แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมะ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนๆ สืบต่อไป
เรื่องที่จะบรรยายในวันนี้ จะขอถือเอาภาษิตธรรมะสากลแต่โบราณมาเป็นหลักหัวข้อสำหรับการบรรยาย เพื่อให้รู้เรื่องที่เรียกว่า โรคกับความไม่มีโรค ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจฟังตามที่ควรจะทำได้ เรื่องนี้มันมีหลักเป็นหัวข้อธรรมะอยู่ในตัว คือคำที่กล่าวกันว่า อโรคยา ปรมา ลาภา แต่ก็มีเงื่อนงำที่จะอธิบายให้กว้างขวางพอสมควรแก่เรื่อง คำภาษิตคำนี้มีการแพร่หลายทั้งในประเทศอินเดีย และแม้ในประเทศไทย คือคำพูดที่ว่า อโรคยา ปรมา ลาภา
ในประเทศอินเดียโบราณพันๆ ปีมาแล้ว ปรากฎอยู่ในอรรถกถา ในคำภีร์อรรถกถาว่าได้ใช้คำนี้กัน เป็นคำที่ว่า เป็นคำกลางบ้านไปเลย เป็นสุภาษิตก็ไม่เชิง เป็นคำพังเพยก็ไม่เชิง ฉะนั้นถือว่าพวกหมอ เช่น หมอถอนฟัน หรือหมออะไร ก็ยังใช้ภาษิตนี้ปรากฏในอรรถกถา หมอถอนฟันก็ใช้ภาษิตว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ในการถอนฟัน และมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้น มันก็มากถึงกับว่า เอาสมมติให้เป็นเรื่องของคำกล่าวเพื่อความแพร่หลายหรือเพื่อเป็นหลักธรรมะ
จะมีเรื่องว่า อีกาตัวหนึ่งเป็นอีกาทรยศกบฏ เรียกกันว่า อีกาจำศีล มันก็ร้องว่า อโรคยา ปรมา ลาภา, อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง เพื่อให้นกตัวเล็กๆ ทั้งหลายตายใจ เข้ามาใกล้แล้วมันก็จับกินเสียมากมาย ท่านบางคนคงจะคิดว่า เอ๊ะ, นี่ทำไมนกพูดได้ คือเขารับเชื่อหรือรับถือกันมาในครั้งนั้นว่า แม้แต่นกก็พูดภาษานกได้ นกใหญ่นกเล็กก็ตามพูดภาษานกได้ จึงมีเรื่องเกิดขึ้นมาว่า อีกาตัวนี้โฆษณาแต่เรื่อง อโรคยา ปรมา ลาภา, อโรคยา ปรมา ลาภา ให้นกตายใจว่าเป็นคนใจดี เข้ามาใกล้ เผลอไม่ระวังตัวก็จับกินเสีย นี่อยากจะให้เข้าใจความหมายของคำพูดโบราณที่สุดในอรรถกถานั้นเป็นพันๆ ปีนะ แสดงว่าคนตั้งๆ พันปีแล้วยังมีคนพูดอย่างนี้ พูดคำนี้ ประโยคนี้ว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง เพื่อให้รู้ว่ามันเป็นคำพิเศษ จะว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ หรือว่าเก่าแก่ประวัติศาสตร์ ก่อนประวัติศาสตร์ก็ได้ จึงจะขออธิบายข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าที่จะมีเวลา
