แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ่อ ท่านทั้งหลายผู้มีความสนใจในการศึกษาเรื่องศีลธรรม การบรรยาย ครั้งแรกนี้อาตมาจะกล่าวในหัวข้อว่า ความเป็นสากลของสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ความเป็นสากลก็ควรจะเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว เพราะว่าเราได้เคยได้ยินคำนี้ แหละเคยใช้คำนี้ ว่าที่เป็นสากล ความเป็นสากล ก็หมายความว่า ความที่มันเป็นของสำหรับสากล
ทีนี้คำว่าสากล จะมีความหมายถึงไหน มันก็ดูพูดยาก เอาตามความหมายที่เข้าใจกันก็แล้วกันว่า ทั่วไปทุกหนทุกแห่งเท่าที่มนุษย์จะรู้ จะรู้จักได้ ที่เรียกว่า universal, universality มันกินความไปถึงไหน แล้วก็เอากันเท่านั้นก็ได้ ถ้ามีสติปัญญาก็ขยายความเอาเองก็ได้ให้มันออกไปทั่วไปหมด ไม่เพียงแต่โลกนี้ ถ้าสมมติว่ามันมีอีกกี่โลกก็ขอให้รวมทุกโลก นี่จึงจะเรียกว่าความเป็นสากล
ทีนี้ความเป็นสากลของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ก็หมายความว่า ศีลธรรมนั้นได้เกี่ยวข้อง หรือได้เป็นไป หรือว่าได้เป็นอยู่ อย่างที่เป็นสากลเช่นนั้น
ฉะนั้นป่วยการที่จะโพ้ง (นาทีที่ 03:11) จะพูดว่า ศีลธรรมนี่จำกัดอยู่ในวงของพุทธศาสนา หรือคริสต์ศาสนา หรือศาสนาอะไรอะไร ไม่ต้องพูด หรือแม้แต่จะพูดว่าทั่วไปสำหรับมนุษย์นี้ก็ยังไม่ค่อยถูกนัก คือไม่ค่อยเพียงพอ ขอให้มันมากกว่ามนุษย์ ถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมดี ก็ย่อมจะเข้าใจไปถึงสิ่งแม้มิใช่มนุษย์ ก็ยังต้องเกี่ยวข้อง กับศีลธรรม ตามระดับของมัน ตามชั้นเชิงของสิ่งนั้นนั้น
เพื่อให้เห็นว่า ศีลธรรมมันมีความเป็นสากลเช่นนั้นอย่างไร เราก็จะต้องพูดถึงตัวศีลธรรมกันก่อนว่ามันได้แก่อะไร อาตมาอยากจะให้เข้าใจความหมายของคำคำหนึ่ง คือคำว่าธรรมะ เสียก่อน แล้วก็จะรู้ ความเป็นสากลของสิ่งสิ่งนี้ได้โดยง่าย และยิ่ง (นาทีที่ 04:48) เป็นการเปรียบเทียบระหว่างศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการง่าย ถ้าเราใช้สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ อันเป็นของสากลนั้นมาเป็นหลักสำหรับศึกษาและพิจารณา
เรื่องที่จะต้องนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นครูบาอาจารย์ บางทีก็ ถือศาสนาอื่นนอกไปจากศาสนาพุทธ หรือว่าแม้ถือศาสนาพุทธ ก็ยังจะเป็น ยังจะต้องไปทำความเข้าใจหรือสั่งสอนผู้ที่ถือศาสนาอื่น ถ้าเรายังเข้าใจผิดระหว่างคำว่า ศาสนาพุทธ หรือศาสนาอื่น หรือระหว่างศาสนาด้วยกันแล้ว ไม่มีทางที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์ได้ ในเรื่องนี้ ในเรื่อง อัน (นาทีที่ 05:55) เกี่ยวกับศีลธรรม
อาตมาก็อยากจะให้มีการทำความเข้าใจซึ่งกันแหละกันในระหว่างศาสนา เป็นข้อแรก โดยมีสิ่งที่เรียกว่าธรรม เป็นสื่อกลาง ถ้าเราพูดถึงศาสนา เราจะมองเห็นได้ทันทีว่า มันแบ่งออกได้เป็น ๒ ฝัก ๒ ฝ่าย ๒ พวก คือพวกที่มีพระเจ้าอย่างบุคคล หรือที่เรียกว่า personal god นี่พวกหนึ่ง แล้ว (นาทีที่ 06:51) พวกที่มีพระเจ้าอย่างมิใช่บุคคล หรือไม่มี ไม่ไม่มีเพอซันนัล กอด แต่จะ (นาทีที่ 00:33) ต้องมี non-personal god นี่พวกหนึ่ง มันมี ๒ พวกเท่านั้น
ตามที่เรารู้กันอยู่เวลานี้ก็เห็นได้ชัดว่าศาสนาฮินดู ศาสนาคริสเตียน ศาสนาอิสลาม เหล่านี้ก็มีพระเจ้าอย่างที่เป็นบุคคล เหมือนที่กล่าวลักษณะไว้ในพระคัมภีร์ แต่ถ้าเป็นศาสนาพุทธ หรือศาสนาอื่นที่เครือเดียวกัน เช่น ศาสนาไชนะ (นาทีที่ 07:35) เขามีพระเจ้าอย่างที่มิใช่บุคคล
ถ้าคุณเรียนกันมาอย่างธรรมดา อ่านหนังสืออย่างที่ธรรมดามีใช้อยู่ในเวลานี้ ที่ฝรั่งเขียน หรือแม้แต่พวกอินเดียเขียน เขาก็จะเขียนไว้ว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เพราะพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า นั่นน่ะเขามองข้ามไป
ที่แท้พุทธศาสนาก็มีพระเจ้า แต่เป็นพระเจ้าอย่างมิใช่บุคคล คือเป็นนามธรรม ถึงศาสนาคริสเตียนก็เถอะ ถ้าศึกษากันอย่างละเอียดอย่างภาษาธรรมะแล้ว ก็จะพบพระเจ้าอย่างที่มิใช่บุคคลด้วยเหมือนกัน เช่น มีความข้อที่ว่าก่อนนี้มีแต่พระคำ Word พระคำนั้นๆ มิใช่ (นาทีที่ 08:47) บุคคล ก่อนนี้มีแต่พระคำ แล้วพระคำนี้อยู่กับพระเจ้า แล้วต่อมาพระคำก็เป็นพระเจ้าเสียเอง แล้วไม่มีอะไร ที่ไม่ออกมาจากพระคำ หรือพระเจ้า
นี้ก็ฟังได้ทั้ง ๒ เรื่อง ว่าพระคำนั้นมิใช่บุคคล แล้วก็เป็นพระเจ้า มัน (นาทีที่ 09:08) ก็มีเค้าเงื่อนของพระเจ้าที่มิใช่บุคคลอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีขยักไว้ว่า “พระเจ้า” อีกคำหนึ่ง คือ God Word ก็คือ God God ก็คือ Word ในที่สุด Word นั้นไม่ใช่คน นี่เราจะพูดถึงสิ่งนี้ในพุทธศาสนาว่า Word นั้นไม่ใช่คน แต่เป็นธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ แต่ (นาทีที่ 09:44) เมื่อเอาตามที่เขาพูดกันทั่วไป ก็คือว่าศาสนาคริสเตียนมี Personal god คือพระเจ้า
แต่ถ้าคนที่ยึดถือส่วนที่เรียกว่าพระจิตเป็นหลัก พระจิตนั้นก็มิใช่บุคคลมันเป็นบุคคลแต่พระบิดากับพระบุตร พระจิตก็มิใช่บุคคล ก็ (นาทีที่ 10:08) เป็นนามธรรม ถ้าเราถือว่าพระเยซูเป็นเพียงผู้ช่วยพาพระจิตมาจากพระเจ้าเอามาสู่มนุษย์ ทีนี้เราก็มีพระจิตเป็นพระเจ้า หรือ (นาทีที่ 10:20) เป็นพระธรรม ที่มิใช่บุคคลที่นำมาสู่มนุษย์ เรื่องมันก็จะกลมกลืนกันได้ง่าย
ในพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคล ก็มีพระเจ้าอย่างที่เป็นนามธรรม หรือเป็นธรรม คือเป็นกฎ ให้เรียกว่ากฎของธรรมชาติ ถ้าเข้าใจคำว่า พระคำ หรือ The Word ถูกต้อง ก็เข้าใจว่าจะต้องเป็นกฎด้วยเหมือนกัน คัมภีร์โยฮันที่ว่าก่อนนี้มี The Word ก็ (นาทีที่ 11:03) คือ มีกฎ (นาทีที่ 11:03) ก็ (นาทีที่ 11:44) กฎของธรรมชาติ มีอยู่ก่อนสิ่งใด แต่อันว่าอยู่ (นาทีที่ 11:23) กฎนั้นอยู่กับพระเจ้า ก็เลยเป็น ๒ เรื่องขึ้น ถ้าเป็นเรื่องเดียวกัน ต้อง (นาทีที่ 11:22) ถือว่าพระเจ้านั้นคือกฎนั้นเอง คือ The word หรือ (นาทีที่ 11:26) กฎนั้นเอง กฎของธรรมชาติ
เดี๋ยวนี้เมื่อเราศึกษากันคราวเดียวทั้งหมดที่จะศึกษาได้ แล้วมาทำความเข้าใจกันตามหลักของพุทธศาสนา เราจะพบสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ใน ๔ ความหมาย ช่วยทำความเข้าใจข้อนี้ไว้ให้ดี แล้วจะ จะง่ายที่สุดในการจะพูดกันต่อไปข้างหน้า หรือจะสอนคนอื่น (นาทีที่ 11:53)
ธรรมในความหมายที่ ๑ คือตัวธรรมชาติทั้งปวง ธรรมชาติทั้งปวงนี้ขอให้ทั้งปวงจริงจริง คือธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงก็ได้ ธรรมชาติที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้ ธรรมชาติที่เที่ยงแท้ก็ได้ ไม่เที่ยงแท้ก็ได้ ธรรมชาติที่มีสิ่งปรุงแต่ง กับธรรมชาติที่ไม่มีสิ่ง ที่ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง มันหมดเพียงเท่านั้นน่ะ ปรุงแต่งจะใช้คำว่า condition หรือ compound, compounded คือ non-compounded มันมีอยู่ ๒ ชนิดเท่านั้น สำหรับสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงนี้เรียกว่าธรรม ระบุไปยังปรากฏการณ์ทั้งหมดของธรรมชาติ ก็ (นาทีที่ 12:53) เรียกว่า “ธรรม”
ที่ (นาทีที่ 12:56) ในความหมายที่ ๒ ธรรม คือกฎของธรรมชาติ นี่เราหมายถึง Law หรือกฎของธรรมชาติ มันไม่มีคำอื่นใช้มันใช้คำว่า natural law แต่ใช้คำว่า natural law นี้ไม่ค่อยสำเร็จประโยชน์ เพราะคำว่า Law ก็มีความหมายแคบๆ อยู่บ้าง
และคำว่า natural ก็ยังมีความหมายแคบๆ อยู่บ้าง ต้องทำความเข้าใจเอาเองว่าคำว่า Law ในที่นี้หมายถึงกฎทั้งหมดเลย (นาทีที่ 13:30) กฎที่แท้จริงสูงสุดทั้งหมด เป็น (นาทีที่ 13:30) Natural นี่ก็หมายความว่าธรรมชาติทั้งหมดอย่างที่ว่ามาแล้ว กฎนี้ เป็นสัจจะ เป็นความจริง ตั้งอยู่ในฐานะเป็นกฎ เพราะเป็นกฎ มันจึงบังคับสิ่งต่างๆ ให้เป็นไป เช่น เราพูดว่าสิ่งที่หลายเป็นไปตามกฎ แล้วเราก็ถือว่ากฎนี้มีอยู่ก่อนสิ่งใด เพราะว่าสิ่งทั้งปวงถูกสร้างขึ้นมาโดยกฎ
นี่มันจะเข้ากันได้กับข้อความในคำ ใน Book of Yohan ที่ว่า (นาทีที่ 14:12) At the beginning the word was จิต (นาทีที่ 14:19) แรกเริ่มเดิมที ทีเดียว นั้น (นาทีที่ 14:20) มีแต่ Word คือกฎ แล้วมันจึงมีสิ่งทั้งปวงมาทีหลัง จะให้ ให้ให้กฎนั้นเป็นตัวพระเจ้าเสียเอง หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติของพระเจ้าก็ได้เหมือนกันมันมีค่าเท่ากัน เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันออกมาจากกฎ หรือ The word จะใช้สิ่งนั้นน่ะสำหรับจะสร้าง (นาทีที่ 14:43) สิ่งทั้งปวง อย่างนี้เราได้ (นาทีที่ 14:46) เป็นธรรมะความหมายที่ ๒ คือกฎของธรรมชาติ
