แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาส : ต่อไปต้องระวังนะ เพลงที่ทำอันตรายทำลายจิตใจเด็กนั้นมีเต็มไปหมดในวิทยุ ไม่อยากฟัง และรำคาญ เขาจูบฉันทีเดียว ฉันเสียวไปจนตาย นี่มันมีเพลงพรรค์นี้ มันร้องอยู่ทั่ววิทยุทั้งวันทั้งคืน เด็กๆ เสียหายหมดแหละ ต้องช่วยกันป้องกันนะเพลงทำลายศีลธรรมนั้น พยายามให้มันมีเพลงแต่สอนธรรมะ ร้อง แล้วให้เด็กๆ ชอบร้อง สนใจร้อง ร้องกันได้ทุกๆ เด็ก แล้วก็จะดี จะได้ปลอดภัยไปสักอย่าง นี่ให้เด็กๆ ร้องให้ฟังให้เป็นตัวอย่าง ช่วยเอาไปจัดให้เด็กมันสามารถร้องเพลง แค่มีธรรมะสอนใจให้ดีๆ ให้ทั่วไปแหละ ชุมพร สวี หลังสวน แค่ไหนก็ตามใจ
เมื่อสมัยโบราณนั้นเขามีร้องเพลงกล่อมลูกกล่อมน้องร้องเรือนั้น ก็เป็นเพลงสอนใจดี ไม่มีหยาบโลน ไม่ทำให้เด็กเสีย พอสมัยใหม่แล้วก็มีเพลงเรื่องส่งเสริมทางจิตใจทราม ร้องกันมาก ร้องกันจนจะได้ไปเสียทุกคน อัดเทปขาย หรืออะไรนี้ นี่เป็นเรื่องทำลายศีลธรรมอย่างลึกซึ้ง อย่างลึกซึ้งทีเดียว ช่วยกันต่อต้านบ้าง ให้เด็กได้ร้องเพลงธรรมะ ต่อต้านไว้บ้างก็ดี นี่เรื่องให้เด็กมาร้องเพลงให้คนแก่ฟังเป็นตัวอย่าง
เอ้า,ทีนี้พวกเราพระเณร ผมมุ่งหมายจะทดสอบจะซักซ้อมจะทำความเข้าใจเรื่องที่จะเผยแผ่ศีลธรรมต่อไป แต่ถ้าเราลงมือพูดเรื่องนั้นแล้ว ญาติโยมก็จะง่วงนอน จะฟังไม่รู้เรื่อง จะไม่เข้าใจ จะรำคาญ ฉะนั้นขอให้ได้พูดเรื่องฟังตรงๆ ง่ายๆ ไปบ้างก่อนสักสองสามเรื่อง สองสามองค์ ให้พอสมควรแก่เวลาแล้ว เราจึงพูดเรื่องของพวกเรา เป็นชาวบ้านคงจะทนฟังไม่ไหว ขอนิมนต์องค์ใดองค์หนึ่งมาพูดอีกสักสองสามองค์ ข้อสังเกตวิชาความรู้ที่ได้รับมาหนึ่งปีนี้มีอะไรบ้าง ควรจะเอามาพูดให้ชาวพ่อแม่พี่น้องนี้ ญาติโยมอุบาสกอุบาสิกานี้ฟังง่ายๆ ดี พูดแล้วสององค์แล้วก็ดี คงจะมีประโยชน์ สว่าง,แสงสว่างทางตาทางใจอะไรขึ้นได้บ้าง ให้ญาติโยมได้ฟังอีกสักสองสามองค์ จนกว่าจะมีเวลาสมควร เราจึงพูดเรื่องของเรา ถ้าเราพูดเรื่องของเรา ป่านนี้โยมคงจะรำคาญ คงฟังไม่รู้เรื่อง เอาล่ะ,จัดแบ่งเวลากันเถอะ// เพื่อญาติโยม,ธรรมะเพื่อญาติโยม//
พิธีกรดำเนินรายการ : คุยกับญาติโยม ประมาณ ๑๕ นาที ถึง ๒๐ นาที//
เสียงท่านพุทธทาส : เอาล่ะ,องค์ละ ๑๕ นาทีพอดี//
พิธีการดำเนินรายการ : ประมาณองค์ละ ๑๕ นาที ซึ่งตอนนี้ก็จะขออาราธนาท่านมหาประสาท ธมฺมาสโย วัดควนหนองบัว ตำบลนาสัก อำเภอสวี ท่านผู้นี้ก็มีความสนใจในด้านธรรมะ เป็นพระธรรมทูตของจังหวัดชุมพร แล้วก็ได้มาร่วมในรายการนี้กันทุกๆ ปี จึงขออาราธนาท่านมหาประสาท ขอนิมนต์ครับ//
ท่านพุทธทาส : ก็จะต้องฝึกกันสำหรับผู้เผยแผ่//
พระอาจารย์มหาประสาท : ขอคารวะแก่พระเถระทุกท่าน ขอเจริญพรญาติโยมที่มาร่วมประชุมเพื่อความสุขทางใจกันในสถานที่นี้ เวลานี้อาตมาก็ได้รับการชี้ตัวโดยคำสั่งรองๆ ลงมาจากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพุทธทาส แล้วก็ได้มาพูดกับญาติโยมในรายการธรรมะภาคค่ำ
สำหรับการมาของญาติโยม พร้อมด้วยคณะพระภิกษุจากจังหวัดชุมพร อาตมาอยากจะพูดว่า เรามาที่นี้ก็เพื่อมาหาความปรกติ หรือมาเพิ่มพลังแห่งความเป็นปรกติ หรือมาหาอุปกรณ์หรือสื่อนำที่จะให้เกิดความปรกติ ความปรกติของเราก็มีอยู่ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ส่วนมากญาติโยมที่อยู่ทางบ้าน ถ้าตามพื้นเพทุกวัน ถ้าไม่ได้เข้าวัด ก็จะหาความปรกติได้ยาก เพราะอะไร เพราะว่าเรามีกิจมีภาระ เช่นว่าทางกายก็ไม่ค่อยมีความเป็นปรกติ อาจจะมีความดิ้นรน กระวนกระวายในการแสดงออก เช่นอาจจะเดินไม่เรียบร้อย นั่งไม่เรียบร้อย หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นก็ร้อนรน ลุกลี้ลุกลน ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ระแวดระวัง ที่มากไปกว่านั้นก็อาจจะใช้ร่างกายของเรานี้ไปทำในทางที่ผิดศีลผิดธรรมอะไรเพิ่มขึ้น อย่างนั้นเรียกว่าเสียความเป็นปรกติ
ทีนี้เมื่อเราเหยียบย่างเข้ามาที่วัดสวนโมกข์ ก็รู้สึกว่ามันมีอะไรที่ทำให้เกิดความปรกติดีขึ้นทางกาย เข้ามาที่สวนโมกข์นี้ เราก็เห็นอะไรดีๆ อย่างน้อยก็เข้าวัดแล้วก็สำรวมดีแล้ว มีการสำรวมกายเรียบร้อย จะเดินก็ต้องระวังเรียบร้อย จะนั่งก็ต้องเรียบร้อย มีกิริยาวาจาเรียบร้อย นี่ความเป็นปรกติทางกายก็เกิดขึ้นแล้ว ทีนี้ปรกติทางวาจาก็เหมือนกัน เราอยู่ทางบ้าน บางทีก็ไม่ค่อยได้พูดเรื่องดีๆ หรอก กับลูกกับหลาน กับสามีภรรยา ก็อาจจะขึ้นเสียงลงเสียงอะไรต่างๆ บางทีก็ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะเกิดกล่าวคำที่ไม่เป็นปรกติ อาจจะโกหกเขาบ้าง นินทากันบ้าง ส่อเสียดกันบ้าง หยาบโลนกันบ้าง อะไรทำนองนี้ แต่ว่าพอเข้ามาในวัดสวนโมกข์นี้แล้ว เราก็เรียบร้อย ไม่มีวาจาอย่างนั้น จะพูดเสียงดังก็รู้สึกว่าเกรงใจพระ ต้องสำรวมวาจาเรียบร้อย นี่ความเป็นปรกติทางวาจาก็เกิดขึ้นแล้ว
ทีนี้ที่ยิ่งไปกว่านั้น เราจะได้รับความปรกติทางใจ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แต่ชาวบ้าน ไม่ใช่แต่ญาติโยม แม้พระสงฆ์องค์เจ้าก็เหมือนกัน อยู่วัดอยู่วา บางทีใจมันก็ไม่ค่อยเป็นปรกติ ที่ไม่เป็นปรกติเพราะว่ามันยังมีกิเลสภายใน ยังมีตัวตนอะไรอยู่มาก เห็นก็เกิดตัวตน ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสอะไรมันก็เกิดตัวตน เกิดพอใจกับไม่พอใจ เกิดยินดีกับยินร้าย มันก็เสียความเป็นปรกติทางใจ แต่ว่าเมื่อเรามาสวนโมกข์นี้ มาได้สิ่งแวดล้อมที่ดี ย่างเข้ามาสวนโมกข์มีธรรมชาติร่มรื่น มีต้นไม้ร่มรื่นเยือกเย็น นั่งตามทราย ได้สัมผัสกับธรรมะตัวแท้ ซึ่งมันเย็น มันหนักแน่น มันมีอะไรรองรับสิ่งดีสิ่งร้ายอยู่ มันเป็นธรรมะอยู่แล้วในตัว ก็ได้มาสัมผัสกับธรรมชาติที่เป็นสื่อนำให้เกิดความเป็นปรกติขึ้น ยิ่งมาได้ยินคำพูดหรือโอวาทที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณท่านให้กับเราแต่ละครั้ง ก็ล้วนแต่เป็นสื่อนำให้เกิดความเยือกเย็นลึกซึ้งสนิทในทางจิตทางใจมากขึ้น มาเห็นพระสงฆ์มากๆ ภิกษุสามเณรมากๆ นี้ ล้วนแต่มีการสำรวมกายวาจาเรียบร้อย เราก็อยากจะทำตามบ้าง ใจของเราที่เคยนึกว่า เห็นพระองค์นั้นไม่เรียบร้อย สามเณรองค์นี้ไม่เรียบร้อย เช่นไปพบในตลาด ในที่ชุมชน อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ามาพบพระพบเณรที่สวนโมกข์แล้วเรียบร้อย จิตมันก็สบาย มีความสุข มีความปรกติทางใจยิ่งขึ้น จึงกล่าวได้ว่าเรามาสวนโมกข์นี้มาเพิ่มพลังที่จะให้เกิดความปรกติทางกายมากขึ้น เพิ่มพลังที่จะให้เกิดความปรกติทางวาจามากขึ้น มาเพิ่มพลังที่จะให้เกิดความปรกติทางใจนี้มากขึ้นยิ่งขึ้น แล้วก็จะได้นำความเป็นปรกตินี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ก็จะให้เกิดความสุขความเจริญในธรรมยิ่งขึ้น ตามที่อาตมากล่าวมานี้ก็เป็นเวลาสมควร ไม่ถึง ๑๕ นาทีด้วยซ้ำ ก็ขอสรุปไว้เพียงเท่านี้ ขอความสุข ความสวัสดี ความเกษมจากธรรม จงมีแก่ญาติโยม ผู้ฟังทั้งหลายโดยทั่วกันทุกคนทุกท่านเทอญ//
ท่านพุทธทาส : เอาอีกๆ เรียกว่าเราพูดแล้ว ชาวบ้านเขาฟังไหว ก็เอาอีก//
พิธีกรดำเนินรายการ: หลวงพ่อท่านเจ้าคุณท่านบอกว่าให้อาราธนาอีกสักรูปสองรูป จนกว่าญาติโยมที่จะง่วงนอนลงไปในที่สุด แล้วรายการหลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของคณะพระธรรมทูตคณะสงฆ์ซึ่งมีอยู่นี้ หลวงพ่อท่านจะได้ปรารภอะไรพูดอะไรเป็นข้อแนะนำตักเตือนที่จะนำพาไปใช้ในการที่จะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา อันเป็นหน้าที่ที่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปจำเป็นจะต้องรับผิดชอบ ในส่วนนั้นก็ยังมีท่านวรศักดิ์อีกรูปหนึ่ง ซึ่งท่านก็จะร่วมด้วยในรายการหลัง ซึ่งท่านก็ได้ไปบรรยายอยู่ที่ทางชุมพร ก็ไปบ่อย โรงเรียนเกษตรกรรมบ้าง วิทยาลัยพละบ้าง ศรียาภัยบ้าง ซึ่งก็สับเปลี่ยนกัน ก็เป็นที่รู้จักของพี่น้องชาวจังหวัดชุมพรส่วนมาก
