แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ที่จะรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยการเป็นครูทั้งหลาย การบรรยายในวันแรกนี้ ยังไม่ควรจะบรรยายหลักธรรมะข้อใดข้อหนึ่งโดยเฉพาะ จนมาได้บรรยายความรู้ทั่วๆ ไป ที่มันเกี่ยวเนื่องกันกับความเป็นครู การบรรยายชุดนี้ก็จะให้ชื่อว่าหลักธรรมะเพื่อความเป็นครู หลักธรรมะเพื่อความเป็นครูนั้นมีมาก แล้วก็จะได้ค่อยๆ กล่าวไปตามลำดับ สำหรับในวันนี้ ก็จะให้หัวข้อย่อยว่าครุธรรมปริทรรศน์ คำว่าปริทรรศน์เดี๋ยวนี้กลายเป็นคำเก่า รู้จักกันดีแล้วว่าหมายถึงอะไร ที่หมายถึงการมองดูทั่วๆ ไป คร่าวๆ โดยรอบๆ ทีนี้ครุธรรมก็แปลว่า ธรรมสำหรับครู หรือธรรมที่จะทำความเป็นครู ถ้ามีธรรมนั้นแล้วก็จะเป็นครู เขาเรียกว่าครุธรรม ถ้าจะเรียกว่าครูธรรมก็มีคำใช้เหมือนกัน ที่นี้ ครูธรรมปริทรรศน์ แปลว่า ปริทรรศน์เกี่ยวกับธรรมะของครู อาตมามีความเห็นด้วยกับทางการวิทยาลัยครู ที่มีวัตถุประสงค์แห่งการบรรยายอบรมนี้อยู่ 3 ประการ คือ เพื่อให้เกิดความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง และก็เพื่อเอาธรรมะนั้นมาใช้ได้จริง และก็เพื่อเอาธรรมะมาใช้เป็นครูที่ดีได้ นี่เป็นความมุ่งหมาย ๓ ประการและต่อเนื่องกัน ทีนี้เรียกว่ามีความมุ่งหมายกว้างขวาง ที่ว่ากว้างขวางก็หมายความว่า มุ่งหมายในฐานะที่ว่าเป็นมุนษย์คนหนึ่งด้วย และก็เป็นครูอีกคนหนึ่งด้วย ไอ้ความเป็นครูมันต้องตั้งอยู่บนความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มันก็ตั้งอยู่บนความที่มีธรรมะถูกต้องตามความเป็นมนุษย์ และต้องเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องก่อน แล้วมันก็จะมีอาชีพหรือหน้าที่การงานที่เป็นครู ความเป็นครูตั้งอยู่บนความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ตั้งอยู่บนความมีธรรมะที่ถูกต้อง นี่ก็ด้วยเป็นความหมายที่กว้าง ฉะนั้นขอให้พยายามมองเห็นทิวทัศน์หรือปริทรรศน์อันนี้ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนว่าเราขึ้นบนที่สูง มองลงมาข้างล่าง แล้วก็เห็นทั่วถึงดี ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งจะต้องทำอย่างไร และก็ในฐานะที่เป็นครูคนหนึ่งจะต้องทำอย่างไร และมันจะอาศัยกันอย่างไร นี่เราจึง พยายามเข้าใจไอ้ หลักเกณฑ์ทั่วๆ ไปอย่างนี้กันก่อน ในฐานะที่จะเป็นมนุษย์ที่ดีที่ถูกต้องคนหนึ่ง นี่คือความมุ่งหมายสองข้อแรก ก็จะรู้และเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้องนี่สำหรับมนุษย์ทั่วไปก่อน ให้รู้จักนำธรรมะมาใช้ประโยชน์ได้จริงอย่างเป็นมนุษย์ทั่วไปก่อน แล้วก็จึงจะมาถึงความเป็นครูที่ดี ให้รู้จักใช้ธรรมะนั้นก็ได้ ข้อแรกคือว่าเพื่อความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง นี่เราถือกันว่าเดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่แม้เป็นพุทธบริษัทชาวไทยนี่ก็ยังไม่มีที่พึ่งอย่างพุทธบริษัท ยังไม่ได้ถือที่พึ่งอย่างพุทธบริษัท คือพึ่งธรรมะ แล้วไปพึ่งวัตถุ พึ่งอำนาจ พึ่งอะไรก็ไม่รู้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าถือที่พึ่งอย่างพุทธบริษัท ที่พึ่งธรรมะ แม้จะใช้คำว่าธรรมะ นี่ก็เป็นไอ้ธรรมะอะไรก็ ก็ตามแต่จะเรียก แต่นั่นไม่ใช่ธรรมะที่นี่ก็แล้วกัน พิธีรีตรองนี้ก็ไม่ใช่ธรรมะ ทีนี้จะหวังพึ่งเครื่องราง ไอ้ศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ ของขลังอะไรต่างๆ มันก็ไม่ใช่ธรรมะ พุทธบริษัทไปถือที่พึ่งอย่างนั้นก็ไม่มีความเป็นพุทธบริษัท นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพุทธบริษัทยังไม่ได้เป็นพุทธบริษัท ยังไม่ได้ถือที่พึ่ง บางพุทธบริษัทก็ยังไม่มีการศึกษาอย่างพุทธบริษัท พุทธบริษัทต้องมีการศึกษาธรรมะที่ทำความเป็นพุทธบริษัท แล้วก็ทำความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมกันไปในตัว นี่ท่านทั้งหลายกำลังอยู่ในวัยซึ่งยังเรียกว่าเริ่มจะรู้จักโลก แต่ยังไม่รู้จักพอ และบางทีอาจจะยังไม่รู้จักความเป็นพุทธบริษัทของพวกเราชาวไทยก็ได้ นี่จึงตั้งใจจะพูดกันในข้อนี้ก่อน ว่าพุทธบริษัทมีการศึกษาอย่างพุทธบริษัท มีการกระทำอย่างพุทธบริษัท มีที่พึ่ง และการถือ ถือที่พึ่งอย่างพุทธบริษัท นี่เป็นข้อแรก ก็ไปดูเอาเองก็แล้วกัน ถ้ายังคิดจะพึ่งเครื่องราง ผีสาง เทวดา ไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า นั่นล่ะมันเป็นเครื่องพิสูจน์ ทีนี้ขอให้ตั้งใจ ศึกษาให้เข้าใจอย่างพุทธบริษัท มีความเป็นอยู่อย่างพุทธบริษัท มีการถือที่พึ่งอย่างพุทธบริษัท นี้เป็นข้อแรกกว้างๆ ทีนี้ข้อสองมันจะแคบเข้ามา เพียงว่าเพื่อจะนำธรรมะนั้นมาใช้ได้จริง เมื่อเรารู้ธรรมะในพุทธศาสนา โดยทั่วถึงแล้วก็ยังจะต้องทำเป็นพิเศษ ในส่วนที่ต้องเอามาใช้จริงๆ นี่ นำธรรมะมาใช้ได้จริง ในการแก้ปัญหาของมนุษย์เรา คนทั่วไปจะมีปัญหาที่เรียกกันว่าเกี่ยวกับชีวิตหรือปัญหาชีวิตนี่ มันอยู่ มันมีอยู่ ๒ ประเภท ที่ปัญหาหลักใหญ่ๆ ตลอดชีวิต นี้ก็ปัญหาหนึ่ง และก็ปัญหาย่อยๆ คือปัญหาในชีวิตประจำวัน นี้ก็อีกประเภทหนึ่ง ขอให้มองดูว่ามันเป็นปัญหาใหญ่กับปัญหาย่อย ปัญหาใหญ่มันอาจจะมีปัญหาเดียวจนตลอดชีวิต แต่ปัญหาปลีกย่อยประจำวันน่ะมันมีมาก และมันเกิดขึ้นมาแปลกๆ ไม่ทันจะรู้ แล้วก็เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดทั้งนั้น ปัญหาชีวิต ทั้งปัญหาใหญ่และปัญหาย่อย ที่เรียกว่าปัญหาหลักและปัญหาประจำวัน ก็จะต้องมีความรู้ทางธรรมะจึงจะมาใช้แก้ปัญหาเหล่านี้ได้จริง ถูกต้องและเพียงพอ ทั้งที่อยู่ในรูปของวัฒนธรรม เป็นต้น และอยู่ในรูปของศาสนา ขอให้ฟังให้ดีให้เข้าใจไอ้สิ่ง ๒ สิ่งนี้ ที่อยู่ในรูปของศาสนาโดยตรง หลักธรรมะเป็นตัวศาสนาโดยตรง นี้ก็มีอยู่พวกหนึ่ง แล้วไอ้หลักธรรมะหรือตัวธรรมะที่มันไปอยู่ในรูปของวัฒนธรรมของประเพณี ที่ประจำอยู่ในบ้านเรือนในความเป็นอยู่ของคนนี่ ก็มีส่วนหนึ่ง ซึ่งเราไม่เรียกว่าศาสนาโดยตรง เราคงเคยได้ยินคำว่าวัฒนธรรมบ้าง ประเพณีบ้าง อะไรบ้าง นั้นมันมีอยู่แผนกหนึ่ง แต่มันก็ถ่ายทอดไปจากสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ศาสนามันเป็นเรื่อง มีความลึกซึ้ง มีความกว้างขวาง มีอะไรมาก ไอ้ส่วนที่มันเป็นความลึกนั่น คนทุกคนรู้ไม่ได้ ยิ่งเป็นเด็กยิ่งรู้ไม่ได้ ฉะนั้นเขาก็เอาไปทำไว้ในรูปประเพณีวัฒนธรรม ที่เขาเกิดมาก็ให้ปฏิบัติไปก่อนก็แล้วกัน อย่าเพิ่งรู้ มันลึกเกินกว่าที่เด็กๆ จะรู้ จึงได้วางรูปไว้เป็นวัฒนธรรม เป็นประเพณี เป็นต้นแล้วก็ ขอให้ถือ ให้เคร่งครัด แล้วก็จะปลอดภัย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันจะแหวกแนว มันจะแหกคอก แล้วมันก็จะมีความเสื่อมเสีย ทีนี้การที่จะนำธรรมมะมาใช้ได้จริงนี่มันก็คือว่าแก้ปัญหาได้ทั้งในส่วนปัญหาใหญ่และปัญหาย่อย ทั้งที่มันอยู่ในรูปของศาสนา และอยู่ในรูปของวัฒนธรรมหรือประเพณีเป็นต้น ไอ้ส่วนที่มันอยู่ในรูปของประเพณีหรือของวัฒนธรรมนี่ มันสะดวก มันง่ายที่จะปฏิบัติ นี่คือศาสนาที่มันอยู่ในชีวิตประจำวัน ทีนี้ถ้าว่าเด็กๆ เขาหนักแน่นมั่นคงอยู่ในวัฒนธรรมหรือในประเพณีแล้ว เรื่องเดือดร้อนจะไม่มี ทีนี้เรื่องเดือดร้อนนี่มันมีเพราะว่าไม่ถือขนบธรรมเนียมประเพณี แล้วก็ลบหลู่ดูถูกวัฒนธรรมหรือประเพณีเหล่านี้ เขาไม่มีประเพณีเด็กหญิงไปเที่ยวกลางคืน ถ้าลองถือประเพณีนี้เคร่งครัด มันก็ไม่มีเรื่องลามกบัดสีอนาจารอะไรเกิดขึ้น อย่างที่สงขลาก็ดี อย่าหาว่าตำหนิติเตียนกัน เพียงแต่ยกตัวอย่าง ว่าไอ้วัฒนธรรมและประเพณีมันคุ้มครองเหลือประมาณ และมันก็มีเนื้อแท้ไปจากศาสนา พระพุทธเจ้าท่านว่าอบายมุขนั้น คือ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานอย่างนี้ สอนไว้ในรูปของธรรม ของหลักธรรมะ แล้วปู่ย่าตายายของเราก็รับเอาไปทำเป็นวัฒนธรรม ลูกหลานอย่าทำอย่างนั้น ในฐานะเป็นวัฒนธรรมเป็นประเพณี มันก็ปลอดภัย ถ้าถือให้มันเคร่งครัดกระทั่งเป็นศีลหรือเป็นอะไรไปเลยมันก็จะยิ่งดี นี้เรียกว่าเรานำธรรมะไปใช้ได้จริง กระทั่งมันไปอยู่ในวัฒนธรรมหรือประเพณีประจำวันประจำบ้าน ประจำไปทุกหนทุกแห่ง นี่ก็เป็นเรื่องคุ้มครองเหลือประมาณ แล้วก็ปลอดภัยจริงๆ ด้วย ก็ขอให้คิดดูเถอะว่า มันเป็น เป็นหลักสากล ไม่เฉพาะผู้ที่จะเป็นครู จะเป็นคนที่ทำหน้าที่การงานอะไร อาชีพอะไรก็ ต้องถือหลักสองข้อนี้แหละ ถ้าเป็นพุทธบริษัทนี้จะรู้ว่าธรรมะอย่างพุทธบริษัทและก็เอาไปใช้ให้แก้ปัญหาได้จริง ในความเป็นมนุษย์ของตัว มีความเป็นมนุษย์ที่ดี ทีนี้เราก็จะได้อาศัยพื้นฐานที่ดีนี้เป็นที่ตั้งของการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเรื่อง เฉพาะการงานไป เช่น กำลังจะเป็นครูที่ดีอย่างนี้ ถ้ามีพื้นฐานของการเป็นคนที่ดีละก็ มันก็เป็นครูที่ดีได้ง่าย ทีนี้เพื่อความเป็นครูที่ดี เป็นครูของใคร ไปลองนึกกันบ้าง ไม่ใช่นึกแคบๆ ว่าเป็นครูของลูกศิษย์ อย่างนี้มันก็แคบไปแล้ว ต้องเป็นครูที่ดีของประเทศชาตินี้กว้างกว่า ดีกว่า ที่ดีกว่านั้นก็เป็นครูของมนุษยชาติ ทีนี้บางคนจะท้อถอย อันนั้นมันใหญ่เกินไป ไม่กล้าคิดถึงอย่างนั้น ยังเป็นเด็กๆ ก็อย่าคิดอย่างเป็นตัวเราสิ ไอ้ความเป็นครูนี่ อย่าคิดเอาเป็นเรื่องของเราคนเดียว เด็กๆ เล็กๆ นี่ ไอ้ความเป็นครูนั้นเขาต้องถือว่าเป็นสถาบันอันหนึ่งในโลก มันมีบุคคลที่มีความเป็นครู และก็มุ่งหมายเหมือนกันทั้งโลก มันเป็นสถาบันอันใหญ่ของโลก คือความเป็นครู ต้องทำหน้าที่ของครูให้ถูกต้อง แล้วเราก็อยู่ในสถาบันของความเป็นครู อย่างนี้เรียกว่าของโลกของมนุษยชาติที่ใหญ่กว่าโลก ถ้ามันมีหลายๆ โลก ความหมายเหมือนกัน ถ้าเป็นครูของเด็กๆ มันก็ง่าย มันก็ง่ายหน่อย ถ้าเป็นครูของประเทศชาติมันก็กว้างขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้ดูจะคิดกันแต่ว่าจะเป็นครูของชาติ ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเป็นครูที่ดีของชาติได้ ก็เรียกว่าเป็นครูที่ดีของโลกได้ ก็นับเนื่องอยู่ในสถา สถาบันอันใหญ่หลวงของโลก ข้อนี้ไม่ใช่อาจเอื้อม ไม่ใช่อวดดี แล้วจะต้องมองกันในแง่ที่ว่าไอ้โลกนี้มันมีอยู่เป็นแผนกๆๆๆ สถาบันที่จะเป็นครูนี่ตั้งต้นด้วยสถาบันอันนี้ แล้วสถาบันที่มันจะรักษาความเป็นธรรมของโลก เป็นผู้ที่มีหน้าที่รักษาความถูกต้องความเป็นธรรมของโลก เช่น ทหารที่ดี ตุลาการที่ดีอันนี้ มันก็เป็นของโลก กระทั่งว่าเป็นสถาบันที่จะเป็นผู้นำในทางวิญญาณ หรือเรื่องทางศาสนา สมณและพราหมณ์ อันนี้เขามีหน้าที่ที่จะนำวิญญาณของชาวโลกไปให้ถูกต้อง โลกมันต้องประกอบอยู่ด้วยสถาบันอย่างนี้ครบถ้วนมันจึงจะเป็นโลกอยู่ได้ ถึงจะเป็นโลกที่น่าดู ถ้าผิดจากนี้มันก็เป็นโลกที่คงจะไม่น่าดู