แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่มีภาระหน้าที่เกี่ยวกับกิจกรรมของครู และท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย สิ่งแรกอาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือการแสวงหาธรรมะ เพื่อประโยชน์แก่ชีวิตจิตใจส่วนตัวก็ดี หรือเพื่อความเจริญของหน้าที่การงานก็ดี สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นช่วยได้ คำว่าธรรมะมีความหมายกว้าง จำเป็นและมีประโยชน์แก่ทุกสิ่ง ถ้ามีความรู้อันถูกต้องจะเห็นว่าธรรมะนั่นน่ะมันเป็นคู่กันกับชีวิต พวกครูสอนเด็กผิดๆ ว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำนี้เกิดขึ้นในโลกก่อนพระพุทธเจ้าเกิด และก็ใช้กันมาจนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดเค้าก็ยังใช้คำนี้กันอยู่ ธรรมะมันแปลว่าหน้าที่เพื่อความรอด มันเป็นที่เชื่อได้ว่ามนุษย์คนแรก จะดึกดำบรรพ์สักเท่าไหร่ก็ยากที่จะกล่าว แต่ว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้สังเกตเห็นกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ว่าไม่ทำไม่ได้ ไม่ทำแล้วจะต้องตาย มันก็เลยเรียกชื่อสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นภาษามนุษย์อินเดียสมัยนั้นว่าหน้าที่ หน้าที่ถ้าเป็นภาษาไทย แต่ด้วยเหตุที่มันเป็นภาษาอินเดียโบราณโน้น นั่นคือคำว่า ธมฺม คือเสียงว่าธรรมะในบาลีที่มาเป็นภาษาบาลีปัจจุบัน สันสกฤตปัจจุบันว่า ธรฺม เป็นภาษาชาวบ้านเก่าแก่โบราณพื้นบ้านอาจจะเป็นเพียง ธม ธอ มอ ก็ได้ ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดมีคำนี้ใช้ แล้วก็ใช้กันมาเรื่อยๆ ในลัทธิครูบาอาจารย์ไม่ว่าลัทธิไหน ใช้คำว่าธรรมะทั้งนั้นแหละ ในสมัยพุทธกาลก็มีศาสดาเป็นอันมากเป็นคู่แข่งขัน นิครนถนาฏบุตร สัญชัยเวลัฏฐบุตร มักขลิโคสาล ปูรณกัสสปะ เยอะแยะ คำสอนของศาสดานั้น ธรรมะทั้งนั้น เมื่อประชาชนเค้าถามกัน เค้าก็ถามกันว่าท่านชอบใจธรรมะของใคร ประโยคนี้คือประโยคที่เค้าใช้ สำหรับสมัยนี้จะถามกันว่าท่านถือศาสนาไหน ถ้าเป็นอินเดียเค้าก็จะทักกัน โบราณนู้นนะ ทักกันว่า ท่านชอบ ใช้คำว่าชอบใจธรรมะของใคร ถือปฏิบัติธรรมะของใคร การพูดว่าธรรมะเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นมันถูกนิดเดียว ถูกนิดเดียว ความจริงมันมากกว่านั้นมาก ถ้าไม่พูดในลักษณะที่เกี่ยวกับบุคคล เกี่ยวกับความจริงอันลึกซึ้ง ก็จะต้องมองให้เห็นว่าธรรมะนั่นน่ะมันเป็นธรรมชาติ เป็นเรื่องของธรรมชาติ ภาษาบาลีนี่มันก็มีความหมายอยู่ในคำทุกคำ ธรรมะ แปลว่าทรงไว้ซึ่งตัวเองและผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ธรรมะ คำนี้รากศัพท์ มันว่า ธร แปลว่า ทรงไว้ ทรงไว้ ถ้าถามว่าทรงไว้ซึ่งอะไร ก็ทรงไว้ซึ่งตัวมันเองและทรงไว้ซึ่งผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง คือผู้ปฏิบัติธรรมะ นี้ธรรมะที่เราจะให้บทนิยามที่สมบูรณ์ที่สุดโดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ในเมื่ออะไรๆ มันก็ได้มีขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว ก็จะบัญญัติ หรือนิยามว่า ธรรมะ คือระบบปฏิบัติ ช่วยจำไว้ทีละคำ ละคำว่า ธรรมะ คือ ระบบปฏิบัติ ที่ถูกต้อง อีกคำหนึ่ง แก่ความรอด นี่คำหนึ่ง ทั้งทางกายและทางจิต อีกคำหนึ่ง ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นี่พอ ธรรมะคือระบบปฏิบัติเพราะว่ามันไม่ได้ปฏิบัติข้อเดียว อย่างเดียว มันต้องปฏิบัติครบถ้วนทั้งระบบหนึ่งๆ ที่มันมีอยู่ตามเหตุการณ์นั้นๆ มันจึงจะเกิดผลขึ้นมา เค้าจึงใช้คำว่า ระบบการปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงแต่การเรียนการสอนอยู่ในห้องเรียน มันต้องไปถึงตัวระบบการปฏิบัติ ครบตามระบบ แล้วก็ต้อง ถูกต้อง คือไม่ผิด ถูกต้องแก่อะไร ถูกต้องแก่ความรอด เพื่อความรอด เมื่อพูดถึงความรอด รอดทางกายอย่างเดียวไม่พอ ต้องรอดทางจิตด้วยจึงมีคำว่า รอดทั้งทางกายและทางจิต ทางกายมันรวมไปถึงวัตถุด้วย วัตถุสิ่งของ ทางจิตมันหมายถึงเรื่องจิต และเรื่องสติปัญญา ทางจิตคือตัวจิตโดยเฉพาะ และวิญญาณน่ะคือสติปัญญา รอดทั้งทางกายและทางจิตก็ต้องทุกขั้นตอน ทุกขั้นตอน เพราะมันไม่คงที่ มันเปลี่ยนเรื่อยเป็นขั้นตอนตั้งแต่เกิดจนตาย จงดูให้ดี ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เกิดจนตาย หรือตั้งแต่โง่ที่สุดถึงฉลาดที่สุด