แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่ทำหน้าที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย อาตมาขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรกแก่ท่านทั้งหลาย ผู้มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะที่เป็นครู เที่ยวแสวงหาความรู้ประกอบเกี่ยวกับหน้าที่ของตน นับว่าเป็นที่น่ายินดี มีความซื่อตรงต่อหน้าที่ เพื่อจะรักษาอุดมคติของครูที่แท้จริงให้ยิ่งขึ้นไป มีความยินดีที่ได้พบท่านที่เป็นครู เพราะว่าพวกเราภิกษุที่ทำหน้าที่สั่งสอนก็ทำหน้าที่ครู ตามรอยพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ซึ่งกล่าวโดยไม่ผิดได้ว่าครูทั้งหลายย่อมมีสังกัดขึ้นตรงต่อพระบรมครู คือพระพุทธเจ้า แต่โดยมากมักจะรู้สึกตัวว่าสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ผู้ให้เงินเดือนเลี้ยงดู เมื่อเข้าใจอย่างนี้มันก็ลดลงมามาก ไม่เต็มเกียรติ ไม่เต็มระดับ เกียรติแห่งความเป็นครู คือผู้สร้างโลก ผู้ช่วยโลก พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่โลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ คำสอนของพระองค์มีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ และยังได้ทรงขอร้องว่า เธอทั้งหลายจงรักษาธรรมวินัยนี้ไว้ในโลก เพื่อประโยชน์แก่โลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ เรียกว่าผู้ที่จะสร้างโลก ช่วยโลก นั้นคือพระพุทธเจ้า ที่ครูทั้งหลายก็ทำหน้าที่นั้นเหมือนกัน คือผู้สร้างโลก แต่ไม่เคยคิดก็มี ไม่กล้าจะคิดก็มี ได้ยินได้ฟังอย่างนี้แล้ว ปฏิเสธก็มี เราจึงไม่มีครูที่มีอุดมคติถึงที่สุด คือจะช่วยสร้างโลก ช่วยทำแสงสว่างให้แก่โลก โลกมันก็ยังมืดมนอยู่ บางคนคิดว่าเป็นผู้สร้างโลก หน้าที่ของพระเจ้า มันมากเกินไปสำหรับครู ที่จริงมันมองเห็นได้ง่ายกว่า พระเจ้าอยู่ที่ไหน สร้างโลกอย่างไร ไม่มีใครรู้ แต่ว่าครูอยู่ที่นี่ สั่งสอนอบรมเยาวชน เด็กๆ ให้มีความรู้ ให้ประพฤติดี ให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ให้มันเป็นโลกที่ประกอบอยู่ด้วยมนุษย์ที่ถูกต้อง โลกนี้มันก็ดี นี่มันเห็นชัดได้อยู่แล้วว่า ครูเป็นผู้สร้างโลกโดยผ่านทางนักเรียน สร้างนักเรียนให้เป็นคนที่ดีในโลก และคนทุกคนในโลกก็ประกอบกันขึ้นเป็นโลก แล้วก็เป็นโลกที่ดี เรียกว่าสร้างโลกที่ดี เห็นอยู่ชัดๆ อย่างนี้ก็ยังมีคนปฏิเสธ เพราะไม่อยากจะรับภาระที่สูง หรือที่หนักหน่วง ที่ต้องอดกลั้น อดทนมากในการสร้างคนที่ดีขึ้นมาในโลก ตั้งแต่ลูกเด็กๆ ขึ้นมาจนถึงคนผู้ใหญ่ สร้างคนที่ดีขึ้นมาในโลก เป็นโลกที่ดี นั่นก็คือสร้างโลก เห็นอยู่ชัดๆ แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะทำอย่างนั้น รู้สึกคล้ายกับว่ามันเป็นงานที่มาก ที่หนัก ที่สูงเกินไปจนหมดสนุก ก็เลยไม่สนใจ ก็เลยไม่มีการทำหน้าที่ครูอย่างถูกต้องตามความหมายของคำว่า “ครู” มีแต่ครูที่รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ นี่ไม่ใช่ครู นี่คือลูกจ้างที่รับจ้างสอนหนังสือ หากินไปวันหนึ่งๆ ไม่ใช่ครู เพราะคำว่าครูนั้นแปลว่า ผู้นำทางวิญญาณ หรือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ทำหน้าที่ช่วยสัตว์โลกในฐานะเป็นปูชนียบุคคล มีบุญคุณอยู่เหนือเกล้า เหนือเศียรของคนทุกคนในโลก คำว่า “ครู” แต่ลูกจ้างรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่ง ๆ นั้นมันเป็นกรรมกร เมื่อมีกันแต่กรรมกร มันก็ไม่มีพลเมืองที่ดี ไม่มีเยาวชนที่ดี ไม่มีพลเมืองที่ดี โลกนี้ บ้านนี้ เมืองนี้ มันก็เต็มไปด้วยอาชญากรรม ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็จะเห็นอยู่ทั่วๆ ไป ทุกฉบับมีอาชญากรรม อาชญากรเหล่านี้เคยเข้าโรงเรียนมาแล้วทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ได้รับการอบรมที่ดี ที่ถูกต้อง มันก็ออกมาเป็นอันธพาล เป็นอาชญากร ถ้าเยาวชนทุกคนได้รับการอบรมที่ถูกต้อง มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ฉะนั้น การที่ครูจะช่วยกันสร้างโลกเสียใหม่ ให้มีเยาวชนที่ดี