แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย โอกาสนี้เป็นโอกาสพิเศษเพื่อจะบรรยายธรรมะในรูปแบบธรรมคาถาสักเรื่องหนึ่งแก่ท่านทั้งหลายตามที่กำหนดกันไว้ อาตมามีหัวข้อที่จะกล่าวในวันนี้คือนิพพานเท่าที่พุทธบริษัทต้องทราบ ให้ลองฟังดูให้ดี มีหัวข้อว่านิพพานเท่าที่พุทธบริษัทต้องทราบ ผู้นิมนต์ขอร้อง บอกให้พูดได้ตามพอใจหรือตามที่เห็นสมควร เดี๋ยวนี้เห็นสมควรว่าเราควรจะพูดกันเรื่องนี้คือนิพพานเท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ มันก็เป็นการบอกอยู่ในตัวแล้วว่า ผู้พูดถือว่าพุทธบริษัทบางคน บางพวกยังไม่ทราบ ทั้งที่เป็นพุทธบริษัทก็ยังไม่ทราบเรื่องนิพพาน มันคล้ายกับเป็นการดูหมิ่นดูถูกกันอยู่มากเหมือนกัน ถ้าพุทธบริษัทไม่ทราบเรื่องนิพพาน ไม่รู้ว่ามันจะเป็นพุทธบริษัทไปทำไมกันให้มันเสียเวลา แล้วพุทธศาสนานี้ถ้าไม่มีเรื่องนิพพานก็เป็นอันว่าเลิกกันเลย เททิ้งกะบะเลย ทิ้งทั้งกะบิเลย มันไม่มีความหมายอะไร ถ้าในพุทธศาสนามันไม่มีเรื่องนิพพานแล้ว มันก็ไม่มีความหมายอะไร เอาไปโยนทิ้งหมดได้ มันมีความหมายหรือมีคุณค่าอยู่ตรงที่ว่ามันมีนิพพานนั่นเอง ถ้าพุทธบริษัทไม่ทราบ มันก็ไม่รู้ว่าจะได้อะไรจากพุทธศาสนาให้คุ้มกันกับที่เป็นพุทธบริษัท แต่เดี๋ยวนี้อาตมาคิดว่าหลายคนไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อย ก็จะเห็นว่าไม่ต้องการนิพพาน ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรอีกเหมือนกัน เขายังไม่ต้องการนิพพาน นั่นแหละยิ่งแสดงความไม่รู้ ไม่รู้เรื่องของนิพพานให้สมควรกับเป็นพุทธบริษัท เป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา เป็นนิสิต เป็นครูบาอาจารย์ ก็ยังคิดอย่างนี้ ไม่สนใจเรื่องนิพพาน แล้วก็ไม่รู้จะเป็นพุทธบริษัทไปทำไมกัน อาตมาเอาเรื่องนี้มาพูด ก็เพื่อให้มันมีความเป็นพุทธบริษัทเพิ่มขึ้นบ้างนั่นเอง ขอให้สนใจฟัง แม้ผู้ที่กำลังคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร มันพ้นสมัยไปแล้ว หรือว่ามันไม่สมควรแก่เรา ท่านจะคิดอย่างนั้นก็คิดได้ แต่ว่าความจริงมันยังคงเป็นความจริงอยู่ตามเดิม ว่าจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่านิพพานนั้นให้สมควรกัน
ท่านมาที่นี่ทำไม ถ้าท่านไม่ได้ต้องการเรื่องนิพพาน หรือไม่ได้ต้องการจะรู้อะไรในขนาดนั้น แล้วก็มาที่นี่กันทำไมให้เหน็ดเหนื่อย ให้เสียเวลา ให้เสียเงิน ให้ลำบาก เข้าใจว่าคงจะมีข้อข้องใจหรือปัญหาอะไรบางอย่างจึงได้พากันมา เพื่อจะช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านั้น เป็นผู้ไม่มีปัญหากลับไป ไอ้สิ่งที่เรียกว่าปัญหานั้นขอให้รู้ว่ามันเป็นสิ่งทรมานจิตใจ คำว่าปัญหาแปลว่าคำถาม นี่เด็ก ๆ มันก็รู้ ปัญหาคือคำถาม แปลว่าคำถาม เด็ก ๆ มันก็รู้ แต่อะไรที่เป็นเหตุให้มีคำถาม นั่นก็คือปัญหาเหมือนกัน ตอนนี้อาจจะไม่รู้ ไอ้สิ่งที่มันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดคำถาม เป็นเหตุให้เกิดปัญหาอันนั้นแหละ มันเป็นปัญหายิ่งกว่า เพราะฉะนั้นเราควรจะรู้ว่าไอ้ปัญหานี่เป็นสิ่งที่ทรมานใจ ทำให้ทนอยู่ไม่ได้จึงต้องมีการขวนขวาย ชำระสะสางปัญหา ยิ่งมันเป็นปัญหาของชีวิต เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตจิตใจของคนมันก็ยิ่งทนอยู่ไม่ได้ ไอ้ปัญหาที่มันเกิดอยู่ข้างนอกในโลก ในประเทศอื่น มันก็เป็นปัญหา แต่ถ้ามันไม่มาเกี่ยวข้องกับเรา มันก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เดี๋ยวนี้ปัญหาทั่วทั้งโลกมันถึงกันหมดทั่วทั้งโลก มันก็ไปรบกวนบุคคลทั่วทั้งโลก ทางวัตถุบ้าง ทางจิตใจบ้าง มันก็พลอยมีปัญหาร่วมกันทั้งโลก ไอ้เราต้องการจะหมดปัญหา ถ้าท่านเกลียดกลัวปัญหา อยากจะหมดปัญหา ก็ให้รู้เถิดว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั่นแหละคือความหมดปัญหา ความที่มันหมดปัญหาไปได้เท่าไร มันก็เป็นนิพพานเท่านั้น เพราะปัญหามันเป็นของร้อน นิพพานนี่มันเป็นของเย็น นี่จะต้องรู้ในข้อแรก ถ้าใครไม่สนใจ เห็นว่าไม่จำเป็น ก็ขอให้รู้ไปเสียตั้งแต่ต้นว่าคำว่านิพพาน นิพพานนี่มันแปลว่าเย็น ของสิ่งที่ร้อน มันจึงได้แต่ดับไปของความร้อน ของสิ่งที่มีความร้อน ความร้อนดับไปเท่าไรมันก็เย็นลงเท่านั้น จิตใจของใครมีความร้อนเท่าไร ถ้ามันดับร้อนลงไปได้เท่าไร มันเป็นนิพพานเท่านั้น
เราได้ ได้ฟัง ได้ยินได้ฟัง ได้รับคำสั่งสอนกันมาแต่ที่พูดกันว่า นิพพานเป็นเรื่องสูงสุด รออีกร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ อะไรกันก็ไม่รู้จึงจะได้นิพพาน จริง ๆ เขาพูดอย่างนั้นมันก็ถูกเหมือนกัน มันถูกโดยความหมายอันหนึ่ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าจะต้องรอกันขนาดนั้น มันไม่มีประโยชน์อะไร คุณลองคิดดูสิ ถ้าจะต้องตายแล้วตายอีกไปตั้งหมื่นชาติ แสนชาติ มันจะมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวนี้เหรอมันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ฉะนั้นเราไม่รู้ความจริงว่า เรารอดชีวิตอยู่ได้นี่ ก็เพราะสิ่งที่เรียกว่านิพพาน ที่มันไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า นี่มันเพราะอำนาจของพระนิพพาน คุ้มครองอยู่ พูดอย่างหยาบคายก็พูดได้แต่ไม่อยากจะพูดว่านิพพานมันคุ้มครองอะไรอยู่ มันจึงไม่เป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ เป็นบ้า แล้วก็ตายไปแล้ว ถ้านิพพานไม่คุ้มครองอยู่ นิพพานนั่นมันแปลว่าเย็น เย็นของความดับไฟ ไฟคือกิเลส กิเลสนี้คงจะรู้กันดีแล้ว ไม่ต้องพูดก็ได้ว่าคือ โลภะ โทสะ โมหะ บางคราวก็เรียกว่า ราคะ โกธะ โมหะ แล้วแต่จะเรียกมันไอ้ ๓ ตัวนั่นแหละเรียกว่ากิเลส มันเป็นไฟ เกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไรก็ร้อน ขอให้ระลึกนึกถึง เมื่อมีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันยังไม่เกิด มันไม่ร้อน เดี๋ยวนี้มันไม่ร้อนด้วยราคะ โทสะ โมหะ ไอ้สมัยที่ร้อนอยู่ด้วยราคะ โทสะ โมหะ ร้อนเท่าไร เมื่อโลภะ หรือ ราคะ เป็นไปอย่างแรงกล้ามันร้อนเท่าไร มันเคยร้อนมาแล้ว แต่มันลืมเก่ง เมื่อโทสะเกิดขึ้น มันร้อนเท่าไร มันก็เคยมาแล้ว แล้วมันก็ลืมเสีย โมหะ ไอ้ความโง่ ความหลง ความวิตก กังวล อาลัยอาวรณ์ สงสัย นี่มันก็ร้อนเหมือนกัน มันร้อนเนือย ๆ เหมือนไฟลุกโพลง ๆ ก็มี ไฟที่ลุกเนือย ๆ ก็มี ไฟหมกขี้เถ้าแกลบอยู่ก็มี มันล้วนแต่ไฟทั้งนั้น มันก็ร้อนต่างกันบ้าง แต่แล้วมันก็ร้อนเหมือนกัน ร้อนกันทั้งหมด คือไฟด้วยกันทั้งนั้น ต่อเมื่อไฟดับมันจึงจะเย็น คำว่านิพพานนี่แปลว่าดับแห่งไฟ เขาเรียกกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธศาสนาเกิดโน้น ก่อนมีพุทธศาสนา หรือก่อนมีศาสนาอะไรหลาย ๆ ศาสนาที่มีคำว่านิพพานใช้ ชาวบ้านเขาใช้คำว่านิพพานกันอยู่ที่บ้านที่เรือน ในที่ทุกหนทุกแห่งแหละ ว่า เย็น เย็น เย็น ถ้าเมื่อไรเย็นก็เรียกว่านิพพาน ภาษาบาลีมีคำว่านิพพาน ไม่ต้องออกชื่อไฟ ก็เป็นอันรู้กันว่าไฟ จะมาสอนบาลีกันกับญาติโยมเหล่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ แต่บอกให้รู้ว่ามันเป็นคำกลางบ้าน ชาวบ้านใช้กันอยู่ นิพพานก็แปลว่าเย็น ถ้าเขาพูดว่านิพพาไปยะ ( นาทีที่ 13.20) ก็แปลว่า ทำไฟให้ดับ ไม่ต้องมีคำว่าอัทธิง อัฐทิ อะไรที่ไหนมา นิพพานไปยะ (นาทีที่ 13.23) ก็รู้กันว่าแปลว่าดับไฟเสีย ทำไฟให้ดับเสีย นิพพานก็คือเย็นนั่นเอง ชาวบ้านพูด เด็กทารกก็พูด เด็กทารกพอมันร้อน ๆ มันก็บอกว่าร้อน พอเย็นแล้วมันก็บอกว่าเย็น ลูกเด็ก ๆ อาจจะร้องตะโกนมาจากในครัวว่าแม่หรือพี่มากินข้าวต้มได้แล้ว มันนิพพานแล้ว เขาใช้คำว่านิพพาน อาหารนิพพาน ของร้อนมันเย็นลงก็เรียกว่านิพพาน นี่ให้รู้เถิดว่ามันแปลว่าเย็น คำว่านิพพานน่ะมันเย็นตรงข้ามกับร้อน ถ้ามีแต่ความร้อนมันจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวค่อยพูดกัน นี่มันมีเย็นสลับอยู่ มันจึงรอดตายมาได้