ที่เรียกกันว่าป่าเถื่อน เดี๋ยวนี้เราก็ทำตัวนับเนื่องอยู่ในสถาบันของครู ของโลก จะต้องรู้ไว้ว่ามันเป็นอย่างนั้น ถ้าทำยังไม่ได้ก็เป็นครูที่ดีของลูกศิษย์ในห้องเรียนไปก่อน เป็นครูที่ดีของชาติ สามารถสนองนโยบายการศึกษาของชาติให้มันลุล่วงไป ถ้าไทยเราหวังจะให้ครูทำอะไรในการสร้างชาติไทยแล้วก็ทำให้เป็นตามความหมาย นี่ก็จะเรียกว่าเป็นครูที่ดีของชาติ คิดอย่างนี้มันปลอดภัย ซึ่งเราจะไปพิจารณากันให้ละเอียดต่อไปข้างหน้า เพราะคิดผิดจะไม่ปลอดภัย ถ้าผิดมากไปจะเสียหาย ทีนี้ไอ้ความมุ่งหมายและอุดมคติที่ถูกต้องนี้มันสำคัญอย่างนี้ ในวันนี้เราก็จะพูดกันคร่าวๆ อย่างนี้ ก็จะเลือกดู ความมุ่งหมายนี้เป็นอันว่าไม่ต้องวินิจฉัยกันแล้ว เป็นความมุ่งหมายที่ดีแน่ ถูกต้องแน่ ยึดถือเป็นหลักได้ในฐานะเป็นอุดมคติเป็นอะไร เราจะพยายามรู้และเข้าใจธรรมะอย่างถูกต้องแล้วเราจะมาใช้แก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้ แล้วก็จะเป็นครูที่ดี ของ ของชาติไทย เพราะว่าเรากำลังมองกันในแง่นี้ เมื่อเป็นครูที่ดีที่แท้ จะพิจารณากันดูโดยละเอียดต่อไปอีก ผู้ที่จะเป็นครูที่แท้ก็ต้องประกอบพร้อมไปด้วยครุธรรมอย่างที่ว่า คำว่าครุธรรมนี่ ถ้ามันจะแปลกไปบ้างก็ ก็จำไว้ก่อน ทีนี้ถ้าคำนี้มันไปพ้องกับไอ้คำอื่น ที่มีความหมายอย่างอื่นก็อย่าไปสนใจมัน แต่ว่าครุธรรม แล้วก็ธรรมสำหรับเป็นครูนี้ ผู้ที่จะเป็นครูแท้ก็ต้องประกอบด้วยครุธรรม คือ ธรรมสำหรับความเป็นครู นี่มันก็เหมือนกับพูดอย่างกำปั้นทุบดิน ถ้ามันไม่มีครุธรรม คือไม่คิดไม่นึกอย่างครู ไม่ทำอย่างครู ไม่พูดอย่างครู มันก็ไม่เป็นครู ทีนี้เราจะต้องมี อะไรอะไรอย่างครู แม้แต่แต่งเนื้อแต่งตัว ก็แต่งอย่างครูสิ อย่าไปแต่งจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋มันก็จะตายเหมือนครูที่บ้าๆ บอๆ นี่มันไม่มีครุธรรม มันไปแต่งตัวอย่างไม่ใช่ครู ไปแต่งตัวอย่างยั่วกิเลสของคนอื่น ทีนี้กิริยามารยาทก็ต้องอย่างครู จะพูดจาก็ต้องอย่างครู จะ จะทำอะไรลงไปเราก็ทำอย่างครู แม้แต่จะคิดจะฝัน จะหวังก็หวังอย่างครู อย่างนี้เขาเรียกว่าธรรมที่ทำความเป็นครู จะทำอย่างนี้ได้อย่างน้อยก็ต้องรู้จักสิ่งบางสิ่งต่อไปอีก ซึ่งในที่นี้จะพูดกันสัก ๓ ประการเท่านั้นล่ะ มันจะมากนัก ก็ไม่ ไม่ ไม่จำเป็น ๓ ประการคือจำไว้ว่า จะต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้คือ เจตนารมณ์ของการศึกษา เจตนารมณ์ของความเป็นครู และก็เจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ เจตนารมณ์ก็คือความมุ่งหมาย แต่มันจะมากกว่านั้นก็คือ มันเป็นหัวใจทั้งหมด เราเรียกว่าเจตนารมณ์ เรียกกันว่าสปิริตเป็นภาษาต่างประเทศ มันก็ลำบาก ถ้าเรียกว่าเจตนารมณ์อย่างที่เขาใช้กันว่าเป็นคำแปลของคำว่าสปิริต สปิริตของความเป็นครู เจตนารมณ์ของการศึกษา เจตนารมณ์ของการเป็นครู เจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ ฟังดูแล้วน่าหัว บางทีเราอาจเป็นเจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ ก็ลองพิจารณาดูกันไปตามลำดับ อันแรกคือว่าเจตนารมณ์ของการศึกษา เขาก็สอนกันมากแล้วในวิชาครู หรือจะไม่สอนก็ไม่ทราบนะหรืออาจจะสอนเป็นอย่างอื่นก็ได้ นี่ก็จะพูดไปตามหลักหรืออุดมคติของพุทธศาสนาว่า เจตนารมณ์ของการศึกษานั้นจะเป็นอย่างไร ที่กระทรวงเขากำหนดไว้หรือว่าหลักการกำหนดไว้อาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่เมื่อมาที่นี่ ต้องการให้อาตมาพูดที่นี่ มันก็ต้องพูดในฐานะเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ตามหลักเกณฑ์ตามอุดมคติของพุทธศาสนา แล้วก็ระบายออกมาให้ทราบว่า เจตนารมณ์ของความเป็นครู อ่าเจตนารมณ์ของการศึกษา ถ้าถือตามหลักของพุทธศาสนา จะได้แก่อะไร หรือเป็นอย่างไรบ้าง เจตนารมณ์ของการศึกษานี่ มันก็จะต้องมีเป็นชั้นๆ เหมือนกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง การศึกษามีความมุ่งหมายให้เจตนาอย่างไรนี่ก็ ไปเปิดดูพจนานุกรม ไอ้พวก Cyclopedia นั้นน่ะมันมาก มันเวียนหัวเหมือนกันน่ะ มันเถียงกันไม่รู้จักจบ ถ้าให้บัญญัติ คำบัญญัติอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้น ผิดแปลกกันนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไม่ค่อยชอบ เราจึงประมวลออกมาทั้งหมดแล้วมาพิจารณาดู ให้มันเหลือน้อยหน่อย เจตนารมณ์ของการศึกษา อย่างชั้นเลว ก็เพื่อให้รอดตาย ให้มีข้าวกิน เพื่อให้รอดตาย แต่ถ้าว่าใช้คำรวมๆ ว่าความรอดของชีวิต ไอ้ Survival น่ะ ไอ้ความรอดอยู่ได้ของชีวิตนั้นน่ะ คือเจตนารมณ์ของการศึกษา ไอ้คนนี้คงจะกลัว กลัวตายมากจึงพูดอย่างนี้ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ต้องขยายความไอ้ความรอดนี่ มันให้มันสูงขึ้นไป อย่าเพียงแต่ว่ารอดตาย มันต้องให้รอดตัว รอดตัวนี้ก็อย่าแต่ของเราคนเดียว รอดตัวของมนุษย์ทั้งหมด รอดตัวของมนุษยชาติ Humanity หมายความว่าความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง รวมกันหมดเลยทั้งโลกทั้งจักรวาลนี่ ให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง นั่นเขาเรียกว่ารอด คือรอดตัว ไม่ต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องลำบากอย่างผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์ หรือว่าต่ำ ไม่ต่ำอย่างสัตว์ เจตนารมณ์ของการศึกษาอย่างเลว คือให้รอดตาย หรือให้รอดตัว ถ้าเราไม่เรียน เราไม่รู้จักช่วยให้ตัวเองมันรอดตายหรือรอดตัว เอาแต่กันสักๆว่ารอด อยู่รอด ที่อย่างกลางนี่ ก็อยากจะพูดว่าให้มันอยู่สบาย คือมีสันติสุข ทั้งส่วนบุคคลและส่วนของสังคม เพียงแต่รอดตายหรือรอดตัวนี่ มันยังไม่แน่ อาจจะสบายสงบสุขอย่างแท้จริงหรือไม่ มันต้องสูงขึ้นไป ถึงว่าให้อยู่สบายให้มีสันติสุขทั้งบุคคลและทั้งสังคม ที่นี้ว่าอย่างสูงขึ้นไปอีกก็ต้องว่าให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือว่ายังไม่ถือว่าไอ้สันติภาพที่อยู่กันได้ในโลกระหว่างบุคคลหรือสังคมก็ตามนี่ ยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ในความหมายทั่วๆ ไป ไอ้ดีที่สุดหมายความว่าต้องมีจิตใจดีที่สุด สูงสุดอย่างที่เรียกกันว่าบรรลุมรรคผลนิพพานในพุทธศาสนาเลย ทีนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่ามรรคผลนิพพานนี้ยังเข้าใจยาก เป็นเรื่องใหญ่ ไว้พูดทีหลังดีกว่า แต่เราจะเรียกมันว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ ที่มีจิต ความมีจิตใจอย่างพระอริยบุคคลในพุทธศาสนา มีความสะอาด สว่าง สงบ ไม่มืดมัว สกปรกไม่เร่าร้อน นี่ทบทวนว่า เจตนารมณ์ของการศึกษาเล่าเรียนนี่ ที่มันเป็นชั้นเลว คือ เพียงให้รอดตาย ที่เป็นชั้นกลางคือให้สบายด้วย ไม่ได้รอดเฉยๆ ที่เป็นชั้นดีน่ะ คือให้มันสูงด้วย ชั้นต่ำให้มันรอดอยู่ได้ ขั้นกลางให้มันสบายด้วย ขั้นดีให้มันสูงที่สุดด้วย นี่การศึกษาควรจะมีเจตนาเป็นเป้าหมายกันอย่างนี้ จึงจะถือว่าถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนาที่ประมวลเอามาบอกให้ทราบ ทีนี้ไอ้พวกวัตถุนิยมในโลกนี้ เขาไม่ถืออย่างนี้ เขาไม่เอาอย่างนี้ ไอ้พวกวัตถุนิยมในโลกนี้ เขาต้องการ การศึกษานี่ ทำให้รู้หนังสือ ให้มีอาหารเพียงพอ ให้มีอนามัยดีก็พอแล้ว ไม่เคยได้ยินอย่างที่เขาพูดกันว่าเรื่องคนไม่รู้หนังสือ เรื่องคนไม่มีอาหารพอกิน เรื่องคนมีโรคภัยไข้เจ็บ เขามุ่งหมายแต่จะแก้ปัญหากันเพียงเท่านั้นแหละ พูดกันแต่เพียงเท่านั้นแหละ ทุ่มเทเงินทองมากมายก็ทุ่มเทกันแต่เรื่องอย่างนี้ ที่ว่าจะช่วยกันให้รู้หนังสือ ให้มีอาหารพอกิน อย่าให้มีโรคภัยไข้เจ็บ คนมันมองกันแต่ในแง่วัตถุ พวกวัตถุนิยมเขาก็ต้องการแต่เพียงเท่านั้น การศึกษาให้มันรู้หนังสือ ให้รู้จักทำมาหากิน มีอาหารเพียงพอ มีร่างกายสบายดี ไอ้เรื่องที่มีจิตใจสูงนี่มันไม่พูดถึง นี่พอมันรู้หนังสือมันก็ใช้วิชาหนังสือโกงผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น มีอาหารเพียงพอ มีกำลัง มีเรี่ยวแรง มีอนามัยดี มันก็สำหรับที่จะเบียดเบียนผู้อื่น ทำลายผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น นั่นมันจิตใจทราม ฉะนั้นเท่านั้นมันไม่พอหรอกแต่เพียงรู้หนังสือ มันไม่พอ เดี๋ยวไอ้ลูกเด็กๆ มันจะถามคุณครูว่าไอ้สมัยก่อนโบรงโบราณโน่นเขาไม่รู้หนังสือ ทำไมมันถึงอยู่กันสบายดีล่ะค่ะ คุณจะตอบว่าอย่างไร ถ้าไอ้ลูกเด็กๆ มันเกิดถามอย่างนี้จะตอบว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้คนยิ่งรู้หนังสือมาก ไอ้โลกมันยิ่งปั่นป่วนเวียนหัวมาก ความเป็นอันธพาล คดโกง คอรัปชั่นมันยิ่งมาก สมัยที่คนไม่รู้หนังสือมันทำไม่เป็น ที่จะคดโกงกันในแบบอย่างปัจจุบันนี้ ให้ดูดีๆ ว่าเพียงแต่พูดว่ารู้หนังสือเฉยๆ นี่มันไม่พอ มันต้องจำกัดลงไปว่ารู้หนังสือชนิดไหนเพื่อจะทำอะไร มันต้องมีจิตใจสูง ทีนี้เรื่องอาหารพอกินมันเป็นเรื่อง นโยบายการเมืองเสียมากกว่า คนมันก็ต้องมีอาหารกิน เพราะว่านกมันยังไม่อดตาย หนูมันยังไม่อดตาย เอ้าแล้วมีอาหารกินแล้วมันปลอดภัยอย่างไร ถ้ามันโง่มันเป็นอันธพาลอย่างนี้น่ะ มันควรจะตายซะดีกว่ากระมัง พูดไปแล้วมันก็คล้ายๆ กับว่ามันจะบาป ถ้าคนที่เป็นอันธพาลนี้อย่าอยู่ในโลกนี้จะดีกว่า ทีนี้อนามัยดีก็อย่างเดียวกันอีกแหละ มีร่างกายแข็งแรงอนามัยดี แต่ถ้ามันใช้ไม่ถูกวิธีมันก็ไปทำอันตรายผู้อื่น ถ้าอนามัยดีมันได้แต่ความสบายทางกาย มันก็เป็นโรคเส้นประสาทได้ทั้งที่มีอนามัยดี ถ้ามันตั้งจิตไว้ไม่ดี มันก็เป็นโรคจิต นี่ถ้าเราไม่ถือตามพวกวัตถุนิยม ให้รู้ว่าให้การศึกษานี้คนมันรู้หนังสือ ให้มันรู้จักทำมาหากิน ให้มันมีอนามัยดี เท่านี้ไม่พอ ต้องถือตามอุดมคติของพุทธศาสนาว่ามันต้องมีสันติภาพ สันติสุข แล้วก็มีจิตใจสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะสูงกันได้ ลองสังเกตดูสักนิดเถอะ ในหนังสือพิมพ์หรือจดหมายรายงานอะไรก็ตาม คนสนใจเรื่องอนามัยของตัวกันมากกว่าเรื่องอื่น เขาเคยทำสถิติในประเทศที่ใหญ่ๆ โตๆ อย่างประเทศอเมริกา ประเทศอังกฤษ อะไรนี่ เขาทดสอบด้วยการออกบัตรเดือน ว่าคนเราสนใจในเรื่องอะไรเป็นเรื่องที่หนึ่ง อะไรเป็นเรื่องที่สอง อะไรเป็นเรื่องที่สาม ผลลัพธ์มันได้มาเป็นว่าคนสนใจในเรื่องอนามัยของตัวเองมากที่สุด สนใจให้ตัวสบาย ไม่เจ็บไม่ไข้น่ะสนใจมากที่สุด แล้วเรื่องที่สองที่สามก็ยังไม่ใช่เรื่องธรรมะยังไม่ใช่เรื่องศาสนา เรื่องอื่นต่อไปอีก ไอ้เรื่องธรรมะเรื่องศาสนานี่จะไปอยู่ในที่สุดท้ายโน่น นี่คนเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าคนอย่างสมัยโบราณเขาจะต้องค้นออกมาเป็นไอ้เรื่องสวรรค์หรือไอ้เรื่องพระธรรมหรือพระเจ้าอะไรก่อนน่ะเป็นเรื่องที่หนึ่ง