แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่นทั้งหมดขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้ในลักษณะอย่างนี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเพื่อศึกษาธรรมะ เหตุผลที่มีความยินดีก็คือเป็นการกระทำที่มีความประสงค์ร่วมกันคือทำให้มีการรู้ธรรมะและใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ได้นี่ยินดี สาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีหน้าที่อย่างนั้น คือมีหน้าที่เผยแผ่ธรรมะ นี่เป็นตามพระพุทธประสงค์ด้วยและก็เป็นความสมัครใจด้วย พระพุทธเจ้าทรงพระประสงค์อย่างยิ่งให้สาวกช่วยกันเผยแผ่ธรรมะหรือที่เราเรียกกันว่าพุทธศาสนา เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่โลกเป็นที่พึ่งของโลก ทำสิ่งที่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ท่านก็มีพระพุทธประสงค์ว่าจะให้โลกมีสันติภาพให้สาวกช่วยกันเผยแผ่ธรรมะที่จะเป็นเครื่องทำให้โลกมีสันติภาพ ถ้าเราทำหน้าที่อย่างนี้ก็เป็นการทำตามพระพุทธประสงค์ ที่ว่าโลกมีสันติภาพตามหลักธรรมะหรือข้อความในคัมภีร์ก็ใช้คำว่าเป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ เทวดาและมนุษย์นี่ไอ้คนไม่รู้มันก็หัวเราะเยาะว่าเทวดาบนสวรรค์จะได้รับประโยชน์อะไร ที่จริงถ้าว่าคนมีธรรมะมันก็ไปเกิดในสวรรค์และสวรรค์มันก็ไม่ร้าง ลองไม่มีธรรมะไม่มีใครไปเกิดในสวรรค์ สวรรค์ก็ร้างหมดนี่พูดเอาเปรียบก็พูดอย่างนี้ แต่ที่จริงนั้นความหมายอันแท้จริงเทวดาน่ะคือคนที่เขาไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องไม่รู้จักเหงื่อ มนุษย์คือคนที่ยังมีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องยังต้องรู้จักเหงื่อ ยังต้องอาบเหงื่อมีเท่านั้นแหล่ะ แต่อย่าลืมว่าแม้มันจะเป็นผู้ไม่รู้จักเหงื่อไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องแต่จิตใจก็ยังถูกทรมานอยู่ด้วยกิเลสของมันเองคือความมั่งมีของมันเอง เกียรติยศอำนาจวาสนาชื่อเสียงของมันเองยังทำให้มันต้องเดือดร้อนด้วยราคะกิเลสบ้างโทสะกิเลสบ้างโมหะกิเลสบ้างน่ะเทวดามันก็ยังเดือดร้อนเพราะมันยังมีราคะโทสะโมหะ นี่ถ้าเข้าใจว่าเป็นเทวดาแล้วจะหมดปัญหา มันหมดปัญหาแต่เรื่องปากเรื่องท้องเรื่องไม่ต้องรู้จักเหงื่อ แต่มันก็ยังมีความทุกข์ธรรมะช่วยแก้ได้ในข้อนี้ให้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเหตุนี้ ทีนี้คนมนุษย์ยังรู้จักเหงื่อยังมีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องนี่ต้องการธรรมะก็คือ ก็คือเพื่อจะไม่ให้มีความทุกข์ทรมานเพราะการหากินนั่นเอง ถ้ามีธรรมะก็รู้จักทำจิตใจไว้ถูกต้อง พอใจในการที่จะทำงานเหงื่อมันก็เลยกลายเป็นน้ำมนต์อันเยือกเย็นไป คนโง่ไม่รู้จักการงานว่าคือธรรมะ ทำการงานมันก็ไม่ชอบ เหนื่อยขึ้นมามันก็ว่าไปขโมยดีกว่าโน่น ไปขโมยดีกว่า เป็นซะอย่างนี้ ถ้ามีธรรมะทำงานมันก็สนุก สนุก มันก็เลยไม่มีความทุกข์ในการทำงาน ทำนาก็สนุก ทำสวนก็สนุก ค้าขายก็สนุก ทำราชการก็สนุก เป็นกรรมกรก็ยังสนุก เป็นคนขอทานก็ยังมีความสุขมีความพอใจที่จะทำหน้าที่ของตน นี่สำหรับคนยากจนหรือคนยังต้องรู้จักเหงื่อนั้นธรรมะจะช่วยให้เขาไม่มีความทุกข์ในการทำงานหรือทำหน้าที่ ว่าจะมีความสุขเสียเมื่อกำลังทำการงานหรือทำหน้าที่นั้นเอง ข้อนี้จะต้องช่วยเข้าใจกันให้ดี ๆ ถ้ารู้สึกว่าไอ้งานที่เราทำนี่มันคือธรรมะเขาก็พอใจว่าได้ปฏิบัติธรรมะมันก็เลยไม่เหน็ดเหนื่อยมันทำได้มาก ยิ่งทำยิ่งสนุกยิ่งทำยิ่งเป็นสุขมันก็ทำงานได้มาก คนสมัยก่อนทำงานได้มากโดยอาศัยเหตุข้อนี้ ก็ขนาดสายจนจะเพลอยู่แล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวสักทีอยู่กลางแดดเหงื่อท่วมตัวเขาก็ยังทำงานสนุก เพราะเขารู้ว่านี่มันเป็นหน้าที่ของมนุษย์เรียกว่าธรรมะ ฉะนั้นนักเรียนนักศึกษาทั้งหลายจงรู้ไว้เป็นหลักรากฐานเบื้องต้นว่าไอ้ธรรมะนั่นน่ะก็แปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต อาจจะมีความรู้แคบๆ หรือค่อนข้างจะโง่เขลาว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าท่านสอนว่าอย่างไร ถูกแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องรู้ว่าท่านสอนว่าอย่างไร ก็ท่านสอนให้ทำหน้าที่ให้ยกตัวเองขึ้นมาได้ตามชั้นของตน ไอ้คนเราน่ะมันมีอยู่สองชั้นนะดูให้ดี คือเป็นคนชั้นหนึ่งและเป็นมนุษย์อีกชั้นหนึ่ง เกิดมาก็เป็นคนโดยธรรมชาติแล้วก็ทำหน้าที่ของคนทำมาหากินจนไม่เดือดร้อนเรื่องหน้าที่ทำมาหากินดำรงตนอยู่เป็นคนมีทรัพย์สมบัติมีเกียรติยศชื่อเสียงมีอะไรตามสมควรนี่เรียกว่าเป็นคน เป็นคน ยังไม่เรียกว่ามนุษย์คือจิตใจยังไม่สูง จิตใจยังธรรมดา เป็นแต่เพียงคนอย่างนี้ ต่อมาก็มีหน้าที่ที่จะทำให้เป็นมนุษย์คือปฏิบัติทางจิตใจสูงขึ้นไปสูงขึ้นไป จิตใจสูงจนบรรลุมรรคผลนิพพานเพราะจิตใจสูงตอนนี้เป็นมนุษย์ เป็นคนน่ะคือคนธรรมดาแต่ก็มีธรรมะที่จะต้องเป็นคนธรรมดากันให้ได้มีกินมีใช้สะดวกสบายกันเสียชั้นหนึ่งก่อน นี่เรียกว่ารอดชั้นต้น แล้วก็มีความรู้ธรรมะชั้นสูงที่จะต่อสู้กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ และความทุกข์ที่เกิดมาจากกิเลส ให้ความทุกข์นี้หมดไปอีกชั้นหนึ่งนี่ว่ารอดชั้นที่สองรอดชั้นปลาย ถ้าสองรอดก็ใช้ได้ รอดชั้นแรกคือรอดจากความไม่เป็นคนได้เป็นคน รอดชั้นที่สองรอดจากความไม่ได้เป็นมนุษย์แล้วก็ได้เป็นมนุษย์ นั้นเกิดมาชาติหนึ่งขอให้ได้เป็นทั้งคนและทั้งมนุษย์ คือเป็นคนแล้วก็เป็นมนุษย์ ธรรมะช่วยได้หมดในชั้นแรกช่วยเป็นคนในชั้นต่อมาช่วยให้เป็นมนุษย์ รัฐบาลควรจะทำหน้าที่สองหน้าที่พร้อมๆ กันไป หน้าที่แรกรัฐบาลทำหน้าที่ให้พลเมืองได้เป็นคนได้อยู่อย่างคน มีกินมีใช้สะดวกสบายตามแบบคนธรรมดาทั่วไป หน้าที่ชั้นสองรัฐบาลก็มีหน้าที่ทำให้พลเมืองเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูงอยู่อย่างสงบเย็น เพียงแต่ได้มีกินมีใช้ถ้าจิตใจไม่สูงมันก็เบียดเบียนกันเรื่อยไปมันเบียดเบียนกันเรื่อยไปอันธพาลเต็มบ้านเต็มเมืองถ้าใจมันไม่สูง เดี๋ยวนี้ก็มีอันธพาลมากขึ้นตามถนนหนทางก็มีอันธพาลมากขึ้น ยังบุกรุกเข้าไปในบ้านในเรือนแล้วเดี๋ยวนี้ ก่อนนี้ไม่มีหรือไม่มีมากอย่างนี้ มีนักโทษมากจนต้องเพิ่มเรือนจำเพิ่มตำรวจเพิ่มศาลกันให้ยุ่งไปหมด