มีประชาชนที่ดี เป็นบ้านเมืองที่ดี มันก็จะดี ถ้าคนแต่ละคนมันดีนั่นแหละ โลกนี้มันก็จะดี ไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันมากมาย มองเห็นอยู่ชัดๆ ว่าถ้าทุกคนในโลกมันดี โลกนี้มันก็ต้องดี ถ้าคนมันดี ครอบครัวนั้นมันก็ดี ทุกคนมันดี ครอบครัวนั้นมันก็ดี เมื่อครอบครัวมันดี หมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้านมันก็ดี เมื่อหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านมันดี บ้านเมืองมันก็ดี บ้านเมืองมันดี ประเทศชาติมันก็ดี ถ้าทุกประเทศชาติมันดี โลกนี้มันก็ดี ไม่ต้องสงสัย
คำว่า “ครู” ในภาษาอินเดียแท้ๆ ถ้าเปิดปทานุกรมธรรมดาๆ ดู คำว่า “ครู” แปลว่า “ผู้นำในทางวิญญาณ” เป็น spiritual guide เป็น guide ในทางวิญญาณ นำสัตว์โลกให้เดินถูกทาง ต่อมามีผู้ค้นพบรากศัพท์อันนี้ว่า รากศัพท์อันนี้มันแปลว่าผู้เปิดประตู เลยเลื่อนความหมายออกไปอีกหน่อยหนึ่งว่า ครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ สัตว์ทั้งหลายมันอยู่ในความมืด มันก็ถูกขังคอกแห่งอวิชชา ความโง่ ความไม่รู้ อยู่ในคอก อยู่ในคอก ทั้งมืด ทั้งเหม็น ทั้งสกปรก ทั้งทนทรมาน ทีนี้ครูเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ให้วิญญาณเหล่านั้นออกมาจากคอก ได้เป็นอิสระ ได้มีความสุข ความหมายมันจึงสูงสุด ทำนองเดียวกับพระเป็นเจ้า ถ้าหากว่าเรามีครูผู้เปิดประตูทางวิญญาณกันโดยแท้จริงแล้ว โลกนี้ไม่เป็นอย่างนี้ บ้านเมืองนี้ไม่เป็นอย่างนี้ ไม่มากไปด้วยอาชญากร เป็นอันธพาล ประพฤติอาชญากรรมอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เพราะฉะนั้น จึงขอแสดงความหวังว่า เรารู้จักความหมายของคำว่าครู รู้จักหน้าที่ของคำว่าครู รู้จักอุดมคติของคำว่าครู แล้วพยายามเป็นครูที่ถูกต้อง ตามความหมายนั้นๆ นั่นแหละ ก็จะเป็นปูชนียบุคคล
ครูนี่ไม่ใช่ลูกจ้าง แต่เป็นปูชนียบุคคล คือทำสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุด ในการช่วยมนุษย์และการช่วยโลก ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ช่วยคนทุกคนให้มันดี แล้วโลกนี้มันก็ดี ดังนั้นจึงเป็นปูชนียบุคคล สร้างสรรค์สิ่งที่มีความดีสูงสุดขึ้นมาในโลก รับเงินเดือนสำหรับเลี้ยงชีวิตนั่นมันเป็นเศษขยะมูลฝอย ครูชนิดนี้จะเห็นว่าเงินเดือนมันเป็นเศษขยะมูลฝอย ไม่เหมือนกับครูบางคน บูชาเงิน ทำงานเพื่อเงิน ไปซื้อหาความสนุกสนาน ความเพลิดเพลินกัน หลอกลวง แล้วไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ของตน พร้อมที่จะโกงเวลา พร้อมที่จะคอร์รัปชั่นโดยประการต่างๆ อย่างนี้ก็มีอยู่ในพวกที่สมมติเรียกกันว่าครู ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ปูชนียบุคคล ถ้าเป็นปูชนียบุคคลก็จะต้องทำงานที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์มากกว่า มีค่ามากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ จนกระทั่งว่า ไอ้เงินเดือนนั้นมันเป็นแค่ขยะมูลฝอย ทิ้งเกลื่อนอยู่ตามพื้น ตามฝ่าเท้าข้างล่าง ไม่ได้มาอยู่บนหัว ก็แปลว่าครูไม่ได้ทำงานเพื่อเงินเดือน แต่ทำงานเพื่ออุดมการณ์ของครูดังที่กล่าวแล้ว ถ้าเราทำความเข้าใจกันให้ดีในเรื่องนี้ ก็จะเกิดกำลังใจเป็นอันมาก ที่จะกระตุ้นให้ทำหน้าที่ของครูอย่างดีที่สุด เพราะรู้ว่าเพื่อความเป็นปูชนียบุคคลนั่นแหละสิ่งที่จะต้องพูดจากันเป็นปกติ ให้มีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องนี้อยู่เสมอ มีการเป็นอยู่อย่างต่ำ กินอยู่อย่างต่ำ เป็นอยู่อย่างต่ำ แต่ว่าการกระทำนั้นมันสูงสุด ที่สุด คือมันสร้างโลก พระพุทธเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและก็มีการเป็นอยู่ หรือที่จะเรียกว่ากินอยู่อย่างต่ำที่สุด พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าสอนก็กลางดิน พระพุทธเจ้าอยู่อาศัยเสนาสนะก็พื้นดิน และในที่สุด พระพุทธเจ้าก็นิพพานคือตายกลางดิน มันกลางดินไปเสียทุกอย่าง ถึงเข้าใจว่า คงจะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว ในบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เคยเรียนพุทธประวัติมาแล้ว ว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้ก็แปลว่ายังไม่เป็นครูหรอก ยังเป็นหรือเป็นครูที่ล้าสมัยที่สุด ยังไม่เป็นครู ก็ให้รู้กันเสียเถอะว่า การเป็นอยู่อย่างต่ำนั้นมันมีโอกาสที่ให้กระทำอย่างสูง ถ้ากินอยู่อย่างสูง อย่างมัวเมา แข่งกับเทวดาเสียแล้ว มันก็มีแต่จะทำต่ำๆ มุ่งหมายต่ำๆ มันไม่รู้จะไปไหนแล้ว มันก็มาหลงใหลในความสนุกสนาน เพลิดเพลิน อะไรต่ออะไร ทางเนื้อ ทางหนัง ทางวัตถุ มันก็ต่ำ วันนี้เราได้มานั่งกันกลางดินอย่างนี้ ครูบางคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็อาจจะอึดอัด หรือโกรธแล้วว่าต้อนรับไม่สมเกียรติของครู ให้นั่งกลางดิน นี่ขอให้รู้ไว้เถอะว่า อาสนะกลางดินอย่างนี้มีเกียรติสูงสุด ตามหลักพระพุทธศาสนา เพราะว่าเป็นที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ของพระพุทธเจ้า ควรจะทำความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธเจ้าเมื่อนั่งกลางดิน เอามือลูบดิน แล้วจิตใจระลึกถึงพระพุทธเจ้า มันก็เป็นการเจริญกรรมฐานภาวนาอย่างดี คือเจริญพุทธานุสติ คือระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า ไอ้ความเป็นครูมันก็จะง่ายขึ้น คือเดินตามรอยพระพุทธเจ้า เพื่อมันจะได้ง่ายขึ้น แล้วจะได้พอใจความเป็นอยู่ต่ำๆ เรียกว่าชีวิตนี้กลางดิน มันก็มีแต่จะกระทำให้สูงเท่านั้นแหละ มันเป็นอยู่อย่างต่ำ แล้วมันลงไปไม่ได้ มันก็มีแต่จะขึ้นสูง ก็ขอให้เราสนใจที่จะมีชีวิตในรูปแบบที่เหมาะสมแก่การที่จะทำหน้าที่ของครู คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณให้คนเขาพ้นจากปัญหา
ทีนี้ก็จะขอพูดเรื่องเปิดประตูทางวิญญาณ เรื่องมันมาก มันละเอียด มันละเอียด เป็นเทคนิคยิ่งกว่าเทคนิค แต่ไม่ต้องพูด พูดภาษาง่ายๆ เอาเป็นว่า ครูจะต้องทำอะไรบ้าง เท่าที่เราปรึกษาหารือกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือ เราไปยุติกันว่าครูจะต้องทำหน้าที่ให้เกิดบุตรที่ดีของบิดามารดา นี่อย่างหนึ่ง ให้เกิดศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ นี่อย่างหนึ่ง ให้เกิดพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ นี่อย่างหนึ่ง ให้เกิดสาวกที่ดีของศาสดา หรือของพระศาสนา นี่อย่างหนึ่ง และอย่างสุดท้ายคือให้เป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นคนที่เต็ม เรียกให้ถูกคือเป็นมนุษย์ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์
ที่ว่าให้ลูกเด็กๆ เป็นเด็กที่ดีของบิดามารดานั่น ก็หมายความว่าให้เขาเป็นผู้ที่ทำให้บิดามารดาสบายใจ พยายามทำให้ไอ้ลูกเด็กๆ ทุกคนมันถือคติว่า ไอ้ลูกเนี่ยเกิดมาเพื่อทำให้บิดาเกิดความสบายใจ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่ลูกของบิดามารดา พยายามทุกอย่างทุกทางให้เกิดความรู้สึกอันนี้ให้ได้ ว่าลูกทั้งหลายนี่คือผู้ที่เกิดมาทำให้บิดามารดาสบายใจ คำว่าบุตรที่ดีมีความหมายว่า ทำให้บิดามารดาสบายใจ ชื่นอกชื่นใจ โดยประการทั้งปวง ทุกเวลา จะเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ยังมีเด็กที่ไม่รู้คุณของบิดามารดา ทำบิดามารดาให้น้ำตาไหลก็มีอยู่บ่อยๆ ทั่วๆ ไป เพราะว่าการศึกษาไม่ถูกต้อง ไม่เพียงพอ ไม่เป็นการเปิดประตูทางวิญญาณที่เพียงพอ มีแต่การสอนหนังสือตามหน้าที่บังคับไปวันหนึ่งๆ มันก็ไม่เกิด มันต้องสอนทางศีลธรรม ทางจริยธรรม อบรมบ่มทางจริยธรรม จนเด็กๆ เกิดความรู้สึกว่า ความเป็นบุตรนั้นมีความหมายว่า เกิดมาเพื่อทำให้พ่อแม่สบายใจ นี่ก็เป็นการเปิดประตูทางวิญญาณของครูให้แก่เด็กนั่น
อันที่สอง ให้เขาได้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เรายังมีนักเรียนที่เลว ที่นำไปไม่ได้ ศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์มีความหมายว่าเป็นผู้ที่ครูบาอาจารย์นำไปได้ ครูบาอาจารย์จะนำไปทางไหน นำทางการประพฤติปฏิบัติ การเรียนการศึกษา อะไรก็ตาม ครูบาอาจารย์นำไปได้ตามวัตถุประสงค์ ก็เรียกว่ามันเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ นี่ก็เป็นการเปิดประตูทางวิญญาณ ให้เด็กๆ เหล่านั้นได้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์