ทีนี้เมื่อคนเขาฉลาดมากขึ้น ๆ เขาเข้าไปอยู่ในป่า ค้นคว้าหาความเย็นทางจิตใจ เพราะความเย็นทางจิตใจประเภทสมาธิสมาบัติทั้งหลาย มันเย็นทางจิตทางวิญญาณ พบความรู้สึกอันนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรเพื่อให้มันเป็นที่เข้าใจกันแก่คนทุกคน ก็เรียกว่าเย็นอีกเหมือนกัน ว่านิพพานเหมือนกัน แต่มันเย็นแห่งจิตใจ ถือนิพพานเป็นเรื่องของสมาธิสมาบัตินี้กันอยู่เป็นยุค ๆ ทีเดียว ต่อมายุคต่อมาอีก มันก็เกิดพระพุทธเจ้า ท่านว่าเท่านั้นมันยังไม่ใช่นิพพานที่แท้จริงหรือสูงสุด ท่านจึงมาค้นพบวิธีตัดกิเลสออกไปเสียให้หมด ตัดกิเลสออกไปเสียให้หมด นั่นคือนิพพานจริง นิพานถึงที่สุด เลยไม่มีใครค้นพบนิพพานให้สูงไปกว่านั้นอีกได้ มันก็หมดเพียงเท่านั้น คือนิพพานเท่าที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ แล้วมาสอนไว้แก่พวกเราชาวพุทธทั้งหลาย สรุปความว่าความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ นั่นแหละคือนิพพาน นี่ช่วยจำคำนี้ไว้ทีก่อนว่า ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ นั่นแหละคือนิพพาน ไฟอันสูงสุดคือราคะ โทสะ โมหะ ดับ มันก็เย็นที่สุดคือนิพพาน ถ้าเพียงแต่ทำสมาธิ อยู่ในสมาธิ ในสมาบัตินี่มันเย็นชั่วคราว พอออกจากนั่นมันก็ร้อนอีก จึงมีนิพพานในชั้นสมาธิอยู่ควบหนึ่ง ทีนี้ก็มาถึงนิพพานทางวัตถุที่ว่ามาแล้วว่าแม้แต่ในครัว ก็พูดกันด้วยคำว่านิพพาน เช่น ถ่านไฟแดง ๆ เอาออกมาให้มันดำเย็น แล้วก็ว่า นิพพาน นิพพาน มันก็นิพพานเหมือนกัน คำว่านิพพานแปลว่าเย็น ใช้ทางวัตถุก็ได้ ใช้ทางจิตใจก็ได้ สูงไปกว่าจิตใจเป็นวิญญาน เป็นสติปัญญาอะไรก็ได้ เอาความหมายว่าเย็น เย็น นี่ข้อแรกที่จะให้ทราบกันไว้ทุกคนว่าคำว่านิพพานแปลว่าเย็น แล้วก็มีความหมายอยู่อย่างน้อยก็ ๓ ชั้น คือทางวัตถุ วัตถุเย็นก็เรียกว่านิพพาน ทางจิต จิตเย็นก็เรียกว่านิพพาน ทางวิญญาณ ทางสติปัญญา คือหมดกิเลสตัณหา เป็นสภาพที่เย็นสูงสุดก็เรียกว่านิพพาน
ทีนี้ก็มาพูดถึงข้อที่ว่านิพพานมันหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเราไว้ ถ้าว่ามันมีราคะ โทสะ โมหะ เรื่อยไม่ยอมหยุด จะเป็นอย่างไร ขอให้ลองนึกถึง ราคะ โทสะ โมหะ แต่หนหลังถ้ามันเกิดขึ้นแล้วมันเป็นอย่างไร มันเกือบจะเป็นบ้าใช่ไหม แล้วถ้ามันไม่รู้จักหยุด จักเย็น จักเว้นว่างได้ แล้วมันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นบ้า มันจะเกินเป็นบ้า แล้วมันก็จะตาย ฉะนั้นใน ๒๔ ชั่วโมงนั้นน่ะ มันว่างจากกิเลสอยู่หลายชั่วโมง มันมีกิเลสอยู่บางชั่วโมงหรือบางเวลา พอกิเลสเกิดขึ้นก็เป็นไฟ ชีวิตนี้ก็ร้อน เป็นชีวิตร้อน พอกิเลสหยุดไป ดับไปด้วยเหตุใดก็ตาม คือไม่เกิดอยู่ในเวลานั้น ก็ชีวิตนั้นมันก็เย็น แต่แล้วมันไม่นิพพานเด็ดขาด มันนิพพานชั่วคราว ช่วยจำคำว่านิพพานชั่วขณะ นิพพานชั่วคราว ไม่ใช่นิพพานสูงสุดที่ว่าสิ้นกิเลส สิ้นเชื้อแห่งกิเลส สิ้นอนุสัยแห่งกิเลส ไม่เกิดกิเลสอีกต่อไป นั่นน่ะนิพานจริง หรือนิพพานชั้นถึงที่สุดสูงสุด ซึ่งอาจจะคำนวณว่าอีกกี่หมื่นชาติ แสนชาติจึงจะได้ ก็พอได้ ก็พอ พอจะฟังได้ หมายความมันยังยากลำบาก มันยังไกลอยู่ จนต้องประมาณ คำนวณ ประมาณว่าหมื่นชาติ แสนชาติจึงจะได้ นิพพานสมบูรณ์ที่ไม่กลับเกิดร้อนอีก แต่เดี๋ยวนี้นิพพานชั่วคราว นิพพานชั่วขณะนี่ ต้องมี ถ้าไม่มีเป็นบ้า ไม่ได้มานั่งกันอยู่อย่างนี้แล้วก็ตายหมดแล้วก็ได้ ไอ้นิพพานชั่วคราวคือที่กิเลสมันไม่ได้เกิด ไม่ใช่ว่ามันสิ้นเชื้อแห่งกิเลส แต่มันไม่เกิด มันก็มีผลว่างจากกิเลส เป็นนิพพานเหมือนกัน ถ้ามีอะไรมากระทบ มาบังเอิญ มันก็เป็นนิพพานชั่วขณะ เช่นว่า ถ้าเข้าสมาธิด้วยองค์แห่งสมาธินั้นมันก็ดับคือเย็น เป็นนิพพาน แบบนี้เขาเรียกว่า ตทังคนิพพาน นิพพานบังเอิญเป็น เพราะมีอะไรเข้ามาทำให้กิเลสเย็น ระงับลงไปเมื่อทำสมาธิสำเร็จ องค์แห่งสมาธิก็ทำให้จิตนี้มันเย็น ด้วยอำนาจของสมาธินั้น เขาเรียกว่าตทังคนิพพาน นิพพานเพราะอำนาจสิ่งนั้นองค์นั้น แต่นิพพานชนิดนี้มันเป็นชั่วขณะ ชั่วเวลาที่อยู่ ที่อยู่ในสมาธิ จึงเรียกว่านิพพานชั่วสมัย ชั่วขณะ อธิบายให้ละเอียดให้ประณีตยิ่งกว่านี้ไปก็ได้ แต่ว่าเท่าที่จะเข้าใจกันสำหรับพวกเราเหล่านี้ก็เอาเท่านี้ก็พอ ว่าความที่กิเลสว่างไป ไม่มารบกวนจิต ไม่มาเผาจิต บางทีมันก็มี ตามธรรมชาติมันก็มี เพราะว่ากิเลสมันเป็นสังขาร เหตุหมด เหตุหมด หมดเมื่อไรมันก็ดับ กิเลสมันก็ดับของมันได้ พอหมดเหตุหมดปัจจัย เราก็ว่าง ขาดกิเลส ก็เย็นกันพักหนึ่ง ด่าใครเสียเหนื่อยหอบ ด่าไม่ไหวก็ทรุดลงนั่ง กิเลสมันก็หยุดไปพักหนึ่ง มันก็เย็น อย่างนี้ก็เรียกว่ามันเป็นไปเอง มันเป็นไปตามธรรมชาติในโลกนี้ในมนุษย์โลกนี้ มีเหตุปัจจัยให้เกิด มันก็เกิดกิเลสแล้วมันก็ร้อนพักหนึ่ง จนกว่ากิเลสมันจะหยุดลงไปด้วยเหตุอะไรก็ตาม มันหยุดของมันเองตามธรรมชาติ เพราะขาดเหตุปัจจัยตามธรรมชาติ มันก็หยุด มันก็ไม่ร้อน หรือว่าเรามีธรรมะ เราข่มไว้ด้วยธรรมะ ด้วยสมาธิ มันก็หยุดไปมันก็ไม่ร้อน กิเลสที่จะอาละวาด มันก็มีเป็นทอด ๆ ช่วง ๆ ในวันหนึ่งคืนหนึ่ง แล้วที่มันไม่อาละวาด ที่มันสงบเย็นไม่อาละวาดนั้น มันมีมากกว่านะ ช่วงที่เกิดกิเลสนี้มันมีน้อยกว่า ไปคิดเอาเองเถิดว่า ๒๔ ชั่วโมง เราเกิดร้อนขึ้นมาด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง กี่ชั่วโมงหรือกี่นาที ปะเหมาะบางวันไม่เกิดเลยก็มีนะ ดูให้ดี บางวันบางคืนมันไม่ได้เกิดเลยก็มี ถึงแม้ว่ามันจะเกิดเก่ง มันก็ไม่ได้เกิดทั้ง ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเกิดทั้ง ๒๔ ชั่วโมงไม่กี่วันมันก็ตาย คนนั้นมันก็ตาย นี้เราจงรู้ว่าไอ้คำว่านิพพานที่แปลว่าเย็น เพราะไม่มีกิเลสเผานั้นน่ะ มันมีอยู่ในชีวิตของเราประจำวัน พอสมควร พอสมควร มันจึงรอดอยู่ได้คือไม่เป็นบ้า หรือว่าเป็นโรคประสาทนอนไม่หลับนั้นน่ะ เรียกว่าความขาดนิพพานมันเริ่มแสดง ใครนอนไม่หลับ ก็รู้เถิดว่าความขาดนิพพานเหมือนกับร่างกายขาดวิตามิน เมื่อจิตมันขาดนิพพาน มันจะเป็นโรคประสาท ถ้ามันขาดนานไปกว่านั้น มันจะเป็นบ้า มากกว่านั้นมันจะตายนะ นี่เราจึงเรียกนิพพานว่าวิตามินทางวิญญาณกันก็ได้ ทางร่างกายเขาก็ดูแลไม่ให้มันขาด ร่างกายมันก็ปกติอยู่ ทางจิตมันก็ต้องมีนิพพานคือเย็น เพราะว่างจากกิเลสนี่มาช่วยหล่อเลี้ยงอยู่ จึงไม่เป็นบ้า