แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทุกท่านที่เป็นนักเรียนการเมืองทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีก่อนเป็นเรื่องแรก ในการที่ได้พบปะกัน ในลักษณะอย่างนี้ เพื่อประโยชน์แก่สันติสุขสันติภาพของมนุษย์ คือขอให้ยอมรับหรือทราบว่าผู้ที่จัดทำเพื่อประโยชน์แก่สันติสุขของมนุษย์นั้นจะไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าไปได้ จนจะต้องพูดว่าไอ้กิจกรรมเพื่อสันติสุขของมนุษย์มันก็รวมอยู่ในกิจกรรมของพุทธศาสนา อาตมาก็มุ่งหมายอย่างเดียวกันที่ดำเนินกิจการต่างๆมาโดยลำดับ เพื่อประโยชน์แก่สันติสุขของมนุษย์ แม้ว่าจะไม่ได้ทำเหมือนกันโดยรูปแบบ แต่ความมุ่งหมายมันต่างกัน เออมันตรงกันคือเพื่อสันติสุขของมนุษย์นั่นเอง ดังนั้นจึงมีความยินดีที่ได้พบปะผู้ที่มีกิจกรรมอันมีความมุ่งหมายอันตรงกัน และยังได้มานั่งในสภาพเช่นนี้ ก็ยิ่งตรงรูปหรือเข้ารูปกับพระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดินใต้ต้นไม้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็นั่งกลางดินใต้ต้นไม้ สอนโดยมากก็ทั้งหมดก็กลางดินใต้ต้นไม้ กุฏิของท่านก็พื้นดิน ในที่สุดท่านก็นิพพานกลางดินใต้ต้นไม้ ดูเถิดมันก็น่า น่าประหลาดอยู่เหมือนกัน เป็นบุคคลสูงสุด แต่ก็ประสูติ ตรัสรู้ ก็สอนอยู่นิพพานกลางดิน อันนี้มีความหมายมากคือท่านอยู่กับแผ่นดินซึ่งมีความมั่นคงตามแบบของแผ่นดิน มีความหมายตามแบบของแผ่นดิน
แผ่นดินนี้เป็นเครื่องเปรียบของปัญญาอันลึกซึ้งอันหนาแน่น ผู้มีปัญญาเปรียบเสมือนแผ่นดิน นี้มีคำกล่าวในหลักธรรมโบราณ ต้องคอยจดจำความรู้สึกเมื่อได้นั่งกลางดินไว้ด้วยว่า เรานั่งปรึกษากัน หารือกัน พูดจากันบนที่นั่ง เลยไปถึงที่นอนที่นิพพานของพระพุทธเจ้า มันมีความหมายแห่งความสงบสุข สันติสุข เพราะมันอยู่ในลักษณะอย่างนี้แหละ ในการที่จะประชุมพูดจากันบนตึกบนวิมาน แล้วก็มาพูดกันด้วยเรื่องชาวนาไม่มีน้ำทำนาอย่างนี้มันน่าหัว และมักจะเป็นอย่างนั้น ประชุมในเรื่องชาวนาไม่มีน้ำทำนาบนโรงแรมติดแอร์ ท่ามกลางสิ่งประดับประดาเหมือนกับจะแข่งกับเทวดา จะได้ผลเป็นอย่างไรก็ดูเอาเอง เดี๋ยวนี้เรานั่งกันกลางดินพูดกันเรื่องสันติภาพของมนุษย์ อย่างน้อยที่สุดขอให้ระลึกว่าบรรยากาศของธรรมชาตินี้ ช่วยให้จิตใจสงบและเป็นปกติ ถ้าจิตใจปกติก็ทำหน้าที่ของจิตใจได้ดี ถ้าจิตใจวุ่นวายหรือไม่สงบ คิดอะไรไม่ได้ มันมองอะไรลึกไม่ได้ หรือความคิดนึกจะเกิดขึ้นไปในทางที่ไม่สงบไม่ปกติ บรรยากาศที่สงบที่ปกติช่วยความคิดของเราเดินไปในทางสงบและปกติ และจึงพบคำตอบได้ง่ายสำหรับความสงบและความเป็นปกติสุข ด้วยเหตุอย่างนี้อาตมามีความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย
ท่านที่เป็นหัวหน้าที่มาคราวก่อน ได้กำหนดหัวข้อบรรยายว่า สำหรับท่านที่มีหน้าที่ดำเนินกิจการเพื่อความสงบสุขโดยวิธีที่ใช้การเมืองนำหน้าการทหาร นี่มันก็อนุโลมกันได้กับหลักของธรรมะ ก็คือการใช้ธรรมะแทนที่จะใช้กำลัง ใช้กำลังของธรรมะแทนที่จะใช้กำลังของอาวุธ มันก็ร่วมกันได้กับพระพุทธโอวาทที่ว่า ให้รบข้าศึกด้วยอาวุธคือปัญญา อาวุธมีอยู่ ๒ ชนิด อาวุธคือปัญญา เรียกว่าปัญญาวุธ อีกหนึ่งอาวุธธรรมดาคือศาสตรา ของมีคมก็เรียกว่าศาสตราวุธ เกิดเป็นอาวุธขึ้นมาสองอย่าง ปัญญาวุธกับศาสตราวุธ วันนี้อาตมาจะกล่าวในหัวข้อว่า ปัญญาวุธดีกว่าศาสตราวุธ
คำพูดมันออกจะไกลตัวสักหน่อยว่าปัญญาวุธดีกว่าศาสตราวุธ แม้แต่จะใช้ศาสตราวุธมันก็ยังจะต้องใช้ด้วยปัญญา แม้แต่จะใช้ศาสตราอาวุธก็ยังต้องใช้ด้วยปัญญา มันก็อนุโลมเป็นปัญญาวุธไปในตัว ศาสตราวุธมันฆ่ากันได้ด้วยเพียงร่างกาย แต่ปัญญาวุธนั้นมันฆ่าลงไปลึกถึงส่วนลึกของจิตใจ สิ่งเลวร้ายที่มีอยู่ในจิตใจ สรุปความว่าศาสตราวุธฆ่ากันได้ด้วยเพียงร่างกาย ปัญญาวุธฆ่าลงไปลึกถึงจิตใจเพื่อทำลายสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจ นี่อะไรๆมันก็ชวนให้ต้องระลึกนึกถึงปัญญาวุธ หรือจะเรียกอีกทีก็เรียกว่าธรรมาวุธ อาวุธคือธรรมะ อาวุธคือธรรมะ ก็คือปัญญา ความรู้วิชชา ที่จะขจัดปัญหาต่างๆได้ เมื่อพูดถึงการฆ่าการทำลาย ย่อมหมายความถึงต้องการทำลายสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่สำหรับเป็นอุปสรรค เป็นศัตรู เรียกว่าอันตรายก็แล้วกันน่ะ มันต้องทำลายอันตราย นี่เราดูว่าอะไร เป็นสิ่งอันตรายร้าย ร้ายกาจที่สุด ตามหลักของธรรมะมันก็คือมิจฉาทิฏฐิที่มีอยู่ในหัวใจคนนั่นแหละ เป็นสิ่งที่เลวร้ายและเป็นอันตรายที่สุด ไม่ เอ่อ,เลวร้ายไปยิ่งกว่าคน โจร อันธพาล ข้าศึกศัตรูที่เป็นภายนอก มิจฉาทิฏฐิที่มีอยู่ในจิตใจของคนนั่นแหละคืออันตรายและข้าศึกที่เลวร้ายที่สุด แม้ว่าไอ้ข้าศึกที่เป็นคนๆเป็นศัตรู เป็นอะไรก็ตามมันเกิดขึ้นจากสัมมา เอ่อมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น คนเหล่านั้นมีมิจฉาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิได้สร้างคนเหล่านั้นขึ้นมา ถ้าไม่มีมิจฉาทิฏฐิคนพาล คนอันธพาล คนเป็นข้าศึกแก่สันติภาพย่อมไม่เกิดขึ้นมาได้ นี่เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ
มันก็เป็นต้นเหตุแห่งปัญหา แห่งปัญหาทั้งหลาย นั้นที่จะฆ่ามันได้มันก็จะต้องสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ นั้นแหละคือตัวปัญญา ตัวปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความรู้ มีความเข้าใจ มีความเชื่อ มีความคิดเห็น มีถูกต้อง ตามกฎของความจริงของธรรมชาตินี้เราเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ถ้ามันผิดไปจากนั้นก็เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิเกิดขึ้นในใจใครมันก็ทำลายผู้นั้นและผู้อื่นที่เข้ามาเกี่ยวข้องกัน ถ้าจะถามว่าข้าศึกเกิดมาจากไหน เกิดมาจากจิตใจที่เป็นมิจฉาทิฏฐิของคนนั่นเอง แม้มันเกิดอยู่ในจิตใจของคนๆเดียว มันก็เป็นข้าศึกแก่บุคคลคนๆนั้น บุคคลคนๆนั้นมันก็ต้องวินาศเพราะมีมิจฉาทิฏฐิ จึงต้องปราบกันด้วยสิ่งที่ตรงกันข้ามคือสัมมาทิฏฐิ ลองคิดดูเถิดว่าจะเอามิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด เข้าใจผิด ไปล้างมิจฉาทิฏฐิด้วยกันนั้นมันทำไม่ได้ เหมือนกับเอาน้ำโคลนไปล้างของ ของที่เปื้อนโคลนมันก็ล้างไม่ได้ ไม่รู้จักสิ้นสุด มันก็ต้องมีน้ำใสสะอาดมาล้างโคลนให้สะอาด นี่เป็นหลักธรรมะที่จะต้องใช้ อ่า,สัมมาทิฏฐิหรือปัญญา