คำนี้มันมีใจความว่า เกี่ยวกับความมีโรคและความไม่มีโรค ซึ่งเป็นของคู่กัน อโรคยา ปรมา ลาภา แปลว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง แต่มีคำที่เนื่องกันอยู่ในบาลีอรรถกถา สามารถนำมากล่าวอ้างอิงได้ต่อไป ซึ่งจะกล่าวว่า อโรคยา ปรมา อนามยา ความไม่มีโรคเป็นอนามัยอย่างยิ่ง อโรคยา ปรมา สมาธิ ความไม่มีโรคเป็นสมาธิอย่างยิ่ง อโรคยา ปรมา ภาวนา ความไม่มีโรคเป็นความเจริญอย่างยิ่ง อโรคยา ปรมา พัฒนา ความไม่มีโรคเป็นการพัฒนาอย่างยิ่ง เรื่องมันก็มีอยู่ ๒ คำว่า โรคกับความไม่มีโรค จะอธิบายเท่าที่เป็นข้อความเกี่ยวเนื่องกับธรรมะ และเกี่ยวเนื่องกับท่านทั้งหลายผู้เป็นนิสิตนักศึกษาวิทยาลัยการแพทย์
คำว่า โรคๆ นี่ตัวหนังสือแปลว่า แทง หรือ เสียบแทง คำว่า ไม่มีโรค ก็คือ ไม่มีการเสียบแทง ก็คือ สบายดี อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรค คือไม่มีการเสียบแทง ก็เป็นลาภ คือสิ่งที่ถือกันว่า สวัสดี เป็นสุขสวัสดีอย่างยิ่ง แต่จะขอขยายความคำว่า โรคๆ นี่ให้กว้างขวางออกไป ใช้ได้ในที่ทุกแห่ง คำว่าไม่มีโรคนี่ นักศึกษาที่เป็นนักศึกษาพยาบาลก็รู้ดีทีเดียวว่าหมายถึงอะไร แต่ว่าโรคนั้นมันมี ๒ ความหมาย คือโรคทางกายก็เสียบแทงทางร่างกาย เจ็บป่วยทางร่างกาย แล้วก็โรคทางจิตก็เจ็บป่วยทางจิต เสียบแทงทางจิต ซึ่งก็เป็นการเสียบแทงดุร้าย เลวร้าย ยิ่งไปกว่าโรคทางกายไปเสียอีก ถ้ามันมีการเสียบแทงทางจิต ฉะนั้นเราจะพิจารณาเรื่องนี้กันให้ดีๆ
เอาละ เป็นอันว่าโรคทางกาย ถ้าเจอกันได้ดี (นาทีที่ 12.04) ก็เจ็บปวดทางร่างกาย ป่วยไข้ทางร่างกาย มีปัญหาทางร่างกาย ถ้าความไม่มีโรคมันก็ไม่มีการเจ็บป่วยทางร่างกาย แต่คำว่าความไม่มีโรคนั้นมันมีความหมายไกลออกไปจนกว่าว่า ไม่มีการเจ็บป่วย เดือดร้อน ระส่ำระสาย กระวนกระวาย ในทางจิต ในทางจิตด้วย
คำว่า ไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่งนั้น ขอให้สนใจว่าเรื่องโรคนี่เป็นโรคทางจิต คือเป็นคนอันธพาล มิจฉาทิฏฐิ มีโรคเช่นอบายมุข ได้แก่ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน ถ้ามีอาการอย่างนี้ก็เรียกว่ามีโรคแล้ว โรคที่ร้ายกาจไปยิ่งกว่าโรคทางกาย หรือเจ็บปวดทางกาย
ทีนี้คำว่า ความไม่มีโรคเป็นอนามัยอย่างยิ่งนั้น หมายถึง ไม่เจ็บไข้ทางจิตซึ่งเกี่ยวกับการเจ็บป่วยและก็ต้องเยียวยารักษา ไม่เจ็บไข้หรือไม่เสียอนามัยในทางจิต ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ถ้าโรคไม่เจ็บไข้ทางจิตนี้ก็เช่นเรื่อง มีการแก้ไขป้องกันดี มีส้วมถูกอนามัยดี ป้องกันโรคภัยที่จะเข้ามาทางกายก็ได้ แล้วทางจิตก็ได้ คนไม่มีความรู้ คนโง่ คนอันธพาล ไม่รู้จักใช้ส้วมให้ถูกลักษณะ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันก็มีโรค มีโรคทั้งทางกายและทางจิต ใช้ส้วมไม่ถูกลักษณะ ฉะนั้นมันก็เป็นโรคทางกาย เพราะส้วมมันใช้ไม่ได้ หรือโรคทางจิตคือ มันโง่ มันโง่ในการที่จะใช้ส้วมให้ถูกลักษณะ
