แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ทั้งที่เป็นครูบาอาจารย์ นักการ แม่บ้าน ภารโรง ซึ่งล้วนแต่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา อาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลาย มาสู่สถานที่นี้ด้วยความมุ่งหมายที่จะศึกษาธรรมะ ยินดีที่ท่านสนใจในธรรมะ ขวนขวายเพื่อจะศึกษาธรรมะ รู้ธรรมะแล้วปฏิบัติธรรมะให้ยิ่งขึ้นไป เป็นจุดหมาย เป็นวัตถุประสงค์ที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของสถานที่นี้ซึ่งต้องการจะดำรงธรรมะไว้ในโลก ธรรมะมันเป็นของที่จำเป็นสำหรับโลก ต้องมีในโลก โลกจึงจะรอดอยู่ได้ และเราทั้งหลาย ก็รับผิดชอบร่วมกัน ไม่ว่าจะมีอาชีพอะไร ทุกคนในโลกมีความรับผิดชอบร่วมกันที่จะทำให้โลกนี้รอดอยู่ได้และมีความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เป็นเช่นนั้นได้ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นั่นเอง ดูเหมือนจะยังรู้จักสิ่งนี้กันน้อยเกินไป ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยเอื้อเฟื้อ หลักเกณฑ์แต่โบราณกาลก็มีอยู่ว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ทำให้คนผิดแปลกแตกต่างจากสัตว์ ถ้าไม่มีธรรมะแล้ว คนก็เสมอกันกับสัตว์ ดังนั้น เขาจึงสนใจธรรมะกันอย่างพิเศษเหนือสิ่งใด เราก็ควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ดีๆ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วจะเป็นอย่างไร มันจะยิ่งกว่า เหมือนกับสัตว์อะ มันจะมีความทุกข์มากกว่าสัตว์น่ะ สัตว์ไม่มีธรรมะก็ยังมีความทุกข์น้อยกว่าคนที่ไม่มีธรรมะ คนที่ไม่มีธรรมะจะเลวร้ายกว่าสัตว์ จะเป็นทุกข์ทรมานตนเองยิ่งกว่าสัตว์ เพราะคนมันมีสมองกว้างไกล สูงกว่าสัตว์มาก คือมันคิดอะไรได้ดี มาก ฉะนั้นมันจึงมีทางที่จะทำผิดมาก ทำถูกมาก หรือทำอะไรได้มาก ถ้าไม่มีธรรมะแล้วก็ มันสมองสูงๆ หรือฉลาดนั่นแหละ จะทำผิดได้ไกล และมีความทุกข์ได้มาก ฉะนั้นเราจะต้องรู้กันไว้ ว่าธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์
นี่เวลาก็เรียกว่าจวนจะขึ้นปีใหม่อยู่แล้ว เรียกว่าเข้ามาในเขตของปีใหม่ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ยังอีกไม่กี่วัน นี่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องนำมาคิดนึก มาทำความรู้สึกด้วยเหมือนกัน สรุปสั้นๆ ก็คือว่า ปีใหม่จะต้องมีธรรมะมากกว่าปีเก่า มิฉะนั้น เราจะเป็นคนย่ำเท้าอยู่กับที่ และอาจจะถอยหลังได้โดยง่ายดาย ขอให้เราพิจารณาในความหมายของคำว่า ปีใหม่ กันนี้ให้พอสมควร มันจะปี เป็นปีใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อ เรามันดีกว่าปีเก่าเท่านั้น ถ้าเรายังเหมือนกับปีเก่าหรือเลวกว่าปีเก่า มันก็ไม่มีปีใหม่ มันก็เป็นที่น่าละอาย แล้วมันก็เป็นการถอยหลัง เวลามันล่วงไป เวลามันล่วงไป เวลานั้น ตามธรรมชาติมันก็ล่วงไปตามธรรมชาติ ส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่มันมีลักษณะอาการเหมือนกับล่วงไป ล่วงไป ของทุกสิ่งที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สิ่งเล็กสิ่งน้อยมันก็มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปน้อย ๆ สิ่งใหญ่มันก็มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมาก เช่นว่าโลก ไอ้ตัวโลกนี้เอง มันก็มีการเกิดขึ้น แล้วมันก็กำลังดำรงอยู่ แล้วมันก็คงจะดับไปสักวันหนึ่ง นี่เรียกว่าเวลาของโลก ก็เป็นยุค เป็นกัป เป็นกัลป์ เป็นอะไรก็แล้วแต่จะเรียก มันก็เป็นเรื่องเวลา ของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ไม่สู้จะมีความหมายอะไร
แต่เวลา อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับมนุษย์อยู่โดยตรง มันขบกัด หรือกัดกินมนุษย์อยู่โดยตรง นี่ก็คือเวลา ส่วนที่มันเกี่ยวกับมนุษย์ โดยทั่วไปเราก็รู้ค่าของเวลาว่าทำไม่ทันเวลา หรือใช้เวลาไม่คุ้มค่า อะไรเหล่านี้มันเป็นความทุกข์เป็นความเสียหายน่ะ ดูที่นั่น แล้วมันกัดใจ กัดจิตใจ คือทำให้เป็นทุกข์ ถ้าเวลาชนิดนี้จำกัดความได้ว่า มันเป็นระยะกาลที่มีจุดตั้งต้นที่ความอยากของเรา และมีระยะยาวไปถึงจุดสุดท้าย คือการได้ตามที่เราต้องการ หรือว่ามันไม่ได้ ไม่มีทางที่จะได้ก็ตาม มันเสร็จไปเรื่องหนึ่ง เรียกภาษาเด็กๆ ก็ว่า จบเกม มีความตั้งต้น มีการตั้งต้นที่ความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขวนขวาย ต่อสู้ พยายามไปจนถึงสุดท้ายของกรณีนั้น ได้ตามต้องการหรือไม่ได้ตามต้องการ นี่คือเวลา เวลาชนิดนี้ มันกัดกินหัวใจของเรา ทรมานใจของเราอยู่เรื่อยตลอดเวลา มีบาลีว่า เวลากินสรรพสัตว์กับทั้งตัวมันเองอะเวลามันก็ล่วงไปในส่วนของเวลาเอง พอมาเกี่ยวข้องกับคน ด้วยความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งของคน เวลามันก็เกิดขึ้นสำหรับคน เกิดขึ้นที่คน แล้วก็มันกัดกินคน จากจุดที่มันต้องการ แล้วมันไม่ได้ หรือได้ตามที่ต้องการ กว่าจะได้ตามที่ต้องการ มันก็กัดกินหัวใจ เพราะว่าคนนั้นมันมีความต้องการ ยิ่งไม่ได้ตามต้องการ ยิ่งกัดกินมาก เลวร้ายมาก
ยกตัวอย่างกันง่ายๆ เหมือนกับว่าคนที่ซึ้อลอตเตอรี่ คนหนึ่งมันเป็นคนต้องการมาก เพราะฉะนั้นมันก็มาเฝ้าคิดนึกอยู่ตลอดทุกวันว่าเมื่อไหร่มันจะถูก เมื่อไหร่มันจะออก เมื่อไหร่มันจะถูก นี่ กว่ามันจะออกนี่ กี่วัน กี่อะไรก็ตาม มันกัดกินหัวใจคนนั้น เพราะมันทรมานว่าเมื่อไหร่จะออก เมื่อไหร่จะถูก กระทั่งนอนไม่ค่อยจะหลับ นี่เรียกว่าเวลามันกัดกินหัวใจของคนที่มีความต้องการ อีกคนหนึ่งมันไม่ได้ซื้อด้วยความต้องการ หิวกระหายอย่างนั้น มันซื้อเล่นๆ หรือว่าซื้อตามสติปัญญาเผื่อเลือกเท่านั้นน่ะ คนอย่างนี้มันนอนหลับ มันไม่รู้ไม่ชี้กับไอ้ที่ลอตเตอรี่ที่ซื้อมาแล้ว มันคอยดูวันออกฉลากทีเดียว ตลอดเวลาเหล่านั้น มันไม่ถูกเวลากัดกินให้ทรมานใจ นี่ เปรียบเทียบดูเถอะ ว่าคนหนึ่งเวลามันเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะเขาอยาก ถ้าเขาไม่อยาก ไอ้เวลาก็ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องอะ มันเป็นเรื่องของสติปัญญา นี่ดูให้ดีว่า คนที่มีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว มันก็เกิดเวลาชนิดหนึ่งขึ้นมา ที่สำหรับเกี่ยวข้องกับคน แล้วก็กัดกินคนผู้มีความอยาก ถ้าเขาไม่มีความอยาก ไอ้เวลาก็ไม่กัดกินหัวใจของเขา ฉะนั้นเวลาของผู้ใดล่วงไป ล่วงไป ด้วยความอยาก มันก็มีเวลาที่ทรมานใจของเขา ทีนี้เวลาของผู้ที่ไม่อยาก แต่มีปัญญาดำเนินหน้าที่ไปตามที่ควร ไม่ต้องอยาก ไม่ต้องอยากทำงานด้วยสติปัญญา ไม่ได้ทำงานด้วยความอยาก คนอย่างนี้ ก็ไม่ถูกเวลากัดกินหัวใจ มันก็อยู่สบายดี ทำอะไรๆ ให้เจริญก้าวหน้าได้เหมือนกัน
นี่ เวลามีอยู่สองชนิดอย่างนี้ รู้จักทำให้เป็นชนิดที่ไม่กัดกิน ไม่ทรมานใจเรา ทีนี้ถ้าว่าเราเกิดไม่มีความอยาก ไม่ ไม่มีความอยากแล้ว เราอะ จะเป็นผู้กินเวลา คือเราอยู่เหนือเวลา ชนะเวลา คนนี้เขามีธรรมะในพระพุทธศาสนา เป็นพุทธบริษัทแท้ มีชีวิตอยู่ด้วยความสงบสุข ไม่มีเรื่องทรมานใจ ที่เราบัญญัติว่าปีใหม่นี้ มันก็ดูได้ทั้งสองความหมายแหละ ที่ว่ามันโคจรรอบโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์รอบหนึ่ง นี่ มันก็เป็นปีหนึ่ง มันก็เป็นเวลาของธรรมชาติ ทีนี้ในปีหนึ่งนั้น ถ้าเรามีความอยาก เช่นอยากจะเลื่อนชั้นเงินเดือน หรืออยากจะรวย อยากจะอะไรต่างๆ ถ้ามีความอยาก มันก็กลายมาเป็นเวลาของคนๆ นั้น แล้วมันกัดกิน ทรมานใจ หัวใจของคนๆ นั้น ให้มีความทุกข์ ว่าเมื่อไรปีนี้จะพ้นไป เมื่อไรจะได้เลื่อนชั้นประ ประจำปี ว่าเมื่อไรจะรวยกว่าปีก่อน ทำนองนี้ เวลาชนิดนี้มันกัดกินหัวใจคนที่ยึดถือในเวลา ของตน ของตน ถ้าไม่ต้องไปรู้ไปชี้กับเรื่องอย่างนี้ รู้แต่ว่าปีนี้ทำอะไรให้ดี ให้มาก ให้เก่ง ให้มีค่ากว่าปีเก่าเท่านั้นน่ะ และก็ไม่ต้องหวังอะไร ทำก็แล้วกัน หลับหน้า ก้มหน้าก้มตาทำ มันก็สบายดี เป็นผู้กินเวลา ก็อยู่เหนืออำนาจของเวลา ก็สบายดี ถ้าอยู่ใต้อำนาจของเวลา เวลามันก็มาทรมานใจเอา อย่างที่ว่ามาแล้ว หวังว่าเราจะจัดให้ปีใหม่นี่ มันดีกว่าปีเก่า อีกไม่กี่วันจะมาถึงแล้วก็เตรียมตัวไว้เสียแต่เดี๋ยวนี้น่ะ จะเป็นคนฉลาด คือจะทำให้ทันเวลา งดความอยากอย่างโง่เขลาอะ อยากด้วยกิเสสตัณหาน่ะ ลดลงเสียเถิด ถ้าความอยากชนิดนี้ลดลงไปได้เท่าไร เวลาก็จะไม่ทรมานใจเราเท่านั้น เราจะต้องทำอะไรให้ดีกว่าปีเก่า ให้มาก ให้มากกว่าปีเก่า แต่ไม่ใช่ด้วยความอยากชนิดที่โง่เขลา คืออยากด้วยกิเลส แต่ว่าทำด้วยปัญญา ด้วยสติปัญญา ด้วยสัมมาทิฏฐิ ก็มีกำลัง อ่า, กำลังใจมากเหมือนกันน่ะ กำลังปัญญาน่ะมันไม่ทรมานใจ กำลังกิเลส กำลังความต้องการของตัณหาน่ะ มันทรมานใจ