เมื่อมิจฉาทิฏฐิมันจะล้างมิจฉาทิฏฐิไม่ได้ มันก็ต้องอาศัยสัมมาทิฏฐิมาล้าง มาฆ่ามิจฉาทิฏฐิ จะฆ่าได้อย่างดีที่สุดอย่างสนิทสนม ไม่เอะอะโวยวายมาก ไม่โกลาหลวุ่นวายมากก็สามารถจะฆ่ากันได้ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสนิทสนม อย่างนี้เรียกว่าปัญญาวุธ สำหรับจะฆ่าทำลายล้างมิจฉาทิฏฐิ จึงพูดว่าปัญญาวุธนี่ดีกว่าศาสตราวุธ ศาสตราวุธมันฆ่าได้แต่เพียงผิวๆทำให้ตายไปก็ได้ กายตายไปก็ได้แต่จิตใจมันไม่เปลี่ยน มันก็ไม่รู้จักหมดจักสิ้น แล้วจะฆ่าข้าศึกศัตรูเฉพาะหน้า มันก็ฆ่าได้ก็แต่เพียงร่างกาย มันก็ไม่รู้จักหมดจักสิ้น มันมีเชื้อเหลืออยู่ภายในใจมันก็ขยายตัวออกไป มันก็เลยต้องมุ่งหมายที่จะฆ่าเชื้อร้ายในภายในคือมิจฉาทิฏฐิ เรื่องนี้ใช้เป็นหลักทั่วไปในในแวดวงของธรรมะ จะปราบคอมมิวนิสต์หรือจะปราบอันธพาลเหล่าอื่น หรือจะปราบสิ่งเลวร้ายใดๆก็ตาม ต้องกระทำไปด้วยความรู้ที่ถูกต้องความเข้าใจที่ถูกต้อง ความเชื่อที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐินั่นเอง
เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยจะมองกันว่าไอ้เลวร้ายทั้งหลายเนี่ย ทางการเมืองทางอะไรก็ตาม ทางราชการปกครองก็ตาม มันมาจากมิจฉาทิฏฐิในจิตใจของมนุษย์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมันก็มาจากอวิชชาเป็นคำกว้างๆว่าอวิชชา อวิชชาคือภาวะที่ปราศจากความรู้อันถูกต้อง เดี๋ยวนี้โลกกำลังถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฏฐิหรืออวิชชา จนกลายเป็นโลกอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา โลกในสมัยก่อนเรียกว่าอยู่ใต้ร่มเงาของศาสนากันทั้งนั้นแหละ จะศาสนาอื่นนอกจากศาสนาพุทธก็ได้ ก็มีศาสนาและคนยังเชื่อฟังยังถือศาสนาเป็นหลัก ก็กลัวบาป เป็นเรื่องกลัวบาปนั่นแหละสำคัญมาก
จนมาถึงยุคหนึ่งซึ่งไม่นานนี่ เขาเกลียดศาสนา เขาเริ่มเกลียดศาสนา เพราะว่าไม่ต้องเสริมอำนาจของเขา และเพราะเหตุที่รุนแรง เหตุที่มีกำลังมากอย่างหนึ่งก็คือความเจริญทางวัตถุ พอมาถึงยุคที่โลกเจริญทางวัตถุหมายความว่าผลิตวัตถุให้เป็นปัจจัยแก่กิเลสก็แล้วกัน สามารถผลิตวัตถุส่งเสริมกิเลสส่งเสริมกามารมณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เชื่อไว้กันว่าความเจริญของโลกน่ะดูให้ดีเถอะ ทางหนึ่งมันก็เป็นความเจริญให้ความสะดวกสบาย แต่ทางหนึ่งที่เลวร้ายนั้นมันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว
อันนี้ขอให้คิดดูให้ดีเถอะว่ามูลเหตุอันร้ายกาจมันมาจากความเห็นแก่ตัว เราเห็นแก่ตัวเราจึงทำความเลวร้ายทุกอย่างได้ ฆ่าผู้อื่น ขโมยของผู้อื่น ล่วงกาเมผู้อื่น พูดเท็จ โกหกแก่ผู้อื่น ดื่มกินของเมาให้มันยุ่งกันไปหมด นี่มันมาจากความเห็นแก่ตัว เป็นรากเหง้าของกิเลส ความเห็นแก่ตัวในบางรูปแบบ มันก็ออกมาเป็นความโลภ เพราะเราอยากจะได้เพื่อตัวกู มันก็เกิดความโลภ ที่บางบางกรณีมันไม่ได้อย่างที่มันต้องการ มันก็เกิดความโกรธเพราะเห็นแก่ตัวว่าตัวไม่ได้ เกิดความโกรธในสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ยังเข้าใจไม่ได้ มันก็หลงใหลและมัวเมาเรียกว่าความหลง
ความโลภ ความโกรธ ความหลงออกมาจากความเห็นแก่ตัว มันแปลงรูปได้ ๓ รูปแบบ คือ ราคะ โลภะ นี่มันจะเอา ไอ้โทสะ โกธะมันจะทำลายเสีย ไอ้โมหะ อวิชชานี่มันวิ่งวนอยู่รอบๆด้วยความมัวเมา เมื่อยังไม่เจริญในวัตถุเราไม่มีปัญหาที่เกี่ยวกับวัตถุนิยม เช่น คอมมิวนิสต์ เป็นต้น ลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นต้นนี้มันก็เกิดหลังความเจริญทางวัตถุ เมื่อไปหลงวัตถุ ซึ่งให้ผลเป็นความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยที่สุดทางกามารมณ์ ทางเนื้อหนังนี่ มันก็เห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวเหล่านี้ เขาก็ต้องการจะได้ไอ้สิ่งเหล่านั้นซึ่งมันหายากหรือแพง ในหมู่คนที่ไม่ร่ำรวยหรือคนจนน่ะเขาก็ต้องคุมพวกกัน เพื่อที่จะยื้อแย่งวัตถุปัจจัยแห่งกามารมณ์จากคนที่มันร่ำรวย
จึงเห็นได้ว่าลัทธินี้โดยตรงก็เกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ทีนี้คนร่ำรวยก็เห็นแก่ตัว ไม่ยอมแบ่งบันเพราะความเห็นแก่ตัว เกิดคนร่ำรวยที่เป็นปัญหา ก็เพราะเห็นแก่ตัว เกิดคนยากจนจะยื้อแย่งก็เพราะความเห็นแก่ตัว เมื่อสองความเห็นแก่ตัวมันมาพบกันเข้า มันก็ทวีกำลัง ในโลกนี้ก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว และการพิฆาตฟาดฟันกันระหว่างผู้เห็นแก่ตัวทั้งสองฝ่าย ตลอดเวลายังเห็นแก่ตัวอยู่ มันก็ต้องฟาดฟันกันไปอย่างงี้แหละ ไอ้ความเห็นผิด มิจฉาทิฏฐิที่อยู่ในจิตใจของทั้งสองฝ่ายไม่ถูกทำลายลงเลย ทั้งการต่อสู้ซึ่งกันและกันยังจะต้องเป็นไป จึงเห็นชัดว่าไอ้ความเจริญทางวัตถุที่น่ารักน่าพอใจนั่นแหละคือศัตรูอันร้ายกาจ ในเมื่อเราควบคุมมันไม่ได้ ขอให้มองเห็นว่าถ้าเราควบคุมความเจริญทางวัตถุได้น่ะปัญหานี้จะไม่มี เดี๋ยวนี้เราไม่มีธรรมะไม่มีศีลธรรม ไม่มีศาสนาที่จะควบคุมความเจริญทางวัตถุให้อยู่ในร่องในรอย และความเจริญทางวัตถุมันก็ส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมมิจฉาทิฐิ ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว
น่าเศร้าที่ว่าทั้งโลกน่ะมันบูชาความเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะพวกฝรั่งที่พวกไทยเราไปตามก้นเขา เขาก็นำให้หลงใหลในเรื่องวัตถุ ความสุขทางวัตถุ ซึ่งเขาก็เป็นผู้ผลิตขึ้นขายด้วย เขายิ่งได้เปรียบใหญ่ อุตสาหกรรมผลิตวัตถุที่เป็นปัจจัยทางกามารมณ์ขึ้นขายขึ้นจำหน่ายกันทั่วโลกนี่มาจากทางตะวันตกนำ แล้วเราก็ตาม ก็ลุ่มหลงปัจจัยส่งเสริมกามารมณ์ หนังสือหนังหาตำรับตำรา จะให้เล่าให้เรียนให้เด็กๆเรียนก็ไม่มีเรื่องกำจัดความเห็นแก่ตัว ไม่มีเรื่องให้เอาชนะไอ้กามารมณ์ ก็เลยเป็นเรื่องหนึ่งน่ะ
ทีนี้เรื่องที่สองมันก็คือละเลยศาสนา ละทิ้งศาสนาเพราะมาบูชารสของวัตถุหรือวัตถุนิยม มันก็เลยใส่ร้ายศาสนาหาว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ข้อนี้อาตมาต้องขอโต้แย้งในฐานะเป็นพุทธบริษัทอยู่ในพุทธศาสนา ที่ว่าศาสนาเป็นยาเสพติดนั่นมันเป็นการหลับตาพูด คือมันไม่เป็นอย่างนั้นทุกศาสนา แม้ว่าศาสนาส่วนมากจะเป็นยาเสพติด แต่ต้องยกเว้นพุทธศาสนา ในพุทธศาสนามันเป็นผู้ทำลายยาเสพติด ไม่ใช่เป็นยาเสพติด ยาเสพติดภายในคือมิจฉาทิฏฐิไอ้นั่นล่ะเป็น เป็นสิ่งที่พุทธศาสนาต้องการจะจำกัดให้หมดไปจากโลก หรือยาเสพติดภายนอกอันที่สูบ ที่กิน ที่ฉีด ที่อะไรก็ตามที่เป็นของภายนอก นี้ก็พุทธศาสนาก็ไม่ได้สนับสนุน ถือว่าเป็นข้าศึก จะมารวบเอาพุทธศาสนาเข้าไปในกลุ่มศาสนาที่เป็นยาเสพติดนั้นมันไม่ถูก เจ้าตำรับเรื่องนี้จะชื่อ คาร์ล มาร์ก หรือจะชื่ออะไรก็ตามใจเขาเถิด แต่ขอให้รู้ว่าเขาไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนา ถ้าเขาศึกษาพุทธศาสนาเขาจะมองเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นเครื่องทำลายยาเสพติด เป็นศัตรูของยาเสพติด
