แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักเรียนทั้งหลาย ฉันคิดว่าจะพูดสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเธอ ตามที่ฉันได้สังเกตเห็นมาแล้ว เพราะว่า เคยเป็นเด็กอย่างพวกเธอมาแล้ว อะไรดีมีประโยชน์ก็ยังจำได้อยู่ อะไรให้โทษก็ยังจะจำได้อยู่ ก็คิดว่าจะพูดตามที่จะนึกได้
ข้อแรกที่สุดก็คือ นึกถึงการที่ว่าเป็นบุตร มันจะต้องทำให้บิดามารดาได้รับความพอใจหรือความสบายใจ ถ้าเด็กคนไหนทำให้บิดามารดาร้อนใจ เป็นทุกข์ ก็เรียกว่ามันไม่รู้อะไรเสียเลย คือมันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เป็นบุตรนี่เป็นทำไม บิดามารดาเขาควรจะได้รับอะไรคุ้มกันกับที่ว่ามีบุตรด้วยความยากลำบาก เธอก็ควรจะเข้าใจได้หรือเห็นได้ด้วยซ้ำไปว่า บิดามารดาเกิดบุตรมา เลี้ยงดูแล้ว กว่าจะเติบโตเท่านี้มีความลำบากเท่าไร แล้วเราได้สนองคุณของบิดามารดาคุ้มกันหรือยัง นี่ข้อแรกนะ ข้อที่มันเกี่ยวกับบิดามารดา และข้อที่เกี่ยวกับตัวเรานั้น ว่าทีหลังเป็นเรื่องที่สอง
เราเกิดจากบิดามารดา นี่เห็นกันอยู่แล้ว ถ้าไม่มีบิดามารดา เราก็ไม่ได้เกิดมา ก็เรียกว่าชีวิตของเรานั้น บิดามารดาให้มา ฉะนั้นถ้าเราจองหองอวดดี ดื้อดึง ก็แปลว่า เรามันไม่รู้บุญคุณของบิดามารดา ว่าเขาให้ชีวิตเรามา ถ้าเด็กคนไหนมันมองเห็นความจริงข้อนี้ มันก็จะรักบิดามารดา และยินยอมตามความประสงค์ของบิดามารดาได้ทุกอย่าง แม้ว่าเราไม่ชอบ มันไม่ตรงกับความประสงค์ของเรา แต่ถ้าบิดามารดาต้องการ เราก็ยินยอมทำได้ ต่อเมื่อเราเห็นว่าชีวิตของเราได้มาจากบิดามารดา เราก็ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ว่ากูอยากจะทำอะไร กูอยากจะได้อะไร กูอยากจะเล่นอะไร ก็ทำไปตามชอบใจ ไม่เอื้อเฟื้อความประสงค์ของบิดามารดา อย่างนี้ก็มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี คือเด็กนั้นไม่ได้รู้คุณของบิดามารดา คิดว่ามันเกิดได้เอง คิดว่าบิดามารดาเกิดเรามา ก็ต้องตามใจเรา อย่างนี้มันไม่ถูกแน่ ที่ว่าบิดามารดาต้องตามใจเรา มันไม่ถูกแน่ เพราะว่าเรามันยังไม่รู้อะไร เราเกิดมานี่ยังไม่ทันจะรู้อะไร ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ทีนี้เราเอาแต่จะเล่นหัวสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ไม่รู้ว่ามันควรหรือไม่ควร บิดามารดาเขารู้ ก็ต้องการให้ทำแต่ในทางที่ควร และก็จะได้มีความสุข มีความเจริญ เราไม่ค่อยเชื่อ ก็เลยเกิดความเสียหายขึ้นมา บิดามารดาก็ยุ่งยากลำบากใจเพราะไอ้ลูกคนนี้ แล้วเด็กคนนั้นมันก็หาความสงบสุขไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องทะเลาะกับบิดามารดานั่นแหละเสมอไป เลยกลายเป็นคู่ทะเลาะกันไปเสีย แล้วความเจริญมันจะมีได้อย่างไร
ฉะนั้นจึงให้เห็น ให้มองเห็นกันเสียทีหนึ่งก่อนเป็นชั้นแรกว่า ชีวิตนี้ได้มาจากบิดามารดา ร่างกายนี้ก็ได้มาจากบิดามารดา และบิดามารดาก็ยังได้ให้เลือดเนื้อมาตั้งแต่ต้น คือว่าแบ่งชีวิตเลือดเนื้อร่างกายออกมา กินน้ำนมของบิดามารดาซึ่งเป็นเลือดของบิดามารดา กลายเป็นน้ำนมมาให้กิน แล้วก็กิน กลายเป็นเลือดเป็นเนื้อของเรา อย่างนี้ก็เรียกว่า มันถ่ายเอามาแม้แต่ชีวิต แม้แต่ร่างกาย ก็ควรจะถือว่ามีบุญคุณอย่างยิ่ง นี่เกิดมาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังต้องอาศัยหยาดเหงื่อแรงงานของบิดามารดา ซื้อหานั่นนี่มาให้เราได้รับประทาน ให้เราได้นุ่งห่ม ใช้สอย เป็นอยู่ รอดชีวิตอยู่ได้ ก็เป็นเรื่องหยาดเหงื่อแรงงานของบิดามารดา แปลว่าท่านยังให้ชีวิตเราอยู่นั่นเอง นี่ลองถามตัวเองดูว่า เสื้อนี้ ใครให้ กางเกงใครให้ ใครเสียค่าเล่าเรียนให้ เราไม่ต้องบอก เธอรู้แล้ว บิดามารดาให้ ทั้งที่เราไม่ได้เอาอะไรไปให้ ถ้าเราจะเบิกเงินจากธนาคาร เรายังต้องเอาเงินไปฝากไว้ก่อน เราจึงจะเบิกได้ ทีเราขอเงินแม่ เราไม่ได้ฝากไว้ ไม่ได้เอาไปไว้ แล้วไปเบิก ไปขอถอน ก็แปลว่าบิดามารดานี้ เป็นผู้จ่าย ผู้ให้ ผู้สงเคราะห์ เป็นธนาคารที่เราไม่ต้องเอาเงินไปฝาก แล้วก็เบิกได้เรื่อย แต่แล้วเด็กหลายๆ คนก็ไม่เห็นบุญคุณของบิดามารดาในข้อนี้ เธอไปคิดกันเสียใหม่ว่า บิดามารดาได้ให้อะไรเรามาตั้งแต่อยู่ในท้อง ในครรภ์ ให้เลือดให้เนื้อมา แล้วก็ให้ปัจจัย เครื่องบำรุงชีวิต เครื่องเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งบัดนี้ จนกว่าจะเรียนหนังสือเสร็จ กว่าจะไปทำอาชีพ แต่งงาน บางคนมันแต่งงานมีเหย้ามีเรือนแล้ว มันก็ยังมารบกวนบิดามารดา ซึ่งรบกวนได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันเห็นๆ กันอยู่อย่างนี้ นี่ก็เรียกว่า พระคุณของบิดามารดา
