แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นนักเรียนการเมืองตามที่เรียกกันทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีเป็นข้อแรกในการมาที่นี่ของท่านทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ มันมีเหตุผลที่จะยินดีโดยเหตุที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าการเมืองนั้นมันก็เนื่องกันอยู่กับสิ่งที่เรียกกันว่าศาสนา ผู้ที่พูดว่าศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้นมันหลับตาพูด คือ มันไม่รู้ว่าเรื่องศาสนานั้นคืออะไร หรือว่าการเมืองคืออะไร ที่จริงมันเป็นสิ่งที่เนื่องกัน ในความหมายหนึ่งก็จะเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้ ฉะนั้นอาตมาจึงมีความยินดีที่ได้พบปะกับผู้ที่มีหน้าที่ธุระเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าการเมือง
ศาสนาก็มีความมุ่งหมายเป็นสันติภาพอย่างยิ่งของมนุษย์ การเมืองก็เป็นเรื่องที่มีความมุ่งหมายสันติภาพของมนุษย์ และยังเหมือนกันตรงที่ว่าไม่ต้องใช้อาชญา คือมุ่งหมายจะไม่ใช้อาชญา ถ้ามุ่งหมายจะใช้อาชญาก็เป็นการเมืองบ้า หรือถ้าไม่มุ่งหมายสันติภาพของโลกก็เป็นการเมืองบ้า ศาสนาก็เหมือนกันแหละ มันก็มุ่งหมายสันติภาพของมนุษย์ ทั้งการเมืองและทางศาสนาก็มุ่งหมายสันติภาพของมนุษย์ แล้วจะว่าไม่เกี่ยวข้องกันอย่างไรเล่า
มุ่งหมายอย่างเดียวกันแท้ ก็พยายามเพื่อผลอย่างเดียวกันแท้และยังเป็นประโยชน์แก่กันและกัน
อย่างน้อยสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นก็ช่วยเหลือในด้านจิตใจให้มีความเหมาะสมที่คนเราจะดำเนินหน้าที่ทางการเมือง ซึ่งมีความมุ่งหมายสำคัญว่าต้องไม่ใช้ศาสตรา ไม่ใช้อาชญาหรืออาวุธ การใช้อาวุธไม่ใช่ความมุ่งหมายการเมือง เว้นแต่จำเป็นหรือการเมืองที่ไม่บริสุทธิ์ มันก็ต้องใช้อาวุธ ต้องใช้อาชญา ถ้าเป็นการเมืองบริสุทธิ์ในความมุ่งหมายเดิม มันก็ใช้วิธีการที่ไม่ต้องนองเลือด เดี๋ยวนี้เราเห็นว่าเหมือนกันในความมุ่งหมายที่จะสร้างสันติภาพของมนุษย์ นั่นแหละการเมืองไม่ใช่เรื่องสกปรก
การเมืองเป็นเรื่องสกปรก มันสกปรกกันทีหลังเมื่อการเมืองมันไม่มีอุดมคติทางการเมือง กลายเป็นเครื่องมือสำหรับคดโกงอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทั่วไปก็เลยได้สมญานามใหม่ว่า การเมืองมันเรื่องสกปรก ที่กำลังมีในโลกและกำลังมีแม้ในประเทศของเรา การเมืองถึงเป็นเรื่องสกปรก จึงขอให้เพ่งเล็งไปยังการเมืองบริสุทธิ์ ต้องไม่มีเรื่องสกปรก ต้องมีความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ มียุติธรรมและมีความหมายเดียวกันกับคำว่าศีลธรรม
ศีลธรรม แปลว่า เครื่องทำความปกติ ศีลแปลว่าปกติ ธรรม คำนี้แปลว่าเหตุก็ได้ การกระทำก็ได้
ศีลธรรมแปลว่าสิ่งที่ทำความปกติ การเมืองที่บริสุทธิ์ก็เป็นศีลธรรม โดยเหตุที่คำว่าศีลธรรมคำนี้มีความหมายกว้างหมายถึงอะไรก็ได้ถ้าทำไปเพื่อความปกติสุข หรือปกติสงบของมนุษย์ก็จัดเป็นศีลธรรมหมด ถ้าการเมืองเป็นไปอย่างถูกต้องมันก็เป็นไปด้วยความปกติ ไม่ใช่เพื่อความวุ่นวาย เดี๋ยวนี้การเมืองคดโกงมันก็สร้างความวุ่นวายตลอดกาลกลายเป็นเรื่องน่าเกลียด น่ารังเกียจ เป็นเรื่องสกปรกไปเสีย
ฉะนั้น การที่เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเมืองกันบ้าง มันเป็นสิ่งที่มีเหตุผล ขอให้ระลึกไว้ว่าการเมืองเป็นเรื่องของศีลธรรม ถ้าพูดให้มากกว่านั้นก็เป็นเรื่องการกุศล เข้าใจว่าหลายคนไม่เห็นด้วย ที่อาตมาจะพูดว่าการเมืองเป็นเรื่องการกุศล เพราะเคยมองกันแต่ในเรื่องสกปรก เรื่องต่อสู้ เรื่องเข่นฆ่า เรื่องอาฆาตมาดร้าย มีคำว่าแก้แค้น มีคำว่าจะเอาให้ตาย ให้พังทลายอย่างนี้ ระหว่างพรรคการเมืองแล้วมันมีแต่จะเอากันให้พังทลายทั้งนั้น ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ศีลธรรม ไม่ใช่การกุศล แต่ถ้าทุกคนมุ่งหมายความสงบสุขของเพื่อนมนุษย์ แล้วกระทำกันโดยสติปัญญา ความรัก ความเมตตา สามัคคี เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ผ่อนสั้น ผ่อนยาว จนเกิดความปกติสุขขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องใช้การนองเลือด นั่นน่ะคือการเมืองที่บริสุทธิ์เป็นศีลธรรมและเรียกได้ว่าเป็นการกุศล
นับตั้งแต่ว่ามนุษย์แรกมีขึ้นมาในโลก ละสภาพจากคนป่ามาเป็นคนมีวิชาความรู้ เขาก็รู้จักจัด รู้จักทำ ให้เกิดความสงบสุขในลักษณะนี้ เมื่อคนยิ่งมากเข้ามันก็ยิ่งมีปัญหาเพราะความมากคนนั่นเอง เช่นว่าจะเกิดเบียดเบียน เกิดขโมย เกิดอะไร เพราะความมากของคน เขาจึงมีวิธีการอันหนึ่งทำขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาอันเกิดจากความมากของคน เชื่อได้ว่ามันมีมาแล้วตั้งแต่โบราณกาลนานไกลก่อนพุทธกาล เขาก็เรียกชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่เรียกชื่ออย่างวันนี้ การเมือง หรือ politic หรืออะไรทำนองนั้น แต่ขอให้รู้เถอะว่าบรรพบุรุษครั้งกระโน้นได้พบปัญหานี้แล้ว คิดแก้ปัญหาจนเกิดเป็นวิชาและการกระทำขึ้นมาระบบหนึ่งเพื่อจะแก้ปัญหาอันเกิดมาจากการที่คนมันมากเข้า มากเข้า มากเข้า และจะต้องอยู่ร่วมกันเป็นระหว่างพวก เป็นระหว่าง กระทั่งระหว่างประเทศ
เดี๋ยวนี้เราก็เห็นชัดว่าไอ้การเมืองเป็นเรื่องระหว่างประเทศเสียมากกว่า ภายในประเทศก็เป็นเรื่องระหว่างพวกระหว่างพรรคหรือระหว่างกลุ่มคนนั่นเอง อาตมาจึงรู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องศีลธรรมเป็นเรื่องที่ถ้าทำไปโดยบริสุทธิ์แล้วมันก็เป็นการกุศลชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงยินดีในการมาของท่านที่เรียกว่านักศึกษาการเมือง โดยถือว่าภิกษุสงฆ์ทั้งหมดก็มีหน้าที่อย่างเดียวกับนักการเมืองคือสร้างสันติสุขสันติภาพให้แก่สังคมโดยไม่ต้องใช้อาชญา ก็เลยพูดกันเสียว่ายอดนักการเมืองนั้นคือพระพุทธเจ้า