ในสมัยที่มาร์กมีชีวิตอยู่นั้นพุทธศาสนายังไม่ไปถึงตะวันตกที่นั่น มีไปก็ไปอย่างชนิดที่งมงาย พุทธศาสนาอย่างที่มิใช่พุทธศาสนาก็ยังไม่ถูกต้อง เป็นเพียงพิธีรีตองเป็นอะไรนั่นที่ ที่ไปในยุคแรกๆนั้นยังไม่ใช่ตัวพุทธศาสนาที่แท้จริง ที่มีความรู้เรื่องปรมัตถธรรม ทำลายกิเลส ทำลายมิจฉาทิฏฐินี่ยังไม่ไม่ไปถึง เขาคงจะคิดว่าทุกศาสนาเหมือนกันหมด แล้วพูดขึ้นมาว่าศาสนาเป็นยาเสพติด พุทธศาสนาไม่ได้ส่งเสริมให้หลงใหลใน เอ่อ, เรื่องงมงาย ไม่ได้มีพระเจ้าให้หลงใหล ไม่ได้มีอะไรให้หลงใหล ให้คนมีศรัทธาอย่างงามงาย พุทธศาสนามีแต่ปัญญาที่จะทำลายศรัทธาอันงมงาย แล้วจะเป็นยาเสพติดอย่างไรได้
ยาเสพติดทางจิตทางวิญญาณนั้นมันคือศรัทธาอย่างงมงาย ซึ่งพุทธศาสนาถือเป็นสิ่งเลวร้ายต้องการจะจำกัดอยู่ทุกเวลา ขอให้ช่วยกันบอกลูกเด็กๆเสียด้วยว่าเป็นการกล่าวหา เป็นการตู่อย่างไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งที่พูดว่าศาสนาเป็นยาเสพติด โดยไม่ยกเว้นศาสนาในบางศาสนา ทีนี้ก็ให้รู้ว่าพุทธศาสนานั้นน่ะเป็นผู้ปราบยาเสพติด ปราบมิจฉาทิฏฐิในจิตใจที่เป็นยาเสพติดที่เลวร้ายที่สุด และก็ไม่ส่งเสริมยาเสพติดที่สูบ ที่ดูดดมอะไรกันนี้โดยประการทั้งปวง มีห้ามไว้โดยเด็ดขาดในศีลแต่ละข้อ ฉะนั้น เราจะต้องใช้ศาสนาเป็นเครื่องจำกัดสิ่งเลวร้ายอันนี้ ไม่ไปจัดให้ศาสนาเป็นสิ่งเลวร้ายเสียเองนี่ ศาสนาอื่นก็สุดแท้เถอะ เขาจะว่ากันยังไงก็ตามใจ แต่สำหรับพุทธศาสนาขอให้มองเห็นให้ถูกให้ตรงให้จริงให้ยุติธรรม
ทีนี้ก็จะพูดถึงศาสตรา อ่า,ปัญญาวุธซึ่งเป็นอาวุธในพุทธศาสนา หรือเป็นตัวพุทธศาสนานั่นเอง อาวุธคือปัญญา ปัญญานั้นมันเป็นตัวธรรมะที่จะตัดปัญหาหรือปราบสิ่งเลวร้าย ก็คือพุทธศาสนานั่นแหละ พุทธศาสนาก็คือตัวปัญญา ปัญญาคือตัวพุทธศาสนาที่สามารถจำกัดสิ่งเลวร้ายได้ พุทธะ พุทธะนี่ตามภาษาอินเดีย ภาษาบาลีนี่ ก็แปลว่า ผู้รู้ ผู้รู้ คือรู้ รู้อย่างถูกต้องในสิ่งที่ควรจะรู้ นี่พุทธะแปลว่าผู้รู้
ในอีกศัพท์ อีกรากรากศัพท์หนึ่งก็ว่าผู้ตื่นจากหลับ คือตื่นนอน ตื่นนอน ตื่นจากหลับ ไม่ใช่คนที่กำลังหลับ พุทธะแปลว่าผู้ตื่นจากหลับ ในรากศัพท์อีกส่วนหนึ่งแปลว่าเบิกบาน เหมือนดอกไม้บาน นี่เราก็เลยเอามารวมกันทั้งสามคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่มันหมายถึงปัญญาทั้งนั้นแหละ ผู้รู้คือปัญญา ผู้ตื่นจากหลับคือปัญญา ผู้เบิกบานก็ต้องเบิกบานด้วยปัญญา ไม่มีปัญญามันก็เบิกบานไม่ได้
ในพุทธศาสนาประกอบขึ้นด้วยปัญญา ที่จำเป็นจะต้องมีทุกรูปแบบเลย นี่ล่ะปัญญา ความรู้นั่นแหละ คือตัวพุทธศาสนา หรือตัวพุทธบริษัทผู้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่เราก็จะต้องรู้จักไอ้สิ่งนี้ คือสิ่งที่เรียกว่าปัญญานี่กันให้ได้ ว่ามันจะเป็นเครื่องตัดปัญหาที่เป็นภายใน ก็เรียกว่าข้าศึกศัตรูภายในคือมิจฉาทิฏฐิ ถ้าจะเปรียบกันแล้วศัตรูภายในคือมิจฉาทิฏฐินี้ มันร้ายกาจยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์นะ ซึ่งมันเป็นเรื่องภายนอก และคอมมิวนิสต์มันก็เป็นประกายที่กระเด็นออกมาจากมิจฉาทิฏฐิ ก็เรียกว่ามันมีต้นตอมาจากมิจฉาทิฏฐิเหมือนกัน และถ้าว่ามันเห็นแก่ตัวกันแล้วก็จะต้องถือว่ามันผิดด้วยกันทั้งนั้นแหละ มันมาจากมิจฉาทิฏฐิด้วยกันทั้งนั้น ถ้านายทุนไม่เห็นแก่ตัวก็มีปัญญา มีสัมมาทิฏฐิ เรื่องมันก็เกิดไม่ได้เหมือนกัน มันระงับไปได้เสียตั้งแต่ตอนต้น นี่ถ้าคอมมิวนิสต์ยังมีปัญญาอยู่บ้าง เขาก็จะแก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องฆ่าใครนี่ นี่ก็ว่าเพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่าปัญญา
ตอนนี้อาตมาอยากจะพูดถึงเรื่องภาษาบาลีอีกคำหนึ่ง คือคำว่าเศรษฐี เศรษฐี ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายเข้าใจคำว่าเศรษฐีนั่น อย่าเอาไปปนกับคำว่านายทุน นายทุนนั่นมัน มันต้องการรวบรวมทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่ตัวกู ถ้าเศรษฐีตามตัวอักษรที่ถูกต้องแล้วมันทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น คำว่าเศรษฐีนั่นมันมาจากคำว่าเศรษฐเศรษฐ คำนี้แปลว่าประเสริฐที่สุด และอี อีที่ทำให้เป็นเศรษฐีขึ้นมานั้นก็แปลว่ามี เศรษฐีแปลว่าเป็นผู้มีความประเสริฐที่สุด มีจริงถ้าเป็นเศรษฐีนั่นเพราะว่าเขาทำไปด้วยสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกต้องว่าควรจะทำอย่างไร
นี่ควรทำความเข้าใจกันสักนิดหนึ่งว่าเศรษฐีที่ปรากฏอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา เขาเลี้ยงคนไว้เป็นอันมากด้วยความรัก เหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่ใช่เลี้ยงอย่างทาสนะอย่าเอาเอาไอ้ ไอ้ความเลวร้ายไปป้ายเศรษฐี เศรษฐีไม่ได้เลี้ยงคนอย่างทาส ถ้าเป็นเศรษฐีที่ตามหลักพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าเอามันมาซื้อแขกดำไปไถนาที่อเมริกา ฝรั่งนั่นนั้นมันเป็นเลี้ยงอย่างทาสและไม่ใช่เศรษฐี เขาเลี้ยงคนมากเพราะความเมตตากรุณา เลี้ยงอย่างลูกอย่างหลาน ใครมันไม่มีที่พึ่งมันยากจน หรืออะไรก็ตามมันก็ไปพึ่งเศรษฐีได้ แล้วก็ชวนกันทำงาน เป็นอยู่ด้วยกันในระดับที่เหมือนลูกเหมือนหลาน เพราะมีความรักกันมากมันจึงทำงานได้ผล
ผลงานนี้เขาเอาไปสร้างโรงทาน แก้ไขปัญหาของคนยากจน สังคมที่ยากจน แล้วก็เอาทรัพย์ที่เหลือนะไปซ่อนไว้ ไม่ไม่มีธนาคารฝาก เอาทรัพย์ไปซ่อนไว้ ไปฝังไว้ที่ไหนก็ตามเถิด จะได้เอาออกมาใช้เมื่อมันต้องการเงินหรือมันขาดแคลนเงินให้โรงทาน มันมีอยู่ได้ตลอดไป นี่ขอขอให้มองดูว่าเจตนารมณ์ของมันก็คือทำงานดีมากที่สุด กินแต่พอดี เก็บไว้แต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น นั่นแหละความหมายของคำว่าเศรษฐี ทำงานมากผลงานมาก กินเก็บแต่พอดี เหลือไปช่วยผู้อื่น เป็นสังคมสงเคราะห์ไปหมด แม้แต่สร้างวัดน่ะสร้างวัดเต็มไปหมด เพราะมันเป็นเรื่องของพวกเศรษฐี
แต่คำว่านายทุนสมัยนี้น่ะมันไม่ใช่อย่างนั้นนี่ มันผู้รวบรวมกำลังทรัพย์ และมันก็ไม่ได้มีการสงเคราะห์สังคมอย่างนี้ ไม่เคยสร้างวัด มันก็ใช้อำนาจเงินบีบคั้นเอาเงินที่ยังไม่มีที่ยังอยู่ของผู้อื่นมาเป็นของตน เอาอำนาจเงินบีบเอาเงินของผู้อื่นมาใส่ให้แก่ตนไม่มีที่สิ้นสุด แล้วไม่มีคำว่าสังคมสงเคราะห์ นั่นแหละคือนายทุน กลัวว่าจะเอาไปสับ สับเอาไปปนกันเสียว่ามีเงินมากแล้วก็เรียกว่าเศรษฐีกันได้ เรียกว่านายทุนก็ได้ นี่มันต่างกันลิบเลย
ฉะนั้น ปัญหาของเรามันก็เกิดขึ้นน่ะ เพราะคำว่านายทุนนั่นต้องประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นแก่ตนน่ะ ถ้าคำว่าเศรษฐีต้องประกอบไปด้วยสัมมาทิฏฐิเห็นแก่มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย นั่นแหละเศรษฐี จริงๆไม่มีทางที่จะสร้างปัญหาเนื่องจากความเห็นแก่ตน เพราะมันไม่เห็นแก่ตน มันก็ไม่สร้างปัญหาที่เกิดมาจากความเห็นแก่ตน ทีนี้คนยากจนก็เหมือนกันแหละ ถ้าเขาเชื่อพระเจ้า คำสั่งสอนของพระเจ้า เขาจะไม่ยากจน เดี๋ยวนี้อยากจะพูดว่าบางคนน่ะ บางคนเป็นผู้นำในราชการด้วยซ้ำไป พูดอย่างเขลาๆว่า ไม่มีอาหารจะกินยังอดอยากอยู่ มีศีลธรรมไม่ได้มีธรรมะไม่ได้ ถ้าใครมีความคิดอย่างนี้อาตมาขอร้องเดี๋ยวนี้ว่ามันเป็นคำพูดที่ผิดที่สุดเลย มันต้องพูดกลับกันแล้วว่าที่มันยากจนเพราะว่ามันไม่มีศีลธรรม ถ้ามันมีศีลธรรมมันไม่มีทางจะยากจน เพราะคำว่าธรรมะหรือศีลธรรมเนี่ยก็มีความหมายชัดเจนว่ามันต้องทำหน้าที่ของมุษย์
ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ก็ต้องถือเอาตามหลักภาษาอินเดีย ที่เขาว่าธรรมะนั่นมันภาษาอินเดียไม่ใช่ภาษาไทยนี่ ไปซื้อดิกชั่นนารีธรรมดาๆในประเทศอินเดียมันรู้เลย เปิดดูซิคำว่าธรรมะมันแปลว่าหน้าที่ นี่ตรงตามหลักพุทธศาสนาธรรมะแปลว่าหน้าที่ มนุษย์มีหน้าที่สองระดับ หน้าที่แรกคือให้รอดอยู่ได้ไม่ตาย นี่พอหน้าที่ที่สองให้ดียิ่งๆขึ้นไปจนสูงสุดบรรลุมรรคผลนิพพานมันมีอยู่สองระดับ แต่เรียกว่าหน้าที่เสมอเหมือนกันหมด
ใครทำหน้าที่คนนั้นมันมีธรรมะ คนนั้นปฏิบัติธรรมะ ก็ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ เช่นเดียวกับ เอ่อ, แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังต้องทำหน้าที่ คือการหากินของมันนั่นแหละ คือการทำหน้าที่แล้วมันก็ มันก็อยู่ได้ แม้แต่ต้นไม้นี่เหล่านี้ก็ต้องทำหน้าที่ตลอดเวลานะนี่ ต้องดูดน้ำ ดูดอาหาร ดูดแร่ธาตุและแสงแดด แล้วก็ทำการเปลี่ยนสังเคราะห์ทางเคมีแล้วเอามาเลี้ยงต้น มันก็ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลาไม่งั้นมันต้องตาย ธรรมะแปลว่าหน้าที่ เป็นมนุษย์ก็ต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ เป็นสัตว์ทำหน้าที่ของสัตว์ เป็นต้นไม้ก็ต้องทำหน้าที่ของต้นไม้ สรุปความว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทุกชนิดต้องทำหน้าที่ แล้วก็รอดอยู่ได้
ฉะนั้น หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ พอเรามีความรู้ถูกต้องอย่างนี้เราก็พอใจที่จะทำหน้าที่เพราะว่ามันเป็นธรรมะนี่ ถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง กวาดถนน ล้างท่ออยู่ทั้งนั้นนะ ถ้าเขารู้ธรรมะอย่างชาวพุทธเขารู้ เรากำลังทำหน้าที่ คือธรรมะ มีธรรมะ แล้วก็พอใจในหน้าที่นั้นๆ เขายอมรับสภาพที่ว่าเผอิญธรรมชาติมันสร้างเรามามีความสามารถเพียงเท่านี้ ในชั้นนี้นะ ธรรมชาติมันสร้างเรามามีความสามารถเพียงว่าแจวเรือจ้าง หรือกวาดถนน หรือถีบสามล้อ เราก็ต้องยอมรับสภาพนี้แล้วทำหน้าที่อันนี้คือธรรมะ ด้วยธรรมะในหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ แล้วก็ทำมันด้วยความเต็มใจ มันก็แจวเรือจ้างสนุกไป กวาดถนนสนุกไป ล้างคูสกปรกสนุกไป เพราะมันถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรม
อาตมาเคยไปกรุงเทพฯในยุคแรกๆเมื่อหกสิบปีมาแล้วโน่น อาตมาเห็นไอ้กรรมกรทั้งหลายนะไม่ หน้าตาไม่เครียด เป็นยักษ์เป็นมารเหมือนเดี๋ยวนี้ แจวเรือจ้าง ร้องเพลงไปพลางแกว่งขาข้างหนึ่งอยู่ในอากาศไปพลาง แจวเรือไปพลาง จากสถานีรถไฟบางกอกน้อยมาถึงแถวเยาวราชวัดปทุมคงคานี่สองบาทเท่านั้นแหละ นี่มันเป็นสุขพอใจอย่างยิ่ง มันเป็นสุขซะแล้วในการทำหน้าที่ไม่ใช่เพื่อเงินสองบาท และความพอใจ เอ่อ,มันยอมรับสภาพว่าเนี่ยตรงกับเรื่องของเรา ที่เดี๋ยวนี้เรายังเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ไม่ต้องคิดว่าไปขโมยดีกว่า ที่คนเดี๋ยวนี้มันหลงในปัจจัยทางกามารมณ์ มันไม่พอกินมันไม่พอกับกามารมณ์ไม่พอค่าเหล้า โอ๊ย, มันก็ต้องไปขโมยดีกว่าจะมาทำหน้าที่อยู่อย่างไร นี่เรียกว่าเขาไม่รู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่
นี่เขาบูชาธรรมะคือหน้าที่ ก็เลยทำงานสนุก ประโยคนี้เราได้คำสรุปว่าทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน มันเป็นสุขเพียงพอซะแล้วเมื่อกำลังทำงานแล้วจะไปหาความสุขที่หลอกลวงอะไรกันอีกล่ะ จะไปอาบอบนวด หรือไปทำอะไรที่ไม่ใช่ความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินหลอกลวงที่ต้องใช้เงินจนเงินไม่พอใช้ นี่เมื่อเขาบูชาธรรมะคือหน้าที่คือการงานแล้ว เงินมันก็ค่อยๆเหลือค่อยๆเหลือ ก็มีกินมีใช้ ก็กินใช้แต่พอสมควรแก่สภาพ มันก็ค่อยๆเหลือค่อยๆเหลือจนไม่ต้องแจวเรือจ้างล่ะ จนเลื่อนขึ้นมา จนเลื่อนขึ้นมา มาเป็นคนร่ำรวยในที่สุดก็ได้ ที่มันเคยถีบสามล้อ ถ้ามันถือหลักอันนี้ มันจะเหลือจนมาใช้รถตุ๊กตุ๊กได้ ต้องมีรถยนต์ได้มีบ้านมีเรือนมีอะไรได้
ที่มันยากจน จนลงไป จนลงไป เพราะมันไม่มีธรรมะ เพราะมันไม่มีศีลธรรมเพราะมันไม่สนุกในการทำงาน การทำงานซึ่งเป็นตัวศีลธรรม นั้นมันมันไม่สนุก มันก็กระฟัดกระเฟียดทำ ถ้าเห็นช่องโอกาสจะจี้จะปล้นมันก็ไปทำ เพราะมันบูชาวัตถุเรื่องทางกามารมณ์ มันก็ยากจน เดี๋ยวนี้มันจะทำงานเพื่อกามารมณ์กันเสียทั้งหมด เอาข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์มาพิจารณาดูที่มันฆ่ากันอย่างไม่น่าจะฆ่ากันน่ะมีมูลเหตุมาจากความลุ่มหลงทางกามารมณ์ทั้งนั้น จะไปเล่นม้าหรือว่าจะไปเล่นการพนันแบบไหน ก็มันเพื่อวัตถุปัจจัยมาซื้อหากามารมณ์กันทั้งนั้น นี่ความผิดพลาดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ประกอบข้าศึกขึ้นในภายในใจแล้วออกไปภายนอกเดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ความปลอดภัยในกรุงเทพฯสมัย 60 ก่อนนั้น อาตมายังจำได้ดีว่ามันรู้สึกสะดุ้งประหลาดใจ เอ๊ะ, ที่นี่ทำไมมันปลอดภัยขนาดนี้ ที่บ้านนอกเราหาความปลอดภัยอย่างนี้ไม่ได้ นั่ง นั่งรถลาก เจ๊กรถลากคนเดียวเป็นชั่วโมง ไปไกลๆในที่เปลี่ยวๆไม่มีใคร มันก็ยังปลอดภัยสมัยอาตมาไปกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ดูเถิดมันไม่ได้แล้ว อยู่ในห้องนอนยังไม่ปลอดภัยเลย อย่าว่าแต่จะทำอย่างนี้ นี่มันเปลี่ยนเอามากในกรุงเทพฯนั้นแหละ ถ้าๆรู้ ถ้ารู้เรื่องโดยสังเกตุว่ามันจะเห็นอย่างนี้ คือศีลธรรมมันหมดไป