ทีนี้ถ้าว่า อโรคยา ปรมา สมาธิ นี่ขอให้ฟังให้ดีว่า ความไม่มีโรค มีความเป็นสมา... แต่มีความเป็นสมาธิ เป็น ปรมา สมาธิ คนถ้าเจ็บป่วยแล้วมันก็ไม่มีสมาธิ นี้ไม่ต้องพูดกันแล้ว แต่ถ้ามันไม่เจ็บป่วยมันมีสมาธิ ก็เรียกว่าไม่มีโรคทางจิตได้ คือมีจิตไม่ฟุ้งซ่าน คนบางคนนอนไม่หลับมันก็คือเป็นโรคทางจิต คือโรคทางสมาธิ คือมันไม่มีสมาธิ ถ้ามีสมาธิมันก็นอนหลับดี ไม่มีโรคทางจิต
อโรคยา ปรมา ภาวนา ความไม่มีโรคเป็นภาวนา คือความเจริญทางจิตใจอย่างยิ่ง ไม่มีโรคอย่างนี้ก็คือ ไม่มีมิจฉาทิฏฐิ คือไม่เข้าใจผิด มีสติปัญญาสมบูรณ์ มีสติปัญญาสมบูรณ์ก็คือมีภาวนา คำว่าภาวนานี่ คำนี้ตัวหนังสือแปลว่า ความเจริญ ทำให้มาก ทำให้เจริญ ทำให้ได้รับประโยชน์ ถ้ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิเสียแล้วมันก็เป็นโรค เป็นโรคซึ่งทำผิดตามแบบของพวกมิจฉาทิฏฐิ เป็นปัญหาร้อยแปดพันประการ ทั้งแก่สังคมและแก่บุคคล อโรคยา ปรมา ภาวนา ความไม่มีโรคเป็นภาวนาอย่างยิ่ง มีความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นความรู้ที่จะทำให้ไม่เกิดทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ก็คือไม่มีโรค
ทีนี้ก็อยากจะกล่าวต่อไปถึงว่า อโรคยา ปรมา พัฒนา คงจะแปลกนะ อโรคยา ความไม่มีโรคนั้นเป็นการพัฒนาอย่างยิ่ง พัฒนามันก็คำพูด มีความหมายเช่นเดียวกับภาวนา แปลว่าเจริญเหมือนกัน มันมีความหมายว่า เจริญไปในทางวัตถุจนถึงกับเลยเถิด คำว่าพัฒนาก็แปลว่า เจริญ คำว่าภาวนาก็แปลว่า เจริญ
เอาภาวนาคำแรกก่อน เจริญๆ นั้นนะ ในภาษาละตินคือ Progress คำว่าเจริญๆ แต่คำว่า Progress นั้น แปลว่าบ้าก็ได้ คือว่ามันเจริญๆ จนเป็นบ้า ลองคิดดูสิ ลองเจริญให้เกินขนาดสิ มันเป็นบ้าชนิดหนึ่ง คำว่าเจริญในความหมายนี้แปลว่า มันเป็นบ้านั่นเอง แต่ถ้าใช้คำว่าพัฒนากันเสียใหม่ไม่ให้ไปคู่กับคำว่า Progress ละก็ ใช้คำว่าเจริญตามภาษาบาลีก็มันมีความหมายแต่เพียงว่า มากขึ้นๆ คำว่าเจริญๆ ก็คือมันมากขึ้นๆ ๆ นั่นแหละ เส้นผมบนศรีษะมันรกก็เรียกว่าพัฒนา นี่ พัฒนา หรือไม่เป็นคนรกโลก คือไม่ทำโลกให้พัฒนา คำว่ารกนั้นแปลว่า หนาขึ้น มากขึ้น จำนวนมากขึ้น มากมายเหลือคณานับอย่างนี้ พัฒนามันแปลว่า มากจนเป็นบ้า จนเกินขนาด ถ้าพัฒนาที่ถูกต้องมันก็พอดี มันเป็นมัจฉิมาปฏิปทา เอากันว่าเป็นทางสายกลาง ถ้าเอากันให้ถูกต้องงดงามแล้วก็ต้อง พัฒนานี้ต้องแปลว่า เจริญด้วยสิ่งที่ไม่เป็นปัญหา ถ้าเจริญแล้วมีปัญหามันก็ไม่ถูกต้อง ยิ่งเจริญยิ่งมีปัญหา ยิ่งเจริญยิ่งมีปัญหา