บางคนคงจะคิดในใจว่าบ้าแล้ว บ้าแล้ว ว่ายอดนักการเมืองนั้นคือพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายลองสอดส่องพิสูจน์ดูเถอะว่าใครบ้าง ที่หวังสันติสุข สันติภาพของมนุษย์โดยไม่ต้องใช้อาชญา แล้วก็ทำมาอย่างยิ่ง อย่างสูงสุด มีใครบ้างที่ทำได้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า
"การเกิดขึ้นของตถาคตในโลกนี้เพื่อความสุขแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ศาสนา ธรรมวินัยของตถาคตมีอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์สุขทั้งแก แก่มหาชน ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ และขอให้พวกเธอทั้งหลายช่วยกันรักษาธรรมวินัยของศาสนานี้ไว้ ให้ยังคงอยู่เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์"
จงนึกดูถึงข้อที่ตรัสว่า ฉันเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ศาสนาของฉันมีเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ พวกเธอจงช่วยพิทักษ์แก่ธรรมวินัยของศาสนานี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ถ้าท่านมองถึงคำว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ ในความหมายตรงๆตามตัวหนังสือแล้วจะเห็นว่า การเมืองของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งกว่าการเมืองของไอ้ปัจจุบัน ที่หมายถึงแต่มนุษย์ ส่วนท่านกวาดหมดไปถึงเทวดาและมนุษย์มันต้องอยู่กันเป็นสุข สงบสุข แก่คนทั้งหมดทั้งที่เป็นเทวดาและมนุษย์
ทีนี้คำว่าเทวดานี่เป็นคำที่มีความหมายที่เราตีความได้ทางภาษาธรรม อีกความหมายหนึ่งว่าเทวดานั้นน่ะคืออะไร เดี๋ยวนี้ก็จะต้องพูดกันง่ายๆว่า เทวดาคือบุคคลที่ไม่รู้จักเหงื่อไม่เคยพบกันกับเหงื่อ มนุษย์คือผู้ที่ยังจะต้องยังคลุกคลีกันไปกับเหงื่อ ข้อนี้แม้ในพระคัมภีร์ก็มีกล่าวไม่ใช่ว่าเอาเอง คือพวกเทวดานั้นไม่มีเหงื่อไปดูในพระคัมภีร์เขาเขียน ถ้าเทวดาตนไหนเกิดมีเหงื่อจะต้องตายทันทีคือจุติจากความเป็นเทวดา หมดความเป็นเทวดา นี่ท่านวัดกันด้วยเหงื่อสำหรับความเป็นเทวดา
ถ้าเราพูดได้ว่าถ้ายังเกี่ยวข้องอยู่กับเหงื่อเป็นมนุษย์ คือเป็นคนธรรมดา ถ้าไม่รู้จักเหงื่อเลยก็เป็นเทวดา เดี๋ยวนี้เราก็พอมีลู่ทางที่จะมองเห็นว่าคนในโลกที่จะพอเทียบกันได้กับเทวดาไม่รู้จักเหงื่อก็คือพวกคนมั่งมี พวกนายทุน นายทุน เค้าสะสมทรัพย์ก็เพื่อประโยชน์ที่จะไม่ต้องมีเหงื่อ ก็ความหมายเดียวล่ะกันกับพวกนายทุน และพวกที่รู้จักเหงื่อคือพวกกรรมกร ซึ่งในโลกเราเวลานี้มันก็แบ่งคนเป็น ๒ พวกอยู่แล้วคือคนมั่งมีกับคนยากจน เป็นนายทุนกับกรรมกร
ถ้าสงครามยืดเยื้อไม่รู้จักหมดสิ้นเวลานี้ในปัจจุบันในโลกก็คือระหว่างคนที่ถือลัทธินายทุน กับคนที่ถือลัทธิกรรมกรที่จะต้องต่อสู้กันไป ปัญหาที่เกี่ยวกับกรรมกรที่ออกมาเป็นปัญหาคอมมิวนิสต์จะเป็นที่ไหนก็ตามมันก็เป็นเรื่องของผู้ที่ยังรู้จักเหงื่อ จึงเห็นว่าไอ้เรื่องการเมืองก็ยังมีลักษณะเดียวเดียวกันมาจนกระทั่งบัดนี้
มีเรื่องที่ต้องดูลึกกันไปอีก คือทั้งเทวดาและมนุษย์ล้วนแต่ยังมีปัญหา ไม่ใช่ว่าเป็นเทวดาแล้วจะหมดปัญหา เป็นเทวดาก็ยังมีกิเลสเท่ากับมนุษย์น่ะ ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงเท่ากับมนุษย์น่ะ ไม่ใช่ว่ารวยแล้วสบายแล้วเป็นเทวดาแล้วมันจะหมดกิเลส นี้ไม่มี มันไม่มีหลักเกณฑ์แบบนั้น มันก็ยังมีปัญหาโลภ โกรธ หลง แล้วก็ยังมีปัญหาที่ตรงกันอย่างยิ่งคือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ประโยชน์ของตัว เทวดาก็เหมือนกัน มนุษย์ก็เหมือนกัน
เช่นเดียวกับสมัยนี้นายทุนก็ยังเห็นแก่ตัว กรรมกรก็ยังเห็นแก่ตัว ฉะนั้นกิเลสมันเหมือนกัน มันก็รบกัน รบกันได้ไม่มีที่สิ้นสุดน่ะ ต่างฝ่ายต่างมีความเห็นแก่ตัว แล้วดูให้ดีเถิดมันเป็นข้าศึกร่วมกันอยู่ที่นั่น เพราะเกิดมีนายทุนที่เห็นแก่ตัว คนร่ำรวยที่เห็นแก่ตัวขึ้นมาในโลก มันจึงเกิดมีพวกที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์หรือกรรมกรผู้ยื้อแย่ง ถ้ายังมีนายทุนที่เห็นแก่ตัวกวาดประโยชน์ไว้ไปหมด กรรมกรก็ไม่เกิดลัทธิที่จะยื้อแย่งขึ้นมาได้เพราะขาดธรรมะเหมือนกันทั้งสองฝ่าย คือ ไม่เห็นแก่ผู้อื่นด้วยกันทั้งสองฝ่าย และก็ได้เกิดเป็นปฏิปักษ์เป็นคู่ต่อสู้กันขึ้นมา
ถ้าเป็นอย่างโบราณโดยเฉพาะในสมัยพุทธกาล ปัญหามันไม่มีอย่างนี้เพราะว่าไอ้พวกที่เรียกว่าเศรษฐี เศรษฐีนั้น มันไม่ใช่พวกนายทุนที่เห็นแก่ตัว คำว่าเศรษฐี เศรษฐี ในพุทธกาลนั้น ไม่ใช่คนร่ำรวยที่เห็นแก่ตัว เพราะคำว่าเศรษฐี เศรษฐีนี้ มีอุดมคติ ว่าประเสริฐที่สุด เศรษฐแปลว่าประเสริฐ
เศรษฐีแปลว่ามีความประเสริฐ คือ เศรษฐีนั้นจะเลี้ยงดูอุ้มชูคนที่ไม่มีที่พึ่งเป็นพรรคเป็นพวก บริวารและก็ช่วยกันทำงานอย่างยิ่ง ส่วนมากก็ทำนานี้ เมื่อได้ผลงานมาแล้วก็ตั้งเป็นกองทุนสำหรับเลี้ยงโรงทาน เศรษฐีต้องมีโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทานไม่ใช่เศรษฐี ถ้ายิ่งเป็นเศรษฐีใหญ่ ก็ยิ่งต้องมีโรงทานมาก เศรษฐีจึงเป็นผู้ที่สะสมประโยชน์ไว้เพื่อช่วยผู้อื่นด้วยโรงทานหรือสร้างวัด ไปดูเถอะเรื่องราว จะมีวัดที่มีเศรษฐีสร้างเป็นส่วนมาก
ทีนี้คนยากจนในครั้งพุทธกาลนั้นมันก็เป็นคนยอมรับสภาพของคนยากจนโดยถือว่ากรรม บุญกรรมเป็นผู้จัดให้ ให้เราต้องเป็นอย่างนี้ ให้เราต้องมีเหงื่อ ให้เราอยู่กับเหงื่อ นี้เขาก็ยอมรับสภาพนั้นเสียแล้วเขาก็ทำงานตามหน้าที่ของคนยากจนไม่มีโอกาสที่จะไปยื้อแย่งกับคนมั่งมี เพราะมันมีแต่เศรษฐีที่คอยช่วยคนยากจน