เราอาจจะทำให้ดีกว่าปีเก่า แต่ด้วยกำลังของปัญญา เราก็ไม่มีความทุกข์มาก เหมือนปีเก่าอะ จะมีความทุกข์น้อยกว่าปีเก่า และเราก็จะมีธรรมะ ในชีวิตจิตใจของเรามากกว่าปีเก่าอะ คือมีธรรมะที่แท้มากขึ้น แล้วเราก็จะโกงน้อยกว่าปีเก่า เพราะเรามีธรรมะมากขึ้น ขอให้คิดดู ถ้าเรามีธรรมะมากขึ้น เราก็จะคดโกงในหน้าที่การงาน คดโกงใคร คดโกงอะไรก็ตาม มันน้อยลง แล้วเราก็จะขี้เกียจน้อยลง เพราะเรามีธรรมะนั่นเอง ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราก็จะโกงมากขึ้น จะขี้เกียจมากขึ้น จะเอาเปรียบเวลาราชการมากขึ้น กระทั่งว่าไม่คุ้มค่าเงินเดือนนะนี่ ขอพูดกันตรงๆ อย่างนี้ ไอ้คนชนิดนี้จะทำงานไม่คุ้มค่าเงินเดือนน่ะ มีช่องเอาเปรียบ มันก็เอาเปรียบ มีช่องโกงมันก็โกง มันก็ขี้เกียจมากขึ้น อะไรมากขึ้น อย่างนี้มันเลวกว่าปีเก่า ถอยหลัง ถ้าทำได้เท่าปีเก่าก็ดี ถ้าทำได้มากกว่าปีเก่าก็คือว่า เห็นอยู่แท้ๆ เลยว่า เราได้ทำงานเป็นประโยชน์ คุ้มค่าเวลา คุ้มค่าเงินเดือน คุ้มค่าความเป็นธรรม ความยุติธรรมมากขึ้น นี่เรียกว่าปีใหม่ที่แท้ จะต้องลดความอยากอย่างโง่เขลาลงไปเสีย ไอ้ความอยากอย่างโง่เขลาน่ะ ทำให้เราทำงานไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าเงินเดือนเป็นต้น เพราะคอยแต่เอาเปรียบ คอยแต่จะบิดพลิ้ว มันก็เป็นมนุษย์ที่ถอยหลัง นี่เรียกว่า ถ้าทำไม่ดีแล้ว มนุษย์ที่มีมันสมองมากน่ะจะทำผิดมากกว่าสัตว์ซึ่งมีมันสมองน้อย มีความคิดน้อย
เอาละ เป็นอันว่าจะทำให้เป็นปีใหม่ที่ดีกว่าปีเก่า เพราะว่ามีธรรมะมากกว่าปีเก่า ทำให้ชีวิตปีใหม่ ดี ดีกว่าชีวิตที่ปีเก่า พูดเป็นสำนวนวัตถุเป็นภาพพจน์หน่อยก็ว่า ไอ้ชีวิตนี้ มันเป็นสิ่งที่เราเติมธรรมะลงไปได้ เปรียบเหมือนกับโอ่ง ไห เราเติมน้ำลงไปได้ ไอ้ชีวิตนี้ก็เหมือนกันน่ะ สามารถจะเติมธรรมะลงไปในชีวิตนั้นได้ ฉะนั้นเราจงพยายามเติมไอ้ธรรมะนี่ ให้ดีให้มากกว่าปีเก่า ให้ชีวิตนี้มีธรรมะมากกว่าปีเก่า ไอ้เรื่องมันก็จะหมดปัญหา นี่ทำให้ชีวิตนี้มันหมดปัญหาเพราะมีธรรมะมากขึ้นๆ จนกว่ามันจะเต็ม แล้วก็กล่าวได้ว่า ไอ้ธรรมะนี้ คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตหมดปัญหา ถ้าเรามีธรรมะ ชีวิตจะหมดปัญหา ปัญหาทางวัตถุนะ ทางวัตถุ เช่นเงิน เช่นของ เช่นบ้านเรือนอะไรต่างๆ ก็หมดปัญหา คือเราจะมีได้อย่างดี ชนิดที่ไม่เสียหาย ชนิดที่มันบริสุทธิ์ สะอาด พอที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะว่าเราไม่ได้ไปโกงของใครมา