ทีนี้ท่านมหาประสาทท่านก็ได้กล่าวถึงว่า เราทุกคนนี้เดินทางมานี้ก็รู้สึกว่าพกพาเอาบุญกันไปเยอะ วาระแรกก็มีน้ำใจเสียสละร่วมอนุโมทนาส่วนการกุศลสร้างบ้านพักชาวจังหวัดชุมพร หลายปีมาแล้วยังไม่ได้สร้าง เพราะอาตมาเองก็แยกไปอยู่เสียเอกเทศ สร้างวัดใหม่ก็รู้กันอยู่แล้ว ทีนี้ก็นึกว่าสักวันหนึ่ง ถ้าสร้างขึ้นมาแล้วก็จำเป็นจะต้องให้ได้มุงหลังคาได้ ให้พอเหมาะกับว่าบ้านพักชาวจังหวัดชุมพร วันนี้ท่านก็ได้เป็นบุญกุศล ๘,๓๗๗ บาท เมื่อตะกี้ด้วยแรงกรุณา หรือว่าเมตตา เอาเมตตาดีกว่า ด้วยแรงเมตตา อนุเคราะห์ให้เด็ก ๓ คน ๒๐๐ บาท นี้ได้มาแล้วเมื่อตอนต้น ทีนี้การเดินทางเข้ามาสู่ที่นี่ ก็คือการเตรียมตัวของเรานี้ เริ่มตั้งแต่เมื่อวันวาน,วานซืน ปรึกษาปรารภกันแล้วอย่างนี้ ชั่ววูบแห่งบุญกุศลเกิดขึ้นแล้ว ชั่ววูบแห่งการทำลายวันนี้เคยพูดหน้าสถานีรถไฟไชยา ชั่ววูบแห่งการทำลาย ยกตัวอย่างเช่น โกรธปุ๊ป โลภปั๊ปอย่างนี้ ก็อาจใช้ระเบิด ใช้ปืน ใช้เอ็ม16 อะไรต่อมิอะไรเข้าบั่นทอนประหัตประหารทำลายชีวิตผู้อื่น ตัวเองบางทีก็ถึงแก่ชีวิตด้วย นั่นคือส่วนทำลายส่วนเสีย
ชั่ววูบแห่งการทำดีก็เช่นเดียวกัน มันแบบวิธีลัดอย่างอาจารย์ฉลองว่าก็ได้ ซึ่งเพียงแต่ว่าเรามาร่วมกันทำบุญทำกุศล หรือว่าได้ข้อคิดอะไรบางสิ่งบางประการไป อย่างเช่นคำว่าปรกติของท่านมหาประสาท อย่างนี้ก็ตาม หรือตัวสมาธิ หรือศีล สมาธิ ปัญญา อันเกิดพร้อมกันในขณะจิตเดียวกันของอาจารย์ฉลองก็ตาม มันก็จะเป็นประโยชน์แก่เราได้ การเตรียมตัวในชั่ววูบในทางที่ดี อย่างด้านวิทยาศาสตร์อย่างนี้ เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) ที่อยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ลนั้น หลับไปตื่นหนึ่ง อารมณ์สบาย แอปเปิ้ลตกลงมาปุ๊ป นึกปั๊ปขึ้นมาทันทีว่า ทำไม,มันตกแล้ว หลุดจากขั้วแล้ว ทำไมมันลอยไปในอากาศ ตกลงมาในผืนดินล่ะ ความคิดนึกของเขาก็เกิดขึ้นมาทันที เกิดความถ่วงจำเพาะว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สสารทุกอย่าง ทุกมวลสารนี้ มันจะต้องตกลงมาในพื้นโลก เป็นแรงดึงดูด เกิดกฎเกณฑ์กันขึ้นมาเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะก่อเกิดความเจริญก้าวหน้าของบุคคลที่เจริญแล้ว นั้นคือเป็นไปในด้านสร้างสรรค์
นี่สำหรับบุคคลบางคน ก็เรียนไปแล้วก็พาไปใช้ในการทำลาย ฉะนั้นปริญญาธรรมชาติหรือปริญญาชีวิตอย่างที่เราดูภาพสไลด์ที่อาจารย์พยอมฉายให้ดูนั้นก็เหมือนกัน จึงจะได้ประโยชน์เกิดขึ้นหลายๆ ทาง ซึ่งประโยชน์ส่วนนั้นก็คือว่าเขารู้จักใช้หรือไม่ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นขึ้นอยู่กับวัตถุหรือจิตใจ ถ้าลงหนักไปในด้านทางวิทยาศาสตร์ ก็เชื่อวัตถุมากเกินไป เอาดีเอาเด่น ชิงดีชิงเด่นทางด้านวัตถุ ถ้าเคารพบูชาเอาแต่ไหว้พระอ้อนวอนสวดมนต์กันอย่างเดียว บูชาเทพเจ้าเทวาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่อย่างเดียว ก้อนหินก้อนกรวด อิฐหินดินทราย ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งอะไรที่เหนืออำนาจเป็นมหัศจรรย์แปลกหูแปลกตา กราบไหว้บูชาทั้งหมด อย่างนั้นเป็นเทวนิยมกันไปอีก
ทีนี้ถ้าเรามีจิตใจอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง รู้จักเหตุผล รู้จักใช้จิตให้เป็นปรกติ นี้แหละเป็นจิตนิยมโดยแท้ ทีนี้ในส่วนด้านที่เราจะเห็นว่ารูปด้านของการทำลาย อย่างเช่นลูกระเบิด ผู้คิดผู้ค้นนั้น ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะมาประหัตประหารกันอย่างนี้,ไม่ใช่ ทำลายภูเขาที่จะตัดหนทางไปเพื่อเอาส่วนนั้นมาทำถนนหนทางหรือว่าเอามาประดับเป็นหินโค้ง อย่างนี้ก็ยังได้ หรือบางทีก็เรียกว่าทำลายอาคารที่ผุพังแล้ว ลำบากแก่การรื้อถอน ก็ให้มันทำลายลงมา พาไปสร้างใหม่ เกิดการสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ ฉะนั้นหลักแห่งการตัดสินใจในการทำ พูด หรือคิด อาตมาขอให้ข้อคิด ๔ อย่าง
หนึ่ง มันเป็นสัจจะคือความจริงหรือไม่ เราจะทำอะไรลงไปนี่ มันมีความจริงใจต่อตัวเราเองไหม ถ้าเราจริงใจต่อตัวเราเองก็เท่ากับจริงใจต่อผู้อื่นไปในตัวด้วย เขาเหล่านั้นท่านทั้งหลายผู้ที่พบประสบกับเราผู้จริงใจนั้น ก็พลอยจริงใจไปกับการกระทำของเรานั้นด้วย แม้พูดก็พลอยมีความเชื่อถือในการจริงใจของเราที่พูดด้วย แม้ความคิดอันเป็นแนวโน้มต่างๆ เขาก็พลอยคิดไปในแนวโน้มแห่งความจริงใจของเราด้วย ฉะนั้นข้อที่หนึ่ง มีความจริงใจอันเป็นสัจธรรมหรือไม่ นี่ข้อที่หนึ่ง
ข้อที่สอง การพูด การทำ การคิดนั้น เป็นไปในด้านสร้างสรรค์หรือเปล่า ถ้าเป็นไปในด้านทำลาย แม้ใครจะไปคิด ไปพูด ไปทำก็ตามเถิด จะมาปริญญาเอ็มเอ,โอเค เอาไปอะไรทำนองนี้ก็ตาม ก็เรียกว่าไม่เป็นการถูกการต้องด้วยประการทั้งปวง แต่แม้ว่าเด็กเลี้ยงควายหรือใครก็ตาม มีความคิดไปในแนวสร้างสรรค์ จะเป็นส่วนย่อยส่วนเล็กส่วนใหญ่ก็ตาม คนๆ นั้นใช้ได้ เพราะเขาเป็นความคิดในด้านสร้างสรรค์ ในทางที่ดีที่งาม เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
ประเด็นที่สาม การกระทำก็ตาม พูดก็ตาม คิดก็ตาม เป็นประโยชน์แก่คนทุกๆ คนหรือไม่ ถ้าประโยชน์ส่วนหนึ่งเสีย ไปดีประโยชน์ส่วนหนึ่ง ก็เกิดอคติในตัวของเราเอง แต่ถ้าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย แบบว่าที่ว่าเป็นประโยชน์นั้น คือเรียกว่าเป็นประโยชน์ส่วนใหญ่ พุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาพูดอยู่เสมอ เหมือนเมื่อวาน เทศน์ที่ว.ป.ถ. ๑๕ กล่าวถึงความเมตตา ก็ยังเอาพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวอยู่ว่า จงเสียสละประโยชน์เล็กน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ จงสละความสุขเล็กน้อยเพื่อความสุขส่วนใหญ่ จงสละประโยชน์เล็กน้อย เพื่อประโยชน์อันไพบูลย์ การที่เราสละความสุขส่วนตน เพียงแต่ยกเรื่องขึ้นมาว่าเรานั่งรถไฟ คนเขาเดินผ่านอุ้มลูกแดงๆ ถ้าในอ้อมอกนั้นเป็นเราอย่างนี้ เขาจะไปหาที่นั่งที่ไหน บางทีเราเหลือบตาดู แล้วเขามาอย่างนี้ แกล้งหลับตาพริ้มอยู่เท่านั้นเอง พอพ้นไปแล้วยักคิ้วยักคางนิดๆ หน่อยๆ กับเพื่อนที่นอนอยู่ตรงกันข้ามอย่างนี้ นี่ภาพพจน์ นั่นคือเรียกว่าเราไม่สามารถจะสละความสุขส่วนตัวอันเป็นเรื่องเล็กน้อยได้ แต่ถ้าเราสละสิ่งเหล่านั้นได้ เราจะเกิดไมตรีจิตผูกมิตรสัมพันธ์ซึ่งกันกับคนๆ นั้นอีก ถ้าในรูปรอยของวิทยาศาสตร์ Law of Continuity-กฎแห่งการหมุนเวียนของไอน์สไตน์ (Einstein) หรือในแนวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัฏฏะว่าโลกนี้ยังกลมหรือหมุนวนอยู่ในลักษณะอย่างนี้แล้ว ถ้าเรานึกได้อย่างนั้น ก็อาจจะไปพบเขาในโอกาสกาลต่อไป ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันบ้าง ความคิดในการสร้างสรรค์ส่วนนี้ที่จะเป็นประโยชน์ส่วนนี้เป็นการเสียสละประโยชน์คือการไม่เห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง นี่เป็นเรื่องสำคัญ นี้ข้อที่สาม เป็นประโยชน์แก่คนทุกคนหรือไม่
ข้อที่สี่ มันยุติธรรมไหม จะทำ จะพูด จะคิดนั้น มันยุติธรรมไหม ยุติกับยุติธรรมมันต่างกัน คนๆ หนึ่งขับรถทับเด็กคนหนึ่ง ทนายความบ่งบอกว่าเด็กคนนี้ยากจน ให้ ๒,๕๐๐ บาท นี้เรื่องจริง เพราะพ่อแม่เขายากจน พลอยบ้านเขาอยู่ พลอยอู่เขานอน ให้ ๒,๕๐๐ บาท ทนายความเขาบอกว่ายุติกันได้ คือปรึกษากันแล้วก็พอยุติ ฝ่ายโน้นก็เอา เพราะตายไปแล้ว จะไปสู้รบตบมือก็ไม่ไหว เพราะไม่มีเงินมีทอง ยุติลงไปได้ เรื่องไม่มี อีกบ้านหนึ่งเพียงแต่รถเฉี่ยวเด็กล้มลงไปเท่านั้นเอง ลูกคนรวย แล้วก็ลูกของพี่ๆ ก็ได้รับการศึกษาสูงๆ เพียงแต่เฉี่ยวเท่านั้นเอง เสีย ๕๐,๐๐๐ ปรึกษาปรองดองกันแล้ว ก็เป็นการยุติลงได้ ออมชอมกันได้คือยุติ ส่วนยุติธรรมนั้น ต้องมีความเสมอภาคระหว่างทั้งสอง เป็นจริงในความเป็นจริงส่วนนั้น ซึ่งไม่ขึ้นอยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดด้วยประการทั้งปวง
ฉะนั้นการทำ การพูด การคิด จึงมีแนวโน้มแห่งหลักตัดสินอยู่ ๔ ประการ หนึ่ง เป็นสัจจะ คือความจริงไหม มีเป็นแนวโน้มแห่งความสร้างสรรค์หรือไม่ เป็นประโยชน์แก่คนทุกคนหรือเปล่า ยุติธรรมไหม ถ้าเราได้พิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆ แล้ว นั้นนั่นแหละจึงจะได้สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์แก่คนทุกๆ คนได้ เสียสละความสุขเล็กน้อยของตัวเองได้ ไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านกล่าวว่าตัวกู-ของกู อยู่บ่อยๆ เสมอนี้ เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