ก็ลองคิดดูสิ คนในโลกปัจจุบันนี้ ถ้ามันเจริญอะไรมากเกินไป เจริญด้วยการฆ่า หรือเจริญด้วยการ อะไรก็ตามเถอะ มันก็ยุ่งยากจนถึงกับเป็นบ้าได้ทั้งนั้นแหละ เพราะมันเพิ่มปัญหา ปัญหาที่เป็นคำถามก็ดี ปัญหาที่เป็นความยุ่งยากลำบากก็ดี มันเรียกว่าปัญหาทั้งนั้น ปัญหาที่เป็นคำถาม Question แปลว่า คำถาม Problem มันก็ความยุ่งยาก ซึ่งก็เป็นปัญหาเหมือนกัน เพราะว่าถ้ามันเกิดความยุ่งยากขึ้นมาแล้วก็คือเป็นปัญหาด้วยเหมือนกัน ปัญหานั้นมีทั้งคำถามก็ได้ มีทั้งความยุ่งยากลำบากก็ได้ ถ้ามันนำมาซึ่งปัญหาแล้ว ก็ไม่ใช่พัฒนาที่ถูกต้องหรอก มันก็เป็นโรคหรอกเมื่อพัฒนาไม่ถูกต้อง พัฒนาจนเป็นบ้า อย่างคำพูดคำแรกที่ว่ามาแล้ว พัฒนาจนเป็นบ้า
ทีนี้ขอให้ท่านทั้งหลายปราศจากโรคๆ ไม่มีโรค ทว่าไม่มีความผิดพลาดทั้งทางกายและทางใจ ทางกายเป็นเรื่องเจ็บปวด ยุ่งยาก ลำบาก และทางจิตใจมันก็เป็นเรื่องเสื่อมเสียในทางจิตใจ ถ้ามันถูกต้องในทางจิตใจไม่มีปัญหา เช่น ไม่มีอบายมุข ซึ่งเป็นโรคของอันธพาล ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน เป็นลักษณะของอันธพาล นี่เป็นโรคของอันธพาล ไม่มีโรคอย่างนี้ก็มีประโยชน์ที่สุด
คำว่า อนามัย ไม่มีปัญหาทางอนามัย ไม่มีโรคทางอนามัย มีส้วมที่ดี แต่ว่าส้วมนี่น่าจะได้ความหมายอย่างหนึ่ง จะเป็นส้วมชักโครกแล้วก็มีความหมายพิเศษว่าอะไรๆ ก็ไหลลงไปในชักโครกทั้งนั้น สะอาดดี เรียบร้อยดี แล้วก็เป็นปริศนาหรือว่าเป็นหัวข้อธรรมอะไรๆ สกปรก อะไร เท่าไร อย่างไร มากน้อยเท่าไร ไหลลงไปในชักโครก ก็เรียกว่าไม่มีโรค เนื่องจากมีส้วมหรือการใช้ส้วมแล้วก็ไม่มีโรคๆ จึงไม่มีโรคทางจิต ก็จิตสงบเป็นสมาธิ แม้ที่สุด แต่นอนหลับดีก็เรียกว่าไม่มีโรค
อโรคยา ปรมา ภาวนา คือความเจริญทางจิต ทางทิฏฐิ สัมมาทิฎฐิ เป็นสติปัญญา เป็นความคิดความเห็น ที่มีแล้วมันป้องกันโรคทางจิตได้หมด สามารถจะทำให้บรรลุพระนิพพานก็ได้ ถ้าถึงขนาดเป็นพระนิพพานแล้วก็ต้องกล่าวว่าไม่มีโรคอะไรเลย ไม่มีโรคโดยทางกายหรือทางจิต ไม่มีโรคอะไรเลย ขอให้เป็นพัฒนา พัฒนาที่มีความหมายถูกต้อง คือไม่ทำให้เกิดปัญหา จึงจะเรียกว่าพัฒนา หรือจะเรียกว่าเจริญ
มีคำพูดที่ควรสนใจอยู่ คือคำว่าความถูกต้อง เป็นบาลีเรียกว่า สัมมัตตะ เชื่อว่าคงไม่เคยได้ยินได้ฟังกันนัก สัมมัตตะน่ะ บางคนจะไม่เคยได้ยิน แต่บอกให้ทราบว่าคำว่า สัมมัตตะ มันแปลว่าความถูกต้องๆ ความถูกต้องนี่มันจำกัดความได้ง่ายๆ ว่ามันไม่เป็นปัญหา คือมันไม่มีปัญหา ถ้ายังมีปัญหามันยังไม่ถูกต้อง มันมีโกลาหลวุ่นวาย ยังมีคำถาม ยังมีความยุ่งยากลำบากเป็นปัญหา ถ้าหากว่ามันมีความถูกต้องเป็นสัมมัตตะแล้วไม่มีปัญหาใดๆ ทางเศรษฐกิจก็ดี ทางการเมืองก็ดี ทางสังคมก็ดี มันไม่มีปัญหา ฉะนั้นเขาเรียกเป็นความถูกต้อง ฉะนั้นความถูกต้องเป็นสิ่ง เป็นธรรมที่มีความหมายสำคัญที่สุดของคำว่าไม่มีโรค ถ้ามันถูกต้อง คือไม่มีปัญหาแล้ว มันก็มีความไม่มีโรค เป็นความไม่มีโรคที่สำคัญที่สุด ขอให้สนใจไว้ สัมมัตตะ