แล้วก็ต้องทั้งของตนเองและของผู้อื่น นี่เป็นเรื่องประโยชน์ เพราะเหตุที่เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ถ้าเค้าจะให้เราอยู่คนเดียวในโลก ยกโลกทั้งโลกให้เราอยู่คนเดียวนี่มันตาย มันอยู่ไม่ได้แล้วมันบ้า เป็นบ้า มันต้องอยู่ร่วมกันตามที่กฎของธรรมชาติมันสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมาเพื่ออยู่รวมกันเป็นพวกเป็นหมู่ ฉะนั้นลัทธิ Socialist น่ะเหมาะที่สุดสำหรับมนุษย์ ไม่ใช่เสรีประชาธิปไตยตัวใครตัวมัน แต่มันต้องเป็น Socialist ชนิดที่ถูกต้องตามธรรม Socialist ของ Karl Marx มันบ้า มันไม่รู้ว่าพระศาสนาคืออะไร มันว่าศาสนาเป็นยาเสพติดเพราะมันไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง เราจะถือว่าไอ้ Socialist ที่ประกอบไปด้วยธรรมะ ธรรมิกโซเชียลลิสต์ ช่วยโลกได้ ทุกศาสนามีวิญญาณเป็น Socialist คือทำเพื่อประโยชน์แก่สังคมหรือทั้งหมู่ทั้งคณะไม่ใช่เพื่อคนๆ เดียว นี่คือ ธรรม ธรรม ต้องเพื่อตนเองด้วย และเพื่อผู้อื่นด้วยแล้วก็เพื่อผูกพันกันด้วย
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสประโยชน์ไว้เป็น ๓ ชนิด
๑ ประโยชน์ตนเอง
๒ ประโยชน์ผู้อื่น
๓ ประโยชน์ที่มันผูกพันกันอยู่ อย่างที่แยกกันไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ให้เป็นเช่นนี้ อัตตัตถะ ประโยชน์ตน ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น อุภยัตถะ ประโยชน์ที่มันผูกพันกันอยู่อย่างที่แยกกันไม่ได้ ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายหวังประโยชน์ทั้ง ๓ ให้ครบถ้วน ขอสรุปอีกทีว่า ธรรมะ คือระบบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกายและทางจิต ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น สรุปความได้ว่ามันคือหน้าที่ หน้าที่ไม่ทำแล้วตาย หน้าที่เป็นคู่ชีวิต คู่ชีวิตผัวเมียนี่แยกกันอยู่สักเดือน สักปีอะไรก็ได้ แต่ถ้าคู่ชีวิตคือธรรมะแยกเดี๋ยวเดียวก็ตาย แยกธรรมะออกไปจากชีวิตเดี๋ยวเดียวก็ตาย เพราะมันมีความสุข คือความถูกต้องสำหรับจะมีชีวิต ธรรมะมันเป็นคู่ชีวิตยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้ามองอีกทีมันเป็นตัวชีวิตซะเอง มันเป็นการถูกต้องแล้วที่เราจะศึกษาธรรมะและรู้ว่าธรรมะคืออย่างนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมันไม่ถูกกับความเป็นจริง ความเป็นจริงมันมากกว่านั้นมากมายนัก ดิกชั่นนารีเด็กๆ ในอินเดีย คำว่า ธรรมะแปลว่า duty duty เท่านั้นก็พอ คือ หน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ฉะนั้นขอให้ท่านสนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ โดยใจความหมายถึงหน้าที่ที่เป็นไปอย่างที่กล่าวมาแล้ว แต่ถ้าหากท่านยังต้องการจะรู้มากกว่านั้นไปอีก ก็ลึกไปถึงว่า ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ภาษาบาลี คำว่า ธรรมะ กับคำว่า ธรรมชาตินี้เป็นคำเดียวกัน ธรรมะ คือ ธรรมชาติ คือสิ่งที่ทรงตัวเองอยู่และทรงสิ่งอื่นไว้ด้วย แยกให้เห็นชัดว่า ธรรมะคือตัวธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมชาติทั้งหลายทั้งที่เป็นฝ่ายวัตถุและเป็นฝ่ายจิตใจ ในสากลจักรวาลที่มีอยู่ตามสภาวะธรรมชาติ ธรรมะ คือ ธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติอันเด็ดขาด อันสิงสถิตย์อยู่ในธรรมชาติ ในตัวธรรมชาติและมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ มันจึงเปลี่ยนแปลง มันจึงต่อสู้ มันจึงดิ้นรน มันจึงรอด นี้ธรรมะในความหมายที่สามคือ หน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่สี่ ธรรมะคือผลที่เราได้รับ ได้รับจากการทำหน้าที่ เป็น ๔ ความหมายอย่างนี้ คือธรรมชาติทั่วไป คือกฎของธรรมชาติที่ควบคุมธรรมชาติ ก็คือหน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ ๔ ความหมายนี้สรุปรวมอยู่ในคำเพียงคำเดียวว่า ธรรม พยางค์เดียว ธรรมะ พยางค์เดียว ท่านจงทราบว่าธรรมะคืออย่างนี้ ถ้าท่านสอนเด็กว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั่นมันถูกนิดเดียว และยังไม่ได้บอกเสียด้วยว่าสอนว่าอะไร พระพุทธเจ้าท่านสอนทุกข์และดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ธรรมะมันจึงเป็นเรื่องดับทุกข์โดยสิ้นเชิง แต่มันก็ต้องสอนให้รู้จักทุกข์ด้วยมันจึงจะดับได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นนอกรีตมากมายเหลือเกินเอามาใส่เข้ามาเสียเวลาเปล่า เรื่องทุกข์กับดับทุกข์แหละพอ เรื่องตายแล้วเกิด ตายแล้วไม่เกิดอะไร เดี๋ยวนี้ไม่ต้องก็ได้ เอาแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์แหละพอ ขอให้สนใจกันไว้ให้ดีๆ นี้มาเพื่อศึกษาธรรมะก็จะต้องรู้ความจริงของสิ่งเหล่านี้ครบถ้วนถูกต้อง เพียงพอสำหรับไปใช้แก้ปัญหาทุกอย่างที่มันจะเกิดขึ้น