ไม่ตาย เด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตาม คนเฒ่าคนแก่ พระเจ้าพระสงฆ์อะไรก็ตาม มันมีนิพพานชนิดนี้หล่อเลี้ยงอยู่ เรียกว่านิพพานชั่วคราว คือนิพพานประจวบเหมาะด้วยเรื่องอะไรก็ตามที่มันมาหยุดกิเลสไว้ได้ แล้วมันก็เป็นไปชั่วระยะ ระยะ ชั่วคราว เรียกว่านิพพานชั่วคราว นิพพานประจวบเหมาะ ชั่วคราวนี้ มันหล่อเลี้ยงชีวิตเราไว้ ไม่ต้องตายไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ใครนอนไม่หลับควรจะรู้จักละอายแมวเสียบ้าง เพราะว่าแมวมันนอนหลับ มันไม่ได้เป็นโรคอย่างนี้ แต่คนเสียอีกนอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับ ต้องลำบากกันมากมาย เพราะมันขาดพระนิพพานชนิดนี้ ชนิดที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวัน ให้รีบหามากินมาใช้เสียบ้าง ความที่จะควบคุมกิเลสไม่ให้มันเกิดขึ้นมานี่เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อความปกติสุขแห่งมนุษย์โดยเฉพาะพุทธบริษัท ถ้าไม่มีสิ่งนี้มาช่วยคนก็ตายหมดโลกแล้ว นี่ว่าโดยธรรมชาติมันก็มี นิพพานหล่อเลี้ยงชีวิตคนอยู่ตลอดเวลา แล้วคนก็ไม่สนใจไม่รู้จัก โง่เท่าไรคุณไปคิดดูเอง คนนี้มันโง่เท่าไร ไปคิดดูเอง มันไม่รู้จักสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตมันอยู่ได้จนบัดนี้ มันโง่เท่าไร
ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักทำให้มากขึ้น รู้จักควบคุมกิเลสอย่าให้มันเกิดขึ้นมา ต้องรู้จักให้มากขึ้น ควบคุมให้มากขึ้น ให้มันว่างจากกิเลสระยะยาวออกไป ยาวออกไป ๒๔ ชั่วโมงให้มันเกิดสักนาที ๒ นาทีก็พอ ไฟหรือกิเลส เหลือนอกนั้นให้มันเป็นนิพพาน แล้วคนนี้จะสดชื่นเป็นสุข สมกับที่เป็นมนุษย์และมีพระพุทธศาสนา ฉะนั้นขอให้ทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียน นักศึกษา คนหนุ่มคนสาว รู้จักเรื่องความเย็นหรือพระนิพพานชนิดนี้กันเสียบ้าง เพราะว่าชีวิตคนหนุ่มสาวนั้นมันเป็นโอกาสที่จะเกิดไฟมากเกินไป รู้เรื่องนิพพานเสียบ้าง มันก็จะป้องกันได้มาก อย่าให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้มันเกิดขึ้นบ่อยนัก เพียงแต่บ่อยนักก็จะสูญคนแล้ว ภาษาบ้านนี้เขาเรียกว่าสูญคน เสียคน เสียความเป็นคน ถ้าไฟนี้มันเกิดบ่อยนัก มันดับไม่พอ มันจะทำผิดพลาด แล้วมันจะฆ่าตัวตายบ้าง มันจะทำอะไรเลวร้ายเลวทราม อะไรต่าง ๆ มากมาย ถ้ามันควบคุมกิเลสไว้ไม่ได้ ถ้าควบคุมไว้ได้ มันก็อยู่ในความถูกต้องมาก ๆ วันหนึ่งคืนหนึ่งมันก็เย็นสบายดี ไอ้ความเป็นพุทธบริษัทมันอยู่ที่ตรงนี้นะ ไม่ใช่อยู่ที่รู้พระไตรปิฏก เป็นนักธรรม เป็นนักบาลี ให้สักร้อยประโยคมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรถ้ามันไม่รู้จักควบคุมไฟ หรือความร้อนนี้ให้มันสงบเย็นลงเสียบ้าง เดี๋ยวนี้เราไม่พูดว่า เป็นพระ เป็นฆราวาสกันแล้วล่ะ เพราะมันเหมือนกัน กิเลสของฆราวาสกับกิเลสของพระ เหมือนกันเลย ไม่ได้ต่างกันว่ากิเลสของพระมันบวช กิเลสของฆราวาสมันไม่ได้บวช มันไม่อย่างนั้น มันเหมือนกันเลย ไอ้ความทุกข์ของพระกับของฆราวาส มันก็เหมือนกันแหละ กิเลสมันก็เหมือนกันแหละ ฉะนั้นวิธีที่จะป้องกันหรือดับกิเลสมันก็เหมือนกันอีกแหละ ก็คือหลักธรรมะ ถ้ามันเป็นทุกข์เป็นร้อนขึ้นมามันก็เหมือนกันแหละ ถ้ามันมีนิพพานความเย็นเข้ามาช่วยแก้ ก็นิพพานอย่างเดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้นขอให้เรารู้จักว่าที่มันรอดชีวิตอยู่พอเป็นปกติได้ ไม่ต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมวนี้ มันเป็นพระคุณของพระนิพพาน ชนิดที่ว่ารู้จักขอบพระคุณของพระนิพพานกันเสียบ้าง มิฉะนั้น ขออภัยจะพูดเหมือนเด็ก ๆ เขาว่า เนรคุณ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานให้ข้าวเหลือกินเดนจาน มันยังรู้จักขอบคุณ เดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ให้อะไรมากกว่านั้นนะ ควรจะขอบคุณท่านให้พระนิพพาน วิธีที่จะทำให้จิตเย็น เป็นสุข แม้ชั่วคราว แม้ชั่วขณะ ที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์เราอย่างที่อาตมาเปรียบด้วยวิตามิน ที่จริงคนมันก็ไม่ได้ขอบพระคุณวิตามิน คนมันกินอาหารที่มีวิตามินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว อาหารการกินของคนตามปกติมันมีวิตามินเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ตัว คนจึงเป็นปกติอยู่ได้ ไม่มีใครเคยขอบคุณวิตามินที่กินเข้าไปทุกวัน ๆ โดยไม่รู้สึกตัว เดี๋ยวนี้นิพพานก็เหมือนกันแหละ หล่อเลี้ยงชีวิตเราอยู่โดยที่เราไม่รู้สึกตัว แล้วเราก็ไม่ขอบคุณพระนิพพาน ถ้าเราขอบคุณพระนิพพาน เราก็จะสนใจพระนิพพานนั้นมากขึ้น ๆ แล้วก็ทำให้มากขึ้น ๆ มากขึ้น เป็นระยะยาวจนติดต่อกันเลย จนไม่มีช่องว่างให้กิเลส นั่นล่ะจะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ก็คือไม่มีทางเกิดแห่งกิเลส คือไฟไม่มีเกิด ไอ้เรานี่กิเลสหรือไฟมันเกิดเป็นคราว ๆ เป็นตอน ๆ เป็นคราว ๆ อยู่เสมอไป ถ้าเราทำให้ระยะที่มีไฟลดลง ระยะที่ว่างจากไฟยาวออกไป เดี๋ยวมันก็จะใกล้ความเป็นพระอรหันต์มากขึ้น ฉะนั้นขอให้ทุกคนสนใจ การปฏิบัติที่จะควบคุมไฟคือกิเลสที่มันจะเกิดขึ้นอย่างไร รู้จักควบคุมเสีย นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันมาก ไว้พูดทีหลังดีกว่า นั่นมันเป็นตอนปลาย ไอ้ตอนต้นนี่ก็ว่าขอให้รู้จักพระคุณของนิพพาน คือความเย็น ถ้าจะพูดอย่างกว้าง ๆ ไม่เกี่ยวกับศาสนาและก็จะพูดว่าชีวิตที่เย็นคือนิพพาน ไอ้ชีวิตที่ร้อนคือนรก เมื่อไรชีวิตมันร้อน เมื่อนั้นมันอยู่ในนรก เมื่อใดชีวิตมันเย็น เมื่อนั้นมันอยู่กับพระนิพพาน อย่าเข้าใจผิดนะว่ามันจะร้อนแต่คนยากจนนะ คนมั่งมีมันก็ร้อนเหมือนกันนะ จะร้อนเพราะมั่งมีหรือร้อนเพราะยากจนมันก็เป็นนรกเหมือนกันทั้งนั้นแหละ อย่าร้อนได้นั่นแหละดี ขอให้เรารู้จักไอ้สิ่งที่มันจะทำให้ร้อนขึ้นมา ควบคุมไว้ให้ได้ให้มันเป็นชีวิตเย็น จำกันง่าย ๆ อย่างนี้ ว่าเราจะมีชีวิตร้อนหรือจะมีชีวิตเย็น ให้ลูกเด็ก ๆ ทั้งหลายที่กำลังต้องเรียนหนังสือหนังหาอยู่ในโรงเรียนนี่มันก็ต้องการชีวิตเย็นนะ ที่มันไม่รู้จักทำให้เย็นน่ะมันได้เป็นบ้า มันตายไปแล้วหรืออะไรมากมาย มันจะต้องรู้จักทำให้มันเย็น ถึงจะเรียนหนังสือดีแล้วก็ทำงานได้ดีออกไปมีชีวิตอยู่เย็น สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้มันยังไม่รู้เรื่องนี้ว่าอะไรที่ทำให้เย็น อาตมาจึงมาพูดโดยหัวข้อว่า นิพพานเท่าที่พุทธบริษัทต้องทราบ อย่างน้อยต้องทราบว่ามันรอดชีวิตอยู่ด้วยนิพพาน ซึ่งมันปรากฏออกมาเป็นคราว ๆ คราว ๆ นี้ รอดชีวิตอยู่ได้ด้วยสิ่งนี้ ดังนั้นเราต้องรู้จักสิ่งนี้กันก่อน เข้าใจว่าคงจะฟังกันออกนะว่าเราต้องรู้จักนิพพานกันให้มากเท่าที่เราควรจะรู้จัก มิฉะนั้นเราจะเป็นคนโง่เขลา และเราก็จะเป็นคนอกตัญญูต่อพระนิพพานซึ่งมีบุญคุณเหลือแสน คุ้มครองเราให้รอดชีวิตอยู่ไม่ตาย ไม่เป็นบ้า ไม่เป็นประสาท ไม่เป็นอะไร ๆ ที่ว่ามันไม่ควรจะเป็น คือเป็นปกตินั้นล่ะ มิฉะนั้นก็คงต้องตายแน่ ๆ ถ้าเกิดราคะ โทสะ โมหะ กันตลอด ๒๔ ชั่วโมง ไม่กี่วันมันก็ตาย ตายแน่ ๆ ฉะนั้นถ้าตรงไหนที่มันว่างจากราคะ โทสะโมหะ ตรงนั้นเป็นนิพพาน ช่วงเท่านั้นเป็นนิพพาน เป็นอาการแห่งนิพพาน แม้ชั่วคราวก็เป็นความเย็น ที่มีความหมายของคำว่านิพพาน นี่คือปัญหา ชีวิตมันมีปัญหา ที่มันต้องมีอะไรหล่อเลี้ยงไว้ให้พอดีไม่ฉะนั้นมันตาย ชีวิตสัตว์เดรัจฉานก็เห็นได้ ถ้าไม่มีอะไรหล่อเลี้ยงมันก็ตาย ที่จะดูกันง่าย ๆ เอาต้นไม้ต้นไร่เหล่านี้กันดีกว่า ต้นไม้ทั้งหลายเหล่านี้มันมีอะไรหล่อเลี้ยงไว้พอ มันจึงไม่ตาย ถ้าสิ่งหล่อเลี้ยงนั้นไม่พอ มันตายหมดแหละ มันไม่มีร่มเงาอย่างนี่หรอก นี่ชื่อว่ามันต้องมีเหตุปัจจัยอะไรหล่อเลี้ยงไว้ ไอ้เราก็ต้องมีความว่างจากกิเลสนั้นล่ะหล่อเลี้ยงไว้