ฉะนั้นในการที่อาตมาได้กล่าวถึงว่า เหมือนกับคำว่าปรกติของท่านมหาประสาท เป็นการเพิ่มเติม คือเป็นการปรับตัวของเราเองให้อยู่ในอาการอย่างไรก็อย่างนั้น ปรกติตัวนี้วันนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่พรุ่งนี้หน้าบูดหน้าบึ้ง ไม่ใช่ปรกติแล้ว แม้จะนั่งสมาทานศีลสักร้อยครั้งก็ไม่ใช่เป็นคนมีศีลแล้ว เพราะไม่ปรกติ ปรกติเราอย่างไร จิตใจของเราอย่างไรก็อย่างนั้น แม้แต่เพียงการร้องไห้และหัวเราะก็ตาม ไม่ใช่ปรกติของชีวิตของเรา สูญเสียบิดามารดาอย่างที่หนังเมื่อตะกี้ สูญเสียยายไปอย่างนี้ ไม่ใช่เราร้องไห้ได้ทุกวัน,ไม่ใช่ ร้องไห้เวลาเสียใจตอนนั้น แล้วก็มาสภาพเดิมก็ปรกติ หรือไปดูหนัง เกิดหัวเราะร้องไห้อย่างนี้ หัวเราะเดี๋ยวเดียวก็เข้ามาสู่จิตปรกติอีก ความปรกติของจิตนั้น คือคงสภาพอย่างใดอย่างนั้นอยู่เสมอ นี้การเตรียมตัวเข้าวัดจึงรู้สึกว่าเราไปไหนๆ ที่เราไปกันมาแล้ว แล้วก็ไปกันบ่อย เป็นการทดสอบในตัว ถามญาติโยมเป็นอย่างไร แหม,ได้บุญเยอะอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะเราเตรียมตัวของเรามาก่อนแล้ว พอเข้าวัดตรงโน้นเอง รถจอดปั๊ป ถามทันที รู้สึกว่าร่มเย็นไหม เย็น,เย็นกายเย็นใจขึ้นมาแล้ว ลืมสิ่งทั้งหลายที่เป็นอดีต ที่อยู่ทางบ้านหมดห่วงหมดอย่างนี้ นี่เพราะเราเตรียมตัวกันมาก่อนแล้ว ผลงานต่างๆ กิจกรรมงานที่เราทำ สิ่งที่เราคิดก็ตามเถิด ถ้าได้เตรียมตัวเตรียมใจรับอารมณ์แห่งความเป็นปรกติของจิตไว้ก่อนอย่างนี้แล้ว รับรองว่าทุกๆ ท่าน ความทุกข์แม้มี เพราะจะว่าไม่มี,ไม่ใช่ ก็เป็นความทุกข์ที่เรามีปัญญาที่พอจะเข้าไปตัดสินและตัดปัญหาส่วนนั้นๆ ได้ จะไม่เป็นการทำลายตัวเองในรูปในลักษณะที่ว่าสร้างทุกข์ให้เกิดขึ้น พอกพูนทุกข์ให้เกิดขึ้น นี่ก็เป็นการเพื่อติงเวลาไปตามจังหวะ ประมาณสิบกว่านาที ตอนนี้ก็ไม่สามารถที่จะมองใครพบอีกแล้ว ก็หันเข้ารายการ//
ท่านพุทธทาส : ใคร, มีใคร//
พิธีการดำเนินรายการ: ก็ยังหลวงพี่จากจังหวัดระนอง ท่านอาจารย์พระครูประจักษ์ ขอนิมนต์ครับหลวงพ่อ//
อาจารย์พระครูประจักษ์ : กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ เพื่อนสพรหมจารีที่นับถือทุกท่าน และขอเจริญพรญาติโยมผู้ฟังทุกท่านด้วย อาตมาต้องขอโทษด้วย นั่งๆ แล้วรู้สึกเป็นหวัด คอแห้งๆ เลยต้องไปทางโน้น ไปดื่มน้ำอีกนิดหนึ่ง พอดีได้ยินเสียงให้มาพูด ก็ยินดีที่จะพูด คืออาตมาได้รับผิดชอบตั้งแต่มาสวนโมกข์ครั้งแรกประมาณปี พ.ศ. ๒๕๙๕ มาที่นี่ อาจารย์ได้พาเดินเลาะลัดมาจากคันนา แล้วก็มาที่สวนโมกข์ ตอนนั้นอาจารย์มาถึงที่นี่ ก็เปิดเทปนกเขาให้ฟัง ตอนแรกก็นกเขาขันตัวเดียวก่อน แต่เดี๋ยวเดียวก็มีขันสองตัวแข่งกัน แล้วอาจารย์ถามว่าคิดอะไรบ้าง บอกเสียงนกเขารู้สึกเป็นอย่างไร ก็บอกว่าของกูๆ เราไปคิดดู ตั้งแต่นั้นมาอาจารย์ก็พาไปเที่ยวน้ำร้อน เที่ยวที่ไหนต่อที่ไหน อาจารย์พาไปเดินดู ตอนนั้นมากับเจ้าคณะภาคด้วย แล้วเป็นครั้งแรกที่มาครั้งนั้น แล้วก็ทำให้คิดว่าเรื่องของป่า เรื่องของที่นี่ให้อะไรหลายอย่าง แล้วก็ปีต่อๆ มาก็พยายามที่จะมาอยู่เรื่อยๆ นี่ส่วนตัว แล้วญาติโยมก็พยายามจะมาเหมือนกัน ปีต่อมาก็นำพระภิกษุสามเณรมาที่...ร้อนบ้าง (นาทีที่ 31:01)
สำหรับมาในวันนี้ ในคืนนี้ก็มีญาติโยมส่วนหนึ่งที่มาเลี้ยงพระ กลับไปแล้วสองคันรถ แล้วโยมที่มาด้วยยังเหลือสองคันรถ ตอนแรกว่าจะพักที่นี่ แต่ดูแล้วรถเขาจะต้องกลับไปใช้งานพรุ่งนี้ เดี๋ยวเสร็จพิธีแล้วก็จะเดินทางกลับกัน ตอนนี้ให้คนขับรถนอนอยู่ก่อน คนที่นั่งบนรถนั้นหลับได้ไม่เป็นไร เพราะว่าอาจจะนั่งหลับไปบ้างก็ได้ ทีนี้ก็อย่าเพิ่งหลับนะ พอดีท่านอาจารย์ท่านพูดปรารภตอนที่อาตมามาเยี่ยมกับท่านเจ้าคุณราชญาณกวี ท่านบอกว่าสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องคิดกันให้มากขณะนี้สำหรับพวกเราผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาคือเรื่องศีลธรรม คือทำอย่างไรศีลธรรมกลับมา ท่านบอกว่าทุกเรื่องในเรื่องปัจจุบันนี้มันมีเรื่องอยู่เรื่องเดียว เรื่องอื่นๆ เขามีกันเรียบร้อยหมดแล้ว แต่ว่าจะทำอย่างไรให้ศีลธรรมกลับมานี้ เป็นเรื่องที่ต้องคิดกันให้มาก
เมื่อวานนี้อาตมาประชุมเรื่องศาสนสัมพันธ์ที่วัดบ่อน้ำร้อน มีทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ ทั้งอิสลาม อาตมาอยู่ในฐานะที่ปรึกษาของศูนย์รัฐบาลจังหวัด คิดโครงการที่จะเผยแผ่พุทธศาสนากัน หาวิธีการทำอย่างไรที่จะอบรมศีลธรรมแก่เด็กและเยาวชนและสังคม พุทธก็พูดไป คริสต์ก็พูดไป อิสลามก็พูดไปตามความคิดความเห็น มีสิ่งหนึ่งที่ผู้แทนที่ไปประชุมที่กรุงเทพฯ พูดในที่ประชุม จะนำมาบอกที่นี่ อาจจะมีประโยชน์บ้าง คือเรื่องการที่เราจะเผยแผ่พุทธศาสนาหรือจะทำให้ศีลธรรมเกิดในสังคมนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสนาอิสลามเขามีโครงการดี คืออิสลามนั้นเขาถือว่าสถาบันที่สำคัญที่สุดที่จะก่อให้เกิดศาสนานั้นคือครอบครัว คือพ่อแม่จะต้องเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมในศาสนาที่ตนนับถืออย่างเคร่งครัด แล้วก็พ่อและแม่นั้นจะต้องพยายามชักจูงคอยดูคอยแลลูกของตนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมนั้นด้วย แล้วเพราะข้อนี้อาตมาจึงเห็นว่า อาตมาเป็นครูสอนศีลธรรมอยู่ในโรงเรียนตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๙๕ จนถึงปัจจุบันนี้ เห็นจริงอย่างนั้นด้วย คือส่วนมาก ขออภัยเถอะ,บางทีเราการสอนศีลธรรมนี้จะมอบให้ครู พ่อและแม่นี้บางบ้านก็รู้สึกว่าเอาใจใส่ แต่บางบ้านรู้สึกว่า ขอพูดตรงๆ ว่าบางทีก็ปล่อยปละละเลย ไม่ค่อยเอาใจใส่เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเราจะคิดว่าทางโรงเรียนจะพยายามสอนศีลธรรมกัน ก็นั่นแหละการสอนศีลธรรมก็เหมือนกัน เราสอนในรูปแบบที่เรียกว่าสอนตามตัวหนังสือ,พูดอย่างนั้น ตัวหนังสือในโครงการหลักสูตรเขาว่าไว้อย่างนั้น แล้วก็สอนไปอย่างนั้น สอนแล้วสอบไล่ เลื่อนชั้นก็แล้วกัน
ทีนี้อาตมาได้รับการนิมนต์จากกระทรวงศึกษาธิการเป็นครูสอนตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๒ จนถึงปัจจุบันนี้ อาตมาบอกว่าเรื่องสอนศีลธรรมนั้น ไม่ใช่สอนหนังสือ หนังสือเป็นแต่บอกให้ทำอย่างนั้นๆ แต่เราต้องทำตามหนังสือที่ว่าไว้ นักเรียนจะต้องทำอย่างนั้นๆ เช่น สอนเรื่องการออมประหยัด ก็ต้องประหยัดกันจริงๆ นักเรียนต้องมีการประหยัด ต้องมีการฝากออมสิน ต้องมีทำอะไรกัน จนผู้ปกครองบางคนมีหนังสือร้องเรียนมาว่า อาตมานี้บังคับให้เด็กเขาฝากเงิน คืออาตมาบอกว่าจะให้คะแนนศีลธรรม นั่นไม่ใช่ลมๆ แล้งๆ ต้องการให้นักเรียนมีการออมประหยัด บางคนไม่เข้าใจ ไปชี้แจงให้ผู้ปกครองฟัง เขาก็ถือเป็นเรื่องคล้ายๆ ว่าพูดให้พ้นๆ ก็แล้วกัน นี่ยกตัวอย่าง อย่างสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องศีลห้านี้ ข้อหนึ่งถึงข้อห้าห้ามอะไรบ้าง และถามว่าวันนี้ใครทำอะไรบ้างไหม สอนเสร็จแล้วทุกคนปฏิบัติ เจ็ดวันมารายงานว่าใครรักษาข้อไหนได้บ้าง ถ้ารักษาได้ก็จึงให้คะแนน แต่ถ้ายังรักษาไม่ได้ ยังไม่ให้คะแนน ให้,ก็ให้ความรู้ อย่างนี้เป็นต้น คือเราจัดกิจ เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่ากิจกรรม คือต้องทำกัน
ทีนี้ถ้าหากว่าเราทุกคนเป็นพ่อแม่อยู่ทางบ้านนั้น ถ้าเคร่งในศาสนานะ แล้วปฏิบัติอยู่ในศาสนาด้วย รับรองว่าลูกหลานนี้สอนง่าย อย่างที่คนไปวัดบางคน อย่างยายบ้าง ตาบ้าง ไปวัด ยายไหว้พระ หลานต้องไหว้ตาม บางทีลูกไหว้พระสิ,ลูก บางทีแม่ไม่ไหว้ จับมือให้ลูกไหว้อยู่นั่นแหละ ลูกก็วิ่งหนีเสีย ตอนแรกๆ ก็อาจจะไหว้บ้าง ทีหลังไม่ไหว้ แต่ถ้ายายไหว้ อย่างเมื่อตะกี้มีปริศนาธรรมะอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องปริญญาของยาย คือถ้ายายทำแล้ว หลานก็ทำได้