อันที่สาม ให้มันเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เพราะเด็กแต่ละคนมันก็เป็นเพื่อนของแต่ละคน มันจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีแก่กันและกัน เพื่อนที่ดีก็มีความหมายว่า อยู่เป็นเพื่อนกันด้วยความผาสุก เป็นที่พอใจ ไม่มีการทะเลาะวิวาท ชกต่อยอะไรกัน มีความรักกันถึงขนาดเลื่อนขึ้นไปถึงขนาดว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันแล้ว มันก็จะไม่มีการทะเลาะวิวาท นี่เป็นการเปิดประตูทางวิญญาณอีกขั้นหนึ่ง เป็นขั้นที่สาม
ทีนี้ในขั้นที่สี่ เตรียมเขาสำหรับจะเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เด็กๆ โตขึ้นจะเป็นผู้สามารถดำรงไว้ได้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี่ เราอย่ามาต้องพูดกันที่นี่เลย เพราะเป็นเรื่องที่สอนกันอยู่เป็นประจำในโรงเรียนแล้ว มีแต่ว่าทำอย่างไรให้เด็กมันพร้อมที่จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แม้ว่ายังเด็กๆ เล็กๆ อยู่ ก็ยังทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติอยู่ด้วย โตขึ้นก็ยิ่งเป็นมากขึ้น นี่เป็นการเปิดประตูทางวิญญาณ ให้เขามีโอกาสได้เป็น ได้ประพฤติ ได้กระทำ สิ่งที่ควรจะมี จะเป็น เป็นการเปิดประตูอีกทาง อีกขั้นหนึ่ง
ทีนี้ข้อที่ห้า เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดาหรือของพระศาสนา จะเรียกว่าเป็นพุทธมามกะหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกเถอะ แต่ขอให้เขาเป็นสาวกที่ดี อย่างดี สาวกที่ดีมีความหมาย จำกัดความว่า เป็นผู้ที่เดินตามพระศาสดาไปได้ ทีนี้ สาวกโดยมากเป็นสาวกเก๊ เป็นสาวกแต่ปาก ก็ไม่มีการเดินตามทางของพระศาสดา ไม่มีการเดินแล้วจะเดินไปได้อย่างไร แม้พยายามเดินอยู่บางทีก็ยังยากลำบาก นี่ไม่มีความต้องการเสียเลย มันไม่มีการเดินตามรอยทางของพระศาสดา ไม่เชื่อว่าเป็นสาวกที่ดี หรือพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า เราจึงช่วยกันอบรมเด็กๆ ให้มีความพอใจ แน่ใจในการเป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า เป็นการเปิดประตูอย่างยิ่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ทีนี้ข้อสุดท้าย ข้อที่หก ว่าเพื่อให้เขาเป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่เต็ม หลังจากเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี ต่อไปนี้ก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม มนุษย์ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ บางคนไม่สนใจ ไม่เข้าใจว่าเป็นมนุษย์ที่เต็มไปทำไมกัน เป็นมนุษย์ที่เต็มนั่นแหละเป็นจุดหมายปลายทางของมนุษย์ทุกคน ทีนี้เป็นมนุษย์ยังบกพร่องอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม รู้จักแต่เรื่องเอร็ดอร่อย สนุกสนาน เรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องแต่งตัว เรื่องเพลิดเพลินในทางอยาตนะ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หลงใหลบูชาความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทางเพศ นี่ครูเป็นจำนวนมากก็ยังบูชาเรื่องทางเพศ ทำงานเอาเงินเดือนมาซื้อหาปัจจัยเพื่อความสุขทางเพศเป็นอย่างสูงสุด ไม่ใช่ว่าเพื่อเป็นปูชนียบุคคลในโลกมนุษย์ ขอพูดกันตรงๆ อย่างนี้ มันยังไม่เต็ม มันยังเป็นมนุษย์ที่ไม่เต็ม มันยังเป็นคนที่ไม่เต็ม ถ้าใครเขามาด่าว่า “คุณมันยังไม่เต็ม” ก็อย่าโกรธเขาเลย เพราะเรายังไม่เต็มจริงๆ ด้วย เพราะเรายังไม่รู้ว่าเป็นมนุษย์นั้นคืออะไร เป็นทำไม และถ้าเป็นมนุษย์ที่เต็ม อะไรๆ ที่มนุษย์ควรจะทำมันก็เต็ม ทำได้หมด เต็ม เป็นผู้มีความถูกต้องอย่างมนุษย์ ละกิเลสได้ มีความสุข ผาสุก อันแท้จริง แล้วก็เป็นผู้ที่เห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ของมนุษย์ ไม่จำเป็นจะต้องทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่เงินเดือน