ทีนี้เราจะรู้จักกิเลสกันให้พอสมควรอีก เพราะว่าเราจะต้องรู้จักควบคุมมัน ให้มันมีความว่างจากกิเลสเพียงพอ กิเลสนี้มันก็เป็นสังขารทั่วไปเหมือนกัน สังขารก็แปลว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เขาเรียกว่าสังขารทั้งนั้นแหละ กิเลสแม้จะเป็นเรื่องทางจิตทางใจ มันก็เป็นสังขาร คือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สิ่งใดมีลักษณะอย่างนี้เรียกว่าสังขารหมด กิเลสมันก็คือสิ่งชนิดนี้ ทีนี้มันมาเป็นเหตุ เป็นปัญหาขึ้นมาได้อย่างไร ในหนังสือคนชาวบ้านแถวบ้านดอนนี้แต่ง มีข้อความดีมาก อาตมาจะอ่านให้ฟังสัก ๒-๓ บรรทัด เหมือนดังเด็กแล วิ่งหนีพ่อแม่ วิ่งตามโจรมา แต่อดแต่ยากลำบากเวทนา โอ้, อนิจจา เห็นโจราน่าเชย โจรนี้ใจร้าย ทำใดทำได้ ไม่ปราณีเลย แต่ร่ำร้องไห้ ไม่มีสุขเหลย ใจโจรนี้เอ๋ย ไม่คิดเอ็นดู อยู่ด้วยพ่อแม่ ทุกสิ่งใดแลช่วยถือช่วยชู มีความเมตตา ปราณี เอ็นดู นี่แลลบหลู่ ละเลย ศีลทาน
บางคนจะฟังไม่ถูก ก็เล่า ใจความว่า ไอ้เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมันอยู่กับพ่อแม่ วันหนึ่งพวกโจรมันมาพูดปะเหลาะปะแหละ อะไร ๒ – ๓ คำ มันทิ้งพ่อแม่ แล้ววิ่งหนีตามโจรไป ไปอยู่กับโจร พอไปอยู่ในมือโจรแล้วโจรก็ทำตามความปรารถนาแห่งโจร ได้รับความยุ่งยากลำบากแทบจะตาย นี่เด็กเล็ก ๆ อยู่กับพ่อแม่ ต่อมาถูกใจพวกโจรที่มาพูดอะไรหลอกล่อไม่กี่คำ ก็ทิ้งพ่อแม่ หนีตามโจรไปตกอยู่ใต้อำนาจของโจรแล้วก็เป็นทุกข์มาก เรื่องนี้ มีความหมาย คือว่าเราเกิดจากท้องมารดา อยู่ในท้องมารดาไม่มีกิเลส เกิดกิเลสไม่เป็นเมื่ออยู่ในท้องแม่ เกิดกิเลสไม่เป็น คิดไม่เป็น ทีนี้พอออกมาจากท้องมารดาแล้วเป็นทารกอยู่ มันก็ยังคิดไม่เป็น แต่ต่อมาโตพอสมควรแล้ว มันได้กินของอร่อย กินของไม่อร่อย ดวงตาได้เห็นของสวยงามได้เห็นของไม่สวยงาม หูได้ฟังเสียงไพเราะไม่ไพเราะ จมูกได้ดมกลิ่นหอม ได้กลิ่นเหม็น ลิ้นได้รับรสอร่อยไม่อร่อยก็ตาม เด็กมันโตมากแล้วมันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สัมผัสสิ่งเหล่านี้แล้วมันก็เปลี่ยน มันเปลี่ยน เมื่อก่อนนี้มันอยู่ในกรอบของพ่อแม่ มันคิดอะไรไม่เป็น มันก็เรียกว่าอยู่กับพ่อแม่ เกิดมากับพ่อแม่ อยู่กับพ่อแม่ แล้วไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน มันทิ้งแม่ทิ้งพ่อไปกับโจร คือ ความอร่อยไม่อร่อย สวยไม่สวย หอมเหม็น เรื่องความรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเข้ามาเกี่ยวข้อง เด็ก ๆ ก็เลยตามโจรไป ตามความรู้สึกเอร็ดอร่อยเหล่านั้น แล้วก็ไปอยู่ใต้อำนาจของความเอร็ดอร่อยเหล่านั้น เรียกได้ว่าโจรเอาไปแล้วตามใจโจรละทีนี้ แล้วไอ้คน ๆ นั้นหเด็กน้อยนั้น ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน คือ รู้จักเกิดกิเลสแล้วทีนี้ ถ้ามันอร่อยก็รู้จักเกิดกิเลสคือความพอใจ หรือความโลภหรือความกำหนัดยินดี ถ้าไม่อร่อยก็เกิดโทสะ ความโกรธ เป็นไฟชนิดหนึ่ง ถ้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันก็โง่หลงสงสัย กังวล วิตก อาลัยอาวรณ์อยู่ นี่แหละโจร ๓ ตัวนั้นมันทำแก่เด็กนั้นตามชอบใจ เป็นทุกข์ทรมานไป กว่าจะพ้นจากมือโจรกว่าจะพ้นจากอำนาจแห่งโจรก็คือเมื่อรู้ธรรมะ จนพ้นอำนาจแห่งโจรกันอีกทีหนึ่ง มันจึงจะไม่มีความทุกข์ เดี๋ยวนี้มันเกิดมาจากท้องแม่ เป็นลูกของแม่ที่อยู่ในธรรมชาติที่บริสุทธิ์ แต่ไม่เท่าไร มันไปหลงอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางอะไรก็ตาม มันไปหลงความอร่อย เรียกว่ามันตามโจรไป มันวิ่ง มันทิ้งพ่อแม่ มันหนีพ่อแม่แล้ว มันตามโจรไป มันไปอยู่กับโจร ทีนี้โจรก็ทำได้ตามความปรารถนาสิ
นิทานเรื่องนี้มันเรื่องของใครเล่า มันเรื่องของใคร ขอให้ช่วยคิดดู นิทานที่เล่านี่มันเป็นเรื่องของใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องของทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่มันเป็นอย่างนี้ เกิดมาจากท้องแม่ก็อยู่กับแม่ พอได้ไปเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไปหาไอ้นั่นเลย ทิ้งแม่ตามโจรไป แล้วโจรนั้นมันก็ทำตามชอบใจ ทรมานจิตใจกันอย่างไร คือกิเลส กิเลสมันก็ทรมานจิตใจ นี่เรื่องของคนเขาเล่าไว้อย่างนี้ เกิดมาจากพ่อแม่ไม่เท่าไร มันก็ทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป แล้วก็ไปทนทุกข์ทรมานจากพวกโจรนั้นจนกว่าจะหลุดพ้นจากอำนาจแห่งโจร เมื่อไรจะหลุดพ้นจากอำนาจแห่งโจร ก็เมื่อรู้ธรรมะสิ เมื่อรู้ธรรมะพอจะขจัดโลภ ไอ้ความโลก ความโกรธ ความหลง ซึ่งก็เหมือนโจรนั้นล่ะ ให้หมดไป เดี๋ยวนี้จะเปรียบเทียบว่านี่โจรมันยังปรานีบ้าง มันไม่ทรมานทั้ง ๒๔ ชั่วโมง โลภะ โทสะ โมหะ มันยังไม่ทรมานเราทั้ง ๒๔ ชั่วโมง ไม่ฉะนั้นตายหมดแล้ว มันแบ่งเว้นไว้บ้างจะได้มีชีวิตอยู่ สำหรับจะได้ทรมานมันเรื่อยไป ไม่มีสิ้นสุด ถือโอกาสนี้ศึกษาฆ่าโจร ทำลายโจร ล้างโจรเสีย เป็นนิพพานติดต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย เป็นนิพพานจริง เดี๋ยวนี้มันเป็นนิพพานชั่วขณะ ๆ คนกิเลสหนา ขณะตอนนิพพานก็สั้นมาก สั้นมาก น้อยมาก น้อยคราวมาก แต่ละคราวก็สั้นมาก คนที่กิเลสไม่หนา นิพพานเขาก็มีบ่อย ๆ แล้วก็ระยะยาว ๆ แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติทำให้ถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนาแล้ว กิเลสจะเกิดไม่ได้ นิพพานก็จะยาวออกไป ยาวออกไป จนสมบูรณ์ แล้วก็ไม่กลับถอยหลังมาเกิดอีก กิเลสไม่เกิดอีก เป็นนิพพานสมบูรณ์ คนพวกนี้เขาเรียกว่าพระอรหันต์ หรือทำได้ไม่ถึงนั่นก็เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อะไรก็ไปตามเรื่อย แต่อาตมาไม่ชักชวนให้ตั้งใจที่จะเป็นโสดาสกิทาคาให้เรื่องมันยุ่ง เดี๋ยวมันบ้าเลย เอาแต่ว่าวันหนึ่ง ๆ ขอให้มันเย็นมากกว่าร้อน วันหนึ่งคืนหนึ่งขอให้มันเย็นมากกว่าร้อน ขอให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจควบคุมจิตใจของตัวให้ถูกต้องว่าวันหนึ่งคืนหนึ่งให้มันมีระยะที่มันเย็น ไม่เกิดกิเลสเผา ให้มันมากขึ้น ๆ ฆราวาสทั้งหลายก็ต้องทำอย่างนี้ พระเณรที่วัดก็ต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่เป็นพุทธบริษัทเลย นี่จึงเอามาพูดกันว่านิพพานเท่าที่พุทธบริษัทต้องทราบ ถ้าว่าต้องนี้มันจะบังคับอยู่บ้าง ถ้าไม่ทราบนี้มันก็ไม่เป็นพุทธบริษัทเท่านั้น ถ้าต้องทราบ แล้วก็ทราบ แล้วมันก็จะมีความเป็นพุทธบริษัท แล้วนี่คือว่า ถ้าไม่มีนิพพานมันก็ไม่มีเย็น ชีวิตนี้มันก็ตาย และระบบคำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าไม่มีเรื่องนิพพานก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ามันไม่ดับทุกข์ หรือให้เกิดความเย็นได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉะนั้นคำสอนของพระองค์จึงมีแต่เพียงว่าประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ ประพฤติพรหมจรรย์ก็คือประพฤติให้ถูกต้องต่อความจริงของธรรมชาติ มันก็ไม่เกิดกิเลส จนกระทั่งกิเลสมันสูญหายไป เรียกว่าที่สุดแห่งความทุกข์ นี่เรารู้ว่าความทุกข์ ผลของกิเลสมันเป็นของร้อน กิเลสก็ร้อน ความทุกข์ก็ร้อน มันเป็นไฟด้วยกัน ถ้ามันไม่มีไฟมันก็เย็น เราจงตั้งปรารถนาว่า ไอ้ชีวิตที่เหลือต่อไปนี้ขอให้มันเป็นชีวิตเย็น คนแก่ คนหนุ่ม คนสาว คนอะไรก็ตาม ขอให้ตั้งอธิษฐานว่าชีวิตต่อไปนี้เราขอให้เป็นชีวิตเย็น เย็นมากขึ้น ๆ จนกว่าจะเย็นโดยแท้จริง ฉะนั้นขอให้ศึกษาเรื่องของร้อน แล้วก็ศึกษาเรื่องของเย็น ปัญหามันตั้งต้นขึ้นมาตั้งแต่ว่าเราเกิดขึ้นมาจากท้องแม่นั้น เราไม่มีวิชชา เราไม่มีปัญญา เราไม่มีความรู้เรื่องผิดถูกดีชั่วแท้จริงอะไร พอมาได้กินเหยื่อของโจร ความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็หลงใหลไปเลย ก็วิ่งตามโจรไป นี่จะชวนไปทางฝ่ายตรงกันข้ามไม่ค่อยมีใครเอา จะเป็นคนหนุ่มคนสาวหรืออะไรก็ตามที่มันหลงมากไปในเรื่องอายตนะ เอร็ดอร่อยตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกไม่กลับแล้วจะไปข้างโจรท่าเดียว จะติดตามโจรไปท่าเดียวไม่กลับมาหาพ่อแม่แล้ว นี่จึงยากที่จะชักชวนมาหาความถูกต้อง การสั่งสอนเล่าเรียนอบรม มันก็ไม่สอนกันแต่ในทางนี้ เดี๋ยวนี้ในโลกนี่มันสอนแต่ให้ไปกินเหยื่อโจร โลกกำลังเจริญในวิชาเทคโนโลยี เพื่อจะผลิตเหยื่อล่อลวงสัตว์ให้หลงใหลในความเอร็ดอร่อยไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้วิชาเทคโนโลยีที่โลกกำลังมีกำลังใช้กันอยู่นี้เป็นความเลวร้ายที่สุด เพราะเขาใช้มันผิด ใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนโจร คือสนับสนุนกิเลส ถ้าเขาใช้มันเพื่อทำลายกิเลส มันจะดีกว่านี้มาก วิชาความรู้ของมนุษย์สมัยปัจจุบันนี้ ถ้าใช้ไปในทางทำร้ายกิเลส มันก็จะดีมาก มนุษย์จะมีความสุขสงบกันเป็นอันมากทีเดียว เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความเร่าร้อน เต็มไปด้วยความทนทรมาน เพราะความโง่ของมนุษย์ทั้งโลกได้วิ่งตามโจรไป เรียกว่าคนทั้งโลกหรือเด็กเล็กทั้งโลกมันวิ่งตามโจรไปแล้วมันไปทำอย่างโจรกันทั้งนั้น คือส่งเสริมสิ่งที่เป็นปัจจัยแก่กิเลสตัณหา คุณลองคิดดูเองก็จะเห็นว่าไอ้โลกกำลังบ้า บ้าสุดเหวี่ยงที่จะไปเป็นทาสของกิเลสตัณหา เมื่อมันไม่ได้ มันก็รบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นแน่นอน นี่มันเป็นเพราะเหตุนี้มันจึงรบราฆ่าฟันกันมากกว่าแต่ก่อน โดยบุคคลก็เป็นทุกข์มาก โดยสังคมรวมกันทั้งโลก มันก็เป็นทุกข์มาก เพราะมันไม่รู้จักของเย็น มันไม่รู้จักของร้อน มันจนถึงกับวิ่งตามโจรไป อยู่กับพ่อแม่ไม่ดี มันวิ่งตามโจรไป จะอยู่กับความบริสุทธิ์สงบเย็น มันว่าจืดชืด มันไม่เอร็ดอร่อย มันก็วิ่งตามโจรไป ไปกินของเอร็ดอร่อย เหมือนกับกินยาพิษ กินของแสลง ทำให้ชีวิตนี้เร่าร้อน เป็นชีวิตที่เร่าร้อน ฉะนั้นเราจะต้องรู้ความจริง มิฉะนั้นเราก็คงอยู่ใต้อำนาจโจร แล้วก็ร่วมมือกับโจรก็สร้างแต่สิ่งที่ทำลายมนุษย์
คำเปรียบข้อหนึ่งซึ่งน่าจะสนใจก็ว่า มนุษย์ที่มีกิเลสสมบูรณ์นี้ เขาอยู่กันเป็นความร้อนจนเรียกว่ากลางคืนเป็นอัดควัน กลางวันเป็นไฟ กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ กลางวันเป็นไฟก็ทำไม่หยุดไม่หย่อนตามอำนาจกิเลสตัณหา พอกลางคืนไม่ได้ก็มานอนอัดควัน อัดคิด อัดความคิดความนึก จะทำอย่างไรตามกิเลสตัณหา กลางคืนก็อัดควันของกิเลสตัณหา พอกลางวันก็เป็นไฟลุกโพลงไปตามอำนาจของกิเลสตัณหานี้ที่เมืองโจร จะเรียกว่าเมืองนรกหรือเมืองอะไรก็สุดแท้ ถ้าใครทนได้ก็เอาสิไม่มีใครว่า มันเลือกได้ตามชอบใจ แต่ถ้าใครทนไม่ได้ก็จะมาหาธรรมะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ความหมายของพระนิพพานคือเย็น เมื่อไม่มีไฟมันก็เย็น เช่นเดี๋ยวนี้เรานั่งอยู่ที่นี่ ยังไม่มีกิเลส มันก็ยังเย็น เมื่อไรมันมีกิเลส เกิดขึ้น มันก็ร้อน มันมีเท่านั้นเอง
ทีนี้เรามันไม่รู้นี่ มันจึงได้วิ่งตามโจรไป วิ่งตามโจรไป ก็มารู้กันเสียสิ ด้วยการศึกษา ศึกษาอย่างที่ว่า ศึกษาแทนเด็กโง่คนนั้นที่ทิ้งพ่อแม่วิ่งตามโจรไป ศึกษาแทนเด็กคนนั้น เดี๋ยวนี้ไอ้ที่โจรเข้ามาล่อเอาเด็กคนนี้ไปได้ มันก็คือความสุขสนุกสนานทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเอง ถ้าใครอยากจะศึกษาต้องตั้งตนที่นี้ ก.ขอ ก.กา ของพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่นี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่าก.ขอ ก.กา ของพรหมจรรย์มันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าคุณต้องการจะเรียนพุทธศาสนา จะเรียนก.ขอ ก.กาของพุทธศาสนาใ ห้ตั้งต้นเรียนที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจว่ามันเป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนไม่มีใครเคยตั้งต้นเรียนที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขสไปตั้งต้นเรียนที่นรก สวรรค์ ไปตั้งต้นเรียนที่ทำบุญค้ากำไรกันทั้งนั้นแหละ ขอให้ฟังหน่อยว่า ถ้าจะเรียนพุทธศาสนาตั้งต้นก.ขอ ก.กา กันที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกคนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งที่มีอยู่บางคนก็ไม่รู้จัก คือ ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง นี่ก็จะพูดให้ฟัง ให้รู้เรื่อง ตาคู่กับรูป หูคู่กับเสียง จมูกคู่กับกลิ่น ลิ้นคู่กับรส ผิวหนังคู่กับสิ่งที่จะมาสัมผัสผิวหนัง จิตใจมันก็คู่กับความรู้สึกที่จะเกิดแก่จิต นี่เป็น ๖ คู่ นี่ก.ขอ ก.กา ทีนี้ก็เรียนก.ขอ ก.