ทีนี้ ธรรม (นาทีที่ 14:54) ความหมายที่ ๓ ก็คือหน้าที่ที่ต้องทำตามกฎ ต้องเขียนลงไปว่าหน้าที่แล้วขยายความว่า ที่ต้องทำตามกฎ สิ่งที่มีชีวิต ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ อะไรก็ได้ ต้องทำตามกฎ มิฉะนั้น ตาย ทีนี้สิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม ก็รวมอยู่ในข้อนี้ ถ้าคนไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม จะเป็นทุกข์ จะตั้งอยู่ไม่ได้ หรือในที่สุดจะต้องตาย ฉะนั้น ศีลธรรมก็คือหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำ เพื่อความอยู่รอด และได้รับความดีถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะรับได้ ถือเอาคำนิยามนี้เป็นหลักว่าศีลธรรม คือสิ่งที่มนุษย์จะต้องกระทำ เพื่อรอดอยู่ได้ และเพื่อลุถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ
ถ้าจะพูดสำหรับชาวคริสเตียน ก็ใช้คำเดียวกันน่ะ ก็ใช้คำว่ารอดอยู่ได้ และไม่ใช่รอดอยู่เฉยๆ ต้องได้รับสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือความเป็นอันเดียวกับพระเจ้า ศีลธรรมก็มุ่งหมายอย่างนั้น จะทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ และไม่ใช่เพียงว่ารอดอยู่ได้เท่านั้น ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ
แต่เราไม่ได้ใช้คำว่า อยู่กับพระเจ้า ใช้คำว่า อยู่กับสิ่งสูงสุดแน่นอนตายตัวสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสภาพที่ไม่มีความทุกข์เลย ซึ่งมักจะเรียกกันว่านิพพาน นี่ถ้าพูดอย่างธรรมดาสามัญเป็นวิทยาศาสตร์หน่อย ไม่พูดให้มันเป็นเรื่องที่มองไม่เห็นอย่างนั้น ก็พูดว่ามนุษย์จะรอดอยู่ได้ เนื่อง (นาทีที่ 16:57) ในสภาพในสภาวะที่ไม่มีปัญหาเลย ไม่มีความทุกข์ยุ่งยากลำบากใจเลย
นั่นน่ะนี่คือ ความมุ่งหมายของศีลธรรม มนุษย์รอดอยู่ได้ และประสบสันติสุขส่วนบุคคล ประสบสันติภาพส่วนสังคม ถึงที่สุด นี่เราต้องมองเห็นเป้าหมายอันนี้ก่อน คือเป้าหมายของศีลธรรมอันนี้ก่อน ศีลธรรม นั้นมัน (นาทีที่ 17:32) มีเป้าหมายให้รอดอยู่ได้ในสภาพที่ดีที่สุด ที่น่าพอใจที่สุด จึงเกิดมีหน้าที่ที่จะต้องทำอย่างนั้น ศีลธรรมก็คือหน้าที่ หรือธรรมะในความหมายที่ ๓
ทีนี้ธรรมะในความหมายที่ ๔ ก็คือผลของหน้าที่ ความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ ความหมายที่ ๔ คือผลของหน้าที่ แล้วแต่ว่าไปทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่อย่างไรมา มันก็มีผลเกิดขึ้นตรง คือตามสมควรแก่การทำหน้าที่ นี่ธรรมในความหมายที่ ๔ ก็ (นาทีที่ 18:22) จะต้องเข้าใจ คำ ๔ ความหมาย ๔ ความหมายนี้อย่างดี แล้วเรื่องต่างๆ จะกระจ่างแจ่มแจ้งได้ (นาทีที่ 18:31) หมด
ทีนี้อันที่ ๔ ก็คือผลที่เกิดมาจากหน้าที่นั้น
เอาแต่คำคำเดียวก็ว่า ๑. ธรรมชาติ ๒. กฎธรรมชาติ ๓. หน้าที่ตามกฎธรรมชาติ ๔. ผลจากการทำหน้าที่
พยายามศึกษาให้เข้าใจจนเห็นว่ามันๆ เป็นคนละอย่าง ละอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ธรรมชาติทั่วไปถูกสร้างขึ้นโดยกฎ ควบคุมอยู่โดยกฎ แล้วสิ่งเหล่านั้นต้องทำหน้าที่ให้ถูกต้องกับกฎ แล้วเขาก็จะได้ผลตามสมควรแก่หน้าที่ นี่เราเรียกว่า ธรรม เป็นสิ่งสิ่งหนึ่งซึ่งมิใช่บุคคล อย่างคน คน
พุทธศาสนามีพระเจ้าอย่างที่ (นาทีที่ 20:16) มิใช่คน ก็คือกฎของธรรมชาตินั่นเองเป็นพระเจ้าที่มิใช่คนที่พุทธศาสนายอมรับ และกฎที่สำคัญที่สุดในพระพุทธ ศาสนาที่ทำหน้าที่อย่างพระเจ้านั้น เราเรียกกันว่า กฎ อิทัปปัจจยตา เข้าใจว่าคงเคยได้ยินคำเหล่านี้มาแล้ว หรือบางคนจะเคยมีหนังสือชื่อ อิทัปปัจจยตา แล้วด้วยซ้ำไป
อิทัปปัจจยตา นั้นคือกฎแห่งเหตุผล ที่ว่าเพราะมีสิ่งนี้เป็นเหตุ และสิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นเป็นผล เป็นกฎวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งท้าทายวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง ท้าทายในข้อที่ว่าวิทยาศาสตร์รู้แต่เรื่องวัตถุ ส่วนหลักธรรมะในพุทธศาสนานี่เลยไปถึงเรื่องที่มิ (นาทีที่ 21:15) ใช่วัตถุ คือเรื่องทางจิตใจ แต่ก็อยู่โดยกฎเดียวกันน่ะ คือ กฎอิทัปปัจจยตา เป็นเหตุให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาโดยกฎนี้ แล้วก็ให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามกฎนี้ หรือสิ้นสุดลงตามกฎนี้ แล้วเกิดใหม่ตามกฎนี้ หรือ (นาทีที่ 21:39) สิ้นสุดลงตามกฎอันนี้ นี่ เรียกกฎ อิทัปปัจจยตา
แล้วกฎอย่าง (นาทีที่ 21:45) อื่นๆ ยังมีอีก คือกฎที่จะมีความสุข ความทุกข์ กฎที่จะทำอะไร ให้ (นาทีที่ 21:51) เกิดขึ้น และมัน (นาทีที่ 21:52) ยังมีอีก แต่มันมาสรุปรวมอยู่ที่ว่ากฎ อิทัปปัจจยตา ตัวหนังสือแปลว่า ความที่มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อิทะ นั่น (นาทีที่ 22:09) แปลว่า นี้ ปัจจะยะ แปลว่า ปัจจัย ตา แปลว่า ความ ความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย หรือ อิทัปปัจจยตา
ฉะนั้น (นาทีที่ 22:19) เราท้าทายนักวิทยาศาสตร์ว่า พุทธศาสนาน่ะ (นาทีที่ 22:27) เป็นวิทยาศาสตร์ท้าทายวิทยาศาสตร์ มีกฎยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ตามธรรมดา เพราะว่าวิทยาศาสตร์ตามธรรมดาพูดกันแต่เรื่องวัตถุ นี่เราพูดถึงเรื่องจิตใจด้วย เราจึงไปได้ไกลกว่ากฎวิทยาศาสตร์ตามธรรมดา และทีนี้เพื่อจะช่วยให้ง่ายขึ้นอีกขอให้ช่วยจำให้ดี ช่วยทำความเข้าใจที (นาทีที่ 22:53) และอย่าคิดอะไรมาก นอกจากจะคิดว่าเราจะทำความเข้าใจเท่านั้น
ขอทบทวนไอ้ที่ ๔ อย่างนี้อีกทีนึง ว่าธรรมชาติทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ นี่คือพระกายของพระเจ้า นี่ (นาทีที่ 23:19) เมื่อพูดอย่าง พระเจ้าอย่างบุคคลกันแล้วที่นี้ จะพูดถึงพระเจ้าอย่างบุคคลกันแล้ว ธรรมชาติทั้งหมด ทั้งสากลนี้เป็นพระกาย เนื้อหนังของพระเจ้า แล้วกฎของธรรมชาติในความหมายที่ ๒ น่ะ นั้นน่ะเป็นพระจิต หรือ (นาทีที่ 23:43) จิตใจของพระเจ้า
แล้วอันที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้น คือพระประสงค์หรือข้อเรียกร้องของพระเจ้า ทีนี้ข้อที่ ๔ ข้อสุดท้าย ผลตามหน้าที่นั้นก็คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ มันก็หมดกันน่ะ เรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้า
มันทำหน้าที่อย่างไรไป มันก็มีผลตรงตามตามหน้าที่ เพราะฉะนั้น การที่จะน้ำท่วมโลก ไฟไหม้โลก หรืออุปัทวะเลวร้ายอะไรต่างๆ ในโลก ก็เรียกว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานด้วยเหมือนกัน คือประทานตามหน้าที่ ตามการกระทำที่มนุษย์ได้กระทำ หรือตามที่มันเป็นไปตามกฎ
อันนี้น่ะขอให้เข้าใจจนแจ่มแจ้ง แล้วจะจะทำความเข้าใจกันได้ในระหว่างศาสนาทุกศาสนา ย้ำอีกทีจะดีไหมว่า ไอ้ปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งหมด สากลนี้เป็นพระกาย คือร่างกายของพระเจ้า และกฎของธรรมชาตินั้นเป็นจิตใจของพระเจ้า ต้องมีทั้งกายและทั้งใจ แล้วหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นน่ะ คือสิ่งเรียกร้องของพระเจ้า คือ (นาทีที่ 25:27) พระประสงค์ของพระเจ้า หรือ (นาทีที่ 25:30) สิ่งที่มนุษย์จะต้องทำตามคำสั่งของพระเจ้า ตามกฎ
ทีนี้อันที่ ๔ ก็คือผลที่พระเจ้าประทาน นี่ตามหลักพุทธศาสนากล่าวได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาก็มีพระเจ้าเหมือนกัน แต่ไม่ใช่อย่างบุคคล ไม่ใช่ Personal God (นาทีที่ 25:58) แต่เป็น non-personal god คือมิใช่ก็แล้วกัน มิใช่บุคคล มันก็ทำหน้าที่เหมือนกัน แล้วก็เลยมีพระเจ้าด้วยกัน แม้จะเรียกชื่อต่างกัน
แล้วมันมีหน้าหัวตรงที่ว่า ถ้าถือภาษาไทยเป็นหลัก แล้วมันก็มีความน่าหัวอยู่อย่าง มันเป็น coincidence บังเอิญมันไปเหมือนกับเขา (นาทีที่ 26:34) ได้ เช่น คือคำว่ากฎนั่นเอง ถ้าเราออกเสียงลากเสียงให้ยาว มันก็กลายเป็น God เรามีกฎเป็น God ฉะนั้น (นาทีที่ 26:54) เราก็มี God ด้วยกัน เพียงแต่ว่าฝ่ายนี้มันออกเสียงสั้นไป (นาทีที่ 26:49) เป็นกฎ
นี่ (นาทีที่ 26:52) อย่าถือเป็นความจริง ละนะ (นาทีที่ 26:53) คือ (นาทีที่ 26:54)เป็น coincidence ที่ว่ากันลืมได้ แต่โดยเนื้อแท้เราก็มีสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าได้ คือมีธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติ มีหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มีผลที่จะได้รับตามหน้าที่นั้น เข้าเป็นเรื่องเดียวกันได้ กับทุกศาสนาที่มีพระเจ้าอย่างบุคคล
ขอเป็นอันว่า ขอแต่เพียงว่า เราอย่ามามัวทะเลาะกันเรื่องพระเจ้าอย่างบุคคลกับมิใช่บุคคล ก่อนนี้เรามาทะเลาะกันมากเกินไป ถึงกับว่ามีพระเจ้ากับไม่มีพระเจ้า เขาพูดกันเสียว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้ามันก็ทะเลาะกันมากเลย (นาทีที่ 27:47) ระหว่างมีพระเจ้ากับไม่มีพระเจ้า มันทะเลาะกันเกินไป
ทีนี้เราบอกเขาให้รู้ว่ามี มีพระเจ้า แต่มิใช่เป็นบุคคล แม้มิใช่บุคคลก็มีความหมายอย่างบุคคลทำหน้าที่เดียวกับอย่างบุคคล ฉะนั้นควรยอมรับว่ามีพระเจ้า คือกฎของธรรมชาติ