ฉะนั้นขอฝากท่านทั้งหลายที่เป็นยายกับตา ที่มานั่งฟังนอนฟังกันอยู่ที่วันนี้ อดหลับอดนอนกัน ให้เป็นห่วงศาสนาศีลธรรมอย่างที่หลวงพ่ออาจารย์นี้ท่านเป็นห่วงมาก ให้เราทำตนเป็นตัวอย่าง จงทำอย่างฉันทำและจงทำอย่างฉันพูด นี่เป็นชาวพุทธที่แท้จริง เราทำอย่างหนึ่งเราจะสอนลูกอย่างหนึ่งก็ยาก อย่างแม่ปูสอนลูกปูนั้น ถ้าแม่ปูเดินคด จะให้ลูกปูเดินตรงอย่างไร มันก็ต้องเดินคดนั่นแหละ คืออย่างนั้น เพราะฉะนั้นต้องขออภัยด้วยที่พูดอย่างนี้ ปัจจุบันนี้สังคมพระเราก็เหมือนกันแหละ ขออภัยด้วย,หลวงพี่หลวงน้าทั้งหลาย คือเราจะเป็นพระ เป็นสมภาร เป็นเจ้าอาวาสพระสังฆาธิการก็เหมือนกัน มีหน้าที่ปกครองลูกน้อง ดูแลๆ ถ้าหากว่าเราสมภารเจ้าอาวาสปฏิบัติไปเสียอย่างหนึ่ง ลูกน้องลูกวัดก็ยากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็ขอฝากไว้ว่า ไม่ต้องโทษใครกัน ถึงคราวแล้วจะต้องช่วยกัน สถาบันทั้งสามคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรามีเชือกสามเกลียว ถ้าสามเกลียวนี้ เกลียวใดขาดไปแล้ว ก็นั่นคือพังทลาย เพราะฉะนั้นขอฝากท่านทั้งหลายไว้ด้วย ผมขอแสดงความคิดเห็นเพียงแค่นี้ ขอบคุณครับ//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,ใครอีกล่ะ,เอาความรู้ใหม่ๆ ที่ค้นหาได้ในหนึ่งปีนั้น มาพูดให้ญาติโยมฟัง ให้ง่ายๆ ชัดๆ//
พิธีการดำเนินรายการ : ทีนี้เอาใครท่านอาจารย์พระครูศรี/ อาจารย์พยอมมาใช่ไหม ยังอยู่ใช่ไหม/ เอ้า,ขอนิมนต์อีกสักทีครับ ยังติดใจอยู่ ญาติโยมยังติดใจ เพราะเมื่อตะกี้เลิก ผมเข้ามาบอกไม่ทัน คือจะบอกให้เลิกสักสามทุ่มยังดี เพราะว่าหลวงพ่อก็ยังต้องการสนทนาอยู่กับญาติโยมกรุงเทพฯ ขอนิมนต์ครับท่านอาจารย์พยอม นี่ความจริงก็ผ่านชุมพรบ่อย แต่ว่าผ่านปุ๊ป ก็ไปปั๊ป เพียงแต่ผ่านหรือแวะนิดๆ เท่านั้นเอง ส่วนมากก็ร้านพูลสาร ตรงถนนศรีรัตน์นั้น ขอนิมนต์ครับ/ นี้คือพระอาจารย์พยอมที่เป็นองค์พากษ์เมื่อตะกี้ครับ//
พระอาจารย์พยอม : ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่พระคุณเจ้าและท่านสาธุชนผู้ที่มีความสนใจในธรรมทุกท่าน ในช่วงเวลาอันสั้นสิบกว่านาทีที่จะให้ข้อคิดเรื่องธรรมะง่ายๆ ที่จริงก็อยากจะพูดถึงสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังมานั่นเอง แต่ว่าเราจะทำอย่างไรให้ความรู้สึกอันนี้มันแนบแน่นอยู่ในจิตใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ๆ โดยชัดเจนขึ้นมา นั่นก็คือปัญหาที่เราได้ยินได้ฟังกันเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาที่นี่ ก็คือว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ไหนก็ให้ดับที่นั่น หรือที่เราเคยได้ยินว่านิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ คือเดี๋ยวนี้มีคนมีปัญหาว่า เกิดขึ้นที่นี่แต่ว่าหวังจะไปทำอะไรๆ เพื่อต่อไปๆ เพื่อแก้สิ่งที่มันเป็นอยู่อย่างเดี๋ยวนี้ เช่นอย่างเมื่อไม่นานนี้ ไปที่บ้านของคุณโยมคนหนึ่งซึ่งเคยสนิทกัน แกเกิดปัญหาเรียกว่าอบรมลูกไม่ได้ผล แล้วก็จนกระทั่งไม่ได้พูดกันเลยเวลานี้กับลูกของแกคนนี้ ปรากฏว่าแกบอกว่าไม่พูดกันมาสองปีแล้ว แกร้อนใจมาก มีลูกหลายคน ปรากฏว่าคนเล็กนี้สร้างปัญหาที่สุดเลย แกก็บอกว่าเลี้ยงลูกมา ๗ คนแล้ว ไม่หนักใจเท่า ไม่ร้อนใจเท่ากับคนสุดท้องนี้ ผลที่สุดแกก็เลยบอกว่า เอ๊,สงสัยว่าเรานี้มันมีกรรมอะไรมา ไม่ได้สร้างความร่มเย็นอะไรไว้ ผลที่สุดแกก็คิดหาทางดับร้อนดับความวุ่นวายของแก ด้วยการไปซื้อพัดลมถวายพระที่วัดหนึ่ง ๑๘ ตัว ปรากฏว่าชาติก่อนนี้เรามันคงจะไม่เคยสร้างความเย็นๆ เอาไว้ เลยไปสร้างพัดลมถวายวัดไว้ ๑๘ ตัว ติดกุฏิพระ ติดศาลาอะไรต่างๆ เต็มไปหมด นี่ก็หมายความว่ามันร้อนที่นี่ แต่ไปสร้างพัดลมไว้เป่าที่วัด นี้คือปัญหา ที่เราที่เป็นพุทธบริษัทก็เหมือนกัน ถ้ามันเกิดเรื่องร้อนใจที่นี่ แต่คิดจะไปดับเอาไว้ในเรื่องชาติหน้า พุทธศาสนาจะไม่ได้เกื้อกูลเอาเลยเท่าที่ควรหรือว่าไม่เกื้อกูลเท่าที่ควร เพราะว่าเราเกิดร้อนใจที่บ้าน แต่ไปซื้อพัดลมถวายพระ พระท่านก็เย็นนะสิ เราก็ร้อนต่อไป
เดี๋ยวบางคนว่า เอ๊,หมู่นี้ทำมาหากินไม่ค่อยจะทันกิน เงินไม่ค่อยจะพอใช้ สงสัยว่าเมื่อชาติก่อนนี้เราไม่ค่อยได้ทำบุญสุนทานอะไรไว้กระมัง ก็เลยมีอะไรๆ ก็ขนๆ ไปทำบุญเสียหมด แล้วผลที่สุดก็เลยมาบ่นอดหนักเข้าไปอีก เหมือนอย่างกับโยมเมื่อไม่นานนี้ก็เล่าว่าที่นครนายก ปรากฏว่าโยมผู้หญิงคนหนึ่งไปฟังเทศน์ พอดีพระท่านเทศน์ เทศน์เรื่องเขาสร้างศาลา บอกว่าพระเทศน์ว่าเมียมาณพ ๔ คน แหม,มันอยากจะได้ร่วมไปเกิดกับสามีต่อไป ส่วนสามีนี้จะสร้างช่อฟ้าใบระกา แล้วบอกว่าอยากจะสร้างเสียคนเดียวหมด ตายแล้วจะได้ไม่ต้องยุ่งกับพวกผู้หญิงเหล่านี้อีกต่อไป ผู้หญิงนี้ยังอยากจะเกิดไปร่วมอีก ก็เลย แหม,ขอแทรกทำบุญเข้าไปด้วย ในเรื่องเทศน์ว่าอย่างนั้น ไปบอกช่างให้บอกว่าหาใบระกาที่อื่นใส่ไม่ได้ ต้องไปเอาที่ภรรยา ๓ คนนี้ ภรรยา ๔ คน แต่อีกคนหนึ่งไม่สนใจเรื่องบุญกุศล อีก ๓ คนนั้นสนใจ ผลที่สุดพอตายเสร็จแล้วทั้งหมดนี้ไปเกิดเป็นเมียพระอินทร์หมด ๓ คนนี้ ส่วนอีกคนไปเกิดเป็นนกกระยาง เพราะนางคนนั้นไม่เอาอะไร เช้าขึ้นมาก็หมุนอยู่หน้ากระจกวันละ ๓ รอบ ๘ รอบ ไม่ยุ่งเรื่องบุญกุศล ผลที่สุดพอยายคนนี้แกฟังเสร็จ แล้วกลับมาขายนาเลย สร้างช่อฟ้าใบระกาใหญ่ แล้วเที่ยวคุยกับคนนั้นคนนี้ว่าฉันตายแล้วสบายแน่ๆ เหมือนกับคนมักจะชอบคุยว่า ถ้าฝังลูกนิมิต ๗ วัดแล้วก็สบาย ตายแล้วไม่ตกนรก แต่กลับไปแล้วก็ยังขี้โกรธโมโหลูกหลานตามเดิม แล้วก็ยังไปคุยว่าตายแล้วไม่ตกนรก นี่เขาเชื่อกันมาก เอ้า,ทีนี้ปรากฏว่า อยู่ต่อมายายคนนี้แกมีหลานอยู่คนหนึ่ง แกก็เลยบอก ตอนเป็นอัมพาต เงินก็ไม่ค่อยจะพอใช้ เลยชวนหลาน บอกว่าเรารีบผูกคอตายเถอะ เพราะว่าสวรรค์คอยเราแล้ว พระท่านเทศน์รับรองไว้แล้วว่า ตายแล้วได้เป็นเมียพระอินทร์ ผลที่สุดเลยชวนกันผูกคอตายเพื่อไปเอาสวรรค์ ทั้งๆ ที่ตัวเองตอนจะตายนั้น ตายแบบเร่าร้อน ตายแบบเป็นทุกข์ นี่ก็เป็นประการหนึ่งที่พวกเราน่าจะเอาไปนึกคิดว่า ร้อนที่ไหนก็ต้องดับมันเย็นที่นั่น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้รับประโยชน์จากอันนี้
แล้วก็มีเรื่องที่อยากฝากไว้อีกอย่างหนึ่งซึ่งคนสมัยนี้พูดกันง่ายๆ แม้แต่คนที่เป็นระดับนักการเมืองก็ยังพูดกันง่ายๆ ข่าวเมื่อไม่นานนี้ ว่าเวลาแยกทางกันแล้วไปมีคู่ครองใหม่ ไปแต่งงานใหม่ แล้วเขาบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร เราแยกกันเรียบร้อยแล้ว ถึงมีลูกก็แบ่งกันไปเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างที่นักการเมืองคนหนึ่งไปทำไม่ดีไม่งามกับนักศึกษา แล้วก็จนกระทั่งเขาฟ้องร้อง ต้องรับแต่งงานกับเขา แล้วก็ให้สัมภาษณ์ทางหนังสือพิมพ์ว่าผมไม่มีปัญหา มีภรรยาแต่มีลูกอยู่ ๒ คน บัดนี้แยกกันอยู่นานแล้ว ไม่มีปัญหา แต่เวลานี้ได้เกิดปัญหาอย่างหนัก คืออาตมาได้มีโอกาสไปตามโรงเรียนต่างๆ พอบรรยายธรรมหรือฉายสไลด์เสร็จ ตามโรงเรียนที่มีสหศึกษาหรือโรงเรียนสตรี หรือว่าโรงเรียนทั้งผู้หญิงผู้ชาย เกิดมีปัญหาว่าเวลานี้นักเรียนนี้หนีออกจากบ้านมาก แล้วก็ร้องไห้ ให้มาตอบปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ ในจำนวนเด็กที่เข้ามาหามีอยู่หลายโรงเรียนที่ได้ไปพบมา คือร้องไห้ กลัว นอนไม่หลับ ผ่ายผอมไป ถามว่ากลัวอะไร ปรากฏว่ากลัวพ่อเลี้ยงทำไม่ดีไม่งาม บ้างก็กลัวแม่เลี้ยงเฆี่ยนตีอย่างนั้นอย่างนี้ จนกระทั่งหวาดผวาอยู่ที่บ้าน เด็กประสาทหลอนไปเลย จำนวนหลายคน เพราะเหตุว่าพ่อแม่แยกทางกันง่ายๆ
และเมื่อไม่นานนี้ ในสถานีกรุงเทพฯ อาจารย์เต็มสิรินี้เข้าไปสำรวจดู แล้วแกก็เล่าให้ฟังว่า เวลานี้คนในกรุงเทพฯนี้ แยกหย่าร้างกันมากเหลือเกินระหว่างสามีภรรยา หย่าร้างกันนี้ปรากฏว่าอายุไม่ใช่น้อยๆ คนที่หย่าร้างกัน เขาบอกว่าอายุ ๔๕ ถึง ๖๐ มันแก่จะเข้าโลงแล้วยังหย่าร้างกันอีก ซึ่งปล่อยให้ลูกหลานต้องเคว้งคว้าง แล้วก็เกิดความไม่อบอุ่นในบ้านถึงกับแยกทางกันไป เพราะฉะนั้นคนไหนก็ตามที่คิดจะหย่าร้าง คิดจะเบื่อหน่ายกัน ขอให้คำนึงโทษร้ายซึ่งจะเกิดกับลูกหลานของเรา ซึ่งเขาจะไปอยู่กับแม่เลี้ยงก็ไม่สนิทใจ อยู่กับพ่อเลี้ยงก็ไม่สนิทใจ เลยทำให้หนีออกจากบ้านไปมากมายในเวลานี้ เช่นข่าวหนังสือพิมพ์ลงที่จังหวัดนนท์ที่อาตมาอยู่ใกล้ๆ กันนั้น ตำรวจตามหาให้ควั่กไปหมด สามวันเต็มๆ เพราะมีเด็กผู้หญิงจากนครปฐมหนีพ่อแม่ไป ๓ คน แล้วก็ไปนั่งเล่นกันที่ท่าน้ำนนท์ ผลที่สุดผู้ชายวัยรุ่นในนั้นก็ฉุดเข้าไปสวน ๓ คนหายไปสามคืน หนีกลับมาได้คนหนึ่ง เวลานี้อีก ๒ คนยังหาไม่เจอ