ขอให้รู้จักความแตกต่างไอ้ระหว่างนายทุนกับกรรมกร และอีกคู่หนึ่งก็คือเศรษฐีกับคนยากจนนั้นไม่เหมือนกัน ในครั้งกระโน้นไม่มีนายทุนผู้ขูดรีด ไม่มีคนมั่งมีแบบนายทุน สมัยนี้ก็ไม่มีคนมั่งมีแบบเศรษฐีที่ว่ามีเงินเท่าไรก็จะจัดตั้งโรงทาน แล้วก็เก็บเงินไว้คอยเลี้ยงโรงทาน สร้างวัด สร้างวา สร้างสาธารณประโยชน์ ขอให้เรามองเห็นปัญหาที่มันเกิดขึ้นมาในโลกนี่ เพราะมาถึงสมัยหนึ่งคนพวกหนึ่งเขารวบรวมกำลังทรัพย์ไว้ได้มาก และก็เพื่อประโยชน์แก่ตนท่าเดียว กำไรที่ได้มาก็จะสมทบทุนเรื่อยและก็มีทุนมากขึ้นสำหรับจะผูกขาดและกอบโกยได้มากขึ้น นี้เรียกว่าลัทธินายทุนไม่ใช่คำเดียวกับเศรษฐีในพระบาลี หรือในพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นข้าศึกของสันติสุขของโลกที่ลิทธิสังคมนิยมบางแขนงเขาหาว่าศาสนาเป็นยาเสพติดนั้นน่ะเขามันหลับตาพูด เขาก็ไม่รู้พระพุทธศาสนา ถ้าเขารู้ เขาจะเห็นว่าพุทธศาสนาไม่รวมกับคำว่าศาสนาเป็นยาเสพติด พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติดไม่ใช่เป็นตัวยาเสพติดเสียเอง ศาสนาอื่นใดที่ทำให้คนงมงายนั้นน่ะเป็น เป็นยาเสพติด คอมมิวนิสต์ที่บัญญัติว่าศาสนาเป็นยาเสพติดนั้นมันไม่เคยเรียนพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งมุ่งหมายจะสร้างสันติภาพด้วยกัน คาร์ล มาร์กซ์ ผู้กล่าวประโยคนี้ไม่รู้พุทธศาสนา
ในระยะสามร้อยปีตอนนั้นพุทธศาสนายังไม่เข้าไปในยุโรป ถ้าเข้าไปก็เป็นพุทธศาสนาบ้าบ้า บอบอ กระปริบ กระปรอยไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เขาก็ไม่รู้ว่าพุทธศาสนาที่แท้จริงที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว เลยเหมาเอาว่าทุกศาสนาเป็นยาเสพติด พูดอย่างนี้ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งโดยเฉพาะแก่พระพุทธศาสนาซึ่งไม่ใช่ยาเสพติด เราจะต้องมองเห็นความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งต่างๆเหล่านี้เสียให้ดี จึงจะมีหนทางที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้โดยสันติวิธี
อาตมากำลังบอกให้ท่านฟังว่าพระพุทธเจ้าเป็นยอดนักการเมือง พูดอย่างนี้ก็มีแต่จะให้ถูกเขาด่าแต่ก็ไม่กลัวหรอก พยายามชี้ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะท่านมุ่งหมายเสียสละอุทิศทุกอย่างทุกประการเพื่อโลกนี้มีสันติสุข มีสันติภาพ แต่ถึงพวกคอมมิวนิสต์เขาก็ประกาศก้องเหมือนกันว่า เพื่อสันติภาพของมนุษย์ ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็เพื่อสันติภาพของมนุษย์ ข้อนี้เราเถียงกันไม่ได้เพราะมันไม่มีอะไรจะมาเป็นเครื่องตัดสิน และก็มีสิทธิที่จะโฆษณา และเขาก็พิสูจน์การกระทำของเขาว่าเพื่อสันติภาพ สันติสุขแก่โลกด้วยกัน แต่แล้วมันก็ต่างกันตรงที่ว่าวิธีที่จะจัดให้มีสันติภาพมันต่างกันลิบ จะจัดโลกให้มีสันติภาพอย่างไร วิธีการของคอมมิวนิสต์มันก็ต่างกันลิบกับวิธีการของพุทธบริษัท
ทีนี้ที่เราจะใช้คำว่าเสรีประชาธิปไตยนั้นยังต้องดูกัน ว่ามันยังเป็นนายทุนอยู่แล้วมันก็ยังไม่อาจจะกำจัดแต่สิ่งเลวร้ายในหมู่มนุษย์ได้ ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยยังเป็นฝ่ายนายทุนมันก็ไม่สามารถจะปัดเป่าสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ได้ ถ้าว่าเสรีประชาธิปไตยเต็มไปด้วยพวกที่เรียกว่าเศรษฐี เศรษฐี ทำอะไรทำอะไรเพื่อโรงทาน เพื่อมนุษย์ผู้อื่นเพื่อโลก มันจะแก้ปัญหาได้
เราเห็นได้ชัดว่ามันต่างกันอยู่อย่างตรงกันข้าม ในข้อที่พวกคอมมิวนิสต์เขาจะจัดโลกด้วยกำลัง ด้วยความอาฆาตของเขา ใช้กำลังปราบปรามบีบคั้นให้เกิดสันติภาพ ส่วนพุทธบริษัทต้องการจะจัดโลกให้มีสันติภาพด้วยไอ้ความรักและเมตตา การใช้ความรักและเมตตาเป็นเครื่องมือจัดสันติภาพ
ในเมื่อพวกหนึ่งเขาใช้ความโกรธแค้นอาฆาตแก้แค้นของเขาเป็นหลักใหญ่ เพื่อจะยื้อแย่งไอ้ความไม่เสมอภาคในทางปัจจัยแห่งความสุข มันก็คนละเรื่อง อันนั้นก็เป็นเรื่องเป็นไปเพื่อสงคราม อันนี้ก็เป็นไปเพื่อสันติภาพ แต่ผู้ที่ทำสงครามเขาก็พูดว่าเขาทำเพื่อสันติภาพ สงครามนี้ทำเพื่อสันติภาพ เราจึงยังพูดกันไม่รู้เรื่องพูดกันไม่เข้าใจ ในองค์กรโลกจึงทำอะไรไม่สำเร็จเพราะไม่สามารถจะบังคับคดีอะไรได้ องค์กรโลกก็ยังเป็นหมันอยู่ ไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้ในระหว่างคนสองฝ่ายซึ่งจะจัดโลกให้มีสันติภาพด้วยกันแต่มันต่างกันลิบ โดยที่พวกหนึ่งมันจัดด้วยความรักและเมตตาตามแบบของเศรษฐี อีกพวกหนึ่งมันจัดด้วยอำนาจของความเห็นแก่ตัว นายทุนก็เห็นแก่ตัว คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัว รวมกันแล้วมันก็ไม่อาจจัดให้โลกมีสันติภาพได้
นี่ที่พูดทั้งนี้ก็ขอ ก็เพื่อจะให้เข้าใจว่าต้นเหตุของปัญหานั้นมันมาจากความเห็นแก่ตัวของคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ถ้าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่มีความเห็นแก่ตัว ปัญหานี้เกิดไม่ได้ โลกนี้ก็มีสันติภาพ การจัดให้โลกมีสันติภาพมันก็ต้องจัดด้วยธรรมะ ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความไม่เห็นแก่ตัว คือมนุษย์จะต้องมีจิตใจสูงพอที่จะไม่เห็นแก่ตัว
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถ้าคนยอมรับสภาพว่ามีหน้าที่อย่างไรแล้วก็ทำหน้าที่อย่างนั้น ไม่เท่าไหร่ก็พ้นจากความยากจน จะทำอย่างไรจะให้คนที่ยากจนยอมรับสภาพยากจนว่า มันเป็นสิ่งที่ยุติธรรมแล้วที่เราจะต้องต่อสู้ไปอย่างนั้น ถ้าเขาเชื่อเรื่องกรรมในศาสนาหรือเชื่อเรื่องพระเจ้าว่าพระเจ้าจำกัดมาอย่างนั้น เขาก็ยอมรับสภาพเช่นนั้น แต่เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกไม่ทำให้คนยอมรับสภาพอย่างนั้น มัวแต่มองในแง่ที่ว่าไม่ยุติธรรมเพราะว่ามีการเอาเปรียบอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เลยก่อให้เกิดคู่ปรปักษ์อันนี้ขึ้นมาแล้วก่อให้เกิดต่อสู้กัน
ถ้าว่าเราสามารถทำให้คนเข้าใจข้อเท็จจริงอันลึกซึ้งข้อหนึ่งว่าธรรมะคือความถูกต้อง ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ให้ทุกคนบูชาหน้าที่เห็นเป็นสิ่งประเสริฐและทำหน้าที่อย่างยิ่ง ในฐานะเป็นธรรมะและเป็นสิ่งประเสริฐเป็นเกียรติยศของมนุษย์ ปัญหาจะไม่เกิด ไอ้สิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติข้อนี้คือทำหน้าที่ มนุษย์ต้องทำหน้าที่เพื่อจะเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ สัตว์เดรัจฉานก็ทำหน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ แม้กระทั่งต้นไม้ก็ต้องทำหน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ ลองไม่ทำหน้าที่แม้ต้นไม้ก็ตาย เพราะมันต้องทำหน้าที่ของต้นไม้ หาน้ำ หาอาหาร หาแสงแดดทำอะไรจนชีวิตรอดอยู่ได้