กา ว่าตาถึงกันเข้ากับรูปที่เห็นทางตา มันก็เกิดจักษุวิญญาณ นี่ข้างในนี่คือตา ข้างในนี่คือรูป ไอ้รูปนี่มันเห็นทางตา ไอ้รูปมันก็วิ่งเข้ามาข้างใน มาอยู่ในความรู้สึก ถ้าอยู่ข้างนอกไม่มีความหมายอะไร มันต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับจิตใจ ตากับรูปถึงกันเข้าก็เกิดจักษุวิญญาณ การเห็นทางตา ตากับรูป เกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้ทำงานร่วมกันเสียแล้ว เราเรียกว่าผัสสะหรือสัมผัส ที่ธรรมดาเราไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา เรามีแต่ความโง่ สัมผัสนั้นจึงโง่ สัมผัสไปด้วยความโง่ มันก็เกิดเวทนาโง่ เป็นสุขก็โง่ เป็นทุกข์ก็โง่ อทุกขมสุขก็โง่ ก็เวทนาโง่ เพราะมันไม่มีความรู้เมื่อสัมผัส มันยังไม่เคยเรียนนี่ เด็กมันเกิดจากท้องแม่ใหม่ ๆ มันไม่เคยรู้เรื่องนี้ มันก็สัมผัสสิ่งต่าง ๆ ด้วยความโง่ เรียกว่าเวทนา สุขทุกข์ อทุกขมสุข มันโง่ พอมันมีเวทนาอย่างไร มันก็เกิดความต้องการที่โง่คือตัณหา ความต้องการที่ไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชา นี่เขาเรียกว่าตัณหา ถ้าเป็นสุขเอร็ดอร่อยมันก็ยากได้ ถ้าเป็นทุกข์น่าเกลียดน่าชังมันก็อยากฆ่า อยากทำลาย ถ้ามันยังไม่รู้ว่าสุขหรือทุกข์แน่ มันก็ยังสงสัยอาลัยอาวรณ์ไปนั่นแหละ นี่เรียกว่ามีตัณหา พอมีตัณหาแล้วก็จะมีอุปาทาน เมื่อเกิดความอยากไปตามเวทนาแล้ว จิตที่หลังมันเกิดขึ้นเองว่า กู กู กูได้ กูอยาก กูมี กูบริโภค กูใช้สอย กูอะไร มันเป็นเรื่องตัวกูไปหมด นี่เรียกว่าอุปาทาน เป็นทุกข์กันตอนนี้เอง มันมีกูเกิด กูตาย กูได้ กูเสีย กูรวย กูจน กูแพ้ กูชนะ โอ๊ย, ไม่รู้กี่อย่างต่อกี่อย่าง นี่เขาเรียกว่าอุปาทาน มันก็เป็นทุกข์กันเหลือที่จะกล่าว อุปาทานเกิดในใจอย่างนี้มันก็ออกมาเป็นตัวกู รุนแรงขึ้นในเรารู้สึก เรารู้สึกอยู่ทุกวัน ๆ ว่าตัวกูมีนั่นมีนี่ เป็นนั่นเป็นนี่ อยู่ที่นั่นอยู่ที่นี่ ได้นั่นได้นี่ เสียนั่นเสียนี่ นี่เขาเรียกว่าภพชาติ ตัวกูเกิดเต็มที่ก็เรียกว่าชาติ พอมีตัวกูแล้วมันก็มีของกู เอาอะไรมาเป็นของกูหมด แม้แต่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันก็ว่าของกู สมน้ำหน้าที่มันโง่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายของธรรมชาติ จิตโง่มันเอามาเป็นของกู มันเลยได้ทุกข์ได้ร้อน เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตายของกู ถ้าเขาได้อาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้ารู้ได้ว่ามันไม่ใช่ของกู มันก็พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เอาเกิด แก่ เจ็บ ตายมาเป็นของกู ถ้ายังไม่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า มันก็โง่ มันก็เอาเกิด แก่ เจ็บ ตายมาเป็นของกู นี่เรียกว่ากิเลสมันย่ำยี กิเลสมันทำร้ายแก่เด็กทารกโง่ ๆ นั่นถึงขนาดนี้ อะไร ๆ ก็เป็นทุกข์ไปหมด เป็นของกูไปหมด เอามาสุมไว้เหนือจิตเหนือวิญญาณไปหมด มันจึงร้อน ร้อน ตลอดเวลาที่กิเลสมันเกิดขึ้นในจิต มันทรมานจิต เรียกว่าแล้วแต่โจร มันจะกระทำกับเด็กน้อยคนนั้นอย่างไร คนโง่ทั้งหลายเปรียบเหมือนกับเด็กน้อยคนนั้น มันก็อยู่ในวิสัยแห่งโจร ตามแต่ที่โจรจะทำมันอย่างไร เดี๋ยวนี้มันจะยิ่งกว่า ยิ่งกว่าที่พูดว่า กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟกันเสียอีก มันจะเป็นไฟไปหมด เราจะกระโจนลงไปในกองไฟเหมือนแมงเม่า ยินดีคิดว่าไฟนี่เย็น นี่คือปัญหาของมนุษย์ และเกิดมาเป็นคำถามทาง คำถามทางปากว่าจะทำอย่างไร จะทำอย่างไร นี่ขอให้เราเรียนก.ขอ ก.กา จากภายใน เรียนพุทธศาสนาต้องตั้งก.ขอ ก.กา ที่ภายใน จากภายใน แล้วก็เรียนอย่างของจริง เป็นของจริง เหมือนกับวิทยาศาสตร์มีตา มีหู มีจักษุวิญญาณ เป็นผัสสะ เป็นเวทนา เป็นตัณหา เป็นอุปาทานที่รู้จัก อยู่จริง ปรากฏแก่ใจจริง ๆ เรียนอย่างนี้เขาเรียกว่าวิถีทางวิทยาศาสตร์ นิสิต นักศึกษา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย รู้เถิดว่าเรียนอย่างนี้เป็นเรียนอย่างวิถีทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเรียนอย่างคำนวณ สมมติว่ามีความทุกข์ สมมติว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เรียนอย่างเรียกว่าเรียนอย่างปรัชญา เรียนให้ตายก็ไม่รู้พุทธศาสนา ใครจะด่าอาตมา ก็ด่าเถิด พูดอยู่อย่างนี้คุณเรียนปรัชญา ไม่รู้พุทธศาสนา เรียนให้ตายก็ไม่รู้พุทธศาสนา คุณต้องเรียนธรรมะอย่างเหมือนกับเรียนวิทยาศาสตร์ อย่าเรียนอย่างปรัชญา พวกฝรั่งที่เขาไม่รู้พระพุทธศาสนาเพราะว่าเขาเรียนพุทธศาสนากันอย่างปรัชญา แต่ที่จริงธรรมะมันเป็นวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ ของธรรมชาติ ต้องเรียนมันอย่างวิทยาศาสตร์ตามหลักเกณฑ์ของธรรมชาติ เรียนจากของจริง ของจริงคือรู้สึกอยู่ได้จริงภายใน เรามีตาก็รู้จักตา เรามีรูปมากระทบตาก็รู้จักรูป เกิดจักษุวิญญาณขึ้นอย่างไร เราก็รู้จริงที่ตัวจักษุวิญญาณนั้น แล้วเกิดผัสสะขึ้นมาอย่างไร ก็รู้ผัสสะนั้น เกิดเวทนาอย่างไรก็รู้จักเวทนานั้น แล้วเกิดตัณหาอย่างไรในจิตใจ ก็รู้จักตัณหานั้น รู้จักอุปาทาน รู้จักภพ รู้จักชาติ ตัวกูมันโง่ถึงที่สุดแล้วมันก็คว้าเอาอะไรทั้งหมดในสากลจักรวาลมาเป็นตัวตน มาเป็นของตน รู้อยู่แก่ใจ ฉะนั้นต้องเรียนที่ใจ เรียนด้วยใจ รู้อยู่ที่ใจ ไม่คำนวณ ไม่มีการคำนวณ ถ้าเรียนอย่างปรัชญา เขาตั้งสมมติฐาน แล้วคำนวณด้วยเหตุผล คำนวณกันไปเถิด แบ่งเป็นกี่พวก กี่พวก แล้วก็ทะเลาะกันไปเถิด ไม่มีวันจะพบความจริง นี่พูดได้สำหรับครูบาอาจารย์ที่เป็นนักศึกษาเรียนรู้เรื่องวิทยาศาตร์เรียนเรื่องอะไรมาบ้าง ก็จะฟังถูกว่า ถ้าคุณจะเรียนพุทธศาสนาแล้ว ก็ขอให้เรียนอย่างวิถีทางอย่างวิทยาศาสตร์ อย่าเรียนอย่างวิถีทางของปรัชญาเลย เรียนให้ตายก็ไม่พบพุทธศาสนาเพราะว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์
นี่เราจะรู้จักนิพพาน ก็รู้จัก รู้สึกอยู่ในใจจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องคำนวณ ร้อนก็ร้อน เป็นกิเลสเป็นนรก ถ้าเย็นไม่มีกิเลสมันก็เป็นนิพพาน สัมผัสนิพพานด้วยจิตใจ อย่างนี้เรียกว่าเป็นวิถีทางวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องคำนวณ ถ้ามัวคำนวณอยู่ว่าถ้าไม่มีกิเลส แล้วก็คงจะเย็นแน่ อย่างนี้ยังเป็นการคำนวณ ยังไม่ใช่ธรรมะ ต้องรู้ว่าเมื่อเราไม่มีกิเลสอยู่ในใจเราเย็น รู้สึกสัมผัสที่ความเย็นนั่นล่ะ เย็นอย่างวิทยาศาสตร์ ถ้าจะคำนวณว่าถ้ามีกิเลสมันคงจะร้อน ไม่มีกิเลสมันคงจะเย็นอย่างนี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นปรัชญา เป็นทรรศนะหนึ่ง ๆ
เราจะรู้ เรียนจากข้างในนะ เรียนจากจิตใจ เรียนจากทุกอย่างจากข้างในนะ ย้อนลงไปถึงตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของแม่แล้วเราคลอดออกมาอย่างไร แล้วเราเป็นเด็กโง่วิ่งหนีตามโจรไปอย่างไรนี้ ก็ลองกำหนดเหมือนอย่างที่ว่านี่ เด็กทารกคนหนึ่งเกิดมาจากท้องแม่ ต่อมา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของมันได้สัมผัสสิ่งสวยงามเอร็ดอร่อย มันก็หลงติดตามสิ่งนั้นไปเป็นของสำคัญไม่เชื่อฟังใคร พูดธรรมะก็ไม่รู้เรื่อง จนกว่ามันจะไปเป็นอยู่กับโจร แล้วถูกโจรตีด่า ทรมานทรกรรมหนักเข้า ๆ มันจึงค่อยคิดว่าต้องไปทางอื่นแล้ว นี่มันจึงนึกจะหันมาทางนี้ เหมือนกันเรานี่ที่ว่าเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นอะไรบ้าบอมาเท่าไร ๆ ต่อมาทีหลังมารู้ อ้าว, มันผิดแล้ว มันต้องหยุดสิ่งเหล่านี้แล้ว เรียนอย่างนี้ก็ได้แหละ ก็รู้พุทธศาสนา เรียนกว่าเรียนจากข้างใน มีความเกลียดกลัว ไอ้ความเป็นทุกข์อย่างนี้ หิริและโอตัปปะนั่นน่ะ ไม่ใช่ธรรมะเด็กเล่นนะ พระเณรเขาเรียนกันอย่างธรรมะเด็กเล่น อยู่หมวดสองทำให้งามหรืออะไร ถ้ามีอุปการะมาก สติสัมปัญชัญญะ หิริโอตัปปะนั้นมันเป็นเรื่องเรียนอย่างเด็กเล่น มันไม่ทำให้เขาเกลียดกลัวไอ้ความทุกข์อันนี้ มันไม่ทำให้เขาละอายว่าเขาได้เป็นเด็กโง่วิ่งหนีตามโจรไป เดี๋ยวนี้เราต้องมาถึงขนาดที่ว่าเกลียดกลัวความทุกข์ชนิดนั้น ความร้อนเป็นไฟ แล้วก็ละอายว่าเรามันโง่วิ่งหนีตามโจรไป เราจะต้องวิ่งกลับ หรือว่าจะต้องออกจากโจร หรือว่าจะฆ่าโจรเสียเลย แล้วแต่เราจะทำได้ ต่อไปนี้เราก็มีหน้าที่ที่จะทำให้ชีวิตนี้มันเย็น คือทำให้ถูกต้องกับธรรมชาติที่มันก็มีอยู่แล้ว ถ้าจะพูดอย่างอุปมาเขาก็ว่าโจร เขาก็ได้เว้นระยะให้เราเย็นบ้างเหมือนกัน ฉะนั้นในระยะที่เขาเว้นให้เราเย็นนี่เราก็คิดอุบายฆ่าโจรเสียเลย อย่าไปหลงโจรหรือวิธีอย่างโจร ซึ่งมันจะร้อนกันไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนี้เขาเรียกว่าคนไม่หน้าด้าน ถ้ามันยังเป็นคนชอบความทุกข์อยู่ มันเป็นคนหน้าด้านนะ ไม่รู้จักละอายไม่รู้จักกลัว ถ้ามันยังชอบความทุกข์อยู่ ปล่อยไปตามความทุกข์อยู่ มันเป็นคนหน้าด้าน ไม่มีหิริ ไม่มีโอตัปปะ ถ้าเรารู้อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว อย่างนี้ไม่ไหวแล้ว น่าเกลียด น่ากลัว น่าละอายอย่างยิ่ง จะเปลี่ยนกลับตรงกันข้าม นี้คือหิริและโอตัปปะที่จะมาช่วยในขั้นที่จะเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเราไม่รู้จักหลาบ ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ไม่รู้จักเกลียดแล้วไม่มีทางล่ะจะเข้าถึงพระนิพพานได้ มันจะชอบอยู่กับโจรเรื่อยไป แต่ถ้ามองเห็นว่าผิดแล้ว ผิดแล้ว แย่แล้ว แย่แล้ว กลับตัวกันเสียใหม่ ใช้เวลาว่างที่โจรมันให้โอกาสบ้าง ตั้งเนื้อตั้งตัวกันให้ดี ๆ ฆ่าโจรให้ตายหมด โดยวิธีธรรมะ คือรู้ รู้ รู้จนเกลียดโจร รู้จนเกลียดกลัวความเป็นโจร รู้จนไม่ยอมเป็นโจรอีกต่อไปนั่นล่ะ คือจะฆ่าโจรเสียได้ จะไม่หลงชอบ หลงรักไอ้ราคะ โทสะ โมหะ อีกต่อไป เมื่อก่อนนี้เราบูชาราคะ โทสะ โมหะ ไม่อยากจะให้หมดไป เพราะมันสนุกดี หรือมันจะบังคับไม่ได้ก็สุดแท้ล่ะ มันตกอยู่ใต้อำนาจของราคะ โทสะ โมหะ เสียเรื่อยไป แต่เดี๋ยวนี้เราขยะแขยง เรามีหิริโอตัปปะเพียงพอจนถึงกับขยะแขยง
ฉะนั้นปรึกษาหารือกัน คิดคบ คบคิด คิดคบกันฆ่าโจร พุทธบริษัททุกคนต้องปรึกษาหารือกัน คบคิดกันเพื่อจะฆ่าโจรเสียให้วินาศ ราคะ โทสะ โมหะ โลภะ โทสะ โมหะ อะไรก็ตามที่เขาเป็นชื่อของกิเลสนั่นน่ะคือโจร เกิดขึ้นทีไรมันก็ร้อน ว่างไปก็เป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านว่าความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นนิพพาน เราจะพูดว่าไอ้ว่างอำนาจของพวกโจร ว่างอำนาจของพวกโจรเท่าไร เมื่อไรนั้นเป็นนิพพาน น้อย ๆ ก็ยังดี น้อย ๆ ก็ยังดี ดีกว่าไม่มี ฉะนั้นพยายามเก็บหอมรอมริบไปเถิดนิพพานน้อย ๆ นิพพานชั่วขณะนี้ เก็บหอมรอมริบสะสมไว้ เหมือนคนที่เขาจะมีเงินร้อยล้านพันล้าน ก็ต้องเก็บผสมไปตั้งแต่ ๑ บาท ๒ บาท เหมือนกันแหละ ไอ้เราที่จะมีนิพานกันได้ ก็ต้องเก็บหอมรอมริบนิพพานน้อย ๆ คือความสงบเย็นเป็นคราว ๆ น้อย ๆ น่ะ อุตส่าห์ถนอมให้มาก ศึกษาให้มาก เข้าใจให้มาก แล้วก็พยายาม พยายาม ให้มันยาวออกไป ยาวออกไป เอากันแต่เพียงว่ามีชีวิตเยือกเย็นนี่มันก็ถมไปแล้วนะ มีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเยือกเย็นเท่านั้นน่ะ มันก็ถมไปแล้ว เป็นประโยชน์เกินค่าแล้ว ขอให้พุทธบริษัททุกคนมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อย่างเยือกเย็น เป็นชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหา เป็นชีวิตที่เย็นถึงจะเป็นนิพพาน ถ้าร้อนไม่ใช่นิพพาน ถ้าร้อนไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่พุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันร้อนแล้วมันไม่รู้ ไม่ตื่น ไม่เบิกบาน พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เบิกบานนั่นคือเย็น เราจงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นจากหลับ ไม่มัวนอนหลับ แล้วก็เบิกบานอยู่ด้วยความเยือกเย็น เพราะการที่ไม่มีไฟก่อขึ้นในใจ มีจิตใจว่างจากไฟนี่อยู่เสมอ เรียกว่าเป็นอิสระไม่เป็นทาสของตัณหา ไม่อยู่ใต้อำนาจกิเลสของตัณหา อยู่เหนือความต้องการ ไม่ต้องการอะไร ถ้าว่าต้องการนั่นมันคือโง่ อันนี้คงจะฟังยาก ขอให้ลูกเด็ก ๆ นักเรียน นักศึกษานี้ฟังให้ดี ๆ ว่าเราทำอะไรได้ โดยไม่ต้องใช้อำนาจกิเลส เราไม่อาศัยตัณหา ความหวังบ้า ๆ บอ ๆ นั้น เพื่อเป็นกำลังสำหรับจะศึกษาเล่าเรียนหรือทำการทำงาน เรามีสติปัญญา เอาสติปัญญาเป็นกำลัง สำหรับเล่าเรียน สำหรับทำการงาน ไอ้ที่เขาเรียกกันว่า Motive สำคัญ เราก็ยอมรับว่าแม้ในทางธรรมะมันก็ต้องการไอ้ Motive Motivate ให้เกิดกำลังสำหรับทำอะไร มันต้องการให้เกิดกำลัง แต่เราอย่าไปเอากิเลสตัณหามาเป็นเครื่องทำให้เกิดกำลัง มันจะเป็นไฟ เอาสติปัญญาความรู้ถูกต้องเรื่องพระนิพพาน ความรู้ที่เข้าใจแจ่มแจ้งเรื่องพระนิพพานอย่างไรเอาอันนั้นน่ะมาเป็นกำลัง เป็น Motive แล้วก็เพื่อช่วยการเรียน การทำงาน การชีวิตอะไรของเรา มันทำไปได้โดยสะดวก ไม่ติดขัดแล้วก็เย็นตลอดเวลา พวกเธอถูกสอนให้ยึดถือหลักว่าอยู่ด้วยความหวัง ชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง ชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง ระวังให้ดีเถิด มันจะเป็นไฟอยู่ตลอดเวลา พอเราหวังมันก็ผิดหวัง พอไปหวังเข้าเถิด มันก็ผิดหวังทันที มันไม่มีมาตามที่เราหวัง เราก็โง่ที่บอกกล่าว อยู่ด้วยความผิดหวังล่ะไม่รู้ คิดว่าอยู่ด้วยความหวัง แล้วไม่ดูให้ดีว่ามันอยู่ด้วยความผิดหวังตลอดเวลา เราจะไม่อยู่ด้วยความหวังชนิดนั้น เราอยู่ด้วยความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร อะไรไปทำเข้าแล้วเกิดความทุกข์ อะไรไปทำเข้าแล้วไม่เกิดความทุกข์ เราอยู่ด้วยความรู้ รู้ชนิดนี้แล้วก็ทำไป อย่าไปเป็นทาสของความหวัง อย่าไปเป็นบ่าวเป็นทาสของความหวัง แล้วอวดโอ้กันว่าฉันอยู่ด้วยความหวัง ชีวิตนี้อยู่ด้วยความหวัง เราจะถือว่าเป็นคนโง่ที่สุดในโลก แม้เขาจะพูดกันทั้งโลกเดี๋ยวนี้ เขาจะพูดกันทั้งโลกก็ตามใจเขาว่าเราต้องอยู่ด้วยความหวัง เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธบริษัทว่าเราจะอยู่ด้วยปัญญา เราจะอยู่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ไม่ทรมานจิตใจ ถ้าเราอยู่ด้วยความหวังมันทรมานจิตใจ นั่นล่ะความหวังมันเป็นความร้อน มันเป็นไฟ ดูให้ดี ๆ เถิด พอหวังแล้วมันเป็นไฟ เพราะไม่มีใครที่พอหวังแล้วจะได้ตามหวัง ไปหวังให้มันเหนื่อยทำไม อยู่ด้วยปัญญาว่าทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทำไปอย่างถูกต้อง เรื่อยไป มันก็ไม่ร้อน แล้วมันก็ได้ผลตามที่เราต้องการ อย่างนี้เรียกว่ามีชีวิตอยู่ด้วยนิพพาน เย็น แม้ทำงานอยู่ก็เย็น เพราะว่าไม่ได้ทำงานด้วยกิเลส ไอ้พวกที่ทำงานด้วยกิเลสมันก็ร้อนนะ มันร้อนเพราะกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำงาน เรานี่ทำงานอยู่ด้วยสติปัญญามันก็เย็นไปตามอำนาจของธรรมะที่เป็นสติปัญญา นี่มันออกจะฟังยาก (นาทีที่1.12.43) ไอ้นิพพานนี้ถ้ามันไปถึงที่สุด แล้วมันก็หมดเรื่องจริง ๆ เหมือนกัน มันไม่ต้องการอะไร มันไม่ต้องการอะไร มันจึงได้เป็นสุข มันไม่ต้องการบุญ มันไม่ต้องการบาป จิตมันไม่ต้องการบุญ ไม่ต้องการบาป ไม่ต้องการได้ ไม่ต้องการเสีย ไม่ต้องการอยู่ ไม่ต้องการตาย ไม่ต้องการกำไร ไม่ต้องการขาดทุน ไม่ต้องการอะไรหมด นั่นจิตชนิดนั้นน่ะมันจึงเย็น เย็นถึงที่สุดที่เรียกว่านิพพาน