ทีนี้จะบรรยายในวันนี้โดยหัวข้อว่า บุญกุศลของความเป็นครู บุญกุศลของความเป็นครูคือที่มีอยู่ในความเป็นครู ที่ครูอาจจะได้รับ คือที่มันเป็นประโยชน์แก่โลก ขอให้สนใจคำว่า บุญกุศลของความเป็นครู มันควรจะพูดถึงคำว่า ครู ครูก่อน คำว่าครูนี่เป็นคำที่มีความหมายสูงสุดทางด้านจิตใจ บางอย่างในอินเดียโดยเฉพาะในสมัยโบราณแล้ว ครู ครูนั่นน่ะสูงสุดในทางวิชาความรู้ ในทางวัตถุ ทางจิต ทางวิญญาณ และคำว่าครูเป็นผู้ให้ความรู้หรือเป็นผู้นำในทางจิต ทางวิญญาณ ครูของประเทศ ของพระเจ้าแผ่นดินเนี่ย โดยรัฐคุรุ ครูของรัฐ อภิรัฐคุรุ ครูอย่างยิ่งของรัฐ รัฐนี่ ครูเป็นผู้นำทางวิญญาณ ไม่ใช่มีเกียรติต๊อกต๋อยเหมือนเดี๋ยวนี้ที่เค้าชอบเป็นอาจารย์มากกว่าเป็นครู เค้าเรียกว่าครูไม่ค่อยชอบ อยากให้เรียกว่าอาจารย์นี่มันไม่รู้ความหมายของคำว่าครู นี่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงของภาษา คำว่าอาจารย์ หรือแม้แต่คำว่า อุปัชฌาย์ นั้นแปลว่าผู้สอนวิชาชีพ โดยเฉพาะสมัยนู้นคือผู้สอนวิชาชีพ ถ้าคุณอ่านหนังสือเช่น ปรียทรรศิกา คุณจะพบคำว่า อุปัชฌาย์ แล้วก็มีอาชีพสอนวิชาดีดพิณ นั่นอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์หรืออาจารย์คือผู้สอนวิชาชีพ ผู้นำทางจิต ทางวิญญาณก็เรียกว่า คุรุ คุรุ เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ในอินเดียในความหมายที่สูงทางจิตใจเรียกว่า คุรุ คือ ครู เรามักจะถือความหมายกันว่าผู้มีบุญคุณอันหนัก หนักอยู่บนศีรษะของมนุษย์ทุกคน แต่เขาค้นทางวิชาศัพทศาสตร์เร็วๆ นี้ พบว่า คุรุ คุรุ นี่ รากศัพท์ root แปลว่า เปิดประตู เปิดประตู ครูก็คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ประตูมันปิดอยู่ สัตว์ทั้งหลายถูกขังอยู่ในคอก ทนทุกข์ทรมานอยู่ในคอกอันสกปรก อันร้อน อันเหม็น อันเจ็บปวด เปิดประตูให้มันออกมาจากคอก กิริยาเปิดประตูนั้นก็คือคำว่า คุรุ คุรุ เลยมีค่าสูงสุดเต็มตามความหมายคือเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ นั้นขอให้ท่านครูทั้งหลายให้รู้ความหมายอันสูงสุดของครูนี่ว่าเปิดประตูทางวิญญาณ และเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เป็นผู้ชักพาโลกนี้ให้มันเป็นไปอย่างถูกต้องในทางจิตทางวิญญาณ นี่ความหมายของคำว่าครู แล้วมันก็จะเห็นว่าสูงสุดกว่าสิ่งใด พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู พระองค์เป็นสุดยอดแห่งความเป็นครู นำสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงออกไปจากกองทุกข์ เรียกว่าบรมครู ตรงตามความหมาย นี่ครูทั้งหลายเมื่อจะทำให้ถูกต้องตามความหมายของคำๆ นี้ก็ต้องทำหน้าที่อันนี้ พวกกระทรวงศึกษาธิการแต่ก่อนมันจะรู้ความหมายคำนี้แค่ไหนก็ไม่ทราบไม่เห็นพูดถึง ไม่เห็นใช้ความหมายอย่างนี้ แต่ภาษาไทยก็กลายเป็นคำที่ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิม จึงขอบอกให้ทราบว่าตามความหมายเดิม ต้องเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แล้วก็เป็นผู้นำให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง มัคคุเทศก์ทางวิญญาณ เปิดประตูทางวิญญาณแล้วก็เป็นมัคคุเทศก์ที่ดีที่นำเค้าไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง นี่จงรู้ความเป็นครูกันในลักษณะอย่างนี้เถิด แล้วก็จะเข้าใจได้ง่ายที่สุดว่าบุญกุศลของความเป็นครู หรือในความเป็นครูนั้นมันจะมีมากน้อยเท่าไหร่ มันจะมีมากน้อยเท่าไหร่