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถ้ายังไม่ทราบก็ขอได้โปรดทราบ ไม่ใช่อาตมาว่าเอาเอง เป็นภาษาบาลีเช่นนั้นเอง คำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ หรือจะเอาปทานุกรมอินเดียธรรมดามาเปิดดูคำว่าธรรมะก็แปลว่าหน้าที่ มันมาแต่เดิม ตั้งแต่มนุษย์เริ่มรู้จักว่าคนเรามีหน้าที่จะต้องทำไม่ทำไม่ได้ และคำนั้นก็คือคำว่าธรรมะ ทุกคนต้องมีธรรมะที่เหมาะสมแก่ตนเป็นพวกๆไป เป็นชาวนา เป็นชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นอะไรก็ตาม ก็มีหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ มันก็ยินดีสิว่าเพราะธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐ จึงยินดีที่จะทำหน้าที่อันนั้น
แล้วก็ยอมรับสภาพในข้อที่ว่าเราจะเหมือนกันไม่ได้ คือเราจะมีความสามารถเหมือนกันไม่ได้ เราก็ต้องมีลดหลั่นกันไปตามธรรมชาติที่จัดมานั้น เราเป็นชาวนาเหมาะเป็นชาวนา เหมาะจะเป็นชาวสวน เหมาะจะเป็นพ่อค้า ประชาชน เป็นข้าราชการ ก็ยอมรับสภาพแล้วก็ทำหน้าที่ ทีนี้เขาจะต้องบูชาหน้าที่ว่าเป็นสิ่งสูงสุด คือยินดีทำ ยินดีทำ อาชีพนี่เรียกว่าหน้าที่แล้วต้องยินดีทำ เพราะว่าเป็นธรรมะเป็นสิ่งประเสริฐของคนคนนั้น
เดี๋ยวนี้คนในปัจจุบันนี้ไม่อยากทำ ไม่อยากทำงานเพราะมันเหนื่อย เขาอยากจะทำอย่างไม่เหนื่อย เหมือนคนอื่น เขาก็ไม่ทำหน้าที่ ไม่ยินดีทำหน้าที่ ก็ฝืน ฝืนใจทำ เหมือนกับตกนรกไปพลางทำงานไปพลาง เลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปพลาง ความคิดมันก็คิดไปทางที่จะทิ้งหน้าที่ไปขโมยดีกว่า มาถีบสามล้ออยู่ทำไม มาแจวเรือจ้างอยู่ทำไม ไปขโมยดีกว่า มันจึงเกิดไอ้อันธพาลประเภทนั้นขึ้นมา แต่ถ้าเขายอมรับสภาพว่า เรามันมีความสามารถอย่างนี้ แล้วก็ถีบสามล้อเรื่อยไป แล้วเราก็บูชางานของเราคือการถีบสามล้อว่าเป็นการปฏิบัติธรรมะหรือเป็นการบำเพ็ญกุศลอยู่ในตัว เขาสนุกในการทำหน้าที่ถีบสามล้อ แล้วเขาก็เป็นสุขเสียแล้วเพราะเขารู้สึกอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะไปขโมยดีกว่า ก็ถีบสามล้อด้วยความเป็นสนุกและเป็นเรื่อยๆไป ไม่เท่าไรเงินก็เหลือเพราะมันไม่ใช่ว่าต้องไปหาความสุขอะไรที่ไหนอีก
ผู้ที่มีธรรมจะมีความสุขอยู่ในการทำงานเมื่อทำงาน เป็นชาวนาก็ได้ เป็นข้าราชการก็ได้ และทำงานทำสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานมันอิ่มด้วยความสุขเสียแล้ว ไม่ต้องปิดออฟฟิศไปอาบอบนวดไปสถานเริงรมณ์ ซึ่งทำให้เงินเดือนไม่พอใช้เป็นปัญหาไม่รู้จักจบสิ้น และคนถีบสามล้อเขาไม่ได้ไปหาความสุขชนิดนั้น เขาเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานเพราะรู้สึกอยู่เต็มอกว่านี่คือธรรมะ นี่คือหน้าที่ นี่คือสิ่งประเสริฐของเรา เงินมันก็ค่อยเหลือ ก็ค่อยเหลือ พ้นสภาพสามล้อไปมีรถตุ๊กตุ๊ก ไปมีรถแท็กซี่ ไปมีรถยนต์คันใหญ่ ไปมีบ้าน ไปมีเรือน พ้นสภาพยากจนเพราะประพฤติธรรมะ
นี่ขอให้มองดูกันตรงนี้ว่าจะแก้ปัญหายากจนได้นั่นคือธรรมะ เดี๋ยวนี้เขาพูดกันผิดๆว่าต้องมีกินมีใช้เสียก่อนจึงจะไปปฏิบัติธรรมะ แต่เนื้อแท้ของมันที่มันยากจนเพราะมันขาดธรรมะ ถ้ามันไม่ขาดธรรมะมันจะไม่ยากจน มันก็มีธรรมะก่อนที่จะพ้นจากความยากจนแล้วมันก็แก้ความยากจนนั้นได้ เดี๋ยวนี้มีคนพูดมากเหลือเกินนะว่าต้องมีกินมีใช้อิ่มปากอิ่มท้องเสียก่อนจึงจะไปสนใจธรรมะ นี่มันก็พูดโดยไม่รู้สึกตัวคือหลับตาพูด เพราะเขาขาดธรรมะเขาจึงยากจน ขาดธรรมะตรงที่เขาไม่ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่นั่นเอง
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ขอได้โปรดช่วยทำความเข้าใจกัน ต่อ ต่อ ต่อไป ในหมู่คนที่ยังไม่รู้ว่าธรรมะคือหน้าที่ เมื่อชาวนาไถนาอยู่ในนานั่นน่ะคือเขาปฏิบัติธรรมะไม่ต้องมาที่วัด เมื่อชาวสวนขุดดินอยู่ในสวนนั่นคือปฏิบัติธรรมะ เมื่อแจวเรือจ้างอยู่ในคลอง ถีบสามล้ออยู่กลางถนน ล้างท่อสกปรกอยู่ข้างถนน นั่นน่ะคือการปฏิบัติธรรมะของคนในสภาพนั้นในชั้นนั้น นี้เขาปฏิบัติอย่างเป็นที่พอใจว่ามันเป็นธรรมะเป็นของดีของประเสริฐ ถ้าเป็นสุขอยู่ในการกระทำเงินมันก็ค่อยๆเหลือ พ้นสภาพของกรรมกรขนาดนั้นก็สูงขึ้นสูงขึ้นไป จนเป็นคนมีอันจะกินกับเขาได้เหมือนกัน
ตัวอย่างมันมีให้เห็นได้แล้วว่าคนที่เค้ามาจากเมืองจีนมือเปล่าเขาก็มาเป็นเศรษฐีมาเป็นเจ้าสัวได้ ที่ไม่ต้องคดโกงก็มี ช่วยบอกกล่าวกันว่าธรรมะนั้นน่ะจะแก้ความยากจน ความมีศีลธรรมนั้นน่ะจะแก้ความยากจน ปัญหาทุกอย่างเกิดมาจากการที่คนไม่มีศีลธรรม เมื่อนักเศรษฐกิจไม่มีศีลธรรม เศรษฐกิจก็สร้างปัญหาเลวร้ายขึ้นมาในประเทศชาติ เมื่อนักการเมืองไม่มีศีลธรรมก็สร้างปัญหาเลวร้ายขึ้นมาในประเทศชาติ เมื่อนักปกครองโดยเฉพาะข้าราชการเป็นต้นที่ไม่มีศีลธรรมมันก็สร้างปัญหาขึ้นมาในประเทศชาติ ไม่ว่าปัญหาอะไรหมด กี่ปัญหากี่ร้อยปัญหามาจากความไม่มีศีลธรรมของผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่นั้นๆ
ทีนี้พอเขามีศีลธรรมเท่านั้น ปัญหามันก็หมด ไม่มีนักเศรษฐกิจโกงมันก็ไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจที่เป็นการโกงทางเศรษฐกิจ ขูดรีดกันทางเศรษฐกิจ ซึ่งว่าจะเอาเศรษฐกิจมาแก้เศรษฐกิจนี้ก็เป็นเรื่องหลับตาพูด เอาน้ำโคลนมาล้างโคลนมันไม่ได้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจมันเกิดมาจากการไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมเข้ามาปัญหาเศรษฐกิจก็หายไป ปัญหาการเมือง ปัญหาการปกครองก็เช่นเดียวกัน ถ้าศีลธรรมเข้ามาสิ่งเหล่านั้นก็จะไม่เกิดเป็นปัญหา
