ นี้ ก็ยังมีนักบวชในลัทธิอื่นศาสนาอื่นมาขอถามปัญหา มาขอให้พระพุทธเจ้าสอน จะนิพพานอยู่เดี๋ยวนี้ พระทั้งหลายก็ โอ้, นี่เกินไปแล้ว ๆ ไล่ ๆ ไป ๆ ออกไป ๆ อย่ามาคุย จะมีการปรินิพพาน พระพุทธเจ้าท่านได้ยินพระไล่ไอ้คนนั้น ท่านก็อย่าไล่ ๆ เรียกมันเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาถามปัญหากันก็ตอบปัญหา สอน ๆ ๆ จนผู้นั้นได้รับความรู้เพียงพอที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ในเวลาต่อมา และเป็นพระอรหันต์คนสุดท้ายในสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นดังนี้แล้วจะไม่เรียกว่าท่านทำงานจนตายได้อย่างไรล่ะ พูดอย่างหยาบคายเรา ๆ ก็ว่าทำงานจนตายคาที่ เราทำงานกันอย่างนั้นหรือเปล่า เราโกงเวลา ทำงานบิดพลิ้ว ทำงานคดโกงการงานกันกี่มากน้อยก็ไปดูเอาเอง พระพุทธเจ้าทำงานครบวงจรวันคืนวันคืน แล้วจนกระทั่งสุดท้ายแห่งชีวิต ทำจิตเป็นสมาธิ สูงสุดตามความพอใจของท่านแล้วก็เลือกเอา ความเป็นสมาธิชนิดหนึ่งหยุดอยู่ที่นั่นแล้วก็นิพพาน เหมือนกับปิดสวิตช์ไฟอย่างนั้นแหละ เหมือนกับเราปิดสวิตช์ไฟฟ้า ดำรงจิตอยู่ในความถูกต้องของสมาธิ แล้วก็ปิดสวิตช์ แล้วก็นิพพาน ท่านทำงานจนตาย มันเป็นคำหยาบคายไม่เหมาะสม ทำงานจนสิ้นพระชนม์ชีวิตนาทีสุดท้าย
เราทำงานกันอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเราทำงานกันอย่างนั้น ผลดีจะเกิดในโลกนี้มากกว่านี้มาก เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงเคารพหน้าที่ บูชาหน้าที่ ๆ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพหน้าที่ ท่านตกลงพระทัยเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ ว่า เคารพหน้าที่ เคารพธรรมะ เคารพหน้าที่ พอตรัสรู้แล้วท่านฉงนว่า เออ, ต่อไปนี้จะเคารพใคร เชื่อตัวเองเป็นสัมมาสัมพุทธะตรัสรู้แล้ว ก็สงสัยว่าต่อไปนี้จะเคารพใคร ในที่สุดเคารพหน้าที่ เคารพธรรมะ เคารพหน้าที่ ท่านก็เลยเคารพหน้าที่อย่างที่ว่ามานี้ ทำงานครบวงจรวันคืน วันคืน วันคืนจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนเคารพหน้าที่ อุทิศชีวิตให้เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความถูกต้อง ทำหน้าที่ด้วยความถูกต้อง ทำลายความเห็นแก่ตัวที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งหลาย ช่วยกันระงับความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวเมื่อไรจะไม่มีใครทำลายธรรมชาติ จงมุ่งหมายที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเถิด อย่าไปมุ่งหมายที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเลย จงเจริญทำตามตัวอย่างที่ดีก็คือพระพุทธเจ้า ทำลายความเห็นแก่ตัว รวมทั้งของตนเองด้วย ทั้งของผู้อื่นด้วย แล้วจะไม่มีใครที่จะเป็นผู้ทำลายสันติภาพ สันติสุข แต่เอาล่ะเดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้ เราคนเดียวทำไม่ได้ แต่ก็มุ่งหมายจะกระทำอยู่นั่นแหละ แม้ว่าคนทั้งโลกเขาจะไม่ทำ เราก็จะกระทำ ทำลายความเห็นแก่ตัว ทำลายความเห็นแก่ตัว จิตใจของเราเย็น ๆ ๆ แล้วก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนประสบความสำเร็จในข้อนี้ ที่ทำให้ชีวิตนี้เยือกเย็นไม่มีความเห็นแก่ตัว แล้วก็มีโอกาสบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น เรียกว่าชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ และหน้าที่การงานทั้งหลายที่ท่านทั้งหลายตั้งใจจะกระทำก็จะสำเร็จตามความประสงค์ทุกประการเป็นแน่นอน ขอแสดงความหวังว่ามันจะเป็นอย่างนี้ ๆ ขอให้เป็นอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน ๆ มีความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