ไอ้เรื่องมีพระเจ้า ไม่มีพระเจ้านี่ มันเป็นปัญหามากในในในโลกนี้ คือครั้งหนึ่งเขาถือเป็นหลักว่าถ้าไม่มีพระเจ้าไม่เรียกศาสนา ถ้าระบบคำสอนใดมันไม่มีพระเจ้า ระบบคำสอนนั้นไม่เรียกว่าศาสนา เขาก็เลยจัดพุทธศาสนาว่าไม่เป็นศาสนา มิใช่พุทธศาส…มิใช่ศาสนา เป็นเพียงหลักปรัชญา อะไรอย่างนั้น นี่มันยิ่งไม่ถูก มันยิ่ง มันยิ่งผิดใหญ่ไปอีก เพราะเขาไปถือเสียว่าถ้าไม่มีพระเจ้า แล้ว (นาทีที่ 28:47) ก็ไม่ใช่ ไม่ไม่เป็นศาสนา นั่นมันทำให้เกิดทะเลาะกัน คือว่ารักใคร่กันไม่ได้แหละ (นาทีที่ 28:58) มันเป็นคนมีศาสนากับ (นาทีที่ 28:59) ไม่มีศาสนา แล้วมันจะ...จะมองหน้ากันสนิทยังไง
แล้วมันยังมีปัญหาทางการเมืองแทรกแซงเข้ามาอีก มีคนเล่าให้ฟัง เมื่อเร็วๆ นี้ ไม่กี่ปีนี้ที่ประเทศอินโดนีเชียมันยังมีพลเมืองจำนวนหนึ่งจำนวนล้านล้านเหมือนกันน่ะที่ไม่ใช่คริสต์ และไม่ใช่อิสลาม เขาถือศาสนาเดิมๆ ก่อนคริสต์ก่อนอิสลามที่มีอยู่แล้วอื่นๆ ในเอเชีย นั่นก็(นาทีที่ 29:34) คือพุทธศาสนา เพราะอินโดนีเซียมันเคยถือพุทธศาสนาตั้งแต่ ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าเรียกพุทธศาสนาเต็มตัว แต่เมื่อพูดไปพูดมามันก็เป็นพุทธศาสนา แล้วก็บอก (นาทีที่ 29:54) ไม่มีพระเจ้า ประชาชนเหล่านั้นบอกไม่มีพระเจ้าสำหรับเขา
ทีนี้รัฐบาลก็ ก็จัดว่าไม่ใช่(นาทีที่ 26:49) ศาสนา ก็จัดประชาชนเหล่านั้นว่า ไม่มีศาสนา ไอ้เงินช่วย Subsidy ต่างๆ ที่เขา นาทีที่ 30:10) เขาจะช่วยแต่เฉพาะคนที่มีศาสนาเท่านั้น ประชาชนจำนวนนั้นก็เลยไม่ได้รับ (นาทีที่ 30:15) เงินช่วยเหลืออะไร
จนมาเมื่อไม่นานนี้ พระที่เป็นหัวหน้าองค์หนึ่ง แกไปอธิบายอย่างนี้ พุทธศาสนามีพระเจ้า คืออย่างที่กำลังพูดนี่ รัฐบาลยอมรับว่ามีพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นเป็นผู้มีศาสนา ก็(นาทีที่ 30:36) ยอมให้คนจำนวนนั้นเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ คือมีศาสนา และได้รับเงินอุดหนุนช่วยเหลือเต็มตามที่ประชาชนจะได้รับ
นี่ดูสิ มันมีปัญหาแม้ทางการมืองอย่างนี้ ที่ (นาทีที่ 30:51) เกี่ยวกับพระเจ้า แล้วไปบัญญัติว่ามีพระเจ้าจึงเป็นศาสนา ไม่มีพระเจ้าก็มิใช่ศาสนา อย่างนี้มันก็มีปัญหาเกิดขึ้น ทำให้เกิดการแตกแยก และเป็นภัยต่อความสงบสุข
ที่ว่ามีพระเจ้าจึงเป็นศาสนา ไม่มีพระเจ้าไม่เป็น (นาทีที่ 31:16) ศาสนา เอาคำไหนมาเป็นหลัก ถ้าเอาคำไทยเป็นหลักมันก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าเอาคำอังกฤษ (นาทีที่ 31:26) เป็นหลัก religion เป็นหลัก ว่าถ้ามีพระเจ้าจึงจะเป็น (นาทีที่ 31:30) religion
ไอ้ religion มันก็ (นาทีที่ 31:32) ไม่ใช่มี ไม่ใช่ ไม่ใช่แปลว่ามีพระเจ้า ไปผูกพันกับสิ่งสูงสุดสิ่งหนึ่ง สิ่งสูงสุดนั้นเป็นอะไร ในฝ่ายนี้ก็มีฝ่ายพุทธก็มีสิ่งสูงสุด ฉะนั้น (นาทีที่ 31:50) ถ้ามีการประพฤติกระทำให้มนุษย์ผูกพันกับสิ่งสูงสุด ก็ต้องเรียกว่า religion ได้ ฉะนั้น (นาทีที่ 31:56) พุทธศาสนาก็เป็น religion ได้ เพราะมีการประพฤติกระทำให้เกิดการผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด สิ่งนั้นก็คือศีลธรรมในความหมายที่เต็มรูป คำว่า ศีลธรรม ถ้ามันมีความหมายเต็มรูปของมัน คือเป็นธรรมสูงสุดขึ้นมา มันก็เป็นสิ่งทำให้มนุษย์ถึงกับพระเจ้า ตามความหมายของของคำว่า lit หรือ let relit คือการผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด นี่เรา ธรรมดาทั่วไปนี่ ไม่พูดถึงศาสนากันก็ได้ ว่ามนุษย์ทั่วไปมีศีลธรรม เป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันให้ถึงกัน ระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด
สำหรับสิ่งสูงสุดนั้นก็จะเรียกว่า พระเจ้าก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เรามาเรียกอย่างอื่น ก็เรียกว่านิพพานก็ได้ หรือถ้าไม่ (นาทีที่ 33:06) ใช้คำภาษาอินเดีย ภาษาบาลี ก็ใช้คำธรรมดาไทยไทยว่า สิ่งสูงสุดนั้นก็คือสภาพที่ไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีปัญหาเลย มันสูงสุดอยู่ที่นั่น (นาทีที่ 33:20) แต่เราจะเรียกว่าสันติสุข สันติภาพ สัน…อะไรก็แล้วแต่ มันเป็นสภาพที่ไม่มีทุกข์เลย ไม่มีปัญหาเลย นี้เรียกว่าสิ่งสูงสุด
ฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติระบบ (นาทีที่ 33:34) ใดมัน (นาทีที่ 33:34) ผูกพันมนุษย์เข้ากับสิ่งสูงสุด มันก็คงจะ (นาทีที่ 33:38) มีสิทธิที่จะเรียกว่าศาสนา หรือ religion
เราอย่าเอาคำสอนสำหรับเด็กๆ เช่น ว่า (นาทีที่ 33:50) ศาสนาแปลว่าคำสั่งสอนนี่ ในโรงเรียน จะบอกนักเรียนว่า ศาสนาแปลว่าคำสั่งสอน มันก็ (นาทีที่ 33:57) เป็นคำสั่งสอนตายด้านอยู่นั่น มันไม่ถูก ศาสนาแปลว่าการกระทำ เพื่อให้ลุถึงสิ่งสูงสุด จะให้มันชัดเจน เราเอาคำว่าธรรมนั้นเป็นหลัก คำว่าธรรม จึง (นาทีที่ 34:22) รวมศีลธรรมเข้าไว้ด้วยนั่นน่ะ เอาคำนี้เป็นหลัก แล้วถือความหมายของคำว่าธรรมให้ถูกต้อง และสมบูรณ์ที่สุด คือบทนิยามที่ว่า ธรรมได้แก่ระบบปฏิบัติ ต้องเขียนชัดๆ ว่าระบบปฏิบัติ ธรรมคือระบบปฏิบัติ ไม่ใช่คำสั่งสอน มันรวมคำสั่งสอนอยู่ด้วย เพราะมันต้องมีการสั่งสอน มันจึงจะปฏิบัติถูกต้อง
ธรรมคือระบบปฏิบัติ และก็ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ และทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา บทนิยามนี้จะช่วยได้มาก ให้ให้ให้ให้ทำความเข้าใจดีดี และก็จำไว้ให้แม่นยำว่าธรรมน่ะ คือระบบปฏิบัติ เป็นระบบๆ ที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา
ทีนี้จะเอาศาสนาคริสเตียนเป็นหลักก็ได้เอามาสิ มันจะไม่ไม่ไม่ขัดกับไอ้ definition อันนี้ คำสอนในคริสเตียน มัน (นาทีที่ 35:53) ก็คือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ (นาทีที่ 35:57) ของเขา
จะเอา (นาทีที่ 36:00) ศาสนาอิสลามเป็นหลัก เอาคุณ (นาทีที่ 36:02) ดูเหอะ มันมีระบบปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ (นาทีที่ 36:08) ของเขา หรือจะเอาศาสนาไหนเป็นหลักอีกมันก็ไม่พ้นไปจากนี้ (นาทีที่ 36:14) เราจะมีศาสนากันอีกกี่ศาสนาก็ตามใจ
แม้กระทั่งที่เรียกครึ่งศาสนา ศาสนาขงจื้อ เหลาจื้ออะไรก็ตามมันก็จะรวมลงอยู่ในบทนิยามอัน (นาทีที่ 36:29) นี้ คือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ (นาทีที่ 36:32) ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ (นาทีที่ 36:35) ของเขา
เราจะมาทะเลาะกันทำไม มัน (นาทีที่ 36:39) ก็บ้าตายถ้ามาทะเลาะกันด้วย (นาทีที่ 36:42) เรื่องนี้ ทุกคนมันต้องการระบบปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ตั้งแต่ต้นจนปลาย คุณไปหาคำพูดเอาเองก็ได้ ถ้าต้องพูดในโรงเรียนชาวต่างประเทศ ระบบปฏิบัตินี่ Course of conduct ระบบปฏิบัติ Course of conduct และถูกต้อง right เฉยเฉย right ตรง หรือถูกนี่ สำหรับมนุษย์ for a man
ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ at every stage of his evolution ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ตั้งแต่แรกคลอดออกมาเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาว จนแก่เถ้าเข้าโลง ก็ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ (นาทีที่ 37:42) มันต้องถูกต้องหมด หรือว่าตั้งแต่เป็น (นาทีที่ 37:46) มนุษย์สมัยหิน สมัยโลหะ (นาทีที่ 37:48) สมัยทองแดง สมัยโลหะ สมัยอะไรเรื่อยมา จนถึงสมัยปัจจุบัน นี่เขาวิวัฒนาการ(นาทีที่ 37:55) ของเขา เขาต้องมีระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ (นาทีที่ 38:01) ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่ง วิวัฒนาการ (นาทีที่ 38:04) ของเขา
จะ (นาทีที่ 38:07) ทุกศาสนาจะมุ่งหมายอย่างนี้ เราอาจจะหาพบระบบปฏิบัติจากทุกๆ ศาสนาที่เป็นศาสนากันจริงๆ (นาทีที่ 38:17) จะมีคำตอบสำหรับผู้ที่จะ (นาทีที่ 38:20) ปฏิบัติให้ถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทีนี้คุณก็ดูในข้อที่ว่ามันสากลกี่มากน้อย ระบบปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติมันสากลหมดแล้วนี่ ไอ้ universality ก็ธรรมชาติ
อ้าแล้วก็ไอ้กฎของธรรมชาติมันก็สากลเท่ากัน แล้วหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันก็สากลเท่ากัน แล้วผลที่ออกมาจากหน้าที่ตามสมควรแก่หน้าที่ มันก็พลอยสากลไปด้วย ฉะนั้นจึงเห็นว่า หลักเกี่ยวกับธรรมะ principle เหล่านี้นั้นมันสากลเท่าใด มันสากลกี่มากน้อย