ฉะนั้นจึงว่าปัญหาทั้งหลายแก้ได้ด้วยความมีศีลธรรม หรือมีธรรมะ แม้แต่ปัญหาประจำโลกระหว่างนายทุนกับกรรมกรนี้ ถ้าธรรมะเข้ามามันก็หายไปหมดแหละ เพราะนายทุนกลายเป็นเศรษฐีใจบุญ กรรมกรก็เป็นผู้ยอมรับสภาพว่าไอ้หน้าที่อาชีพมันคือธรรมะ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ แล้วมันก็จะกระเตื้องขึ้นมา กระเตื้องขึ้นมา อย่างที่ว่ามันก็พ้นสภาพยากจนไปเป็นมีอันจะกินเป็นคนที่ไม่มีปัญหา
เดี๋ยวนี้กรรมกรยากจนอย่างไร เขาก็ไม่ยอมรับสภาพอย่างนั้น เขามุ่งหมายแต่จะยื้อแย่งเพราะว่าเขาต้องการจะเป็นอยู่ให้เหมือนกับนายทุน มนุษย์ต้องการเป็นอยู่ให้เหมือนกับเทวดา ในหมู่ชนกรรมกรเขาก็อยากมีตู้เย็น อยากจะมีทีวี อยากจะมีอะไรเหมือนกับที่นายทุนเขามี แล้วมันก็มีไม่ได้ มันก็เครียดในการทำงาน จนถึงกับว่าต้องล้มล้างนายทุน ต้องฆ่านายทุนให้หมดไปจากโลก แล้วจัดระบบกันใหม่ให้กับกรรมกรไม่ต้องมีหรือมีอะไรเหมือนนายทุน มันก็ทำไม่ได้ แล้วในระหว่างที่ทำไม่ได้เขาก็เป็นทุกข์แล้วเขาก็ถือโอกาสที่จะเป็นอันธพาลได้ด้วย เมื่อไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการโดยวิธีที่ถูกต้องสุจริต เขาก็ต้องเป็นทุจริตเป็นอันธพาลเพื่อได้สิ่งเหล่านั้นซึ่งมัน มันเกินฐานะของเขา จะมีตู้เย็น จะมีทีวี จะมีอะไรอุปกรณ์สะดวกสบายเหมือนกับนายทุนไปทำไม เพราะไม่ยอมรับสภาพความเป็นอย่างนั้นไม่ค่อยๆแก้ปัญหาขึ้นมาตามลำดับนั้น
ฉะนั้น เราจึงมีอันธพาลเต็มบ้านเต็มเมืองมากขึ้นทุกที คิดดูเถอะว่าเมื่อคนเหล่านั้นไม่ยอมรับสภาพยากจนไม่แก้ปัญหาด้วยธรรมะ เขาก็ต้องเป็นขโมย เขาก็ต้องเป็นอันธพาล ต้องจี้ ต้องปล้น ต้องอะไรไปตามเรื่อง แล้วถ้ามีคนบางพวกเขามาชวนเข้าป่าว่าไปทางนั้นเรียนลัดรวยลัด ไปรวยทางโน้น ก็เลยไปกันใหญ่ มันก็เป็นปัญหาที่ซับซ้อนจนเหลือที่จะแก้ไขได้
อาตมายังยืนยันอยู่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นยอดสุดของนักการเมืองเพราะท่านมีวิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หมดคือธรรมะ ซึ่งมีความหมายว่าเราเป็นผู้ถือหลักอันยุติธรรมของธรรมชาติตามเหตุตามปัจจัยที่มีมาอย่างไร แล้วก็แก้ปัญหานั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจจนลุล่วงไปได้ด้วยดี ไอ้หลักใหญ่ๆ ของธรรมะนั้นคือไม่เห็นแก่ตัว ที่สูงสุดโดยสุดขีดจนถึงกับว่าไม่มีตัว เรื่องอนัตตา เรื่องไม่มีตัวนั้นน่ะมันจะดีเกินไปเลยเอามาพูดไม่ได้ก็ได้ แต่ว่านั่นน่ะคือหัวใจของเรื่อง
เมื่อไม่มีตัวก็ไม่ต้องเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่เอาเปรียบผู้อื่น มันก็ไม่อิจฉาอาฆาตมาดร้ายในผู้อื่น เพราะความไม่เห็นตัว
เดี๋ยวนี้ไปดูให้ดีนายทุนก็เห็นแก่ตัว กรรมกรก็เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยก็เห็นแก่ตัว อะไรก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัวอยู่ทั้งนั้น แล้วกิเลสคือความเห็นแก่ตัวมันรบกัน มันทำลายกันรบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหาของมนุษย์ก็คือความเห็นแก่ตัวและเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปตามความเห็นแก่ตัว ก็ได้เป็นคู่อาฆาตจองเวรกัน ทำลายล้างกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายจะตัดต้นเหตุอันนี้ ทำลายความเห็นแก่ตัว เป็นวิญญาณของการเมืองบริสุทธิ์ ว่าคนจำนวนมากจะอยู่กันเป็นผาสุกได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้อาชญา
ดังนั้น อาตมาจึงยืนยันว่าพระองค์เป็นยอดสุดของนักการเมือง อาวุธของท่านก็คือปัญญา สัมมาทิฏฐิ ไม่เคยใช้ศาสตราวุธที่มีคม ที่ฆ่ากันให้นองเลือด แต่ใช้ปัญญาวุธหรือสัมมาทิฏฐิ ความรู้ความเข้าใจถูกต้องแก้ปัญหา กองทัพของท่านก็คือผู้ประกอบไปด้วยผู้ใช้สัมมาทิฏฐิถือปัญญาวุธเป็นอาวุธ มันก็แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ พุทธบริษัทเราควรจะเป็นอย่างนี้ จะเป็นชาวนาชาวไร่ เป็นข้าราชการ เป็นทหาร เป็นพลเรือนอะไรก็ตาม มันเป็นพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องเป็นแบบนี้ จะต้องมีหลักการอย่างนี้ มันจึงจะแก้ปัญหาได้โดยแท้จริง
ถ้ามีจิตใจสูงคือไม่เห็นแก่ตัวมันก็มีจิตใจสูง ควรจะเรียกว่ามนุษย์ ถ้าจิตใจมันต่ำมันเห็นแก่ตัว ตามหลักธรรมะจะไม่เรียกว่ามนุษย์ เพราะคำว่ามนุษย์แปลว่ามีจิตใจสูง มน (มะ-นะ) ใจ อุษยะ (อุด-สะ-ยะ ) สูง หรือบางทีก็จะแปลคำคำนี้ว่าผู้เป็นลูกหลานของมนู เป็นเหล่ากอของมนู มนูก็มีจิตใจสูง มันก็แปลว่าเหล่ากอของผู้มีจิตใจสูงอยู่ดี เมื่อจิตใจสูงเป็นมนุษย์แล้วมันก็คิดผิดไม่ได้เห็นผิดไม่ได้ ทำผิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะพูดให้น่าขันสักคำหนึ่งก็ได้ว่า มนุษย์ไม่มีทางจะรบกับมนุษย์
ถ้าเป็นมนุษย์น่ะมันไม่มีทางจะรบกับมนุษย์เพราะมีจิตใจสูงเหมือนกัน มันรบกันไม่ได้ ถ้ามันรบกันได้มันต้องมีจิตใจต่ำฝ่ายหนึ่งแหละ หรือมิฉะนั้นก็มีจิตใจต่ำทั้งสองฝ่ายแหละ มันก็รบกันไปไม่มีที่สิ้นสุด คนรบกับคนได้ แต่มนุษย์รบกับมนุษย์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์มันมีจิตใจสูงนั่นเอง มันก็คือธรรมะแหละ ธรรมะทำให้มีจิตใจสูง ทำไมจึงมีจิตใจต่ำ เพราะเห็นแก่ตัว ทำไมจึงเห็นแก่ตัว เพราะมันโง่ต่อสิ่งที่มาสัมผัส มาสัมผัส คือความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อยที่มาสัมผัส เขาหลงใหลมัน เขาอยากจะได้มัน เมื่อไม่ได้โดยสุจริตเขาก็เอาโดยทุจริต จึงเกิดอันพาลขึ้นมาประเภทหนึ่งในโลกนี้
ธรรมะสูงสุดมันมีอยู่ว่าอย่าโง่อย่าหลงในสิ่งที่มาสัมผัส มาสัมผัสทางตาก็มี สัมผัสทางหูก็มี ทางจมูกก็มี ทางลิ้นก็มี ทางผิวหนังก็มี ทางจิตใจตัวเองก็มี ๖ ทางนี้มันมีอะไรมากระทบให้เกิดความรู้สึกอันนั้นเรียกว่าผัสสะก็ได้ สัมผัสก็ได้ ถ้าโง่ตอนนั้นแล้วมันจะไปหลงไอ้ที่ว่าอร่อย แล้วมันก็จะเห็นแต่อร่อยอย่างเดียว มันจะเอาให้ได้โดยไม่ต้องคิดว่ามันถูกผิดอย่างไร เหมือนกับอันธพาลทั้งหลายเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมืองน่ะ เขาเห็นแต่ความเอร็ดอร่อยของเขาที่เขาจี้ปล้นเอาเงินไปหาความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทั้งนั้น อันธพาลเหล่านั้นโง่ต่อผัสสะ หลงต่อผัสสะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อหาความอร่อยทางผัสสะ