มันไม่มีใครที่จะถือศีลธรรม เพราะเปลี่ยนศาสนากันหมดแล้ว ถือศาสนาได้ ได้เงินได้ของนั่นแหละดี นั่นแหละคือศาสนา นั่นแหละคือความถูกต้อง ถ้าฉันได้สิ่งที่ฉันต้องการแล้วนั่นแหละคือความถูกต้อง อย่างนี้อันธพาลก็เต็มเมือง ทีนี้ฝ่ายคนยากจน แต่ก่อนได้รับคำสั่งสอนธรรม คือการงาน การงานคือธรรมะ ทำงานสนุกไปเลย มันติดเหลือซากมาให้เห็นเมื่ออาตมายังเด็กๆยังหนุ่มๆอยู่ เห็นคนแก่ที่เป็นชาวนาทำนาจนลืมกินข้าว เหงื่อไหลไคลย้อยอยู่กลางแดดลืมกินข้าว สายจะเที่ยงอยู่แล้วยังไม่ได้กินข้าว เพราะจิตใจมันสนุกมันเอร็ดอร่อยอยู่กับการไถนานั่นเอง ดูเหมือนเหงื่อออกมามันจะกลายเป็นน้ำเย็น น้ำมนตร์ น้ำหอมด้วยซ้ำไป มันก็ทำงานได้เรื่อยจนลืมกินข้าว พอขายข้าวได้มันก็ไม่เอาเงินไปซื้อเหล้ากินเหมือนเหมือนเดี๋ยวนี้ มันทำให้เป็นหลักทรัพย์เพื่อความมั่นคงเจริญต่อไป ชาวนาชาวสวนชาวอะไรก็ตามเหอะ เขามันมีความเป็นอยู่อย่างนี้
แต่ครั้นมาถึงสมัยที่วัตถุเจริญและคนละทิ้งศาสนาไม่มีใครถือหลักอย่างนี้ คือฉันได้แล้วเป็นดี ยามเมื่อมันไม่ได้มันก็ต้องต่อสู้ต่อต้านมั่งแหละ คนจนจึงรวมหัวกันทำลายคนมั่งมี ทั้งอยากใส่ร้ายคนมั่งมีข้างเดียวหรือฝ่ายเดียว เห็นหนังสือที่เขียนมาเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์นี่มักจะใส่ร้ายคนมั่งมีข้างเดียว แม้หนังสือตอลสตอยอาตมาก็เคยอ่านอันนี้ไม่ไม่ยุติธรรมน่ะ มันพูดแต่เลือกพูดข้างเดียว ถ้าคนมั่งมีมันก็เห็นแก่ตัว ทางฝ่ายยากจนก็เห็นแก่ตัว มันก็ได้ฆ่ากันไม่มีที่สิ้นสุดแหละ ถ้ามันเกิดไม่เห็นแก่ตัวเสียข้าง แม้ข้างเดียวมันก็จะหยุด ถ้าคนมั่งมีไม่เห็นแก่ตัว แล้วโลกนี้เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย
โลกพระศรีอาริยเมตไตรยนี้ก็น่านึกอยู่เหมือนกันนะว่ามันเป็นโลกอย่างไร ที่ท่านเขียนไว้ในคัมภีร์เก่าๆนั่น มันเต็มไปด้วยความรักสมชื่อมันนั่นแหละ เมตไตรยะมันประกอบอยู่ด้วยเมตตา หรือเกื้อกูลแก่เมตตา เกื้อกูลแก่ความรัก เมตไตรยะนั่น ศรีประเสริฐอารยะก็ประเสริฐถึงที่สุดสูงสุด ศรีอริยเมตไตรย ความรักเพื่อมนุษย์สูงสุด และเขาก็มีหลักธรรมะที่ว่า ธรรมะคือหน้าที่ การงานคือธรรมะ นี่ก็ทำงานมันก็เหลือกินเหลือใช้ ก็ไม่มีอบายมุข ไม่มีสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นเลยทุกคนมีเงินเหลือใช้สำรองไว้เพื่อแก้ปัญหา มันไม่มีใครยากจนสิ มันไม่มียากจนในสัตว์ในโลกพระศรีอารย์นี่ ไม่มีใครไม่มีใครยากจน
และมันก็มีที่เรียกว่ากัลปพฤกษ์ทั่วไปทุกมุมเมืองน่ะ ใครไปต้องการก็ไปขอได้ที่นั่น มันไม่เดิน ไม่ต้องเดินไปขอถึงที่นั่น พอลงจากบ้านเท่านั้นนะมันก็มีมือยื่นมาสลอนรอบข้างเราน่ะ จะให้ช่วยอะไรจะให้ช่วยอะไรจะให้ช่วยอะไร เท่านี้มันก็พอแล้ว พอเราลงมาจากเรือนเท่าน่ะมันมีมือยื่นมารอบตัวเรา จะให้ช่วยอะไรจะให้ช่วยอะไร คราวนี้เขาเขียนไว้ในคัมภีร์ว่า มีกัลปพฤกษ์ที่เบิกเอาได้ที่ไปขนเอาได้ แล้วก็ทุกคนรักผู้อื่น รักผู้อื่นเหมือนกับตน เขาเขียนไว้ว่าพอลงจากบ้านเท่านั้นนะ พอเราลงมาจากบ้าน เราไม่รู้ว่าใครเป็นใครเพราะมันเหมือนกันหมด มันมีแต่มือที่ยื่นออกมาว่าให้ช่วยอะไร ช่วยอะไร ก็เลยรู้ไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันกับเรา กลับไปบ้านและขึ้นบนเรือนแล้วเข้าไปในห้องจึงรู้ว่านี่เมียของเรา นี่ลูกของเรา นี่อะไรของเรา พอลงมากลางถนนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มีแต่คนดีเหมือนกันไปหมด นี่เรียกศาสนาพระศรีอริยศรีเมตไตรย
ที่คอมมิวนิสต์เขาเอาไปอ้างว่าเขาจะจัดโลกนี้ให้เป็นโลกพระศรีอริยศรีเมตไตรย ไม่ต้องเชื่อไม่มีทางน่ะ ไอ้คนเห็นแก่ตนน่ะ จะจัดโลกให้เป็นโลกพระศรีอารย์ได้ยังไงล่ะ มันจัดได้แต่คนในโลกของคนที่รักผู้อื่นเท่านั้นแหละ และก็บูชาการงาน บูชาการงาน การงานนะคือความเป็นมนุษย์ การงานคือเกียรติสูงสุด การงานคือธรรมะ แล้วก็สนุกในการทำงาน มีความสุขเมื่อทำงานน่ะแล้วโลกจะเป็นโลกพระศรีอริยเมตไตรยขึ้นมาทันที่ ให้คนในโลกนี้มันเป็นสุข ให้มันสนุกเมื่อทำงาน มันทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานนี่ ช่วยๆจำไว้ด้วยอาตมาขอ ขอฝากนะให้จำคำว่าทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ถ้าใครถือหลักอย่างนี้แล้วโลกนี้ทั้งโลกจะเป็นโลกของพระศรีอริยเมตไตรย โลกพระศรีอารย์ ไม่มีใครขาดแคลน มีแต่คนจะยื่นมือช่วยกันและกันสลอนไปหมด
บางคนจะคัดค้านว่าทำไม่ได้ มันทำงานให้สนุกมันทำไม่ได้ มันผิดธรรมชาติ ก็บอกว่าจริงถ้าคนที่มันไม่ได้รับอบรมธรรมะ มันทำไม่ได้ล่ะ ไอ้คนที่ไม่มีจิตเป็นธรรมะมันทำงานให้สนุกไม่ได้ เพราะกิเลสของมันอยากจะไปแสวงหากามารมณ์ มันทำงานสนุกไม่ได้ พอเหงื่อออกมามันก็โกรธมันก็ไปขโมยดีกว่า เพราะฉะนั้นขโมยจึงชุมนักเพราะเขาไม่มีธรรมะ ที่สอนให้รู้ว่าไอ้งานน่ะคือธรรมะ ธรรมะน่ะคืองาน พอได้ทำพอได้ทำงานรู้สึกว่ามีธรรมะ แล้วก็พอใจและมันก็สนุก
ไอ้ความสนุกนี่ก็มีสองแบบนะ สนุกเพราะอำนาจของกิเลส มันก็ต้องทำอำนาจทำสิ่งที่เป็นกิเลส ทีนี้สนุกในอำนาจของธรรมะของโพธิของธรรมะเนี่ย มันไม่ต้องมีเหยื่อของกิเลสมันก็ทำงานสนุก เพราะจิตใจมันเข้าถึงธรรมะ ถ้าจิตใจไม่เข้าถึงธรรมะทำงานไม่สนุก ฉะนั้น คนโดยมากจึงไม่เชื่อว่า การทำงานนี่เป็นการทำให้สนุกได้ เขาจะไม่เชื่อ มันก็ต้องต่อว่าต้องเปลี่ยนจิตใจกันซะบ้างสิ อย่าเป็นจิตใจธรรมดาเห็นแก่เนื้อหนังนักสิ มีธรรมะเห็นแก่ธรรมะ เห็นว่างานคือธรรมะก็ทำงานสนุก
อาตมาก็ถือหลักอันนี้ล่ะที่ดำเนินการของสวนโมกข์นี้มาเป็นเวลาสี่สิบห้าสิบปีก็ถือหลักอันนี้ มันจึงทำมาได้ ไม่อย่างงั้นมันทำไม่ได้ล่ะ เพราะว่ามันมันเหน็ดเหนื่อยหรือมันน่าเหน็ดเหนื่อย แต่มันมีความรู้ข้อนี้ ว่างานคือธรรมะ ธรรมะคืองาน การทำงานคือการปฏิบัติธรรมน่ะมันเลยทำสนุก มันสนุกเมื่อในการทำและมันเลยทำได้มากกว่าธรรมดา คนธรรมดาเขาว่าทำงานกันแปดชั่วโมงนั้นเหนื่อยแล้วพอแล้ว แต่อาตมาทำงานวันละ สิบแปดชั่วโมงคิดดูสิ แถมให้อีกสิบชั่วโมงก็ไม่เหนื่อย เพราะจิตใจมันสนุกอยู่กับการทำโดยโดยรู้สึกไอ้สิ่งที่เราทำอยู่เนี่ยประเสริฐที่สุด
นี้จึงทำได้มากทั้งในทางวัตถุหรือในทางด้านหนังสือหนังหา เดี๋ยวนี้อาตมาแสดงไว้ในตึกแดงเนี่ย ถ้าๆมีเวลาเข้าไปดูสักแวบหนึ่งก็ได้ในตึกแดงนั่นนะ หนังสือทั้งหมดนั้นนะอาตมาทำคนเดียว เพื่อจะเป็นหลักฐานพยานพิสูจน์มันทำได้นี่ ทำงานให้สนุกมันทำได้ ถ้าทำไม่สนุกมันจะทำมากเท่านั้นไม่ได้ นั้นคนโดยมากเข้าไปดูแล้วท่านบอกว่าไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้ทำคนเดียว อาตมาก็ยืนยันตลอดเวลาทั้งหมดนี้ทำคนเดียว ทำไมจึงทำได้เพราะมันทำงานสนุกเท่านั้นเอง นี่พยานมันมีอยู่ที่นี่
อันที่จริงมันก็ไม่ได้เอามาแสดงทั้งหมดนะ เอามาแสดงเท่าที่แสดงนี่ไม่ใช่ทั้งหมดแต่คนเขาก็ไม่เชื่อซะแล้วว่าทั้งหมดนี้ทำคนเดียว นี่เราทำงานสนุกชนิดวันละสิบแปดชั่วโมง มันก็รู้จักจัดงานให้มันเป็นไปได้ บางทีก็นั่งทำนอนทำ หรือเพียงแต่เพียงคิดเพียงเขียนเพียงมันสลับกันไปได้ ให้รวมเวลาแล้วมันทำงานสิบแปดชั่วโมงแหละ มันเที่ยงคืนไปแล้วมันจึงจะพักผ่อนหรือนอนหลับ บางทีตื่นตั้งแต่ก่อนสว่างก็ยังคิดยังนึกในงานนั้นต่อไป ก็เรียกว่าทำงานสิบแปดชั่วโมงนี้ไม่ๆผิดเลย ทำได้แล้วเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน
วลีแรกว่าทำงานให้สนุก วลีที่สองว่าเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน ไม่ใช่เลิกงานแล้วเอาเงินไปซื้อเหล้าหรือไปอาบอบนวด เมื่อกำลังทำงานอยู่นั่นแหละเป็นสุข ก็พอใจ พอใจที่ทำได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันเป็นสุขจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าใครทำอย่างนี้พอเลิกงานแล้วก็นอนก็ได้ ไม่ต้องไปอาบอบนวด ไม่ต้องสถานเริงรมย์ เพราะความสุขมันถูกอัดตัวเต็มซะแล้ว มันเป็นความสุขที่เต็มซะแล้วมันไม่ต้องการความสุขอีก ถ้าไปสถานเริงรมย์เหล่านั้นมันไม่ใช่ความสุขหรอก มันเป็นความเพลิดเพลิน ทางธรรมะเขาเรียกความเพลิดเพลิน นันทิราคะนี้เขาเรียกว่าความเพลิดเพลิน และไม่ใช่ความสุข ดังนั้นจึงต้องใช้เงินเพราะมันเป็นความสุขปลอม ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง กินเหล้าเมายากัน สุรานารีนั่นแหละ ไม่ใช่ความสุขเป็นความเพลิดเพลิน ถ้าจัดว่าเป็นความสุขมันก็เป็นความสุขปลอม
ความสุขปลอมมันก็หลอกให้เสียเงินจนเงินเดือนไม่พอใช้ ต้องคอรัปชั่น นี้คนที่คอรัปชั่นทั้งหลายมันมีมูลมาจากเอาสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขมาเป็นความสุข แล้วไปหลงใหลซื้อหาจนเงินหมด เงินหมดก็ยังไม่พอ นี่มันเป็นปัญหาของคนยากจน ที่จะเป็นรากฐานของคอมมิวนิสต์อะไรก็ตามนะ เขาไปบูชาไอ้สิ่งที่ไม่ใช่ความสุขว่าเป็นความสุข คือความเพลิดเพลินแล้วมันก็ไม่พอ มันก็ไม่พอจริงเหมือนกันแหละ ก็เลยต้องยื้อแย่งกัน จึงพูดเป็นหลัก สำหรับเข้าใจได้ง่ายๆว่า ถ้ามันเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ต้องซื้อแม้แต่สตางค์แดงเดียว แต่ถ้ามันเป็นความสุขปลอมแล้วเงินเท่าไรก็ไม่พอ นี่จะต้องพูดอย่างนี้ เพราะความสุขจริงมันสุขเสียแล้วเมื่อกำลังทำงาน มันจะได้เงินอะไรกันละ พอทำงานเสร็จมันอิ่มเสียแล้วมันไม่ก็ต้องจ่ายอีกแม้แต่หนึ่งสตางค์ ไม่ต้องไปอาบอำนวด
มันสมกับคำที่พระพุทธเจ้าท่านว่า นิพพานให้เปล่า ความสุขสูงสุดคือนิพพานนั้นเป็นของได้เปล่าไม่คิดสตางค์ ฉะนั้น ช่วยจำกันเถิดว่าถ้าต้องจ่ายสตางค์แล้วไม่ใช่ความสุข เป็นความสุขปลอมเป็นความเพลิดเพลิน ยิ่งเป็นความสุขเท่าไรยิ่งไม่ต้องใช้เงินเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรามีมิจฉาทิฏฐิในข้อนี้ มิจฉาทิฏฐิเรื่องนี้เป็นข้าศึกอยู่ในภายในทำลายกันหมด มันเป็นต้นเหตุให้ทำอาชญากรรมอื่นๆ เด็กๆวัยรุ่นทั้งหลายเป็นอาชญากรเพราะมันเข้าใจผิดข้อนี้ เอาความเพลิดเพลินของกิเลสเป็นความสุข
ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไรเมื่อนั้นมันเป็นความสุขที่แท้จริง นึกแล้วขยะแขยงตัวเอง และเมื่อนั้นล่ะเป็นความเลวร้าย เป็นความทุกข์ มันเป็นสวรรค์ถ้าจะให้จำง่ายก็ว่าเป็นสวรรค์เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ และเป็นนรกเมื่อมันขยะแขยงต่อตัวเอง พอนึกถึงตัวเองแล้วขยะแขยงไหว้ไม่ลงนั้นนะเป็นนรก ถ้านึกถึงตัวเองแล้วเอ่อพอใจชอบใจยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นมันเป็นสวรรค์ ถือนรกถือสวรรค์กันแบบนี้เป็นยาเสพติด พุทธศาสนาสอนอย่างนี้จะเป็นศาสนายาเสพติดได้อย่างไรละ มันก็กำจัดไอ้ยาเสพติดอยู่ตลอดเวลา กิเลสนั่นเป็นยาเสพติดยิ่งกว่าสิ่งใดหมด
เรามีพระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ รักผู้อื่น รักผู้อื่นนั้นล่ะหัวใจพุทธศาสนา อาตมาพูดออกจะมันขวางกับผู้อื่นพูดนะ บอกว่าถือศีลข้อเดียวก็พอ ถือศีลคือข้อเดียวคือรักผู้อื่นสิ รักผู้อื่นข้อเดียวพอ ถ้ามันรักผู้อื่นแล้วมันมันจะฆ่าใครได้เล่า มันก็ไม่ฆ่า มันรักผู้อื่นแล้วมันขโมยเขาไม่ได้สิ มันก็ไม่ขโมย รักผู้อื่นแล้วมันก็ล่วงละเมิดกาเมใครไม่ได้มันก็ไม่ล่วง รักผู้อื่นแล้วมันก็โกหกหลอกเขาไม่ได้มันก็ไม่โกหก มันไม่ดื่มน้ำเมาให้ใครรำคาญนะ (นาทีที่ 56.38) ...พอ นั้นถือศีลข้อเดียวว่ารักผู้อื่นเถิดเท่านั้นนะมันจะแก้ปัญหาได้
ถ้าคนยากจนเขาถือศีลข้อเดียวนี้เขาจะพ้นจากความยากจนขึ้นมาทันที ทั้งหมู่ทั้งคณะแหละ เขารักกันเขาไม่เบียดเบียนกันและเขาทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน เขาก็เลื่อนฐานะของตัวเองขึ้นมาได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องมีใครอื่นที่ไหนมาช่วย ไม่ต้องร้องให้แต่รัฐบาลช่วยน่ะ ถ้ามันทำงานสนุกและเป็นสุขเมื่อทำการงานน่ะมันจะเลื่อนฐานะขึ้นมา จากถีบสามล้อเป็นไอ้ขับรถตุ๊กตุ๊ก จากขับรถตุ๊กตุ๊กเป็นขับรถยนต์ เดี๋ยวมันก็มีบ้านมีช่องมีอะไรที่เป็นหลักฐานน่ะ เพราะมันสนุกในการทำงาน เพราะมันเป็นสุขเสียแล้วเมื่อกำลังทำงาน ไม่ต้องเอาเงินไปเล่นม้า ไม่เอาเงินไปทำอบายมุขใดๆ
ถ้ามิจฉาทิฏฐิแล้วมันกลับบูชาไอ้ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ภาษาธรรมะเขาเรียกว่าเป็นทาสของอายตนะ คือเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะหาแต่เอร็ดอร่อยมามา มาป้อน อย่างนี้เรียกว่ามันหาเหยื่อมาป้อน มันไม่ได้กินอาหารตามธรรมชาติ เราจะต้องรู้ว่าไอ้สิ่งที่เรากินเข้าไปใช้เข้าไป บริโภคเข้าไปนั้นมันมีอยู่ ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งถูกต้องตามธรรมชาติเพื่อความอยู่เป็นผาสุก อีกชนิดหนึ่งเป็นเหยื่อของกามารมณ์ ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์ไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็ยากจนก็เพราะเหตุนี้ เพราะเขากินเหยื่อเขาไม่ได้กินอาหาร
ถ้าเรากินอย่างถูกต้องตามที่ควรจะกินอย่างนี้เรียกว่ากินอาหาร แต่ถ้าเขากินเพื่อส่งเสริมความรู้สึกอร่อยตะพึดนี่เขากินเหยื่อ คนหนึ่งกินอาหารไอ้คนหนึ่งกินเหยื่อมันต่างกันลิบ นี้คนโดยมากมันกินเหยื่อ มันก็ต้องนั่งรถไปไกลๆน่ะเพื่อไปกินอาหาร อาหารอย่างนั้นอาหารอย่างนี้ อาหารที่ว่ามันมีชื่อเสียงที่ไหนก็อุตส่าห์นั่งรถไปกินอาหาร มันกินข้าวราดแกงหน้าออฟฟิศไม่ได้ อย่างนี้มันเป็นการกินเหยื่อหมด มันก็ต้องมีปัญหาตามมาอีกมากมาย ขอให้เราทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อทำการงาน แล้วจึงจะมีสัมมาทิฏฐิ
เดี๋ยวนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไอ้คำว่ามิจฉาทิฏฐินี่เป็นคำหยาบคายมาก เป็นคำด่าสุดเหวี่ยง แต่ๆคนทั่วไปไม่รู้สึกเห็นเป็นการติเตียนเล็กๆน้อยๆ พอพูดว่ามิจฉาทิฏฐิจะรู้สึกว่าเป็นการติเตียนเล็กๆน้อย แต่ถ้าเป็นภาษาธรรมะแล้วเป็นคำด่าสุดเหวี่ยง ไอ้เลวชาติสุดเหวี่ยงเลยมิจฉาทิฏฐินี่ ไม่มีอะไรจะมาประณามกันให้รุนแรงเท่ากับว่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ
มันตั้งต้นที่ผัสสะ ตั้งต้นที่ผัสสะ คนเราพอได้อะไรมาอร่อยที่ตาสวยๆ ไพเราะที่หู หอมที่จมูก อร่อยที่ลิ้น นิ่มนวลที่ผิวหนังนี่ มันผัสสะทั้งนั้น มันก็หลงใหลในผัสสะนั้น มันมิจฉาทิฏฐิตั้งต้นว่าดีที่นั้น วิเศษที่นั้น ประเสริฐที่นั้น คือจะดีที่กามารมณ์ กามารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางผิวกาย ผัสสะมันตั้งต้นอย่างนั้นด้วยความโง่อย่างนั้น แล้วมันก็หลงว่าอย่างนั้นดีวิเศษ นี่ดูอันธพาลวัยรุ่น พอเขาไปปล้นไปจี้ได้เงินมาเขาเอาไปทำอะไร เขาเอาไปส่งเสริมผัสสะทั้งนั้น เพราะผัสสะทำให้เขาเข้าใจอย่างนั้น ถ้ามีการอบรมสั่งสอนให้รู้เรื่องนี้ มันก็จะลดมิจฉาทิฏฐิและลดอันธพาล
เดี๋ยวนี้ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เป็นสิ่งที่เขานิยมกันอยู่ มันก็ทำให้มิจฉาทิฏฐิหนักขึ้น มิจฉาทิฏฐิหนักขึ้นจนหน้ามืดจนไม่มี เอ่อ, ความคิดนึกอะไร จนพูดว่ากูตายซะดีกว่าถ้าไม่ได้อย่างนี้ มันก็เลยฆ่ากันตาย หรือยอมให้ตัวเองตายเพื่อเพื่อผัสสะทั้งนั้นนะ ที่ฆ่ากันมากขึ้นมากขึ้นซึ่งมันไม่เคยมี พ่อฆ่าแม่ แม่ฆ่าพ่อ ลูกฆ่าแม่ ลูกฆ่าพ่อมันก็จะมีขึ้น มีขึ้นมีขึ้น เพราะมิจฉาทิฏฐินี้มันเจริญงอกงาม
ผัสสะผัสสะตอนนี้เป็นไอ้ๆตัวการที่สุดน่ะ จะๆเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดมันก็อยู่ตรงที่ผัสสะ ถ้าโง่ต่อผัสสะแล้วก็เข้าใจผิดแล้วก็ไปทางผิด ถ้าฉลาดเมื่อผัสสะแล้วก็ไม่มีทางผิด เมื่อรู้สึกอร่อยเอ้อมันก็อร่อยน่ะก็รู้สึกว่าอร่อย แต่กูจะหลงมึงไม่ได้กูจะไม่ยอมหลง ถ้าเมื่อไม่อร่อยมันก็เรียกว่าไม่อร่อยกูจะโกรธมึงไม่ได้ กูก็จะไม่ยินดีเมื่ออร่อยไม่ยินร้ายเมื่อไม่อร่อย จิตปกติอยู่เสมอทำงานถูกต้องเสมอไม่ทำผิดเพราะอร่อยหรือเพราะไม่อร่อย นี่หลักธรรมที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาเรียกสั้นๆว่าไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะ
ความทุกข์เกิดที่จิตเพราะทำผิดเมื่อผัสสะ ความทุกข์เกิดที่จิตเพราะทำผิดเมื่อผัสสะ ความทุกข์จะไม่โผล่ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ จำไปเป็นคำกลอนก็ได้ ความทุกข์มันจะไม่โผล่ขึ้นมาถ้าเราไม่โง่เมื่อมันมีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าถูกใจเอร็ดอร่อย ก็เออก็เช่นนั้นเองนะตามธรรมชาติ ถ้าไม่อร่อยก็เช่นนั้นเองตามธรรมชาติ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย จิตปกติอยู่เสมอ แล้วก็ควรทำงานต่อไปตามที่ควรทำ ไม่มัว ไม่มามัวเกลียดอันนี้รักอันนี้ บูชาอันนี้
นี่เรามีเอ่อ! มีปัญญา ทันเวลาเมื่อมีผัสสะ ต้องมีสติสัมปัญชัญญะ ต้องมีสติเร็วๆพอสัมผัสอะไรอร่อยแล้วดูว่าจิตมันจะโง่หรือมันจะฉลาด มันต้องมีสติรวดเร็วควบคุมสิ่งเหล่านี้ อย่าได้ไปหลงโกรธกับมันอย่าไปหลงรักกับมัน มันใช้ไม่ได้ทั้งสองอย่าง ยินดีมันก็ทำผิดไปตามแบบยินดี ยินร้ายก็ทำผิดไปตามแบบยินร้าย อยู่ตรงกลางที่ถูกต้องมันจะทำไปอย่างถูกต้อง ฉะนั้น ถ้าเรามีศาสนากันอย่างนี้แล้วละก็มันก็เป็นโลกพระศรีอารย์ พระศรีอาริยเมตไตร คอมมิวนิสต์ก็ไม่อาจจะเกิด แม้แต่นายทุนก็ไม่อาจจะเกิด ลัทธินายทุนลัทธิคอมมิวนิสต์ต้องมาด้วยกันเสมอ
ถ้าเป็นการยื้อแย่งอำนาจ อำนาจในการ ในการมี ในการชื้อ ในการจ่าย ในการเอ่อ! มันเป็นการยื้อแย่งมันต้องมี มีมือสองมือมันจึงจะตบดัง ถ้ามีมือเดียวมันตบไม่ดัง และมันต้องมีผู้เห็นแก่ตัว ฝ่ายที่มีอำนาจเหนือและก็มีผู้เห็นแก่ตัว ฝ่ายที่ด้อยอำนาจ มันจะต้องได้ฆ่ากันตลอดไป พอทำลายความเห็นแก่ตัวออกไปเสียในโลกนี้ก็ไม่มีทั้งนายทุน ไม่มีทั้งคอมมิวนิสต์ ทีนี้เมื่อมันมีรูปโครงของความคิดนึกอย่างนี้แล้วเขาก็เสริมให้เป็นอุดมคติที่เลิศลอย อุดมคติมันเสริมให้เลิศลอยได้ ให้มันลุ่มหลงกัน ยอมๆถวายชีวิตได้ แต่ที่แท้มันเป็นความพ่ายแพ้แก่กิเลสเป็นทาสของกิเลสและเห็นแก่ตัวและทำไปตามอำนาจความเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ
นี่เอาปืนมายิงล้านกระบอก เอาระเบิดๆสักล้านลูกมันก็ไม่แก้ได้หรอก มันเป็นศาสตราวุธมันไม่แก้จิตใจคนได้ มันต้องเป็นปัญญาวุธ มันต้องบอกเขาให้รู้ว่าไอ้ที่ถูกมันเป็นอย่างนั้น ตามกฎของธรรมชาติ เราฝืนกฎธรรมชาติไปไม่ได้ บางทีก็พูดว่าพระเจ้า พระเจ้า พระเจ้าคือกฏของธรรมชาติ เราฝืนๆพระเจ้าไม่ได้ เราฝืนกฏของธรรมชาติไม่ได้ ให้เราปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ หรือตามความประสงค์ของพระเจ้า แล้วเราก็จะอยู่กันจนผาสุก
พวกฝรั่งสมัยก่อนเขาก็ถือพระเจ้า มีพระเจ้า มีบุญ มีบาป มีดี มีชั่ว ฝรั่งยุคแรกๆเข้ามาในเมืองไทย เราเลื่อมใสเขา เพราะเขาจะพูดถึงแต่เรื่องบังคับตัวเอง ฝรั่งไอ้รุ่นแรกๆที่เข้ามาเมืองไทยจริงๆจะเข้ามาอวดเราเหมือนกันหมด สอนเรื่องบังคับตัวเอง self control น่ะ บังคับตัวเองคือบังคับจิตได้ บังคับจิตอยู่ในความถูกต้องได้ แล้วเขาก็สอนไอ้เคารพตัวเอง ไอ้ self respect น่ะ self respect มันก็เคารพตัวเอง มันก็เหมือนกับเคารพไอ้การทำหน้าที่ของมนุษย์จนดีจนไหว้ตัวเองได้ เขาสอนเรื่องไอ้เชื่อตัวเอง self confidence ต้องๆเชื่อตัวเอง แน่ใจตัวเอง หมายหมั่นพึ่งตัวเองนี่ มันก็ทำสิ ในที่สุดในที่สุดมันก็ได้ผลคือว่าพอใจตัวเอง self contentment พอใจตัวเอง พอใจตัวเองมันก็พอแล้วนี่ มันเป็นสุขพอแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีน่ะ
อาตมาสังเกตดูฝรั่งที่คุยกันนี่ไม่มีน่ะ หาดูยากแล้ว ไอ้ฝรั่งยุคแรกๆที่เข้ามาเป็นครูบาอาจารย์ก็จะพูดเรื่องอย่างนี้ในแบบศีลธรรมของเขา ก็แปลว่าเขาก็ๆ ก็ไหลละลาย ไหลไปตามวัตถุนิยมหมดแล้ว นี่มันเป็นต้นตอทางตะวันตกนั้น ในทางความลดแห่งศีลธรรม ลดแห่งธรรมะ มันก็ตามกันไปตามกันไป เกิดเป็นแบ่งเป็นพวกเป็นพรรคขึ้นมาแล้ว เป็นสองฝ่ายขึ้นมาแล้ว แล้วไม่มีฝ่ายไหนกล้าๆถือศีลธรรม ถ้ามันเกิดเป็นศัตรูคู่อาฆาตจองเวรอยู่ต่อหน้ากันอยู่นี้แล้วไม่มีพวกไหนกล้าถือศีลธรรม เพราะเขาก็รู้สึกว่าถ้าฝ่ายไหนไปถือศีลธรรมฝ่ายนั้นจะเสียเปรียบทันทีเลย เมื่อเรายิงไม่ได้เขายิงได้เขาก็ได้เปรียบทันที
ฉะนั้น เดี๋ยวนี้โลกสองๆค่ายนี้ไม่มีค่ายไหนกล้าถือศีลธรรม เพราะว่าถือศีลธรรมแล้วมันเสียเปรียบฝ่ายหนึ่งทันที ไอ้ๆศาสนาเลยเป็นหมัน ไม่มีฝ่ายไหนกล้ายึดถือหลักธรรมะหรือหลักศาสนา นี่ข้อเท็จจริงน่ะที่ต้องมองดู อาตมาคิดว่าคืออย่างนี้ แล้วคนเหล่านั้นทั้งหมดก็บูชาวัตถุบูชาเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งความสนุกสนานเพลิดเพลินทางกามารมณ์ เขาจึงประดิษฐแต่สิ่งที่เฟ้อที่เกินจำเป็นน่ะ สิ่งฟุ่มเฟือยเหลือเฟือขึ้นมา ที่เขาจะชนะเอาเงินไปได้หรือว่าเอาอะไรไปได้ ชนะทางการเมืองชนะทางไหนก็ตาม เอาเงินไปสะสมสิ่งเหลือเฟือทางกามารมณ์ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นอยู่เหมือนกับเทวดากันแล้ว มันก็ยังไม่หยุด ไม่หยุดแสวงหาไอ้สิ่งเหลือเฟือทางกามารมณ์
