แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์วิทยาลัยเทคนิค และท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้คือแสวงหาความรู้ทางธรรมะไปประกอบกับการงานในหน้าที่อ่า...ที่มีอยู่เป็นประจำ เพื่อให้อ่า...มีผลดีที่สุดเท่าที่มันจะมีได้ จึงขออนุโมทนาในเจตนาที่ดีในการกระทำที่ดีอย่างนี้
คนในโลกนี่มันยังโง่อยู่มากที่ไม่สนใจธรรมะนะ เฉพาะที่มันยังไม่สนใจธรรมะนะ มันยังโง่อยู่ ธรรมะนั้นมันมีความหมายมากลึกลับซ่อนอยู่ ชนิดที่คนงกเงินนะเห็นไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ ไอ้พวกงกเงินเหล่านั้นมันจะมองเห็นธรรมะไม่ได้ ทั้งที่ธรรมะมีประโยชน์สูงสุด คือช่วยให้การงานไม่เป็นความทุกข์ ช่วยจำความหมายนี้ให้ ให้ดีๆว่าธรรมะนี่มันช่วยให้ทำการงานโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ แม้เราๆจะเรียนวิชาอะไรมาเต็มที่ สามารถอย่างยิ่งในวิชานั้นแล้ว พอมาทำหน้าที่มันจะรู้สึกว่าลำบากเหน็ดเหนื่อย ไม่สนุก นี่ไอ้ความโหดร้ายในชีวิตมันก็เกิดขึ้นในชีวิตเองนั่นแหละ เหมือนกับหมามันกัดเจ้าของนี่มันเลวมาก ชีวิตที่มันกัดเจ้าของนะมันเป็นชีวิตที่เลวมาก ธรรมะมันช่วยป้องกันได้ในข้อนี้ ให้ทำงานได้ผลดีแล้วก็สะดวกสนุกในชีวิตนั่น นี่ขอให้สนใจเป็นพิเศษให้มันสมกัน อย่าอวดดีไปว่าเรียนวิชานั้นๆมาเอ่อ...เสร็จแล้วพอแล้ว กูพอแล้วอย่างนี้ มันยังมีปัญหาเมื่อไปปฏิบัติงานกันจริงจริง มันไม่สนุก นี่มันเป็นทุกข์ มันไม่อยากทำ อ่า...ไม่มันไม่อยากออกเหงื่อ ไม่อยากออกแรง ไม่อยากยุ่งยากลำบาก มันไม่สนุก ชีวิตมันก็กลายเป็นทุกข์เสียเองทั้งที่มีความรู้ นี่มันต้องมีธรรมะหรือสิ่งที่เรียกธรรมะทำให้ชีวิตมันเป็นที่น่าสนุกสนานน่าพอใจ ที่เหงื่อออกมาเป็นน้ำมนต์นะ เหงื่อออกมาเป็นน้ำมนต์ ถ้าไม่มีธรรมะนี่เหงื่อออกมามันเป็นน้ำร้อน แล้วมันก็ กูจะมัวทนลำบากอย่างไร มันก็ไปปล้น ไปจี้ ไปขโมย มันสบายกว่าไง มันก็คิดไปในทางตรงกันข้าม คือถ้ามีธรรมะแล้วมันพอใจมันสนุกสนานในการปฏิบัติงาน แล้วมันจึงจะสนุกเหมือนกับว่าเล่นกีฬาอย่างนั้นนะ ชีวิตนี่มันจะกลายเป็นเล่นสนุกเหมือนกับเล่นกีฬา ในการต่อสู้กันระหว่างความแพ้กับความชนะ อันไหนจะเป็นฝ่ายชนะนี่มันก็สนุก ฉะนั้นเราเองนะเป็นผู้เล่นกีฬา ฉะนั้นเราเองนะเป็นผู้ดู เราเองจะเป็นผู้ตัดสินหรือให้รางวัลหรืออะไรมันๆมันก็เลยอ่า...สนุกชีวิตนี้ก็มีความสนุกเหมือนกับเล่นกีฬา ถ้ามีธรรมะมันกลายเป็นอย่างนี้ไป ถ้าไม่มีธรรมะมันก็ดิ้นรน เรียกว่ามัน...ความเห็นแก่ตัว มันไม่อยากจะทำงาน มันอยากจะมีเงิน ได้เงินโดยไม่ต้องทำงาน ฉะนั้นขอให้ขอบคุณนะ ขอบพระคุณธรมะกันบ้างลักษณะอย่างนี้
ฉะนั้นวันนี้เรามาพูดกันเวลาตีห้านะ ซึ่งส่วนมากก็เป็นเวลาที่หาความสบายจากการนอน เมื่อพวกโน้นมันหาความสบายจากการนอนอยู่บนเตียงนอนเรามาพูดกันอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจว่าทำไมจึงเลือกในเวลาอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวสำหรับอาตมาที่ว่าไม่สบาย อ่อนเพลียไม่มีแรง แล้วพอจะมีแรงบ้างก็คือระยะเช้า ก่อนเช้าอย่างนี้ นี่มันไม่ใช่อย่างนั้น เวลาเรียกว่าหัวรุ่งก็แล้วกันนะ มันเป็นๆเวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่จะมีการศึกษาค้นคว้าเห็นธรรมะ รู้แจ้งธรรมะ ฉะนั้นจึงปรากฏว่าพระพุทธเจ้านะท่านได้ตรัสรู้เมื่อเวลาหัวรุ่ง ชื่อมันก็ดี เวลาอุทัย อาทิตย์อุทัยมันหัวรุ่ง มันเป็นเวลาที่เหมาะกว่าเวลาอื่น ร่างกายภายในก็พักผ่อนมาแล้วเต็มที่สดชื่นแจ่มใส ในภายนอกนะบรรยากาศมันก็ไม่......อากาศดี ดอกไม้หลาย ๆ ชนิดมันก็เบิกบาน มันก็มีความรื่นเริง เป็นเวลาที่ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี มันเยือกเย็น มันเหมาะสมที่จะตรัสรู้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เวลาหัวรุ่ง เมื่อคนอื่นกำลังหาความสบายอยู่ในที่นอน พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่ขอให้สนใจใช้เวลาอย่างนี้ ไม่เฉพาะ ที่นี่ ที่ไหนก็ได้ใช้เวลาหัวรุ่งสำหรับคิดนึกศึกษาทบทวนอะไรต่างๆ มันจะมีผลดี มีผลดี คือว่าได้ผลมากในเวลาอันน้อยนะ เรียกว่าได้กำไร อย่าเห็นเป็นเรื่องที่ว่ามันเสียเวลาการนอน เสียความสุขสบาย ไม่อยากจะใช้มันในทางที่นอกจากการนอน นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ควรจะมีเป็นหลักปฏิบัติตลอดไป ตลอดไป ตื่นนอนก่อนรุ่งสำหรับทำการคิดนึกศึกษา แม้จะทำสมาธิภาวนาก็ทำได้ดี ไอ้คนโง่เป็นอันมากอยู่ที่บ้านมันว่ามันไม่มีเวลาฝึกสมาธิ ก็มันเอาเวลาที่เหมาะสำหรับฝึกสมาธิไปนอน ไปหาความสุขจากการนอนเสียนี่ ไม่ว่าบ้านไหนเรือนไหน คนชนิดไหนตื่นนอนให้ ให้เร็วขึ้นมาสักหน่อยมันก็มีเวลาพอสำหรับฝึกสมาธิ ฉะนั้นไอ้คนที่พูดว่าไม่มีเวลาเลยนั้นนะ เป็นเหมือนคนโง่ก็ได้ที่ไม่รู้จักจัดเวลา หรือมันเป็นคนที่ไม่จริง มันเอาเปรียบ มันแก้ตัวว่าทำไม่ได้ นี่ขอให้คิดดูกันเรื่องนี้ด้วย ใช้เวลาที่ดีที่สุดไปศึกษาเรื่องที่ลึกซึ้งที่สุดทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน เดี๋ยวมันก็ใกล้ๆพระนิพพาน ไม่ๆทันรู้ เอาล่ะเป็นอันว่า ยินดี ยินดี ในการมาของท่านทั้งหลาย และสมัครที่จะใช้เวลาอย่างนี้เพื่อการศึกษา
ทีนี้ก็จะได้พูดถึงตัวเรื่องที่จะพูด พูดโดยหัวข้อสั้น ๆ ว่า เทคนิคของธรรมะ เรียกว่าเทคนิคของธรรมะมันเป็นเรื่องบอกอยู่ในตัวแล้วว่าแม้แต่ธรรมะมันก็มีเทคนิค เทคนิคจากธรรมะ ก็เหมือนกับว่าในระบบของธรรมะนั้นมีเทคนิคอยู่ในนั้น เราจะมาหาเทคนิคจากธรรมะเพื่อเอาไปใช้ในการงานทั่วไปก็ยังได้ หรือว่ามันยิ่งดี แต่นั่นแหละมันอาจจะไม่เข้าใจกันว่าจะทำอย่างไร แม้แต่เทคนิคคำพูดคำนี้มันก็ไม่ใช่ภาษาไทย ยังไม่ค่อยรู้ว่าอะไรกันด้วยซ้ำไป เพียงแต่ไว้อวดทั้งที่ไม่รู้ว่า......กูมีเทคนิค มันจะเป็นเสียอย่างนี้โดยมาก มันจะเป็นอะไรก็ตามใจเถิด แต่อาตมาอยากจะขอระบุว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าเทคนิคนั่นก็คือ เรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆว่า เคล็ด เคล็ด ที่ทำให้เกิดความสำเร็จ นั่นนะคือไม่ปล่อยไปตามธรรมดา ถ้าว่ามีเทคนิคมันก็มีวิชาที่จะทำให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ได้ผลดีขึ้น และมีอันตรายน้อย คืออันตรายนี้ก็ไม่ใช่เล่น คนโง่ไม่สนใจทำงานโดยไม่ระวังอันตราย คือถ้าว่ามันได้ผลดีแล้วมันก็ต้องมีเทคนิค ถ้าเรียกอย่างภาษาบาลีก็เรียกว่า อุบาย อุบาย แต่ภาษาไทยคำว่าอุบายนั่นฟังดูมันไม่ค่อยจะสุจริตนัก แต่ถ้าภาษาบาลีกันนะคำว่าอุบายนี่มีความหมายคล้ายกับคำว่าเทคนิค ถึงมีๆวิชาความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเต็มที่ ถึงขนาดที่ว่าทำให้มันได้ดี ทำให้ง่าย ทำให้เร็ว ทำให้สะดวก ทำให้ปลอดภัย ทำให้ลงทุนน้อย ได้ผลมากและไม่เกิดอันตรายใดๆขึ้นมา นี่วิชาที่ทำให้เป็นอย่างนี้ได้ก็เรียกว่าเทคนิคได้ ถ้าวิทยาลัยเทคนิคเพียงแต่สอนให้รู้อย่างโรงเรียนธรรมดามันก็ไม่ควรจะเรียกว่าเทคนิค มันต้องมีอะไรดีกว่า ง่าย เร็วขึ้น ลึกขึ้น สะดวกขึ้น ดีขึ้นมากกว่าธรรมดานะถึงจะมีความเป็นอุบายหรือเป็นเทคนิค ทีนี้วิชาใช้เทคนิคนั่นแหละ เราจะเรียกมันว่าเทคโนโลยีก็ตามใจเถอะ ถ้ามันรู้ส่วนที่เป็นเทคนิค ไม่ๆใช่มันเอามาใช้ได้ง่ายๆนะ หรือไม่ใช่จะมีขึ้นมาได้ง่ายๆ แล้วถ้ามันมีขึ้นมาก็เอามาใช้เป็นว่าเล่นนี่จะเป็นไอ้เทคโนโลยีขึ้นมา คือวิชาที่จะใช้เทคนิคให้สำเร็จประโยชน์ คนอื่นเขาจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นก็ตามใจเขา อาตมาเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าจะเรียกว่ามีพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าบัญญัติไว้เสร็จแล้วแหละ แต่เราเป็นชาวพุทธเราไม่เรียกว่าพระเจ้า เราเรียกว่าธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติ มันมีอยู่อย่างนั้น มันมีอยู่อย่างนั้น มันลึกลับจนคนส่วนมากไม่รู้นะ จะรู้แต่บางคนที่จะรู้ว่าทำอย่างไรมันจึงจะเป็นอย่างนั้น จะง่ายจะสะดวกสบายเหมือนกับเนรมิต ถ้าพระวิษ...