จะโม้ให้พวกคุณฟังสักทีก็ได้ว่าถ้าคุณจะเอาเงินมาให้อาตมาสักร้อยล้านนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ทำให้อาตมาเป็นสุขได้แม้แต่ปีกริ้นนะ ถ้าคุณจะเอาเงินมาให้สักร้อยล้าน เพราะว่าไอ้ความสุขนั้นมันอยู่ที่ไม่ยึดถืออะไรว่าเป็นของตน ไอ้ความสุขนั้นมันอยู่ที่ไม่ได้ยึดถืออะไรหรือมีอะไรไว้ว่าเป็นของตน อันนั้นล่ะเป็นความสุขมันอยู่ที่นั่น ฉะนั้นคุณจะเอาเงินมาให้อาตมาร้อยล้าน มันก็ไม่มีความ มันก็ไม่เป็นผลดีที่จะทำให้เป็นความสุขเลย มันจะทำให้ยุ่งมากเป็นบ้าตายเสียอีกก็ได้ เพราะว่าความสุขมันอยู่ไม่มีอะไรเป็นของตน จิตไม่ได้ยึดถืออะไรว่าเป็นของตน ความสุขมันอยู่ที่นั่น ฉะนั้นจะเอาเงินมากองให้สักร้อยล้านมันก็เกะกะอยู่ที่นั้นแหละ มันไม่ได้ทำให้มีความสุขอะไรได้ เพราะว่าความสุขมันอยู่ที่ความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นของตน ข้อนี้มันจะชอบหรือไม่ชอบ ก็ฟังดูก่อนสิ แล้วเอาไปคิดดูสิว่าไอ้ความสุขแท้จริงในหัวใจน่ะมันอยู่ทีไหน มันอยู่อย่างไร มันมีขึ้นเมื่อไร พอเราคิดว่ามีอะไรเป็นของตนเท่านั้นแหละ มันก็เป็น เป็นนรกขึ้นมาทันที มันจะเป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลงขึ้นมาทันที มันจะได้ร้อนทันที นิพพานวิ่งหนีหมดแหละพอมีอะไรเป็นของตน พอไม่มีอะไรเป็นของตนว่างจากความหมายมั่นอะไรว่าเป็นของตน นั่นแหละมันจะเย็นตามแบบนิพพานสมบูรณ์ ไม่ใช่นิพพานชั่วคราวด้วย ฉะนั้นผู้ที่มองเห็นอย่างนี้แล้ว เขาก็พูดไว้ในลักษณะแปลกอีกเหมือนกัน หนังสือเล่มเดียวกันนี้มันมีประโยคที่ว่า ทั้งลาภ ทั้งสูญ ล้วนแต่อัปรีย์ ภาษาบ้านนี้เขาพูดว่า ทั้งลาภ ทั้งสูญล้วนแต่อัปรีย์ ลาภนั้นคือได้มา สูญนั้นคือสูญเสียไป ทั้งลาภ ทั้งสูญล้วนแต่อัปรีย์ อัปรีย์ แปลว่าไม่น่ารัก ได้ลาภมาเราไปยินดีมันกลับ เสียลาภไปมันก็โง่ก็ทุกข์ร้อนไป ทั้งลาภทั้งสูญล้วนแต่ไม่น่ารัก อยู่ว่าง ๆ อยู่เหนือความได้ความเสีย อยู่เหนือกำไร เหนือขาดทุน ไม่มีตัวตนสำหรับจะยึดถืออะไร มันก็ไม่มีกำไร ไม่มีขาดทุน ไม่มีได้ ไม่มีเสีย ไม่มีอะไรชนิดที่ต้องหนักอกหนักใจ พอเรารู้สึกว่าเรามีอะไร อันนั้นจะมากดทับอยู่บนหัวใจ บนวิญญาณ เมื่อมีอะไรมากดทับอยู่บนหัวใจ หรือบนวิญญาณ มันก็หนักสิ เมื่อหนักมันก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นอยู่ชนิดที่ไม่มีอะไรมากดทับอยู่ในจิตใจ มีเงิน มีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ก็อย่าไปยึดถือให้มันมากดทับอยู่ในหัวใจ มีเงินเป็นล้าน ๆ ฝากไว้ในธนาคาร มันยึดถือ ทั้งที่มันอยู่ที่ธนาคารมันก็มากดทับอยู่บนหัวใจคนนั้น กดทับอยู่บนหัวใจคนที่เขาคิดว่าเรามีเงินล้าน ๆ ฝากไว้ในธนาคาร แม้จะฝากไว้ในธนาคารแล้ว มันก็ยังมากดทับอยู่ในหัวใจคนนั้น อย่างนี้มันอยู่กับไฟ อย่างนี้มันไม่เย็นเป็นนิพพานไว้ ฉะนั้นอย่าไปยึดถือ คิดนึกโดยมั่นหมายว่ามีอะไรเป็นของตน เราทำไปตามกฏหมายก็ได้ จะใช้ จะมี จะทำอะไรก็ไปโดยกฏหมาย มันก็ไม่มีใครเอาไปไหนได้ ถ้ามันไม่โง่นะ เก็บมาใส่เอามาบรรทุกไว้บนจิตใจทำไม จะเอามาไว้บนจิตใจทำไม ถ้าอย่างนี้วิญญาณมันก็แบกของหนักอยู่เรื่อย นั่นล่ะอยู่กับโจร ที่โจรมันทรมานอยู่เรื่อย ฉะนั้นรู้จักปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากโจร นี่เรียกว่าจะมีนิพพานเย็นมากขึ้น ๆ มีเงินล้านก็จะได้เย็นสักล้านหนึ่ง ถ้าไม่ทำอย่างนี้มีเงินล้านหนึ่งมันก็ร้อนล้านหนึ่งล่ะ มันก็ไม่ได้แน่อยู่ที่มีเงินเท่าไร มันอยู่ที่ว่ายึดถือหรือไม่ยึดถือ ถ้ายึดถือมันก็ร้อนเป็นไฟ ไม่เคยมีนิพพาน ถ้าไม่ต้องยึดถือจะใช้จะทำอะไรก็ทำไปตามที่ถูกที่ควร มันก็เย็น มันก็เป็นนิพพาน ฉะนั้นจะมีเงินให้ร้อนหรือมีเงินให้เย็น แล้วแต่เจ้าของ มันแล้วแต่เจ้าของจะมีวิชชาหรือมีอวิชชา ถ้ามันมีอวิชชามันก็มีไว้สำหรับร้อน ถ้ามันมีวิชชา มันก็มีไว้สำหรับเย็น
นี้นิพพานมันอยู่ตรงที่อย่าไปเอาอะไรมาสุมไว้ตรงศีรษะให้มันหนักให้มันร้อน จะมีเงินมีทองมีบุตรภรรยา อย่าไปเอามาสุมไว้บนศีรษะให้มันร้อน ให้มันอยู่ตามที่ของมัน จะใช้อย่างไรก็จัดการไปตามที่ถูกที่ควร อย่าให้ร้อนมันก็จะเป็นชีวิตที่เย็น มีเงินมากเย็นก็ได้ ถ้าทำไม่เป็น ยิ่งมีเงินมากจะยิ่งร้อนมาก มีทรัพย์สมบัติมากจะยิ่งร้อนมาก เพราะฉะนั้นคนที่มีเงินมากมีทรัพย์สมบัติมากรู้จักจัดหลีกกันไว้ให้ดี ๆ อย่าให้มันกลายเป็นของร้อนขึ้นมา คืออย่าให้หลงใหล อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ให้อยู่ใน มากดทับอยู่ในจิตใจ นี่เรียกว่ารู้จักพระนิพพาน นิพพานเท่าที่พุทธบริษัทจะต้องทราบ นิพพานเท่าที่พุทธบริษัทจะต้องรู้จัก ถ้ารู้จักแล้วชีวิตนี้มันจะเย็น ไม่รู้จักแล้วชีวิตนี้มันจะร้อน ร้อนยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ฉะนั้นเอาเป็นอันว่าอาตมาก็พูดมาตั้งนานแล้ว คนที่ไม่ค่อยชอบนิพพานคงจะทนไม่ได้นะ ขอยุติว่า พุทธบริษัทต้องทราบเรื่องนิพพาน ถ้าไม่ทราบเรื่องนิพพานเขาไม่ใช่พุทธบริษัท พุทธศาสนานี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีนิพพาน ไม่มีเรื่องนิพพานแล้วไม่ใช่พุทธศาสนา ถ้าไม่ใช่นิพพาน ไม่มีนิพพานแล้วไม่ใช่เรื่องพุทธศาสนา ถ้าเป็นพุทธศาสนาแล้วต้องมีเรื่องของนิพพาน ถ้าพุทธศาสนามีเรื่องของนิพพาน พุทธบริษัททุกคนต้องรู้จักนิพพาน แม้แต่นิพพานน้อย ๆ นิพพานน้อย ๆ ชั่วขณะนี้ก็ยังดี ที่เป็นไปเองโดยบังเอิญก็ยังดีกว่าที่ว่า จะไม่มีเสียเลยให้จิตมันมีโอกาสเยือกเย็นบ้าง ที่มันว่างจากนิพพานให้มันเยือกเย็นบ้าง เมื่อไรก็ได้ เท่าไรก็ได้ มันยังดีกว่าที่จะไม่มี เราก็รู้จักว่านี่แหละมันส่งเสริมชีวิตของเราให้รอดชีวิตอยู่ได้ ไม่บ้า ไม่เป็นบ้า ไม่เป็นโรคประสาทกันเสียหมด ถ้าพุทธบริษัทเป็นโรคประสาทก็ต้องขายหน้า ๒ เท่า ไอ้คนที่เขาไม่เป็นพุทธบริษัทเขาเป็นโรคประสาทก็ตามใจเขา ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทแล้วเป็นโรคประสาทก็ควรจะขายหน้า ๒ เท่า เพราะว่าเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นโรคประสาท ขออภัย ไม่ได้กระทบใครที่นั่งอยู่ที่นี่นะ ถ้าเผื่อมีโรคประสาท พูดไปตามความจริงนะ มีนิพพานเป็นวิตามินเถิดแล้วจะไม่เป็นโรคประสาทให้ละอายแมว ไม่อย่างนั้นคุณก็จะต้องเป็นโรคประสาทให้ละอายแมวอยู่ร่ำไป นี่ละเรื่องของพระนิพพานนี้ ไม่ต้องลงทุนซื้อหาอะไรด้วยเงินด้วยทอง ทำจิตให้ถูกต้องก็เป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสว่านิพพานนี่ให้เปล่า นิพพานให้เปล่าไม่คิดสตางค์ บอกให้เปล่า ๆ แล้วคุณไปปฏิบัติแล้วก็มีชีวิตที่เย็นแล้วก็เป็นนิพพาน ให้มันงอกงาม งอกงาม งอกงาม ไปจนเย็นตลอด ไม่กลับร้อนอีกต่อไป เป็นนิพพานที่แท้จริง นี่ละเรียกว่านิพพานคือสิ่งที่พุทธบริษัทต้องรู้จัก ต้องทราบ หรือต้องรู้จัก ต้องทำให้มี เหมือนกับกินวิตามินวันละเม็ดอะไรนี้ มันก็จะคุ้มอะไรได้ ส่วนเรื่องที่ว่าจะปฏิบัติอย่างไรนั้นมันยืดยาวไว้พูดกันวันหลัง วันนี้ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ก่อน