ตามความประสงค์ของผู้ร่วมมือกันจัดการประชุมคราวนี้  กระผมก็จะได้กล่าวถ้อยคำที่เป็นการ

สนับสนุนและอนุโมทนาในเรื่องนั้น โดยสรุปก็ว่าเป็นเรื่องช่วยกันรักษาป่า ฟังดูก็เป็นเรื่องไม่ค่อยจะมีความหมายอะไร สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้ารู้เรื่องจะเห็นว่ามีความหมายมากที่สุด  คำพูดสั้นๆ  มองในแง่ของพระศาสนาหรือพระธรรมทีหลัง  มองในแง่โลกมันก็ต้องพูดว่าไอ้ป่านั่นล่ะมัน คือ ชีวิตของโลก  ป่าเกิดก่อน เป็นสิ่งที่มีชีวิตเกิดก่อนแล้วจึงค่อยเกิดสัตว์ ความจำเป็นมันบังคับ มันต้องเกิดอาหาร เกิดปัจจัยแห่งการเป็นอยู่ก่อนแล้วมันจึงเกิดสิ่งนั้น  ตามการศึกษาค้นคว้าว่ามันได้เกิดป่าหรือพืชพันธุ์นี้ขึ้นมาก่อนในโลก แล้วมันจึงค่อยเกิดสัตว์มีชีวิต เกิดคน เกิดมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นมา ถ้าหากว่ามันไม่มีป่าตั้งต้นขึ้นมาสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่ได้เกิด โลกนี้มันก็ไม่ได้เป็นโลกของมนุษย์ ป่ามันเป็นที่ตั้งของชีวิต มันให้เกิดชีวิต จนมีชีวิตขึ้นมาตามลำดับ ชีวิตต้นไม้ ชีวิตสัตว์ ชีวิตคน ป่าเป็นเครื่องคุ้มครองความชื้น ให้เกิดสิ่งที่จะเป็นชีวิต เป็นอาหารของกันและกัน ชีวิตมันตั้งต้นในน้ำ มันต้องเกิดน้ำมาก่อน มันจึงจะเกิดสิ่งที่มีชีวิต  ป่ามันจึงเป็นปัจจัยให้เกิดชีวิต เลี้ยงดูชีวิต รักษาชีวิต มาจนกระทั่งบัดนี้

แล้วก็จะขอพูดหยาบคายกับไอ้พวกที่มันชอบทำลายป่าน่ะว่า มันไม่รู้จักบุญคุณของป่า ซึ่งเป็นเครื่องคุ้มกะลาหัวของมัน จะพูดอย่างนี้ เพื่อมันลืมยาก ป่านี่คุ้มกะลาหัวมันไว้ อย่างที่นักวิทยาศาสตร์เขาเชื่อและบอกอยู่ว่า ป่าทำให้เกิดบรรยากาศรอบโลกที่คุ้มครองแสงแดดอันเป็นพิษ เช่น แสงอุลตร้าไวโอเลต เป็นต้น มีความเลวร้ายอย่างอื่นที่จะมาจากนอกโลก ป่ามันดันเอาไว้ คือ ป่ามันส่งแก๊สหรือส่งอะไรก็ตามใจตามเรื่องของป่าออกไปเป็นเครื่องหุ้มห่อโลกไว้ทั้งโลก  สิ่งเลวร้ายจากแสงแดดลงมาไม่ได้ อันนั้นมันกันเอาไว้ เดี๋ยวนี้ปรากฏว่าเมื่อป่าถูกทำลายไอ้สิ่งเหล่านั้นมันก็บางและมันก็รั่ว จนไอ้แสงแดดที่เป็นพิษนั่นจะเข้ามาในโลก จะทำให้โลกร้อนขึ้น ร้อนขึ้น ร้อนขึ้น ผมก็สังเกตเห็นว่ามันก็ร้อน โดยเฉพาะปีกลาย ปีนี้มันร้อน ร้อนมากเกินกว่าที่แล้วมา จะด้วยอุปาทานหรืออะไรก็ไม่ทราบ มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ  แต่เดี๋ยวนี้เขาเชื่อกันทั้งโลกว่าโลกมันร้อนขึ้นๆ เพราะว่าไอ้เครื่องคุ้มกะลาหัวสัตว์โลกนั้นมันรั่ว รั่วด้วยเหตุหลายๆ อย่าง ไอ้ป่าหมดไปมันก็รั่วแล้วมันในแผ่นดินนี้มันทำแก๊สพิษอะไรก็ไม่รู้ ไปโทษไอ้เรื่องโฟม เรื่องอะไรต่างๆ ที่เผาขึ้นแล้วก็ไปทะลุไอ้เครื่องคุ้มกะลาหัวของสัตว์โลกนั่นมันก็บางไป รั่วไป ไอ้แสงอันเป็นพิษก็เข้ามานี่ มันต้องใช้คำว่าไอ้คนทำลายป่านั่น เป็นผู้ทำลายเครื่องคุ้มกะลาหัวของมันเอง แล้วผู้ที่ไม่ได้ทำลายก็พลอยเดือดร้อนด้วย พวกเราไม่ได้ทำลายก็พลอยเดือดร้อนด้วย ก็เลยตกเป็นหน้าที่ต้องเอา ต้องช่วยกัน ช่วยกัน ช่วยกัน ให้มันหยุดทำลายป่า นี่เรียกว่าไอ้ป่าในแง่ของเรื่องโลก เรื่องทางโลก