ทีนี้คำว่า ศีลธรรม น่ะมันรวมอยู่ในไอ้ ๔ อย่างนี้ คือรวมอยู่ในความหมายที่ ๓ ที่ว่าหน้าที่ตามกฎธรรมชาตินั้นน่ะ คือศีลธรรม ดังนั้นไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมมันจึงสากลเต็มที่ สากลเต็ม เต็มที่ตามที่มันจะมีเต็ม เต็มได้เท่าไร สำหรับมนุษย์ทุกคน ก็เรียกว่าสากล ถ้ามีเทวดา ก็สำหรับเทวดาด้วย หรือถ้ามีอะไรที่เป็นอมนุษย์อย่างอื่น ก็มันสำหรับสัตว์เหล่านั้นด้วย กระทั่งว่าสำหรับสัตว์เดรัจฉานด้วย สัตว์เดรัจฉานต้องประพฤติตามกฎธรรมชาติอย่างถูกต้อง มันจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก มันก็มีการปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ไม่อย่างงั้น (นาทีที่ 40:15) สัตว์เดรัจฉานมันจะทนอยู่ไม่ได้จะต้องตายเหมือนกัน แต่สำหรับมนุษย์เรามันแปลกอยู่หน่อยว่า นอกจากทนอยู่ได้ ไม่ตายแล้ว ต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดด้วย ทีนี้สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีความคิดนึกมันไม่รู้เรื่องสิ่งที่ดีที่สุด มันก็เอาแต่เพียงแต่อยู่รอด สบายสบายก็พอแล้ว สูงสุดของมันแล้ว
ทีนี้มันสากลลงต่ำไปถึงไอ้สิ่งมีชีวิตต่ำต่ำ เช่น ต้นไม้ ต้นไม้นี่ก็มีหลายระดับ evolution (นาทีที่ 40:47) ก็มีหลายระดับ ต้นไม้ใหญ่ใหญ่ ต้นไม้พิเศษ ต้นไม้ดีดี ต้นไม้ล้มลุก ต้นหญ้าบอน กระทั่งตะไคร่น้ำ นี่มันก็ต้องเป็นอยู่อย่างถูกต้องตามกฎ (นาทีที่ 41:06) ไม่งั้นมันก็ตายน่ะ อย่างน้อยก็กฎที่ว่ามันต้องกินอาหาร แล้วมันก็ต้องย่อยอาหาร แล้วก็ระบบขับถ่าย มีความถูกต้องทุกระบบ ตะไคร่น้ำจึงจะอยู่ได้ หญ้าบอนจะอยู่ได้ต้นไม้จะอยู่ได้ นี่ดู มันอยู่ได้อย่างสงบเงียบ นี่ต้นไม้ทั้งหลายนี่มันมีความถูกต้อง ตามกฎของธรรมชาติ นี่เราเรียกว่ามันสากลที่สุด
ทีนี้ต้นไม้มันยิ่งต่ำไปกว่าสัตว์ มันไม่ต้องการอะไรมาก ฉะนั้นพออยู่ได้ ก็เลย(นาทีที่ 41:46) ก็รอดน่ะ เป็นความรอดของต้นไม้ เป็นความรอดของสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็เป็นความรอดของมนุษย์ ทุกๆ ศาสนาใช้คำว่า ความรอด ข้อนี้คุณต้องสังเกตดู(นาทีที่ 42:00) ให้ดี ว่าทุกๆ ศาสนาเขาใช้คำว่า ความรอด แต่ว่าภาษามันต่างกัน แต่เขาใช้คำที่มีความหมายเป็น ความรอดทั้งนั้นแหละ
หรือถ้าว่าไม่อย่างนั้น ก็เพราะว่าไปแปลของเขาผิด ความหมายของเขาถูก แต่ไปแปลของเขาผิด แล้วบางคำมันก็แปล (นาทีที่ 42:24) ยากเหลือประมาณ เช่น คำว่า เต๋า นี่มันดูจะแปลได้ทุกอย่างเหมือนกับคำว่า ธรรม จะแปลว่าความรอดก็ได้ ถ้าเป็นเต๋าจริง มันก็เป็นความรอด คำว่า เต๋า ในลัทธิเต๋านี่ เป็นคำที่แปลยาก สำหรับคำว่า ธรรม
ให้สรุปความเสียทีหนึ่งก่อนก็ได้ว่า ทุกศาสนามุ่งความรอดเป็นจุดหมายปลายทาง หากแต่ว่าความรอดสำหรับมนุษย์นั้น มันไม่ใช่เพียง (นาทีที่ 42:57) รอดชีวิตเฉยๆ มันรอดจากปัญหา รอดจากความทุกข์ลำบากทุกอย่างทุกประการด้วย ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานมัน (นาทีที่ 43:07) ก็แคบเข้ามาหน่อย เพียงแต่รอดชีวิตมันก็พอ ถ้าต้นไม้ละก็ยิ่ง (นาทีที่ 43:11) ยิ่งง่ายไป (นาทีที่ 43:12) กว่านั้นอีก
ทีนี้เราเอามนุษย์เป็นหลัก ประสงค์ความรอดตามความหมายที่สมบูรณ์ของมนุษย์ ทุกศาสนาจะเอ่ยถึงความรอด เพราะฉะนั้นเราไปศึกษาให้ดี ให้ครบหน้าที่ที่ปฏิบัติเพื่อความรอด และนั่นแหละคือศีลธรรม แล้วถ้าเข้มข้นขึ้นมามันก็เป็นคำว่า ปรมัตถธรรม หรืออะไรไปโน่น แต่ (นาทีที่ 43:45) ที่แท้เป็นสิ่งเดียวกัน คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรียกว่าธรรม หรือศีลธรรม
ถ้าเป็นภาษาบาลี เขาก็เรียกว่า โมกข์ อย่างสวนโมกข์นี่เขา (นาทีที่ 43:59) แปลว่า รอด รอด หรือเกลี้ยง (นาทีที่ 44:01) หรือวิมุตติ ก็แปลว่ารอด อย่างที่ใช้อยู่ในศาสนาคริสเตียน คำว่า salvation, emancipation นี่ความหมายเดียวกันคือว่ารอด emancipation ตรงกับคำว่า วิมุติ หลุดพ้นออกไปได้ salvation ดูกับ (นาทีที่ 44:32) เป็นคำที่กว้างกว่าไหมนะ (นาทีที่ 44:33) กว้างกว่าอีก (นาทีที่ 44:34) จะแปลว่าไอ้มัน(นาทีที่ 44:36) รอดอัน (นาทีที่ 44:37) สุดท้าย ที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าศาสนาไหนก็ตามก็มีคำว่า รอดใช้กันทั้งนั้น แต่นึกๆ อย่างไม่ใช่ภาษาไทย มันก็ต้องใช้ภาษาของเขา ของเขา แต่ความหมายเดียวกันคือรอด แต่ (นาทีที่ 44:59) แล้วก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยกฎของธรรมชาติถ้าไม่รอดมันก็ต้องตายนะสิ (นาทีที่ 45:04) แล้วมันจะมี มีความหมายอะไร ฉะนั้นธรรมชาติมันก็ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับคำว่ารอด (นาทีที่ 45:08) แล้วมันก็รอดๆ กันมา เราไม่ค่อยสนใจกับคำที่สำคัญเป็นพิเศษคำนี้กันนัก ยิ่งเดี๋ยวนี้ เขาจะไม่นึกถึงคำว่า รอด อารยธรรมแผนใหม่นี่ เขาไม่มีคำว่ารอด เขามีคำว่า อะไร ก็สมบูรณ์ทางวัตถุ สมบูรณ์ทางเนื้อหนัง ทางวัตถุ
คำว่า สันติสุข สันติภาพของเขาก็หมายความว่า มันรวยด้วยกันทั้งหมด แล้วมันก็จะรอด ในเรื่องนี้เป็นเรื่องละเมอเพ้อฝันที่เรายอมรับไม่ได้ ที่บางลัทธิเขาจะสอนว่าทำให้ทุกคนรวยเสมอ(นาทีที่ 46:12) กันหมด แล้วโลกก็(นาทีที่ 46:14) สงบ เป็นสันติสุข เรายอมรับไม่ได้
เพราะเรามองเห็นความจริงอยู่ข้อหนึ่งว่า ยิ่งรวย ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งรวย ก็ยิ่งมีความเอร็ดอร่อยมาก ยิ่งหลงในความเอร็ดอร่อยมากก็ยิ่งเห็นแก่ตัว มันจะไม่นึกถึงผู้อื่นจะเห็นแก่ตัวมากขึ้นมากขึ้นจนไม่มีทางที่จะเห็นแก่ผู้อื่น ฉะนั้นเราจึงไม่อาจจะยอมรับอุดมคติที่ว่า ทำให้รวยเสมอ (นาทีที่ 46:46) กันหมดแล้ว (นาทีที่ 46:47) มันจะมีสันติภาพ
ยิ่งรวย ยิ่งสนุกสนาน ยิ่งอร่อย ยิ่งเห็นแก่ตัว ทีนี้ก็ยิ่งเบียดเบียนผู้อื่น ยิ่งเอาเปรียบผู้อื่น เราต้องใช้ระบบอื่นที่ทำให้คนไม่เห็นแก่ตัว ระบบนั้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม นี่มันก็ใกล้ๆ เข้าไปแล้วคือมันเห็นลางลางขึ้นมาแล้วว่า ไอ้ระบบศีลธรรมนี่ คือระบบที่ทำลายความเห็นแก่ตัว จริงไม่จริงก็ไปคิดดูเอง ถ้าจะเป็นศีลธรรมขึ้นมา นั้น(นาทีที่ 47:21) ต้องทำลายความเห็นแก่ตัว
ทีนี้อธิบายอย่างพุทธศาสนามันก็ง่าย หรืออธิบายอย่างคริสเตียนก็ง่าย เพราะให้(นาทีที่ 47:31) ถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน บางที (นาทีที่ 47:38) อธิบายอย่างคริสเตียน จะอธิบายง่ายขึ้นไปอีกว่า ทุกคนออกมาจากพ่อแม่คู่แรกที่พระเจ้าสร้าง มันก็เลยเป็นพี่น้องกันหมด อธิบายง่ายอย่างนี้ ทุกคน ชีวิตทั้งหมด มันเป็นพี่น้องท้องเดียวกันมา
ทีนี้ทางพุทธศาสนาเขาก็มีคำพูดอย่างนั้น ที่ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่เขากล่าวในด้านวิญญาณ ด้านจิต ด้านวิญญาณ ว่าจิตมนุษย์นี้มันออกมาจากอวิชชา ตัณหา แล้วออกมาเป็นกิเลส แล้วออกมา (นาทีที่ 48:20) เป็นความทุกข์ มีความทุกข์เพราะ (นาทีที่ 48:23) เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังนั้นเราเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็ได้ความว่าเป็นเพื่อนหัวอกเดียวกัน จะ (นาทีที่ 48:34) อธิบายอย่างไหน ก็มันก็มา ลงลงอยู่ที่ว่าพี่น้องกันทุกคน
นี่รากฐานของศีลธรรม มันต้องมาตั้งต้นตรงจุดนี้ ที่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้ามาถึงนี่ได้แล้ว (นาทีที่ 48:52) ก็เป็นอันว่า แน่นอน รอดได้ รอดตัวได้
ถ้าไม่มาถึงจุดนี้ ไม่แน่ หรืออาจจะไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ก็ได้ (นาทีที่ 49:03) ถ้า (นาทีที่ 49:04) เราไม่ยอมรับข้อที่ว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันแล้ว เรื่องของศีลธรรมจะเป็นไปยาก หรือ (นาทีที่ 49:11) เป็นไปไม่ได้ เพราะมันยังเห็นแก่ตัวอยู่เรื่อยไป มันเอาเปรียบ มัน (นาทีที่ 49:17) อะไรอยู่เรื่อยไป
ถ้าเกิดรู้สึกว่าเป็นเพื่อนหัวอกเดียวกัน กำลังทนทุกข์ด้วย (นาทีที่ 49:26) เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ด้วยกัน มันก็เกิดความเมตตา กรุณา สงสาร รักใคร่กัน คิดจะช่วยกัน มันก็เห็นแก่ตัวไม่ได้ มันเอาเปรียบไม่ได้ ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าถ้ามัน (นาทีที่ 49:42) ยอมรับ ไอ้ถือลัทธิที่ว่า เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บตายกัน (นาทีที่ 49:47) เป็นพี่น้องกัน นี่มันจะเอาเปรียบกันไม่ได้
มันจะเกิดลัทธินายทุนกับชนกรรมาชีพ รบราฆ่าฟันกันไม่ได้ โดยลัทธินายทุนนั้นเขาก็เป็นเขาเท่านั้น เขาก็ ก็ทำไปตามแบบของนายทุน มันก็เกิดการแตกแยก เป็น ชนกรรมาชีพ เป็นซ้าย เป็นขวา เป็นคนมั่งมี เป็นคนยากจน ต่อสู้กันไปไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อประโยชน์ด้วยความเห็นแก่ตน นายทุนก็เห็นแก่ตนตามแบบนายทุน ชนกรรมาชีพก็เห็นแก่ตนตามแบบชนกรรมาชีพ ไม่เคยคิดว่าทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน
ฉะนั้นศีลธรรมมันตั้งต้นไม่ได้ ต่อเมื่อไรเราเลิกไอ้ความคิดที่โกรธแค้นอาฆาต หงุดหงิดนั้นไปเสียเลิกเสียที มามาตั้งต้นมองดูกันใหม่ ตามวิธีของศาสนา ให้พบว่าทุกคนมันกำลังมีความทุกข์ เพราะปัญหาเกี่ยวกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นเรามาเป็นเพื่อนร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหานี้(นาทีที่ 51:11) ดีกว่า ก็ (นาทีที่ 51:13) คือรับเอาระบบศาสนามาเป็นหลัก (นาทีที่ 51:15) ปฏิบัติ ซึ่งศาสนาคริสเตียน(นาทีที่ 51:18) ก็ย้ำเหลือประมาณน่ะ ที่ว่าให้รักผู้อื่นไม่น้อยกว่าตัว
ทีนี้มีบางศาสนาจะเลยไปถึงว่า ให้ (นาทีที่ 51:27) รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว เช่น พุทธศาสนานิกายที่ถืออุดมคติโพธิสัตว์น่ะ ซึ่ง (นาทีที่ 51:41) เขาเรียกว่า มหายานหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก แต่ (นาทีที่ 51:44) ถ้านิกายนี้แล้วจะรักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว จะ (นาทีที่ 51:50) พุทธศาสนาตามธรรมดา เถรวาทตามธรรมดานี้ อย่างน้อยก็รักผู้อื่นเท่ากับรักตัว ฉะนั้นถ้าเรามีหลักที่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่คือจุดตั้งต้นของศีลธรรม (นาทีที่ 52:07) หรือ(นาทีที่ 43:59) รากฐานของศีลธรรม ทีนี้คุณก็จะมองเห็นได้เองละมั้ง ต้องพูดว่า(นาทีที่ 52:18) มันมีหลักแน่นอนลงไป (นาทีที่ 52:20) ว่า ทุกคนเป็นเพื่อน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันแล้ว มันจะมีอะไร ต่อไปอีก ก็จะนึกได้เองละมั้ง(นาทีที่ 52:30) ไม่ต้องพูดกันก็ได้มั้ง
แต่เขาก็(นาทีที่ 52:34) ได้พูดกันแล้ว เช่นว่า พอนึกได้(นาทีที่ 52:40) ว่าทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันเหมือนกับเราแท้ๆ อย่างนี้(นาทีที่ 52:44) มันจะเอามีอะไร มันก็จะมีความรักกัน (นาทีที่ 52:48) ขึ้นมาก่อน ความเมตตานั้นก็ (นาทีที่ 52:51) จะเกิดขึ้นมาก่อนหัวอกเดียวกัน นี่เมตตาก็เลยเป็นศีลธรรมเป็นข้อกฎทางศีลธรรมขึ้นมา
และว่าเมื่อเราเป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนยากกันอย่างนี้ เราจะคดโกงกันได้อย่างไง เราก็ต้องมีความซื่อสัตย์ต่อกัน มันก็เกิดศีลธรรมข้อที่ว่าซื่อสัตย์ต่อกันขึ้นมา และเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างนี้ เราก็จะต้องกตัญญูต่อกันและกันขึ้นมา ฉะนั้นศีลธรรมหลายสิบข้อมันก็ตามมา...จากรากฐานที่ว่า ทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน
ทีนี้ทางด้านจิตใจในภายใน ถ้าว่ารู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน แล้วมันจะโกรธกันได้หรือ มันจะล่วงละเมิดในทางจิตใจอะไรกันไม่ได้ คือมันจะบันดาลโลภะก็ไม่ได้ บันดาลโทสะก็ไม่ได้ บันดาลโมหะอะไรก็ไม่ได้ มันจึงเกิดศีลธรรมที่สำคัญ ที่ที่ที่สำคัญมากว่าหนึ่งคือว่าการบังคับความรู้สึกอันนั้นแหละเป็น เป็นใจความสำคัญของการปฏิบัติศีลธรรม คือต้องบังคับความรู้สึกให้เป็นไปตามอุดมคติที่ว่าทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกัน
ฉะนั้นเมื่อเราจะประทุษร้ายใคร เราก็บังคับความรู้สึกไม่ได้ไม่ประทุษร้ายเขา ไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกายเขา ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของเขา ไม่ประทุษร้ายของรักของพอใจของเขา ไม่ประทุษร้ายสิทธิชอบธรรมของเขา กระทั่งไม่ประทุษร้ายไอ้สติปัญญาสัมประดีของตนเองที่เรียกว่าศีล ๕ ข้อนี้เอง ถ้ามันลง (นาทีที่ 55:07) บังคับความรู้สึกไว้ได้ มันก็ถือศีล ๕ ข้อไว้ได้
ศีล ๕ ข้อนี้ขอให้ยอมรับว่ามันเป็นศีลธรรมดั้งเดิมก่อนพุทธศาสนา ถ้าก่อนพุทธศาสนา ก็ต้องก่อนคริสเตียนน่ะ เพราะมันนาน (นาทีที่ 55:27) มันมีหลักฐานปรากฎอยู่ ก็ แล้ว (นาทีที่ 55:30) มันก่อนพุทธศาสนา ก่อนพุทธศาสนาไปอีก เรื่องไอ้ศีลธรรม ๕ ข้อ
ข้อที่ ๑. เรียกว่าปาณาฯ อย่าไปประทุษร้ายชีวิตและร่างกายเขา ใช้ความหมายกว้างๆ อย่างนี้สิ อย่าเพียงแต่ว่าอย่าฆ่า อย่าประทุษร้ายชีวิตร่างกายเขา ข้อที่ ๒. อทินนาฯ อย่าประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของเขา โดยวิธีใดก็ตาม ข้อที่ ๓. อย่าไปประทุษร้ายของรักของเขาโดยวิธีใดก็ตาม ข้อที่ ๔. อย่าไปประทุษร้ายสิทธิชอบธรรมของเขา ข้อที่ ๕. อย่าไปประทุษร้ายสติปัญญาสัมประดีของตนเอง ว่าว่า(นาทีที่ 56:10) ดื่มของเมาเข้าไป
ในสมัยดึกดำบรรพ์นู้น มนุษย์มันรู้สึกได้เองตามที่ธรรมชาติมัน มันแสดงหรือมันบีบคั้นก็ตามจนมนุษย์มันรู้สึกได้เองว่า (นาทีที่ 56:26) ไม่ไหว ไอ้ฆ่ากันนี่ไม่ไหว ก็บัญญัติไม่ฆ่า ไอ้รักกันนี่ก็ไม่ไหว บัญญัติไม่รัก ไม่ล่วงเกินของรักนี่ก็ ไม่ ล่วงเกินของรักนี่ก็ไม่ไหว ก็ได้บัญญัติไม่ล่วงเกินของรักน่ะ (นาทีที่ 56:35) กระทั่งเกิดเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ อะไรขึ้นมา นี่เรียกว่าบังคับความรู้สึกไว้ได้ อันนี้เป็นแม่บทสำคัญของการปฏิบัติเพื่อศีลธรรม ถ้าบังคับความรู้สึกไว้ไม่ได้ แล้วมันทำผิดหมด ถ้าบังคับความรู้สึกไว้ได้แล้วมันรักษาไว้ได้หมด
บังคับความรู้สึก เมื่อ (นาทีที่ 57:10) ก่อนนี้ก็พูดกันมากในหนังสือจริยธรรมธรรมดาทั่วไปที่นักเรียนเรียน สมัยอาตมาเป็นเด็กอ่านหนังสือมันพบคำว่าไอ้ self-control, self-control บังคับตนเองนั้นน่ะ (นาทีที่ 57:25) มาก เดี๋ยวนี้ไม่เคยเห็นแล้ว คือคนบางทีชักไม่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ ไอ้บังคับ self มันก็อย่างนะ ความหมายอย่าง(นาทีที่ 57:35)มันบังคับตน แต่ (นาทีที่ 57:37) นี้อยากจะให้มันละเอียดกว่านั้นหน่อยก็จะใช้คำว่า sense แทน
sense คือความรู้สึก บังคับ sense ได้ แล้วก็จะบังคับ self ได้ อีกทีหนึ่งแล้วมันก็จะบังคับทุกอย่างได้ บังคับการกระทำ บังคับอะไรทุกอย่างได้ เดี๋ยวนี้เขาสอนกันใน (นาทีที่ 57:59) ทางที่ว่า มนุษย์อย่าบังคับความรู้สึก มนุษย์ปล่อยไปตามสบายเถิดนะ มันบ้า ถึง (นาทีที่ 58:08) กลับหลังหันกันอย่างนี้ จะเป็นการด่าใครเข้าแล้วก็ไม่รู้นะ ที่ว่าเดี๋ยวนี้มันสอนกันอย่างนั้น
ระหว่างศิษย์กับครูบาอาจารย์ มันก็ไม่มีความเคารพนับถือ เพราะเขาไม่ต้องบังคับตัว ไม่ต้องบังคับความรู้สึก ถ้าว่าเด็กๆ มันนึกสนุกขึ้นมา มันจุดประทัดโยนใส่ครูก็ได้ไม่ผิดอะไร ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดเสียหายอะไร แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ คือว่าเด็กจะต้องอยู่ในระเบียบวินัย จะต้องบังคับความรู้สึก จะทำอะไรตามชอบใจไม่ได้
ขอให้นึกถึงคำๆ นี้ คือว่าบังคับความรู้สึกมันเป็นแกนของศาสนา คุณจะปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู หรือของพระพุทธเจ้าหรือของใครก็สุดแท้ ถ้าไม่บังคับความรู้สึกแล้วมันทำไม่ได้ มันไม่ปฏิบัติตามได้ การปฏิบัติตามนั้นมันต้องบังคับความรู้สึกไว้ได้ แล้วมันก็ปฏิบัติไปตามที่ควรจะปฏิบัติ
เดี๋ยวนี้คนเขาไม่บังคับความรู้สึก เป็นเรื่องทางเนื้อ ทางหนัง ทางกามารมณ์ ทางอะไรแล้วเขายิ่งไม่บังคับความรู้สึก ไอ้ที่มันมากไปกว่านั้นอีก คือเขาส่งเสริมความรู้สึก ให้มันแรงขึ้น ความรู้สึกเลวร้ายทางธรรมชาติฝ่ายต่ำ นอกจากจะไม่บังคับแล้วกลับไปส่งเสริมมันอีก ก็ (นาทีที่ 59:41) ดูไอ้เรื่องราวต่างๆ ที่มันกำลังมีอยู่ (นาทีที่ 59:44) ในโลกนี้ พวกประเล้าประโลมใจทั้งหลายในโลกนี้ เมื่อก่อนน่ะสิ่งประเล้าประโลมใจ entertainment ทั้งหลายเขาอยู่ในขอบเขตของศีลธรรมน่ะ จะมี entertainment นอกขอบเขตออกไปไม่ได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วขอบเขตนั้นพังทลายแล้ว แล้วเขาก็ส่งเสริมไอ้ความรู้สึกนี้เกิน เกินขอบเขตของศีลธรรมคือไม่มีศีลธรรม เพราะ ฉะนั้นเราจึงเห็นในโฆษณาหนัง โฆษณาละคร โฆษณาอะไรต่างๆ อย่างที่มีโฆษณาอยู่ซึ่งเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น เต็มไปในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็เต็มไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ส่งเสริมและให้ความสะดวกในการที่จะไม่บังคับความรู้สึก จนคนเป็นบ้าใน (นาทีที่ 01:00:37) ทางจิต ทางวิญญาณ มีวิญญาณผีสิง เป็นบ้า บ้าทางกามารมณ์ เป็นข้อแรก ทีแรก (นาทีที่ 01:00:48) ไปบ้าในทางเรื่องของกิเลส ราคะทางนี้แล้วมันไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้นมันจะเลื่อนไปเรื่องที่ ๒ คือโทสะ หรือโกรธะ คุณก็เคยได้ยินมาแล้วนี่ว่า โลภะ โทสะ โมหะนี่ ถ้าตามหลักกิเลสมันมีโลภะ และโทสะ และโมหะ
ไอ้ราคะ บ้ากามารมณ์นี่มันอยู่พวกโลภะ นี่มันบ้ามากไปในทาง เอ่อ โลภะ ราคะ แล้ว มันหลีกไม่พ้นที่จะต้องไปหาโทสะ หรือโกรธะ เมื่อมันไม่ได้อย่างใจ มันต้องการกามารมณ์อย่างนั้นอย่างนี้แล้วมันไม่ได้อย่างใจไปทุกอย่าง แล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้อย่างใจไปเสียทั้งหมด เมื่อไม่ได้อย่างใจมันก็เลื่อนมาอันที่ ๒ คือโทสะ (นาทีที่ 01:01:35) โกรธะ มันโกรธแล้วมันประทุษร้าย มันก็บันดาลโทสะ (นาทีที่ 01:01:41) ทีนี้มันก็ต้องเลื่อนไป หา (นาทีที่ 01:01:47) อันที่ ๓ คือโมหะ คือมันโง่หนักขึ้น เมื่อมันขืนทำอยู่อย่างนี้ มันก็จะต้องโง่มากขึ้น หลงใหลมากขึ้น งมงายมากขึ้น เรียกว่าประมาทนั่นแหละมากขึ้น เกลียดศาสนามากขึ้น แล้วจะไปถึงไหนกันคิดดู มันก็บันดาลโลภะ บันดาลโทสะ บันดาลโมหะไม่มีอะไรเหลือ ฉะนั้นเราจะต้องมีการบังคับความรู้สึก เมื่อมันโลภะหรือราคะขึ้นมา ต้องควบคุมไว้ได้