พระว่า...ตามวิษณุ ตามเนรมิตวิมานมันก็เป็นคนที่มีเทคนิคมากไง สามารถทำได้เหมือนกับเนรมิตสร้างสรรค์ในพริบตาเดียว ฉะนั้นคำว่าเทคนิคต้องพิเศษกว่าธรรมดา ให้สำเร็จประโยชน์โดยง่าย โดยเร็ว โดยสะดวกลงทุนน้อย มีอันตราย......ไม่มีอันตราย ธรรมชาติในความจริงข้อนี้มีความลึกลับในข้อนี้แต่คนไม่พบ คนไม่พบจะทำอย่างไร ถ้าพบก็ดีเรื่องทางโลกนี้มันก็ดี ทำงานกันเป็นว่าเล่น ก้าวหน้าสนุกสนาน เรื่องทางธรรมมันก็ดีก็ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน นี่ถ้ามันรู้ความลับของธรรมชาติต่อสิ่งที่เรียกว่าเทคนิค เทคนิค คือความฉลาดรอบคอบสุขุมถึงที่สุดถ้าในสิ่งที่ตนจะกระทำนั้น ถ้าเราเรียนเทคนิคสอนเรื่องเครื่องยนต์มันก็ต้องสอนเคล็ดที่ดีกว่าโรงเรียนอื่นนะ ถ้าโรงเรียนเทคนิคสอนเรื่องฉาบปูนก่ออิฐ เอ้า,มันก็ต้องทำได้ดีกว่าผู้อื่นสินั่น มันจึงจะมีเทคนิค มันค้นพบความลับของสิ่งเหล่านั้น
ที่นี้เราก็จะอ่า......ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้นไป โดยหลักใหญ่ๆมนุษย์ก็ต้องการความสุข แต่คนโง่มันไม่ต้องการ มันต้องการความสนุกเพราะมันไม่รู้จักความสุข เพราะฉะนั้นคนโง่เหล่านั้นมันจึงบ้ากาม บ้าเกียรติ บ้ากิน ว่ากันไปตามเรื่องของมัน มันก็ไม่มีเทคนิคในการที่จะมีชีวิต ถ้ามันไม่บ้ากิน บ้ากาม บ้าเกียรตินั่นนะ มันจะทำให้มีความสุขที่ถูกต้องและสมบูรณ์ โดยทางโลกๆนี้มันก็เพื่อหากำไร สร้างกำไร หากำไร หาผลประโยชน์ที่สุดนี่ก็มีเทคนิคกันในส่วนนี้ ถ้าในทางธรรมก็ดับทุกข์ มีเทคนิคในการที่จะดับทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา มีวิธีการที่ฉลาดที่สุดดับทุกข์ได้ และยิ่งไปกว่านั้นอีกมันก็มีวิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะป้องกันนะ ป้องกันไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา ในความทุกข์เกิดขึ้นมาแล้วจึงจัดการนี่มันก็ยุ่งยากแหละ ใครๆก็เห็นไฟไหม้บ้านแล้วก็จัดการนี่มันก็ยุ่งยากแหละ ถ้าป้องกันไม่ให้ไฟไหม้บ้านมันก็ดีกว่า นี่คนเราจึงมีวิชาประเสริฐคือป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ไม่ให้เกิดความทุกข์ความลำบาก นี่เรียกว่ายอดของมันแหละ เทคนิคในการหาการทำนั้นมันก็ส่วนหนึ่งนะ แต่มันก็ต้องมีเทคนิคในการแก้ปัญหา ในการขจัดปัญหา จนกระทั่งว่าป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา แล้วคนนั้นมันจะสบายสักเท่าไรขอให้คิดดู มันจะสบายสักเท่าไรขอให้ลองคิดดู คนที่ไม่ต้องเผชิญกับปัญหา แล้วคนโง่ก็โง่เข้าไปในการแก้ปัญหา ถ้าคนโบราณเขาเรียกคนโง่ชนิดนี้ว่ามันเอาไม้สั้นไปรันขี้ เอาไม้สั้นๆไปรันขี้ มันก็เลอะหน้ามันเองแหละนะ มันโง่ขนาดนั้น ถ้ามันฉลาดมันก็ใช้ไม้ยาวๆ หรือว่าถ้ามันฉลาดกว่านั้นอีกมันก็ทำให้ไม่มีปัญหาคือไม่มีขี้ขึ้นมา ในๆการป้องกันนั้นแหละมันจึงประเสริฐ ประเสริฐกว่าเกิดปัญหา เกิดทุกข์แล้วจึงแก้ไข เอาละเป็นว่าขอให้มีเทคนิคในการสร้างสรรค์ ในการทำขึ้นมา ที่นี้ในการขจัดปัญหา แล้วก็ในการป้องกันปัญหา ขอให้จำไว้อ่า...สัก ๓ คำมันเป็นเทคนิคอยู่ในตัวที่สุดแล้ว เทคนิคในการทำอ่า...ทิค...เทคนิคในการแก้ปัญหา แล้วก็เทคนิคในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ดูสิมันๆดีกว่าไม่มีนะ ดีกว่าไม่มีเทคนิคกี่มากน้อย มันจะดีกว่ากันอย่างเลิศอย่างประเสริฐศรีละ ขอให้สนใจใช้สิ่งที่เรียกว่าเทคนิคนั้นนะให้สมชื่อของมัน จะเป็นเรื่องการงาน การอาชีพก็ดี การบริหารชีวิตในการเป็นอยู่ก็ดี ในการคบหาสมาคมหรือการสังคมก็ดี ให้มันเต็มไปด้วยเทคนิค มันไม่เกิดปัญหามันมีแต่ความสำเร็จ สรุปว่าปัญหามันจะมีอยู่สัก ๓ อย่างนั้นนะ หนึ่งปัญหาประกอบอาชีพ ใครมีอาชีพอะไรก็ประกอบอาชีพ จะทำนาทำสวน จะค้าขาย จะทำราชการ จะเป็นกรรมกร แม้กระทั่งว่ามันจะต้องขอทาน มันจะต้องนั่งขอทานเพราะร่างกายมันไม่สมประกอบ มันก็เรียกว่าอาชีพ ๆ ทั้งนั้น มันก็ต้องมีความรู้ที่จะทำอาชีพอ่า...ทีนี้ต่อเมื่อมีอาชีพ ทำอาชีพมันก็ยังต้องมีการบริหารร่างกายของเรานี่ ให้เจริญให้สะดวกให้สบายให้เจริญ ให้มีความเจริญในส่วนร่างกาย และจิตใจนี่ให้มีการเป็นอยู่ที่เป็นสุข ทุกเวลา ทุกสถานที่ นี่มันก็ไม่ใช่ง่ายนักนะที่จะมีแต่ความสุข ความสะดวก ความพอใจไปทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ไม่ว่าจะให้ทำอะไร จะกินข้าว จะอาบน้ำ จะทำอะไรก็เป็นการบริหารกายให้มันเป็นสุข ที่เหลือจากนั้นมันก็ต้องสังคมกับ เพื่อนมนุษย์ มันก็ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง มีแต่ผลดีมีมิตรสหายที่ดีพร้อมหน้าไปหมด แล้วคนนี้จะเป็นอย่างไร มันก็เป็นคนที่หมดปัญหาหรือไม่เกิดปัญหา มีอาชีพถูกต้อง มีการบริหารชีวิตถูกต้อง มีการสังคมถูกต้องนี่ก็เป็นเรื่องที่จะศึกษาไปเป็นเรื่องๆไป ศึกษาอาชีพอย่างไร ศึกษาเรื่องสุขภาพอนามัยอย่างไร ศึกษาเรื่องสงเคราะห์ซึ่งกันและกันตามแบบฆราวาสอย่างไร นี่ปฏิบัติถูกต้องในทิศทั้ง ๖ ให้ถูกต้อง มันก็เรียกว่ามีหน้าที่ทั้ง ๓ อย่าง ๓ ประการนี้มันถูกต้อง แต่แล้วอย่าลืมว่ามันมีเทคนิคทั้งนั้นแหละ ที่มันจะทำได้ถูกต้อง แล้วก็เร็ว แล้วก็ประหยัด แล้วก็ไม่มีอันตราย ลงทุนน้อยได้ผลมากเป็นอย่างนี้ ทีนี้ได้พูดแล้วตั้งแต่ต้นว่าเราจะพูดกันเรื่องเทคนิคของธรรมะ เทคนิคจากธรรมะ เทคนิคที่มีอยู่ในธรรมะทางพระศาสนาต้อง ขอยืม ใช้คำว่ายืมมาใช้ในการเป็นอยู่ในบ้านเรือน เรื่องเทคนิคเกี่ยวกับบ้านเรือน เรื่องโลกทั่วไปนั่นนะท่านทั้งหลายรู้ดี อาตมาไม่รู้ด้วยซ้ำไป แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องทางศาสนาหรือเรื่องทางธรรมะก็รู้บ้างนะ แล้วก็รู้พอที่จะเอามาพูด อ่า...ทำให้อ่า...เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายฟัง ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายฟัง คือการที่จะมีชีวิตมันก็ถูกต้องตามความลับของธรรมชาติที่ๆเรียกกว่าเทคนิคของธรรมชาติคือมีธรรมะ สำหรับจะป้องกันไม่ให้เกิดหรือเรียกว่าความโหดร้ายก็ได้อ่า...ความโหดร้ายของชีวิตถ้าทำโง่กับมัน ชีวิตก็จะกลายเป็นยักษ์เป็นมารกัดกิน ไอ้เจ้าของชีวิตนั้นแหละ นี่เรียกว่าหมากัดเจ้าของ ชีวิตมันกัดเจ้าของ แต่คนโง่ก็ไม่มองเห็น ก็กัดแล้วกัดอีก กัดแล้วกัดอีกตลอดชีวิต ถ้ามันมีความรู้มันต้องไม่มีอาการอย่างนั้น ธรรมะ ธรรมะ เป็นสิ่งที่ไม่ๆเรียกในภาษาไทยต้องเรียกในภาษาบาลี เพราะว่าถ้ามาขืนแปลมันจะยุ่ง อย่าไปแปลมันเลยเรียกว่าธรรมะ ธรรมะ เรียกอย่างเคารพก็เรียกว่าพระธรรม พระธรรม เป็นพระธรรมเจ้า เป็นพระธรรมรัตนะ ธรรมะที่มาคุ้มครองเรามันอยู่ในรูปของสิ่งที่เรียกว่าศาสนาโดยทั่ว ๆไป จะเป็นศาสนาไหนก็ได้มันก็มีไอ้ความลับของธรรมชาตินะถูกค้น ถูกนำมาทำให้เป็นศาสนาเป็นพวก พวก พวกๆไป มีศาสนาเป็นเครื่องยึดหน่วงก็ดีกว่าไม่มี ทุกศาสนามันก็มีมุ่ง...