แล้วก็มีคนเป็นโรคประสาทจิตไม่สมประกอบนี่มันมากขึ้นจนต้องเพิ่มโรงพยาบาลประเภทโรคจิตโรคประสาท ดูให้ดีเรื่องนี้เหตุผลข้อเท็จจริงอะไรมันมีอยู่แล้วแต่เราไม่ดูกันเอง ข้อที่มีอันธพาลเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่กันด้วยความหวาดกลัวไม่สงบใจนี่เพราะว่าคนมันไม่เป็นมนุษย์ มันเป็นกันแต่คนมีกินมีใช้ตามแบบคนไม่รู้จักพอมันก็ต้องฉ้อต้องโกงต้องทำคอร์รัปชั่น เห็นได้ว่าไอ้พวกที่ทำคอร์รัปชั่นน่ะมันก็พอมีกินมีใช้อยู่แล้วทั้งนั้นแหล่ะ แต่มันอยากจะกินจะดีให้ให้ให้จะใช้ให้ยิ่งๆขึ้นไปจะไปแข่งกับเทวดาโน่น เมื่อคนยากจนจะเป็นอยู่แข่งกับคนมั่งมีมันก็ต้องทำทุจริตน่ะอันธพาลปล้นจี้ไปตามเรื่องเพื่อได้มามากๆ เป็นอยู่แข่งกับคนมั่งมีนี่ เขาไม่มีธรรมะที่จะยกฐานะของตนแก้ความยากจนให้ได้ ก็คิดไปในทางรวยลัด จี้ ปล้น ขโมย คดโกง คอร์รัปชั่นอะไรไปตามเรื่อง ความไม่มีธรรมะจะเป็นอย่างนี้แล้วกำลังเป็นกันทั้งโลกเพราะมัวเมาในความเพลิดเพลินทางวัตถุมากเกินไป ไม่มีธรรมะไม่พอใจเรื่องของธรรมะไม่เป็นสุขจากธรรมะไม่พอใจในศาสนา กำลังเป็นกันทั้งโลก กำลังเป็นกันทั้งโลก คือเรียนกันแต่เรื่องเป็นคนให้กินอยู่สะดวกสบายมีอะไรดีสุขภาพดีอนามัยดีเศรษฐกิจดีแล้วแต่จิตใจมันทราม ก็เลยเป็นกันทั้งโลกนี่คือผลของการที่ไม่มีธรรมะ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าการศึกษาไม่ถูกต้องไม่เพียงพอเป็นการศึกษาชนิดหมาหางด้วน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับมหาวิทยาลัยถึงระดับมหาวิทยาลัยนะช่วยจำไว้ด้วย ถ้าเผอิญว่ามันจะมีไปถึงระดับบรมมหาวิทยาลัยมันก็ยังหางด้วนอยู่นั่นแหล่ะ เพราะมันไม่สอนสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือธรรมะหรือเรื่องทางจิตใจให้เป็นมนุษย์ พวกคุณนี่อายุน้อยๆ นี่ไม่ไม่ทันได้เห็นได้ยินเรื่องการศึกษาที่สมบูรณ์ที่หมาหางไม่ด้วน ก่อนนี้ในสถาบันการศึกษาในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยเขาสอนศาสนารวมกันไปทั้งนั้นแหล่ะทั้งโลกเลย สอนศาสนาประจำชาติของตนร่วมกันไปกับการศึกษาสามัญเรียนพร้อมกันไป เรียนอักษรศาสตร์เรียนวรรณคดีเรียนอะไรก็ตามเพื่อความเป็นคน แล้วก็เรียนธรรมะเรียนศาสนาพร้อมกันไปเพื่อความเป็นมนุษย์ เรียนจบแล้วเป็นสุภาพบุรุษไม่ใช่เป็นไอ้ผู้ที่หากินเก่งหรือดำเนินงานเศรษฐกิจเก่ง นั่นน่ะเมื่อการศึกษายังไม่เป็นหมาหางด้วนน่ะมันเป็นอย่างนั้น ต่อมาไอ้คนมันเจริญทางวัตถุหลงใหลทางวัตถุมากขึ้นต้องการวัตถุมากขึ้นจนเกิดสงคราม เกิดสงครามรบอาวุธสงครามเศรษฐกิจ เขาต้องการคนเก่งในทางนี้ไม่ต้องเก่งในธรรมะแล้ว เขาจึงสอนกันแต่วิชาอย่างนี้ ตัดการศึกษาส่วนธรรมะหรือส่วนศานานี่ออกไป ออกไปเสียจากระบบการศึกษาที่เรียกว่าระบบแยกกันน่ะ บ้านก็บ้าน วัดก็วัด ประเทศฝรั่งเขาทำก่อน ห้ามไม่ให้เอาศาสนามาสอนในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย มันก็ขาดไป หนักเข้านานเข้าไอ้ยุวชนของเราก็รู้กันแต่เรื่องศึกษาปากท้อง ไม่มีการศึกษาการศึกษาทางจิตใจมันก็เป็นอย่างที่ว่า คือการศึกษามันด้วนไป คือเรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพนี่สองอย่างเท่านั้น วิชาหนังสือต้องเรียนก่อนให้มันฉลาดแล้วก็เรียนวิชาชีพให้มันเก่งในการทำมาหากินมันก็ได้เท่านี้ ส่วนที่ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไรนั้นน่ะมันไม่ได้สอนนี่มันไม่ได้สอน ก็ขาดอยู่นี่เรียกว่าหมาหางด้วน แล้วก็เที่ยวหลอกคนอื่นว่าหางด้วนดีกว่า นักเรียนรุ่นนี้อาจจะไม่เคยอ่านหนังสือแบบเรียนรุ่นรุ่นเก่าที่อาตมาเคยเรียนเรื่องหมาหางด้วน สุนัขตัวหนึ่งมันไปติดกับของชาวบ้านหางขาดมันก็ละอายแล้วมันก็ไปบอกหมาทั้งหลายว่าหางด้วนดีกว่า ดีกว่าหางยาวตามปกติรุงรัง ไอ้หมาโง่ ๆ ทั้งหลายก็ชวนกันตัดหางเกือบทั้งหมดแหล่ะ แต่หมาแก่ฉลาดตัวหนึ่งมันรู้เท่ามันบอกไม่เอากูไม่เชื่อมึงมันไม่ยอมตัดนี่มันมีน้อย เดี๋ยวนี้เขาสอนกันว่าไอ้เรื่องปากเรื่องท้องเรื่องเนื้อเรื่องหนังเรื่องกามอารมณ์นี่วิเศษเอาเถอะ ไอ้เรื่องธรรมะนั้นน่ะป่วยการจะทำให้ล้าหลังจะทำให้ไม่ก้าวหน้าไม่ทำให้เจริญเราทิ้งกันเถิด ก็เลยตัดความรู้ส่วนนั้นออกไปเสีย เหลือแต่ความรู้เรื่องหนังสือกับเรื่องวิชาชีพนี่ได้เป็นหมาหางด้วนกันทั้งโลก อยากจะเล่าเรื่องที่ควรจะรู้ว่ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์นั่น ก่อนนี้พระสอนทั้งนั้นแหล่ะ พระเป็นผู้จัดตั้งด้วยทีแรกตั้งแต่เป็นโรงเรียนราษฏร์ พระจัดตั้งและจนเป็นมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์อะไรก็ตามพระทำทั้งนั้นแหล่ะ แล้วก็สอนเรื่องศาสนามากกว่าเรื่องชาวบ้านเสียด้วยซ้ำไป เมื่อกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ น.ม.ส.น่ะเอาชื่อนี้เป็นหลัก เรียนเสร็จแล้วกลับมาก็มาเล่าให้ฟังที่สโมสรสามัคคยาจารย์ เมื่อยังมีอยู่ที่บริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบน่ะ อาตมาก็ไปฟังเอง ไปฟังด้วยตนเองเขาเล่าว่าในมหาวิทยาลัยกินนอนเคมบริดจ์น่ะทำกันอย่างไร โอ้, เต็มไปด้วยเรื่องทางศาสนาไม่ใช่เต็มไปหมดนะมันมีการเรียนนั่นแหล่ะแล้วก็แต่ว่ามีพิธีแต่ทางศาสนาอบรมทางศาสนาอยู่ทุกขั้นทุกตอนทุกชั้นทุกเวลาก่อนกินข้าวหลังกินข้าวนอนนี่ก็ต้องมีพิธีทางศาสนา แปลว่าให้คนเกลียดบาปรักบุญนั่นแหล่ะเต็มที่ นั่นแหล่ะคือหลักใหญ่ว่าเราเรียนเพื่อเป็นสุภาพบุรุษ ดังนั้นความเป็นสุภาพบุรุษน่ะจึงถูกเน้นมากยิ่งกว่าการศึกษาวิชาความรู้ จะเรียนจะเล่นกีฬาจะแข่งเรือจะอะไรก็ตามมากมายถ้าเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษแล้วก็มีเกียรติมาก ไอ้ที่มีเรียนความรู้ตามธรรมดานี่มีเกียรติน้อยกว่า สำเร็จการศึกษาออกมาเป็นสุภาพบุรุษเป็นมนุษย์นั่น มีใจสูงนั่นไม่ใช่เป็นแต่เพียงคน เดี๋ยวนี้ไม่ได้เรียนเพื่อเป็นสุภาพบุรุษนี่มันนี่ มันก็เรียนเพื่อเก่งในทางไอ้อาชีพในทางเศรษฐกิจหรือว่าเป็นนักการเมืองเป็นนักรบนักอะไรไปทางโน้น ไม่ได้มุ่งที่ความเป็นสุภาพบุรุษ โดยเห็นแก่ประโยชน์ทางวัตถุเป็นที่ตั้งก็ยิ่งเป็นกันแต่เพียงคนเป็นกันแต่เพียงคน รู้จักทำมาหากินให้รวยให้สวยให้ดีให้เด่นไปตามเรื่องมันก็เป็นแต่เพียงคนมันก็ไม่เป็นมนุษย์ ดังนั้นขอให้รู้กันไว้เถอะว่าไอ้การศึกษาที่สมบูรณ์นั้นต้องมีศึกษาเรื่องความเป็นมนุษย์ ไม่นั้นจะเป็นการศึกษาหมาหางด้วน
ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งเล็ก ๆ พวกคุณนี่ไม่เคยเห็นแบบเรียนยุคโน้นทั้งต่างประเทศและในประเทศ ไปดูแบบเรียนยุคแรกๆ ยุคเก่าๆ สิ ที่นักเรียนจะเรียนจะมีเรื่องธรรมะเรื่องศาสนาปนอยู่ทุกบทแหล่ะ แล้วเรียนต่างประเทศที่เคยเห็นเมื่อเล็กๆ น่ะ หนังสือสอนอ่านน่ะมันก็มีเรื่องศาสนาตอนท้ายบท เน้นให้คนรู้จักพระเจ้าตอนท้ายบททุกบทน่ะ เรียกว่าหนังสือแบบเรียนแบบสอนอ่าน Royal reader นี่ เป็นชุดใหญ่สำหรับนักเรียนชั้นดีชั้นสูงในอังกฤษเขาเรียนกันเดี๋ยวนี้หาดูไม่ได้แล้ว ตัวอย่างแบบเรียนชนิดนั้นจะมีอยู่ตามห้องสมุดน่ะ ถ้าเราไปดูหนังสือแบบเรียนชั้นนี้แล้วมันก็ไม่มีเรื่องอย่างนั้น มีแต่เรื่องอักษรศาสตร์ เรื่องอาชีพ เรื่องวิทยาศาสตร์อะไรต่างๆ ที่มันเกี่ยวกับอาชีพ แม้แต่เรียนประวัติศาสตร์มันก็เรียนเพื่อชาตินิยมอย่างนี้ มันไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์เพื่อความเป็นมนุษย์มีศีลธรรม วันหนึ่งมีคนเขาเอามาให้ดูหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ ว่าเป็นหนังสือชั้นอนุบาลในประเทศอเมริกาเปิดดูเป็นรูปตารางต่างๆ มีมีมีรูปรูปร่างเหมือนกับทองหยอดน่ะ สีต่างๆ กันชักโยงกัน ถามว่านี่อะไรเขาบอกทฤษฏีปรมาณู เด็กชั้นอนุบาลเรียนทฤษฎีปรมาณูคิดดู แล้วมันจะมีจิตใจไหนมาเรียนรู้ว่าพ่อแม่คืออะไรพระเจ้าคืออะไร มันเรียนทฤษฎีปรมาณูไปเสียตั้งแต่ชั้นอนุบาล นี่ความผิดพลาดมันตั้งต้นอย่างนี้แล้วมันก็ยากที่จะวกเข้ามาหาเรื่องธรรมะหรือศีลธรรม ในๆๆประเทศไทยเราก็เถอะโรงเรียนอนุบาลบางแห่งน่ะสอนภาษาอังกฤษแก่เด็กทารกก่อนเรื่องพร้อมๆ กับเรียน ก ข เลย เรื่องแม่คืออะไร เรื่องพ่อคืออะไร เกิดมาทำไมไม่มีโอกาสเรียน ถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้นเล่าทำไมจึงรีบไอ้เรื่องนั้นถึงขนาดนั้นเล่า บอกว่าถ้าไม่ให้เด็กเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มแรกอย่างนี้มันสู้โรงเรียนอื่นไม่ได้ มันไม่มีชื่อเสียงว่าโรงเรียนนี้สอนเร็ว ก็เลยเอาไอ้เรื่องภาษาอังกฤษนี่มายัดเยียดให้เด็กอนุบาลตั้งแต่วันแรกเข้าระยะแรกเลยจะได้มีชื่อเสียงว่าโรงเรียนราษฎร์นี้สอนเก่งสอนเร็วสอนอะไรดีคนก็เฮกันมาฝากเด็กๆ นั่นมันกลายเป็นอย่างนั้นไปคือมันเป็นการค้าไป ถ้าเด็กๆ อนุบาลได้เรียนเรื่องแม่คืออะไรตัวเองคืออะไรพ่อคืออะไร เกิดมาทำไมนี่จะดีมากเพราะเขาจะมีธรรมะตั้งต้นมาตั้งแต่เล็กๆ เดี๋ยวนี้เรียนจบโรงเรียนประถมมัธยมมาอุดมอะไรก็ไม่รู้ว่าแม่คืออะไรไม่รู้ว่าพ่อคืออะไรเพราะไม่เคยคิดไม่เคยนึกจึงไม่รู้พระคุณของพ่อแม่ เด็กๆ จึงไม่รู้พระคุณของพ่อแม่ไปตั้งแต่เล็กเหมือนการศึกษาระบอบเก่า
ระบอบเก่าคือระบบที่เมืองไทยยังมีกระทรวงธรรมการนั่น คนเดี๋ยวนี้จะไม่ได้ยินคำว่ากระทรวงธรรมการแล้วก็ได้ ก่อนนี้เขามีกระทรวงธรรมการ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ก่อนโน้นน่ะเขามีกระทรวงธรรมการคือเรียนธรรมะเป็นส่วนใหญ่เรียนหนังสือเป็นส่วนแฝงหรือส่วนประกอบ พอมาเดี๋ยวนี้เรียนหนังสือเป็นส่วนใหญ่เรียนธรรมะเป็นส่วนประกอบแล้วเหลือไว้นิดเดียวเหลือไว้นิดเดียว นี่ก็ลดลงๆ จนนักเรียนไม่รู้ธรรมะไม่รู้พุทธศาสนา เลยเป็นการศึกษาชนิดหมาหางด้วนยิ่งหนักขึ้นไปอีก ฉะนั้นเป็นความดีที่ว่าพวกคุณนี่สนใจธรรมะขวนขวายด้วยความยากลำบากเหน็ดเหนื่อยหมดเปลืองมาหาความรู้เรื่องธรรมะเพื่อให้การศึกษาสมบูรณ์นี่ขอแสดงความยินดีอนุโมทนาอย่างยิ่งเพื่อว่าการศึกษาของคุณจะหางไม่ด้วน รู้แต่หนังสือกับวิชาชีพนั้นมันเป็นการศึกษาหางด้วน ต้องรู้ธรรมะคือรู้เรื่องความเป็นคนอย่างไรเสียก่อนการศึกษาจึงจะไม่ด้วน ไม่หางด้วน การที่หลักสูตรกระทรวงหรือรัฐบาลเขาไม่มีธรรมะให้อย่างเพียงพอ แล้วพวกคุณก็ไม่ยอมขวนขวายเอาเอง ขวนขวายตั้งชมรมพุทธศาสน์ขึ้นในโรงเรียน ขึ้นในวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยกัน แทบจะทั่วทุกแห่งแล้วนั่นน่ะดีนั่นน่ะเป็นการต่อสู้อย่างดี ต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่จัดการศึกษาให้สมบูรณ์ เมื่อรัฐบาลหรือกระทรวงเขาไม่จัดให้เราหาเอาเองเราหาเอาเอง นี้เรียกว่าเป็นความกล้าหาญเป็นวีรกรรมในทางธรรมะต่อสู้เพื่อให้ได้ศึกษาธรรมะกันให้เพียงพอ เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ของกระทรวงเขามาที่นี่เราก็ขอร้องเขาเสมอว่าขอให้ช่วยสนับสนุนนักเรียนนักศึกษาที่เขาตั้งชมรมศึกษาธรรมะกันขึ้นมาในมหาวิทยาลัยในวิทยาลัยในโรงเรียนนั้นน่ะขออย่าได้ขัดขวาง แม้เฉยๆ อยู่ก็ยังดีอย่าได้ขัดขวางให้นักเรียนนักศึกษาก้าวหน้าไปในทางของธรรมะด้วยความพากเพียรพยายามของตน ผู้ใหญ่แต่ละคนเหล่านั้นเขาก็เห็นด้วยนะเขารับปากรับรองว่าไม่มีการขัดขวางให้นักเรียนนักศึกษา…(นาทีที่ 25:14) ดีพอสำหรับเป็นคนแล้วเป็นมนุษย์อีกทีหนึ่งธรรมะมันมีมากอย่างนั้น ทีนี้เราเป็นกันแต่เพียงคนไอ้ธรรมะที่จะเป็นมนุษย์มันก็เหลือเปล่าสูญเปล่าเป็นโมฆะ นี่เราจึงพูดว่าถ้าเป็นกันแต่เพียงคนธรรมะก็เป็นโมฆะเสียมากมาย ธรรมะส่วนที่จะทำให้เป็นมนุษย์น่ะมันก็เป็นโมฆะไม่มีใครสนใจ ต้องขอย้ำอีกทีหนึ่งว่าเป็นคนน่ะมันก็เป็นได้พอเกิดมาเป็นได้ สอนเรื่องทำมาหากินอาชีพอะไรดีพอสมควรแล้วก็เป็นคน ส่วนที่เป็นมนุษย์นั้นไม่ได้ศึกษาไม่ได้ศึกษาว่าทำอย่างไรจึงจะบังคับจิตใจได้ทำอย่างไรจึงจะบังคับตัวเองได้ ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ที่เป็นคนทรมานอยู่ในใจเหมือนที่คนเขาเป็นกันอยู่ทั่วไป แล้วก็ในที่สุดมันก็เป็นโรคประสาทฟังดูตามสถิติฝ่ายหมอแล้วน่าตกใจคนเป็นโรคประสาทกันมากเหลือเกินเป็นแสนเป็นล้านแล้วมันจะกลายเป็นหลายล้าน บางคนเขาประมาณเอาว่าสักห้าล้านจะได้สำหรับพลเมืองห้าสิบล้านจะเป็นโรคประสาทกันเสียตั้งห้าล้านไม่มากก็น้อย นั่นน่ะเพราะว่ามันไม่สนใจธรรมะเรื่องเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องมันก็ทนทรมานไปหมดในเรื่องหากินในเรื่องเก็บไว้ในเรื่องใช้จ่ายในเรื่องเป็นอยู่มันก็ผิดหลักธรรมชาติมันก็มีความทุกข์ทนไปทนไปก็เป็นโรคประสาท จนกระทั่งว่าบ้านไหนเรือนไหนหาคนเป็นโรคประสาทไม่ได้สักคนนั้นจะประหลาดที่สุดดูจะเป็นกันทุกบ้านทุกเรือนสักคนไม่มากก็น้อย นี่เพราะว่าเราเป็นมนุษย์กันน้อยไปเป็นคนมากจนเฟ้อเป็นคนเกินเป็นมนุษย์นี่น้อยไม่พอ ขอพูดว่าเราเป็นมนุษย์กันน้อยกว่าที่แมวมันเป็นแมวช่วยจำไปด้วย แมวมันเป็นแมวมันเป็นแมวร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มนุษย์เป็นมนุษย์ไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ถึง บางคนเป็นมนุษย์ห้าเปอร์เซ็นต์ก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นคนมากเกินไป เป็นคนจนลืมตัวเป็นคนจนได้กินดีอยู่ดีเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินทางเนื้อทางหนังทางกิเลส เป็นกันเสียอย่างนี้มันก็เหมาะกับเป็นคนเท่านั้นแหล่ะจะเต็มแล้วก็จะเฟ้อ จะเป็นคนแข่งกับเทวดาโน่นไปทางโน้นร่ำรวยด้วยวัตถุด้วยเนื้อหนัง ก็เป็นอันว่าเราเป็นมนุษย์กันน้อยไปไม่เต็มความหมายไม่เหมือนกับแมวมันเป็นแมวเต็มความหมายไปหาดูเถอะ แล้วจะพูดมาถึงสุนัขด้วยก็ได้มันเป็นแมวกันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ไอ้มนุษย์นี่เป็นมนุษย์กันไม่กี่มากน้อยมีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าความที่แมวมันเป็นแมว แล้วมันก็ต้องทุกข์ทนทุกข์ทรมานไม่มีใครช่วยได้ พระเจ้าหรือเทวดาไหนก็ช่วยไม่ได้ถ้าเราดำรงตนเป็นมนุษย์ได้มันก็ไม่ต้องช่วยหรือมันช่วยมาแล้ว ถ้ายังเป็นแต่เพียงคนก็ต้องทนทรมานไปอย่างคน เดี๋ยวราคะบีบคั้นใจเดี๋ยวโทสะบีบคั้นใจเดี๋ยวโมหะบีบคั้นใจเป็นประจำไปเสีย นี่ดูให้ดีๆ ถ้ายังมีความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งชนิดใดชนิดหนึ่งทนทรมานอยู่ในใจโดยรู้สึกตัวโดยไม่รู้สึกตัวใต้สำนึกก็เป็นทุกข์นอนก็ฝันร้ายอย่างนี้เป็นต้น นี่เรียกว่ามันไม่ได้รับผลของธรรมะหรือความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นอย่าต้องมีความทุกข์เลย อย่าต้องฆ่าตัวตายเหมือนคนโง่ๆ ผิดหวังอะไรนิดหน่อยก็ฆ่าตัวตาย เพียงแต่ว่าแฟนเขาเปลี่ยนจิตใจหน่อยมันก็เกิดอกหักอะไรหักกันแล้ว นี่คนบ้าสมัยนี้ไม่เหมือนกับคนสมัยก่อน ปัญหาเพียงเท่านั้นเขาหัวเราะเยาะถ้าแฟนเขาเกิดเปลี่ยนจิตใจนะแฟนหญิงแฟนชายก็ตามใจคนเหล่านั้นเขาไม่เป็นทุกข์หรอก เพราะเขาคิดว่าเขาหาเอาได้หรือมันไม่ในโลกนี้มันไม่ได้มีแต่คนนั้นคนเดียวหรืออะไรต่างๆ นานา ไม่ต้องไปนั่งร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่า ไม่ต้องไปกินยาฆ่าแมลงตาย ไม่ต้องไปกระโดดน้ำตาย เหมือนการศึกษาหมาหางด้วนสมัยนี้ไม่ได้สอนกันเรื่องนี้ ฉะนั้นจึงมีแต่คนอกหักมากขึ้นๆ นี่ก็เพราะว่ามันไม่มีธรรมะอีกนั่นเอง ฉะนั้นขอให้เรามองกันให้ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไปจนรู้จักประโยชน์หรืออานิสงส์ของธรรมะคือให้เราเป็นมนุษย์ชนิดที่ไม่มีความทุกข์ เป็นมนุษย์มีจิตใจสูง มนุษย์เราจิตใจสูงสูงอยู่เหนือความทุกข์ สูงอยู่เหนือสิ่งต่างๆ ที่จะมาครอบงำจิตใจให้เป็นทุกข์นั้นพยายามที่มีธรรมะ นี่ประโยชน์อานิสงส์ของธรรมะที่ธรรมชาติมีไว้ให้แล้วแต่เราไม่สนใจ
ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยว่าธรรมะนั้นไม่ได้มีใครตั้งขึ้นมันเป็นกฎของธรรมชาติ ถ้าทำอย่างนี้แล้วผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้แล้วผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้แล้วผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ นี่เป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติที่ทำให้มันเกิดอะไรต่างๆ ขึ้นมา ตั้งแต่ไม่มีระบบจักรวาลน่ะเป็นที่ว่างน่ะ มันก็เกิดระบบจักรวาลขึ้นมา แล้วก็ควบคุมให้ทุกสิ่งทุกอย่างในสกลจักรวาลเป็นไปตามกฎนั้น นั่นน่ะคือตัวธรรมะตัวธรรมชาติ พระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาของศาสนาไหนๆ ก็ไม่ได้สร้างหรือบัญญัติกฎนี้หรอก เพียงแต่พบกฎของธรรมชาติแล้วเอามาบอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสโดยเปิดเผยอย่างนี้น่ะไอ้ธรรมะนั้นมันมีอยู่แล้วมีอยู่ก่อนแล้วตถาคตเป็นผู้เป็นแต่ผู้ไปพบเป็นผู้เห็นแล้วเอามาบอกกล่าวคนทั้งหลายให้รู้จักกฎธรรมชาติเหล่านี้แล้วให้ประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติเหล่านั้น แล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์จนตาย มีความสงบเย็นแห่งจิตใจที่เรียกว่านิพพานนิพพานน่ะไปจนตายเลย เพราะนิพพานแปลว่าเย็นสงบเย็นไม่ไม่เร่าร้อนไม่เป็นทุกข์เพราะประพฤติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง แต่เป็นธรรมะชั้นสูง เป็นธรรมะสำหรับเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นธรรมะสำหรับเป็นกันแต่เพียงคน ถ้าเป็นกันแต่เพียงคนน่ะมันไม่เท่าไรหรอก เกิดมาก็พอจะเป็นคนกันได้ แต่ที่เป็นมนุษย์อยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์ทั้งปวงนั้นมันลึกซึ้งมันละเอียดมันต้องศึกษากันให้เพียงพอ นั้นแต่อยากจะพูดว่าถ้าใครยังร้องไห้อยู่คนนั้นไม่เป็นมนุษย์ยังไม่เป็นมนุษย์ นี่พูดกับทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ถ้าใครยังต้องร้องไห้อึดอัดขัดใจอยู่มันยังไม่เป็นมนุษย์หรอกมันเป็นแต่เพียงคน ถ้ามันเป็นมนุษย์จริงมันมีจิตใจอยู่เหนือปัญหาแล้วมันจะต้องร้องไห้ทำไมเล่า ให้ปัญหาชนิดไหนเข้ามาให้ไอ้ความผิดปกติชนิดไหนเข้ามามันเห็น อ้อ,มันเป็นเช่นนั้นเองตามกฎของธรรมชาติ เราก็ไม่ต้องร้องไห้ ที่นี้ในทางที่กลับกันตรงกันข้ามก็ว่าแม้ที่หัวเราะมันก็บ้าเหมือนกันไอ้ร้องไห้นี่มันเจ็บปวดมากแล้วที่มันหัวเราะร่วนเพราะได้อย่างใจเพราะถูกอกถูกใจหัวเราะร่วนนี่ก็ยังโง่เท่ากันแหล่ะ มันเป็นอย่างนั้นเองตามกฎของธรรมชาติ อย่าไปหลงรักหลงยินดีอะไรกับมันนักเลย จะมีไว้ใช้ทำประโยชน์ทำอะไรก็ทำได้แต่อย่าไปหลงรักหลงชอบใจกับมันนักพอมันเปลี่ยนแปลงจะได้นั่งร้องไห้อีก ถ้าไปหลงรักแล้วมันก็จะต้องร้องไห้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นอย่าไปมัวหลงรักอย่าไปมัวหลงเกลียดหลงโกรธหลงกลัววิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ นี่ขอให้มีความปกติน่ะความคงที่โดยมีธรรมะดำรงจิตใจไว้ในสภาพที่เรียกเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยก็เรียกว่ามันสมดุล อย่าเป็นบวกอย่าเป็นลบอย่าเป็นต่ำเป็นสูงอะไรให้มันอยู่ตรงกลาง เรียกว่ามันสมดุล พูดโดยอุปมาก็ว่าไม่ต้องหัวเราะไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะยินดีลิงโลดเพราะมันได้ตามกิเลสไม่ต้องหัวเราะยินดี ในเมื่อมันไม่ได้ตามกิเลสก็ไม่ต้องร้องไห้ไม่ต้องเสียใจไม่ต้องไปฆ่าตัวตาย เรียกสั้นๆ ว่าอย่าต้องหัวเราะอย่าต้องร้องไห้อย่าต้องร้องไห้อย่าต้องหัวเราะ ให้อยู่ในสภาพปกติทำอะไรทุกๆ อย่างไปตามสภาพปกติทั้งวันทั้งคืนทั้งเดือนทั้งปีจนตลอดชีวิต ไม่ต้องหัวเราะอย่างคนโง่ ไม่ต้องร้องไห้อย่างคนโง่ นั่นน่ะคืออานิสงส์ของธรรมะ ท่านเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาคือดำรงอยู่ตรงกลางไม่ซ้ายไม่ขวาไม่บวกไม่ลบพูดภาษากว้าง ๆ ที่สุดก็ว่าไม่ Positive ไม่ Negative มันอยู่ที่ตรงกลางๆ พอเหมาะพอดีนี่คือความมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ
นี่มาถึงตอนนี้แล้วก็คงจะมองเห็นกันบ้างแล้วว่าธรรมะหรือความมีธรรมะนี่เป็นสิ่งที่ประณีตละเอียดสุขุมมันทำไม่ได้ง่ายๆ อย่างตักน้ำผ่าฟืน การปฏิบัติธรรมะนี่มันละเอียดสุขุมถึงขนาดที่ถ้าพูดภาษาธรรมดามันก็ละเอียดละเอียดสุขุมงดงามถึงขนาดที่เรียกว่าศิลปะ ขอถือโอกาสพูดเรื่องศิลปะเป็นใจความสำคัญของเรื่อง ศิลปะนี่มีทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจ เรารู้จักกันแต่ศิลปะทางวัตถุไปเสียหมดศิลปะทางจิตใจไม่รู้เรื่องก็เลยไม่ได้ไม่ได้รับประโยชน์จากธรรมะซึ่งเป็นเรื่องศิลปะทางจิตใจ ศิลปะทางวัตถุนี้ไม่ต้องพูดหรอกเช่นของสวยงามต่างๆ ทุกชนิดทุกแขนง กิริยาท่าทางก็รวมอยู่ในฝ่ายวัตถุนี่ก็หลงกันไปทั้งโลกน่ะศิลปะวัตถุอันสวยงาม ส่วนศิลปะทางจิตใจนั้นน่ะไม่รู้จักเพราะมันละเอียดประณีตสุขุมเกินไป คือจิตใจชนิดที่เป็นทุกข์อีกไม่ได้หรือว่าฝีไม้ลายมือในการที่จะกระทำไม่ให้จิตใจเป็นทุกข์อีกต่อไปได้ จิตใจของคนธรรมดาพร้อมที่จะเป็นทุกข์ พร้อมที่จะรักเมื่อมันน่ารัก พร้อมที่จะโกรธเมื่อน่าโกรธ พร้อมที่จะเกลียดเมื่อมันน่าเกลียด พร้อมที่จะกลัวมันน่ากลัวเมื่อมันน่ากลัว หรือมันแสดงการน่ากลัวแล้วมันก็วิตกกังวลอาลัยอาวรณ์จนเกิดความรู้สึกชนิดที่เป็นการอิจฉาริษยาหึงหวงฆ่ากันตายในที่สุด นี่เรามีปัญหาตามธรรมชาติอยู่อย่างนี้ถ้าแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ใครบ้างที่จะไม่ถือว่าเป็นการกระทำอันละเอียดอ่อนอันสูงสุดอันงดงามในระดับศิลปะแต่ว่าเป็นศิลปะทางจิตใจ เราอย่ารู้จักกันแต่ศิลปะทางวัตถุเลย เช่น เรื่องกินอาหารอร่อยประหลาดแต่งเนื้อแต่งตัวสวยสดงดงามตามสมัยนิยมมีเครื่องใช้ไม้สอยที่อยู่อาศัย อย่างรถยนต์นี้ต้องราคาเป็นล้านๆ ราคาเป็นหมื่นนั่งไม่ลงนี่มันหลงไอ้ความงดงามศิลปะทางฝ่ายวัตถุมากเกินไปเสียแล้ว แล้วมันก็นำไปสู่โรงพยาบาลโรคจิตในที่สุด ทีนี้ศิลปะที่จะทำให้จิตใจไม่ต้องเป็นทาสของสิ่งทั้งปวงมีจิตใจเป็นปกติเป็นอิสระนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ แล้วก็ไม่อยากจะสนใจบางคนเข้าใจเอาเสียว่ามันจืดชืดไม่มีรสไม่มีชาติไม่สนุกไม่สนานไม่เอร็ดอร่อยเลยไม่สนใจ ไปสนใจศิลปะทางวัตถุกันหมดแล้วก็เพื่อกิเลสทั้งนั้นเลย ถ้าว่าศิลปะทางจิตใจมันไม่ใช่เพื่อกิเลสน่ะแต่เพื่อกำจัดกิเลสโน่น นั้นศิลปะทางจิตใจก็คือศิลปะแห่งการกำจัดกิเลสนั่นเอง ถ้าใครเรียนมาในสายศิลปะพอใจสิ่งที่เรียกว่าศิลปะแล้วก็ขอให้รู้ว่าตามธรรมชาติทั้งหมดนั้นศิลปะมีอยู่สองระดับอย่างนี้ ศิลปะทางวัตถุน่ะตกเป็นทาสของกิเลสไม่ทันรู้ ศิลปะทางจิตใจทางนามธรรมนั้นจะสามารถความคุมกิเลสหรือทำลายกิเลส แล้วเราก็อยู่กันอย่างไม่มีกิเลสแล้วมันก็สบายดี นี่พุทธบริษัทนี่มีศิลปะทางจิตใจ อ้า,ทางวัตถุก็มีบ้างแต่ตามสมควรตามที่จะไม่ต้องเป็นทาสของกิเลสน่ะ เราเราอย่าอย่ามีอะไรเพื่อกิเลส อย่ากินเพื่อกิเลส อย่าแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อกิเลส อย่าเป็นอยู่อาศัยใช้สอยเพื่อเป็นทาสของกิเลส อะไรก็อย่าให้มันเป็นทาสของกิเลส แต่ให้มันอยู่เหนือกิเลสไว้เรื่อยไปนั้นจึงจะเรียกว่าเกิดมาทีหนึ่งไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพุทธศาสนา ช่วยจำประโยคคำพูดโบรงโบราณที่ท่านจะเห็นว่าคร่ำครึนี่กันไว้บ้างเถิดว่าอย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมุนษย์และพบพระพุทธศาสนา อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมุนษย์และพบพระพุทธศาสนา ท่านไม่ได้พูดว่าอย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นคนนะเพราะเป็นคนมันเป็นง่ายนะ ทุกคนมันเป็นคนกันแล้วทั้งนั้นน่ะเกิดมามันก็เป็นคนกันทั้งนั้น จึงไม่มีพูดว่าอย่าเสียทีที่เกิดมาเป็นคน แต่ท่านพูดว่าอย่าให้เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา แล้วจะแก้ปัญหานี้ได้ก็เพราะมีศิลปะของธรรมะในพุทธศาสนาคืองานฝีมือที่จะต่อสู้กับกิเลสที่จะควบคุมกิเลส หรือที่ว่าจะปรับปรุงจิตใจให้อยู่ในสภาพที่เป็นทุกข์ไม่ได้เป็นทุกข์ไม่เป็น คือมีจิตใจสูงอยู่เหนือกิเลสเสมอไม่มีจิตใจอยู่ต่ำภายใต้อำนาจของกิเลสนี่เป็นศิลปะ ถ้าใครชอบศิลปะก็ขอให้นึกกันไปในข้อนี้บ้าง เรารู้จักใช้ศิลปะแต่ทางวัตถุแล้วใช้หลอกลวงด้วย ใช้เพื่อตกเบ็ดคนอื่นมาอยู่ในอำนาจของตัวนี่มันคดโกงกันอย่างนี้ ศิลปะอย่างนี้มันเป็นศิลปะของกิเลส ความงามความความงามไอ้ความที่มันประทับใจที่เป็นไปอย่างถูกต้องจึงจะควรเรียกว่าศิลปะ ถ้ามันประทับใจไปเพื่อกิเลสแล้วไม่ควรจะเรียกว่าศิลปะ ถ้าเป็นศิลปะก็เป็นศิลปะของยักษ์ของมารของปิศาจร้ายซึ่งล่อลวงคนไปอยู่ในอำนาจของมัน อย่างที่ล่อลวงเรานี่ไปสู่อบายมุขให้เพลิดเพลินอยู่กับอยายมุข แล้วก็ถือว่าเป็นของดีของสวยของงดงามคือการเป็นอยู่ตามอำนาจกิเลสน่ะกลับเห็นว่าเป็นของสวยของงดงาม พูดกันหน่อยได้ไหมว่าตรงๆ ว่านี่ทุกคนเหล่านี้ทั้งหมดนี้ที่อุตส่าห์เล่าอุตส่าห์เรียนเพื่อจะได้อาชีพที่ดีที่แพงที่เงินเดือนสูงแล้วไปเป็นอยู่กินอยู่กันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยตามที่กิเลสมันต้องการ ใช่ไหม ถ้าใช่แล้วก็เราเตรียมตัวเป็นลูกน้องของปิศาจตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว เราไม่ได้เตรียมตัวที่จะเป็นตัวเองของตัวเองเสียแล้ว มันเตรียมตัวที่จะไปเป็นสมุนบริวารของกิเลส ซึ่งเรียกว่าภูติผีปิศาจ แล้วผลจะเป็นอย่างไรก็ขอให้ลองคิดดู จะเป็นมนุษย์ที่มีอิสรภาพและเสรีภาพอย่างไร ถ้ามันถูกกิเลสดึงเอาไปเป็นทาสหมดแล้ว นักศึกษาทั้งหลายได้ยินว่ามีการคุยโวกันแต่เรื่องเสรีภาพอิสรภาพน่ะ นักศึกษาดูแต่จะพูดเป็นกันแต่เรื่องนี้ แล้วเสรีภาพอะไรกันเมื่อไปเป็นทาสของกิเลสชนิดโงหัวไม่ขึ้น แล้วมันต้องอยู่อำนาจอยู่อยู่นอกอำนาจของกิเลสเป็นตัวของตัวเองมีธรรมะ กิเลสครอบงำไม่ได้ไม่มีอะไรมาทำให้เราอยู่ใต้อำนาจของกิเลสได้อย่างที่พูดมาแล้ว ให้คงที่อยู่เสมอไม่ซ้ายไม่ขวาก็เรียกว่าไม่มีอะไรมาทำให้เรารักให้เราโกรธให้เราเกลียดให้เรากลัวให้เราวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ กระทั่งอิจฉาริษยาแบ่งพรรคแบ่งพวกรบราฆ่าฟันกัน แล้วจะดีจิตกี่มากน้อยขอให้คิดดูเถอะว่าถ้าเราทำได้อย่างนี้ความเป็นมนุษย์ของเรามันมีค่าสักเท่าไรถ้าเราทำได้อย่างนี้ ถ้าเราเกิดมาเป็นทาสของกิเลสสำหรับจะรักโกรธเกลียดกลัวไปตามอำนาจของกิเลสแล้วมันมีค่าสักเท่าไร