เดี๋ยวนี้มาพิจารณาดูถึงความเป็นครูกันต่อ มันก็ลดลงไปมาก คือกลายเป็นอาชีพชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่อุดมคติสูงสุดของความเป็นปูชนียบุคคลอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียรของสัตว์ทั้งปวง ถ้าอย่างนี้มันก็ลด ลดกันมากทีเดียว ลดครูจากวรรณะพราหมณ์ มาสู่วรรณะศูทร คือลูกจ้าง ลูกจ้าง ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง ถ้าอย่างนี้มันเป็นวรรณะลูกจ้าง ถ้ามันเป็นวรรณะผู้นำทางวิญญาณเค้าเรียกว่าวรรณะพราหมณ์ อย่าเข้าใจผิดฟังคนบางคนว่าวรรณะเลิกแล้ว วรรณะเลิกแล้ว พระพุทธเจ้าเลิกแล้ว เลิกวรรณะแต่ว่ามันเลิกวรรณะโดยกำเนิด คือไม่เอาโดยกำเนิดไม่ถือตามกำเนิด แต่ถ้าว่าวรรณะโดยหน้าที่ที่กำลังกระทำอยู่นั้นไม่มีใครเลิกได้ ไม่มีใครเลิกได้ ทำหน้าที่อะไรก็เป็นนั่น ทำหน้าที่อะไรก็เป็นนั่น วรรณะโดยหน้าที่นั้นเลิกไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็เลิกไม่ได้ แล้วท่านก็ไม่เลิก ท่านยังตรัสว่าเป็นพระอรหันต์กันได้ทุกวรรณะ โลกุตระธรรม เรากล่าวไว้ว่าเป็นสมบัติของคนทุกคน นี่ถ้าว่าครูมาลดตัวเองเป็นเพียงลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ แล้วก็ความหมายของครูไม่มีเหลือหรอก ต้องเป็นปูชนียบุคคล เป็นปูชนียบุคคล ถ้าเป็นอาชีพก็ต้องเป็นอาชีพของปูชนียบุคคล พระพุทธเจ้าก็มีอาชีพปูชนียบุคคล คือทำประโยชน์ให้แก่เขามากมายมหาศาลเหลือที่จะกล่าวได้ แล้วก็รับสิ่งตอบแทนเพียงอาหารเลี้ยงชีวิตเป็นอยู่ไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น นั่นน่ะอาชีพปูชนียบุคคลเป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะอาชีพของพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น ครูนี่เมื่อทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้วมันเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล เป็นผู้นำทางวิญญาณ รับเงินเดือนเพียงไม่กี่ร้อยกี่พันนี่ มันก็เทียบกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นครูก็เป็นอาชีพปูชนียบุคคล จึงจัดไว้ในวรรณะสูง วรรณะผู้สอน วรรณะพราหมณ์ วรรณะผู้นำในทางวิญญาณ ทว่าเป็นครูกันแท้จริงแล้วล่ะก็ จะสังกัดพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูมากกว่าที่จะสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ แล้วแบ่งกันว่าภายนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการแต่ภายในคือจิตวิญญาณขอให้สังกัดพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู เมื่อมีความเป็นครูอย่างนี้แล้ว จะมีบุญกุศลมหาศาลนะ มีบุญกุศลมหาศาล
ทีนี้เราก็พิจารณากันต่อไปเกี่ยวกับบุญกุศลของความเป็นครู คำว่าบุญกุศลนั้นน่ะภาษาชาวบ้านเรียกไปถึงคำว่า อานิสงส์ อานิสงส์คือได้บุญได้กุศล ทีนี้คำว่าอานิสงส์ อานิสงส์มันมีความหมายอยู่ในตัวชัดมาก มันแปลว่าไหลออกมาจากกำเนิด เหมือนนมไหลออกมาจากเต้านมของคนหรือของวัวก็ตามแต่ กริยาที่ไหลออกมาในลักษณะเป็นประโยชน์สูงสุดนั้นเรียกว่า อานิสงส์ มันตรงตามเรื่องที่จำเป็นหรือควรจะมี คำว่าบุญนี้กำกวมมาก ถ้าจะให้ถูกก็แปลว่าเครื่องชำระบาป แต่ก็มักไปใช้กันอย่างอื่น เป็นกุศล เป็นสวรรค์ เป็นอะไรไปเสีย ไอ้คำว่ากุศลมันแปลว่าตัดกิเลส คำว่าอานิสงส์นี่เป็นสิ่งที่ประโยชน์ที่มันไหลออกมา ฉะนั้นครูก็เป็นผู้ที่หลั่งไหลสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมา อานิสงส์จากความเป็นครูที่โลกมันจะได้รับ นี่คำว่าบุญกุศลความเป็นครูควรจะเล็งถึงอานิสงส์ความเป็นครู ก็ขอให้สนใจไว้ เพื่อให้มันเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ และความเป็นครูก็จะไม่เป็นหมัน ยังคงถูกต้องอยู่ตามเดิม เป็นบุคคลผู้นำในทางวิญญาณ ต้องมีอานิสงส์ไหลออกมาคุ้มค่า แล้วก็คุ้มค่าของความเป็นปูชนียบุคคล ถ้าเงินเดือนเพียงไม่กี่พันหรือแม้ตั้งหมื่นก็เถอะ มันก็ไม่เท่าไร ตอบแทนได้ง่ายที่สุด แต่ถ้าว่าความเป็นปูชนียบุคคลนั้นมันต้องมากกว่านะ คือทำประโยชน์ในฐานะเป็นผู้สร้างโลกเลยล่ะ ความวินาศและความเจริญของโลกอยู่ที่ครู ถ้าครูสร้างเด็กมาดี เด็กก็สร้างโลกดี โลกก็เจริญ ถ้าครูสร้างเด็กมาเลว โลกนี้มันก็เลวกัน มันมีเท่านั้น ไม่มีอะไรลึกลับไปกว่านี้ แต่ครูไม่ได้เคยนึกว่าเป็นผู้สร้างโลก ครูที่เห็นแก่ตัวก็กูไม่รับภาระหน้าที่อันสูงสุดอย่างนั้น มันเหลือวิสัยของกู อย่างนี้ก็ไม่ต้องพูดกัน ถ้าว่ายังกล้าพอที่จะรับภาระรับผิดชอบว่าครูเป็นผู้สร้างโลก คือสร้างโลกให้ดี โดยการสร้างเด็กให้ดี เด็กโตขึ้นเป็นพลโลกที่ดี โลกก็เป็นโลกมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้โลกยังเป็นโลกของวิกฤตการณ์ ก็ยังพูดได้ว่าครูสร้างโลกยังไม่ดี ยังไม่ถึงที่สุด ยังไม่ถึงขนาด การศึกษาบ้าๆ บอๆ ทั้งโลกสร้างแต่ฉลาด