ที่นั่งอยู่ที่นี่ ใครร้องเพลงพระคุณบิดามารดาได้บ้าง ยกมือ ใครร้องเพลงได้ ใครร้องเพลงน้ำนมแม่ได้ ยกมือซิ ไม่ร้องได้จริงๆ เลยนี่ หรือมันไม่กล้า ร้องไม่ได้เหรอ ไม่เคยให้ร้องเหรอ คุณไม่เห็นมันร้องกันอยู่ เป็นระเบียบเป็นอะไรอยู่นั่นเหรอ ใครร้องเพลงพระคุณของบิดาได้ ยกมือซิ ทางโน้นหล่ะที่อยู่ไกลๆ ใครร้องได้ เพลงค่าน้ำนม เพลงน้ำนมของแม่เนี่ย ใครร้องได้ ในนั้นมันมีอะไรเป็นข้อความที่บอกดีอยู่แล้ว ถ้าร้องได้ก็ควรจะพิจารณาดู พระคุณบิดรเหมือนพสุธา พระคุณมารดาเหมือนเวหากว้าง เด็กๆ ควรจะร้องได้ นี่ดีแต่ไปร้องเพลงลูกทุ่ง ส่งเสริมความรู้สึกชนิดที่ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน แล้วก็ไม่รู้คุณของบิดามารดา ถ้าจะหัดร้องเพลงกันบ้าง แล้วก็ร้องเพลงอย่างนี้กันดีกว่า จะได้รู้ว่ามันเป็นตามคำสอนของท่านที่เป็นบัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนได้สอนกันมา ว่าบิดาคืออะไร มารดาคืออะไร พ่อแม่คือพระพรหมของลูก พ่อแม่คืออาจารย์คนแรกของลูก พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก สามอย่างนี้ก็มากแล้ว
พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก หมายความว่าอย่างไร ใครตอบได้ พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก หมายความว่าอย่างไร ใครตอบได้ ยกมือสูงๆ พ่อแม่เป็นอาจารย์คนแรกของลูก ใครตอบได้ ยกมือ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก อันนี้คงตอบไม่ได้
พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก เด็กๆ ก็คงเคยรู้ว่า พระพรหมนั้นเป็นผู้สร้าง สร้างโลก สร้างชีวิต สร้างอะไรต่างๆ บิดามารดาเป็นพระพรหม คือสร้างลูกมาแล้วก็รักใคร่ เมตตา กรุณา เหมือนกับพระพรหมมีแก่หมู่สัตว์ เขาจึงว่าบิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก จำไว้สักคำ
บิดามารดาเป็นอาจารย์คนแรกที่สุดของลูก อย่างน้อยก็เรื่องสอนให้ดูดนมเป็น กินนมได้ แล้วก็สอนทุกอย่าง กระทั่งสอนให้ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ให้ยืน ให้เดิน ให้ทำทุกอย่าง ก่อนมาโรงเรียนเสียอีก เขาเรียกว่าเป็นอาจารย์คนแรก
เป็นพระอรหันต์ของลูก หมายความว่า เป็นบุคคลสูงสุดที่ควรเคารพ พระอรหันต์นั้นเขาเป็นเนื้อนาบุญ ใครไปทำบุญ ไปบำรุง ไปอะไรเข้า ก็ได้บุญมาก ก็เรียกว่าพระอรหันต์ ที่เราไปทำอะไรกับพ่อแม่อย่างนั้น ก็จะได้บุญมาก ท่านจึงถือว่า บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก คือทำให้ลูกได้บุญได้กุศล ได้ดี ได้มีจิตใจพ้นจากทุกข์
ลองจำไว้สัก 3 คำ เป็นคำของพระพุทธเจ้าว่า บิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก เป็นอาจารย์คนแรกของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูก ถ้าใครคิดได้อย่างนี้ ก็ไม่อาจจะทำบิดามารดาให้ร้อนใจ จะเคารพบิดามารดาที่สุด จะรักบิดามารดาที่สุด จะกตัญญูต่อบิดามารดาที่สุด จะซื่อสัตย์ต่อบิดามารดาที่สุด จะคอยระมัดระวัง ทำตัวให้เป็นที่พอใจของบิดามารดาที่สุด จะไม่เกิดปัญหาอย่างที่กำลังเกิดอยู่โดยมาก คือเด็กดื้อ ดื้อต่อบิดามารดาและดื้อต่อครูบาอาจารย์ ดื้อต่อคนเฒ่าคนแก่ คือดื้อไปหมด คือเอาตามใจตัว อยากจะทำอะไรก็ทำแต่ตามใจตัว ไม่ยอมทำตามคำแนะนำสั่งสอน ดื้อ ในที่สุดก็วินาศ เพราะว่าคนดื้อนั้นมันไม่ทำดี มันไปทำตามที่มันอยากจะทำ มันก็ไม่ได้ทำดี มันก็ทำไปในทางที่ไม่ดี หนักเข้ามันก็วินาศ แล้วถ้ายิ่งดื้อจะยิ่งโง่ มันคู่กัน ไอ้ดื้อกับโง่เนี่ยมันจะคู่กันเสมอ ถ้าไม่อยากโง่ แล้วก็อย่าดื้อ ถ้าเริ่มดื้อแล้วมันจะเริ่มโง่ ยิ่งดื้อจะยิ่งโง่ ดื้อเท่าไรจะโง่มากเท่านั้น ขอให้สังเกตดูให้ดี อย่าไปดื้อต่อระเบียบ กฎเกณฑ์ อย่าไปดื้อต่อคำแนะนำสั่งสอนของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ พระเจ้าพระสงฆ์ เขาเคยผ่านมาแล้ว เขารู้เรื่องดี เขาจึงบอกเราว่า ไม่ต้องลองทำผิดๆ อย่างนั้น นี่มีเรื่องต่างๆ เช่นเรื่องยาเสพติดบ้าง เรื่องอบายมุข หลายๆ อย่างบ้าง เขาเคยผ่านมาแล้ว มันใช้ไม่ได้ มันทำลาย เขาก็บอกว่า อย่าไปทำ เราก็ไม่เชื่อ เราก็ดื้อ เราก็ไปทำ แล้วมันก็เสื่อมเสียร่างกาย เสื่อมเสียจิตใจ เสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมเสียอะไรหลายๆ อย่าง แล้วก็ไม่มีความเจริญ เราเชื่อว่าเด็กทุกคนต้องการให้มีความเจริญ ให้ได้รับสิ่งที่ดี เป็นที่พอใจ จึงอุตส่าห์เล่าเรียน อุตส่าห์มาโรงเรียน อุตส่าห์เข้าโรงเรียน อุตส่าห์มาเล่าเรียน เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดี แต่ครั้นมาโรงเรียนแล้ว ไม่รู้ว่าอะไรมันจะทำให้ดี มันก็โง่ ไปเอาดื้อ ไปเอาโง่ไปเอาดื้อมา เหลวไหลในการเรียน ฝืนระเบียบการเรียน ต่อต้านครูบาอาจารย์ ต่อต้านระเบียบวินัยต่างๆ จนมันเลว จนมันเลว จนมันต้องออกจากโรงเรียน หรือมันต้องถูกคัดชื่อออกไปจากโรงเรียน มันก็ต้องไปเลว เนี่ยขอให้ดูที่มันมีอยู่เป็นตัวอย่าง แล้วก็ไม่ต้องลอง ทดลองเลวนี่ไม่ต้องลอง เพราะเขามีแต่พยายามทำให้ดี ไอ้เลวๆ เราก็เห็นอยู่ นึกก็นึกได้ พอจะนึกออก ก็ไม่ต้องลอง ไม่ต้องลองเลว มันจะเสียเวลามาก แล้วบางอย่างมันจะเสียหมดเลย คือมันจะวินาศถึงกับตายก็มี ถึงกับเสียผู้เสียคน จะเอาดีอีกไม่ได้ก็มี เช่น ยาเสพติดบางชนิด ไปลองเข้า มันก็กลับไม่ได้ ยากที่จะกลับได้ มันเหมือนกับผีสิง มันเอาออกยาก ฉะนั้นอย่าไปลอง
เด็กสมัยเรา หลายสิบปีแล้วนะเมื่อเป็นเด็ก กลัว ไม่อยากลองสิ่งเหล่านี้ แต่ได้ยินว่าเด็กสมัยนี้มันกล้า มันอยากลอง เช่น มันอยากลองเสพเฮโรอีน มันอยากลองเล่นอะไรที่เขาห้าม นี่มันอยากลอง เมื่อไม่กล้า ไม่กล้าลอง มันก็ไม่ต้องลอง แล้วมันก็ปลอดภัย ไอ้ลองอย่างนี้ ลองเข้าไปแล้วมันถอนออกมายาก มันก็วินาศ จึงบอกว่าไม่ต้องลองหรอกไอ้เรื่องความชั่ว ไม่ต้องลอง ส่วนความดีนั้นน่ะ ต้องพยายาม ยิ่งกว่าลองอีก เพียงแต่ลองก็ยังไม่พอ ต้องพยายามทำให้มากที่สุด เรื่องชั่วนั้นไม่ต้องทำ แม้แต่จะลอง ก็ไม่ต้องลอง ตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้
นี่เราเกิดมาจากบิดามารดา รู้คุณของบิดามารดา เชื่อฟังบิดามารดา ตลอดถึงเชื่อฟังครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่ พระเจ้าพระสงฆ์ นั่นมันส่วนหนึ่ง เป็นส่วนแรก เด็กๆ ตั้งต้นขึ้นมาอย่างนั้น อย่าทำให้ผิดในเรื่องนี้ ถ้าทำผิดในเรื่องนี้ นั่นก็คือบาป บิดามารดาเขารักเรา เขาหวังอะไร เธอไปสังเกตดูเองเถอะ บิดามารดายินดีในการที่ลูกเกิดมา รักอย่างไร หวังอย่างไร ไปสังเกตดูเถอะ ถ้าเราไม่ได้ทำให้ตรงตามที่บิดามารดาหวัง เราก็ไม่ได้เป็นบุตรของบิดามารดา ถ้ามาทำให้บิดามารดาร้อนใจ เราก็เป็นอะไรก็ไม่รู้ทีนี้ นอกจากจะไม่ใช่บุตร ก็ยังเป็นอะไรที่เลวร้าย ตรงกันข้ามไปเลย จะเรียกว่าลูกอกตัญญู ก็ยังจะน้อยไปมั้ง เหมือนจะเป็นคนที่มาล้างผลาญบิดามารดา จับบิดามารดาใส่นรก ให้บิดามารดาร้อนใจอยู่ตลอดเวลา ขี้เกียจเล่าเรียน บิดามารดาก็ร้อนใจ ใช้เงินเปลือง บิดามารดาก็ร้อนใจ เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก บิดามารดาก็ร้อนใจ เที่ยวก่อการทะเลาะวิวาท บิดามารดาก็ร้อนใจ เที่ยวติดหนี้ยืมสิน บิดามารดาก็ร้อนใจ ไอ้ลูกคนนี้มันเกิดมาสำหรับจับบิดามารดาใส่นรก มันก็ไม่ใช่บุตรที่ดี หรือบุตรธรรมดาก็ยังไม่ได้ บุตรธรรมดาก็ไม่ทำบิดามารดาให้ร้อนใจ เพราะว่าคำว่า บุตร ก็แปลว่า ผู้ทำบิดามารดาให้เย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องตกนรกคือร้อนใจ ไม่ต้อง นี่มาทำให้ร้อนใจเสียเอง ก็เลยเป็นบุตรไม่ได้ เป็นลูกก็ยังไม่ได้ ลูกเหมือนลูกไม้ จะเป็นของสกปรก ออกมาจากท้องบิดามารดาแล้วมาสกปรกอยู่อีก มาทำเรื่องร้ายๆ ให้เกิดอยู่อีกตลอดเวลา