นี่ขอพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเพราะว่าท่านทั้งหลายก็ปรารถนาธรรมะ อาตมาก็ปรารถนาธรรมะแล้วยังปรารถนามากไปกว่านั้นคือจะเผยแผ่ธรรมะด้วย แล้วหวังว่าท่านทั้งหลายก็จะเป็นอย่างเดียวกัน คือรู้ธรรมะมีธรรมะประพฤติธรรมะเป็นที่พอใจแล้วก็สอนผู้อื่นหรือทำตัวอย่างให้ผู้อื่นดูจนเขาทำตามๆ กันไป จนมีธรรมะกันทั้งบ้านทั้งเมืองนั่นแหล่ะคือวัตถุประสงค์ของเรา ถ้าใครไม่มีความประสงค์อย่างนี้แล้วมาที่สวนโมกข์ในสภาพอย่างนี้ขอเรียกว่าคนขบถเป็นคนขบถต่อธรรมะไม่ซื่อตรงต่ออุดมคติของธรรมะ มีคนเขาพูดว่านักศึกษาออกไปพัฒนาชนบทนั่น ไม่ไม่ไม่ไม่ตรงตามคำพูดนั้นน่ะ ไปเพลิ้ดไปเฟิร์สไปเพลิ้ดไปเพลินกันอย่างระหว่างเพศทั้งนั้นเลย แล้วก็อ้างว่าไปพัฒนาชนบท อย่าทำอย่างนี้กับธรรมะนะพอเสียทีเถิด ถ้าว่าเพื่อธรรมะเพื่อแสวงหาธรรมะแล้วก็ขอให้เพื่อธรรมะโดยบริสุทธิ์แต่ต้นจนปลาย อย่าอ้างขึ้นเป็นเครื่องบังหน้าให้เป็นประโยชน์แก่กิเลสเลย นี่ขอให้ธรรมะเป็นธรรมะแล้วเราก็มีธรรมะเป็นผู้ประพฤติธรรมะมีธรรมะเป็นเครื่องดำเนินชีวิตให้อยู่อย่างมีความสุขสมกับที่เป็นมนุษย์อย่าได้เป็นแต่เพียงคน นี่จะพูดเรื่องจะบอกเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้นะ คือว่าคนเป็นอันมากในเวลานี้น่ะเขาเรียนธรรมะเรียนธรรมะแต่ไม่รู้ธรรมะฟังเข้าใจไหม เรียนธรรมะอาจจะเป็นพวกท่านทั้งหลายนี้ก็ได้เรียนธรรมะแต่ก็ไม่รู้ธรรมะ เพราะมัวแต่นั่งขีดเครื่องหมายถูกผิดให้แก่ข้อสอบเท่านั้นเอง เขาออกข้อสอบมาเราก็เขียนเครื่องหมายปรนัยอุปนัยอะไรไปว่าถูกผิด เรียนอย่างนี้ไม่มีทางจะรู้ธรรมะหรอก มันต้องเรียนชนิดที่รู้ว่าธรรมะคืออะไร ชีวิตจิตใจของเราเป็นอย่างไรมันมีความทุกข์เพราะเหตุไร รู้เรื่องดับทุกข์ได้แล้วนั่นจึงจะเรียกว่ารู้ธรรมะ ฉะนั้นจึงพูดได้ว่าธรรมะนี่ไม่เรียนได้จากหนังสือหรือหนังหาฟังคำบรรยายปาฐกถาอะไรนัก ต้องเรียนธรรมะจากความทุกข์จึงจะรู้ธรรมะ หรือเรียนจากจิตใจในภายในทุกข์อย่างไรไม่ทุกข์อย่างไรปกติอย่างไรไม่ปกติอย่างไร นี่จึงจะรู้ธรรมะ เดี๋ยวนี้เรียนธรรมะแต่ไม่รู้ธรรมะ เอ้า, เรียนจนผ่านจบไปหมดเป็นนักธรรมเป็นเปรียญเป็นอะไรก็ตามก็เรียนธรรมะแต่ไม่รู้ธรรมะก็มีอยู่มาก ทีนี้อีกขั้นตอนหนึ่งก็ว่ารู้ธรรมะแต่ว่าไม่มีธรรมะอยู่ในเนื้อในตัว เขาเพียงแต่รู้ธรรมะแล้วก็มิได้มีธรรมะที่รู้น่ะอยู่ในเนื้อในตัว เรียกว่ารู้ธรรมะแล้วก็ไม่มีธรรมะนี่มีอยู่มาก และจะขอเตือนในเรื่องนี้เป็นพิเศษว่าเรามาหาความรู้รู้ธรรมะแล้วต้องมีธรรมะด้วย ต่อไปนี้ต้องมีธรรมะด้วยอย่าเพียงแต่รู้ธรรมะเลย ทีนี้ขั้นตอนต่อไปก็มีว่า มีธรรมะแล้วใช้ธรรมะไม่เป็น มันมีธรรมะแล้วมันใช้ธรรมะให้ดับทุกข์ไม่ได้คือมันใช้ไม่เป็น เหมือนกับมีอาวุธหรือมีอะไรแล้วแต่ก็ใช้ไม่สำเร็จประโยชน์อย่างนี้มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์เหมือนกัน มีธรรมะชนิดที่ไม่สำเร็จประโยชน์เหมือนกันเพราะว่าเขาไม่สามารถจะใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ได้ นี่ปัญหากำลังมีอยู่ในหมู่พวกเราในเวลานี้โดยแท้จริงก็คือว่าเรียนธรรมะแล้วไม่รู้ธรรมะนี่ขั้นตอนหนึ่ง รู้ธรรมะแล้วไม่มีธรรมะ มีธรรมะแล้วใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ มีอยู่สามขั้นตอน ฉะนั้นถ้าดับทุกข์ไม่ได้ในจิตใจยังเต็มไปด้วยความทุกข์อยู่แล้วก็ป่วยการ ป่วยการเกี่ยวกับธรรมะธรรมะยังเป็นหมันอยู่นั่นเอง ฉะนั้นต้องรู้ธรรมะ ต้องมีธรรมะ ต้องใช้ประโยชน์ให้ได้ด้วย คือแก้ปัญหาของชีวิตได้ด้วย นี่คือศิลปะในการมีธรรมะ การที่จะใช้ธรรมะแก้ปัญหาในจิตใจได้นั้นน่ะมันละเอียดประณีตสุขุมลึกซึ้งยิ่งว่าศิลปะใดๆ หมด แล้วถ้าจะพูดถึงความงามมันก็งามกว่าสิ่งใดหมด ศิลปะทางวัตถุก็งามไปด้วยเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับประดาตกแต่งกินอยู่เอร็ดอร่อยสวยงามสนุกสนานร่าเริงเต้นรำเหมือนกับคนบ้ามันก็มีได้เท่านั้นแหล่ะ ถ้าว่าเป็นความงามในทางจิตใจก็คือมีจิตใจปราศจากความทุกข์เยือกเย็นเป็นนิพพาน ไม่มีการต้องหัวเราะไม่มีการต้องร้องไห้ไม่ไม่ต้องมีการขึ้นการลงการฟูการแฟบซึ่งเป็นไปตามอำนาจของกิเลส นี่ตั้งใจจะพูดว่าธรรมะเป็นศิลปะแต่ว่าเป็นศิลปะในทางจิตใจมีความงามอย่างยิ่งสำเร็จประโยชน์อย่างยิ่ง คือทำให้ไม่มีความทุกข์เลย ไอ้ศิลปะวัฒนธรรมของกิเลสนั้นไปเอากับมันเข้าได้ไม่เท่าไรก็ต้องนั่งเช็ดน้ำตามันเป็นศิลปะที่ส่งเสริมกิเลส ซึ่งเขามีกันโดยมากเต็มไปทั้งโลกแล้วก็แลกเปลี่ยนกันแต่ศิลปะชนิดนี้ ศิลปะเต้นรำอะไรที่คุณย่าคุณยายเห็นกันแล้วเป็นลมนั่นแหล่ะ เขาแลกเปลี่ยนส่งเสริมกันแต่ศิลปะชนิดนั้น ถ้าว่าเป็นเรื่องของธรรมะแท้ๆ มันต้องงดงามสงบเงียบเยือกเย็น ไม่ต้องหัวเราะไม่ต้องร้องไห้ก็คือไม่กระโดดโลดเต้นไม่วุ่นวาย นี่ถ้ามุ่งหมายกันอย่างนี้แล้วจะง่ายที่จะศึกษาธรรมะและจะรู้ธรรมะ ถ้าเราไม่ต้องการอย่างนี้ไม่มุ่งหมายอย่างนี้แล้วกลัวว่าไม่มีหวังน่ะไม่มีหวังที่คุณจะรู้ธรรมะหรือใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ได้ แล้วต้องหวังอุดมคติอันสุดท้ายคือชีวิตอันเยือกเย็น เยือกเย็นๆๆ ทั้งวันทั้งคืนทั้งหลับทั้งตื่นกว่ามันจะตายเข้าโลงไปก็เลิกกัน แต่ว่าถ้ายังไม่ตายอยู่เพียงไรขอให้อยู่ด้วยความสงบเย็นไม่เป็นทุกข์ นี่คุ้มค่าคุ้มค่าในการที่ลงทุนแสวงหาธรรมะรู้ธรรมะมีธรรมะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