นี่เป็นผลร้ายมาจากพ่อแม่มักง่าย ที่พูดว่าแยกทางกันแล้วไม่เป็นไร เอาลูกไปเลี้ยงกันคนละคนสองคนก็หมดเรื่องกันไป แต่ความรู้สึกของเด็กนั้นไม่ได้หมดเรื่อง เพราะเขาอยู่กับแม่เลี้ยงก็ไม่สนิทใจ อยู่กับพ่อเลี้ยงก็ไม่สนิทใจ เพราะฉะนั้นก็ขอฝากคนที่คิดว่าเลิกกันง่ายๆ หย่ากันง่ายๆ ร้างกันง่ายๆ เอาไว้ด้วย แล้วก็ช่วยไปเตือน ถ้าใครไม่มีการหย่าร้างในที่นี้ ก็ขอให้เตือนคนอื่นต่อไป ช่วยกันไปปรองดองสามัคคีว่าเอ็งทำอย่างไรก็ให้นึกถึงลูกเข้าไว้ อย่าเพิ่งแยก อย่าเพิ่งอะไรกันเลย ขอให้หวานอมขมกลืน อะไรก็ขอให้ก้มหน้าก้มตาอดทน ซึ่งเป็นธรรมะของฆราวาสธรรม ๔ นั่นเอง ต้องมีสัจจะจริงใจต่อกัน แล้วก็มีการข่มใจ มีความอดทน มีการสละในสิ่งที่ไม่ดีออกไป จนกระทั่งอยู่กันได้เพื่ออนาคตของลูกของหลาน ช่วยกันทำดีไว้ให้ลูกทำถูกไว้ให้หลาน ไม่ใช่นึกไม่พอใจก็แยกร้างกันง่ายๆ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนอายุตั้ง ๔๕ ถึง ๖๐ นี้หย่าร้างกันมากกว่าคนหนุ่มสาว แล้วค่านิยมเราก็เปลี่ยนไป ที่คนสมัยก่อนเขาติเตียนกันมาก ชายสามโบสถ์ หญิงสามผัว ชั่วช้าเลวทราม แต่คนสมัยนี้ ยิ่งหลายผัวเขาถือว่าเก่งมาก ยิ่งหลายเมียยิ่งเก่งมาก นี่ก็คือความวิบัติที่จะตามมาแก่พวกเรา ซึ่งไม่เหมาะสมกับความเป็นพุทธบริษัทด้วยที่จะมากชู้ มากผัว มากเมีย แล้วเวลานี้สิ่งเหล่านี้กำลังยั่วยวนมากขึ้น ที่เป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เราก็คงจะพบว่า เรือท่องเที่ยวหรือรถทัวร์อะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้มีแต่สิ่งยั่วยวนให้คนนี้ตกไปในทาสของกามารมณ์อย่างหนัก เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทที่มาอยู่ที่นี่ จะต้องมีการฝึกจนกระทั่งไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ แล้วก็ไม่หย่าร้างกันง่ายเพื่อไปหารสใหม่ๆ แปลกๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แค่เวทนา กี่คนๆ มันก็แค่เวทนาเท่านั้น ก็แค่สุขชั่ววูบเดียวๆ ฉะนั้นเราจะต้องไม่ให้ถูกความสุขแค่ชั่ววูบเดียวๆ นี้หลอกหลอนเรา โดยเฉพาะอย่างตะกี้นี้ มีนิทานเรื่อง ๖ ผีร้าย มันต้องตายเพราะเสียงบ้าง ตายเพราะรูปบ้าง ตายเพราะกลิ่นบ้าง ตายเพราะรสบ้าง เพราะฉะนั้นเราจะเสียคนเสียลูกที่ดีๆไป เพราะมัวหลงรสแปลกๆ อะไรแปลกๆ ฉะนั้นก็ขอฝากว่าในคืนนี้ในโอกาสเที่ยวนี้ ก็ขอฝากไว้อีกนั่นแหละก็คือช่วยกันยับยั้งใจที่จะคิดเปลี่ยนอะไรง่ายๆ ไว้เพียงเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,ทีนี้ก็ขยับมาหารายการของเราที่มีความหวังว่าได้มาพบกันปีละครั้ง แต่ละครั้งนี้ขอให้เป็นการเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการที่จะเผยแผ่พระศาสนา เพื่อว่าจะได้ไปช่วยกันทำให้ศีลธรรมกลับมา อย่างเมื่อตะกี้ก็ดี ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ก็ดี มันก็แสดงว่ามันถึงขนาดหนักแล้วความเสื่อมของศีลธรรม เสื่อมมากถึงขนาดอันตรายแล้ว ฉะนั้นขอให้ช่วยกันต่อต้าน ทำทุกอย่างทุกประการเพื่อให้ศีลธรรมกลับมา แล้วก็ให้ถือว่าเราเหนื่อยยากลำบากนี้เพื่อสนองพระพุทธประสงค์ อย่าหวังว่าจะเอาลาภสักการะเกียรติยศเสียงสรรเสริญอะไรแก่เราเองเลย ผู้เผยแผ่พระธรรมทั้งหลายอย่าได้คิดว่าเพื่อประโยชน์แก่ลาภสักการะสรรเสริญแก่เราเลย ขอให้ทำด้วยหวังว่าสนองพระพุทธประสงค์ แล้วอื่นๆ มันจะรวมมาด้วยหมดแหละ ถ้าเพื่อสนองพระพุทธประสงค์เพียงอย่างเดียวแล้วมันจะลากเอาอื่นๆ มาด้วยหมด นั่นคือประโยชน์ความเจริญแก่แต่ละคน แก่สังคม แก่บ้านเมือง แก่อะไรก็จะถูกลากตามมาหมด เพียงแต่ทำเพื่อสนองพระพุทธประสงค์เท่านั้นเอง
เอาล่ะ,เป็นอันว่าเราเอาแน่ เราทุกคนที่นี่สมัครเอาแน่ ฉะนั้นก็คิดหาหนทางต่อไป เพื่อให้การเอาแน่ของเรานี้เป็นไปได้ แล้วก็สำเร็จประโยชน์จริงด้วย ดังนั้นเราจะต้องฝึกฝน,เราจะต้องฝึกฝน นี่ขอใช้คำต้องฝึกฝนให้ยิ่งขึ้นไป ในทุกแง่ทุกมุมทุกอย่างทุกทางที่จะให้เราสามารถเผยแผ่พระศาสนาเพื่อศีลธรรมกลับมา ฉะนั้นผมขอร้องอย่างยิ่งให้ช่วยใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ได้รับผลตามนี้ ทีนี้เราก็จะต้องมีการฝึกฝนกันบ้างแล้ว เมื่อตะกี้ก็บอกแล้วว่ามันต้องฝึกฝน ฉะนั้นเราก็ถือโอกาสฝึกฝน ให้การฝึกฝนนี้เป็นประโยชน์แก่ญาติโยมด้วย เราจะฝึกฝนกันด้วยเรื่องที่ญาติโยมก็พอจะฟังเข้าใจ ทีนี้ฝึกฝนอะไร มันมีหลายอย่างหลายประการ แต่ที่ผมเห็นว่าควรจะก่อนเอาก่อนนี้ก็คือฝึกฝนวิธีที่จะใช้คำพูด วิธีพูด ใจความของการพูด หัวข้อของการพูดให้มันลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป ให้ฝังอยู่ในใจของญาติโยมทั้งหลายให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ฉะนั้นวันนี้เราจะฝึกเพื่อเป็นตัวอย่างกันสักข้อหนึ่งก่อน คือเราจะพยายามให้ญาติโยมเข้าถึงพระรัตนตรัยยิ่งขึ้น นี้เรียกว่ามันเป็น ก.ขอ ก.กา เป็นหญ้าปากคอก,เรื่องพระรัตนตรัย ที่แล้วมามันยังไม่พอ ยังไม่หนักแน่นพอ ยังไม่จริงจังพอ ฉะนั้นขอให้เราพยายามที่จะเข็นความรู้ความเข้าใจของญาติโยมให้ลึกเข้าไปๆ จนถึงกับรู้สึกด้วยใจจริง เห็นแจ่มแจ้งด้วยสติปัญญา ถึงขนาดที่ว่าพระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่,พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ นี้เข้าใจว่าคงยังไม่เคยได้ยิน หรือยังไม่มีใครเคยพูด เพราะว่าเขาไม่ฝึกฝน เขาไม่พยายามจะขยับให้ลึกลงไป ลึกลงไป เดี๋ยวนี้เราต้องทำแล้ว ฉะนั้นผมจึงตั้งหัวข้อสำหรับการฝึกฝนที่นี่และเดี๋ยวนี้ รวมทั้งการสอบไล่พร้อมกันไปในตัวเลย เวลาของเรานี้จะเป็นการฝึกฝนและสอบไล่พร้อมกันไปในตัวทีละข้อๆ ที่จำเป็นจะต้องเอาไปใช้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทีนี้หัวข้อนี้ก็คือ หัดใช้คำพูดที่กะทัดรัดฝังจิตฝังใจเหมือนกับตอกหมุดเข็มลงไปในจิตใจของญาติโยมทั้งหลายเกี่ยวกับพระรัตนตรัยให้ยิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้วมา
ฉะนั้นขอให้การฝึกฝนหรือการสอบไล่ของเราดำเนินไปเดี๋ยวนี้เลย ขอนิมนต์ท่านมหาประทีปออกมาพูดที่ไมโครโฟนนี้ ให้ญาติโยมเข้าใจว่า พระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ได้อย่างไร ขอนิมนต์ท่านมหาประทีป และก็จะต้องขอนิมนต์องค์อื่นๆ ด้วยนะ เตรียมไว้ด้วยนะ ไล่ไปตามลำดับ เดี๋ยวนี้มหาประทีปไม่อยู่เหรอ เอ้า, นิมนต์มาสิ อย่าโอ้เอ้สิ ระบุให้เป็นคนแรกนี้มันออกจะหนักหน่อยนะ เอ้า,ไม่เป็นไร เห็นว่าสมควรแก่อัตภาพ คุณช่วยไปพูดให้ญาติโยมเห็นแจ้งว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ ในเวลา ๑๐ นาที//
พระอาจารย์มหาประทีป : เอ้า,พระเถระ ตลอดถึงเพื่อนสพรัหมธรรมจารี และญาติโยมผู้เป็นพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งหัวข้อที่ท่านอาจารย์ได้มาฝึกเป็นพิเศษว่าให้พูดให้เข้าถึงจิตถึงวิญญาณของผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่
อันนี้ตอนแรกก็ให้สำนึกเสียก่อนว่า คำว่าพ่อหรือแม่ พ่อแม่ ภาษาบาลีว่า ปิตุ หรือ มาตุ ก็แปลว่าผู้เลี้ยง,ผู้เลี้ยงดู เห็นว่าเนื้อหนังร่างกายนี้ก็พ่อแม่ของเราที่เป็นตัวตนอยู่นี้เลี้ยงดูเรามา แต่ถ้าหากว่าในทางจิตทางวิญญาณแล้วคือพระพุทธเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดู และก็พระธรรมเป็นผู้เลี้ยงดู ทีนี้ใครเล่าที่เป็นผู้เป็นคนที่สามให้คนสำนึกในพระคุณของคุณพ่อหรือคุณแม่ ก็คือพระสงฆ์ซึ่งเป็นพี่ที่จะต้องกล่อมเกลาเราทั้งหลายผู้เป็นบุตร เพราะพ่อแม่เองจะบอกว่า นี่แกต้องกตัญญูอยู่ต่อข้านะ ข้าอุ้มท้องแกมาตั้งสิบเดือน ลูกมันไม่ฟัง บางทีมันอาจจะชี้หน้าว่าอยากจะเกิดฉันมาทำไมก็ได้ ทีนี้มันขาดคนที่สามที่จะช่วยยกจิตวิญญาณให้ลูกเด็กหรือใครก็ตามให้สำนึกในพระคุณของคุณพ่อหรือคุณแม่คือพระพุทธเจ้าและพระธรรมในความหมายที่กำลังพูดอยู่นี้
ทีนี้อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องให้สำนึกในเรื่องนี้ จะบอกว่า อาตมาก็เคยไปอบรมเด็กๆ นักเรียน เคยถามครั้งแรกว่า คือต้องการจะปลูกฝังความรู้สึกในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ว่าถามว่าเธอเกิดได้ชีวิตมานี้เพราะใครให้มา เขาก็ตอบว่าพ่อแม่ บางทีถึงเด็กมหาวิทยาลัยก็มี ก็บอกว่าถูกแหละ แต่แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทำไมจึงให้เพียงแค่นั้น ก็บอกว่า ถามต่อว่า ถ้าหากว่าเราไปเกิดในพ่อแม่ที่ใจดำอำมหิต ถ้ารู้ว่ามีท้องเสีย ทำแท้งเสีย หรือกินยาเสีย เกิดแล้วทิ้งขว้างตามถนนหนทางในป่า ตายไหม เขาก็บอกว่าตาย อ้าว,ทีนี้พ่อแม่มีอะไรต่อเราอีก เขาก็บอกว่าบางทีก็ตอบไม่ถูก บางทีก็บอก เมตตาหรือมีพระคุณ ก็เลยบอกว่าถูก เมตตาหรือพระคุณอันนั้นเขาเรียกว่าธรรมะที่เกิดเรามา ที่มีอยู่ในหัวใจของมารดาและของบิดา
ทีนี้ธรรมะนี้ใครเป็นผู้คนพบ เป็นคนแรกที่เอาเปิดเผย ตอบว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่นำธรรมะนี้มาเปิดเผย ก็คือเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง ทีนี้ธรรมะเหล่านี้ที่ยังเหลือมาอยู่ ซึ่งทำให้เราได้รู้ได้เข้าใจ ตกทอดมาถึงมารดาบิดาถึงเราทุกวันนี้ ใครเป็นผู้สืบตกทอดกันมา เขาก็ตอบว่าพระสงฆ์ เด็กๆ เขาก็ไม่ค่อยรู้ ก็บอกให้ แล้วก็พูดว่า ถามว่าทีนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีพระคุณต่อเราหรือไม่ เขาบอกว่ามี มีต้องทำอย่างไร อันนี้เคยมีปัญหากับเด็ก ตอนนั้นไปพักที่วัดชัยมงคลที่จังหวัดสงขลา ไปบรรยายที่วิทยาลัยเทคนิคภาคใต้ มีลูกของป่าไม้คนหนึ่งอายุ ๖ ขวบแค่นั้นเองแหละ มาถึงก็มานอนพักที่วัด แกรู้จักกับพระในวัด เสร็จแล้วพอมาถึงก็ตอนนั้นค่ำแล้ว แกมาถึงก็ล้มตัวลงนอนเลย เสร็จแล้ว อาตมาก็บอกว่า นี่ลูกบ่าวเอ๊ย เด็กที่ดีก่อนนอนก็ต้องไหว้พระพุทธเจ้าเสียก่อนสิ ก็บอกว่าไหว้ทำไมล่ะ,พระพุทธเจ้าตายแล้ว เด็กตัวเล็กนิดเดียว มันท้าอย่างนั้น ไหว้ทำไม,พระพุทธเจ้าตายแล้ว เลยต้องนั่งพูดกับเขาอย่างนี้ ให้เขานอนอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่บังคับเขา ก็บอกว่าจริงแหละลูกบ่าว พระพุทธเจ้าตายแล้วจริงนะในเนื้อหนัง แต่เธอรู้หรือไม่ว่าเธอได้ชีวิตมาจากใคร ก็ถามเขาก็ไล่ไปอย่างนี้ จากพ่อแม่ ก็บอกว่าถ้าพ่อแม่เธอใจดำอำมหิต เธอเกิดมาได้ไหม/ ไม่ได้/ มีใครให้ชีวิตมา/ พ่อแม่/ มีอะไรอีกล่ะ/ ก็คือมีธรรมะอยู่ในใจ คือมีเมตตา กรุณา ธรรมะนี้ก็ได้มาจากใคร ได้มาจากพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าต้องลำบากที่สุดกว่าจะได้สิ่งนี้มา ท่านต้องสละทุกสิ่งทุกประการความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนเพื่อผู้อื่น ทีนี้พระธรรมมีบุญคุณไหม/ บอกว่ามี/ พระพุทธเจ้ามีบุญคุณไหม/ บอกว่ามี/ ทีนี้ศาสนายังเหลือมาทุกวันนี้คือรอดมาได้เพราะใคร ใครนำสืบต่อกันมา/ บอกว่าพระสงฆ์นะ นี่เธอที่มานอนอยู่ในวัดคืนนี้เพราะมีพระสงฆ์นะ ถ้าไม่มีพระสงฆ์เธอมานอนที่นี่ได้ไหม/ บอกไม่ได้ครับ/ เพราะฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีบุญคุณไหม,ไอ้หนู/ บอกว่ามีครับ/ เอ้อ,มีแล้วจะทำอย่างไร/ เขาก็ลุกขึ้นได้กราบลงที่หมอน ต้องเสียเวลากันเกือบครึ่งชั่วโมงนะ นี่เดี๋ยวนี้คล้ายๆ กับว่าคนไม่รู้ว่าชีวิตที่เราได้มานี้เพราะว่าพระธรรมที่มีอยู่ในหัวใจของพ่อแม่ แล้วก็พระธรรมนั้นได้มาจากใคร ก็คือพระพุทธเจ้า แล้วก็สิ่งนั้นที่เหลือมาทุกวันนี้เพราะพระสงฆ์ จึงเป็นพี่ที่คอยจะกล่อมเกลาหรือชี้แจงให้ลูกหลานหรือให้ใครก็ตามได้สำนึกในพระคุณของมารดาบิดา คือพ่อคือพระพุทธเจ้า พระธรรมคือแม่อย่างแท้จริง อันนี้ก็เป็นการจุดความศรัทธาเลื่อมใสหรือให้มีความสำนึกขึ้นมาในพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างหนึ่ง นี่ที่ได้บรรยายมาก็พอสมควรแก่เวลา ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : ๑๐ นาทีพอดี เอ้า,ท่านมหาจำนรรค์ พระครูอะไรก็ลืมเสียแล้ว มาพูดเรื่องเดียวกันในส่วนสาระที่ยังไม่ได้พูดและให้กระชับที่สุดให้กะทัดรัดที่สุดว่า พระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ และยังจะขอร้องอีกสามสี่องค์ให้พูดเรื่องเดียวกันหัวข้อเดียวกัน เตรียมไว้เถอะ ถ้าพูดถูกชัดเจนแล้ว ญาติโยมคงไม่ง่วงนอนแน่ ถ้าญาติโยมง่วงนอนจะถือว่าพระพูดไม่ชัด ไม่จี้จิตใจ ไม่ต้องมีอารัมภกถาอะไรมาก พูดเนื้อเรื่องเลย//
พระอาจารย์มหาจำนรรค์ : ต่อไปก็พูดเรื่องเก่า ซึ่งพระเดชพระคุณท่านได้ให้หัวข้อไว้ อย่างที่บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็ทราบกันดีอยู่แล้ว คือความหมายเกี่ยวกับเรื่องคำว่าพระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ มีความเป็นจริงอย่างไร แล้วก็เราจะมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ได้อย่างไรด้วย เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง จะเรียกว่าเป็นบันไดขั้นแรกของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปก็ได้ เพราะเราทุกคนปฏิญาณตนว่าถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ถ้าหากว่าเราพุทธบริษัทไม่รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งประจักษ์แก่ใจจริงๆ ในเรื่องนี้แล้ว เรื่องอื่นๆ เหลวหมด เรื่องนี้ก็เคยเกิดเป็นปัญหากับอาตมาเหมือนกัน คือไปสอนโรงเรียนแล้วก็เด็กนักเรียนชั้นม.ศ. นี้ แกบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงเทพนิยายที่เขาแต่งขึ้น บุคคลตัวจริงไม่มี พิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร
ทีนี้เราก็หาเหตุผล หาหลักฐาน และโดยเฉพาะก็อาศัยแนวทางของพระเดชพระคุณเป็นแนวอธิบายให้เห็นประจักษ์ชัดว่า พระพุทธเจ้ามีทั้งสองภาษา คือพระพุทธเจ้าภาษาคนอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าภาษาธรรมอย่างหนึ่ง พระธรรมก็เหมือนกัน ก็คงจะมีทั้งสองภาษาด้วย ภาษาคนอย่างหนึ่ง ภาษาธรรมอย่างหนึ่ง พระสงฆ์ก็เหมือนกัน ก็คงจะมีสองภาษานี้ คือใช้ภาษาคนพูดอย่างหนึ่ง ใช้ภาษาธรรมพูดอย่างหนึ่ง
ทีนี้พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระพุทธเจ้าคือใคร เป็นปัญหาว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงองค์จริงนั้นคือใคร ไม่ใช่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้อริยสัจสี่ แล้วก็เดินท่องเที่ยวไปในประเทศอินเดียสอนคนจนกระทั่งนิพพาน นั้นคือพระพุทธเจ้าในภาษาคน พระพุทธเจ้าในภาษาธรรมนั้นหมายถึงสติปัญญาที่รู้ความจริงหรือสัจธรรมอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนจนพระทัยของพระองค์นั้นสะอาดบริสุทธิ์หมดจด มีปัญญาสว่างไสว มีจิตใจสงบเยือกเย็นถึงที่สุด นี้คือความหมายของคำว่าพุทธะในภาษาธรรม คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานถึงที่สุด นี้เรียกว่าพระพุทธเจ้า
ทีนี้พระพุทธเจ้าเป็นพ่ออย่างไร พ่อก็หมายถึงผู้ที่ทำให้เกิด ทำให้อะไรเกิด ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็เหมือนกับโลกไม่มีแสงสว่าง ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า มนุษย์ก็มืด พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงจุดแสงสว่างคือดวงปัญญาให้รู้ ให้รู้ให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความจริงจนสามารถดับทุกข์ทั้งปวงได้ นี้คือพระองค์ทรงค้นพบ พระองค์ทรงค้นพบเป็นองค์แรกในโลก