ไม่ได้โกงประชาชน ไม่ได้โกงรัฐบาล ไม่ได้โกงไอ้ธรรมะด้วย ทางวัตถุ เงินทอง ข้าวของบ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย ปัจจัยสี่ มันก็หมดปัญหา นี้ทางร่างกายก็หมดปัญหา ผู้ประพฤติธรรมะย่อมมีสุขภาพอนามัยดี ผู้ไม่ประพฤติธรรมะจะมีจิตใจที่ทนทุกข์ทรมาน มีความชั่ว มีความคดโกงอยู่ในตัว ไอ้บาปนั้นน่ะ มันจะเป็นเหมือนกับมะเร็ง โรคมะเร็งกัดกินหัวใจคนนั้นอยู่เสมอ หัวใจที่มีมะเร็งกัดกินอยู่เสมอ ร่างกายมันก็เสื่อมสุขภาพ มันก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพของร่างกาย คือ มี ไม่มีร่างกายชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน มันก็จะเป็นโรคภัยต่างๆ โดยไม่รู้สึกตัว โรคภัยต่างๆ มันเกิดมาจากการที่จิตใจไม่ปรกติ
ถ้ามีธรรมะ จิตใจปรกติ โรคภัยก็ตั้งขึ้นยาก ถ้าไม่มีธรรมะ ก็หมายความว่าผิดปรกติ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา เหล่านี้ มันก็เข้ามากลุ้มรุมอยู่ในจิตใจ จิตใจเสื่อมสุขภาพแล้ว ไม่ต้องสงสัย ร่างกายก็จะเสื่อมสุขภาพด้วย และมีโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างหลายชนิดเข้ามากลุ้มรุม เพราะฉะนั้นขอให้เรามีจิตใจที่ดี มีสุขภาพทางใจดี เพราะมีธรรมะ จิตใจดี ร่างกายก็ดี สุขภาพทางกายก็ดี นี่ ท่านจึงกล่าวว่า ผู้ไม่มีธรรมะ ย่อมไปสู่ความเดือดร้อน ซึ่งเรียกว่านรก ผู้มีธรรมะย่อมไปสู่สุคติ คือความสงบเย็น มีชีวิตที่สงบเย็น ถ้าไม่มีธรรมะ ก็ได้ไปสู่ความร้อน ถ้ามีธรรมะ ก็ได้ไปสู่ความเย็น ธรรมะนี่ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับมนุษย์เรา จะอยู่อย่างเย็นหรือจะอยู่อย่างร้อน พูดโดยอุปมา ก็ว่าจะอยู่ในนรก หรือจะอยู่ในสวรรค์ ถ้ายังต้องอยู่น่ะ จะอยู่ในนรกหรือจะอยู่ในสวรรค์ อยากอยู่ในนรกก็ ก็ ก็อย่ามีธรรมะสิ ประพฤติให้ผิดธรรมะ ให้คดโกงมากขึ้น จะได้อยู่ในนรก ตั้งแต่ลงมือกระทำแหละ พอทำชั่ว พอทำเสร็จมันก็ชั่วเสร็จก็ เพราะมัน มันชั่วอยู่ที่การกระทำ แล้วโรคชั่วนั้นก็กัดกินจิตใจ ทรมานจิตใจ เป็นนรก ถ้าเราทำดี มันก็ดีอยู่ที่การกระทำ พอทำเสร็จ มันก็ดีเสร็จ ไอ้ความดีนั้นน่ะ มันก็ส่งเสริมจิตใจ ให้มีสภาพเหมือนกับอยู่ในสวรรค์ คือความสุขไปตามแบบในโลก โลกนี้ ก็ยังอยู่ในโลก ยังไม่นิพพาน มีความสุข มีความสุขเย็นอย่างธรรมดา แม้ว่าจะไม่เย็นสูงสุดอย่างนิพพาน มันก็ยังเย็น