เนี่ยคนที่ยังไม่เต็มรู้จักไว้บ้างเถอะ ถ้าจิตใจมันยังทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่เงินเดือนแล้ว นี่มันยังไม่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ถ้ามันมีความประพฤติปฏิบัติถูกต้อง มีความผาสุกทั้งทางกายและทางจิต ทางกายก็สบายดี ทางจิตก็นอนหลับดี ใช้คำว่านอนหลับดีนี่มีความหมายมาก คือกิเลสไม่ย่ำยีจิตใจ ไม่กระวนกระวาย ไม่ให้เพ้อฝัน ไม่ให้หวังอย่างกับคนคอแห้งอยู่เสมอ ยังไม่ได้เรื่องที่ตัวต้องการ อย่างนี้เรียกว่าสุขภาพจิตไม่ดี จะได้เป็นโรคประสาท และจะได้เป็นบ้าในที่สุด จะต้องมีสุขภาพกายก็ดี สุขภาพจิตก็ดี เรียกว่าหมดปัญหาเรื่องสุขภาพ แล้วก็มีเศรษฐกิจดี ไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ มีการเป็นอยู่ที่พอเหมาะพอสมกันดีระหว่างรายรับ รายจ่าย อะไรต่างๆ ที่พอเหมาะพอดี ไม่มีปัญหาเลย ไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ แล้วก็ไม่มีปัญหาทางสังคม จะเดินไปทางไหนสักทีก็มัวแต่ระแวงว่าคนเขาจะนินทา คนจะถ่มน้ำลายลับหลัง อย่างนี้เป็นต้น นี่ยังมีปัญหาทางสังคมมากเกินไป ถ้าเป็นที่แน่ใจว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนที่หวังดี หวังดี ตั้งใจดี อยากคบหาสมาคม นี่ก็เรียกว่ามีสังคมดี และก็ไม่มีปัญหาที่รบกวนจิตใจเกี่ยวกับกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มี ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉา ริษยา หึงหวง เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องรบกวนจิตใจสำหรับมนุษย์ที่มันยังไม่เต็ม มันยังบกพร่องอยู่มาก ยังเป็นที่อาศัยแห่งกิเลสและความทุกข์อยู่มาก มันยังบกพร่องอยู่อย่างนี้ มันยังไม่เต็ม มันไม่ควรจะมีปัญหาชนิดนี้ แม้จะหยุดแต่ว่าปัญหาเกี่ยวกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ศึกษารู้จนเข้าใจ จนไม่เป็นปัญหาที่รบกวนจิตใจ เห็นเป็นของเช่นนั้นเอง เป็นธรรมดา ว่างจากอัตตา ว่างจากตัวตน ไม่ต้องกระวนกระวายอะไร ไม่ต้องหวังอะไรเหมือนกับคนคอแห้ง ไม่ต้องทำงานด้วยความหวัง แต่ทำงานด้วยสติปัญญา ถ้าทำงานด้วยความหวังแล้วก็จะเหมือนกับคนที่คอแห้งกระหายน้ำอยู่เสมอ แต่ถ้าทำงานด้วยสติปัญญามันทำพอดี แล้วก็อิ่ม อิ่มอยู่เสมอ พอทำก็พอใจ สักว่าพอทำงานก็พอใจในความได้ที่ดีของตน เมื่อพอใจก็เป็นสุข ดังนั้นเขาจึงมีความสุขอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที รู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้อง นั่นก็ถูกต้อง นี่ก็ถูกต้อง จะกระดิกตัวไปทางไหนนั่นก็เป็นความถูกต้อง ก็พอใจในความถูกต้อง เมื่อพอใจมันก็เป็นสุข ก็เป็นสุขตลอดวันตลอดคืน นี่เป็นเพราะว่าเขาเป็นมนุษย์ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่เต็มอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง โดยประการทั้งปวง ถ้าเราจะสามารถอบรมยุวชนซึ่งเป็นส่วนประกอบของบ้านเมือง หรือของโลก ให้เขาเป็นผู้ที่ได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด ก็เรียกว่าเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณอย่างสูงสุดตามแบบของพระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าทั้งปวง
สรุปความว่า เปิดประตูทางวิญญาณให้เขาได้เป็นบุตรที่ดีของบิดา-มารดา ให้เขาได้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ให้เขาได้เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนด้วยกัน ให้เขาได้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ให้เขาได้เป็นสาวกที่ดีของพระศาสนา และในขั้นสุดท้ายให้เขาได้เป็นมนุษย์ที่เต็ม แต่เต็มนี่มันเหนือดีไปอีก ก็เป็นอันว่า ความเป็นครูนั้นสมบูรณ์ ทำให้ประชาชนได้รับสิ่งที่มีค่ามาก จนเหลือจะตีราคา เขาเรียกว่ามีค่าจนไม่มีการตีราคา นี่เรารับเงินเดือน ๆ หนึ่งไม่กี่ร้อยกี่พัน นี่มันก็เป็นของเล็กน้อย จึงอยู่ในฐานะเป็นปูชนียบุคคล ทำประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกมากกว่าผลประโยชน์ที่ตัวได้รับ เป็นอาชีพเดียวกับภิกษุสงฆ์ กระทั่งถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากระทั่งภิกษุสงฆ์ผู้เป็นอยู่ในอาชีพปูชนียบุคคล คือบำเพ็ญประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกมากเหนือคณา และก็ได้รับผลตอบแทนเพียงได้อาหาร ได้เครื่องดำรงความเป็นอยู่พอไม่ตายเท่านั้นเอง นั่นแหละความเป็นเจ้าหนี้มันก็เกิดขึ้น พระองค์ก็เป็นเจ้าหนี้มหาศาลเหนือคนทั้งปวง เป็นผู้บริโภคอย่างเจ้าหนี้ ครูเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้มากกว่าค่าของเงินเดือนที่ได้รับก็กลายเป็นเจ้าหนี้ กลายเป็นเจ้าหนี้ที่มีความพอใจตนเอง รู้สึกพอใจตนเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจจนเกลียดตัวเอง เกลียดตัวเองเมื่อไรเป็นนรกเมื่อนั้น ลองดูๆ เมื่อไรที่ขยะแขยงตัวเอง ก็เป็นนรกในใจเมื่อนั้น ไม่ต้องตายแล้ว เป็นนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าทำดี รู้สึกดีเป็นที่พอใจของตัวเอง ถึงขนาดที่เรียกว่ายกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไร มันก็เป็นสวรรค์ เป็นสวรรค์ทันทีแหละเมื่อนั้น มีความเคารพตัวเอง นับถือตัวเองเมื่อไรก็เป็นสวรรค์ เพราะฉะนั้นนรกและสวรรค์นี่เป็นสิ่งที่มีจริงยิ่งกว่าจริง และโดยไม่ต้องหลังจากตายแล้ว ไอ้ที่หลังจากตายแล้วนั่นมันขึ้นอยู่กับเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ตกนรกในชาตินี้ตายแล้วมันก็ไม่ตกนรกชนิดไหนหมด ถ้ามันได้สวรรค์ชนิดนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วมันก็ได้สวรรค์ทุกชนิด ดังนั้น นรกหรือสวรรค์ตอนตายแล้วยังไม่ต้องพูดถึง ไม่ต้องนึกถึงหรอก ทำเพียงไม่ให้ตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ให้ได้สวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือมีแต่ความพอใจ เคารพนับถือตัวเอง ตามหลักจริยธรรมสากลโบราณๆ ในโลกนี้เขาก็มีอยู่คล้ายๆ กันนี้ ว่าผู้นั้น สุภาพบุรุษผู้นั้น จะต้องรู้จักตัวเอง ข้อหนึ่ง รู้จักตัวเอง รู้จักตัวเองเสียก่อนว่ามันคืออะไร เป็นคนน่ะ คืออะไร เป็นทำไม นี่เรียกว่ารู้จักตัวเอง รู้จักความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ว่ามันเป็นอย่างไร เรื่องที่สองก็มีความเชื่อตัวเองว่าประกอบอยู่ในสมรรถภาพที่จะทำอะไรได้เต็มตามนั้น ตามความหมายแห่งความเป็นมนุษย์ ทีนี้มันก็จะเชื่อตัวเอง ครั้นรู้จักตัวเองจริงๆ แล้วมันก็จะเชื่อตัวเอง ครั้นเชื่อตัวเองแล้วมันก็บังคับตัวเองให้กระทำหน้าที่ตามที่ควรจะทำ ก็เรียกว่าบังคับตัวเอง เป็นผู้ที่ทำถูกต้องอยู่เสมอ จนเกิดความพอใจในตัวเองตลอดเวลา พอใจในตัวเองและในที่สุดมันก็เคารพตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้าเราพอใจในความถูกต้องของตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็เคารพตัวเอง คือยกมือไหว้ตัวเองได้ มันก็เป็นสวรรค์ เพราะฉะนั้นขอให้จำคำเหล่านี้ไว้บ้าง แม้จะเป็นหลักเก่าแก่โบราณ แต่ก็เป็นจริยธรรมสากลที่เขาได้วางกันไว้อย่างนั้น หนึ่ง คือรู้จักตัวเอง สอง เชื่อตัวเองว่าสามารถที่จะปฏิบัติได้ตามหน้าที่ของตน แล้วก็บังคับตัวเองให้ประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง พอใจตัวเอง พอใจตัวเองมันก็เคารพตัวเอง ไหว้ตัวเองได้ เรื่องมันก็จะจบลงที่เคารพตัวเองได้ ทีนี้เคารพตัวเองได้แล้ว มันก็ยิ่งจะมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป
หวังว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายจะได้ช่วยกันทำความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ของตน ในความหมายที่เป็นครูบาอาจารย์ คือสั่งสอนอบรมลูกเด็กๆ ให้เขาเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นที่ชื่นใจของบิดามารดา ให้เขาเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ คือครูบาอาจารย์นำเขาไปได้ตามที่จะนำไป ให้เขาเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน คือไม่มีการกระทบกระทั่ง มีแต่ความเป็นเพื่อนที่สงบสุขเหลือประมาณ แล้วก็ให้เขาเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ผดุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ได้ ให้เขาเป็นสาวกที่ดีของพระศาสดา คือพระศาสดานำเขาไปได้ตามที่ควรจะไป แม้จะยังไม่ถึงที่สุด แต่ก็กำลังเดินตามพระศาสดาไป และข้อสุดท้าย ก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม ไม่มีอะไรบกพร่องของความเป็นมนุษย์ มันก็จบ เรื่องมันก็จบแล้ว ถ้าเป็นมนุษย์ที่เต็มแล้ว เรื่องมันก็จบ คำนี้เขามีการใช้กันมาแต่โบราณแล้ว ในหลักจริยธรรมสากลก็มีใช้ คำว่า “มนุษย์ที่เต็ม” แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาสามัญเขาก็ยังพูดเป็น เพราะเขาเอามาด่ากันได้ ด่าว่า “มึงยังไม่เต็ม” ไอ้คนที่ถูกด่าก็โกรธว่ากูไม่เต็ม ไม่เต็มคน ก็ถูกแล้ว มันยังไม่เต็มคน มันยังไม่เต็มบาท มันยังเพียงสลึงสองสลึง ไม่เต็มบาท นี่คนนี้มันยังไม่เต็ม ชาวบ้านเขาก็ยังรู้จักความไม่เต็มแล้วเอามาด่า มาปรามาสกันได้ เราต้องมุ่งหมายความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ อย่าให้ไม่เต็ม คือไม่เต็มบาท แล้วก็อย่าให้เกินบาทด้วย นั่นมันโง่ ทำผิดจนเกินบาท ให้มันมีความเต็มที่พอดี มีความถูกต้องพอดี ก็เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นมนุษย์ที่เต็ม นี่คือสิ่งที่ครูบาอาจารย์จะต้องแจ่มแจ้งอยู่ในใจ คล่องปากคล่องใจ คล่องใจ ทางกายก็ทำได้คล่อง ทางวาจาก็พูดได้คล่องแคล่ว ทางจิตก็คิดนึกได้คล่องแคล่ว ในการที่จะทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ให้เกิดผล คือเป็นคนทั้ง 6 ชนิดดังที่กล่าวแล้ว คือเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เป็นมนุษย์ที่เต็ม
เรื่องที่จะปรารภแก่ท่านทั้งหลายที่อาตมาถือว่าเป็นเพื่อนร่วมการงานกันก็มีอย่างนี้ เป็นการพูดด้วยใจจริง ไม่ต้องเกรงใจอะไร เพราะว่าเรามันรับผิดชอบร่วมกัน และมีพระพุทธเจ้าเป็นบรมครู เราตั้งตนอยู่ในฐานะเป็นครู ครูที่บ้าน ที่โรงเรียนก็ตาม ครูที่อยู่ในวัดก็ตาม พระเจ้า พระสงฆ์ นี่ก็เป็นครู มีหน้าที่ร่วมกันทำงานร่วมกัน คือช่วยกันแก้ไขปัญหาในโลก ขจัดความเลวร้ายในโลก สร้างโลกให้มีความสงบสุข เป็นสันติสุขส่วนบุคคล เป็นสันติภาพส่วนสังคม เป็นบุคคลอย่างที่พึงปรารถนา ก็เรียกได้ว่าเราได้มามีโอกาสพร้อมกันที่นี่ในวันนี้ ในลักษณะอย่างนี้ อาตมาก็ได้กล่าวแล้วตั้งแต่ต้นว่า มีความยินดีในการที่ได้พบปะกันในการมาของท่านทั้งหลายในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็ระบุมาด้วยเสร็จว่าต้องการความรู้เกี่ยวกับธรรมะ อาตมาก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนรู้มากมายสุดยอดหรืออะไร แต่ก็เป็นผู้ที่ได้พยายามจะรู้มาตลอดเวลา ตลอดเวลา 50 กว่าปีนี่นึกคิดแต่เรื่องนี้ แล้วก็ได้ทำงานแต่เรื่องนี้ มีผลงานปรากฏอยู่ในตึกหลังแดง ที่ดูมืดๆ ตะกี้ท่านทั้งหลายก็ได้เข้าไปดูแล้วว่างานทั้งหมดนั้นทำคนเดียว งานเป็นสิ่งที่ทำให้สนุกได้ เมื่อสนุกแล้วมันก็ทำได้มาก ทำได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าคนเดียวทำงานทั้งหมดนั้น ที่แสดงอยู่ในตึกหลังนี้เป็นเวลา 50 ปี เพราะฉะนั้น การที่ได้เคยสนใจศึกษา ค้นคว้า เกี่ยวข้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้เป็นเวลานานถึง 50 กว่าปีมันก็ต้องมีอะไรบ้างที่จะพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ดังนั้นจึงพูดไปตามที่ได้รู้ได้ศึกษา ได้ค้นคว้ามา จึงขอให้สนใจ พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ว่ามันไม่เหลือวิสัย อะไรๆ ถ้าเรามีความตั้งใจจริงแล้ว ก็ไม่เหลือวิสัย ยิ่งทำสนุก ก็ยิ่งทำได้มากไม่น่าเชื่อ เราทำงานวันละ18 ชั่วโมงก็ได้ ในเมื่อคนอื่นเขาทำ 8 ชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้มันทำไม่ถึง 8 ชั่วโมง มันโกงเวลา โกงเวลาของราชการ แม้ในพวกครูนี่แหละยังมีผู้โกงเวลาราชการ มาช้า กลับเร็ว อย่างนี้เป็นต้น แล้วมันจะทำให้เต็มได้อย่างไร เพราะฉะนั้น มันต้องเลิกไอ้สิ่งเหล่านี้กันเสียที ตั้งตนเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ กระทำทุกอย่างเพื่อความเต็ม แห่งความเป็นมนุษย์ และสักวันหนึ่งมันก็จะถึงซึ่งความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ได้ โดยไม่ต้องสงสัย