ขออธิบายคำนี้พอสมควรแก่ความสำคัญ คำว่า สัมมัตตะ นี่ ประกอบขึ้นด้วยคำว่า สัมมาๆ สัมมาตะ สัมมัตตะ สัมมัตตะตานี่ สัมมัตตะแปลว่า ความถูกต้อง ๑๐ คำคือความ... คือ
คำนี้มันสำคัญ สำหรับคำว่า สัมมัตตะๆ คำนี้มันสำคัญแปลว่าความถูกต้อง ขยายออกไปเป็นถูกต้องถึง ๑๐ อย่าง ๑๐ ประการ แล้วมันจะมีโรคได้อย่างไรล่ะ ภาวะสูงสุดๆ มีคุณค่าที่สุดของคำว่าไม่มีโรคๆ ไอ้โรคทางกายนั้นไม่พูดถึงกันแล้ว เขาไม่มีโรคทางไอ้สติปัญญาทางความคิดความนึกอะไร ไม่มีโรค ไม่มีโรคทางความคิดเห็น ไม่มีโรคทางความปรารถนา ไม่มีโรคทางการพูดจา ไม่มีโรคทางการทำการงาน ไม่มีโรคทางอาชีพ ไม่มีโรคทางความพากเพียรพยายาม ไม่มีโรคทางมีสติสัมปชัญญะ ไม่มีโรคทางสมาธิ แล้วก็ไม่มีโรคทางญาณะคือความรู้ แล้วก็ไม่มีโรคในทางหลุดพ้น วิมุติหลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวง
นี่คือความไม่มีโรค กระจายออกไปตามหลักของพระพุทธเจ้าก็ได้เป็น ๑๐ สัมมา ๑๐ สัมมา สัมมามันแปลว่าถูกต้อง ตรงกันข้ามกับมิจฉา มิจฉาแปลว่า ผิดพลาด เมื่อฝ่ายสัมมามันมี ๑๐ อย่าง ฝ่ายมิจฉาก็มี ๑๐ อย่างเหมือนกัน กลับตรงกันข้ามเสีย มันก็เป็นมิจฉาไปหมด มีความเข้าใจผิด มีความปรารถนาผิด มีการพูดจาผิด มีการทำการงานผิด มีการเลี้ยงชีวิตผิด มีความพยายามผิด มีสติผิด มีสมาธิผิด มีญาณะผิด มีวิมุติหลุดพ้นผิด นั้นนะมันผิด คือโรคนั้น ถ้ามันผิดอย่างนี้ก็คือโรคทั้งทางกายและทั้งทางจิตนั้นเหลือประมาณ เหลือประมาณจนวินาศ จนตกความทุกข์อยู่ในนรก นรกชั้นเลวที่สุด มันไปตกนรกอยู่ที่นั่น นั่นน่ะความผิด ความผิดพลาดคือความมีโรค มันยิ่งกว่าเจ็บปวดทางกายเสียอีก มันเจ็บปวดหมดทุกทางๆ ถ้ามันเป็นมิจฉา หรือมิจฉัตตะ
ขอให้ทุกคนรักษาสัมมัตตะ คือ ความถูกต้อง ไว้ให้ได้ เพื่อความไม่มีโรคโดยประการทั้งปวง ความไม่มีโรคมันตรงกันข้ามกับความมีโรค เข้าใจคำว่า ความมีโรคๆ ไว้ให้ดีๆ จะรักษาพยาบาลกันอย่างไรให้มันหายโรคทั้งทางกายและทางจิต แต่ในที่นี้เราถือว่าโรคทางจิตน่ะสำคัญ หรือร้ายกาจ หรือดุร้าย หรือเสียหายยิ่งกว่าโรคทางกาย ทำอย่าให้มีโรคทางจิต ก็ดีแล้วท่านทั้งหลายเป็นนักศึกษาพยาบาล ก็หมายความว่ามันเพื่อความไม่มีโรคนั่นแหละ แต่ขอให้ขยายขยับๆ ขยายความหมายของคำว่าไม่มีโรคให้สูงขึ้นไปถึงความไม่มีโรคในทางจิต