นี่วัตถุนิยมกำลังครองโลก คนก็มุ่งหมายแต่เรื่องวัตถุเรื่องเนื้อหนังร่างกาย แต่ตามอุดมคติของพุทธศาสนาของเรามันเป็นเรื่องจิตใจ มุ่งหมายไอ้ความสูงสุดในทางจิตใจกันก่อน พวกฝรั่งเขาไปลองสอบสวนดูในประเทศอินเดีย ที่เมืองกัลกัตตา หรือเมืองอะไรก็ลืมชื่อจำไม่ถนัดแล้ว มันก็ไปในหมู่หญิงที่ยากจน เช่นหญิงหม้ายนี้ หญิงหม้ายอินเดียเขาไม่ค่อยแต่งงานกันล่ะ แล้วเขาก็ยากจน แล้วฝรั่งคนนั้นเขาก็ไปคุยด้วย ไปสนทนาด้วย แล้วคนที่แสนจะจนเหล่านั้น อยู่ตามผ้าเผาศพหรือตามที่ที่คนเขาจะให้ทานได้ เลยถามผู้หญิงเหล่านี้ว่าคุณต้องการอะไร หญิงจนๆ หญิงหม้ายเหล่านั้นน่ะ ผอมเหลือประมาณนั้นน่ะ จึงตอบว่าต้องการมุกติ แล้วก็ต้องการอาหาร แล้วก็ฝรั่งสะดุ้ง ไอ้มุก-ติก็คือความรอดพ้น จิตรอดพ้นจากนี้ไปอยู่กับพระเจ้า เขาเรียก มุ-กะ-ติ มุก-ติ อ่านว่ามุก-ติก็แล้วกัน นี่ไม่มีใครสอนเขาหรอก เขาตอบว่าต้องการมุกติแล้วก็ต้องการอาหาร เดี๋ยวนี้เขาหิวและผอม แต่ก็ยังต้องการมุกติก่อนอาหาร นี่มันแสดงถึงไอ้ความมีวัฒนธรรมสูงทางจิตใจของประเทศอินเดีย คนต้องการธรรมะก่อนอาหาร นี่ถ้าเรื่องทางศาสนามันกลายเป็นอย่างนี้ พระเยซูก็สอนทำนองเดียวกัน ต้องการพระธรรม หรือพระธรรมของพระเจ้าก่อนอาหาร ถือว่าชีวิตนี่อยู่ได้ด้วยพระธรรมของพระเจ้า ไม่ได้เป็นชีวิตอยู่ได้เพราะอาหาร ข้าวปลาอาหาร เพราะเขาถือว่าแม้จะมีข้าวปลาอาหารกินถ้ามันไม่มีไอ้ธรรมะนี้ มันก็เท่ากับตายแล้ว ฉะนั้นเอาไอ้สิ่งที่มันเป็น มีชีวิตอยู่ ก็คือ พระธรรม อาหารและเงิน ข้าวปลาอาหารนั่นมันทีหลัง สรุปสั้นๆ ก็คือว่า เขาก็ต้องการอาหารใจก่อนอาหารกาย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครฟัง นี่พระเยซูพูดไว้ตั้งพันกว่าปี สองพันปีแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อไม่มีใครฟัง เอาปากก่อน ถ้าปากหิวใจหิวมันจะทำอะไรได้ มันต้องเอาให้ท้องอิ่มก่อนแล้วจึงค่อยธรรมะ แล้วมันก็เหลวทั้งนั้นแหละ เพราะท้องบางคนก็ไม่รู้จักอิ่มหรอก มันเป็นเปรต ท้องเท่าภูเขาปากเท่ารูเข็ม ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะอิ่มเล่า ให้ท้องอิ่มซะก่อนถึงจะไปสนใจธรรมะ คนสมัยนี้เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น โลกนี้มันจึงยุ่ง นี่เจตนารมณ์ของการศึกษาก็ถือเอาอุดมคติของพุทธศาสนา มันก็ต้องอยู่ที่ความมีจิตใจสูง เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ถ้าไม่มีความทุกข์แล้วก็ไม่รู้เขาจะสมัครตายซะดีกว่า อยู่ไปทำไมป่วยการ เขาหวังจะมีจิตใจสูงเหนือความทุกข์ มีชีวิตอยู่อย่างนั้นจึงจะพอใจ หรือจึงจะอยากอยู่ หรือเป็นชีวิตที่แท้จริง นี่เอาไปคิดดู อุดมคติหรือเจตนารมณ์ของการศึกษานี่ต้องเอาอย่างของพวกมโนนิยม ถ้าเอาพวกวัตถุนิยมแล้วมันก็จะมาอยู่ไอ้สิ่งต่ำๆ เตี้ยๆ แล้วมันก็จะเท่ากับสัตว์เดรัจฉานด้วยซ้ำไป สัตว์เดรัจฉานก็ต้องการอาหาร ต้องการความปลอดภัย ต้องการแข็งแรง แล้วมันยังสบายดีกว่าคนซะอีก ก็ใจมันไม่สูงก็มันไม่รู้จักทำให้สูง ถ้าเราจะดีกว่าสัตว์เดรัจฉานก็ต้องมีธรรมะที่ทำให้จิตใจมันสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน ทีนี้ข้อต่อไปเจตนารมณ์ของความเป็นครู อุดมคติความมุ่งหมายเจตนารมณ์ของความเป็นครูนี่ ขอร้องให้ยอมรับว่ามีอยู่หลายอย่างหลายชั้นหลายระดับเหมือนกัน ขอให้เลือกเอาระดับที่มันเหมาะสม แก่สติกำลังของเรา แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ เอาล่ะจะพูดตั้งแต่ต้นไปเลย ตั้งแต่ กอขอกอกา ไปเลยว่า ไอ้เจตนารมณ์ของความเป็นครูนี่ หนึ่งก็เพื่ออาชีพ อย่าว่าล้อเลียนหรือดูถูกนะ ที่สมัครเรียน กกศ (นาที 38:55) นี้ก็เพื่ออาชีพทั้งนั้นใช่ไหม นี่มันก็นึกถึงอาชีพก่อน นี่ก็ไม่มีใครว่า พ่อแม่ของเราก็ต้องการให้เราเรียน เราก็ต้องการจะเรียน แล้วก็ข้อแรกก็หวังว่าจะเป็นอาชีพ แต่ขอ ขอร้องนะ ขอร้องให้พยายามให้ ให้มันลึกซึ้งให้มันสุขุมหน่อยว่า จะเป็นอาชีพก็ได้แต่ให้เป็นลูกจ้างที่เป็นนักบุญ จำไว้ทีดีไหม เป็นลูกจ้างที่เป็นนักบุญ อย่างจะไปเป็นครูนี่ก็เป็นลูกจ้างอย่างที่เป็นนักบุญ ไอ้ลูกจ้างก็ต้องสอนหนังสือตามที่เขากำหนดให้ แต่จิตใจขอให้เป็นนักบุญ หวังบุญ หวังกุศล อย่าไปบูชาไอ้ค่าจ้างหรือเงินเดือน ให้ถือว่าไอ้เงินเดือนนั่นมันก็จำเป็นน่ะ เพราะว่าคนมันต้องกินอาหาร ทีนี้เอาเรา เอาเราไปเป็นครู สอนหนังสือเสียแล้วเราจะเอาเวลาไหนไปทำนา เราก็ต้องมีเงินเพื่อที่จะไปซื้ออาหารกิน ก็เป็นเงินเดือน ทำงานส่วนนี้ก็เป็นลูกจ้าง แต่ว่าจิตใจนั้นเป็นนักบุญ เมตตากรุณา ใช้ความเมตตากรุณา จะสอนศิษย์สอนเด็กๆ นั่นน่ะอย่างเมตตากรุณาอย่างรัก ว่ามันเป็นเพื่อนมนุษย์ แล้วก็กำลังเป็นเด็กมันน่าสงสาร เราเคยเป็นเด็กอย่างไร เราต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่อย่างไร ก็ลองไปนึกดูใหม่ นี่ก็เป็นอาชีพก็ได้ แต่ต้องเป็นลูกจ้างที่เป็นนักบุญ แล้วก็อย่าให้เป็นเรือจ้าง สมัยนี้ไม่ค่อยพูดถึงกันแล้ว บางทีรุ่นนี้จะไม่เคยได้ยินก็ได้ เพราะอาชีพครูมันเป็นอาชีพเรือจ้าง สมัยก่อนนี้มันจริง คนที่จะไปเป็นใหญ่เป็นโต หรือเป็นผู้พิพากษา เป็นอะไรทำนองนั้น ไม่มีปัญญาจะไปเรียนเป็นผู้พิพากษาได้เลย ก็อุตส่าห์ไปเป็นครูก่อน เพราะมันง่ายกว่ามันเร็วกว่า ได้เงินเดือนแล้วก็อุตส่าห์เรียนกฎหมายเรื่อยๆไป หากินไปพลาง