มุ่งหมายที่จะกำจัดความทุกข์ร้อนในชีวิต ให้มีความเยือกเย็นแน่ใจว่าเราปลอดภัย เราปลอดภัยนั่นนะ มีอะไรคอยช่วย จะเป็นพระเจ้าก็ได้ ธรรมะก็ได้ นี่ธรรมะมาอยู่ในรูปของศาสนาก็เรียกว่ามโหฬาร ใหญ่โตลึกซึ้ง มโหฬารครอบจักรวาลนะ นี้ธรรมะมาอยู่ในรูปของสิ่งที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่าธรรมะ ธรรมะ ไม่เรียกว่าศาสนานั้นก็มีอยู่มากนะ ที่จริงก็แขนงหนึ่งของศาสนาเอามาเป็นธรรมะ จะแก้ปัญหา ข้อนั้นข้อนี้อย่างที่ครูอ่า......สอนให้นักเรียนจดไว้ในสมุดมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร แล้วครูก็สอนผิดๆว่าธรรมะ ธรรมะ นี้คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านะ นี่ครูคนนี้ยังไม่รู้จักธรรมะ ต้องรู้ว่าธรรมะนะสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพโน่น แล้วมีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดโน่น มนุษย์รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะๆตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ใช้คำๆนี้กันมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด โดยเนื้อแท้มันๆหมายความว่าหน้าที่ หน้าที่ที่จะทำให้เกิดความรอด หน้าที่ที่จะทำให้เกิดความรอด คือไม่ตายแล้วรอดนั่นแหละ หน้าที่ หน้าที่ใดเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าธรรมะ มนุษย์คนแรกเมื่อพ้นจากความเป็นคนป่า แล้วก็ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ขึ้นเป็นคนแรก นั่นเขาเรียกมันว่าธรรมะๆบอกเพื่อนฝูงแล้วก็สอนให้ศึกษากันให้มากขึ้น ยิ่งขึ้น สูงขึ้น ดีขึ้น จึงเป็นธรรมะ ที่สูงขึ้น สูงขึ้น จนมากลายเป็นระบบของศาสนา นี่คือธรรมะ นี่เรียกไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แม้แต่คำสั่งสอนของศาสดาอื่นเป็นอันมากที่มีอยู่ในอินเดียและเป็นคู่ต่อสู้แข่งขันกับพุทธศาสนา นั่นเขาก็เรียกคำสอนของเขาว่าธรรมะทั้งนั้นแหละ แล้วชาวบ้านทุกคนก็เรียกคำสอนของทุกๆศาสนาว่าธรรมะนั่นแหละ แทนที่จะเขาจะถามกันว่าท่านนับถือศาสนาของใครอย่างนี้ไม่มีละ ในบาลีไม่มี มีแต่จะถามว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร ท่านชอบใจธรรมะของพระสมณะโคดมหรือของ นิคันธันนัทบุตร ของ ฉันทิยะเวนัทบุตร ของมะคะริโกษา หรือคู่แข่งขันของพระพุทธเจ้า (นาทีที่ 30.45-30.52)ก็มีคำสอนที่เกี่ยวกับธรรมะ ๆ ก็คำว่าธรรมะๆมันหมายถึงหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ก็เลยเกิดมีการแบ่งแยกว่าหน้าที่ที่ใครสอน สอนโดยใคร ให้เกิดความรอดชนิดไหน ทีนี้เอาพุทธศาสนากันดีกว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะแล้วท่านก็เคารพธรรมะ คือตรัสรู้แล้วใหม่ๆท่านฉงนว่าต่อไปนี้จะเคารพอะไรหว่า รู้ธรรมะสูงสุดท่านก็ลง...ตกลงว่าโอ้,เคารพธรรมะที่ตรัสรู้นั้นเองแหละ เพราะว่ามันเป็นสิ่งกระทำความรอด กระทำความรอด ให้รอดทุกคนในจักรวาลมันจะรอดมันก็เคารพธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่ ท่านเคารพหน้าที่ ท่านเคารพหน้าที่สูงสุด สูงสุด ซึ่งพวกเราไปเปรียบเทียบกันไม่ได้ จะขี้เล็บก็ไม่ได้ เช่นว่าคนทั้งหลายยังคิดจะนอนอยู่ตอนหัวรุ่งนี่ ถ้าตามพระบาลีตอนหัวรุ่ง ก่อนหัวรุ่งนี่ พระพุทธเจ้าท่านสอดส่องไป ท่านทำหน้าที่ของท่านนะ หน้าที่ของพระพุทธเจ้านะ ท่านสอดส่องไปว่าวันนี้จะไปที่ไหน รุ่งขึ้นแล้วสว่างแล้วจะไปที่ไหน จะไปทำอะไร ท่านเรียกว่าเล็งญาณส่องโลก สัพพาสัพเพวิโลกัมมัง นี่ (นาทีที่ 32.37) เล็งญาณส่องโลกว่าใครควรจะไปโปรด ใครยังไม่ควรนี่ละท่านก็มีหูมีตาท่านก็ได้ยินได้เห็นได้สังเกตอยู่ว่ามันมีใครที่ตรงไหน ท่านก็แน่ใจว่าวันนี้จะไปที่นั่น พอรุ่งเช้าก็ขึ้นก็ท่านก็ไปที่นั่น ตามแบบของท่านคือของนักบวชนะคือไปบิณฑบาต ก็ได้เกิดโอกาสพบกับบุคคลนั้น พูดจากับบุคคลนั้นสั่งสอนบุคคลนั้น หรือให้ความรู้แก่เขา คนที่จะผ่านไปในหมู่ที่เป็นข้าศึกศัตรู เป็นลัทธิคู่ต่อสู้ก็มี ท่านก็ไปเหมือนกันแหละ ถ้ามันจะเกิดผลดีท่านก็ไปเหมือนกัน แต่ท่านมีแผนการตั้งแต่ก่อนๆสว่าง ก็ไปที่นั่นได้โอกาสพบปะพูดจา ได้รับอาหารบิณฑบาต บางรายก็นิมนต์ให้ฉันท์ได้สนทนากันจนเที่ยง จนสายสำเร็จประโยชน์ในการที่จะๆโปรดสัตว์นะ จะโปรดสัตว์ อ่า...ตอนเที่ยงกลางวันจะเว้นบ้างก็เรียกว่าเป็นธรรมดาแหละเพราะมันร้อน ตอนบ่ายก็ที่วัดอีกมันก็มีคนไปหาที่วัด โดยมากก็มันสะดวกตอนบ่าย ท่านสอนคนที่ไปหาถึงวัดตอนเย็น ตอนบ่ายนี่พอพลบค่ำลงก็สอนพระเณรประจำวัด ตามบาลีว่า ปโทเส ภิกขุโอวาทัง เวลาพลบค่ำนะให้โอวาทภิกษุเรื่อยๆไป เที่ยงคืน อัฑฒรัตเต เทวปัญหนัง แก้ปัญหาเทวดา หมายความว่าคนชั้นสูงเป็นๆเทวดาในเมืองมนุษย์ เช่นพระราชา มหากษัตริย์ก็เรียกว่าเทวดา เทวดาที่มาจากบนสวรรค์ก็เรียกว่าเทวดา เป็นโอกาสที่กำหนดไว้ว่าเป็นเวลาสำหรับเทวดาก็คือเวลาเที่ยงคืน เที่ยงคืน ที่เป็นเทวดาคน คนนี้ก็ไปเวลาเที่ยงคืน มีกิจมากมีธุระมากในเวลากลางวัน พอเที่ยงคืนก็ไปมันก็ต้องยกกองทหารถือคบเพลิงเข้าไป เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินนั้นมีศัตรูมาก มีข้าศึกศัตรูมาก ต้องเอาทหารถือคบเพลิงไปหาพระพุทธเจ้า ให้พระ...ให้พระเจ้าแผ่นดินนั้นเข้าไปสนทนากับพระพุทธเจ้า อย่างนี้ก็มีในพระบาลี นี่เที่ยงคืนนี้แก้ปัญหาเทวดา นี้จะมาในรูปไหนตามใจมัน มันก็เลยเที่ยงคืนก็เป็นการพักผ่อน พักผ่อนสักหน่อยเพราะเดี๋ยวมันก็หัวรุ่ง อีกแล้ว เดี๋ยวมันก็หัวรุ่งอีกแล้ว ก็ทำอย่างนี้อีก เรียกว่าท่านทำหน้าที่ของท่านครบวงจรวันคืน วงจรวันคืน เพราะท่านเคารพหน้าที่ คือท่านเคารพธรรมะเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเคารพ แล้วท่านยังประกาศว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในอดีต ในอนาคต หรือว่าในปัจจุบันนี้ทุกพระองค์เคารพธรรมะ คือเคารพหน้าที่ของพระพุทธเจ้านั่นเอง ท่านเคารพหน้าที่ของท่านอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ไปบอกเด็กๆว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี่ ที่จริงถูกนิดเดียวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้านะ คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคารพบูชา แล้วพวกเราพวกสาวกนี้กลับจะไม่เคารพบูชา ไม่อยากจะมีธรรมะ ไม่อยากจะปฏิบัติธรรมะเสียด้วยซ้ำไป มันสวนทางกันอยู่อย่างนี้ ช่วยบอกเด็กๆว่าธรรมะคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเคารพ ท่านบูชา ท่านทำหน้าที่อย่างที่จะ พวกเราจะเทียบไม่ทัน ทีนี้ธรรมะๆนั้นนะคือระบบการปฏิบัติ ใช้คำว่าระบบการปฏิบัติ เพราะมันปฏิบัติครบเป็นระบบ มันไม่ได้ปฏิบัติเพียงข้อเดียว อย่างเดียว ครบเป็นระบบจึงเรียกว่าระบบปฏิบัติหรือปฏิบัติเป็นระบบก็ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องคือไม่ผิดพลาด ถูกต้อง ถูกต้องแต่ความรอด รอดคือไม่ตาย รอดคือเจริญรุ่งเรือง รอดทั้งทางกายและทั้งทางจิตใจ รอดทางเดียวนั้นไม่ได้หรอก มันเลี้ยงปากเลี้ยงท้องรอดแต่เรื่องทางกายนั้นมันมัน...