แล้วก็อยากจะขอให้ระลึกนึกถึงคำสำคัญอีกคำหนึ่งซึ่งเป็นพระพุทธภาษิต เป็นธรรมภาษิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย คือท่านกล่าวว่า มะหาการุณิโก สัตถา พระศาสดาของข้าพเจ้าเป็นผู้มีเมตตากรุณาใหญ่ สัพพโลกติกิจฉโก พระศาสดาของข้าพเจ้าเป็นแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ฟังดีๆ ไอ้คำนี้มันว่า สัพพโลกติกิจฉโก เป็นแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง พระพุทธเจ้าก็หมายถึงพระพุทธเจ้าน่ะ หมายถึงองค์พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง คือทั้งทางกายและทั้งทางจิต กวาดเกลี้ยงไปหมดเลยทั้งทางกายและทางจิต แล้วมันจึงจะไม่สูงสุดอย่างไรล่ะ สัพพะ คือ ทั้งปวง โลกะ โลกทั้งปวง ติกิจฉโก เป็นนายแพทย์
เป็นอันว่าขอให้ท่านทั้งหลาย ผู้ประชุมกันอยู่ในที่นี้ รู้จักความหมาย รู้จักความสำคัญของพระพุทธเจ้าว่า เป็นผู้มีมหากรุณา มีความเมตตากรุณาดุจห้วงมหรรณพ ห้วงมหรรณพคือมหาสมุทร คือทะเล กว้างขวางเท่าไร ไปดูเอาเอง ไปศึกษาเอาเอง มีกรุณาดุจห้วงมหรรณพ ท่านทั้งหลายที่เป็นแพทย์ เป็นนักศึกษาแพทย์ เป็นนายแพทย์ หรืออะไรขึ้นมาตามลำดับ มีการงานเกี่ยวกับการแพทย์แล้วก็ขอให้นึกถึงคำนี้ว่า พระศาสดาเป็นผู้มีกรุณาใหญ่หลวงกว้างขวางดุจห้วงมหรรณพ คือทะเล คือมหาสมุทร ขอให้เอาอย่าง
ขอให้พวกเราที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ก็ดี สำเร็จการเรียนเป็นแพทย์เป็นอะไรแล้วก็ดี ปฏิบัติหน้าที่อยู่ก็ดี ขอให้มีกรุณาเมตตาขนาดนั้น ขอให้มีความเมตตากรุณาในลักษณะนั้น และขนาดนั้น ชนิดนั้น แล้วก็ทำหน้าที่สูงสุดว่า สัพพโลกติกิจฉโก รักษาเยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงคือ โรคทั้งทางกาย และโรคทางจิต ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต มันก็มีเท่านั้นแหละ ถ้าทางกายก็กวาดเกลี้ยงไปหมด ทางจิตก็กวาดเกลี้ยงไปหมด มันก็ไม่มีโรคเท่านั้นเอง มันไม่มีปัญหา นี่จึงว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง เป็นบรมลาภ อโรคยา ปรมา อนามยา ความไม่มีโรคเป็นอนามัยอย่างยิ่ง อโรคยา ปรมา สมาธิ ความไม่มีโรคเป็นสมาธิอย่างยิ่ง อโรคยา ปรมา ภาวนา ความไม่มีโรคเป็นความเจริญทางจิตอย่างยิ่ง อโรคยา ปรมา พัฒนา ความไม่มีโรคเป็นการพัฒนาอย่างยิ่ง
มีใจความดัง... ขอให้ได้ความไม่มีโรค ได้ความไม่มีโรคที่ถูกต้อง ไม่ใช่โรคเข้าใจผิดมีโรคของสัมมาทิฏฐิ มีความเห็น มีความคิด ความเห็น ความเชื่อ อย่างถูกต้อง มีความศึกษาการรู้การเรียนอย่างถูกต้อง ก็เป็นหลักสำคัญ เป็นเครื่องมืออันสำคัญที่จะรื้อรังโรคทั้งหมดออกไปเสีย