ทีนี้พระธรรมเป็นแม่ หมายถึงพระธรรมนั้นมีอยู่โดยตามธรรมชาติแล้ว พระธรรมมีอยู่โดยธรรมชาติแล้ว อย่างเช่น ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ วิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หรือสิ่งอื่นๆ เหล่านี้ มีอยู่ในโลกแล้ว แต่ว่าไม่มีใครค้นพบ เหมือนกับวิทยาศาสตร์นี้ อย่างเช่นไฟฟ้าพลังงานนี้ ถ้าหากว่าไม่มีนักวิทยาศาสตร์ค้นพบกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างนี้ พลังงานต่างๆ แสงสว่างหรือพลังงานต่างๆ ก็ไม่มีไม่เกิดขึ้น นี้ก็เหมือนกัน พระธรรมหมายถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงค้นพบ ก็เป็นเหมือนกับแม่,เหมือนกับแม่ พระองค์ทรงค้นพบก็เหมือนกับแม่ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเปรียบเหมือนกับพ่อผู้ทำให้เกิด พระธรรมก็เปรียบเหมือนกับแม่ผู้เกิด แล้วก็เมื่อเกิดแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เกิดแล้ว แล้วใครเป็นผู้รับรอง เป็นผู้รับรองการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า,ใคร ก็พระสงฆ์ พระสงฆ์หมายถึงบุคคลที่ยอมรับเอาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสรู้มาประพฤติมาปฏิบัติจนเห็นผลประจักษ์อย่างเดียวกันกับพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเห็น อย่างนี้เรียกว่าพระสงฆ์เป็นพี่คือเกิดก่อน แล้วก็พระสงฆ์ก็สืบศาสนาเรื่อยมา ถ้าสมมติว่ามีแต่พระพุทธเจ้าและพระธรรม ไม่มีพระสงฆ์เป็นผู้สืบทอดต่อมา ก็คงจะหมดไปนานแล้ว เพราะฉะนั้น พระสงฆ์จึงเหมือนกับเป็นพี่ สืบทอดพระธรรมที่พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสรู้ทรงเห็นแล้วก็นำมามอบมายื่นให้กับพวกเราในปัจจุบันนี้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์จึงเกี่ยวโยง เกี่ยวโยงกัน สัมพันธ์กัน พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสรู้พระธรรม พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็พระสงฆ์ก็คือผู้ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ทำให้ธรรมวินัยซึ่งเป็นศาสนธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ยังมาถึงพวกเรา ก็สืบทอดกันมาเรื่อยๆ เป็นลำดับๆ มาถึงพวกเรา แล้วถ้าหากว่าพวกเราไม่ช่วยกันสืบต่อๆ ไป อย่างเช่นพระสงฆ์ไม่ช่วยกันศึกษา ไม่เล่าเรียนไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่เผยแผ่ ไม่อบรมไม่สั่งสอนแล้ว ก็อาจจะหมดไปก็ได้ ธรรมะหรือธรรมวินัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ก็อาจจะหมดไปก็ได้ นี้คือความเกี่ยวเนื่องกันกับพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนเป็นกับพ่อ พระธรรมเปรียบเหมือนกับแม่ พระสงฆ์เปรียบเหมือนกับพี่ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างที่ได้กล่าวมานี้โดยสังเขป//
ท่านพุทธทาส : ญาติโยมง่วงนอนไหม ตาปรือแล้ว ฉะนั้นต้องพูดให้ญาติโยมตาสว่าง ขอให้ทุกคน ญาติโยมด้วยนะ นึกภาพว่ามันมีครอบครัวๆ หนึ่ง มีอยู่ ๔ คน ครอบครัวหนึ่งมีอยู่ ๔ คน คือพ่อคนหนึ่ง แม่คนหนึ่งและลูกชายที่เป็นพี่อยู่คนหนึ่ง และลูกชายเราที่เป็นน้องอยู่คนหนึ่ง มี ๔ คน เมื่อในครอบครัวของเรามี ๔ คนอย่างนี้ พ่อทำอย่างไร แม่ทำอย่างไร แล้วพี่ของเราทำแก่เราอย่างไร ขอให้นึกไปถึงเรื่องจริงๆ ว่าถ้ามันมีอยู่ ๔ คนอย่างนี้ พ่อคนหนึ่ง แม่คนหนึ่ง พี่คนหนึ่งแล้ว แล้วเราคือเป็นน้องนี้อีกคนหนึ่ง มันจะมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วเราจะให้เดี๋ยวนี้มาเอาพระพุทธเจ้าไปบรรจุตำแหน่งพ่อ พระธรรมบรรจุตำแหน่งแม่ พระสงฆ์บรรจุตำแหน่งพี่ แล้วเราก็ยังเป็นเด็กคนนั้นอยู่นั่นแหละ ฉะนั้นถ้าว่าท่านอาจารย์เหล่านี้พูดชัดเจนจี้ถูกจุดใจ โยมคงหูตาสว่าง ไม่ง่วง ไม่ตาปรือ ทีนี้ขอแนะนำนิดเดียวว่า การบรรยายนั้น ถ้าใช้คำพูดมากเกินว่าจำเป็นแล้วจะเฝือทั้งนั้นแหละ ช่วยจำไว้เถิด จงใช้คำบรรยาย คำที่ใช้บรรยาย จำนวนที่คำบรรยาย แต่พอดี,แต่พอดี แล้วเรื่องนั้นจะชัดเจนแจ่มแจ้ง จะไม่เฝือ ขืนพูดให้คำมันมากไปเกินกว่าที่จำเป็นหรือควรแล้ว เรื่องนั้นจะเฝือ ฉะนั้นขอให้ใช้คำจำกัดพอดี จะใช้ ๕ นาที หรือ ๑๐ นาทีก็ได้ ให้เห็นชัดว่าพอดี กี่นาที แต่ขออย่าให้เกิน ๑๐ นาที ขอนิมนต์อาจารย์บุญสร้าง มาพูดให้โยมหูตาสว่างหายง่วงหายตาปรือ ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่//
พระอาจารย์บุญสร้าง : เอาล่ะ,ญาติโยม ถ้าพูดไม่แจ่มชัดไม่เข้าใจ ญาติโยมก็ไม่เกิดล่ะ,วันนี้ พี่ก็เลี้ยงน้องไม่ได้ คำว่าพระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ และพระสงฆ์เป็นพี่ ตัวของเราเองเป็นผู้เพิ่งเกิด จะเกิดได้หรือไม่เกิดได้ก็อยู่ที่ทำความเข้าใจ คนเราก็ต้องรู้ว่า การเกิดนี้ เกิดทางชีวิตร่างกายนี้ พ่อแม่ที่บ้านเกิดมา เราได้เลือดเนื้อได้ชีวิต ทีนี้เกิด เมื่อเกิดแล้วคนเราต้องดำรงชีวิตอยู่ ดูเหมือนว่าเราต้องมีพ่อแม่คนที่สองเข้ามาร่วมคือครูบาอาจารย์ คือได้วิชาชีพ พ่อแม่สองท่านนั้นคงจะสั่งสอนแนะนำเราไม่หมด พ่อแม่จึงส่งไปที่โรงร่ำโรงเรียน เราก็ได้ไปเกิด คือพ่อแม่คนที่สอง ครูบาอาจารย์ ทำให้เกิดรู้จักวิชาชีพเพื่อจะหล่อเลี้ยงชีวิตทางร่างกายให้ได้ คนเราเมื่อมีชีวิตทางร่างกายและจิตใจแล้ว ยังมีพ่อแม่ที่เป็นยอดพ่อแม่คือพระพุทธ พระธรรมนี้ ทำอะไรให้มันเกิด ก็คือทำวิญญาณให้เกิด พระพุทธเจ้าหรือพระธรรมจึงเป็นพ่อแม่ทางสติปัญญาหรือทางวิญญาณ เรามักจะพูดได้ยินได้ฟังว่า เมื่อคนฟังธรรมคนเข้าใจธรรมะแล้วเกิดดวงตาเห็นธรรม พอเกิดดวงตาเห็นธรรมบุคคลแรกก็คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์เป็นพี่ ก็คือเป็นพี่เลี้ยง แล้วก็พี่แปลว่าผู้เกิดก่อน ก็คือพระอริยบุคคลชั้นสูง
ทีนี้เกิดมาแล้วต้องอาศัยการประคับประคอง เพราะพี่เป็นตัวอย่าง พูดสำนวนนักเลงว่าลูกพี่ พระสงฆ์นั่นเอง พระสงฆ์ก็เข้าเป็นพระรัตนตรัยส่วนหนึ่งที่ว่า อย่าลืมว่าพระสงฆ์นี้ เมื่อท่านเป็นพระสงฆ์แล้ว คำว่าพุทธะธรรมะอยู่ที่ท่านแล้ว เพราะพ่อแม่ที่แท้จริงอยู่ที่ท่านเสียแล้ว ท่านมีพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีความรู้อย่างไร ท่านก็รู้อย่างนั้นแหละ เมื่อสูงสุดเป็นพระอรหันต์ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านมีอย่างไร พระสงฆ์ก็มีอย่างนั้นอีก ก็เลยพระสงฆ์เป็นพี่จริงๆ น้องที่ตามมาๆ พระสงฆ์ท่านก็จะพยายามให้กลายมาเป็นพี่เพื่อนอีก เมื่อถึงเวลาพอสมควร น้องนั้นก็กลายเป็นพี่ แล้วก็ไปเกิดน้องใหม่ขึ้นมาอีก ไม่มีที่สิ้นสุด คือศาสนาจะอยู่ได้ก็เรียกว่าทำให้น้องเกิดขึ้นมา,น้องเกิดขึ้นมา เหมือนอย่างคืนนี้ พี่พยายามที่จะทำน้องที่จะมองเห็น พี่ก็คือภิกษุ น้องคืออุบาสกอุบาสิกา ส่วนพ่อแม่อยู่ที่ไหนก็มองเอาเอง ก็คือพระธรรม พ่อผู้ให้กำเนิด พระธรรมผู้รักษา อาตมาใช้สำนวนที่เรียกว่าไม่ค่อยเหมือนเพื่อน พ่อพุทธะ ก็อุปมาเหมือนกับธรรมะง่ายๆ ก็คือสติ ขอให้มีสติ สติรู้จักเกิด เกิดก่อนเกิดไปเรื่อย ก่อนที่กิเลสจะเกิด สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว เหมือนแม่คอยระวังรักษา เมื่อสติสัมปชัญญะรวมตัวกันได้ ก็ประคับประคองวิญญาณความรู้สึกให้เหมือนกับว่าพี่ประคองน้อง ก็คือกุศลธรรมอ่อนๆ ที่เกิดขึ้น ต้องระวังต้องรักษา จนกว่าน้อมความรู้สึกเช่นนี้จะยืนตัวหรือเดินไปข้างหน้าได้
ที่กล่าวมาก็ใช้เวลาไม่กี่นาที คิดว่าก็พอสมควรแล้ว เพราะอาจารย์ท่านบอกว่าไม่เกิน ๑๐ นาที ก็พูดเพียงแค่นี้ กับความหมายว่า พระพุทธเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์ผู้เป็นพี่ แล้วคนที่ยังไม่เป็นสงฆ์ก็เป็นน้อง ก็มาเกิดให้เป็นสงฆ์ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพี่ เสร็จแล้วก็ผนวกเข้าเป็นพระสงฆ์ด้วยกัน ในพระสงฆ์นั้นจะมีพระพุทธ พระธรรมอยู่ เพราะพระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติตามธรรม พระพุทธเจ้าคือผู้รู้พระธรรม ขอยุติเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : ญาติโยมหรือทุกคน ทำในใจอีกครั้งหนึ่งว่าในครอบครัวที่มี ๔ คน เราเป็นคนที่สี่ มีพ่อ มีแม่ มีพี่ แล้วเราเป็นคนที่สี่ เมื่อเราอยู่ในครอบครัวนั้นจริงๆ มันปฏิบัติต่อกันอย่างไร,มันปฏิบัติต่อกันอย่างไร เรามีพ่อ มีแม่ แล้วมีพี่คนหนึ่ง และเมื่ออยู่กันจริงๆ ในครอบครัวนั้น มันปฏิบัติกันอย่างไร ทีนี้พระท่านจะมาพูดให้เห็นให้ชัดว่า เดี๋ยวนี้ที่ลึกไปหน่อยกว่านั้นก็คือพระพุทธแทนพ่อ พระธรรมแทนแม่ พระสงฆ์แทนพี่ แล้วเราปฏิบัติต่อกันอย่างไร ได้รับประโยชน์อยู่ในครอบครัวนั้นอย่างไร เมื่อเราเป็นเด็กๆ เมื่อเราเป็นมีชีวิตจริง แล้วก็มีอยู่ ๔ คนนี้จริง ฉะนั้นขอให้พูดชัดขนาดนี้ ทีนี้เรื่องพูดชัดนี้ ก็อยากจะขอแนะอีกสักนิดหนึ่งว่าต้องพอดีกับสภาพแห่งสติปัญญาความรู้ของผู้ฟัง ถ้าดีเกินไปไม่ชัดหรอก,ถ้าดีเกินไป ถ้าไม่ดีคือไม่ถึงขนาดก็ไม่ชัด แต่ถ้าว่าดีเกินไปนั้นเขาเปรียบไว้ในอรรถกถาว่า เหมือนกับว่าเราป้อนข้าวคำใหญ่ๆ ให้ลูกเด็กๆ เพิ่งเกิดปากนิดเดียว ทีนี้ป้อนข้าวคำโตเท่ากับป้อนปากคนใหญ่นี้ มันก็ไม่ลงไปได้หรอก มันก็ต้องร่วงแหละ เพราะฉะนั้นคำพูดที่ดีเกินกว่าสภาพจิตใจของผู้ฟังจะมีสภาพอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็ควรจะลดลงไปหาสภาพจิตใจของผู้ฟัง พูดให้ชัด ให้ง่าย ให้กะทัดรัดในระดับที่เดียวกัน จะเรียกว่าต่ำก็ได้ เพราะว่าถ้าสูงเกินไปแล้วก็จะเหมือนกับการป้อนข้าวคำใหญ่กว่าปากของผู้ที่จะรับกลืน เอ้า,ทีนี้ขอระบุอาจารย์ทองล้วน แง่ที่ยังไม่ได้พูดยังมีอยู่ ผมขอยืนยัน อย่าว่าตำหนิเลย ที่พูดนี้ยังไม่สมบูรณ์ ยังเหลือแง่ที่จะให้ชัดกว่านี้อีก ยังเหลืออยู่ นิมนต์อาจารย์ทองล้วนมาพูด จะชอบกี่นาทีก็ได้ แต่อย่าให้เกิน ๑๐ นาที ให้ชัดเผงให้รู้ว่ามันอยู่กัน ๔ คน มีพ่อเป็นเหตุให้เกิด มีแม่เป็นผู้เกิด มีพี่เป็นผู้อะไร ก็ว่าไปสิ ในครอบครัวนั้นมี ๔ คนเท่านั้น//