ให้ฉลาด ให้ฉลาด ไม่รู้จะฉลาดไปทางไหนแล้ว ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด ไอ้คนเหล่านั้นก็เอาความฉลาดไปใช้ชั่ว เห็นแก่ตัวหมด ทั้งโลกมันเอาความฉลาดที่การศึกษาให้ไปเห็นแก่ตัวหมด นี่การศึกษาบ้าๆ บอๆ กำลังครอบงำโลก มันต้องสอนให้ฉลาดพร้อมกับควบคุมความฉลาด เอาความฉลาดไปใช้แต่ในทางที่ถูกต้อง ถ้าอย่างนี้โลกนี้มันก็ดี ไม่ต้องสงสัย แต่นี่มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวคุณเห็นไหม ทุกหนทุกแห่งมันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวน่ะเลวร้ายที่สุด ไม่มีอะไรเลวร้ายเท่า เป็นพญามาร จอมยอดพญามาร พอเห็นแก่ตัวมันก็เบียดเบียนตัว คนเห็นแก่ตัวมันก็ขี้เกียจ มันไม่อยากทำงาน ไม่อยากแม้แต่จะช่วยตัวเอง คนเห็นแก่ตัวต้องบังคับให้ทำงาน มันขี้เกียจ มันอยากนอน แต่มันอยากจะได้กิน ได้ใช้ ได้เงิน ได้อะไรต่างๆ น่ะ ความเห็นแก่ตัวมันเลวขนาดไหน มันไม่สามัคคีด้วย คนเห็นแก่ตัวไปดู ไม่สามัคคี ไม่ร่วมมือในสิ่งที่ควรจะร่วมมือ คนเห็นแก่ตัวมันก็ริษยา ริษยาไม่ต้องสงสัย ก็วินาศกันหมดแน่ แล้วคนเห็นแก่ตัวนี่มัน มีความหลง หลง หลงตัว บ้าตัว เมาตัว หลงจนบ้าจริงๆ บ้าจริงๆ แล้วมันก็ฆ่าตัวตายได้ ความเห็นแก่ตัวมันก็ฆ่าตัวตายอย่างนี้ มันน่าหัวเห็นแก่ตัวแล้วกลายเป็นฆ่าตัวตาย เอ้า, ขอท้าว่าไปที่โรงพยาบาลบ้า แล้วสืบดูประวัติคนบ้าทุกคนจะพบว่ามาจากความเห็นแก่ตัวที่หลงทางทั้งนั้น ช่วยจำคำว่าความเห็นแก่ตัวที่หลงทาง ที่เดินผิดทาง แล้วก็ได้ไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า แล้วก็ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าลูกฆ่าเมียตาย ฆ่าพ่อฆ่าแม่ตายอย่างไม่มีความหมาย เมื่อความเห็นแก่ตัวมันหลงทางขึ้นมาอย่างนี้ ต้องช่วยกันกำจัด ทั้งที่เกี่ยวกับผู้อื่น ความเห็นแก่ตัวมันก็เอาเปรียบผู้อื่น ริษยาผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นไม่มีที่สิ้นสุด จะเบียดเบียนตนเองและเบียดเบียนผู้อื่นและเบียดเบียนทั้งโลก ถ้าครูสามารถจะเป็นครูผู้นำทางวิญญาณกันได้จริงแล้วโลกนี้จะดีกว่านี้ ที่มันไม่มีผู้เห็นแก่ตัว การศึกษานี่ต้องกำจัดความเห็นแก่ตัวไม่ใช่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวที่กำลังมีอยู่ในโลก ขอย้ำอีกทีว่าการศึกษาฉลาดๆๆ จนมันจะไปเที่ยวโลกพระจันทร์ได้เหมือนว่าเล่น เหมือนไปเที่ยวหลังบ้านอย่างนั้น ให้มันฉลาดถึงขนาดนั้นมันก็ยังเห็นแก่ตัว มันก็ไม่มีประโยชน์แก่สันติภาพ มันต้องฉลาดเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวอันเป็นข้าศึก นี่เรียกว่าหากคุณค่าสูงสุดของความเป็นครู กำจัดความเห็นแก่ตัว มีการศึกษาถูกต้อง คือสอนให้ถูกต้องให้มันกำจัดความเห็นแก่ตัว คุณค่าประโยชน์คืออานิสงส์มันต้องมี ถ้าไม่มีประโยชน์มันก็คือไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์อะไร ทุกอย่างมันยังต้องมีค่า มีคุณค่าของมัน แม้แต่อุจจาระมันยังทำปุ๋ยได้ คิดดูสิ แล้วคนหรืออะไรเหล่านี้มันจะไร้คุณค่าไปได้อย่างไร ขอให้คุณครูทั้งหลายมีประโยชน์ มีอานิสงส์ มีคุณค่าในการที่ช่วยกันสร้างสันติภาพขึ้นในโลก โดยกำจัดความเห็นแก่ตัว สอนลูกศิษย์ทั้งหลายให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องก็คือไม่เห็นแก่ตัว มันก็จะสร้างโลกได้ สร้างโลกได้ถึงที่สุดจริงๆ เรียกว่าครูเป็นผู้สร้างโลกโดยผ่านทางเด็กๆ ดังนั้นเขาจึงยกความหมายคำว่าครูไว้ในฐานะสูงสุด สูงสุด คุรุ คุรุ ภาษาเดิมของเขา มาเป็น ครู ในภาษาไทย โลกนี้รอดมาได้ โลกนี้เยือกเย็น สดใส แจ่มใส เต็มไปด้วยสันติภาพ เพราะการนำของบุคคลประเภทที่เรียกว่า คุรุ พระเจ้าแผ่นดินที่ดี มหาจักรพรรดิที่ดีมี คุรุ ประจำตัว ก็ผ่านพระเจ้าแผ่นดิน สร้างโลก เดี๋ยวนี้เราก็สร้างคนทุกคน สร้างเด็ก
เอาล่ะ ทีนี้มาดูกันถึงว่าบุญกุศลของความเป็นครู ในความเป็นครู จากความเป็นครูกันให้ละเอียดขึ้นไปอีกสักหน่อย ครั้งหนึ่งอาชีพครู ถูกจัดให้เป็นอาชีพเรือจ้าง เขาไม่มีเงินที่จะไปเรียนกฏหมาย เรียนแพทย์ เรียนอะไรที่แพงๆ เขาต้องมาเป็นครูเพราะมันเป็นได้ง่าย เป็นได้เร็ว รับจ้างเป็นครูไปก่อน สะสมเงินไว้แล้วไปเรียนกฎหมาย ไปเรียนอะไรกันนี่ สำเร็จประโยชน์ เยอะแยะไปหมดเลย อย่างกับในประวัติของคนเหล่านั้นอย่าไปติดตามเขาเลย อาชีพครูเลยถูกจัดเป็นอาชีพเรือจ้างข้ามฟาก จากฝั่งนี้ไปหาฝั่งโน้นที่เค้าต้องการอย่างนี้ก็มี เคยมี แต่เดี๋ยวนี้มันก็ชักจะหมดไป อาชีพครูไม่ใช่อาชีพเรือจ้าง แล้วมันเป็นอาชีพปูชนียบุคคล เหมือนอาชีพของพระอรหันต์ คือช่วยมนุษย์ในด้านจิต ด้านวิญญาณ แต่เดี๋ยวนี้หลักสูตรที่เขาจัดให้มันน้อยลง น้อยลง มันเป็นเรื่องช่วยทางวัตถุ ช่วยทางภายนอก ทางวัตถุ ความเจริญทางวัตถุ แต่มันก็มีความหมายของการช่วยทางวิญญาณ ถ้าเด็กมันไม่รู้หนังสือก็คือความโง่ หรืออุปสรรคทางวิญญาณ ช่วยให้มันรู้หนังสือ ช่วยให้มันฉลาดโดยแท้จริง แล้วให้มันถูกต้องไปจนว่ามันรอดตัว อย่าไปช่วยให้มันฉลาดแล้วเห็นแก่ตัว ฉลาดแล้วเห็นแก่ตัว ฉลาดในการทำประโยชน์แก่ตัว ให้มีเงินเดือนมากๆ ให้ได้สมรสดีๆ แค่นี้ไม่พอ แล้วก็ระวังให้ดี ครูทั้งหลายที่เป็นวัยรุ่น ที่เป็นหนุ่มสาวนี่มักจะมีวัตถุประสงค์กันเพียงแค่นี้ ได้อาชีพเบา หาเงินได้มาก สมรสให้มีเกียรติ ถ้าแค่นี้ก็ไม่มีความเป็นครูกี่มากน้อย มันต้องมุ่งหมายที่จะทำให้เด็กของเรามีสติปัญญา และเดินทางไปถูกต้อง ถูกต้อง จนรอดกันได้ทั้งโลก นั่นแหละหน้าที่ที่ถูกต้อง ฉะนั้นขอให้ถือว่าเป็นครู มีอาชีพ ปูชนียบุคคล หรือว่าเป็นปูชนียบุคคลไปพลางก็ได้ ทำหน้าที่อย่างที่ได้รับการมอบหมายตามหลักสูตรกฎเกณฑ์ของกระทรวง แต่ว่าเป็นปูชนียบุคคลไปพลางให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่าครู คือให้เด็กๆ ได้รับประโยชน์ในทางจิตทางวิญญาณที่มีค่ามหาศาลเกินกว่าเงินเดือนที่ครูได้รับ ครั้งหนึ่งมันมีความคิดว่าครูหรือข้าราชการก็ตามเป็นลูกจ้างของราษฎร เป็นความคิดที่โง่มาก ให้ข้าราชการก็ดี ครูก็ดีเป็นลูกจ้างของประชาชนนี่เป็นความคิดที่โง่มาก ถ้าจะให้ถูกต้อง ให้เป็นผู้นำประชาชน ผู้ช่วยเหลือประชาชน ผู้พาไปสู่ทิศทางที่สูง ให้ประโยชน์นั้นได้รับ แล้วมันเป็นราคามากกว่าเงินเดือนที่เขาให้ ให้มันพ้นจากความเป็นลูกจ้างด้วยเหตุอย่างนี้ บุญกุศลมันอยู่ที่นี่ คือได้เป็นปูชนียบุคคลในอาชีพครู ทำบุญกุศลสูงสุดไปด้วยคือให้ธรรมทาน ธรรมทานคือวิชาความรู้ ให้ทาน ธรรมะสูงสุดกว่าการให้ทานใดๆ ครูมีหน้าที่ให้ธรรมทาน ฉะนั้นอาชีพครูก็เป็นการบำเพ็ญกุศลไปด้วยในตัว ถ้าเป็นครูที่แท้จริง ละเอียดลออก็จะเป็นการศึกษาเพิ่มเติมยิ่งขึ้นไปอีก ครูก็จะได้มีโอกาสศึกษาโลก ศึกษาชีวิต ศึกษามนุษย์ ศึกษาหน้าที่การงาน ครูกำลังเรียนอยู่บนการสอนนักเรียนนั่นแหละ การเป็นครู บุญกุศลมันอยู่ที่ว่าเป็นการศึกษาเพิ่มเติมอยู่ในตัว แล้วก็เป็นการปฏิบัติธรรมะไปในตัว ถ้าเป็นครูที่ดีต้องประกอบไปด้วยธรรมะหลายอย่างหลายประการ มีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ นี่ที่เป็นหลักใหญ่ๆ ครูต้องมีความรู้ ครูต้องมีการเสียสละ ครูต้องมีความจริงใจในหน้าที่ ครูต้องบังคับตัวอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้บกพร่องในหน้าที่ มีความอดทนจนตลอดสาย และมีการบริจาคความเลวความชั่วร้ายออกไปจากตัวจนหมดสิ้น เรียกว่าบริจาคหรือจาคะ คำว่าทาน ทานนี้ให้โดยที่มีผู้รับมันจึงเป็นเรื่องทางวัตถุ แต่ถ้าบริจาคจาคะนี้ไม่ต้องมีผู้รับแต่ว่าให้ไปเรื่อย ให้ไปเรื่อย คือให้ความเลวที่มันไม่ควรจะมีอยู่ในตัวนั้นน่ะ ให้ไปเรื่อย ให้ไปเรื่อย โดยไม่ต้องมีผู้รับ อย่างนี้เรียกว่าจาคะ นี้ครูที่สมบูรณ์ มีธรรมะเหลือประมาณนะ ครบทุกอย่างทุกประการที่จะช่วยได้ แต่ก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีเมตตาสูงสุด อุดมคติของโพธิสัตว์ มีเมตตาสูงสุดที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ แต่แล้วก็ต้องมีปัญญา คือความสามารถในการที่จะช่วย ครูต้องสมบูรณ์เต็มอัดอยู่ด้วยปัญญาและเมตตา ต้องรู้เพียงพอและมีเมตตาเพียงพอ ต้องเสียสละ อดทน อดกลั้นอดทน ทำให้คนทั้งโลกได้รับประโยชน์ ในความเป็นครูก็คือได้ปฏิบัติธรรมะอันสูงสุดไปพลาง ครูทำหน้าที่เป็นนักรบไปพลาง คือรบสิ่งที่เป็นข้าศึกของมนุษย์ ข้าศึกเลวร้ายของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว ครูจะต้องช่วยปราบข้าศึก มารร้าย ซาตาน มารร้ายของมนุษย์ ครูเป็นผู้ที่นำหน้าในการที่จะปราบข้าศึก มารร้ายของมนุษย์ แล้วก็อยากจะพูดว่า ครูเป็นนักกีฬา ดูการเล่นกีฬาระหว่างความสำเร็จกับความไม่สำเร็จ ถ้าถามว่ากีฬาอะไรกัน ต่อสู้ระหว่างอะไรกัน ระหว่างความสำเร็จกับความไม่สำเร็จ ครูเป็นผู้เล่นและครูเป็นผู้ตัดสิน