เรียนกฎหมายไปพลาง แล้วก็ได้ไปเป็นผู้พิพากษาเป็นต้น ที่มีอาชีพสูงกว่า เขาก็เลยจัดว่าอาชีพครูนี้เป็นอาชีพเรือจ้างสำหรับข้ามฟาก ฟากนี้มันไม่สู้จะรวยข้ามไปฟากโน้นมันรวย เขาเป็นครูกันเพื่อจะไปเป็นอย่างอื่นที่ดีที่ได้เงินมากกว่าครู นี้ก็ลองคิดดูเถอะว่ามันจะเป็นครูแท้จริงได้อย่างไร มันไม่ได้รักความเป็นครู มันเป็นเพียงเหมือนเรือจ้างเพื่อจะข้ามฟาก เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องเป็นอย่างนั้นกันแล้ว เพราะฐานะความเป็นครูก็เป็นข้าราชการเต็มที่ เป็นใหญ่เป็นโตได้ตามสายของครูไม่เหมือนสมัยก่อน ก็เลยไม่ใช่เรือจ้าง หรือเป็นครูชนิดที่ว่ามันเป็นนักบุญ เป็นโดยจิตใจพร้อมกันไปในตัว ชั้นนี้เรียกว่าเจตนารมณ์ของความเป็นครูก็เพื่อจะมีอาชีพ แต่ไม่ใช่ลูกจ้างกรรมกรสอนหนังสือ เป็นลูกจ้างที่เป็นนักบุญ หวังจะเอาบุญเอากุศลเอาความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง ทีนี้อีกอย่างต่อไปอีกก็จะเรียกมันว่าเจตนารมณ์ของความเป็นครูนี่ เพื่อให้มันถูกกับนิสัย อันนี้มีน้อยมาก ถ้ามันเผอิญเป็นไปได้ว่าเขามันมีนิสัยหรือมีไอ้อะไร มี Gift มีอะไร ในนิสัยในสันดาน ที่จะเป็นผู้สอนหรือเป็นผู้นำที่ชอบเป็นครู ผู้นำผู้สอน นิสัยมันเป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นครูเพื่อจัให้มันถูกกันกับนิสัย แล้วก็มีความสุขเพราะได้เป็นอย่างนั้น เงินเดือนไม่มีความหมาย ไม่รู้ไม่ชี้กับเงินเดือน เพราะว่าเขาอาจจะเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย ใหญ่โต มีมรดกท่วมหัวท่วมหู แต่แล้วเขาก็มาเป็นครู เพราะว่านิสัยสันดานเขาชอบเป็นผู้นำ ผู้สอน ผู้พูดนี่ พอได้เป็นครูแล้วมันก็สนุก เป็นสุขไปซะเลย เงินเดือนไม่มีความหมาย นี่ถ้าใครมันมีนิสัยอย่างนี้ก็เป็นครูเพื่อให้มันถูกกันกับนิสัย เช่นเดียวกับไปบวชเป็นพระ เป็นครูบาอารจารย์นั่นน่ะ มันมีนิสัยที่จะเป็นอาจารย์ หรือเป็นผู้สั่งสอน ไม่มีใครให้เงินเดือน ต้องบิณฑบาตฉันอย่างนี้ก็มี แต่มันถูกกับนิสัย มันก็เป็นได้ มันก็สนุก ในการที่จะเป็นอย่างนั้น เงินเดือนก็ไม่มีความหมาย ทีนี้ขอให้ดูว่าคนเรามันมีนิสัยต่างๆ กัน ถ้าเขาได้ทำอะไรถูกกับนิสัยของเขาแล้ว เขาสบายที่สุด พอใจที่สุด สนุกที่สุด เรื่องเงินหรือประโยชน์นั้นบางที บางทีไม่ได้สนใจเลย แล้วผู้ใดมันมีนิสัยจะเป็นสุขอย่างเป็นผู้นำ หรือผู้สอน ผู้ช่วยคนอื่นนี่ก็ ก็เป็น มันยิ่งได้บุญมากด้วย มันก็ได้อะไรอีกหลายอย่าง แต่ที่ดีกว่าอย่าง อะไร ดีกว่าอะไรทั้งหมดก็คือมันมีความสุข เพราะได้เป็นผู้นำในทางวิญญาณ ครูเรียกว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ แล้วนี่มองดูกันในแง่ ในแง่ต่อไปอีก ในแง่อื่นบ้าง เจตนารมณ์ของความเป็นครู เพื่อจะรับใช้มนุษยชาติ คือใช้คำว่าชาติมันแคบนะ ไอ้เนชั่นเนเชิ่นนี่มันแคบนะ ต้องเอา Humanity ที่มันเป็นมนุษยชาติ ความหมายแห่งความเป็นมนุษย์ทั้งหมด เราจะรับใช้ไอ้ความเป็นมนุษย์ รับใช้มนุษยชาติ ถ้าเรามีความมุ่งหมายอย่างนี้โดยบริสุทธิ์ใจแล้ว มันเป็นการประเสริฐสูงสุด เป็นการทำบุญทำทานอันใหญ่หลวง ลองคิดอย่างนี้ดูทีเป็นไร เงินเดือนก็ยังคงได้แหละ แต่เจตนามันเพื่อต้องการจะรับใช้พระเจ้า รับใช้มนุษยชาติ โดยการให้วิชาความรู้ นับตั้งแต่สอนหนังสือ สอนวิชาความรู้อย่างอื่น สอนจริยธรรม สอนศีลธรรม ให้ลูกศิษย์เขามีความรู้ด้วย มีความประพฤติดีด้วย มีจิตใจสูงด้วย อย่างนี้เราเป็นครูเพื่อรับใช้พระเจ้า รับใช้มนุษยชาติ รับใช้ผู้อื่น เป็นการทำบุญทำทานอันใหญ่หลวง ทำบุญด้วยสิ่งของวัตถุนี่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสว่าใหญ่หลวง ถ้าทำบุญด้วยวิชาความรู้เรียกว่าทำบุญอันใหญ่หลวงอันสูงสุด คือเขาเรียกว่าให้ทานธรรม อย่างครูนี่ถ้าทำให้ดีมันก็เป็นการให้ทานธรรมในระดับหนึ่ง อยู่ทุกวันๆ มันอยู่ที่เจตนา ถ้าเราทำพอแล้วๆไปวันหนึ่งๆ เพียงเพื่อเงินเดือนอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่ให้ทานธรรม ก็ลืมมันเสียไอ้เงินเดือน อย่าไปสนใจมันนัก มีจิตใจที่จะช่วยผู้อื่น รักผู้อื่น ก็ให้วิชาความรู้เรื่อยๆ ไป ก็ให้ทานธรรม เป็นบุญใหญ่หลวง เป็นกุศลใหญ่หลวง ให้มันมีเจตนาเป็นพื้นฐานอย่างนี้ไว้เถอะ มันจะวิเศษ ในส่วนเลี้ยงชีพมันก็มีได้ดี ในส่วนที่จะมีจิตใจสูงมันก็สูง นี่เราเจตนาที่จะรับใช้มนุษยชาติ เจตนารมณ์แห่งความเป็นครูของเรามีเพื่อจะรับใช้มนุษยชาติ ถ้าพูดอย่างพวกที่เขาถือพระเจ้า ก็รับใช้พระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราช่วยผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว นี่มันไปได้ไกลอย่างนี้ ทีนี้อย่างสุดท้ายที่จะพูด เรียกว่าเพื่อความเป็นปูชนียบุคคลไปเสียเลย เพื่อความเป็นปูชนียบุคคลไปเสียเลย ก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรสูงกว่านี้แล้วสำหรับความเป็นครู ต้องเป็นครูที่ถูกต้อง มันจึงจะเป็นปูชนียบุคคล มันจะรวมเอาความหมายดีๆๆๆทั้งหมด ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นเอาไว้หมด มันจึงจะเป็นปูชนียบุคคล เป็นได้จริง ไม่ใช่แกล้งว่า ไม่ใช่พูดเอาอกเอาใจ หรือว่าล่อกันให้ทำงาน ถ้าทำให้จริง ให้ถูกตามหลักที่พูดมาแล้ว มันคือ ก็จะทำให้ครูนี่เป็นปูชนียบุคคล แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยสนใจ เขาต้องการแต่เงินเดือน เขาต้องการแต่ความมีหน้ามีตา จะลองเป็นครูปูชนียบุคคล เงินเดือนก็ยังได้ ความมีหน้ามีตาก็จะยิ่งได้ ทำไมจึงเรียกว่าปูชนียบุคคล เพราะว่าครูนี่เป็นผู้ที่บุคคลจะต้องเคารพต้องบูชา เพราะว่าครูนี่ทำดวงจิตวิญญาณของคนในโลกให้มันสูง สถาบันครูมีไว้สำหรับให้จิตใจของมนุษย์มันสูง เพราะครูก็เป็นผู้นำ แต่ว่านำในทางวิญญาณ ความหมายเดิมๆ ของคำว่าครูในสมัยดึกดำบรรพ์นั้น ก็หมายความว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ข้อนี้ได้อธิบายไว้ละเอียดในการบรรยายครั้งก่อนๆ มีผู้พิมพ์ขึ้นเป็นเล่ม เป็นเล่ม ไปหาอ่านเอง แต่สรุปความแล้วว่า ไอ้ครูนี่เป็นผู้นำทางวิญญาณ ไม่ใช่อาชีพสอนหนังสืออย่างเดียว แล้วก็ช่วยทำเด็กๆ ให้มันมีวิญญาณสูง มีจิตใจสูง ตั้งแต่ไม่รู้หนังสือให้รู้หนังสือ ให้รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก ให้เคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์อะไรอย่างนี้ เขาเรียกว่ามีวิญญาณสูง ทีนี้ครูเป็นผู้ทำให้คนมันรอดโดยทุกวิถีทางอย่างนี้ เขาจึงจัดเป็นปูชนียบุคคล สมัยก่อนโบรงโบราณนั้นครูเขาไม่ได้เอาเงินเดือนกัน แต่ก็มีคนบูชาด้วย ด้วยวัตถุปัจจัยนี่แหละ ก็กลายเป็นเครื่องบูชาครูไป ไม่ใช่เงินเดือนไม่ใช่ค่าจ้าง เดี๋ยวนี้เขาเอาเรื่องอย่างโลกๆ เข้ามาว่า ทำให้เข้าใจผิด ให้ครูเป็นลูกจ้าง แล้วก็รับค่าจ้างคือเงินเดือน นี่มนุษย์มันโง่ มนุษย์ทั้งโลกมันโง่ มันทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของมนุษย์ลงไปเสีย ไม่ยอมรับรู้ไอ้เรื่องความเป็นปูชนียบุคคลของโลก โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ แม้เขาจะโง่กันอย่างนี้เราก็ยังคงถือไปตามหลักเดิมได้ว่า ถ้าเราเป็นครูที่ประเสริฐสุดแล้วก็มีความมุ่งหมายที่จะเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ไปตามเรื่องของครู ก็ลองไปเทียบกันดูเถอะ ไอ้ลูกจ้างแท้ๆ รับจ้างแบกกระสอบอยู่ตามท่าเรือนี่ มันก็เป็นลูกจ้าง ไม่ได้มีจิตใจเมตตากรุณาใคร ที่เราเป็นครูสอนในโรงเรียนนี่ เราอย่าไปนึกถึงไอ้เรื่องอื่น นึกถึงว่ามันจะรักเพื่อนมนุษย์ แล้วก็สอนให้เขามีความรู้ แล้วเงินเดือนนั้นมันก็ไม่ใช่ค่าจ้าง มันเป็นค่าบูชาครู ก็เลยเรียกว่าเป็นปูชนียบุคคล แปลว่า ผู้ที่โลกต้องบูชา ใช้คำว่าโลก เพราะเป็นสถาบันในโลก สถาบันของโลก ก็เลยใช้คำรวมคำเดียวกันว่า เป็นผู้ที่โลกจะต้องบูชา แม้จะเป็นครู เป็นครูตัวเล็กๆ เด็กๆ อยู่ในประเทศไทยนี่ ถ้าทำถูกอุดมคติอันนี้มันก็กลายเป็นผู้ที่โลกต้องบูชา โดยไม่ต้องมีใครรู้ ไม่ต้องมีใครเห็นก็ได้ ไอ้ธรรมะหรือสัจจะนั่นมันเป็นของมันได้เอง โดยไม่ต้องมีใครรู้ใครเห็นก็ได้ ถ้าครูทุกคนตั้งปณิธานอย่างนี้แล้วก็ โลกนี้มีความสุขเหลือที่จะกล่าวได้ นี่ทบทวนกันดูทีว่า มันมีมากอย่าง จะเอามาพูดหมดป่วยการ เอาแค่ 4 อย่างก็พอ เพื่อเป็นอาชีพที่บริสุทธิ์ ลูกจ้างที่เป็นนักบุญ แล้วก็เพื่อให้ถูกกับนิสัย ถ้าเผอิญว่าเรามันมีนิสัยชอบสอนชอบนำละก็ เป็นครูดีกว่า แล้วเพื่อรับใช้มนุษยชาตินี่มันกว้างที่สุดเลย แล้วก็เพื่อความเป็นปูชนียบุคคคล ตามสติปัญญาสามารถของเรา นี่มันจะเป็นได้ไม่เหลือวิสัยเป็นได้ แล้วก็เป็นจริงด้วย จะเป็นได้ก็เพราะรู้จักความหมายของคำว่าครูถูกต้องมาเป็นลำดับๆ ทุกๆ ชั้น รู้จักเจตนารมณ์ของการศึกษาอย่างถูกต้อง รู้จักเจตนารมณ์ของความเป็นครูอย่างถูกต้องแล้วก็เป็นได้จริง ในชั้นสูงสุดด้วย ทีนี้ข้อที่สามที่เหลืออยู่ คือเจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ พูดแล้วมันก็น่าหัว ที่ว่าครูจะต้องรู้จักเจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ แต่อย่าลืมนะทุกคนนี้เคยเป็นศิษย์มาแล้วทั้งนั้นนะ ผู้ที่จะกำลังจะเป็นครูหรือกำลังเป็นครูอยู่ก็ตามมันเคยเป็นศิษย์มาแล้วทั้งนั้น ถ้าไม่รู้จักเจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์แล้ว เราก็จัดแจงไอ้พวกศิษย์นั้นให้ดีไม่ได้หรอก เราจะควบคุมเขาไม่อยู่ จะประคองเขาไม่ได้ มันก็ต้องรู้เจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ ครูเองต้องรู้เพื่อที่จะควบคุมศิษย์ให้ได้ เพื่อจะเอาศิษย์ไว้ในกำมือได้ แล้วมันก็ไม่ได้ยาก เพราะว่าครูมันก็เคยเป็นศิษย์มาแล้ว แล้วก็เคยเป็นศิษย์ที่ดีมาแล้วด้วยก็ได้ ไอ้เจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์นี่มันก็กว้างเหมือนกัน เราจะเอาแต่ที่มันจริงหรือมันที่มันจะมีประโยชน์ เจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ มันก็คือ ผู้ที่ยังไม่ ไม่ลืมตาต่อโลก ไอ้ ไอ้ที่เรียกว่าศิษย์นี่ เราจะถือว่ามันเป็นผู้ที่ยังไม่ลืมตาต่อโลก จริงไม่จริง ลองคิดถึงตัวเองเมื่อเรียนชั้นประถมหนึ่งประถมสองมันลืมตาต่อโลกเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้มันก็ยังไม่ค่อยลืมทั้งหมด ไอ้ศิษย์เล็กๆ มันก็ไม่ลืมตาต่อโลก มันก็ต้องมีเจตนารมณ์ที่กำหนดไว้ว่ามันจะต้องเชื่อฟังผู้ที่ลืมตามาก่อน นั่น นั่นคือ ครู ให้ลูกศิษย์ของเรามีเจตนารมณ์มุ่งหมายที่จะเชื่อฟังผู้ที่เขาลืมตามาก่อน นี่มันต้องตั้งต้นมาจากบ้าน คือให้เป็นบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดามาแล้ว แล้วก็มาเป็นศิษย์ที่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ นี่ มันก็ไม่ยาก แล้วต้องการไอ้ ผลที่ดีมากหรือว่าให้มีบุตรที่ดี ที่ดีของบิดามารดา มีศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ มีเพื่อนที่ดีของเพื่อน มีพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ มีสาวกที่ดีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราหวังกันอย่างนี้เป็นลำดับไป เดี๋ยวนี้มันเป็นจุดตั้งต้นที่ครูจะต้องรับรู้ ว่าไอ้ลูกศิษย์ของเรานั่นน่ะมันจะต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา และเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ถ้ามันได้อย่างนี้แล้วปัญหาไม่มี เดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหาที่ว่าเด็กมันไม่ยอมรับในความเป็นครู เพราะว่าทำผิดกันมาตั้งแต่แรกๆ ก็ได้ มันต้องร่วมมือกันกับบิดามารดา ให้เด็กๆ มันเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครู อันนั้นเป็นเจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ การที่เข้ามาเป็นศิษย์ก็เพื่อความเป็นอย่างนี้ เราต้องรับรู้ เราต้องรับรอง เราจะต้องช่วยทำให้มันสมประสงค์ นี่ถือเป็นส่วนรวม เป็นความหมายโดยรวมว่า การเป็นศิษย์นั่นที่จริงมีเจตนาจะประมวลเอาไว้ซึ่งเหตุและปัจจัยทั้งหลาย เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ดี เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ แล้วถ้าเราพยายามให้ไอ้ลูกเด็กๆ นักเรียนเล็กๆ ของเรานี้ เขาได้มีโอกาสรวบรวมไอ้สิ่งที่จำเป็น สำหรับเขา เรียกว่าเหตุ เรียกว่าปัจจัยที่จำเป็นสำหรับเขา ที่เขาจะต้องสะสมเอาไว้ เพราะว่าในอนาคตเขาจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นั่นคือควรจะตั้งอกตั้งใจที่จะให้ไอ้ลูกเด็กๆ เหล่านี้มันได้รับเหตุปัจจัยอันนี้ สะสมเอาไว้ สะสมเอาไว้ สะสมเอาไว้ เพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไอ้ส่วนที่ว่าเขาจะสอบไล่ได้เป็นชั้นๆ เลื่อนๆ ขึ้นไป ทีละชั้น สะสมไป อย่างนั้นมันก็ได้ไปด้วยล่ะ ก็ถือว่าเป็นเหตุปัจจัยอันหนึ่งที่รวมอยู่ในนี้ แต่อย่าไปให้เด็กมันต้องการแต่เพียงจะสอบไล่ได้ มีหน้ามีตานั้น ให้เขาได้ไปถึงขนาดว่าจะมีจิตใจสูงมีความเข้าใจถูกต้อง ไม่ไปหลงในวัตถุ ไม่ไปหลงในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เข้าไปติดพันอยู่ที่นั่นเสีย มันถึงจะไปจนถึงได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ และจากสิ่งที่เป็น เหมือนกับว่าอุปสรรคแห่งความสูงของมนุษย์ตกอยู่กับคำ 3 คำ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เกียรติก็ไม่ต้องอธิบายแล้ว เรื่องกินนี่ ดูกินจุบกินจิบกันอยู่ทุกคนใช่ไหม มาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าโตแล้วก็ยังอยากจะกินให้มันดีไม่มีที่สิ้นสุด หาเงินมาเพื่อกินดูว่ามันจะมากกว่าอย่างอื่น มันไม่ประหยัด สุรุ่ยสุร่าย แต่ก็เพราะว่าเรื่องกินไม่ควบคุมให้มันถูกต้องในเรื่องกิน พูดในเรื่องกินแล้วไปถึงเรื่องกามเรื่องเพศเรื่องอะไรเหล่านี้ นี่เข้าไปในดงของอันตรายมากขึ้น ถ้าทำตัวไม่ดี ไม่มีความรู้พอ ไม่มีสติสัมปชัญญะพอ ก็จะได้รับความเสื่อมเสียกันตอนนี้ อันสุดท้ายเรื่องเกียรติ นั่นก็เป็นอันตรายได้ ไอ้คนที่มันหลงเกียรติเกินไป มันก็จะต้องเป็นโรคเส้นประสาท ไอ้ที่มันฆ่าตัวตายโดยมากก็เป็นเรื่องหลงเกียรติ มันละอายมันฆ่าตัวตาย ไม่มีปัญญาที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี้ไม่ใช่เป็นสิ่งเลวร้ายที่ว่าจะต้องประณามหรือว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย ถ้าไปเกี่ยวข้องถูกทางมันก็รอดตัว มันก็เป็นไปได้ แต่ถ้าผิดทางแล้วมันก็จับตนใส่นรก เรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรตินี่ คนทำผิดทำชั่วก็เพราะเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติ แต่ถ้าเขาควบคุมไว้ได้ เขาก็ไม่ ไม่จำเป็นที่ต้องทำผิดทำชั่วเพราะเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติ เขาก็มีธรรมะมากพอที่จะควบคุมเรื่องนี้ อย่าให้มันเป็นอันตรายขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเราก็จึงต้องศึกษาธรรมะกันให้เพียงพอ แล้วเราจะควบคุมไอ้สิ่งที่มันเป็นอันตรายหรืออะไรก็ได้นี่ เช่นเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะเป็นครู ต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้ ควบคุมมันไว้ได้ดี แล้วความเป็นครูนั้นจะเจริญงอกงามถึงขนาดที่เป็นปูชนียบุคคลได้ ครุธรรมปริทรรศน์ ลองดูคร่าวๆ รอบๆ ด้าน เกี่ยวกับสิ่งที่จะทำให้เป็นครูที่ดี มีอยู่อย่างนี้ ความมุ่งหมายของเราถูกต้องแล้ว ถ้าจะเป็นครูที่แท้ที่ประกอบไปด้วยครุธรรม ธรรมที่ทำความเป็นครู รู้เจตนารมณ์ของการศึกษา รู้เจตนารมณ์ของความเป็นครู แม้กระทั่งรู้เจตนารมณ์ของความเป็นศิษย์ เพราะเราเคยเป็นมาแล้ว ก็ทำให้ถูกต้องทั้งหมด หวังว่าเกิดมานี่ได้เป็นครูนี่ จะมีบุญที่สุด นี้ก็จะจัดอยู่ในพวกที่ว่าได้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ทีนี้มัน เวลาที่กำหนดไว้นี่มันก็จวนจะได้แล้ว เราก็จะได้ยุติกันเสียที วันแรกก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องพูดมาก นอกจากเป็นเรื่องพูดคร่าวๆ เอาละวันนี้ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อน