ฉะนั้นเธอไปคิดดูเอง เกิดมาสักทีก็ขอให้เป็นบุตร เมื่อเป็นบุตร ก็ขอให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา บุตรที่เลวของบิดามารดาก็ไม่ไหวเหมือนกัน บุตรที่เสมอกันกับบิดามารดาค่อยยังชั่ว บุตรที่ดีก้าวหน้ากว่าบิดามารดา นั่นแหละเขาต้องการ ไม่ใช่ว่าเราจะอวดดีนะ แต่เมื่อกล่าวโดยยุติธรรมแล้ว ไอ้ลูกมันต้องดีกว่าพ่อแม่ คนเกิดมาทีหลังต้องดีกว่าคนเกิดก่อน เพราะอะไร เพราะว่าคนที่เป็นบิดามารดาหรือคนเกิดก่อน เขาใส่อะไรให้เรา เขาถ่ายทอดให้เราหมดทุกอย่าง แล้วเราไปหาเพิ่มเติมเอาใหม่อีกที่แปลกออกไป ฉะนั้นเราก็ต้องดีกว่าคนที่เกิดก่อน คนเกิดทีหลังต้องดีกว่าคนที่เกิดก่อน จึงจะยุติธรรม เพราะว่าอะไรๆ ที่คนที่เกิดก่อนเขามีให้ เขาสอนให้ เรารับเอาหมด แล้วเราไปค้นคว้าหาเพิ่มเติม แปลกออกไป เพราะฉะนั้นเรามีมากกว่า นี่คือธรรมดาหรือยุติธรรม คนที่เกิดทีหลังต้องดีกว่าคนที่เกิดก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นเรียกว่าใช้ไม่ได้ เขาจึงนิยมบุตรที่ดีกว่าบิดามารดา แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านยังตรัสไว้อีกแขนงหนึ่งคือว่า บุตรที่ดีที่สุดนั่นคือบุตรที่เชื่อฟัง เคารพรักบิดามารดา ถ้าบุตรคนนี้มันเลวกว่าบิดามารดา ก็เลิกไป ไม่ต้องพูด เด็กคนนี้พอเสมอกัน มันก็ไม่ดีเท่าไร แต่เด็กคนนี้มันสร้างตัวเองได้สูง ได้ในฐานะสูงกว่าบิดามารดา ก็ดี แต่ถ้ามันไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง ไม่สนองคุณบิดามารดา ก็เลวเหมือนกัน คือไม่มีประโยชน์อะไรต่อบิดามารดา ฉะนั้นความกตัญญูต่อบิดามารดา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
มีคำในพระคัมภีร์ ในพระบาลีมีว่า ไอ้ลูกที่เลวสู้ไม้เท้าอันหนึ่งก็ไม่ได้ ไม้เท้าอย่างนี้แหละ ลูกที่เลวน่ะ มันสู้ไม้เท้าอันหนึ่งนี่ก็ไม่ได้สำหรับบิดามารดา เพราะบิดามารดาเป็นคนแก่แล้ว ถือไม้เท้ามันก็กันล้มได้ มันยังดีกว่าบุตรที่เลว ไม่สนใจ ไม่เอื้อเฟื้อบิดามารดา ไม้เท้านี่ถ้าว่าหมามา วัวมา ควายมา ก็ยังใช้ไล่ให้มันไปได้ ไม่มากัดเรา ไอ้ลูกเลวๆ มันก็ไม่สนใจบิดามารดา ฉะนั้นไม้เท้าอันนี้มันก็ยังดีกว่าลูกที่อกตัญญู ที่บิดามารดาลุยน้ำ ก็ไม้เท้าหยั่งดูได้ จะไม่ต้องตกลงไปในน้ำลึก ก็มีประโยชน์ ลูกเลวๆ มันก็ไม่ช่วยอะไรได้ ไม้เท้าก็ดีกว่า ในที่สุดถ้าบิดามารดาเขาตามืดตาบอด ก็อาศัยไม้เท้าคลำทางไปได้ ไอ้ลูกอกตัญญูมันไม่ทำอะไรได้ ไม้เท้าอันหนึ่งมันดีกว่าลูกอกตัญญู ไม้เท้ามันจะเป็นลูกกตัญญู ดีกว่าไอ้ลูกคนคนนี้เสียอีก ให้เราระวังเถอะ อย่าให้เลวกว่าไม้เท้าตีหมาเลย ไม้เท้าตีหมาของพ่อน่ะ อย่าให้มันดีกว่าเราเลย เราช่วยทำอะไรๆ ให้พ่อเขาได้รับความสบายใจ ปลอดภัย เป็นลูกกตัญญู รู้พระคุณของบิดามารดา
เอาละทีนี้ เรื่องเกี่ยวกับบิดามารดาก็พูดกันพอแล้ว ทีนี้พูดถึงเรื่องเราบ้าง เพราะเรานี่เมื่อเกิดมาจากบิดามารดาแล้ว จะทำอะไรจึงจะไม่เสียชาติเกิดมา จะมาเป็นอันธพาลรังควานผู้อื่น ก็ลองคิดดูเถอะ มันไม่มีใครประสงค์ แม้เธอเองก็ไม่ประสงค์คนอันธพาล ฉะนั้นเราก็ไม่ต้องเกิดมาสำหรับเป็นอันธพาล รังควานใคร เกิดมาสำหรับได้ดี คือไม่มีความทุกข์ และเป็นคนมีประโยชน์แก่ทุกคนหรือทุกฝ่าย เราต้องรู้จักทำอย่าให้เรามีความทุกข์นะ ไม่โง่ ไม่ขี้เกียจ มีทรัพย์สมบัติ มีเงินใช้ มีอะไรก็ไม่มีความทุกข์ เจ็บไข้ก็มีเงินรักษา ไม่มีความทุกข์ และก็มีธรรมะของพระพุทธเจ้าสำหรับทำจิตใจไม่ให้มีความทุกข์ เราก็ไม่มีความทุกข์ ทีนี้เราเมื่อไม่มีความทุกข์อย่างนี้แล้ว มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว ก็ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่ทุกคน ทุกฝ่าย เราจะอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ มองเห็นๆ กันอยู่ ก็จะต้องอยู่ด้วยกัน หลายคนหรือมาก จำนวนมากในโลกนี้ ฉะนั้นเราจึงต้องอยู่ด้วยกันได้ เพราะมันเป็นประโยชน์แก่กัน ถ้าไม่เป็นประโยชน์แก่กัน มันอยู่กันไม่ได้ มันก็จะทำร้ายกัน ฉะนั้นเป็นประโยชน์แก่กัน จะได้รักใคร่กันและช่วยกันสร้างความสงบสุข อยู่เป็นผาสุก เรียกว่าทำให้โลกนี้มันน่าอยู่ ทำให้โลกนี้มันน่าดู ทำให้โลกนี้มันงดงาม เป็นโลกของมนุษย์ที่ดี ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เราเรียกว่าเป็นคนเฉยๆ ดีกว่า อย่าถึงกับเป็นมนุษย์เลย ถ้าเป็นมนุษย์ต้องมีจิตใจสูง รู้อะไรมากและทำอะไรได้ดี นี่เรียกว่าเป็นมนุษย์ แต่สักว่าเกิดมา