นั่นแหละมัน อโรคยา ปรมา ภาวนา การภาวนาคือทำจิตให้เป็นสมาธิ เจริญด้วยสติปัญญา เป็นการภาวนาหรือทำความเจริญ เจริญอย่างยิ่ง เจริญอย่างนี้ไม่มีผิดพลาด ถ้าเอาคำว่าพัฒนามาใช้ คำนี้มันแปลว่าบ้าก็ได้ Progress, Progress ภาษาละตินแปลว่า เป็นบ้าก็ได้ คำว่า Progress ก็คือเจริญเหมือนกัน เจริญจนเป็นบ้า ฉะนั้นขอให้ระวังให้ดี ขอให้มีความเจริญถูกวิถีทาง เจริญถูกวิถีทางทั้งทางกายทั้งทางจิต แล้วก็ได้ประสบความสำเร็จของวัตถุประสงค์อันนี้ หรือเป้าหมายอันนี้ หรือความสำคัญของไอ้คำๆ นี้ ว่า อโรคยา ปรมา ลาภา นึกถึงประเทศอินเดียพันๆ ปีมาแล้ว ก็ใช้คำนี้เป็นพันๆ ปีมาแล้ว ปรากฎในอรรถกถา คำพูดคำนี้เขาใช้มาเป็นพันๆ ปีนะ อโรคยา ปรมา ลาภา
เดี๋ยวนี้เราก็จะต้องมารับรู้หรือรับใช้คำๆ นี้ คำพูดคำนี้ว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จในคำว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง ความไม่มีโรคเป็นบรมลาภ เป็นบรมอนามัย เป็นบรมสมาธิ เป็นบรมภาวนา เป็นบรมพัฒนา นี่ขอให้ทำความเข้าใจในคำว่า โรค กับคำว่า ไม่มีโรค เต็มที่ในความหมายทั้ง ๒ นี้ว่า โรคต่างกันอย่างไรกับความไม่มีโรค ก็ขอให้เลือกเอามาแต่ความหมายแห่งความไม่มีโรค ความรู้แห่งความไม่มีโรค การกระทำแห่งความไม่มีโรค แล้วสำเร็จเป็นผู้ไม่มีโรคอยู่โดยทุกๆ คนเทอญ
ขอยุติการบรรยายเพราะตามสมควรแก่เวลาในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ แล้วอย่าลืมพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเป็นมหาการุณิโก เป็นผู้มีมหากรุณา สัพพโลกติกิจฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย อย่าลืมพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นนายแพทย์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเป็นนายแพทย์อย่างความหมายเดียวกันกับพระพุทธเจ้าว่า สัพพโลกติกิจฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง แล้วมีมหากรุณาใหญ่ อย่าเป็นนายแพทย์ขี้เหนียว ขี้ตืด ขี้ตังค์ ขี้ตระหนี่ ขี้อะไร ทุจริตหรือว่าอะไรไปเสียอีก ขอให้ถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องสมบูรณ์ เป็นผู้มีมหากรุณาอันใหญ่หลวง เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงด้วยกันจนทุกๆ คนเทอญ
พักที่ไหนกันน่ะ พักที่บ้านพักหรือ
รู้จักพระพุทธเจ้า แล้วก็เอาอย่างพระพุทธเจ้า เป็นนายแพทย์ๆ ๆ ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง เอาอย่างพระพุทธเจ้า เอาอย่างพระพุทธเจ้า เอาอย่างพระพุทธเจ้า ให้มีแต่ความถูกต้อง ความถูกต้อง ความถูกต้อง มีความถูกต้องแล้วไม่มีปัญหาใดๆ เหลืออยู่ เดี๋ยวนี้มันไม่มีความถูกต้อง ทางเศรษฐกิจก็ไม่ถูกต้อง ทางการเมืองก็ไม่ถูกต้อง ทางสังคมก็ไม่ถูกต้อง จึงมีแต่ความวุ่นวายระส่ำระสาย ไม่มีสันติภาพ ขอให้เอาอย่างพระพุทธเจ้า ตั้งต้นไปตั้งแต่ว่า เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงด้วยเมตตากรุณา