นี่เป็นที่รู้กันแล้วไม่ต้องอธิบายก็ได้ ว่าอันธพาลในท้องถนนทั้งหลายได้เงินแล้วเอาไปทำอะไร เอาไปหล่อเลี้ยงผัสสะทางกามารมณ์โดยเฉพาะ และอื่นๆด้วย นี่เพราะความโง่ต่อผัสสะน่ะจึงเกิดกิเลสชนิดนี้ขึ้นมาแล้วก็สร้างปัญหา ถ้าคนเราไม่หลงไม่โง่ในขณะผัสสะแล้วจะไม่มีใครทำอย่างนั้น จะต้องรู้จักที่ถูก ที่ดี ที่ควร และที่พอดี เดี๋ยวนี้มันไม่มีทางที่จะพอโดยเฉพาะเรื่องกามารมณ์ อันธพาลเหล่านั้นต้องการกามารมณ์ไม่มีขอบเขต แล้วเขาก็ต้องทำอันธพาลยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นเพื่อที่จะได้ปัจจัยแห่งกามารมณ์มาหล่อเลี้ยงกิเลสของเขา มูลเหตุเป็นอย่างนี้ที่ทำให้คนยากจนจับอาวุธขึ้นต่อสู้จนกลายเป็นลัทธิ เพราะว่าเขาก็หลงทางผัสสะ ความอร่อยทางผัสสะ ที่พวกนายทุนเขาไม่ยอมผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่ยอมเอื้อเฟื้อ เจือจานเพราะเขาหลงต่อผัสสะอย่างเดียวกัน นายทุนทั้งหลายก็สงวนปัจจัยแห่งกามารมณ์ไว้เพื่อผัสสะของตนอย่างไม่ยอมแบ่งปัน พวกกรรมกรก็จะเอาให้ได้ ถ้าจะเอาให้ได้ก็ต้องฆ่านายทุนต้องล้างนายทุนเพื่อจะเอาปัจจัยผัสสะทางอารมณ์มาให้ได้
นี่คือต้นตออันแท้จริง ปัญหาอันแท้จริงที่ทำให้สงครามระหว่างนายทุนกับกรรมกรยืดเยื้อไม่มีที่สิ้นสุด และองค์การทั้งหลายยังเป็นหมัน ทำงานเหมือนจับปูใส่กระด้งอยู่ด้วย ทำได้วันนี้พรุ่งนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว ทำได้เดือนนี้เดือนหน้าก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะไม่ได้ตัดต้นตออันแท้จริงของปัญหา เพราะฉะนั้นเมื่อจะทำความเข้าใจกันที่ไหนเมื่อไหร่ล่ะก็ จะขอให้ทำความเข้าใจกันถึงส่วนลึกของปัญหาคือว่าเรามามีธรรมะกันเถิด
เรามาเป็นมนุษย์กันเถิดอย่าเป็นเพียงแต่คนเลย ถ้าเป็นแต่เพียงคนเราก็เป็นทาสของกิเลส รับใช้กิเลสฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด
ถ้าเราเป็นมนุษย์แล้วมีธรรมะเป็นเครื่องยึดถือ เราไม่รับใช้กิเลส เรารับใช้ธรรมะ ถือธรรมะ เราก็ไม่ต้องฆ่าฟันกัน แล้วเราจะอยู่ร่วมกันได้แม้ว่าต่างกันลิบลับ เศรษฐีอยู่ร่วมกับคนขอทานก็ได้ บางทีคนขอทานเสียอีกจะเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวน้อยกว่า หรือยินดีในการขอทาน ไม่ไปทำอาชญากรรม ก็เป็นผู้มีธรรมะ เดี๋ยวนี้ คนมีอันจะกินแล้วแต่ยังทำอาชญากรรมมาหล่อเลี้ยงกิเลสให้มากมากขึ้นไปก็ไม่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นคนขอทานมีโอกาสที่จะมีธรรมะมากกว่าคนธรรมดาหรือเศรษฐีหรือนายทุน ใช้คำผิดถ้าเศรษฐีกับนายทุนแล้วต้องต่างกันลิบ เพราะเศรษฐีอยู่ด้วยเมตตากรุณาแต่นายทุนอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว รวบรวมทุนเรื่อยสะสมทุนเรื่อย ถ้าธรรมะเข้ามานายทุนก็กลายเป็นเห็นแก่ผู้อื่น ก็เอื้อเฟื้อเจือจาน จัดกิจกรรมทั้งหลายให้มีประโยชน์เผื่อแผ่ลงไปถึงกรรมกรที่ยากจน ฝ่ายกรรมกรที่ยากจนก็ยอมรับสภาพกรรมกร ว่ามันจะเรียกว่าพระเจ้าหรือกรรมที่สร้างเรามาอย่างนี้ เราต้องต่อสู้อย่างนี้ ต้องสนุกในการทำงานอย่างนี้ แล้วก็ปลดเปลื้องความยากจนขึ้นมาทีละนิด ทีละนิด ทีละนิดจนพ้นจากความยากจน
โลกมันก็จะพ้นจากปัญหานองเลือดระหว่างลัทธินายทุนกับลัทธิกรรมกร ต้นตอที่แท้จริงอยู่ที่มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะคนก็เป็นมนุษย์กันหมดฆ่ากันไม่ได้ ถ้าคนไม่มีธรรมะ มันก็เป็นคน คนปุถุชนธรรมดาก็ฆ่ากันเรื่อยไป เพราะมีกิเลสเป็นใหญ่ คนปุถุชนธรรมดามีกิเลสเป็นใหญ่ มนุษย์แท้จริงแล้วมีธรรมะเป็นใหญ่ จึงพูดให้มันลืมยาก มนุษย์กับมนุษย์น่ะฆ่ากันไม่ได้ ถ้ามันเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายอย่างถูกต้องแล้วมันฆ่ากันไม่ได้ มันต้องไม่เป็นมนุษย์ฝ่ายหนึ่งเป็นคน ถ้าเป็นกันทั้งสองฝ่ายก็ฆ่ากันสนุกไปเลย มันจึงอยู่ที่มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะ
ฉะนั้นถ้าเราจะมุ่งกัน มุ่งแก้ปัญหาเหล่านี้การที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหาเหล่านี้ ก็รีบเติมธรรมะลงไปในหมู่คนที่ไม่มีธรรมะ เพราะปัญหาทั้งหลายเกิดมาจากการที่ไม่มีธรรมะ พอมีธรรมะปัญหาทั้งหลายก็หมดไป ไม่ใช่เฉพาะปัญหาคอมมิวนิสต์ ปัญหาอะไรก็ตามใจที่มันมีอยู่ในโลกนี้มาจากความไม่มีธรรมะในหมู่คนเหล่านั้น ชาวนาไม่มีธรรมะ ชาวสวนไม่มีธรรมะ คนพ่อค้าไม่มีธรรมะ ข้าราชการไม่มีธรรมะ กระทั่งว่าครูบาอาจารย์ไม่มีธรรมะ ผู้พิพากษาไม่มีธรรมะ อะไรก็ตามถ้าไม่มีธรรมะแล้วจะเป็นอย่างไรไปคิดดู
ถ้ามีธรรมะเท่านั้นล่ะปัญหามันหมด ฉะนั้นเราจะใช้เศรษฐกิจแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่มีทางหรอก เพราะพอมีอำนาจเศรษฐกิจมามันก็เห็นแก่ตัว เศรษฐกิจมีเท่าไรมันก็ชวนให้เห็นแก่ตัว เรามีกำลังเศรษฐกิจเท่าไรมันก็ชวนให้เห็นแก่ตัวเอาเปรียบผู้อื่น ประเทศนายทุนจึงไม่มีทางทำโลกให้สันติได้เพราะว่าเขาก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ในหมู่ชนกรรมกรก็เหมือนกัน ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ก็ไม่ยินดียกตัวเองโดยถูกต้อง โดยธรรมะ มุ่งแต่จะใช้อำนาจ ใช้การเข่นฆ่า การแย่งชิง นั้นจึงควรจะเห็นว่าเราเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกันดีกว่าจะเป็นนายทุนหรือจะเป็นกรรมกร แล้วก็มีความทุกข์เสมอกันด้วยกิเลสมันบีบคั้น มาช่วยกันต่อสู้กิเลสให้กิเลสหมดไป แล้วไม่มีใครเห็นแก่ตัวมันก็รักกัน แม้จะต่างกันลิบลับมันก็อยู่ด้วยกันได้
อาตมาเคยเปรียบด้วยตัวอย่างว่า ต้นไม้ใหญ่โตสูงเทียมเมฆ แล้วมันก็อยู่กันได้กับไอ้ตะไคร่เขียวๆขุยๆตามโคนตามราก ตะไคร่ขุยๆเขียวๆอยู่กับต้นไม่ใหญ่โตสูงเทียมเมฆได้ ไม่มีปัญหา เพราะว่ามันมีธรรมะตามธรรมชาติ ความรักความร่วมมือกันตามธรรมชาติ ถ้าเรามองเห็นอย่างนี้ก็จะดี ถ้าไม่มีต้นไม้สูงเทียมเมฆนั่นแหละ แดดมันเผาดินมันแห้งตะไคร่เขียวๆก็อยู่ไม่ได้ ตายหมด ถ้าไม่มีตะไคร่เขียวๆ รักษาความชุ่มชื้นของแผ่นดินไว้ ต้นไม้ต้นโตนั้นก็อยู่ไม่สบาย บางทีมันก็จะแล้งตายได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงว่าตะไคร่ขุยๆ เขียวๆ อยู่กับต้นไม้ต้นมหาศาลนั้นได้เพราะไอ้ความร่วมมือกัน
คนในโลกก็เหมือนกัน เศรษฐีนายทุนถ้าได้มองเห็นไอ้ความที่เราจะต้องเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ร่วมมือกันแล้วก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จัดกิจกรรมให้มันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มันก็จะดีขึ้นและอยู่กันได้ ฉะนั้น อย่าไปโทษคนจน คอมมิวนิสต์ หรือกรรมกรฝ่ายเดียว ปัญหามันมาจากไอ้ความที่เราไม่มีธรรมะและไม่เอื้อฟื้อเผื่อแผ่กัน มันจึงเกิดปัญหา ใครไม่มีธรรมะคนนั้นล่ะเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด แล้วมันจะเกิดปัญหาไม่มีที่สิ้นสุดแก้ปัญหากัน โดยเร็วก็คือรีบเอาธรรมะเข้ามา เพราะปัญหาเลวร้ายทั้งหลายเกิดจากการไม่มีธรรมะ พอธรรมะเข้ามาปัญหาเลวร้ายเหล่านั้นก็หมดไป มันจะเป็นการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดที่จะไม่กลับไปกลับมาเหมือนกับว่าจับปูใส่กระด้ง เราจะเรียกว่าเป็นการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี
เดี๋ยวนี้ดูจะพูดกันแต่ปากทั้งโลกพูดกันแต่ปากว่าจะแก้ปัญหาโดยสันติวิธี แล้วมันก็เตรียมอาวุธมหาศาลไว้ข้างหลังทั้งนั้น ปากมันพูดข้างหน้าว่าจะเจรจากันโดยสันติวิธี แต่ต่างคนต่างก็มีอาวุธสำรองเยอะแยะ แล้ววันหนึ่งมันก็ต้องทำลายล้างกันต่อไป สันติวิธีมีได้โดยธรรมะ ถ้าต่างคนต่างฝ่ายสะสมธรรมะเข้าไว้ เข้าไว้ ให้มีธรรมะมากพอแล้วมันก็จะเลิกใช้อาวุธกันไปเอง ที่ว่าแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมนั้นน่ะ แลกเปลี่ยนเหยื่อของกิเลสทั้งนั้น อวดอ้างกันนักหนาประเทศนั้นประเทศนี้มันแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันทุกประเทศ แต่มันแลกเปลี่ยนเหยื่อของกิเลส ส่งเสริมกิเลสทั้งนั้นไอ้ระบำบัลเลต์วัฒนธรรมที่จะแลกเปลี่ยน มันเป็นเรื่องบ้าบอที่สุด ถ้าว่าการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมมันเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันจริงๆมนุษย์จะไม่เป็นอย่างนี้ จะรู้จักข่มกิเลส บังคับกิเลส และมันจะรักกันได้ นั่นแหละจะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
เวลาเกือบหมดแล้ว ทีนี้อยากจะพูดอีกคำหนึ่งว่า “คืนสู่เหย้า” ไอ้คำนี้ดีมาก คืนสู่เหย้า โครงการคืนสู่เหย้าแต่ขอให้เป็นเหย้าจริงๆ ไอ้เหย้านั้นน่ะคือต้นตอทีแรกที่เราจะออกไป และจะกลับมาคืนสู่เหย้า กลับคืนสู่เหย้านั้นคือกลับคืนสู่ธรรมะนะ เดี๋ยวนี้มันหนีหายไปจากธรรมะ และกลับคืนมาสู่ธรรมะนั้นน่ะคือกลับคืนมาสู่เหย้า
มนุษย์เตลิดเปิดเปิงบ้าบอและเป็นทาสของกิเลสไกลออกไป ไกลออกไป ไปไหนก็ไม่รู้แล้วก็รบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด พอถึงคราวที่กลับคืนสู่เหย้าคือกลับคืนมาสู่ธรรมะ กลับคืนมาสู่ความมีธรรมะนั้นน่ะคือเหย้าอันแท้จริง เพียงแต่กลับมาบ้านเดี๋ยวมันก็เข้ารูปเดิมอีกก็ได้ เดี๋ยวมันก็กลับไปป่าอีก เพียงแต่กลับมาบ้านนั้นมันยังไม่พอ กลับมาบ้านคือธรรมะ กลับมาสู่เหย้าคือธรรมะ ทีนี้มันไม่กลับไปป่าอีกแล้ว เพราะมันกลับมาสู่ความถูกต้อง
ธรรมะคือบ้านเรือนหรือแผ่นดิน ธรรมะท่านเปรียบได้แผ่นดินที่ตั้งที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เปรียบได้บ้านเรือนเพราะเป็นที่พักพิงอาศัยแห่งจิตใจ เดี๋ยวนี้เรามีกันแต่บ้านข้างนอกไม่มีบ้านสำหรับจิตใจ จิตใจมันก็ไม่มีบ้านอยู่ มันก็อันธพาลหมดไม่มีธรรมะเป็นบ้านอยู่ มันเห็นแก่ตัวมันก็เลยรบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้มีองค์การโลกสักร้อยพันองค์การโลกก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ องค์การโลกก็ต้องจับปูใส่กระด้งเพราะมันไม่แก้ที่ต้นตอคือธรรมะนี่ มันคอยแต่ใช้การประนีประนอมคนที่เห็นแก่ตัว ทั้งสองฝ่ายเห็นแก่ตัว เดี๋ยวก็เข้าข้างคนนั้น เดี๋ยวก็เข้าข้างคนนี้ มันอดไม่ได้ที่จะทำไปอย่างมีพรรค มีพวก มีฝ่าย ไม่มีใครยึดธรรมะเป็นหลัก แล้วก็เอาธรรมะเป็นหลัก นั่นแหละมันจะแก้ปัญหาได้ ฉะนั้น คำว่าคืนสู่เหย้ามันก็คือกลับไปหาพระพุทธเจ้า คนก็รักกันทั้งโลก เรียกว่าแก้ปัญหาโดยสันติวิธี
เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกนี้มันผิดหมดแล้ว มันไม่มีการสอนที่ ที่ทำให้คนรู้จักธรรมะ รู้จักผิดชอบชั่วดี การศึกษาสมัยนี้ทั้งโลกยิ่งสูงเท่าไหร่มันก็ยิ่งสนับสนุนความเห็นแก่ตัว ยิ่งเรียนได้มากยิ่งมีปริญญามากมีอะไรมาก ก็หมายความว่ามันมีความสามารถมากที่จะกอบโกยเข้าหาตัว ยิ่งเรียนมากมันก็ยิ่งคิดจะกอบโกยเข้าหาตัวเพราะมันมีโอกาส เพราะว่าการสอนไม่ได้สอนพร้อมกันไปกับว่าเราจะต้องรักผู้อื่น เรายิ่งมีความรู้มากมีความสามารถมากเท่าไหร่เราจะต้องรักผู้อื่นมากเท่านั้น ตัวนี้ไม่สอน สอนให้เก่งในวิชาความรู้ในเทคโนโลยีอะไรก็ตาม แล้วเมื่อมีความรู้อย่างนั้นมากมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว พูดกันไม่รู้เรื่อง
อาตมาเรียกการศึกษาชนิดนี้ว่าการศึกษาหมาหางด้วน พูดเรื่องการศึกษาหมาหางด้วนทางวิทยุมาหลายสิบครั้งเต็มทีแล้ว เดี๋ยวนี้ได้ยินว่าเขาก็เริ่มเอาไปพิจารณากันบ้างแล้วว่าการศึกษาของชาติมันยังเป็นหมาหางด้วน มันสอนแต่หนังสือกับวิชาชีพ แล้วไม่สอนธรรมะเลย ไม่สอนศีลธรรมให้คนรักกันเลย นี่คือการศึกษาหมาหางด้วน แล้วเป็นกันทั้งโลกฝรั่งเขาเป็นก่อนแล้วไทยเราก็ไปตามก้นเขา นี่ไม่ละอายแล้วต้องพูดว่าไทยเราไปตามก้นเค้าไปเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนาพยายามทำให้เหมือนฝรั่ง ฝรั่งมันเป็นการศึกษาหมาหางด้วน การศึกษาในประเทศไทยก็หมาหางด้วน