เกิดมา ก็เป็นคน เป็นคนไป มันก็ได้เหมือนกัน มันไม่มีอะไรดี มันเป็นแต่คน เกิดมาเป็นคน ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นคน รู้กินรู้นอนอะไรเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งก็ทำเป็น แต่ถ้าเป็นมนุษย์แล้วต้องทำอะไรได้ดีมาก ที่สัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานทำไม่ได้ มนุษย์ทำได้ ทำประโยชน์ได้ นี่ก็เรียกว่าเป็นมนุษย์ ถ้าทำได้เท่าสัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นแต่คนเท่านั้นแหละ กินอาหารก็ได้ นอนก็ได้ ขี้ขลาดก็ได้ วิ่งหนีก็ได้ สืบพันธุ์ก็ได้ อะไรก็ได้นี้ มันเป็นคนธรรมดา ถ้าเป็นมนุษย์ต้องทำอะไรได้ดีกว่านั้น มีความสงบสุขยิ่งกว่านั้น นี่คือข้อที่ต้องระวัง เราอย่าทำอะไรให้เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ใครมองเห็นบ้างว่า คนยังมีอะไรเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ใครมองเห็นว่าคนนี่มีอะไรเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน มีอะไรบ้าง ใครมองเห็น ใครตอบได้ยกมือซิ มีแต่คนขี้ขลาด มีแต่คนไม่รู้อะไร ไม่รู้อะไรก็ตอบไม่ได้ หรือรู้บ้างก็ขี้ขลาด ไม่กล้า ไม่กล้าตอบ อย่างนี้ไม่ไหว ยังไม่ใช่นักเรียน นักเรียนต้องรู้อะไร อย่างน้อยก็คาดคะเนเป็น สันนิษฐานเป็นแล้วก็ตอบได้ แล้วก็ต้องไม่ขี้ขลาด ต้องยินดีตอบ ตอบสุดความสามารถที่จะตอบได้แม้จะไม่ถูกทั้งหมด ก็ยังถูกบ้าง อย่างนี้ซิจึงจะเป็นนักเรียน ฉะนั้นเราจะจัดว่าพวกเธอทั้งหมดนี้ยังไม่เป็นนักเรียน เพราะตอบอะไรก็ไม่ได้และก็ไม่กล้าด้วย ไม่กล้าอย่างที่ว่าเป็นนักเรียนรู้อะไรบ้าง แล้วก็ยังตอบได้ กลับไปนี้ไปฝึกฝนกันเสียใหม่ สนใจให้มันรู้อะไรบ้าง รู้จักคาดคะเน รู้จักสันนิษฐาน ตอบออกมาให้ได้ ดีกว่าไม่ตอบ แล้วก็ไม่ต้องกลัว ถ้ายังขลาด ยังกลัวอยู่ ก็เรียกว่ายังไม่มีการศึกษา ถ้ามีการศึกษาแล้วจะกลัวอะไรล่ะ เพราะมันศึกษาแล้ว มันรู้แล้ว มันก็ว่าไปตามที่ได้เล่าได้เรียนมา ที่ถามนี่ก็เพื่อให้รู้จักคิด ให้ฉลาดคิด แล้วก็จะได้ป้องกันไว้ อย่าให้คนน่ะมันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน นี่เราถามว่า ใครเห็นอะไรบ้างที่ว่า คนยังเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ตามที่เธอเห็นง่ายๆ มันมีอะไรบ้าง
เอ้า,เราจะถามดูให้ง่ายที่สุด ใครฟันไม่ดี เป็นโรคฟันผุ ปวดฟันบ้าง เดี๋ยวนี้แหละ ใครเป็นฟันไม่ดี เป็นโรคฟันผุ มีการปวดฟันอยู่เสมอบ้าง (แหมนี่ฟันดีทุกคน ไม่น่าเชื่อ) ใครไม่เคยปวดศีรษะ ใครไม่เคยปวดศีรษะ ยกมือ ใครไม่เคยปวดศีรษะ ใครเคยเห็นแมวปวดศีรษะบ้าง ยกมือ นี่เราเห็นว่า มันควรจะคิดดูแล้ว เราปวดศีรษะกันทุกคน เคยกันทุกคน แต่แมวไม่เคยปวดศีรษะ แล้วทำไมไม่ยอมว่าแมวมันดีกว่าคนเล่า ไอ้คนนี่มันคิดไม่เป็น มันคิดฟุ้งซ่าน มันวิตกกังวลบ้าๆ บอๆ จนปวดหัว ไอ้แมวมันก็ไม่ต้องทำอย่างนั้น มันก็ไม่ต้องปวดหัว แมวนี่ไม่ต้องกินยาปวดหัว ที่ไปซื้อยาปวดหัวจากตลาดนั่น คนกินทั้งนั้น ไม่ได้มีแมวกินเลย แล้วแมวก็ยังไม่เป็นโรคประสาทเหมือนคน นักเรียนก็ระวังให้ดีเถอะ ถ้าเรียนไม่ถูกวิธี ก็จะเป็นโรคปวดหัว และก็จะเป็นโรคประสาท แล้วมันก็จะละอายแมว ใครเห็นแมวสูบกัญชาบ้าง แล้วใครเห็นคนสูบกัญชาบ้าง แล้วใครเห็นคนสูบกัญชาบ้าง (ทีนี้ตอบ รู้จักตอบ รู้จักแสดง) ใครเลวกว่าใคร ใครดีกว่าใครเล่า เมื่อแมวมันไม่สูบกัญชา แล้วก็คนมันสูบกัญชา ไม่เคยเห็นแมวสูบบุหรี่ แต่คนมันสูบบุหรี่ เสียสตางค์ เงินไม่พอใช้ ใครจะได้เปรียบใคร ควรจะคิดนึกดู แมวก็ไม่กินเหล้า หมาก็ไม่กินเหล้า ใครเคยเห็นหมากินเหล้า แต่คนยังกินเหล้า ฉะนั้นเธอไปคิดเสียใหม่ เธอต้องระวังเรื่องนี้ อย่าไปกินเหล้าให้มันเลวกว่าแมว ขนมที่มีกลิ่นเหล้า หมาไม่กิน หมาตัวนี้ของเราก็ไม่กิน ตัวไหนก็ไม่กิน ขนมเค้ก ดี แพง เขาเอามาให้ ขนมเค้กอย่างของเมืองฝรั่งนั่นน่ะ มันดีเกินไปจนมันใส่เหล้า ในนั้นมีกลิ่นเหล้า หมาก็ไม่กิน แต่คนมันยังกิน นี่ดูเถอะว่าโดยธรรมชาติแท้ๆ มันก็ไม่ทำอะไรให้เปลืองเปล่า เดือดร้อนเปล่าๆ ให้ทรุดโทรมทางสุขภาพอนามัย สุนัขไม่ได้เป็นโรคฟันผุ ไม่ต้องไปหาหมอถอนฟัน ฟันก็ยังขาว สวย กว่าคนที่แปรงฟันทุกวัน ก็ยังไม่มีฟันขาวเหมือนกับแมวหรือเหมือนกับสุนัข เพราะมันมีอะไรผิด มันมีอะไรผิด จำไว้แต่ว่ามันยังมีอะไรผิด