แม้แต่ความสำเร็จและไม่สำเร็จของนักเรียนนั้นมันก็เป็นกีฬา คือการต่อสู้กันระหว่างการเรียนสำเร็จหรือเรียนไม่สำเร็จ ครูเองก็ทำการเล่นกีฬาต่อสู้ระหว่างความสำเร็จกับความไม่สำเร็จ แต่ว่าทำให้สนุก ทำได้โดยสนุกจึงเรียกว่ากีฬา ถ้าเราสามารถทำการงานทุกชนิดให้กลายเป็นกีฬาแล้วความทุกข์ไม่มี ไม่มีจากการงาน การงานไม่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย การงานไม่เป็นความทุกข์ เพราะมันกลายเป็นการกีฬาไปเสีย ต่อสู้กันระหว่างความสำเร็จกับความไม่สำเร็จ เราคนเดียวนี่แหละมันเป็นผู้ต่อสู้กันระหว่างความสำเร็จหรือความไม่สำเร็จ ความล้มเหลวหรือความชนะ เราทำให้ดี จัดให้ดี ชีวิตนี้จะเป็นการเล่นกีฬา การงานทั้งหลายก็จะเป็นการเล่นกีฬา มันก็สนุกเท่านั้นล่ะ ไม่ตกนรกทั้งเป็น ถ้าฝืนทำการงาน มีแต่ความจำเป็น ความจำใจอย่างนี้มันก็ตกนรกทั้งเป็น มาเทียบกันไม่ได้กับการเล่นกีฬา ขอให้จัดให้ชีวิตเป็นการเล่นกีฬา คือมีการต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลาระหว่างความสำเร็จกับความไม่สำเร็จ มันเป็นยอดสุดของศิลปะ ศิลปะที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความทุกข์เลย มันกลายเป็นสนุก เป็นการเล่นกีฬาไปเสีย นี่ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายดำรงชีวิตชนิดนี้ ความเป็นครูก็จะง่ายดาย ก็จะสะดวกดาย ก็จะเป็นที่น่าพอใจ สรุปความว่า ทำงานสนุก เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำงาน ไม่มีความหมายแห่งการตกนรกทั้งเป็นแม้แต่นิดเดียวในความเป็นครู ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น มีแต่ความถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจ นี่เรียกว่าทำงานสนุกแล้วก็เป็นสุขในขณะที่กำลังทำงาน อย่าให้กิเลสใดๆ ความโง่ใดๆ เข้ามาครอบงำ มีความขุ่นข้องหมองใจ มืดมนในจิตใจอย่างนี้ไม่ถูก ไม่ถูกตามหลักของธรรมะ ไม่ถูกตามหลักของความเป็นครู ความเป็นครูเป็นผู้เปิดประตูทั้ง ๔ ฉะนั้นก็มีแต่ความฉลาดและความถูกต้อง ไม่มีความหม่นหมอง ถ้าเป็นพระบรมครูนั้นอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง เราเป็นลูกศิษย์ของพระบรมครู ก็ขอให้มันได้เดินทางไปทางเดียวกัน อย่าเป็นทาสของความบวกลบมากนัก อย่าไปเห็นแก่การได้หรือการเสีย การเสียมากนัก ให้มันอยู่เหนือไว้เสมอไป อย่าให้การได้การเสีย การขาดทุนกำไรอะไรเข้ามาครอบงำจิตใจ ให้อยู่เหนือบวกเหนือลบ เหนือบวกคือดีใจ เหนือลบคือเสียใจ อย่าได้มีความดีใจเสียใจรบกวนอยู่เลย เสียใจไม่ไหวได้แล้วใครๆก็รู้ แต่ว่าดีใจมันคือความบ้าชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ทางสงบสุข ดีใจมากกินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ ดีใจจนเป็นบ้าก็มีได้เหมือนกัน นั่นน่ะความเป็นบวก ต้องเหนือความเป็นบวกและเหนือความเป็นลบ จึงจะมีความเป็นอิสระในการที่จะเป็นผู้นำในทางวิญญาณ จุดสูงสุดของมนุษย์ในด้านจิตใจคือทางศาสนามันอยู่ที่นั่น ขึ้นไปจนถึงเหนือความเป็นบวก เหนือความเป็นลบ พระอรหันต์อยู่เหนือความรู้สึกเป็นบวก เหนือความเป็นลบ คือไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่หลงสุข ไม่หลงทุกข์ ไม่หลงบุญ ไม่หลงบาป เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือดี เหนือชั่ว เหนือน่ะอยู่เหนือ อยู่ในระหว่างกลางนี้มันยังไม่ค่อยปลอดภัย balance ก็ยังไม่ค่อยปลอดภัยมันเอียงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าอยู่เหนือซะแล้วก็หมดปัญหา ต้องใช้คำว่าอยู่เหนือ อยู่เหนือ above beyond ไปเลย ถ้า between balance นี่ไม่ปลอดภัย อย่าไปนอนใจว่าเราทำมันสมดุลย์ได้ แต่ให้มันอยู่เหนือเรื่อยไป พระบรมครูเป็นอย่างนั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ตามไปอย่างนั้น ถ้าความเป็นบวก เป็นลบครอบงำแล้วมันก็มีอคติแล้ว เดี๋ยวใจก็รับสินบนแล้ว เดี๋ยวก็ทำคอรัปชั่นทั้งความเป็นครู อาชีพตุลาการก็ดี อาชีพหมอก็ดี อาชีพครูก็ดี สูญเสียความเหนือบวกเหนือลบเมื่อไหร่ก็อคติ ก็คอรัปชั่นก็อะไรกันยุ่งไปหมด ฉะนั้นเอาให้มันจริงเข้าไว้ ให้มันเหนือความหลอกลวงของความเป็นบวกของความเป็นลบ มีจิตเข้มแข็งอยู่ในความถูกต้อง มีธรรมะข้อหนึ่งซึ่งไม่ค่อยจะมีคนเอามาพูด เก็บเงียบอยู่ในพระไตรปิฏก ก็คือคำว่า อตัมมยตา อตัมมยตา เดี๋ยวนี้อาตมากำลังพูดอยู่ทุกเดือนทางวิทยุให้รู้จัก มี อตัมมยตา ก็เป็นพระอรหันต์ แต่ทว่าลดลงมาสำหรับพวกเราก็อยู่ในความถูกต้อง อยู่ในความถูกต้อง แข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้อง มีจิตใจเหมือนกับเพชร แข็งโป๊ก ไม่มีอะไรตัดได้ คือว่าไม่มีอะไรมาปรุงจิตใจให้หันเหไปจากความถูกต้องได้ คงที่อยู่ในความถูกต้องเสมอไป อธิบายยากคำนี้ เมื่ออธิบายให้พวกฝรั่งฟัง ต้องอธิบายด้วยอุปมาว่า อตัมมยตา คืออะไร สมมุติว่าหญิงสาวคนหนึ่งมีธรรมะ อตัมมยตา หญิงสาวสวยคนนั้นมี อตัมมยตา ต่อให้ชายชู้ที่แสนฉลาดสักฝูงหนึ่งมาเกี้ยวเขาก็ไม่สำเร็จ ไม่มีทางเปลี่ยนจิตใจของหญิงสาวผู้มี อตัมมยตา คนนั้นได้ หรือว่าชายหนุ่มคนหนึ่งมันมี อตัมมยตา ให้นางงามจักรวาลมาสักฝูง นางฟ้ามาสักฝูงก็ชนะหัวใจของเขาไม่ได้ นี่คือความหมายแห่ง อตัมมยตา มันคงที่อยู่ในความถูกต้อง นั่นแหละจำเป็นที่สุดสำหรับความเป็นครู จะไม่ลำเอียง จะไม่ตกไปฝ่ายบวกลบ ฝ่ายบวกก็เป็นความรัก ความอะไรที่จะเอา ฝ่ายลบก็การคิดจะฆ่า จะทำลาย นอกนั้นก็เป็นความสงสัยลังเลอยู่ว่าไม่รู้จะเป็นบวกหรือเป็นลบดีมันก็ใช้ไม่ได้ ฉะนั้นโลภะก็ไม่ใช้ได้ โทสะก็ใช้ไม่ได้ โมหะก็ใช้ไม่ได้ เอาออกไปเสียจากจิตใจให้หมดสิ้น มันจะมีความแข็งโป๊กอยู่ในความถูกต้องเรียกว่า อตัมมยตา อะไรๆ จะมาดึงไปทางไหนก็ไม่ได้ คงที่อยู่แต่ในความถูกต้องเท่านั้น ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายรู้จักแล้วก็ใช้เป็นเครื่องมือที่จะขจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคของความเป็นครู นี่อาตมาเรียกว่า บุญกุศลของความเป็นครู คือเป็นปูชนียบุคคลไปพลาง ทำหน้าที่ครูไปพลาง เป็นการบำเพ็ญกุศลให้ธรรมทานสูงสุดไปพลาง เป็นครูไปพลาง เป็นการศึกษาของตัวเองในทางจิตทางวิญญาณให้สูงไปพลาง แล้วก็เป็นครูไปพลาง ปฏิบัติธรรมะข่มขี่กิเลสไปพลาง เป็นครูไปพลาง ช่วยกันปราบข้าศึกในโลกของโลกไปพลาง เป็นครูไปพลาง เล่นกีฬาในชีวิตอย่างสนุกอย่างสนานไม่มีความทุกข์ไปพลาง เป็นครูไปพลาง ทำงานสนุกมีความสุขตลอดเวลาที่ทำงาน นี่เป็นบุญกุศลมหาศาล เป็นอานิสงส์ที่ได้จากการเป็นครู ขอให้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้รับประโยชน์และอานิสงส์อันนี้ แล้วมันก็จะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตัวเอง ทั้งแก่ผู้อื่น และทั้งแก่ที่มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างที่จะแยกจากกันไม่ได้
และขอสรุปความว่า ครู ไม่ใช่ลูกจ้าง ครูเป็นผู้สนองงานของพระพุทธเจ้าคือสร้างโลกให้มีสันติภาพ เป็นผู้เปิดประตูในทางวิญญาณ เป็นมัคคุเทศก์ในทางวิญญาณ มีพระคุณอยู่เหนือเศียรเกล้าของคนทุกคนในโลก อยู่ด้วยความพอใจ มีชีวิตอยู่ด้วยความสดชื่น แจ่มใส ร่าเริง เคารพตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้เป็นสวรรค์ เกลียดน้ำหน้าตัวเองเป็นสัตว์นรก นั้นขออย่าได้มีการทำอะไรที่เป็นการเกลียดน้ำหน้าตัวเอง ขอให้เป็นการพอใจตัวเอง พอใจตัวเอง ถูกต้องพอใจ ถูกต้องพอใจอยู่ทุกอิริยาบถ ทุกวินาที นี่คือความเป็นครูอันถูกต้อง ขอท่านทั้งหลายได้เสียสละทุกอย่าง ทุกอย่างเพื่อความเป็นครูอันถูกต้อง และอย่าได้เห็นว่าเป็นอาชีพอันต่ำต้อย ละไปหาอาชีพสนุกสนาน เพลิดเพลินอะไรมันสูญเสียความประเสริฐสูงสุด ไม่ใช่ลูกจ้าง แต่เป็นปูชนียบุคคล ขอได้โปรดจดจำคำเหล่านี้เอาไปคิดนึกดูเอง ไม่ต้องเชื่ออาตมาพูด ไม่ต้องเชื่อสักนิดเดียว แต่เอาไปคิดเถิด แล้วจะมีความเชื่อตัวเอง ความเชื่อตัวเองเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ ท่านไม่ต้องการให้เชื่อพระพุทธเจ้าเองด้วยซ้ำไป แต่ให้เชื่อสิ่งที่มันเห็นอยู่จริงๆ มองเห็นอยู่จริงๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ ไปเชื่อที่นั่นแหละ นั่นแหละเสรีภาพ ขอให้มีเสรีภาพในการที่จะมอง จะดู จะวินิจฉัย พบความถูกต้องความจริงแล้ว ถือเอาเป็นหลักปฏิบัติ ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้มีความเจริญงอกงามในหน้าที่การงานของความเป็นครู เป็นสุขอยู่ในหน้าที่การงานนั้น ทุกการงาน ทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้ว อยู่ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ มาสวนโมกข์ขอให้จิตใจเกลี้ยงจากบาป จากอกุศล จากความไม่รู้ จากปัญหาทั้งปวง ตรงไปหน่อยนะเพราะว่าอาตมาก็เป็นครูเหมือนกัน อาจจะพูดอะไรตรงๆ ไปหน่อย พูดกับครูต่อครู