ทำไมต้องพูดว่าชีวิตประจำวันเพราะว่าทุกวันมันมีปัญหา ปัญหาเกิดขึ้นทางตาเห็นรูป ปัญหาเกิดขึ้นทางหูได้ฟังเสียง ปัญหาเกิดขึ้นทางจมูกที่ดมกลิ่น ปัญหาเกิดขึ้นทางลิ้นที่ลิ้มรส ปัญหาเกิดขึ้นทางผิวหนังที่รับสัมผัสโดยเฉพาะสัมผัสต่างเพศ ปัญหาเกิดขึ้นทางจิตใจมันคิดไปได้เองนี่เขาเรียกว่าหกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่หกทางคู่กันกับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันเลยกลายเป็นหกคู่ นี้คือก. ข. ก.กา ของพระพุทธศาสนา เหมือนอย่างเราจะเรียนหนังสือน่ะเราก็ต้องเรียนก. ข. ก.กาคือเรียนไปตามแบบนั้นแหล่ะ ถ้าเรียนพุทธศาสนาก็ต้องเรียนก. ข. ก.กาคือการตั้งต้นด้วยการรู้จักตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรา รู้จักรูปเสียงกลิ่นรสโผฎฐัพพะธรรมารมณ์ที่จะมากระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจของเราแล้วก็แจกรูปไป พอตากระทบกับรูปที่มาเห็นมันก็เกิดจักษุวิญญาณคือการเห็นทางตานี้ก็เรียกว่าสัมผัส มีสัมผัสคือจักษุวิญญาณเกิดขึ้นในสิ่งที่มากระทบตาแล้วเห็นอยู่ทางตานี้เรียกว่าจักษุสัมผัส ถ้าสัมผัสอย่างนี้แล้วทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นเวทนาคือพอใจหรือไม่พอใจ นี้ถ้าตอนนั้นมันโง่ไปได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจมันก็หลงรัก ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจมันก็หลงโกรธหลงเกลียด นั้นรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจแล้วมันก็อยากอยากต้องการไปตามไอ้ความรู้สึกอันนั้น พอใจก็อยากได้อยากมีอยากยึดครองไม่พอใจก็อยากฆ่าให้ตาย มันจึงเกิดมีการหลงรักหรือการหลงทำร้ายซึ่งกันและกันเพราะความโง่ในผัสสะในเวทนา เกิดความอยากอย่างนี้แล้วก็มีตัวกูผู้อยากก็เป็นทุกข์เป็นร้อนไปตามปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นไปตามที่ตัวต้องการ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ทุกชนิดน่ะมันเกิดมาจากความโง่ที่ไม่รู้เรื่องผัสสะไม่รู้เรื่องเวทนาไม่รู้เรื่องกิเลสตัณหา ฉะนั้นขอให้รู้เรื่องไปตามลำดับที่เรียกว่าเรียนก. ข. ก.กาไปตามลำดับ แล้วก็เรียนจากเนื้อตัวเรียนจากชีวิตเรียนจากหนังสือนั้นไม่พอฟังเทศน์ฟังบรรยายนี้ก็ไม่พอ หนังสือหรือการบรรยายนี้เป็นแต่เพียงบอกทางให้ไปเรียนเอาเองจากเนื้อจากตัว อย่างเราอ่านหนังสือหรือฟังบรรยายนี้แล้วได้ความรู้แล้วสำหรับไปเรียนเอาจากเนื้อจากตัวจากชีวิตจิตใจจากเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นเป็นประจำวัน นี่เราจึงเรียกว่าปัญหาประจำวันมีอยู่ทุกวันมีได้หลายทางนั้นมันจึงมากมายหลายอย่างหลายชนิด ขอให้มีความรู้ความเข้าใจไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เหมือนที่เราเรียนหนังสือน่ะเราเรียนหนังสือจนรู้และจนใช้ประโยชน์ได้ในทางอักษรศาสตร์ แต่ในทางเรื่องของธรรมะชีวิตจิตใจเราไม่รู้กันถึงขนาดนั้น เราไม่รู้ถึงขนาดมีธรรมะแล้วเอาธรรมะไปใช้แก้ปัญหาชีวิตได้ ฉะนั้นมันจึงทำให้ธรรมะนี้เป็นหมันอยู่มากประพฤติกันแต่ธรรมะต้นๆ เพียงเกิดมาเป็นคนเท่านั้นแหล่ะ พอถึงธรรมะที่จะเป็นมนุษย์เหลวหมดเป็นโมฆะหมด
ดังนั้นถ้ามาสวนโมกข์แล้วก็ขอให้มีอุดมคติตรงกันกับคำว่าโมกข์ โมกข์แปลว่าเกลี้ยง เกลี้ยงจากปัญหา เกลี้ยงจากความทุกข์ ถ้าจะมาหาความเพลิดเพลินสนุกสนานแล้วก็มันไม่คุ้มกันหรอกมันไม่คุ้มกันกับการมา ถ้าจะให้คุ้มกับการมาซึ่งเสียเวลาเสียเรี่ยวแรงเสียเงินเสียอะไรต่างๆ แล้วก็จะต้องเอาธรรมะไปใช้แก้ปัญหาชีวิตประจำวันของตนให้ได้ นี่เรียกว่าธรรมะเป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตซึ่งสิ่งที่มีชีวิตจะต้องรู้จะต้องมีจะต้องใช้เป็นประโยชน์ให้ได้ แล้วธรรมะนั้นก็ไม่เป็นหมันแล้วเราก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะมีความเข้าใจต่อสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นพอสมควร พอสมควรหมายความว่าพอที่จะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาของตนได้ ไม่ใช่สำหรับพูดอย่างเดียว สำหรับพูดนี่ระวังให้เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกันล่ะ เดี๋ยวก็ได้เกิดผลร้ายขึ้นมาเถียงกันเปล่าๆ อวดกันเปล่าๆ มันต้องเอาไปใช้แก้ปัญหาที่เป็นความทุกข์ในชีวิตจริงๆ ให้ได้ แล้วก็มีธรรมะไม่เสียทีที่ธรรมะมันมีอยู่ในโลกมีอยู่ในธรรมชาติสำหรับให้มนุษย์ใช้ให้เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านทรงขวนขวายด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่งเพื่อรู้ธรรมะมีธรรมะปฏิบัติธรรมะแล้วท่านก็สอนพวกเรา ฉะนั้นพวกเราอย่าทำตนให้เป็นโมฆะ เขาด่าไว้เจ็บปวดมากนะเหมือนจวักตักแกงเหมือนกบใต้กอบัวอะไรนี่ มันล้วนแต่ไม่ได้รับประโยชน์เหมือนจวักตักแกงไม่ได้รู้รสแกงเหมือนกบอยู่ใต้กอบัวไม่ได้เกสรบัวไม่ได้กลิ่นบัว นี่กลัวว่าเราจะเป็นเสียอย่างนั้นเราพูดธรรมะกันได้ เถียงธรรมะกันได้แต่แล้วเราก็ไม่มีธรรมะให้เป็นอาหารแห่งจิตใจหรือเป็นอยู่อย่างมีความเยือกเย็นตามวัตถุประสงค์นั้นเลย นี่เรื่องที่จะพูดก็คือประโยชน์ของธรรมะและการประพฤติธรรมะให้มีธรรมะนั้นเป็นยอดของศิลปะซึ่งมนุษย์เขาก็นิยมกันอยู่ เป็นสิ่งที่งดงามน่าเลื่อมใสใช้สำเร็จประโยชน์ได้จริงมีค่ามากจริงๆ เราจะต้องเป็นอยู่อย่างที่เหมาะสมสำหรับจะมีธรรมะ เราจะต้องมีชีวิตเป็นอยู่อย่างเหมาะสมสำหรับที่จะมีธรรมะ ฉะนั้นขอให้เป็นอยู่อย่างต่ำๆ เลย ฉะนั้นขอให้เป็นอยู่อย่างต่ำๆ เถิด อย่าหวังที่ว่าจะเป็นอยู่อย่างแข่งกับเทวดาเลย อย่าคิดว่าเรียนมากๆ ได้เงินเดือนมากๆ เอาเงินไปใช้เป็นอยู่แข่งกับเทวดาเลย ถ้ามุ่งหมายสูงอย่างนั้นจิตจะลงต่ำ ถ้าอยู่สูงแล้วจิตจะลงต่ำ ถ้าอยู่ต่ำแล้วจิตจะขึ้นสูงมันสวนทางกันอยู่เสมอ เป็นคนมันจิตต่ำเป็นมนุษย์มันจิตสูง อย่ามุ่งหมายชนิดที่เป็นกิเลสนั่นแหล่ะ เรื่องกินเรื่องอยู่เรื่องนุ่งเรื่องห่มเรื่องไอ้ดำรงชีวิตทั้งหลายนี่ มุ่งให้ถูกต้องให้พอดีหรือมุ่งให้ต่ำ ๆ เอาไว้