เอ้า, ทีนี้มาถึงป่าในแง่ของศาสนาหรือของพระธรรม มันพูดได้อย่างไม่กลัวผิดว่า  ไอ้ความรู้เรื่องจิตใจมันตั้งต้นในป่า  การเป็นฤาษี มุนี ชีไพร กระทั่งเป็นศาสดานี้ตั้งต้นในป่าทั้งนั้น จนพูดได้เลยว่าพระศาสดาทุกองค์ตรัสรู้เป็นศาสดาขึ้นมาในป่าไม่ว่าในศาสนาไหน โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานั้นน่ะ ท่านก็ใช้คำว่าประสูติในป่า คือ ป่าสาละ ตรัสรู้ในป่า แล้วก็อยู่ก็อยู่ในป่า โดยมากสอนก็สอนในป่า นิพพาน นิพพานก็นิพพานในป่า นี่พูดให้เด็กๆ จำง่ายก็ว่าเกิดในป่า ตรัสรู้ในป่า อยู่ในป่า สอนในป่า ตายในป่านั่น พุทธบริษัทจึงรักป่า เพราะว่าเป็นอะไรทุกอย่างเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เอ้า, แล้วไม่พูดท่าน ตัวข้างเดียวละ แม้แต่ที่มันเกี่ยวกับศาสนาอื่น ก็พระศาสดาเหล่านั้นก็ตรัสรู้ในป่า ก็ความรู้ในด้านจิต ด้านวิญญาณมันตั้งต้นขึ้นมาในป่า โดยฤาษี มุนี หรือใครก็ตามคนแรกน่ะ มันไปรู้ขึ้นมาในป่า คิดค้นในป่า มันรู้ง่าย มันตั้งต้นในป่าน่ะ วัฒนธรรมทางจิตใจ ทางศาสนาน่ะมันตั้งต้นในป่า เราควรจะรู้จักบุญคุณของป่า