ได้มาพบกันวันนี้ก็รู้สึกพอใจ ยินดี ที่ได้พบเพื่อนร่วมงาน ร่วมงานในการช่วยกันสร้างโลก ให้เป็นโลกที่น่าอยู่ น่าดู เป็นโลกที่งดงามยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วก็ต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมปฏิสัณฐาน ไม่อาจจะต้อนรับด้วยวัตถุ สิ่งของ ของกิน ของใช้อะไร แม้แต่น้ำให้กินสักแก้วก็ยังไม่มี แต่ว่าไปหากินได้ มีวางอยู่ แต่ต้อนรับด้วยธรรมปฏิสันฐาน คือธรรมะที่ควรจะบอกกล่าวแก่กันและกัน ให้เป็นที่รู้ ที่เข้าใจ แก่กันและกันออกไป แล้วก็ยังได้บอกอุดมคติอันลึกของครู ที่ว่าครูต้องเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ไม่ใช่กรรมกรรับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งๆ แล้วเอาเงินไปซื้อหาปัจจัยความเพลิดเพลินทางกามารมณ์ นี่คือสิ่งที่เป็นธรรมปฏิสัณฐานอย่างยิ่งที่ขอมอบให้แก่ท่านทั้งหลายในการต้อนรับ แล้วก็ได้ต้อนรับด้วยสถานที่ของพระพุทธเจ้า คือการนั่งลงบนพื้นดิน โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าประสูติโคนต้นไม้ กลางดิน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าสอนกลางดิน โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าอยู่กลางดิน โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้านิพพาน คือตาย กลางดิน โคนต้นไม้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ให้ท่านทั้งหลายได้เสพย์ครบกับที่นั่งที่นอนอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า คือพื้นดิน โคนต้นไม้ หวังว่าคงจะจำติดใจ ไม่ลืมเอาไปด้วย ถ้าไม่ลืมภาวะที่ต้องนั่งกลางดินอย่างนี้ กลับไปถึงบ้านถึงเรือนแล้ว ก็คงจะนึกได้ต่อไปอีกว่าได้พูดกันเรื่องอะไร ได้พูดอย่างไร แล้วก็จะนึกได้หมด อาศัยพื้นดินนี่แหละเป็นพื้นฐาน สำหรับรองรับเรื่องทั้งปวง
ธรรมะนั้นเปรียบเสมือนแผ่นดิน แผ่นดินเป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวงฉันใด ธรรมะก็เป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวงฉันนั้น หากแต่ว่าเป็นไปในด้านจิตด้านวิญญาณเสียมากกว่า แผ่นดินรองรับสิ่งทั้งปวงในด้านวัตถุ ธรรมะรองรับสิ่งทั้งปวงในด้านจิตใจ ดังนั้นธรรมะจึงเปรียบเสมือนแผ่นดิน ขอให้ถือเอาธรรมะในฐานะเป็นพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอด คือเมื่อปฏิบัติธรรมะแล้วก็มีความรอด แล้วธรรมะนี้ก็จะรองรับไว้ไม่ให้ตกลงไปในทางที่ต่ำ คือความทุกข์หรือความผิด ความเลวร้ายทุกอย่าง ทุกประการ
ขอแสดงความยินดีเป็นครั้งสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ว่าขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายในฐานะเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน คือเป็นครูผู้ทำหน้าที่ มีความหมายอย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ขอให้ซื่อตรงในอุดมคติอันนี้ของตน เคารพอุดมคติอันนี้แล้ว ทำงานในหน้าที่ของครูให้สนุก ให้สนุก แล้วเป็นสุขเสียกำลังทำงานนั่นเอง ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อหาปัจจัยแห่งความหลอกลวง เพลิดเพลิน อะไรกันอีก ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี สมตามความมุ่งหมาย มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย
ไปรอบวัดแล้วใช่ไหม? ไปที่โรงปั้นตุ๊กตาแล้วมานี่แต่ไม่ได้ขึ้นไปบนโบสถ์ คือบนยอดภูเขาที่อยู่กลางวัด ถ้ามีความรู้สึกละเอียด จะมีความรู้สึกเหมือนกับอยู่กันคนละโลก โลกที่นี่ในสภาพอย่างนี้มันคนละโลกกับโลกที่ในบ้านในเมือง ควรจะจำไว้ทั้งสองโลก สำหรับเปรียบเทียบกันดู ในที่สุดก็จะสามารถปรับปรุงตัวให้ได้อยู่ในโลกที่ควรจะได้อยู่ ทราบว่ามีเวลาเพียงเท่านี้ก็พูดเพียงเท่านี้ เอาละ หัวหน้าลาคนเดียวพอแล้ว หัวหน้าลาคนเดียวพอแล้ว สงวนแรงงานไว้บ้าง