พระอาจารย์ทองล้วน : ญาติโยมและก็ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย คือหลวงพ่อท่านอยากจะให้ปลุกญาติโยมให้ตื่น ให้ตื่นให้ได้ ความจริง,โยมบางคนไม่ได้หลับหรอก แต่ว่ามันก็ไม่ตื่นอยู่นั้นเอง ทีนี้ทีแรกอาตมาบวช ก็เคยได้ยินครูบาอาจารย์บอกว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ,ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ,สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ทีแรกไม่ได้แปลออกมา ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้จริงๆ พอวันนั้นอาจารย์ท่านแปลออกมาให้โยมฟัง ไม่ได้ให้อาตมาฟังหรอก แต่อาตมาบังเอิญนั่งอยู่ที่นั่นก็เลยได้ยินเข้าว่า ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะเป็นที่พึ่ง พอได้ยินอย่างนั้น อาตมามันก็คิดบ้าๆ ขึ้นมาอย่างที่เรียกว่ามันคนคิดแหวกแนวไม่เหมือนคนอื่น เอ๊ะ,พระพุทธจะไปพึ่งได้อย่างไร ก็ตายมาแล้วตั้งสองพันกว่าปีแล้วนี่ แล้วพระธรรม,อาตมาคนภาคอีสาน เกิดอยู่ที่อีสาน มีคัมภีร์ใบลาน เคยเป็นเด็กวัด ใครจะไปเดินใกล้ก็ไม่ได้ แตะต้องก็ไม่ได้ ยิ่งเป็นเณรเป็นลูกศิษย์ไปเดินข้ามก็ไม่ได้ ขี้กลากกินหัวเอา แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย พอมานึกถึงภาพนี้ เอ๊ะ,พระธรรมเราจะไปใกล้ได้อย่างไรพึ่งได้อย่างไรในเมื่ออันตรายอย่างนี้ แล้วพระสงฆ์จะไปพึ่งได้อย่างไร ก็พระสงฆ์ท่านเต็มวัดเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ยังไปขอทานเขากินอยู่นี่ คือเราไปคิดในทางด้านวัตถุ มองในด้านวัตถุทั้งหมดเลย จึงเลยนึกตัดสินใจเอาเอง ถ้าอย่างนั้นพระพุทธไม่ใช่พระพุทธเจ้า ที่ว่าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ประเทศอินเดีย,ไม่ใช่แน่ๆ มันคิดค้านขึ้นมาในใจเอาเองอย่างโง่ๆ อย่างคิดเอาเอง แล้วพระธรรมก็เหมือนกัน มันมีโทษอย่างนี้แล้วเราจะไปพึ่งได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นก็คืออยู่ในตู้ เอาไว้ที่สูงๆ เราจะเดินผ่านก็ไม่ได้ หรือจะไปเปิดก็ไม่ได้ ดีไม่ดีครูบาอาจารย์เรียกไปไม้เรียวเฆี่ยนเอาหลังลายอย่างนี้ด้วย แล้วพระสงฆ์ก็อย่างดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็เลยนึกตัดสินใจเอาเอง ถ้าอย่างนั้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ต้องอยู่ในคน ต้องอยู่ในตัวเรา พอคิดได้อย่างนี้ก็แสวงหาครูบาอาจารย์ปฏิบัติ นึกถึงเรื่องเรื่องปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐานขึ้นมาทันทีทันใด พอนึกถึงเรื่องวิปัสสนากรรมฐานแล้วก็วิ่งหาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นเมื่อศึกษาประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ได้ยินได้ฟังคำสอนของครูบาอาจารย์ ก็พอจะจับได้ว่า พุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งอาตมาไม่ได้เรียนบาลีแต่ได้ยินครูบาอาจารย์พูด อ๋อ,พุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อะไร ตื่นอะไร รู้ตัวนี้เอง ไม่ใช่รู้คนอื่น รู้ตัวนี่แหละ รู้สึกตัวนี่แหละ รู้ตัวนี่แหละ นั่งอยู่รู้สึก เดินอยู่รู้สึก ทำอะไรรู้สึก รู้สึกตัวนี่แหละคือรู้พระธรรม นี่แหละคือพระธรรม พระธรรมคือตัวเรานี้ จะไหว้,ไหว้ลงไปด้วยความรู้สึกจริงๆ ไหว้ลงไปจริงๆ คือทำกุศลธรรม สิ่งใดก็ตามที่มันเป็นกุศลธรรม ทำลงไปด้วยความรู้สึกจริงๆ นั่นแหละพระสงฆ์แหละ พระสงฆ์เกิดขึ้นแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคือรู้,รู้สึกตัว หรือรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เบื้องต้นอย่างสังคม อะไรดีอะไรชั่ว อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ญาติโยมรู้อยู่แล้ว ทุกคนรู้อยู่แล้ว สอนลูกสอนหลานอยู่แล้ว อันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี ก็สอน แต่ทำไม่ได้ เหล้าไม่ดี บุหรี่ไม่ดี แต่ทำไม่ได้ การพนันไม่ดี อะไรไม่ดี แต่ทำไม่ได้ โลภ โกรธ หลง ไม่ดี แต่ทำไม่ได้ เพราะเหตุใด เพราะไม่ได้ตื่น ไม่มีสติ เพราะฉะนั้นสติจึงเป็นเครื่องตื่นในโลก สติเป็นที่จำปรารถนาทุกเมื่อ เมื่อเราทำอะไรด้วยความรู้สึกตัวลงไปจริงๆ นั่นแหละคือพุทธะ รู้ในภาวะจิตใจของเรา มันคิดวูบขึ้นมา รู้ เห็น นั่นแหละรู้ทุกข์ เห็นทุกข์เห็นกิเลส นี่แหละพุทธะจึงว่ารู้ ตื่น เบิกบานจริงๆ พอมันรู้เห็น โอ,ทุกข์จริงๆ โกรธเขาครั้งหนึ่ง ก็ทุกข์ครั้งหนึ่งจริงๆ ไปหลงไปรักเขา พอใจครั้งหนึ่ง ก็ร้อนใจทุกข์ใจเหมือนกัน
นี่เมื่อเราเห็นอย่างนี้ก็ปฏิบัติลงไปในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น พระพุทธ พระธรรม ก็คือตัวการกระทำ ตัวพฤติกรรม ตัวปฏิบัติลงไปจริงๆ เพื่อให้เกิดกุศลหรือเพื่อดับทุกข์ได้จริงๆ นั่นแหละมันจึงจะเข้ากับหลักที่ว่าสวากขาตธรรม ที่ว่าเรียกให้เขามาดูได้ โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ตัวเอง ทำลายกิเลส ทำลายทุกข์ให้ได้ พระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ตรงตามธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นแหละตรงไปเลย ปฏิบัติตรง ปฏิบัติตรงเพื่อออกจากทุกข์ ออกจากกิเลส ออกจากความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ตรง ต้องออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควรแล้วคือพึ่งตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องเที่ยววิ่งโร่ไปสำนักโน้น วิ่งโร่ไปสำนักนี้ ค้นตำรานั้น ค้นตำรานี้ ถามนั้นถามนี้อะไรต่ออะไร อันนั้นมันยังไม่สมควร ถ้าสมควรแล้ว อึ๊,ทุกข์แล้ว อืม,มันอยู่นี้เอง มันต้องดับที่นี่เดี๋ยวนี้ ด้วยสติด้วยปัญญาลงไป อันนี้แหละพระพุทธเป็นพ่อ คือรู้อะไรเป็นอะไร พระธรรมเป็นแม่ คือการกระทำแม่บท การกระทำคือพระธรรมวินัย พระสงฆ์คือผู้ที่ปฏิบัติกระทำลงจริงๆ เพื่อออกจากทุกข์ ออกจากความเดือดร้อนจริงๆ นั่นแหละเป็นพี่ เป็นตัวอย่าง จึงเรียกว่าทำให้ดู อยู่ให้เห็น พูดให้ฟัง อันนี้แหละคือความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามความรู้สึกที่อาตมาเข้าใจและก็ได้ประสบอย่างนี้ เพราะฉะนั้นคิดว่าญาติโยมหรือพุทธบริษัทครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ฟังแล้วก็นำไปคิดไปพิจารณาดู ไม่ใช่ยกตัวยกตนหรืออวดตัวอวดตน แต่ขอพูดอย่างคนโง่ๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้หวังอะไรทั้งหมด แต่อยากจะพูดด้วยความรู้สึกจริงใจออกไปโดยไม่ต้องปิดบังอะไรทั้งหมด ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก แต่เราก็รู้ในจิตในใจของเรานั้นเอง จึงขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณ//
ท่านพุทธทาส : มันเป็นการฝึกด้วย เป็นการสอบไล่ด้วย คือฝึกปฏิภาณ เอ้า,ขอนิมนต์อาจารย์พยอม/ อาจารย์พยอม ไม่ต้องโต้แย้ง อาจารย์พะยอม/ เอ้า,ญาติโยมคอยฟังให้ดี เดี๋ยวจะให้โหวตคะแนน ชอบองค์ไหนพูดมากที่สุด