ถ้าโลภะในทางที่ถูกต้องมันก็ให้ทำไปได้ ถ้าในทางที่ไม่ถูกต้องแล้วก็ต้องปิดประตูโดยเด็ดขาด อย่างนี้เราเรียกว่าความรู้สึก บังคับความรู้สึก การบังคับความรู้สึกนี้ เป็นแกนของการปฏิบัติศีลธรรม
เอ้าพูดมาตั้งวรรคตั้งเวรแล้ว ไม่ได้พูดว่าศีลธรรมคืออะไรตามตัวหนังสือ แต่เชื่อว่าคงจะเคยอ่านกันมาแล้ว เพราะเคยฟังกันมาแล้วก็มี
ทีนี้คำว่าศีลธรรมคำนี้ มันมีความหมายอยู่ในคำพูดนั้นกว้างขวางมากแหละ (นาทีที่ 01:03:16) ศีละนั้นมันแปลว่า ปรกติคือว่าไม่ผิดปรกติ ทีนี้ธรรมก็แปลว่า ระบบปฏิบัติ อย่างที่พูดมาแล้วเมื่อตะกี้ คำว่า ธรรมนั้นแปลว่าอะไรก็ได้ คือหมายถึงทุกสิ่งอ่ะ แต่ในกรณีนี้ คำว่าธรรม หมายถึงระบบปฏิบัติ ฉะนั้นศีลธรรม ก็คือปฏิบัติเพื่อศีละ ศีละ คือปรกติ คือไม่ผิดปรกติ
ทีนี้ปกติ กินความถึงอะไร ถึงไหน ก็หมายความว่า ไม่สร้างความวุ่นวายขึ้นมา ศีละ แปลว่าปรกติ สงบ เงียบ ไม่สร้างความวุ่นวายขึ้นมา ไม่สร้างปัญหาขึ้นมา เรียกว่าไม่สร้างความทุกข์ขึ้นมาก็แล้วกัน ฉะนั้นศีลธรรมมันจึงจำเป็นสำหรับโลก โลกต้องอยู่ด้วยความปรกติ ไม่มีปัญหา ไม่มีความวุ่นวาย มันจึงเป็นของสำหรับโลก
โลกต้องการความอยู่อย่างปรกติสุข จึงจะเป็นโลกที่ตรงตามความหมายที่เรามุ่งหมายกัน แต่คำว่าโลกนั้นมันแปลว่า ของแตก นี่มัน มัน มันฝืนกันอยู่ คือมันค้านกันอยู่ ถ้าถ้ายังไม่ทราบก็ก็ทราบกันก็ได้ว่าไอ้คำว่าโลกนี่ ตัวหนังสือแท้แท้มันแปลว่าของที่ต้องแตก แตกแน่ แตกง่าย แตกแน่ นี้เป็นความรู้ทางภาษา คำว่าโลก แปลว่าของที่แตก แตกง่าย แตกแน่
ทีนี้โลกมันควรจะแตก หรือว่ามันควรจะไม่แตก ถ้าจะอยู่กันอย่างสงบสุข สันติภาพมันต้องไม่แตกสิ (นาทีที่ 01:05:47) ทีนี้อะไรจะมาช่วยให้ (นาทีที่ 01:05:51) มันไม่แตกมันก็คือสิ่งที่ทำให้มันปรกติ ก็คือศีลธรรมนั่นเอง ศีลธรรมคือการปฏิบัติ เพื่อให้เป็นปรกติ ให้คงอยู่เป็นปรกติ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่วุ่นวาย ไม่ระส่ำระสาย ไม่เป็นทุกข์
เพราะฉะนั้นเราจึงมีไอ้ศีลธรรมสำหรับโลกเพื่อโลกปรกติสุข นี่เดี๋ยวนี้ก็พอจะได้ความแล้วโดยใจความว่าศีลธรรม คือสิ่งที่มนุษย์ต้องปฏิบัติเพื่อโลกอยู่เป็นปรกติ ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ทีนี้จะปฏิบัติอย่างไร ก็ปฏิบัติตามหลักของพระศาสนา ไอ้หลักของพระศาสนาทุกศาสนา ก็สรุปได้ว่า ให้ยอมรับความที่...สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง หรือว่าเป็นเพื่อน ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ทีนี้เราก็บังตับความรู้สึก อย่าทำอะไรที่เป็นการล่วงละเมิดเพื่อน หรือพี่น้องเหล่านั้นมันก็มีอย่างนี้ (นาทีที่ 01:07:10) แล้ว (นาทีที่ 01:07:14) บังคับความรู้สึกได้ มันก็ไม่มีการไปกระทบกระทั่งผู้อื่น แล้วไอ้ความรู้สึกว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องน่ะ จะทำให้เกิดเมตตา กรุณา ซื่อสัตย์ กตัญญู ช่วยเหลือ กระทั่งอดกลั้น อดทน อดออม ยอมได้ ไม่บันดาลโทสะเป็นต้น (นาทีที่ 01:07:36)
ทีนี้ศีลธรรมมันมีรายละเอียดมากหลายสิบข้อ หลายร้อยข้อ เคยบรรยายไว้ครั้งหนึ่งแล้วอยู่ อยู่หนังสือเล่มไหนก็ไม่ทราบไปติดตามหาดู ได้แยกแยะให้ดูศีลธรรมสำหรับโลก แต่ว่าให้ตั้งต้นไปจากไอ้หัว หัวข้อใหญ่ที่กำลังพูดนี้ สร้างความรู้สึกว่าทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่เรียกเป็นพี่น้องกัน แล้วบังคับความรู้สึกไว้ ให้รักษา การปฏิบัติต่างๆ ไว้ได้ ตรงตามความมุ่งหมายนั้น ว่าเราเราเป็นพี่ พี่ (นาทีที่ 01:08:23)น้องกันทุกคน
แล้วให้เลยลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน แล้วให้เลยลงไปถึงต้นไม้พฤกษาชาติทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เราทำลายสัตว์เดรัจฉาน ทำลายต้นไม้ พฤกษาชาติทั้งหลาย มากเกินไป จนตัวเองเดือดร้อน จนมนุษย์เองนั่นแหละเดือดร้อน แล้วก็ไม่ยอมรับความเป็นพี่น้องกัน ในระหว่างชีวิตทั้งหมด
คุณไปค้นดู ไปไปตรวจดู ไปค้นดูให้พบว่าทุกศาสนาต้องการให้ยอมรับความเป็นพี่น้องกันในระหว่างสิ่งที่มีชีวิต ก็มีความง่ายความสะดวก ที่จะทำความสงบสุข ให้เกิดขึ้นในโลกนี้
เอ้าทีนี้ ก็นึกถึงไอ้คำพูดคำแรกที่อาตมาตั้งเป็นหัวข้อว่า ความเป็นสากลของศีลธรรมเพื่อจะให้มองกันว่า ไอ้ศีลธรรมนี่มันมีความเป็นสากลกี่มากน้อย ความรู้เรื่องศีลธรรมก็ดี การปฏิบัติศีลธรรมก็ดี ผลจากการปฏิบัติศีลธรรมก็ดี มันเป็นความ มันเป็นสิ่งที่มีความเป็นสากลกี่มากน้อย คือมันมีอยู่ในทุกสิ่ง หรือมันจำเป็นแก่ทุกสิ่งก็ได้
ด้วยเหตุที่มันเป็นไปตาม (นาทีที่ 01:10:21) กฎของ (นาทีที่ 01:10:21)ธรรมชาติ มันก็เลยเป็นสากลแก่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่มิใช่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นของสากลใน (นาทีที่ 01:10:38) ทุกสิ่ง
ศาสนาต้องการให้เรายอมรับความเป็นพี่น้องหรือเป็นเพื่อนกัน อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด จึงถือว่าสากลเอากันเพียงในโลกมนุษย์นี้ ก็อย่าต้องเป็นจีน เป็นไทย เป็นแขก เป็นฝรั่ง เป็นอะไรกันเลย ให้มันเป็นมนุษย์ทุกคน อยู่ใต้กฎเกณฑ์อันนี้จะต้องประพฤติตาม ระบบ (นาทีที่ 01:11:21) นี้ นี่ก็เรียกว่าสากล แก่ทุกคนแล้ว
ฉะนั้นอย่าไปทำให้เกิดความเข้าใจ ที่สร้างความแปลก ความแตกแยก หรือความแบ่ง แบ่ง แบ่งแยกเป็นพวกๆ เลย (นาทีที่ 01:11:40) แม้ว่าเราจะต้องมีการแบ่งแยก ก็ให้ (นาทีที่ 01:11:45) เป็นการแบ่งแยกในส่วนอื่นเถอะ อย่าในส่วนศีลธรรมเลย ในส่วนศีลธรรมนี่ ขออย่าได้มีการแบ่งแยกเลย ถ้าเราจะแบ่งแยกเป็นจีน เป็นไทย เป็นแขก เป็นฝรั่ง ด้วยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีเล็กๆ น้อยๆ เรื่องอาหารการกิน เรื่องการแต่งตัว (นาทีที่ 01:12:09) เรื่องการพูดจานั้น (นาทีที่ 01:12:10) มันก็แบ่งแยกเพียงผิวเผินเท่านั้น
ใน (นาทีที่ 01:12:15) ส่วนจิตใจมัน (นาทีที่ 01:12:16) อย่าเลยไป(นาทีที่ 01:12:17) แบ่งแยก ถึงกับว่าเป็นเขา เป็นเรา เป็นมึง เป็นกู นี่ศีลธรรมตามหลักของศาสนาทุกศาสนาเป็นสิ่งสากลแก่คนทุกคน หรือถ้าตามหลักของพุทธศาสนาแล้วต้องการจะให้ไปไกลจนถึงตัว (นาทีที่ 01:12:45) ชีวิตทุกชีวิตน่ะ สัตว์เดรัจฉานด้วย ชีวิตต่ำต้อย เช่น ต้นไม้ด้วย
เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์เจริญมากถึงขนาดที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ต้นไม้ก็มีความรู้สึก คุณไปหาหนังสือประเภทนี้อ่านดู เขาออกเป็นหนังสือรายเดือนก็มีเป็นเล่มก็มี เป็นสมาคมค้นคว้าในทางนี้ พิสูจน์ได้ชัด (นาทีที่ 01:13:13) โดยไม่มีข้อสงสัยว่า ต้นไม้มีความรู้สึก โดยเฉพาะรู้สึกกลัวตายไม่อยากตาย (นาทีที่ 01:13:24) รู้สึกชอบ รู้สึกเกลียด รู้สึกกลัว
แล้วกระทั่งมีความรู้สึกทางจิตใจด้วยไม่ใช่ทางวัตถุ เอ่อ เมื่อคนที่มันเกลียดต้นไม้ นี่มัน มันทำลายต้นไม้อย่างรุนแรง เข้ามาใกล้ต้นไม้ ต้นไม้เล็กๆ ในห้องทดลองน่ะ ต้นไม้นั้นแสดงความรู้สึกออกมาได้ทางไอ้เครื่องทดลอง เครื่องวัด ว่ามันแสนเกลียด แสนกลัวคนๆ นั้น พอคนๆ นั้นออกไปจากห้องนั้น ต้นไม้ก็กลับปรกติ (นาทีที่ 01:14:06) โดยเครื่องวัดนี่แสดงอีก (นาทีที่ 01:14:08)
นี่มันเป็นการ (นาทีที่ 01:14:10) ก้าวหน้าละเอียดโดยทาง (นาทีที่ 01:14:14)ความรู้สึกทางจิตใจว่าต้นไม้ก็มีความรู้สึก ก่อนนี้เรามีความรู้นี้บ้างเหมือนกันแต่มันหยาบๆ เช่นต้นไม้มันไม่อยากตาย มันต่อสู้ไม่อยากตาย ทุกอย่างทุกประการ ต้นไม้มัน (นาทีที่ 01:14:29) จะออกไปหาแสงแดด มันช่วยกันออกไปทางแสงแดดหรือมันจะไปทางน้ำน่ะมันมี (นาทีที่ 01:14:35) ความรู้สึก แต่เดี๋ยวนี้เขาพิสูจน์กันไปไกลกว่านั้น ว่ามันกลัวตาย แล้วมันอยากให้รัก แล้วมันอยากร้องเพลงให้ฟัง มันมีพิสูจน์กันถึงขนาดนี้
เพราะฉะนั้นเราจะ (นาทีที่ 01:14:53) ยอมรับว่า หลักของพระศาสนาอีกทีก็ได้ว่า ให้ถือว่าชีวิตทุกชีวิตมันเป็นเพื่อนรัก เป็นเพื่อนที่รัก เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ถ้าอันนี้มันเต็มอยู่ในใจแล้วไม่ ไม่ต้องกลัว ศีลธรรมจะสมบูรณ์ ฉะนั้น (นาทีที่ 01:15:15) เราจึงมองกันไปในทางที่ว่าความรู้สึกที่เป็นสากลอย่างยิ่งมันก็ (นาทีที่ 01:15:24) อยากอยู่ อยากไม่ตาย อยากเจริญก้าวหน้า เป็น (นาทีที่ 01:15:29) ความรู้สึกสากลอย่างยิ่ง ฉะนั้นศีลธรรมมันเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างนี้ เพื่อให้ได้อยู่กันอย่างนี้ ฉะนั้นก็ต้องเป็นสากลอย่างยิ่ง ก็เลยหมดการแบ่งแยกไม่ต้องเป็นศาสนานั้น ศาสนานี้ ศาสนานั้นดีกว่า ศาสนานี้เลวกว่า หรือ (นาทีที่ 01:15:53) อะไรทำนองนั้น นั่นแหละคือความไม่มีศีลธรรม เพราะมันไม่รู้จักศีลธรรม