ไม่ได้ มันจะโง่ มันจะเชือดคอตัวเองเหมือนอันธพาลทั้งหลาย มันต้องรอดทั้ง ทางกายและทางจิต ที่นี้ก็ต้องทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย หรือจะเอาๆเรื่องของจักรวาล ก็ตั้งแต่สมัยเป็นคนป่าไปจนถึงเป็นมนุษย์ผู้เจริแล้ว เป็นเทวดาไปเลย ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ แล้วก็ต้องทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น นี่ขอให้สนใจเถอะ อย่าอวดดีว่าจะจำได้นะ ที่พูดนี้คงจะจำได้สัก 5 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ถึง ธรรมมะคือระบบปฏิบัติหนึ่งละที่ถูกต้อง ถูกต้อง ได้แก่ความรอด ความรอด ทั้งทางกายและทางจิตอ่า... ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น อย่างน้อยมันก็หกความหมายรวมกันแล้วเรียกว่าธรรมะ การบอกเด็กๆว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่บอกว่าสอนอะไร นี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นี่การศึกษามันจึงไม่เจริญ ถ้ามีธรรมะมันจึงมีไม่ได้เพราะไม่ได้บอกเรื่องราวของธรรมะให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นขอให้สนใจอย่างแท้จริง กำหนดไปให้ดี ให้ครบถ้วน ให้หมดสิ้น ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ว่าไปสอนเรื่องระบบปฏิบัติซึ่งเป็นหน้าที่ หน้าที่ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ปทานุกรมเด็กๆในอินเดีย คำว่าธรรมะแปลว่า Duty Duty แปลว่าหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องให้แก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิตทุกขั้นตอนแห่งชีวิต ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นนั่นแหละคือธรรมะ ขอความกรุณาครูบาอาจารย์ทั้งหลายไปสอนเด็กๆทั้งหลายได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะกันอย่างนี้ ทีนี้ในนั้นนะมันมีเทคนิคเต็มไปหมดแหละ ถ้าไม่มีเทคนิคมันจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก มันจะถูกต้องไม่ได้ มันจะเพื่อความรอดไม่ได้ทั้งทางกายและทางจิต ตลอดชีวิตทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการไม่ได้ ฉะนั้นธรรมมะมันมีเทคนิคเหลือที่จะกล่าว ซึ่งพวกฝรั่งเองมันก็ไม่รู้ ที่มันเรียนพุทธศาสนามันก็ไม่รู้ละเอียดถึงอย่างนี้ มันเรียนหยาบๆ เรียนพระพุทธเจ้า เรียนพุทธประวัติในลักษณะเป็นประวัติศาสตร์เสียมากกว่า ไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่ได้เรียนตัวธรรมะ มันเรียนพุทธศาสนากันอย่างลักษณะความรู้ของมนุษย์แขนงหนึ่ง เป็นมนุษย์อ่า...วิทยาแขนงหนึ่ง แล้วก็เป็นเรื่องในประวัติศาสตร์ ทั้งนั้น ที่ลึกซึ้งนอกประวัติศาสตร์นี้มันไม่รู้ คนไทยมันก็ไม่รู้ ยังไปแถม...ไปแถมตามก้นฝรั่งด้วย ไปเรียนหนังสือที่ฝรั่งเขียนมันก็รู้แค่นั้น ฉะนั้นขอให้ครูบาอาจารย์ที่เป็นชาวพุทธ เป็นอ่า...ผู้มีศาสนา ศาสนาไหนก็ตามรู้ให้มากกว่านั้นว่า สิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นนะก็ดี ที่ว่าธรรมะก็ดีมันมีเทคนิคที่ลึกซึ้งซ่อนเร้นอยู่ ขอให้เข้าถึงเทคนิคอันนั้น แล้วจึงเอามาใช้สำเร็จประโยชน์ได้ เอ้า,ขอให้ทบทวนว่าธรรมะที่อยู่ในรูปของ พระศาสนา ศาสนา ธรรมะ แล้วก็ธรรมะที่มาอยู่ในรูปของคำว่าธรรมะ ธรรมะเอง
แล้วที่นี้จะพูดถึงธรรมะในปริยายที่ ๓ ว่า ธรรมะที่มาอยู่ในรูปของศีลธรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ข้อนี้ละเอียดลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งมาก ที่มีประโยชน์ยิ่งกว่าที่พูดมาแล้วก็ได้ คือธรรมะสำเร็จรูปที่ บรรพบุรุษผู้ฉลาดเขาเอามาทำไว้อย่างสำเร็จรูป มาประพฤติปฏิบัติกันอยู่ในบ้านเรือนจนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี พอเกิดขึ้นมาในบ้านเรือนในครอบครัวนี้ ก็ได้รับและ...ได้รับปลอกคอนี้สวมให้แล้ว ศีลธรรมก็ดี วัฒนธรรมก็ดี ขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งหลายก็ดี มันมีหัวใจเป็นลึกอ่า...ลึกซึ้งของธรรมะอยู่ในนั้น มันเป็นเทคนิคอ่า...สำเร็จรูปที่บิดามารดา บรรพบุรุษสวมให้ตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่โน่น พอมันออกมาเป็นมนุษย์แล้วมันก็ได้รับสิ่งแวดล้อมในบ้านเรือน ถ้าบ้านเรือนนั้นมีธรรมะ วงสกุลนั้นมีธรรมะ มีเทคนิคของธรรมะสูง เด็กๆก็มีธรรมะ เริ่มมีธรรมะมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่อ้อนแต่ออกนะ มันก็สูงขึ้น ๆ มันก็เป็นโชคดีของมันนะ ที่มันได้เกิดในบ้านเรือนหรือตระกูลที่มีธรรมะ มันเต็มไปด้วยศีลธรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี มันช่วยให้รอดช่วยได้มากที่สุดโดยไม่รู้สึกตัว ได้ให้ๆเกียรติให้ความหมายแก่คำว่าพระศาสนาหรือธรรมะ ไม่ค่อยสนใจในพระศาสนาที่มาอยู่ในรูปแบบของศีลธรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ขอให้รู้เถิดว่ามันเป็นสิ่งเดียวกันแหละ มันเป็นสิ่งเดียวกันแหละ เป็นหน้าที่ที่จะเกิดความรอดทั้งทางกายและทางจิตจนตลอดชีวิต ทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่น ก็ที่เกี่ยวข้องมากที่สุดก็คือที่มาอยู่ในรูปของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมจะทำความเจริญ ขนบธรรมเนียมประเพณีจะซ่อนๆความเอ่อ...ลึกซึ้ง ความลับไว้ในนั้น ว่าถ้าไปทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีที่ถูกต้องมันก็มีแต่ความเจริญ เดี๋ยวนี้มันไปแก้ไข มันไปแก้ไข ไปเปลี่ยนแปลง ไปให้เป็นทาสของกิเลสไปเสียหมด ทอดกฐินก็กลายเป็นโอกาสกินเหล้า ทอดผ้าป่าก็เป็นโอกาสเที่ยวสนุกกินเหล้า บวชนาคก็เป็นโอกาสสนุกสนานกินเหล้า นี่มันไปเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีไปเสียหมด ถ้ารักษาไว้ได้อย่างถูกต้องตามแท้จริง เป็นของเดิม มันก็เป็นไปเพื่อความรอดทั้งนั้นนะ เดี๋ยวนี้เจ้านาคมันยังให้กินเหล้าเลย เจ้านาคนะแล้วเจ้านาคบางคนก็ยังพูดว่าถ้าไม่กินเหล้าบ้างมันประหม่า พอมันประหม่ามันทำอะไรไม่ค่อยได้ ค่อยกินเหล้าไปบ้างสักนิดมันก็จะเข้มแข็ง มันจะทำไม่ประหม่า นี่มันบ้ากันถึงขนาดนี้ ฉะนั้นไปดูเถิดว่า ไอ้ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมมันจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางเป็นทาสของกิเลส แล้วยิ่งไปหลง หลงไอ้วัฒนธรรมใหม่ๆอะไรของพวกฝรั่งละก็ยิ่งไปกันใหญ่แหละ ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายดูลูกเด็กๆไอ้พวกวัยรุ่นของเรานั่นนะ มันไปตามก้นฝรั่งกันสักเท่าไหร่ มันจะไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว มันเป็นสัตว์บ้ากามกันเสียหมดแล้วทั้งหญิงทั้งชายนักเรียนวัยรุ่นของเรา แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ใช้คำเพราะมาก ไพเราะมากแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ แล้วสิ่งนั้นคืออะไร สิ่งนั้นคือ ระบำบัลเล่ต์ เอ่อ...