พระพุทธดำรัสที่ว่า นั่นโคนไม้ นั่นป่า ไปทำผิด เอ ความเพียรนี้ มีมากมายนับไม่ไหวในพระไตรปิฏก ไปตรวจดูเองน่ะ ไม่ต้องเชื่อผม นั่นโคนไม้ นั่นป่า เธอไปทำความเพียรเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ต้องการจะได้ไม่เสียใจทีหลัง  ถ้าไม่ทำแล้วมันจะเสียใจทีหลัง นี้มา ตอน ตอน หลังๆ นี้ก็ยังเป็นเครื่องมือที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ให้เป็นเรื่องทางจิตใจ มีการปฏิบัติ มีทุกอย่าง ที่เป็นเรื่องทางจิตใจ  ทางศาสนา มันก็เรื่องของป่า  มีป่าเป็นส่วนหลัก พูดได้ไม่ ไม่ต้องกลัวผิดว่าวัฒนธรรมทางศาสนามันตั้งต้นขึ้นมาในป่า ถ้าไม่มีป่า โลกนี้มันอยู่ไม่ได้ โลกนี้มันอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีป่ามันไม่เกิดพระศาสดาในด้านจิตใจ  ขอให้มองเห็นประโยชน์ หรือจะเรียกว่าสิ่งที่จำเป็นที่สุด  ยิ่งกว่าประโยชน์เสียอีกก็ยังได้ว่าคือป่า แล้วก็เป็นการถูกต้องหรือว่ามีเหตุผลแล้วที่เราจะช่วยร่วมมือกัน  ถนอมป่าตามที่ควรจะทำได้ ตามที่สมควรแก่สมณสารูป  ถ้าเราเป็นพระต้องรักษาสมณสารูป นั้นบางอย่างทำไม่ได้  ขืนไปทำเข้าก็จะหมดความเป็นพระก็ได้ แต่ส่วนที่ทำได้ก็พอจะมี ก็คือชักจูง สั่งสอน อบรม ยั่วยุให้ประชาชน หรืออุบาสก อุบาสิกา หยุดทำลายป่านั่น เราไม่ไปทำความขัดแย้ง ทะเลาะวิวาทกับใคร แต่ว่าทำชนิดที่เกิดผลตามที่ต้องการว่ามันหยุดการทำลายป่า เช่น ช่วยกันชี้แจง ชี้แจง ชี้แจง ประโยชน์ของป่าที่มันคุ้มกะลาหัวของมนุษย์  มันก็จะได้หยุดทำลายป่า  ถ้าอย่างนี้มันก็จะไม่เป็นไร มันไม่เสียสมณสารูป แต่ถ้าไปลงมือ ลงไม้ลงมือ ต่อสู้ฟาดฟันกันอย่างนั้นจะ คงจะไม่ไหว มันจะนอกหน้าที่ นอกรีต นอกหน้าที่ ทำให้อยู่ในขอบเขตของหน้าที่ ทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์และเขาก็หยุดทำลายป่า ก็มีใจความสำคัญเพียงคำเดียวว่า ทำให้เขาหยุดความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันจะทำลายโลกทุกอย่าง ทุก ทุกความหมายแล้วเวลานี้ ความหมายที่สำคัญที่พวกเราจะช่วยได้ คือ หยุดทำลายป่า อย่าเห็นแก่ตัว หยุดความเห็นแก่ตัว และก็หยุดทำลายป่า ก็ต้องช่วยได้มากเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หยุดความเห็นแก่ตัว ก็หยุดทำลายป่า นี่ผมเท่าที่มองเห็นก็มีอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ ไม่ทราบว่าจะช่วยอย่างอื่นได้อย่างไร นอกจากมองเห็นว่าพระเราจะช่วยโลกในการคุ้มครองโลก รักษาสิ่งที่มีค่าที่สุดของพระศาสนาคือป่า ก็ช่วยกันทำอย่างนี้

ผมขออนุโมทนาด้วยอย่างยิ่งในผู้ที่จัดให้มีโครงการขึ้นมาสำหรับจะปฏิบัติกันทั่วๆไป เพื่อถนอมป่า ขออนุโมทนา ขออนุโมทนา และขอรับประกันเท่าที่สติปัญญา เกียรติยศของผมจะพึงมี รับประกันว่าถูกต้องที่สุด ถูกต้องที่สุด ถูกต้องที่สุด ในการที่จะช่วยกันถนอมป่า โดยไปบอกพวกนั้น พวกเหล่านั้นน่ะ พวกที่มันชอบทำลายป่าว่าอย่าทำลายเครื่องคุ้มกะลาหัวของตัวเองโว้ย นี่คือใจความสำคัญที่ผมจะพูดและก็แสดงความยินดีที่ท่านทั้งหลายได้แน่ใจว่าจะร่วมมือในโครงการอันนี้ ช่วยเหลือทั้งประเทศชาติ ช่วยเหลือทั้งพระศาสนา พร้อมกันไปในตัวด้วยการพิทักษ์ป่า ขอแสดงความหวังว่าให้ใช้สติปัญญา และมีเหตุผลแล้วก็จะสำเร็จแน่ สำเร็จเป็นแน่ สำเร็จโดยแน่นอน ขอให้พยายามใช้สติปัญญาที่มีเหตุผลแล้วก็จะทำหน้าที่อันนี้ได้สำเร็จสมตามปรารถนา  สัจจะความจริงของธรรมชาติ มันก็ช่วยตัวเองและช่วยผู้ที่ถือสัจจะความจริงของธรรมชาติ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตน ของตน ของตน สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  ขอให้ความหวังนี้เป็นผลสำเร็จ เป็นผลสำเร็จ แก่พวกเราทั่วทุกประการเทอญ สาธุ