นี่เราจะพูดกันในข้อที่ว่า คนนี่ต้องไม่เลวกว่าสัตว์ ฉะนั้นเราควรจะปรับปรุงให้ดี ระวังให้ดี จัดการให้ดี ไม่ต้องมีอะไรที่มันเลวกว่าสัตว์ ถ้าคนยังปวดหัว สัตว์ไม่ปวดหัว ถ้าคนยังนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เป็นโรคนอนไม่หลับ หมามันก็นอนหลับ คนเป็นโรคประสาท ต้องไปหายาหาหมอ แต่สัตว์มันก็ไม่เป็นโรคประสาท คนเป็นโรคจิต สัตว์มันก็ไม่เป็น หมอเขาทำสถิติ เขาว่าเมืองไทยเป็นโรคประสาทกันเจ็ดแสนคน พลเมืองสี่สิบกว่าล้านคนเนี่ย เป็นโรคประสาทโดยสมบูรณ์แล้วเจ็ดแสนคน ที่อยู่ในทะเบียน ที่รู้กันน่ะ แล้วที่ไม่รู้กันนี่ คงจะมีอีก แล้วคนเป็นโรคจิต คือบ้า บ้าเลย สองหมื่นคน โรงพยาบาลโรคจิตทั้งหลายในประเทศไทยรวมกันแล้วมันได้สองหมื่นคน แล้วที่มันไม่มาอีกล่ะ ที่ไม่มาโรงพยาบาล มันก็ยังมีอีก ฉะนั้นมันก็ต้องกว่าสองหมื่นคน ที่สัตว์เดรัจฉานไม่ได้เป็นโรคประสาทอย่างนี้ ไม่ได้เป็นโรคจิตอย่างนี้ ก็ควรจะละอายมัน ฉะนั้นเธอทุกคนทำตัวดีๆ อย่าได้เป็นโรคประสาท อย่าได้เป็นโรคจิต นี่เราจึงจะไม่เสียทีที่ว่า ศึกษาเล่าเรียน ต้องการจะทำตัวให้ดี
ไอ้เธอทุกคนนี่มันคือ เจ้าของโลกในอนาคต โลกในอนาคตจะดีจะเลวอย่างไรมันแล้วแต่พวกเธอ ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา เด็กๆ ทุกคนในโลก จะทำให้โลกเป็นอย่างไรก็ได้ มันแล้วแต่ว่ามันเป็นเด็กเลวหรือเด็กดี ถ้าเด็กทุกคนในโลกดี โลกนี้มันก็ดี เมื่อโตขึ้นเป็นคนดี ทุกคนในโลกมันดี โลกนี้ก็เป็นโลกที่ดี ถ้าเด็กมันเลว โตขึ้นเป็นคนเลว ในโลกเต็มไปด้วยคนเลว โลกนี้มันก็เลว เธอรู้จักความรับผิดชอบอันนี้บ้าง มันหลีกไม่พ้น มันโดยธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราไม่ใช่อวดดีอะไร เราพูดได้ว่า โลกนี้จะดีหรือจะเลว มันก็แล้วแต่เด็กๆ เดี๋ยวนี้แหละ มันจะสร้างโลกในอนาคตกันอย่างไร ถ้าเด็กทุกคนเหล่านี้ดี โลกนี้ก็ดี ถ้าเด็กเหล่านี้เป็นอันธพาล ไม่ดีไปหมด โลกในอนาคตก็เป็นโลกอันธพาลเป็นแน่ แล้วก็อยู่กันอย่างเดือดร้อนที่สุด ลองคำนวณดูซิว่า ทุกคนนี่เป็นอันธพาล แล้วก็ทำลายกันอย่างอันธพาล ทุกคนเลย แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร
เด็กๆ มีความสำคัญมากต่อมนุษย์ในโลก ต่อมนุษยชาติ คือมนุษย์ทั้งโลก มนุษย์ในโลกนี้มันขึ้นอยู่กับเด็กๆ เราอย่ามัวนั่งโง่อยู่ที่นี่ซิ ไม่รับผิดชอบ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่าโลกในอนาคตมันขึ้นอยู่กับเรานะ ฉะนั้นสนใจเรียนให้ดี ประพฤติให้ดี ทำให้ดี อย่าดื้อดึง เด็กนี่ไม่ดื้ออย่างเดียวพอ เราพูดอย่างนี้ ใครจะไม่เชื่อก็ตามใจ แต่เราจะพูดอย่างนี้ ว่าเด็กทั้งหลายไม่ดื้ออย่างเดียวมันพอ ถ้ามันดื้อแล้วมันล้มละลายหมด ครูบาอาจารย์ บิดามารดา เขาต้องการให้ดี เขาต้องการให้ทำอย่างนี้ อย่างนี้ เราไม่ดื้อเราก็ทำ แล้วมันก็ดี แต่พอเราดื้อ เราก็ไม่ทำ ที่มันดี เราก็ไม่ทำ แล้วมันก็หมด หมดความดี ฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าดื้อหรือไม่ดื้อ ยิ่งดื้อยิ่งโง่ แล้วก็ยิ่งวินาศ ไปเร็วเข้า ยิ่งไม่ดื้อก็ยิ่งเฉลียวฉลาด มันก็ดีเร็วเข้า ฉะนั้นจำเอาไปด้วยว่ามันจะดี จะรอดหรือไม่รอด มันอยู่ที่ว่าดื้อหรือไม่ดื้อ อย่าดื้อต่อบิดามารดา ต่อครูบาอาจารย์ ต่อระเบียบกฎข้อบังคับ วินัยอะไรต่างๆ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมันทำให้เราดี มันชักจูงเราให้ดี มันบีบบังคับแวดล้อมเราไปในทางดี
ฉะนั้นขอให้ทุกคนเตรียมตัวสำหรับจะดี เป็นคนที่ดี แล้วก็เป็นมนุษย์ที่ดี กระทั่งดีที่สุดก็พอ มนุษย์ที่ดีที่สุดนั่นเขาเรียกว่าเป็นพระอรหันต์ เราเอาดีธรรมดา ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ได้ เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์นี่ดีที่สุด เรายังไม่ถึงนั่น ก็ดีธรรมดา ฉะนั้นขอให้หวังทุกคน ตั้งใจไว้ให้แน่วแน่ว่าเราจะเป็นคนดี ถ้าเราเป็นบุตร ก็เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ถ้าเราเป็นศิษย์ เราก็เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ถ้าว่าเราเป็นพลเมืองของประเทศชาติ เราก็ต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ถ้าเราเป็นพุทธมามกะของศาสนา เราก็ต้องเป็นพุทธมามกะที่ดีของศาสนา ห้าอย่างเนี่ยพอแล้ว พอเหลือที่จะพอแล้ว ดีห้าอย่างนี้พอแล้ว
ใครเคยได้ยินมาแล้ว ดีห้าอย่างนี้ใครเคยได้ยินมาแล้ว (ยกมือซิใครเคยได้ยินมาแล้ว) จะว่าให้ฟังอีกที เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า ห้าดีนี้ใครเคยได้ยินมาก่อนแล้วบ้าง ยกมือซิ เอ๊ะทำไมไม่เคยได้ยินกันเลย ถามอะไรก็ไม่เคยได้ยินเสียเลย เอ้าว่าพร้อมๆ กันถ้าอย่างนั้น
ข้าพเจ้าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ข้าพเจ้าเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า
ได้ยินหรือยัง ทีนี้จะว่าไม่เคยได้ยิน ไม่ได้นะ ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว ทุกคนได้ยินแล้ว ว่าจะต้องดี ห้าอย่างนี้ก็พอ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา ถ้าทำบิดามารดาให้ร้อนใจ ไม่ ไม่ ไม่เป็นบุตรที่ดี ใครเคยทำบิดามารดาให้ร้อนใจ จะเท็จหรือจะไม่เท็จ จะซื่อไม่ซื่อ ลองพูดกันมาดู ใครไม่เคยทำบิดามารดาให้ร้อนใจ ใครไม่เคย เคยทั้งนั้นนี่ ทุกคนเคยทำบิดามารดาให้ร้อนใจทั้งนั้น เอ้า,เลิกกัน แล้วมาแต่หลัง ช่าง ยกเลิก ไม่ต้อง ต่อไปนี้เราจะไม่ทำบิดามารดาให้ร้อนใจ
ใครเคยเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ก็ไม่กล้ายกมืออีก ใครเป็นศิษย์ที่เลวของครูบาอาจารย์ ก็ไม่กล้ายกมือ ไม่รับผิดชอบตัวเอง ใครไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์ ทำความยุ่งยากลำบากในการแนะนำสั่งสอนอบรม นี่เขาเรียกว่าเป็นศิษย์ที่ใช้ไม่ได้ อย่าต้องมี อย่าให้ครูบาอาจารย์ต้องร้อนใจ
ใครเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ใครเคยเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ใครกำลังเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ยกมือ ไม่มีใครยกมืออีก ก็หมายความว่าเป็นเพื่อนที่เลวของเพื่อน ใครเคยด่าเพื่อน แยะโว้ย ใครเคยด่าเพื่อน ใครเคยชกเพื่อน แย่แล้ว งั้นเลิก เลิก เลิก ต่อไปนี้เลิก ไม่เอา ไม่มีด่าเพื่อน ไม่มีชกเพื่อน มีแต่จะช่วยเหลือเพื่อน จะรักเพื่อน ว่าเป็นเพื่อน เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เป็นคน เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เขาเรียกว่า เป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เราจะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน ที่แล้วมานั้นขอโทษ ยกเลิก ต่อไปนี้ตั้งใจว่าจะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน
ทีนี้ข้อที่ว่าจะเป็นพลเมืองที่ดีของชาตินี่ เราเห็นว่ายังเล็กนัก ยังทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ให้ตั้งใจไว้ ให้มั่นหมายไว้ ว่าโตขึ้นต้องเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
ให้เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า คือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สุดความสามารถของเรา ใครเคยทำพิธีพุทธมามกะ ทุกปีโรงเรียนทำพิธีพุทธมามกะ นั่นแหละผู้ปฏิญาณตัวว่าเป็นคนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นของพระพุทธเจ้า อันนี้เขาเรียกว่าเป็นพุทธมามกะ ให้พระพุทธเจ้าเป็นของเรา ให้เราเป็นคนของพระพุทธเจ้า เราต้องประพฤติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราประพฤติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาขึ้นมาทันที จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ขึ้นมาทันที จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนขึ้นมาทันที จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติขึ้นมาทันที ถ้าเราเป็นพุทธมามกะที่ดี เพราะว่าผู้ที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ทำผิดไม่ได้ ทำเลวไม่ได้ ทำชั่วไม่ได้ ฉะนั้นก็เลยดีหมด