ระบำที่เต้นโหย่งๆปลายเท้าเหมือนกับผีนั่น ระบำบัลเล่ต์ วัตถุแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เอากับมันสิหรือดนตรีบ้ากามนะ ดนๆดนตรีหรือเพลงพวกบ้ากาม เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม แล้วมันจะได้ผลอะไร โลกมันก็วินาศเสียก่อนที่จะมีวัฒนธรรมแหละ ขืนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอย่างนี้แล้วก็โลกนี้วินาศก่อนที่มันจะมีวัฒนธรรม นี่ขอให้ช่วยกันรักษาให้ดีๆเถิดศีลธรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี มันบริสุทธิ์ประเสริฐสูงสุดของพุทธบริษัท เหล่านั้นแหละจะช่วยคุ้มครอง ถ้าพูดง่ายๆก็ว่าคุ้มกระบาลหัวของมันไว้ให้อยู่ในความถูกต้องของความเป็นพุทธบริษัท แล้วมันจะรอด มันจะรอด ด้วยอำนาจของพระธรรม พระธรรมที่อยู่ในรูปของศีลธรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีก็ดี พระธรรมที่มาอยู่ในรูปของธรรมะ ธรรมะที่เราศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติก็ดี พระธรรมที่ก็อยู่ในรูปของพระศาสนาสูงสุดประเสริฐก็ดี มันเป็นธรรมทั้งนั้นพระธรรมทั้งนั้น ขอให้เข้าใจให้ถูกต้อง เข้าใจให้ถูกต้อง แล้วให้มีอย่างถูกต้อง ให้ประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้องให้ได้รับผลจริงอย่างถูกต้อง อย่างถูกต้อง ก็คือถูกต้องตามเทคนิคของพระธรรม ถูกต้องตามเทคนิคของพระธรรม อย่าอวดดีว่ามีแต่ในวิทยาลัยของพวกคุณ วิทยาลัยของพระพุทธเจ้านั้นนะเต็มไปด้วยเทคนิค ที่จะช่วยให้รอด อยากจะบอกให้รู้ว่าไอ้เรื่องที่คุณ...พวกคุณอาจจะไม่เคยได้ยินก็มีอยู่มากเรื่อง จะยกตัวอย่างเช่นเรื่องคำว่าปริญญา ปริญญานี่อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเป็นของใหม่บัญญัติขึ้นมาในโลกแล้วใช้กันอยู่ คำว่าปริญญา ปริญญานี้พระพุทธเจ้าพูดมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ปริญญาทั้งหลายมี ๓ ภิกษุทั้งหลายปริญญาสามคืออย่างไร ปริญญาสามคือ ราคกฺขโย โทสกฺขโย โมหกฺขโย (นาทีที่ 48.36-48.44 ) เมื่อรู้ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ สิ้นไปแห่งโมหะ นี้เรียกว่าปริญญา คำนี้พระพุทธเจ้าตรัสเอง พูดเองเรียกว่าปริญญา พุทธบริษัทสอบไล่หลักสูตรของพระพุทธเจ้าหมดก็ได้รับปริญญาคือสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ อย่างที่รู้จักกันว่าเป็นพระอรหันต์ นั้นนะคือปริญญาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นปริญญาเศษกระดาษ ปริญญากระดาษหลอกขายกันก็ได้ คดโกงอย่างไรก็ได้ นี่ปริญญาอย่างนี้มันช่วยโลกไม่ได้หรอก นี่ขอให้สนใจคำว่าธรรมะ ธรรมะมันมีอะไรครบถ้วนมาแต่เดิมแล้ว แม้แต่เรียนจบแล้วได้รับปริญญา สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ คือสิ้นเหตุที่จะให้เกิดปัญหาและความทุกข์โดยประการทั้งปวง ถ้าท่านทั้งหลายจะมาสนใจพระธรรม หรือพระพุทธศาสนาก็ให้นึกถึงปริญญาข้อนี้กันบ้าง อย่ารับปริญญาแต่เศษกระดาษนั้นเลย ขอให้รับปริญญาของพระพุทธเจ้ากันบ้าง ซึ่งมีความหมายสำคัญสูงสุดว่ามันต้องถูกต้องตาม...คือสิ่งที่เรียกกันอย่างไพเราะว่าอ่า...เทคนิค เทคนิคนั่นเอง ทีนี้ก็จะพูดถึงไอ้สิ่งที่เรียกว่าเทคนิคของธรรมะ ในธรรมะ จากธรรมะ ที่เราจะเอามาใช้ในทางโลกๆนี้กันอย่างไร คนบางคนนั้นเขาเข้าใจผิดว่าไอ้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนะมีแต่ไปนิพพาน ไปนิพพานทั้งนั้น เอามาใช้อย่างโลกๆไม่ได้ เอามาใช้อย่างบ้านเรือนไม่ได้ นี่เป็นความเข้าใจผิดเหลือประมาณ แม้ว่าผู้พูดคนนั้นจะเป็นครูบาอาจารย์ เป็นผู้มีเกียรติยศชื่อเสียงอย่างไรมันก็ยังผิดอยู่นั้นแหละ ถ้าจะไปนิพพานมันก็ต้องผ่านโลกไป มันต้องผ่านโลกไปอย่างถูกต้องแล้วมันจึงจะไปถึงนิพพาน เพราะฉะนั้นธรรมะมันต้องเป็นเครื่องมือสำหรับผ่านโลก ผ่านโลก ผ่านโลกไปอย่างถูกต้อง ถูกต้อง จนกว่าจะถึงนิพพาน ดังนั้นธรรมะที่มีไว้สำหรับไปนิพพานมันก็เอามาใช้ในเรื่องโลกได้สิ ใช้ในเรื่องโลกได้ อย่างอริยมรรคมีองค์อย่างนี้ก็ใช้เรื่องโลก โลกนี้ก็ได้ ให้ตรงกับความหมายก็บรรลุนิพพานก็ได้ เราจะต้องเอ่อ...สนใจเอามาใช้ให้ได้ ให้สำเร็จประโยชน์ มันเป็นแก้วสารพัดนึกจะใช้แก้ปัญหาอะไรก็ได้อ่า...ธรรมะเป็นอย่างนั้น สำเร็จประโยชน์อย่างนั้นก็เพราะว่ามันมีเทคนิค มันมีเทคนิค
เอาละทีนี้ก็จะยกตัวอย่างธรรมะเป็นหมวดๆ มาพูดกันถึงเรื่องนี้พอเป็นที่เข้าใจ ไอ้หมวดแรกที่สุด ที่อยากจะพูดถึงก็คือหมวดที่เรียกว่า ฆราวาสธรรม มันเป็นจุดตั้งต้นพอแล้วใช่ไหม เป็นข้อ ข. , ก. กา ให้เป็นฆราวาส เป็นเรื่องฆราวาส อันนี้...ธรรมะหมวดนี้แปลก ไม่ใช่เฉพาะฆราวาสนะไปถึงนิพพานก็ได้ ฆราวาสก็ทำนั่นแหละ ข้อที่ ๑ ของสี่ข้อ ข้อที่ ๑ เรียกว่าสัจจะ สัจจะ มันต้องเริ่มต้นขึ้นมาด้วยความจริง จริง จริง จริง ไม่จริงมันก็คดโกง ถ้าจริงมันก็ไม่คดโกง มันต้องจริง จริงต่อทุกสิ่งอ่า...ที่ควรจะจริง จริงต่อเวลา จริงต่อหน้าที่การงาน จริงต่อเพื่อนมนุษย์ กระทั่งจริงต่อไอ้สิ่งสูงสุดคือจริงต่อความเป็นมนุษย์ จริงต่อความเป็นมนุษย์ของตนเอง อย่าให้ร่างกายเป็นมนุษย์จิตใจมันเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างนี้มันไม่จริงต่อความเป็นมนุษย์นี่ มันต้องเป็นมนุษย์ให้ได้จริงๆ ให้มีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหาได้จริง เดี๋ยวนี้แม้แต่เวลามันก็ไม่จริงนี่ ในสมุดลงเวลาทำงานของโรงเรียนก็ดี ออฟฟิศอะไร โกหกทั้งนั้นแหละ มันๆลงเวลาโกหกในสมุดทำงานนี่มันก็เริ่มต้นด้วยการไม่จริงต่อเวลา มันก็ไม่จริงต่อหน้าที่การงาน เจ้าหน้าที่ครูบาอาจารย์ยังเอาเปรียบเวลา เอาเปรียบหน้าที่ ฉ้อฉลเวลา ฉ้อฉลหน้าที่ เอาเปรียบหน้าที่มันก็ไม่จริง นี่ขอให้มันจริงต่อเวลา ต่อหน้าที่ การงาน ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่ออุดมคติของคำว่ากูเป็นมนุษย์นะ ซื่อตรงต่ออุดมคติของความเป็นมนุษย์นี่จริง จริง จริง จริง นี่เป็นข้อๆแรกคือจริง แล้วก็มีธรรมะ ธรรมะรอบังคับ บังคับตนเอง บังคับอะไร บังคับให้มันจริงตลอดเวลา ถ้าไม่บังคับเดี๋ยวความจริงมันก็เปลี่ยน ธรรมะบังคับความจริงให้เป็นได้ตลอดเวลา เป็นได้ตลอดเวลา จริงอยู่ตลอดเวลา จริงต่ออุดมคติเช่นครูก็เป็นครูถูกต้องตลอดเวลาอย่างนี้ ทีนี้จริงก็คือทำจริง ทำจริง ทำจริง ปฏิบัติหน้าที่จริงมันก็เกิดความยุ่งยากลำบากเป็นทุกข์บ้างเป็นธรรมดานะ ก็ต้องมีข้อที่ ๒ คือ ขันติ ขันติ อดทน ทนได้ ทนได้ ทนได้แม้จะน้ำตาไหลก็ไม่ยอมให้มันผิดพลาด อดทนได้ อดทนได้ จนกว่าจะถึงที่สุดคือมีความเหมาะสมที่จะได้รับผล คำว่าขันติ ขันตินี้มันแปลว่าสมควร แต่ก็มาความหมายว่าอดทน อดทน จนกว่าจะสมควรที่จะได้รับผล เมื่อใดสมควร ถึงขนาดสมควรแล้วที่จะได้รับผลแล้วเมื่อนั้นนะคือ ขันติ ขันติที่แท้จริง มีความควรแก่การบรรลุผล ทีนี้มันเป็นระยะยาว มันก็มีอีกข้อหนึ่งมาช่วยเรียกว่า จาคะ จาคะ สละสิ่งที่มันเป็นข้าศึกแก่การกระทำนี้ทุกอย่างออกไปเสีย อะไรเป็นข้าศึกแก่ความจริงก็ละมันเสีย อะไรเป็นข้าศึกแก่การบังคับตัวเองให้ถูกต้องตลอดเวลาก็ละมันเสีย อะไรเป็นข้าศึกแก่ความอดทน ทำให้อดทนไม่ได้ก็ละมันเสีย ไอ้สิ่งเลวๆไม่ควรจะมีละมันเสียให้หมด มันก็เลยสำเร็จครบทั้ง ๔ ประการ มีสัจจะ จริงต่อความเป็นมนุษย์หรือหน้าที่อุดมคติของตน เมื่อมีธรรมะบังคับได้ บังคับได้ แม้จะบังคับอย่างบังคับช้างตกมันก็บังคับได้ แล้วขันติ ทนได้ ทนได้ ทนได้ ภาษาศาสนาก็เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา แม้น้ำตาออกก็ไม่ยอมเสียพรหมจรรย์ ไม่โกหกหลอกลวงคน แล้วก็มีระบายๆ มีลิ้นระบายความชั่ว ความไม่มีเอ่อ...