แล้วขอให้สังเกตดูให้ดีนะ เอ่อ! ไอ้หนังสือพิมพ์ทั้งหลายเต็มไปหมด ที่มันส่งเสริมเรื่องกามารมณ์ให้ ให้จิตใจเลวมันก็มากอยู่แล้ว มากอยู่แล้ว แต่ที่มันมากกว่านั้นก็คือไอ้โฆษณาสินค้า ทีนี้เราไปดูสินค้าที่มันๆโฆษณาสิมันสิ่งเหลือเฟือทั้งนั้นเลย มันสิ่งเหลือเฟือแก่ชีวิตทั้งนะ นี่ถ้าใครไปแตะต้องไอ้สิ่งเหลือเฟือแก่ชีวิตมันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว แม้แต่เรื่องไอ้โฆษณาสินค้าตามธรรมดาเนี่ย มันก็ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวของๆของมนุษย์ เพราะว่ามันให้เป็นอยู่อย่างเหลือเฟือ ของแพงล้วนแต่เพื่อความสุข ทางเอ่อ! ทางกิเลสทั้งนั้นล่ะ เพราะฉะนั้นสิ่งเหลือเฟือมันจะส่งเสริมกิเลส ข้อดีมันจะต้องส่งเสริมความถูกต้องหรือธรรมะ
อย่างทีวีนี้อาตมาไม่กล้าให้เอามา มีคนหลายคนที่เขาหวังดีเขาเอามาให้แต่ว่าไม่เอา หลายๆละ เพราะว่ามันๆมีไอ้ส่วนที่ทำให้วินาศนะ มากกว่าส่วนที่จะทำให้ดี แม้แต่โฆษณาสินค้าน่ะมันก็ทำให้ๆพอใจในสิ่งที่เหลือเฟือที่ไม่จำเป็น ทีนี้ส่วนที่มันทำให้เกิดหลงใหลในกิเลสก็มากเหลือเกิน ถ้าเอาเข้ามาไว้เดี๋ยวพระเณรก็ดูทีวีเป็นบ้าไปหมดเลย ไม่ๆไม่กล้าเอามา นี่ยกตัวอย่างง่ายๆว่าในการโฆษณาของเรา มันเป็นเรื่องได้เปรียบข้างฝ่ายพญามารทั้งนั้น ไม่ๆ ไม่ส่งเสริมความได้เปรียบฝ่ายพระพุทธเจ้าเลย โฆษณาทีวีก็ดี วิทยุก็ดี หนังสือพิมพ์ก็ดีอะไรก็ดีน่ะ มันๆส่งเสริมกำลังแต่ฝ่ายพญามาร ไม่ส่งเสริมกำลังฝ่ายพระพุทธเจ้า
นี่เรามันไม่รู้จักผัสสะ เมื่อกระทบความอร่อยแล้วเราเป็นทาสของมัน อร่อยแล้วเป็นทาสของมัน อร่อยแล้วเป็นทาสของมัน ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง นี่ไป ขอฝากให้ไปพิจารณาดูว่า นี่ปัญหามันเกิดมาจากอันนี้ แล้วกลายเป็นปัญหาของสังคม แล้วกลายเป็นหาของโลกในยุคปัจจุบัน นายทุนก็เป็นทาสของกิเลส กรรมกรก็เป็นทาสของกิเลส ทุกคนแข่งกันเป็นทาสของกิเลส เคารพกันไม่มีวันสร่างซา
สัมมาทิฏฐิแก้ได้ทุกปัญหา รู้จักสิ่งเหล่านี้ตามที่เป็นจริง จะเห็นว่าธรรมะนั่นแหละคือสิ่งประเสริฐสุด เป็นหน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ในชั้นแรกทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ก็แล้วกัน แม้จะต้องอาบเหงื่อทั้งวันก็ยินดีทำเถอะ ทำไปอะไรมันก็ค่อยๆฟื้นขึ้นโดยไม่ต้องอาบเหงื่อทั้งวัน จนไม่ต้องอาบเหงื่อ แต่อย่าดีใจว่าไม่ต้องอาบเหงื่อแล้วจะหมดปัญหา ที่เรียกว่าเทวดาพวกเทวดาน่ะคือผู้ที่ไม่รู้จักเหงื่อ พวกที่ไม่รู้จักเหงื่อ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ชัดเลยว่าไอ้พวกเทวดานั้นพอ พอถ้ามีเหงื่อแล้วต้องตายทันที การจุติของเทวดาน่ะมีเหตุอยู่สองสามอย่าง และอย่างหนึ่งก็พอ พอเหงื่อแล้วต้องตายทันทีเทวดา คือมันหมดความเป็นนายทุน หมดความเป็นเทวดา เพราะมันต้องกลายเป็นทำงานหนักมีเหงื่อ
ส่วนพวกมนุษย์น่ะคือพวกที่อยู่กับเหงื่อ เส้นแบ่ง แบ่งมนุษย์ แบ่งสัตว์เป็นสองประเภทน่ะ เทวดาและมนุษย์น่ะ เทวดาคือไม่รู้จักเหงื่อพอรู้จักเหงื่อตายทันที แล้วลดลงเป็น ...(นาทีที่ 1.12.51) เป็นมนุษย์ มนุษย์นี่ผู้ๆอยู่กับเหงื่อ แต่อย่าลืมว่าทั้งมีเหงื่อและไม่มีเหงื่อน่ะมันเป็นทาสกิเลส มันยังเป็นทาสกิเลสกันอยู่ทั้งนั้น เทวดาก็มีกิเลสเป็นทาสของกิเลส เพราะฉะนั้นเทวดานายทุนทั้งหลายนี่ก็เป็นทาสของกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ แผดเผาอยู่ตลอดเวลา เป็นบ้าตายเสียก็มาก เป็นโรคประสาทอยู่ เอ่อ! มันก็เรียกว่ามีๆมีความทุกข์เสมอกัน
คนร่ำรวยที่สุดกับคนยากจนที่สุดน่ะมันมีความเสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือเป็นทุกข์ด้วยกิเลสเท่ากัน ไม่ใช่ว่ากิเลสของคนร่ำรวยมันจะช่วยให้มีความสุข มันก็บีบคั้น เผาผลาญเหมือนคล้ายๆเรียกว่ากิเลสของใครมันก็ จะบีบๆบีบคั้นเผาผลาญคนนั้นไม่ว่าจะร่ำรวยหรือๆยากจน ฉะนั้นเราจะต้องเอาธรรมะมา เพื่อแก้กิเลส ไม่มีการบีบคั้นของกิเลส เราจะหายใจคล่องขึ้น เราจะมองดูหน้ากันด้วยความรักได้ง่ายขึ้น แล้วมาอยู่กันในโลกนี้ด้วยความรักผู้อื่น ซึ่งเป็นหัวใจทุกศาสนา อาตมาพยายามสังเกตทดสอบว่าทุกศาสนาแล้ว โอ้!ในที่สุด พบว่าในทุกศาสนามันต้องมีหลักสำคัญอยู่ข้อหนึ่งคือรักผู้อื่น
ศาสนาที่ยังเหลืออยู่ในโลกเวลานี้ จะศาสนาไหนก็ตามน่ะ หัวใจอันหนึ่งของมันก็คือรักผู้อื่น เน้นมากแต่ว่าสาวกมันไม่ทำ ไอ้ตัวพระคัมภีร์มันสอนอย่างนั้นแต่สาวกมันไม่ทำตามนี่ ฆ่าก็กันเอง ถือศาสนาเดียวกันยังฆ่ากันเอง อันนี้มันไม่ถูก เราให้ความเข้าใจถูกต้องคือสัมมาทิฏฐิเข้ามา แล้วมิจฉาทิฏฐิจะหายไป นี่เราเรียกว่าเราปราบความเลวร้ายในโลกนี้ด้วยอาวุธคือปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ ที่อาตมาตั้งไว้เป็นหัวข้อว่าปัญญาวุธดีกว่าศาสตราวุธ ขอให้ได้ช่วยเอาไปคิดนึกศึกษาเถิด จะเอาไปประกอบกันนเข้ากับกิจการงานที่กำลังกระทำอยู่ได้สำเร็จ เพราะว่าปัญญาวุธจะเหนือกว่าศาสตราวุธเสมอ
นี่มันพูดมากไปแล้ว ควรจะจบกันที นี่อาตมาขอ ...(นาทีที่ 1.15.15) นิดๆ การบรรยายและขอแสดงความยินดีปรีดาปราโมทย์ในการเมือง(นาทีที่ 1.15.22) ทั้งหลาย อีกครั้งหนึ่งทั้งหัวทั้งท้ายว่าเรามันเป็นเพื่อนทำงานเพื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทำทุกอย่างเพื่อสันติสุขสันติภาพของมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์พระองค์ตรัสเองอย่างนั้น พระศาสนาของตถาคตมีเพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ให้พวกเธอทั้งหลายช่วยกันรักษาศาสนานี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่ทั้งเทวดาและมนุษย์ เดี๋ยวนี้เราทุกคนได้สนองพระพุทธประสงค์อันนี้ แล้วเรามาร่วมกันศึกษาหาหรือพูดจากัน เพราะฉะนั้นอาตมาขอแสดงความยินดี
ขอตั้งจิตอธิษฐานไว้ทุกท่านได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามที่ได้รับมอบหมาย แล้วให้มีการทำงานสนุกและมีความสุขเมื่อกำลังทำงาน เงินเดือนเหลือใช้เอาไปทำสังคมสงเคราะห์ให้สนุกอีกที ขอยุติการบรรยาย
เอามือคลำแผ่นดินสิ แล้วจำไปด้วยว่านี่ที่นั่งของพระพุทธเจ้า ที่นอนของพระพุทธเจ้า ที่ตายของพระพุทธเจ้านั่นคือแผ่นดิน อย่าไปประชุมกันบนตึกที่หรูหราที่สวางคนิวาส แล้วปรึกษาเรื่องชาวนาไม่มีน้ำทำนา มันผิดฝาผิดตัว