มันจึงทำให้เห็นเป็นว่า ไอ้ศาสนานี้มันก็มีกู มีมึง มีความเป็นปฏิปักษ์กัน (นาทีที่ 01:16:10) เป็น (นาทีที่ 01:16:10) ข้าศึกกัน มุ่งหมายจะทำลายล้างกัน ข้อนี้มันเพิ่งเป็น เมื่อพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว ไอ้สาวกทั้งหลายมัน มันมาเป็นนักการเมือง มันมาเป็นทาสของนักการเมือง ใช้ศาสนาเป็นอุบายเพื่อประโยชน์ทางการเมือง แล้วก็เลยยกศาสนาตนข่มศาสนาเพื่อน นี่มันก็ไปกันทีหลังเป็นเรื่อง (นาทีที่ 01:16:35) ไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องเดิมอัน (นาทีที่ 01:16:37) แท้จริง
ศาสนาเดิมแท้จริง มันมุ่งมุ่งหวังมนุษย์รอดนะ แม้ว่ามันจะเกิด ต่างยุคต่างสมัยกันเป็นร้อยร้อยปี เป็นพันปีก็ตาม มันยังมุ่งสิ่งเดียวกัน แม้ว่าจะเกิดกันคนละมุมโลก ตะวันออก ตะวันตก อะไรก็ตาม ถ้ามันมีนะ มันก็ยังมุ่งหมายสิ่งเดียวกัน เพราะว่ามันเกิดขึ้นตามความรู้สึกของมนุษย์ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
แล้วเผอิญมันจับเงื่อนงำถูก เงื่อนงำถูกในข้อที่ว่า เมื่อเราชอบอย่างนี้เพื่อนของเราก็ต้องชอบอย่างนี้ ถ้าจับเงื่อนงำผิดก็ไม่รู้ เราชอบอย่างนี้เราจะเอาอย่างนี้ คนอื่นตามใจ เราไม่รับไม่รู้ไม่ชี้ถ้าอย่างนี้มันก็ผิดหมด (นาทีที่ 01:17:36) มันก็เลยทำไอ้ (นาทีที่ 01:17:37) สิ่งที่ล่วงเกินผู้อื่นเอาเปรียบผู้อื่นมันก็ต้องวินาศน่ะ ในที่สุดมันต้องวินาศ
ทีนี้คนเป็นอันมากก็มองเห็นข้อนี้ เขา (นาทีที่ 01:17:51) ไม่ยอมให้ทำอย่างนั้น (นาทีที่ 01:17:53) เขาจึงสร้างกฎทางศีลธรรมขึ้นมาว่าต้องอย่างนี้อย่างนี้ แม้ว่ามนุษย์จะพูด ก็พูดไปตามความจริงของธรรมชาติที่ปรากฏแก่จิตใจของเขา ธรรมชาติมันมีกฎของมัน เป็นตัวสัจธรรม เป็นความจริงตามกฎของธรรมชาติ เป็นหลักอยู่ แล้วมันก็ช่วยให้ความ ให้มนุษย์มันเกิดความคิด เป็นไปตามหลักอันนั้น ตามสัจธรรมของธรรมชาติ
จนมนุษย์รู้จักพูดออกมาด้วยตนเอง ตามกฎของธรรมชาติ ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เป็นระบบศีลธรรมขึ้นมา ความที่มันไปเป็นอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้นมัน (นาทีที่ 01:18:46) เป็นสากลอย่างยิ่ง ก็ให้ (นาทีที่ 01:18:49) รู้จักความเป็นสากลของศีลธรรมในขนาดนี้ ในลักษณะนี้ ทีนี้เราก็จะหมดปัญหาที่จะมาเถียงกันหรือมาขัดแย้งกันเกี่ยวกับมนุษย์ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ในทางศีลธรรม
เพราะฉะนั้นอาตมายินดีมากที่ได้ทราบจากพวกคุณ ว่าแม้ว่าคุณจะทำงานในโรงเรียนของคณะคริสตัง ก็ยังมีโอกาส มีความเป็นไปได้ที่จะศึกษา สั่งสอน อบรม เรื่องศีลธรรมซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นของกลางระหว่างศาสนาทุกศาสนา
เดี๋ยวนี้เรามาพูดอะไรนอกเรื่องไปสักนิดจะดีมั้ยว่า มันเป็นของธรรมชาติ ต้องเป็นของทุกคน อย่างว่าอะไรๆ ที่มันเป็นของธรรมชาติ มันก็ต้องเป็นของทุกคน อย่างพระเป็นเจ้านี้ มันต้องเป็นของทุกคน จะมีพระเป็นเจ้าแต่ของพวกคริสเตียนนั้นมันไม่ได้ มันมันมันไม่ถูกต้องแน่ มันต้องเป็นของทุกคน
เพราะฉะนั้น อะไรๆ ที่ออกมาจากพระเจ้า คือกฎของธรรมชาติ มันต้องของทุกคน มัน (นาทีที่ 01:20:42) ต้องไม่มีการผูกขาดในทางศาสนา ว่าพวกเรา พวกเขา หรือว่าเฉพาะพวกนั้น เฉพาะพวกนี้ หรือว่าถูกแต่พวกนี้ ผิดอยู่ที่พวกโน้น อันนี้ (นาทีที่ 01:21:00) มันต้องไม่มี ถ้ามีถ้ามันได้เกิดขึ้น มันก็เป็นความผิดพลาดของมนุษย์นั่นเอง มันไม่ใช่ของศาสนา
ถ้าเป็นของศาสนา หรือผู้ก่อกำเนิดศาสนา เขาไม่มีการที่จะแบ่งแยกให้มันเกิดเป็นพวกๆ ชนิดที่ไม่เป็นสากล ตาม... ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ฉะนั้นเราควรจะถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของมนุษย์ ให้ศาสนา ให้เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องของมนุษย์ไปเสียก็แล้วกัน มันจะได้ไม่เป็นพรรคเป็นพวก จะเป็นของมนุษย์ทุกคนตามธรรมชาติ จะต้องมีหลักทางศีลธรรม เพื่อความสงบสุขของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ ฉะนั้นจึงไม่มีการถือลิขสิทธิ์ ถืออำนาจ ถือผูกขาด อย่างนั้นอย่างนี้ มีเฉพาะพวกนั้นเฉพาะพวกนี้ อย่างที่เพิ่งพูดกันครั้ง (นาทีที่ 01:22:07) หลังว่าพระพุทธ (นาทีที่ 01:22:12) พระเจ้าน่ะมีแต่ของๆ พวกนั้น ของพวกโน้นไม่มีอย่างนี้ (นาทีที่ 01:22:12) นี่มันๆ ผิดมากเกินไป
ที่จริงพระเจ้านั้นมันคือ (นาทีที่ 01:22:19) กฎของธรรมชาติมีแก่ทุกคน เมื่ออยากจะพูดให้เด็ก เด็กๆ ฟังง่าย ก็ต้องพูดอย่างมีบุคคล ถ้าพูดอย่างผู้มีสติปัญญามันจึงจะพูดเป็นนามธรรมได้ ฉะนั้นเรา...เราจึงมีวิธีพูดขึ้นมา ๒ อย่าง อย่างภาษาคน กับภาษาธรรม เข้าใจว่าคุณก็เคยได้ยินมาแล้ว ไอ้ว่าไอ้คำ ๒ คำนี้ คือภาษาคน กับภาษาธรรม
ถ้าเราพูดอย่างภาษาคน มันก็ต้องพูดไปในทำนองว่า พระเยซูก็ตายแล้วเพราะตามที่ปรากฏมันเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราพูดในทำนองภาษาธรรม เราก็พูดว่าพระเยซูยังอยู่เดี๋ยวนี้ และอยู่กับเรา นี่ถ้าพูดกันอย่างคริสเตียน
ถ้าเรา (นาทีที่ 01:23:21) พูดภาษาคนพระเยซูก็ตายแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตายแล้วเผาแล้ว เหลือแต่กระดูกแล้ว แต่ถ้าพูดอย่างภาษาธรรม พระเยซูยังอยู่คืออยู่กับเราด้วย พระพุทธเจ้าก็ยังอยู่และยังอยู่กับเราด้วย ทีนี้ความหมายของภาษามันตื้นลึกกว่ากันอย่างนี้
ถ้าเป็นเรื่องทางศาสนา ก็ขอให้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องภาษาธรรม เขาไม่ได้เอาเนื้อหนังร่างกายวัตถุนี่เป็นหลักนัก เขาเพ่งเล็งไปยังไอ้สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมอัน (นาทีที่ 01:24:00) ละเอียดลึกซึ้ง จนกระทั่งว่าคนที่ไม่ได้เล่าเรียนฟังไม่ถูกหรอก ฉะนั้นถ้าเราทำให้เขาฟังถูก เขาก็จะเปลี่ยนไอ้ความรู้สึกคิดนึก มานิยมไอ้ธรรมะ นิยมศาสนาได้
ถ้าไม่สอนให้เขารู้ภาษาธรรม แล้วคุณก็ไม่มีอะไรที่จะไปสอนให้คนยอมรับพระเยซู ว่าอยู่กับเราเดี๋ยวนี้ได้ หรือไม่สามารถจะสอนให้ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าก็อยู่กับเราเดี๋ยวนี้ได้ ฉะนั้นลอง ลองไปทำให้เขาเข้าใจภาษาธรรม เขาก็จะมองเห็นว่าได้ ว่าได้ เรามี (นาทีที่ 01:24:47) พระเยซู มีพระพุทธเจ้ามีพระเจ้า (นาทีที่ 01:24:49) พระเป็นเจ้าอะไรก็ตามอยู่กับเราได้ โดยความหมายทางภาษาธรรม ไม่ได้เอาเนื้อหนังร่างกายเป็นหลัก
ฉะนั้นลัทธิที่เขาบัญญัติทีแรกๆ ถูกต้องทั้งนั้นแหละ เขาไม่ให้ทำรูปพระศาสดา หรือรูปของพระเจ้า พระเจ้าองค์จริง พระศาสดาองค์จริง แสดงไม่ได้ด้วยรูปธรรม ฉะนั้นเขาจึงไม่แสดงรูปของพระศาสดานั้นๆ ให้ทิ้งไว้ว่างๆ หรือเป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
พวกสาวกต่อมาในชั้นหลังนี่มันดื้อ มันทำรูปพระเยซู มันทำรูปพระพุทธเจ้า ทำรูปอะไรขึ้นมาเต็มไปหมด นี่มันไม่ ไม่เข้าถึงความจริง ไม่เชื่อคำสั่งสอนอันแรกที่เขาบอกว่าพระเจ้าหรือ (นาทีที่ 01:07:36) พระศาสดาพระองค์จริง แสดงไม่ได้ด้วยรูปธรรม รูปธรรมนั้นเป็นภาษาคน เป็นคน เดินไปเดินมา ตายเอาไปเผาไปฝังมันก็หมดกัน
แต่พระองค์จริงนั้นไม่รู้จักหมด จะอยู่กับเราได้เป็นเดือน ดอน อย่างนี้ ฉะนั้นต้องระมัดระวังไว้บ้าง ควรจะศึกษาในแง่ของประวัติศาสตร์กันบ้าง ว่าได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นในหมู่ผู้สืบพระศาสนานี่ เขาได้ทำอะไรให้มันเกิดขึ้น
ดูจะมีศาสนาอิสลามเท่านั้นที่รักษาไว้ได้ คือไม่ยอมทำรูปพระศาสดา รักษากฎเกณฑ์อันเดิมไว้ได้ ว่าพระศาสดาพระองค์จริงแสดงไม่ได้ด้วยรูป ด้วยรูปธรรม อย่าทำขึ้นมานี่รักษาไว้ได้ แต่ศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธนี่แย่แล้ว พ่ายแพ้ไปหมดแล้ว คือยอมไปทำรูป ทำอะไรตามความคิดชั้นหลังแล้ว
แม้ว่าความคิดเดิมๆ เขาบัญญัติไว้ว่าแสดงไม่ได้ด้วยรูป ก็ไปดูไอ้รูปภาพที่เป็นหินสลักรอบๆ ตึกนั้น ที่ตรงไหนเป็นรูปพระพุทธเจ้าตรงนั้นทิ้งว่างไว้ นั้นน่ะตามความ ความคิดเดิมก่อน พ.ศ. ๖๐๐ หลังจาก พ.ศ. ๖๐๐ แล้วก็ทำพระพุทธรูปกัน (นาทีที่ 01:27:11)ขึ้นมา และมากขึ้น มากขึ้นจน (นาทีที่ 01:27:13) เต็มไปหมด ศาสนาคริสเตียนก็มีนิยมทำรูปพระเยซูหรือแม่พระอะไร (นาทีที่ 01:27:19) ขึ้นมามากเหมือนกัน
นี่เป็นเรื่องทีหลัง ทีแรกเขามีพระเจ้าชนิดที่ไม่รู้ว่ารูปอยู่ยังไงน่ะนะ ถ้าเป็นพระเจ้าจริง (นาทีที่ 01:27:32) ไม่มีใครทำรูปร่างของพระเจ้าได้ คือต้องไม่เหมือนใครนะ นั่นน่ะคือพระธรรม คือธรรม พอทำให้เหมือนใคร เหมือนอะไรขึ้นมา มันก็คลายความศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นน่ะ แล้วมันจะมียุ่ง จะมีปัญหา จะยุ่ง