ความไม่ควรจะมีอยู่ในใจออกไป ออกไป ออกไป มันก็สำเร็จครบทั้ง ๔ ประการ สัจจะจริงใจ ธรรมะบังคับให้ทำ ขันติอดทนเมื่อทำ จาคะระบายสิ่งที่เป็นอุปสรรค หรือข้าศึกออกไปเรื่อย คุณไปคิดดูเถอะมันเป็นเทคนิคเท่าไร มันเป็นเทคนิคเท่าไรกัน ถ้ามันขาดไปแต่อย่างเดียวมันก็ล้มละลาย มันมีเทคนิคครบทั้ง ๔ อย่าง แล้วมันก็รักษากันไว้นะได้จนประสบความสำเร็จ มันเกี่ยวพันกันอย่างที่ไม่อาจจะแยกจากกัน มีความจริงใจ การให้ปฏิบัติ และบังคับให้ปฏิบัติ แล้วอดทนจนกว่าจะสำเร็จ แล้วระบายสิ่งที่เป็นข้าศึกของความสำเร็จออกไปเสมอๆนี่คือความเป็นเทคนิคที่ละเอียดกว่าธรรมดา ไอ้คนธรรมดาไม่มีเทคนิคอย่างนี้มันก็ไม่ประสบความสำเร็จ หมดท่าเข้าไปมันก็เป็นอันธพาล เป็นปล้นจี้ เป็นโจร เป็นขโมย มันไม่มีเทคนิคแห่งความสำเร็จในหน้าที่การงาน เอ้า,ทีนี้คุณลองคิดดูเถิดว่าไอ้ ๔ อย่างนี้นะไปนิพพานได้ไหม มันก็ได้ใช่ไหม มีสัจจะที่จะไปนิพพาน มีธรรมะบังคับให้กระทำอยู่เสมอ อดทนอยู่เสมอ ระบายความชั่วออกอยู่เสมอก็เป็นนิพพานได้ นี่ธรรมะที่ชื่อว่าฆราวาสธรรม มีเทคนิคสมบูรณ์สำหรับจะเจริญรุ่งเรืองอยู่ในโลกนี้ แล้วก็ยังมีพอที่จะทำให้ออกไปจากโลกนี้บรรลุนิพพาน บรรลุนิพพาน นี่เทคนิคในธรรมะ จากธรรมะ ของธรรมะ ที่ยืมไปใช้ได้ในกิจกรรมทุกอย่างที่ต้องการความสำเร็จ นี่ขอให้รู้จักและสามารถนำไปใช้ให้ถูกต้องเถิด จะประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ไม่เสียทีที่เกิดมา ไม่เสียทีที่เกิดมาได้พบพระศาสนา
เอ้า,ทีนี้จะพูดถึงธรรมะหมวดที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก จะบ้าเสียเองก็ไม่รู้ เอาธรรมะที่ละเอียดมาพูดให้คนที่ธรรมดาฟังนี่ เพราะว่ามันธรรมะมันเป็นหมวดต่อๆ ต่อๆกันไปคือ สติปัฏฐานๆ พอได้ยินแล้วง่วงนอนใช่ไหม นี่พอได้ยินคำ...ยินอย่างนี้แล้วง่วงนอน อยากจะไปนอนมากกว่า สติปัฏฐาน ไม่รู้ว่าอะไร สติปัฏฐานที่สำเร็จประโยชน์นั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อานาปานสติ อานาปานสติ สติกำหนดสิ่งที่ควรกำหนดอยู่ ทุกลมหายใจเข้าออก สติที่กำหนดสิ่งที่ควรกำหนดนะ นั้นมีหลายๆๆๆขั้นตอน กำหนดสิ่งที่ควรกำหนดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกทำอย่างนี้เอง นี่ก็น้อยคนที่จะทนฟัง สนใจฟัง อยากจะนอน สติปัฏฐาน ก็ดี อานาปานสติ ก็ดี อันแรกที่จะเอามากำหนดคือเรื่องเกี่ยวกับร่างกายนี่ ร่างกายนี่เรียก กายาวิปัสสนา ร่างกายและลมหายใจนี้มันเนื่องกัน ลมหายใจนี้มันปรุงแต่งร่างกายอยู่ ร่างกายนี้จะขึ้นจะลง จะหยาบจะละเอียดก็ไปตามอำนาจของลมหายใจ นี่ถ้าเรารู้เทคนิคเรื่องนี้เราสามารถหายใจให้ระงับ ร่างกายมันก็ระงับ เรารู้ความลับของธรรมชาติที่ร่างกายมันเนื่องกันอยู่กับลมหายใจ เราบังคับร่างกายโดยตรงไม่ได้ บังคับมันไม่ได้ แต่เรามีวิธีฉลาดบังคับมันทางลมหายใจ ทำลมหายใจให้ละเอียด ให้ระงับ ให้สงบเย็น ร่างกายมันก็พลอยสงบ ระงับสงบเย็นนี่เทคนิคขั้นแรก ขั้นต้นของสติปัฏฐาน เฮ่อ,ร่างกายดี สบายดี เยือกเย็นดี เข้มแข็งดี เอ่อ...ถึงก็ใช้ต่อไป มีความสุขเกิดขึ้นจากการบังคับร่างกาย เอาไปพิจารณาว่า โอ้,มันจัดว่าเวทนา ถ้ามันหยาบ ๆ อยู่เรียกว่าปีติ ปีติ ถ้ามันละเอียดๆ ประณีตลงไปเรียกว่าเป็นสุข เวทนามีอยู่ ๒ ชนิด คือชนิดหยาบ และ ชนิดละเอียด ยกตัวอย่างมาเฉพาะฝ่ายที่พอใจมาก พอใจเรียกว่าอ่า...ฝ่ายบวก ประสบความสำเร็จกำลังตื่นเต้น ตื่นเต้นก็เรียกว่าปีติ พอปีติระงับลงเป็นความสุข เยือกเย็น แนบเนียน ก็เรียกว่าความสุข ก็รู้เท่าทันมันอย่าให้มันหลอก อย่าให้มันหลอกให้หลงในความสุข ถ้าหลงในความสุขเดี๋ยวมันก็จะเกิดกิเลส ควบคุมจิตไม่ให้หลงในความสุขทั้งอย่างหยาบกับอย่างละเอียด กิเลสก็ไม่เกิดใช่ไหม ก็ไม่บ้าความสุข ไม่หลงความสุขนะ เทคนิคเท่าไรละ
เอ้า,ทีนี้มาถึงขั้นนี้แล้วก็จะไปจัดการกับตัวจิตเอง จิตนี้บังคับยาก กลับกลอกเหลือประมาณ ต้องฝึกจนบังคับได้ บังคับให้มันเป็นอย่างไรก็ได้ มีวิธีฝึกโดยเฉพาะเรียกเทคนิค ยิ่งกว่าเทคนิคในโลกทั้งหลาย ทั้งปวงนะ เทคนิคแห่งการบังคับจิตให้ได้ตามที่ต้องการนะ มันสูงสุดเหลือประมาณ คือบังคับให้มันหยุด สงบก็ได้ บังคับให้เกิดความรู้สึกพอใจในความถูกต้องก็ได้ บังคับให้ปล่อยวางสิ่งที่เคยยึดมั่นถือมั่น กอดรัดไว้ด้วยความโง่นั้นก็ได้ นี่บังคับได้อย่างนี้แล้วก็มีความรอด ไม่ต้องมีความทุกข์เพราะว่าเราบังคับจิตได้ ทีนี้ข้อต่อไปก็บังคับความยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ใด ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเป็นไปตามธรรมชาติอย่างนั้น ไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่เป็นทุกข์นะ ไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้แต่ในชีวิต ในตัวชีวิตก็ไม่ไปบ้ายึดมั่นถือมั่นกับมัน เพราะฉะนั้นความตายจึงไม่มีปัญหา มันจึงไม่กลัวตาย หัวเราะเยาะความตาย เพราะมันไม่ยึดมั่นถือมั่นไว้ในชีวิต ไอ้น้ำท่วมใหญ่ปีกลายกับปีนี้คนบ้า เป็นบ้ากันมาก เพราะมันยึดมั่นถือมั่น มันไม่รู้จักปล่อยวาง มันไม่รู้จักความจริงข้อนี้ ถ้ามันไม่ยึดมั่นถือมั่นขนาดนั้นมันก็ไม่ต้องเป็นบ้า บางคนอาจจะหัวเราะก็ได้ เอ่อ...กูจะได้ตั้งต้นกันใหม่ จะตั้งต้น ก. ข. กันไปใหม่ มันก็ยินดี มันก็ไม่ต้อง เป็นบ้า เดี๋ยวนี้มันยึดมั่นถือมั่นมากเกินไป มันถึงต้องเป็นบ้า ถ้ามันมีความรู้เรื่อง สติปัฏฐาน ๔ นี่ ไม่มีๆทางที่จะเป็นบ้า และมีทางที่จะสร้างชีวิตใหม่ได้โดยเร็วที่สุดเพราะอานิสงค์ของธรรมะ นี่เรียก สติปัฏฐาน ธรรมะสูงสุดในพระพุทธศาสนาพาไปเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ให้สามารถต่อสู้เอ่อ...ชีวิตโลกธรรมดาสามัญในบ้านเรือนให้ชนะก็ได้ นี่เทคนิคมันกว้างถึงอย่างนี้ คือว่าอยู่ในโลกนี้ก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ หรือว่าจะอีก หมวดหนึ่งซึ่งพูดกันเรียกว่าความเพียร ธรรมะประทาน อันที่หนึ่งก็ละไอ้ที่มันไม่ควรจะมี ระวังๆไอ้สิ่งที่มันไม่ควรจะมีอย่าให้มันมี ถ้ามันมีก็ละมันเสีย สิ่งใดควรจะมีทำให้มันมีขึ้นมา ฉะนั้นถ้ามันมีขึ้นมาแล้วรักษามันไว้ใช้ตลอดไป คุณดูเองมันเป็นเทคนิคสักเท่าไร มันจำเป็นที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้มันล้มละลายนะ อย่าให้ความผิดพลาด ความชั่วร้ายเลวทรามเข้ามา หรือถ้ามาแล้วมัน...ละมันเสีย ละมันเสียนะ อะไรที่ควรจะเข้ามา ควรจะมีอยู่ทำให้มีมากขึ้น พอใจ ๆ ยินดีถูกต้อง พอใจถูกต้อง พอใจถูกต้อง พอใจ มีมาแล้วก็รักษามันไว้ตลอดไป นี่เทคนิคใน ๔ ข้อนี้มันเกี่ยวพันกันอยู่อย่างไร มันเอาไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์อ่า...ในชีวิตนี้ได้อย่างไร