ฉะนั้น เราจึงไม่มีคนที่รักผู้อื่นจึงเป็นอันธพาลนิยมอบายมุขจนลืมตัว เขาจะดึงกลับให้ดีก็ไม่เอา เมื่อมิจฉาทิฏฐิมันครอบงำแล้วมันไม่ดูหน้าใคร มันก็ถือว่าไอ้คนที่พูดอะไรไม่ตรงกับความต้องการของเขา คนนั้นเป็นข้าศึกของเราต้องฆ่าเสีย เพราะฉะนั้นจึงฆ่าครูบาอาจารย์ ฆ่าบิดามารดากันมากขึ้น แต่เมื่อก่อนไม่มี เดี๋ยวนี้หนังสือพิมพ์มีเรื่อย มันฆ่าบิดามารดากันมากขึ้นเพราะการศึกษาหมาหางด้วน
เอาล่ะเป็นว่าอาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายที่นี้อีกครั้งหนึ่งว่า เราเป็นนักการเมืองของพระพุทธเจ้าด้วยกันเถิด จะเป็นนักการเมืองของรัฐบาลก็ตามใจ แต่ขอร้องให้ทุกคนเป็นนักการเมืองของพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักการเมืองมุ่งหมายจะจัดโลกทั้งหมดนี้ให้มีสันติสุข สันติภาพ โดยไม่ต้องใช้อาชญา
แล้วได้มาพบปะกันวันนี้ก็ได้พูดจากันตามที่จะทำได้ คงจะมีผลบ้าง จึงมีความยินดีว่าไอ้การพบปะกันนี้เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่จะมีผลดี ขอฝากท่านทั้งหลายไปด้วยความคิดอันนี้ว่าไปพิจารณาดูเถิด ธรรมะในพระพุทธศาสนานั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่บังคับให้เชื่อ แม้แต่ที่พระพุทธองค์ตรัสเองก็ไม่ต้องเชื่อทันที ไม่ต้องเชื่อทันที เอาไปพิจารณาดู พิจารณาดู พอเห็นอันนี้จะมีประโยชน์และแก้ปัญหาได้ ก็ลองปฏิบัติดู พอลองปฏิบัติดูมันก็แก้ปัญหาได้ อันนี้ก็เชื่อ เชื่อแล้วก็ทำมากขึ้น ธรรมะเป็นอย่างนี้ ให้เสรีภาพถึงอย่างนี้ ไม่บังคับให้เชื่อ แต่ถ้าว่ามันเป็นธรรมะที่ถูกต้องแล้วขอให้ทำกันจริงๆเหมือนกับเผด็จการ
ธรรมะต่อคือกฎของธรรมชาติมีอำนาจเผด็จการต่อธรรมชาติทั้งหมด ใครดื้อดึงไปไม่ได้ ลองฝืนฝืนหลักธรรมะเถิดมันก็วินาศทั้งนั้น ธรรมะมันจะเผด็จการอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราพยายามให้สมคล้อยไปตามแนวของธรรมะ มันก็จะเป็นการจัดมนุษย์ให้มีความสงบสุขโดยสันติวิธี เดี๋ยวนี้มนุษย์เตลิดเปิดเปิงไปจากธรรมะจนมีวิกฤตการณ์อันถาวรอย่างนี้แล้ว จงกลับมาสู่ธรรมะ มันกลับมาบ้าน คืนสู่เหย้าคือธรรมมะ ปัญหาต่างๆก็จะค่อยๆหมดไป หรืออย่างน้อยที่สุดการงานที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นี้คงจะดีขึ้นบ้าง
อาตมาขอยุติการบรรยาย ด้วยการฝากความหวังไว้ขอให้ท่านทั้งหลายทุกๆ ท่านจงทำงานให้สนุกและเป็นสุขอยู่เมื่อกำลังทำงาน เป็นอันหวังได้ว่าจะมีความสุขความเจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปในวิถีทางของพระธรรมนั้นอยู่ทุกทิพาราตรีกาล
…
นี่สอนธรรมะด้วยรูปภาพ มันมาก ทั้งหมดนี้สอนธรรมะ ทั้งนั้นล่ะทุกรูปภาพแต่ว่าบางภาพก็ลึกมาก บางภาพก็ไม่มาก ภาพแรกสุดตรงนั้นเป็นภาพตั้งต้น แหวกความโง่ แหวกม่านความโง่ออกสักศอกหนึ่งจะพบว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงนั้น แหวกความโง่ของท่านออกนิดหนึ่งจะพบว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงนั้น
เดี๋ยวๆๆๆ มีกี่คน? ทั้งหมดมีกี่คน? ท่านหัวหน้า หา! ทั้งหมดมี ๙๗ เหรอ? เณรไปเอาหนังสือเรื่องความมั่นคงมาให้ ๙๗ เล่ม เดี๋ยวๆขอขอรอสักนาทีจะไปเอาหนังสือมา ๙๗ เล่ม ไปเอามาเร็วๆหนังสือเรื่องความมั่นคงภายใน
มาจากจังหวัดไหน ยะลา
สอนธรรมมะด้วยรูปภาพ โดยเรียกว่าโรงหนัง สอนธรรมะโดยวิธีสนุกบ้าง
ทำงานให้สนุก ทำงานให้สนุก ช่วยบอกประชาชนว่า ไม่ได้ว่าเอาเอง มันเป็นหลักอย่างนั้นแต่โบราณกาล คำว่าธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือการงานทำงานให้สนุก
ชาวนาสมัยก่อนน่ะไถนาสนุก ไถนาจนแดดสูงเหงื่อท่วมตัว ยังไถนาอยู่กับควาย ยังไม่ได้รับประทานอาหารสี่โมงห้าโมง ยังไม่ได้รับประทานอาหารก็ทำงานสนุก แต่ชาวนานั่งยิ้มกริ่ม คนแก่คนเฒ่ายิ้มกริ่มไถนาอยู่เรื่อยยังไม่ได้รับประทานอาหารตั้งสี่โมงเช้าห้าโมงเช้า เพราะมันทำงานสนุก เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครทำงานสนุก มันก็เลยคิดแต่ทางรวยลัด รวยลัด รวยลัด แต่ทำงานคือปฏิบัติธรรมะไม่ต้องมาสวดมนต์ไหว้พระอยู่ที่วัด ทำงานในหน้าที่ของตนที่นา ที่สวน ที่ร้าน ที่ออฟฟิศ ที่ไหนก็ตาม ทำงานนั่นล่ะคือปฏิบัติธรรมะ ทำให้สนุกเถิดมันจะมีความสุขได้เหมือนกัน มันจะอิ่มด้วยความสุขได้ไม่ต้องไปหาเหยื่อของกิเลสเป็นเหตุให้เงินไม่ต้องใช้เงินจะเหลือ
เณรเขาไปเอาหนังสือ
นั่นเราหมายถึงว่าในทุกศาสนามันมีสิ่งที่เป็นกฎของธรรมชาติอันสูงสุดเป็นองค์เดียวกัน คือสิ่งสูงสุดไม่มีอะไรจะเท่า อิทัปปัจยตา แต่เค้าไปพูดเป็นบุคคลเสียก็เลยข้ามได้ มันก็เลยข้ามได้ อันนั้นคือกฎของธรรมชาติ เขาเรียกว่าพรหมลิขิตก็ได้ จะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ แต่เราเรียกว่ากฎของธรรมชาติ
เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงและมันเผด็จการด้วย ไม่ยอมให้อุทธรณ์ ตามกฎของธรรมชาติของอิทัปปัจยตา ไม่มีใครเปลี่ยนได้ มันต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ และที่เราจะต้องเกิดกิเลสแล้วก็ต้องเกิดความทุกข์ถ้าเราไม่เกิดกิเลสแล้วเราก็ไม่มีความทุกข์นี่เป็นกฎของธรรมชาติ
ก็กฎมันมีอย่างนั้น ก็ไปทำถูกฝ่ายผิด ไปทำถูกฝ่าย ถูกกฎฝ่ายที่จะทำให้เกิดทุกข์ ไปทำถูกฝ่ายกฎที่จะทำไม่เกิดทุกข์ กฎอิทัปปัจยตามันมีได้ทุกอย่าง สำหรับทุกๆอย่าง สำหรับจะเจ็บจะไข้จะเป็นจะตายจะทุกข์ แต่เขาไม่เรียก เค้าเรียกพระเจ้าอย่างอื่น เป็นพระเจ้าอย่างบุคคล เลยเล่าว่าเป็นอย่างบุคคล.. มันเป็นกฎของธรรมชาติที่เฉียบขาด
ที่มา อบรมตำรวจและนักเรียนการเมือง 14 จังหวัดภาคใต้ รุ่น 2 ปี 2526 ครั้ง 3