โดยเราเอาอย่างพระพุทธเจ้าตรงนี้ก็มีความสำคัญอยู่อีกข้อหนึ่งเหมือนกันช่วยจำไปด้วย แล้วคงจะไม่ลืมถ้าว่ามันมีความรู้สึกเกิดขึ้นในใจ คือว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนนั่งอยู่กลางดินถ้าใครไม่รู้สึกอะไรบ้างก็เรียกว่าประหลาด เพราะคุณมันนั่งกันอยู่ในตึกเรียนราคาล้านๆ น่ะ บนโต๊ะบนเก้าอี้บนอะไรที่ราคาแพงๆ เดี๋ยวนี้มานั่งอยู่กลางดินที่ไม่มีราคาเลยเรียกว่าเรามันนั่งต่ำที่สุดแล้ว จิตใจของเราไม่มีทางต่ำอีกแล้วมีแต่จะไปสูงเท่านั้นแหล่ะเพราะมันต่ำเสียหมดแล้วมันไปไหนไม่ได้แล้วมันก็มีแต่จะสูง เพราฉะนั้นน่ะพระพุทธเจ้าจึงว่าอะไรใครรู้ว่าเราจะพูดว่าอะไร พระพุทธเจ้าจึงประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าจึงนั่งตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้าจึงสอนคนกลางดิน พระเจ้าสอนคนเมื่อนั่งกลางดินลงทำกับพื้นดินแม้สอนที่วัดลงทำกับพื้นดินพบกันที่ไหนก็สอนที่นั่นกับพื้นดิน ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็นิพพานคือตายก็กลางดิน ถ้าใครไม่รู้เรื่องนี้นับว่าแย่มากน่ะ พุทธประวัติเพียงเท่านี้ก็ไม่รู้นับว่าแย่มากน่ะ อาจจะมีคนไม่รู้บางคนก็ได้นะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าประสูติกลางดินตรัสรู้กลางดินสอนกลางดินอยู่กลางดินตายกลางดินนะ นี่เรียกว่ามันต่ำสุดแล้วมันลงไปไม่ได้อีกแล้ว มันก็จะไปทางสูงทางเหนือกิเลส เราอย่าไปสูงอย่างกิเลสอย่าไปหวังจะกินอยู่เป็นอยู่อย่างดีอย่างพิเศษอย่างแพง กินอาหารมื้อละหมื่นมันก็บ้าหมื่นนึงแล้ว ไปกินอาหารโต๊ะละหมื่นมันก็โง่หมื่นนึงแล้ว ฉะนั้นกินอาหารอย่างธรรมดาสามัญดีกว่า เรียกว่ามันจะเป็นอยู่ต่ำๆ แล้วมันก็จะไปทางสูงมันจะได้กระทำอย่างสูง ทางต่ำ ต่ำทางวัตถุจะสูงทางจิตใจได้ง่ายๆ ถ้าสูงทางวัตถุเสียแล้วมันจะต่ำทางจิตใจได้ง่ายๆ ฉะนั้นอย่าไปหลงเรื่องอบายมุขกันนัก ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืนดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ดื่มน้ำเมาน่ะหมายว่าเมาทุกชนิดไม่ว่าเมาอะไรอย่าไปชอบกับมันไอ้เรื่องเมา เที่ยวกลางคืนนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยหรือมีประโยชน์ มันทำลายไอ้ความพักผ่อนที่เพียงพอ ดูการเล่นนี้ชอบกันนักไม่ต้องพูดแล้วเรื่องนี้ เล่นการพนันมันก็มีอยู่มาก คบเพื่อนที่ดึงไปในทางต่ำนั้นจึงต่ำกันมาก แล้วเกียจคร้านทำการงานนี่ก็จะต้องพูดว่ามีมาก ไอ้คนที่ไม่เกียจคร้านน่ะมันทำด้วยความสมัครใจจึงจะเรียกว่าไม่เกียจคร้าน ถ้าเราทำหรือขยันทำเพราะความจำเป็นบังคับอย่างนี้ไม่เรียกว่าคนขยันแล้ว มันยังเกียจคร้านอยู่โดยอ้อม เช่นถ้าว่าไม่กลัวจะสอบไล่ตกแล้วก็ไม่ขยันเรียนหนังสืออย่างนี้นี่ไม่ใช่คนขยันน่ะ ถ้าคนขยันมันจะต้องขยันโดยแท้จริงไม่ใช่มีอะไรมาบังคับ ดังนั้นคนโดยมากเป็นคนเกียจคร้านกันเกือบจะทั้งโลกมันไม่ได้มีความบริสุทธิ์ใจที่จะขยัน มันมันความจำเป็นบังคับแล้วต้องจัดคนพวกนี้ว่ายังเป็นคนเกียจคร้านอยู่ทั้งโลกก็ว่าได้ เราต้องไม่มีอะไรมาบังคับเราขยันเราพอใจเพราะรู้ว่าไอ้การทำงานนั้นเป็นธรรมะเป็นของดีเป็นของประเสริฐสุดสำหรับมนุษย์แล้วก็รักขึ้นมาเองขยันขึ้นมาเอง ทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานแล้วก็ทำได้มากจะไม่รู้สึกเหนื่อย ถ้ามีธรรมะชนิดนี้อยู่ในใจทำงานไม่เหนื่อย ถ้าไม่มีธรรมะอย่างนี้อยู่ในใจจะทำงานมันจะเหนื่อยมันจะเหนื่อยมากจะคิดว่า โอ๊ย, มาทำงานทำไมไปขโมยดีกว่าไปคอร์รัปชั่นดีกว่านั่นเป็นเสียอย่างนั้น มองเห็นธรรมะให้ถูกต้องแล้วพอใจในธรรมะแล้วเป็นสุขเมื่อทำหน้าที่ของตน พอใจทุกวันพอใจมากขึ้นจนยกมือไหว้ตัวเองได้
ถ้าจะถามสักคำหนึ่งว่าเดี๋ยวนี้ใครยกมือไหว้ตัวเองได้บ้างจะมีผลอย่างไร ถ้าจะถามว่าเดี๋ยวนี้ใครพอใจตัวเองจนยกมือไหว้ตัวเองได้บ้างจะจะได้ผลอย่างไร จะมีคนยกมือกี่คนด้วยความบริสุทธิ์ถูกต้องน่ะ แท้จริงน่ะมีใครยกมือไหว้ตัวเองได้กี่คน นึกแล้วมีแต่รังเกียจตัวเองบกพร่องนั่นนิดบกพร่องนั้นหน่อยรังเกียจตัวเองนั่นน่ะคือนรก ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไรเมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เกลียดตัวเองเมื่อไรเมื่อนั้นเป็นนรก ถ้าเราอยู่ด้วยความเกลียดตัวเองก็แปลว่าเราตกนรกอยู่ทั้งวันทั้งคืนตลอดชาติน่ะ เราต้องเปลี่ยนเสียใหม่จนทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วก็เป็นสวรรค์ วันหนึ่งวันหนึ่งพอเสร็จวันหนึ่งก็คิดดูว่าวันนี้มีอะไรดี โอ้, เป็นนั่นดีนี้ดีนี่ยกมือไหว้ตัวเองได้นั้นเป็นสวรรค์ เมื่อจะนอนน่ะควรจะทำอย่างนี้จะได้ยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วเป็นสวรรค์นอนหลับสนิทสบายไม่ฝันร้าย พอตื่นนอนขึ้นมาก็จะต้องตั้งข้อสังเกตตั้งความคิดปรารถนาว่าวันนี้เราจะทำอะไรให้เรายกมือไหว้ตัวเองได้บ้างกี่อย่างกี่อย่างก็ทำสิ แล้วค่ำลงมันก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ แม้แต่เรียนหนังสือให้ดีที่สุดนี่ก็จะเป็นเหตุให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ เรียนหนังสือให้ดีที่สุดไม่ใช่เรียนแต่ความจำใจ จำเป็นบังคับ เรียนเพราะรู้ว่าการเรียนนี่เป็นหน้าที่ของมนุษย์หรือสิ่งที่มีชีวิต ไอ้หน้าที่นี้เป็นธรรมะฉะนั้นการเรียนเป็นการปฏิบัติธรรมะยิ่งมากก็ยิ่งดี แล้วก็มากจนยกมือไหว้ตัวเองได้คนนั้นจะอยู่กับนิพพาน ยังไม่สมบูรณ์นะนิพพานนี้ยังไม่สมบูรณ์แต่ว่าเป็นเป็นเรื่องของนิพพานเป็นนิพพานน้อย ๆ เป็นนิพพานล่วงหน้าเป็นนิพพานตัวอย่างเราอยู่กับนิพพานด้วยการยกมือไหว้ตัวเองได้ หวังว่านักศึกษาทั้งหลายจะเอาไปพิจารณาดูดำเนินชีวิตชนิดที่ยกมือไหว้ตัวเองอยู่ได้เป็นประจำ แล้วก็จะมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาล ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้
บ่ายนี้ทำไมนะ ศึกษาภาพในโรงหนังใช่ไหม ไอ้ภาพเหล่านั้นถ้าศึกษากันจริงๆ กินเวลาหลายชั่วโมงที่สุด ตอนเย็นให้อาจารย์โพธิ์สอนทำสมาธิคล้ายๆ ลูกเสือก็ได้เพราะเขาไปทำกันอยู่ทุกวัน กลางคืนจะทำอะไรก็เลือกให้เหมาะสม ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ มาพูดกันอีกหน่อยก็ได้ตอนกลางคืน หรือให้เขาเปิดไอ้คำบรรยายก่อนๆ สำหรับนักศึกษาที่มีอยู่ในเทปฟังก็ได้ ให้เวลาเป็นประโยชน์ติดต่อกันไปให้คุ้มค่ามาเสียเงินมาก หือ, ก็ได้แต่ว่าเขาจะมีฉายสไลด์ฉายหนังอะไรให้ดูไม่หรือ เสร็จแล้วมาก็ได้หรือจะมาฟังก่อนแล้วไปดูก็ได้ เอายังไง อื้ม, ดี ยิ่งดึกก็ยิ่งดี ไปปรึกษาอาจารย์โพธิ์สิเขาเป็นผู้ช่วยให้เป็นไปตามโปรแกรมได้