อ้า,ทีนี้เทคนิคเฉพาะ เฉพาะเรื่อง เอาไปใช้กับไอ้เรื่องอะไรก็ได้สำหรับความสำเร็จเรียกว่า อิทธิบาท เข้าใจว่าครูเคยสอนให้นักเรียนจดไว้ในเยอะแยะไปแล้ว แต่มันก็อยู่ในสมุด มันจึงไม่สำเร็จประโยชน์เพราะว่าเรียนธรรมะกันสำหรับอยู่ในสมุด ฉันทะ พอใจ วิริยะ พากเพียร จิตตะ เอาใจใส่ วิมังสา ใคร่ครวญ มันเป็นเทคนิคของธรรมชาติ ธรรมชาติกำหนดไว้ บังคับไว้ว่าต้องมีอย่างนี้ ต้องมีอย่างนี้ มีให้มากแล้วก็จะสำเร็จโดยเร็ว ข้อที่ ๑ สำหรับ ฉันทะ ฉันทะ อ่า...ความพอใจที่ถูกต้องไม่เป็นกิเลส ไม่ใช่กามอารมณ์ ไอ้ ฉันทะ ไปใช้ทางเลวๆ เป็นกิเลส เป็นกามอารมณ์ไปก็ได้ มันเรียกว่า ฉันทะ เหมือนกัน แต่ในที่นี้ไม่ใช้ นี่ ฉันทะ ในความถูกต้อง ฉันทะ ในความรอดเรียกว่า ฉันทะ ถ้าไม่มี ฉันทะ ในสิ่งใด ก็ไม่ๆๆๆไม่มีใครทำในสิ่งนั้น คิดดูสิสุนัข สัตว์เดรัจฉาน คนก็ตาม อะไรก็ตาม คือจะทำสิ่งไรนี่ มันต้องมีความพอใจที่จะทำ สิ่งนั้น ความพอใจชนิดจิตอยากให้ทำ ไม่ใช่กิเลสนะ ไม่ใช่กิเลส ถ้าอยากทำด้วยกิเลสไม่ใช่ ฉันทะ หรอก ต้องอยากทำด้วยความรู้สึกอ่า...ที่ถูกต้อง ภาษาบาลีเรียกว่า ฉันทะ ฉันทะ อ่า...ความโน้มเอียงไปในทางที่ จะทำ อยากจะทำ ต้องการจะทำ เป็นความหิวของสติปัญญา ไม่ใช่ความหิวของกิเลสตัณหา ซึ่งบูชากันนัก ความหิวของกิเลสตัณหา พาไปหากิเลสตัณหานี่ไม่ใช่ ฉันทะ เป็นความหิว ความต้องการของสติปัญญาที่มีเหตุผล มองเห็นว่ามีประโยชน์อย่างไร แล้วก็อยากจะทำ ปรารถนาจะทำ ถ้าเป็นเรื่องทางวัตถุมันก็หิวด้วยกิเลสตัณหา เช่นหิวข้าวนี่มันอยากจะกินข้าว ฉะนั้น ฉันทะ เรื่องวัตถุ เรื่องโลกๆเราไม่ๆ ไม่ๆ ไม่สนใจกับมันละ สนใจ ฉันทะ ที่เป็นความหิวของสติปัญญา คือหิวในสิ่งที่ประเสริฐ ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องและก็จะทำให้ได้นี่คือ ฉันทะ ถ้ามองเห็นแล้วก็ปรารถนา แล้วก็ทีนี้ก็ทำ มันก็ลงมือทำ เรียกว่า วิริยะๆ มีความหมายเป็น ๒ อย่าง คือความกล้าหาญ และความพากเพียร มี ฉันทะ พอมันก็มีความกล้าหาญพอ ไม่กลัวตาย แล้วมันก็มีความพากเพียรสุดชีวิตจิตใจ วิริยะ จึงมีความหมายว่าพากเพียรด้วยความกล้าหาญ ไม่กลัว ไม่ย่อท้อ มันก็สนองต่อไปจาก ฉันทะ นะ มันก็ จิตตะ จิตตะ จิตตะ นี่ความอ่า...ระดม ทุ่มเทกำลังจิตทั้งหมดลงไปที่นั้น กำลังของจิตมีเท่าไร ระดมทุ่มเททั้งหมดลงไปในสิ่งนั้น ข้อสุดท้าย วิมังสา ใคร่ครวญ วิจัยวิจารณ์กัน อยู่เสมอเพื่อจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วก็จะดำเนินการต่อไปให้ดีนี่เรียกว่า วิมังสา จดไว้ในสมุดจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเอามาใช้จริงๆจังๆ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ความสำเร็จจะต้องเกิดขึ้นอย่างกับว่า มีฤทธิ์เดช มีปาฏิหาริย์ อิทธิ อิทธิ นั่นเป็นภาษาบาลี ถ้าเป็นภาษาสันสกฤตว่า ฤทธิ ฤทธิ มาเป็นภาษาไทยว่า ฤทธิ์ๆ นั่นภาษาไทยมาจากภาษาสันสกฤตเป็นคำเดียวกับภาษาบาลีว่า อิทธิ อิทธิบาท แปลว่าที่ตั้งของฤทธิ์ ที่เกิดของฤทธิ์ ธรรมะ ๔ ประการนี้เป็นเทคนิคสูงสุดในการต้องเกี่ยวพันกันอยู่ทั้ง ๔ ข้ออย่างสมสัดสมส่วน แล้วก็เกิดความสำเร็จแห่งฤทธิ์ หรือมีอิทธิฤทธิ์ที่เป็นความสำเร็จ นี่มีเทคนิคอย่างไรก็ไปคิดดูเอง นี่เรียกว่าในธรรมะมันมีเทคนิคที่เป็นหลักอันเร้นลับอยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ พละ หรือ อินทรีย์ พละแปลว่ากำลัง อินทรีย์แปลว่าความเป็นใหญ่ มีอยู่ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่ธรรมะที่เป็นที่ตั้งของอ่า...การก้าวหน้าและไปถึงจุดสูงสุดคือบรรลุพระนิพพาน ถ้าเขามีพละหรืออินทรีย์มาก การบรรลุนิพพานก็เร็ว ถ้ามีพละอินทรีย์น้อย การก้าวหน้าไปสู่นิพพานมันก็ช้า เราเห็นว่าเป็นธรรมะสูงสุด เอามาเป็นสัญลักษณ์ใช้ในวัดนี้เอ่อ...ที่ ๕ เสานะ เสา ๕...เสา ๕ หลักตามหลังคาที่ไหนก็ตามมาใช้สัญลักษณ์ ๕ , ๕ เสา คือสัญลักษณ์ของธรรมะแห่งความสำเร็จที่ละเอียด ที่ประณีต ที่แยบคายนะ เป็นกำลัง ถ้ามันมีแล้วมันเป็นกำลัง ถ้ามีแล้วมันเป็นอำนาจ ถ้ามีทั้งกำลังมีทั้งอำนาจมันก็สำเร็จแหละ ลองไปคิดดูสิมีกำลังในหน้าที่ กำลังและมีหน้าที่ อำนาจที่จะใช้มันลงไป สติอ่า...ความระลึกที่ถูกต้อง ระลึกในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่แต่เพียงว่าจำได้ระลึกเหตุการณ์ได้ มันต้องระลึกในทางถูกต้อง ควบคุมความถูกต้องอยู่เสมอ มีความถูกต้องอยู่เสมอเรียกว่าสติ ในความถูกต้องมันจะเป็นประธานของเรื่องนี้ แปลว่ามันๆจะต้องเริ่มด้วย ศรัทธา ศรัทธา ความเชื่อว่าช่วยได้ ศรัทธาความเชื่ออย่างมีเหตุผลว่ามันช่วยได้ มันต้องระลึกเอามาด้วยสติ มีศรัทธา เอาศรัทธาเป็น ข้อแรกก่อน,เอ้า เชื่อว่านี่เป็นที่พึ่งได้ จะเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเชื่อในอะไรก็ต้องมีความเชื่อว่าเป็นที่พึ่งได้ ให้ๆเกิดความรอดได้ ไม่ใช่ศรัทธาอย่างงมงาย ศรัทธาอย่างไสยศาสตร์อย่างนั้นนะมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ถึงขนาด แต่มันก็ดีกว่าที่ไม่มีอะไรเสียเลย แม้ของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ในทางไสยศาสตร์มีบ้างก็ มันยังดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย ดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย แต่ถ้าถูกต้องเป็น สัมมาทิฐิ ก็ประเสริฐมีศรัทธา ค้นหาพบในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ มีความทุกข์ เป็นที่ทุกข์ เป็นที่ทุกข์ เป็นที่...หลังจากนั้นก็แสวงหาสิ่งที่จะดับทุกข์ พบสิ่งใดก็มีศรัทธาในสิ่งนั้น ปฎิจจสมุปบาท รอบที่สองนี้ก็มีศรัทธาต่อจากความทุกข์ แล้วก็ดำเนินไปตามศรัทธา เข้าไปหาผู้รู้ เข้าไปหาธรรมะ ปฏิบัติให้มีอ่า...ความถูกต้องตามแนวของธรรมะ แล้วก็ไปสู่นิพพาน ถ้ามีความทุกข์แล้วมองหาสิ่งที่แน่ใจว่าดับทุกข์ พบแล้วสิ่งนั้นก็เป็น ศรัทธา ศรัทธา วิริยะ แล้วก็มีความเพียร เมื่อมีความแน่ว่าสิ่งนี้เป็นที่พึ่ง ก็พากเพียรในสิ่งนั้น ศรัทธา วิริยะ สติ สติ นี้เป็นศูนย์กลางใช้ครอบงำทุกกรณี ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกหนทุกแห่ง สำหรับควบคุมความถูกต้อง สมาธิ อ่า...ระดมกำลังใจทั้งหมดลงไปว่าปัญญา ปัญญารู้สิ่งที่ควรรู้ ใช้ความรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้อยู่ตลอดเวลามาอยู่ รั้งท้ายก็เหมือนกับหางเสือ มันควบคุมบังคับความถูกต้อง ความเป็นไปได้ ความก้าวหน้า ความเคลื่อนไหวถูกต้อง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องนี้ไว้เป็นฐานะเป็นเครื่องมือ แห่งความสำเร็จอย่างละเอียด อย่างลึกซึ้ง คือกำลังและอำนาจ กำลังสำหรับจะต่อสู้กับกิเลส อำนาจสำหรับจะประหัตประหารกิเลส ไปศึกษาดูทั้ง ๕ อย่างนะ มันมีเทคนิคเหลือประมาณเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอยู่อย่างที่ไม่อาจจะแยกกันได้นี้มีอีกมากมาย พูดกันก็หลายชั่วโมงนะ ฉะนั้นก็พูดเท่าที่เวลาจะอำนวย ทีนี้ก็จะมาพูดในชั้นปัญญา ก็มีเรื่องความรู้ในระดับสูงเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นลึกซึ้งถึงข้อที่ว่าอ่า...