ฉะนั้นรู้จักพระเจ้าในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ ไม่มีรูปร่างที่แสดงได้ว่าเป็นรูปอะไรเหมือนชาวบ้าน (นาทีที่ 01:28:03) จะดี แม้พระพุทธเจ้านี่ ถ้ามีรูปร่างอย่างพระพุทธรูปนี้มันก็เป็นส่วนเปลือกเป็นส่วนบุคคล ส่วนความหมายแท้จริงของท่านที่เป็นองค์ท่านจริงแล้วมันเป็นรูปอะไรก็ไม่บอกได้ เพราะมันไม่ใช่วัตถุ มันเป็นนามธรรม
ฉะนั้นภาษาธรรมมุ่งหมายเอาความหมายเป็นหลัก ไม่เอารูปธรรมเป็นหลัก ช่วยกันใช้ให้ถูกต้อง รู้จักความแตกต่างระหว่างภาษาคนกับภาษาธรรม แล้วก็สอนศีลธรรม (นาทีที่ 01:28:50) ให้ลึกถึงภาษาธรรม คือพระธรรมอันแท้จริง พระธรรมอันศักดิ์สิทธิ์เป็นกฎของธรรมชาติ ตั้งอยู่ในฐานะเป็นพระเจ้า ใครไม่ยอมรับแล้วคนนั้นจะวินาศ พูดกันอย่างนี้ดีกว่า
ใครไม่ยอมรับพระธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติที่ทำความถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์คนนั้นจะต้องวินาศ ศาสนามันอยู่ที่ตรงนี้เอง มันมีอยู่ตรงที่มีธรรมะ กล่าวคือหลักปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา คือต่อไปนี้เขาก็ไม่มีความทุกข์เลย เขาไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป
แล้วก็เขาจะไม่โง่ ไม่ใช่ (นาทีที่ 01:29:51) หัวเราะนั่น ดีใจนี่ มันก็เป็นคนโง่ นั่งร้องไห้อยู่ก็เป็นคนโง่ นี่ผิดหวัง ก็หัวเราะอยู่เมื่อได้สมหวังมัน (นาทีที่ 01:30:01) ก็เป็นคนโง่ ไม่ต้องหัวเราะ มันไม่ต้องร้องไห้ มันปรกติ ฉะนั้นตรงกับคำว่า ศีละ คือศีลธรรม มันรู้ธรรมะมากจนถึงกับทำความเป็นปรกติได้ เรียกว่าเขามีศีลธรรมและเขา (นาทีที่ 01:30:19) อยู่กับศีลธรรม ฉะนั้นอย่าชอบร้องไห้ อย่าชอบหัวเราะเลย ชอบอยู่เป็นปรกติดีกว่า จะได้มีศีลธรรมจริง และมากขึ้น ถูกต้องตามความเป็นมนุษย์
นี่ก็เป็นคำที่สำคัญ อยู่ที่คำว่ามนุษย์ ถ้าคุณเป็นครูสอนนักเรียน ตามที่สอนๆ กันมา ตามปทานุกรม มนุษย์ก็แปลว่า คน นี่เราบอกเขาว่ามนุษย์ไม่ได้แปลว่าคนโว้ย มนุษย์นั้นแปลว่า สัตว์พิเศษชนิดหนึ่งซึ่งมันมีจิตใจสูง สูงพอที่จะอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ได้
พูดตามทางศาสนามันก็มีจิตใจ (นาทีที่ 01:31:23) สูง พอที่จะเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงพระเจ้าได้ นั้นน่ะจึงจะเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นเพียงคน คน คน คน ก็รู้สึกอย่างคน มันก็เรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องนอน เรื่องเนื้อ เรื่องหนัง เรื่องอะไรไปหมด เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานเหมือนกัน อย่างนี้เป็นเพียงคน ทีนี้ถ้าคนนั้นมันเกิดจิตใจมันสูง มันพุ่งไปในทางสูง มันอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ เหนือกิเลส คือมันจะไปอยู่กับ (นาทีที่ 01:31:58) พระเจ้าได้นั้นน่ะ มันจึงจะเป็นมนุษย์
ฉะนั้นเราเรียกมนุษย์ว่าสัตว์ที่มีจิตใจสูง หรือเป็นพืชพันธ์ของสัตว์ที่มีจิตใจสูงก็ได้ ฉะนั้นศีลธรรมมันจึงจำเป็นสำหรับมนุษย์ เพราะว่าศีลธรรมทำให้จิตใจสูง พอมีศีลธรรมจิตใจมันก็สูง ฉะนั้นศีลธรรมก็ช่วยทำความเป็นมนุษย์ ธรรมะจึงคือความถูกต้องสำหรับมนุษย์ พูดกันเพียงเท่านี้ก็ได้
ให้เล็งถึงตัวการปฏิบัติที่ได้ปฏิบัติลงไปจริงๆ คือการบังคับความรู้สึกให้อยู่แต่ในความถูกต้อง ตามกฎเกณฑ์ของศีลธรรม ทุกรูปทุกแบบ แก่และเหมาะสมแก่วิวัฒนาการ พูดตามชาวพุทธก็ว่าจนกระทั่งนิพพาน ยอดสุดของวิวัฒนาการ คือเป็นนิพพาน แล้วพูดอย่างศาสนาคริสเตียนเป็นต้น ก็ว่าเมื่อไปอยู่กับพระเจ้า จึงจะเป็นยอดสุดของวิวัฒนาการ ไอ้นั้นพูดตาม (นาทีที่ 01:33:27) ความหมายในทางภาษาคน
นี่ข้อ วันแรกนี้ก็ (นาทีที่ 01:07:36) ต้องการพูดเพียงเท่านี้ ให้เห็นความเป็นสากล ของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ฉะนั้นอย่ามามีปัญหาว่าเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นฮินดู เป็นซิกส์ เป็นอะไรอีกเลย มันมีอยู่สิ่งหนึ่งสำหรับความเป็นมนุษย์ ร่วมกันหมด คือธรรม คือศีลธรรม
และถ้าพูดว่ามนุษย์ ก็ขอให้มีความหมายกว้างไปถึงไอ้สิ่งที่มีความรู้สึกคิดนึก มีจิตใจมีความรู้สึกคิดนึกด้วย อย่าเอาแต่มนุษย์ในความหมายแคบๆ ฉะนั้นจึง (นาทีที่ 01:34:27) เข้าใจว่าต่อไปนี้คงจะง่ายสำหรับท่านทั้งหลายที่จะเป็นครู ที่จะศึกษาศีลธรรมก็ดี ที่จะปฏิบัติศีลธรรมก็ดี ที่จะสั่งสอนศีลธรรมก็ดี คงจะมีความแจ่มกระจ่างพอที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์ได้จริง
และนี่คือของจริง คือตัวจริง จะเป็นศาสนา ก็เป็นศาสนาจริง จะเป็นศาสนาไหน มันก็เป็นศาสนาจริงขึ้นมา เพราะทำให้สำเร็จประโยชน์ในส่วนนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันยังไม่ใช่ (นาทีที่ 01:35:09) ศาสนาจริงมันยังเป็นไอ้ความงมงายอะไร (นาทีที่ 01:35:12) อยู่ เราต้องทำให้สำเร็จประโยชน์โดยแท้จริง ก็จะเป็นศาสนาจริง
แล้วก็จะมีอะไรร่วมกันมีพระเจ้าร่วมกัน จะเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม อะไรก็มีพระเจ้าร่วมกัน เพียงแต่เรียกชื่อต่างกัน ยอมรับไอ้สิ่งที่เป็นธรรมชาติเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เป็นผลตามหน้าที่ของธรรมชาติซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไหนๆ ในโลกนี้ก็ค้านไอ้กฎเกณฑ์อัน ๔ อันนี้ไม่ได้
ให้นักวิทยาศาสตร์ในโลกทั้งหมดมารวมหัวกันเพื่อค้านกฎเกณฑ์ทั้ง ๔ นี้ มันก็ไม่มีทางจะค้าน เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติมากเกินไป
แหละแม้พวกคอมมิวนิสต์ก็ค้านกฎเกณฑ์อันนี้ไม่ได้ ฉะนั้นพวกคอมมิวนิสต์เขาก็จะเลิกพูดว่าศาสนาเป็นยาเสพติดกันเสียที เพราะเขาไม่เข้าถึงตัวศาสนา ก็มัวแต่กล่าวหากันอย่างไม่ยุติธรรมว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ที่จริงศาสนาเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติดของมนุษย์ มนุษย์เสพติดในเรื่องของกิเลส ในเรื่องของเนื้อหนัง เสพติดยิ่งกว่าสิ่งใด
ทีนี้ธรรมะหรือศาสนาทุกศาสนาย่อมกำจัดไอ้สิ่งเสพติดอันนี้ ฉะนั้นมันไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวหาว่าศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะโดยทีแท้มันเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติด ซึ่งเป็นต้นเหตุของความทุกข์
นี่เราท้าทายอย่างนี้แม้แต่พวกที่กล่าวหาว่าศาสนาเป็นยาเสพติด แล้วก็ (นาทีที่ 01:37:03) ท้าทายนักวิทยาศาสตร์รวมกันทั้งโลก ว่าช่วยมาพิสูจน์ไอ้กฎเกณฑ์อันนี้ที ว่ามันจริงหรือไม่จริง คือระบบศีลธรรมมันมีอยู่อย่างนี้ มันจำเป็นสำหรับมนุษย์ไหม บาง (นาทีที่ 01:37:17) พวกนักวิทยาศาสตร์ทำโลกให้เจริญขึ้นเท่าไร แล้วมันเป็นบาป มันเป็นบาปเลวร้าย ถ้าว่าศีลธรรมมันไม่เกิดขึ้นอย่าง อย่างทันๆ กัน
นักวิทยาศาสตร์ประดิดประดอยความก้าวหน้าทางวัตถุมากขึ้นเท่าไรก็เหมือน กับทำเสนียดจัญไรหรือบาป ให้แก่มนุษย์มากขึ้นเท่านั้น เว้นเสียแต่เขาจะไปทำให้ศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในอัตราที่เพียงพอกัน แล้วก็คุ้มโลกนี้ไว้ไม่ให้จมไปในเรื่องของกิเลส ที่เป็นความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ
ทีนี้หมอก็ยืนยันกันทั้งโลกแล้วว่า นับตั้งแต่ความเจริญทางวัตถุมันรุนแรงขึ้นนี้ มนุษย์ในโลกนี้ก็เป็นโรคประสาท โรคจิตมากขึ้น ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุที่ไม่มีศีลธรรมเข้ามากำกับ ทีนี้ถ้าว่าศีลธรรมเข้ามากำกับ ไอ้ความเจริญทางวัตถุนี้ จะไม่ทำให้คนเป็นโรคประสาท หรือโรคจิตมากขึ้น
ความเจริญทางวัตถุทำให้คนโลภมากวิตกกังวลมาก จนครุ่นเครียดไปทั้งวันทั้งคืน จนเป็นโรคประสาท โรคจิต เป็นบ้า ฆ่าตัวตาย
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจะต้องรู้จักรับผิดชอบข้อนี้บ้าง ที่ว่าทำให้มนุษย์เจริญทางวัตถุนั้น มันทำบาปชนิดหนึ่ง เว้นเสียอย่างเดียวแต่ว่า พระศาสนาจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แล้วคนก็มีก็อยู่กันอย่างมีศีลธรรม มันทั้งรวยด้วย ทั้งสะดวกสบายด้วย ทั้งมี ศีลธรรม มี (นาทีที่ 01:39:00) ความสงบสุขด้วย นี่มันดีอย่างนี้
คือเรียกกันว่าศาสนาพระศรีอาริย์ก็ได้ คือดีทั้งทางวัตถุและทั้งทางศีลธรรม เดี๋ยวนี้มันยังไม่เป็นอย่างนั้น มันดีแต่ทางวัตถุแล้วคนก็เลวลงในส่วนตัวเป็นโรคประสาท โรคจิต ในส่วนสังคมมีอาชญากรรมเลวร้าย อาชญากรรมทางเพศที่เลวร้ายที่สุดมันได้เพิ่ง (นาทีที่ 01:39:23) เกิดขึ้นในยุคนี้ ในยุคที่เจริญแต่วัตถุนี้เอง (นาทีที่ 01:39:27) เราบอกเขาว่ามันจำเป็นแล้วที่อาจจะต้องสนใจศึกษาศีลธรรม ปฏิบัติศีลธรรม เพื่อมนุษย์นั้นเอง
เอ่อ หวังว่าคุณคงจะมองเห็นความเป็นสากล จำเป็นแก่สากลของสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมตามสมควร
นี่ขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้เพียงเท่านี้