ใครจำได้ ที่ว่าเป็นคนดีห้าชนิดนี้ ใครจำได้แล้ว ใครจำได้แล้วยกมือ ทางโน้นจำได้ ทางนี้จำไม่ได้สักคนหนึ่งที่จะเป็นดี ดี ดี ห้าอย่างนี้ใครจำได้แล้ว ยกมือ ใช้ได้ ถ้าจำได้ เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า ทุกคนรอดตัว
นี่ก็เรียกว่าธรรมะ เรียกว่าศีลธรรม เรียกว่าศาสนา เป็นเครื่องช่วยให้คนเรารอดตัว เราเรียนรู้แต่หนังสือ ไม่พอ เราเป็นคนดีไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นดีอย่างไร แม้แต่รู้หนังสือ มันก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นคนกันให้ดีอย่างไร เราเรียนวิชาชีพ เราอาจจะมีเงิน แต่ยังไม่พอ ยังเป็นคนดีไม่ได้ เราต้องเรียนอีกเรื่องหนึ่ง คือว่าจะเป็นคนดีกันอย่างไร เดี๋ยวนี้เรียนกันแต่หนังสือ เรียนกันแต่อาชีพ อย่างนี้แล้วไม่เท่าไรก็เป็นอันธพาลกันหมดน่ะ ต้องเรียนกันอีกอย่างหนึ่งเป็นเรื่องที่สาม เรียนรู้ธรรมะว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องกันอย่างไร เราตะโกนมาจนเขาโกรธแล้วว่า เรียนแต่หนังสือกับอาชีพนี่ เป็นการศึกษาที่หมาหางด้วน การศึกษาระบบหมาหางด้วน เรียนแต่หนังสือ เรียนแต่วิชาชีพ ไม่เรียนว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร ทีนี้ในโรงเรียนของเธอ จะสอนแต่หนังสือกับวิชาชีพ ไม่สอนว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร นี้มันยังขาดอยู่ เราจึงพูดส่วนที่ขาดอยู่ เธอมาหาเราที่นี่ พูดอะไรบ้าง เราก็พูดส่วนที่เห็นว่าเธอยังขาดอยู่ คือว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร เอาไปรวมกันเข้ากับวิชาหนังสือและวิชาชีพที่จะเรียนต่อไป เลยเป็นสามวิชา หนังสือก็รู้ อาชีพก็รู้ ธรรมะสำหรับเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องก็รู้ นี่เราก็จะสมบูรณ์ ชีวิตของเราจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นี่ส่วนตัวเธอ ที่เกี่ยวกับเธอ จะต้องเดินต่อไป ต่อไป ต่อไป ส่วนที่เกี่ยวกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเรามาอย่างไร เราก็พูดแล้ว แล้วส่วนตัวเธอเองล้วนๆ ที่จะไปต่อไปข้างหน้าอย่างไร เราก็พูดแล้ว เป็นอันว่าเราพูดครบแล้วทั้งสองเรื่อง เธอจำไว้ให้ดี ให้มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์อย่างถูกต้อง แล้วก็มีตัวเองที่ถูกต้อง เดินไป พึงเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองไปอย่างถูกต้อง มันก็จบ ทีนี้เวลามันก็สมควรแล้ว เดี๋ยวนี้เราพูดชั่วโมงหนึ่ง เต็มแล้ว อาจจะมากไปสำหรับเด็กๆ
ในที่สุด ขอให้มันเหลืออยู่ว่า เธอจำได้ว่า ใครมีบุญคุณที่สุด เราจะต้องทำอย่างไรต่อผู้มีบุญคุณ แล้วเราในส่วนตัวเรานี่จะดีให้ได้ ให้ครบทั้งห้า ดีให้ได้ให้ครบทั้งห้า เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นพุทธมามกะที่ดี ที่นี่น่ะเราพูดภาษาพระศาสนา พระคัมภีร์ ภาษาบาลี เราไม่พูดว่าข้าพเจ้าจะเป็น เราไม่พูด เราไม่พูดว่าข้าพเจ้าจะเป็นบุตรที่ดี ข้าพเจ้าจะเป็นศิษย์ที่ดีนี่เราไม่พูด มันจะ จะ มันไม่ได้เป็น มันยังไม่เป็นและมันไม่แน่ว่าจะเป็น ต้องพูดว่าข้าพเจ้าเป็น เป็นแล้ว เป็นแล้วบัดนี้ แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าเป็นแล้ว เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ เป็นพุทธมามกะที่ดี คำว่า ดี ถ้าเป็นภาษาบาลีคือคำว่า พร ภาษาบาลีว่า พร ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คือ ดี เดี๋ยวนี้เราเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดีแล้ว มันก็คือมีพรอยู่แล้ว ขึ้นชื่อว่าพรแล้วก็ต้องคุ้มครองเสมอ ฉะนั้นความที่เธอมีพร คือดีที่จะคุ้มครองเธอ เราจะให้พรเธอก็เพียงแต่ว่า เธอจงมีความกล้าหาญ มีความพอใจ มีความพากเพียรในการที่จะทำดี ในการจะทำดี ดีนี่ให้แทนกันไม่ได้ ได้แต่บอกให้ทำ เมื่อทำแล้วก็เป็นพร ฉะนั้นขอให้เธอแน่ใจ กล้าหาญ ขยันที่จะทำดี โดยการเป็นลูกที่ดี เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี อย่างที่กล่าวมาแล้ว แล้วเธอก็จะมีความสุข มีความเจริญ เป็นที่น่าพอใจอยู่ ทุกทิพาราตรีกาล ขอให้ความหวังอันนี้จงมีผลสำเร็จแก่เธอตลอดไป เพราะเธอมีความเชื่อ มีความกล้าหาญ มีความขยันขันแข็งที่จะประพฤติปฏิบัติ และขอให้มีความสุขสวัสดีทุกคน เทอญ.