สัจจะธรรมทั้งหลายนะ คือสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีเหตุปัจจัย เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย อยู่ตลอดเวลา คือมันไหลเรื่อย มันเปลี่ยนแปลงเรื่อย ในร่างกายเราทุกๆ เซลล์ ทุกๆปรมาณูเปลี่ยนแปลงเรื่อย มันก็เปลี่ยนแปลงหมดทั้งร่างกาย ภายนอกเราก็เหมือนกันนะ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ต้นไม้ ต้นไร่ ภูเขาเลากา แผ่นดินมันก็มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันหยุดไม่ได้เพราะมันมีเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราก็รู้เห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราก็เห็นว่ามันเป็นทุกข์เพราะต้องทำงานกับสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลง อยู่กับสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันก็มีปัญหาคือความทุกข์ ก็มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ให้ความทุกข์แก่เราตลอดเวลา บังคับมันไม่ได้ มันเป็น อนัตตา อนัตตา อย่างไปหวังบูชากับมันเลยจัดการให้ถูกต้อง อย่าให้เป็นทุกข์ก็แล้วกัน นี่ความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเรื่องสูงสุด เทคนิคสูงสุด พอเห็นแล้วก็จะว่าโอ้,มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง กูจะไม่หลงยินดียินร้ายกับมัน จะไม่ไปหลงหัวเราะร้องไห้ จะไม่ไปหลงดีใจเสียใจให้มันเหนื่อย จะเอาความถูกต้องเป็นปกติอยู่เสมอ มันก็เลยหยุดจากความทุกข์ คงที่ คงที่ อยู่ในความไม่เป็นทุกข์ คงที่ คงที่ อยู่ในความถูกต้อง เรียกตามพระบาลีว่า อตัมมยตา แต่เข้าใจว่าเป็นคำพูดที่ท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยิน เพราะเขาไม่เอามาพูดทั้งที่มันมีอยู่ในพระบาลี อตัมมยตา ความคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย ทางกายก็คงที่ ทางจิตก็คงที่ ทางสติปัญญาก็คงที่ แล้วอะไรจะมาทำให้เป็นทุกข์ได้ละ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันมีความคงที่ในภาวะที่ถูกต้อง พูดให้ฝรั่งฟังมันก็พูดยาก เลยต้องพูดด้วยเปรียบเทียบด้วยอุปมาว่าหญิงสาวคนหนึ่งมีธรรมะขนาด อตัมมยตา ต่อให้ชายชู้รูปงามรูปสวย สติปัญญาเฉลียวฉลาดมาสักฝูงหนึ่งก็เกี้ยวเอาไปไม่ได้นะ ผู้หญิงคนนั้นมี อตัมมยตา อตัมมยตา คืออะไรอ่า...คุณก็ไปคิดดูเอาเองว่า อตัมมยตา คืออะไร หรือว่าชายหนุ่มมี อตัมมยตา ชายหนุ่มรูปงามอะไรมี อตัมมยตา ให้นางงามจักรวาลสักฝูงหนึ่งก็มาเกี้ยวไปไม่ได้ ให้นางฟ้าสักฝูงหนึ่งก็มาเกี้ยวไปไม่ได้ถ้าชายหนุ่มคนมันนั้นมี อตัมมยตา คุณคิดดูเอาเองว่า อตัมมยตา คืออะไร การที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลง ไม่ถูกจับยึดไว้อ่า...ไม่ถูกผลักไสให้เป็นไปตามปัจจัย ไม่อาจจะจับยึดไว้ในความโง่ ความหลงในอบายมุข นี่ก็จับยึดไว้ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะเป็นทุกข์ก็ไม่ได้ มันคงที่อยู่แต่ในความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ไม่มีความทุกข์เลย มีแต่ความสะอาด สว่างสงบ นี่คงที่ไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไรที่จะคงที่ คงที่ เหมือนกับ อตัมมยตา ภูเขาหิมาลัย เอ้า,ภูเขาหิมาลัยในเอเชีย ภูเขา แอลป์ ในยุโรป Rocky Mountain ในอเมริกา เป็นภู...ภูเขาใหญ่ ๆ อย่างนี้ทั้งนั้นมันก็ยังหวั่นไหวนะ ภูเขาขนาดนั้นมันยังหวั่นไหวเมื่อแผ่นดินมันไหวนะ เมื่อแผ่นดินมันไหวมันก็ยังหวั่นไหว แต่ อตัมมยตา แท้จริงไม่หวั่นไหว ให้ทั้งโลกทั้งจักรวาลทุกโลกธาตุมันหวั่นไหวก็หวั่นไหวสิ กูไม่หวั่นไหว นี่คือ อตัมมยตา คงที่อยู่ในความถูกต้อง นี่มันยอดสุดของเทคนิคทางสติปัญญาเรียกว่า อตัมมยตา ความรู้ถึงที่สุดมันก็จะยุติกันที่ตรงนี้แหละ ถ้า อตัมมยตา มันก็ยอดสุดของเทคนิคนะ มันเป็นความรู้ที่ไม่หวั่นไหวเพราะมันเห็นความว่าง ว่าง ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติ อย่าไปเอาสิ่งที่เป็นของธรรมชาติมาเป็นของตน มันจะเป็นขโมย มันจะถูกลงโทษ อย่าไปโกงเอาของธรรมชาติมาเป็นของกู มาเป็นตัวกู มันจะถูกลงโทษนะ ว่างจากตัวกู ว่างจากของกู ก็จะไม่มีความทุกข์เลย ความทุกข์เกิดขึ้นก็มองเห็นความว่างของความทุกข์ ไม่มีตัวความทุกข์ ความทุกข์ก็ดับไป นี่ Nock - Out ยอดสุดทางวิญญาณ Nock - Out ทีเดียวตายหมด ความว่างนะเอามาใส่เข้าไปที่ ความทุกข์ ความทุกข์ก็ว่าง คนเราก็ไม่มีความทุกข์ ไอ้ตัวกูที่จะเป็นทุกข์นี้ก็เหมือนกันนะ ถ้าเห็นเป็น ความว่าแล้วมันจะเป็นทุกข์ได้อย่างไรล่ะ มันก็ไม่มีทางทุกข์ ความว่างที่เป็นยอดสุดที่เรียกว่า พระนิพพาน นิพพาน ว่างจากตัวตน ว่างจากความทุกข์ ว่างจากกิเลสตัณหา ผลสุดท้ายของเทคนิคของธรรมะ ของพระศาสนามันมาจบลงด้วยความชนะความทุกข์ทุกประการ ความรู้เรื่อง อนัตตา มันเป็นสิ่งที่มิใช่ตน ถ้าเป็นตนก็ตนหลอก ไม่ใช่ตนจริง อนัตตา แปลว่ามิใช่ตน ตนซึ่งมิใช่ตน แต่คนโง่เอามาเป็นตน เป็นของตนมันก็เลยนั่งร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง ไม่มีความสงบสุขเดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ ขอเอาไปคิดดูเถิดเวลาที่เราสบายที่สุดนั้น เวลานั้นไม่หัวเราะไม่ร้องไห้ เวลานั้นไม่ดีใจไม่เสียใจ เสียใจก็ทรมาน ดีใจก็เหนื่อยไม่ใช่ ไม่เหนื่อยดีใจ ไม่ดีใจไม่เสียใจนี่อยู่เหนือทั้งหมด เหนือบวกเหนือลบ เหนือ Positive เหนือ Negative อย่าไปบ้าบวกเหมือนกับที่กำลังสอนกันอยู่ให้บ้าบวก ในทางบวก เราไม่บ้าลบไม่บ้าบวกเราก็อยู่เหนือยอดสุดของเทคนิคของธรรมะในพระพุทธศาสนา เอาละขอให้ท่านทั้งหลายสรุปรวมใจความทั้งหมดเหล่านี้ อ่า...ไปใคร่ครวญดูเอาเองทุกหัวรุ่งนะ ไม่กี่หัวรุ่งนะ ท่านก็จะเข้าใจเรื่องนี้ว่ามันมีเทคนิคอย่างไรใน ธรรมะนะ ในพระศาสนา ในธรรมะ ในวัฒนธรรม ศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งส่วนลึกรกรากนั้นมันสิ่งเดียวกัน คือความจริงของธรรมชาติ คือกฎเกณฑ์อันเฉียบขาดตายตัวของธรรมชาติ มันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าแกทำอย่างนี้แกต้องเป็นทุกข์ ถ้าแกทำอย่างนี้แกไม่ต้องเป็นทุกข์ ฝ่ายหนึ่งเป็นทุกข์ ฝ่ายหนึ่งไม่เป็นทุกข์ เป็นความรู้ที่ละเอียดเรียกว่าๆเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท พอได้ยินคำไม่เข้าใจมันก็ง่วงนอน แต่ถ้าว่าเข้าใจมันก็พอใจที่จะดับทุกข์ ดับทุกข์ ดับทุกข์ แล้วต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง นี้นะเป็นข้อแรกของเทคนิค แล้วเราต้องปฏิบัติมันให้ได้ มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ มีแต่ความรู้มันไม่สำเร็จประโยชน์ มันต้องปฏิบัติให้ได้ ทีนี้มันไม่ปฏิบัติ มันขี้เกียจ มันไม่อยากจะเหนื่อย ก็ต้องบังคับมันนะ มีวิธีบังคับมันด้วยการฝึกจิตด้วยสมาธิวิปัสสนา บังคับมันให้ได้ แล้วมันก็ทำได้ แล้วมันก็ดับทุกข์ เราก็หมดปัญหา จบลงด้วยความหมดปัญหา เต็มไปด้วยเทคนิคทุก ทุกขุมขน ทุกปรมาณูอะไรนี่คือเทคนิคของธรรมะ เทคนิคในตัวธรรมะ อ่า...เทคนิคจากธรรมะที่เราจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ อ่า...ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสนใจ ได้ผลคุ้มค่า ถ้าได้ผลไม่คุ้มค่าค่อยมาด่าอาตมาก็แล้วกัน ขอยุติการบรรยายด้วยการขอบใจ...คุณ ยินดีท่านทั้งหลายมาช่วยทำให้วัดนี้มีประโยชน์ มาหาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ในชีวิตในหน้าที่การงาน ขอให้ประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายจนทุกๆ ประการด้วยความสุขสวัสดีอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