ดังนั้นจึงถือว่า ธรรมะ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เรา พูดให้ชัดลงไปก็ธรรมะนั้น คือการประพฤติ กระทำอย่างถูกต้อง ใช้คำว่า ถูกต้อง ก็พอ คำเดียวก็พอ ความประพฤติกระทำที่ถูกต้อง ที่ไม่ผิดน่ะ ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเรา หรือถูกต้องแก่การเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ คือกฎของธรรมชาติ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และก็ได้รับผลเต็มตามหน้าที่ ฉะนั้นเรามีความถูกต้องต่อหน้าที่ ตามกฎของธรรมชาติที่ว่ามนุษย์จะมีหน้าที่อย่างไร ประพฤติให้ถูกต้องเถิด ก็จะเป็นธรรมะขึ้นมา เป็นธรรมะจริง โดยมากรู้กันแต่ธรรมะชื่อ ชื่อของธรรมะที่ยืดยาว จดไว้ในสมุด ครูก็เรียนมาอย่างนั้น ครูก็มาสอนเด็กอย่างนั้น มันก็ไม่มีธรรมะจริง มันมีแต่ธรรมะชื่อที่จดในสมุดหรือท่องจำ ก็ต้องมีธรรมะจริง คือปฏิบัติลงไปจริงๆ และก็มีผลอย่างธรรมะจริงๆ นี่เรียกว่า ธรรมะปฏิบัติ ตั้งต้นแต่ว่า ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่ยอมรับกันในหมู่มนุษย์ เป็นความถูกต้อง เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความยุติธรรม มีหน้าที่อย่างไรก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างนั้น จะเป็นครูบาอาจารย์ เป็นแม่บ้าน เป็นนักการ เป็นภารโรง เป็นอะไรก็สุดแท้ มีหน้าที่อย่างไร ก็ทำหน้าที่ของตนเต็มที่ นั่นแหละคือปฏิบัติธรรมะ
ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคำนี้แปลว่า หน้าที่ หรือคือ หน้าที่ ในเมืองไทยไม่ค่อยได้สอนกัน ดูเหมือนในเมืองไทยนี่ สอนกันแต่ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้นเอง ในประเทศอินเดียที่เป็นเจ้าของภาษาบาลีนี้ ธรรมะ ธรรมะ คำนี้ เขาแปลว่าหน้าที่ หน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องทำเพื่อความเป็นมนุษย์ ไม่ทำหน้าที่ของมนุษย์ก็ไม่เป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องทำหน้าที่ของมนุษย์เพื่อความเป็นมนุษย์ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ จึงไม่ใช่แปลว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็คือสั่งสอนเรื่องหน้าที่นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ครบถ้วน ครบถ้วนที่สุดเลย บุตรที่ดีมีหน้าที่อย่างไร ศิษย์ที่ดีมีหน้าที่อย่างไร เพื่อนที่ดีมีหน้าที่อย่างไร พลเมืองที่ดีมีหน้าที่อย่างไร สาวกที่ดีมีหน้าที่อย่างไร ท่านสอนไว้ครบถ้วน ปฏิบัติตามแล้วมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป จนถึงกับบรรลุมรรคผลนิพพาน ธรรมะคือหน้าที่ ฉะนั้นทำหน้าที่ของตนนั่นแหละคือปฏิบัติธรรมะ ชาวนาทำนาดีที่สุดไม่ขบถในหน้าที่ ชาวสวนทำสวนดีที่สุดไม่ขบถในหน้าที่ พ่อค้าทำหน้าที่พ่อค้าดีที่สุด ข้าราชการทำหน้าที่ดีที่สุด พวกเราก็นับเนื่องในข้าราชการ เป็นครูก็ทำหน้าที่ครูดีที่สุด ไม่คดโกง เป็นภารโรงก็ทำหน้าที่ดีที่สุดไม่คดโกง พอคดโกงก็ไม่มีธรรมะ และขบถต่อธรรมะด้วย แล้วธรรมะนั่นแหละจะเป็นผู้ตัดสิน ให้คนชั่วต้องเป็นทุกข์ทรมานใจ มีมะเร็งทางใจ มะเร็งทางวิญญาณ ซึ่งจะรักษาอย่างมะเร็งธรรมดานี้ไม่ได้อะ มันต้องรักษาด้วยยามะเร็งอย่างธรรมะ อย่างวิญญาณน่ะ คือการประพฤติธรรมะนั่นเอง ถ้าเราคดโกงต่อหน้าที่ มันก็เกิดโรคมะเร็งทางวิญญาณกัดกินหัวใจ หาความสุขไม่ได้ แล้วก็จะหาความเจริญไม่ได้ พอคดโกงทีหนึ่ง มันก็เป็นนิสัยที่จะคดโกงยิ่งขึ้น คดโกงสองหนสามหน มันก็จะมีนิสัยคดโกงยิ่งขึ้น ในที่สุดมันก็คดโกงอย่างไม่น่าคดโกง มันทำลายตัวเอง วินาศหมดเพราะเหตุนี้
ฉะนั้นขอให้ซื่อตรงต่อหน้าที่ ธรรมะซึ่งเป็นหน้าที่ของตน เป็นชาวนา เป็นชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นพระเจ้า พระสงฆ์ เป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่มีหน้าที่ ถ้าซื่อตรงต่อหน้าที่ ก็ทำหน้าที่เต็มเปี่ยม มองดูแล้วก็เห็นว่าได้ทำถูกต้องเป็นที่พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละคือความสุขสูงสุดน่ะ ถ้าใครทำดี จนยกมือไหว้ตัวเองได้ คนนั้นจะมีความสุขสูงสุด น้อยคน ดู คิดดูเถอะว่าใครบ้างมันยกมือไหว้ตัวเองได้ พอมันนึกขึ้นมาแล้ว มันพบแต่ความคดโกง ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ของตน มันก็รู้ว่าตนมันโกง ตนมันโกง แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองไม่ลง มันก็เลยไม่มี ไม่มีความสุขความพอใจอันบริสุทธิ์ มันต้องไปกินเหล้าเมายา ทำอบายมุข มีความสุขอย่างภูตผีปีศาจ เงินเดือนไม่พอใช้ มันก็ยิ่งโกงหนักขึ้นแหละ เมื่อเงินเดือนไม่พอใช้มันก็ต้องโกงหนักขึ้น ข้อนี้ไม่ต้องสงสัย เพราะ เพราะ เพราะต้องไปหาความสุขอย่างหลอกลวง ของภูตผีปีศาจนี่ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นอนเสียดีกว่า ทำงานไม่คุ้มค่าของเงินเดือน อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นอบายมุข คือปากทางแห่งอบาย ก็จมอยู่ในอบาย หาความสุขไม่ได้ ยกมือไหว้ตัวเองไมได้ เพราะมันจมอยู่ในอบาย นี้ขอให้เราซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าน่ะ ทำชนิดที่ไม่บกพร่อง ทำประพฤติธรรมประพฤติหน้าที่ชนิดที่ไม่บกพร่อง ยกมือไหว้ตัวเองได้ นึกขึ้นมาแล้วพอใจตัวเองน่ะ เขาเรียกว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ แล้วก็เป็นสุขอยู่ที่นั่น เป็นครูก็เป็นสุขอยู่ที่เมื่อจับชอล์กหรืออะไรอยู่ที่หน้ากระดานดำ เป็นต้น เป็นภารโรงก็มีความสุขอยู่ที่มือถือไม้กวาดอยู่อย่างนี้ เป็นต้น นั่นแหละเป็นความสุขที่แท้จริง ที่ทำให้ยกมือไหว้ตัวเองได้ คือไม่ทุจริตคดโกงต่อหน้าที่ที่มนุษย์เขามีกันอยู่ในโลก
มนุษย์ในโลกมีหลายแบบ ต่างก็มีหน้าที่ กำหนดเป็นหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ กำหนดประโยชน์ที่ให้ได้รับพอเหมาะสมแก่หน้าที่ ก็ต้องทำหน้าที่ให้เหมาะสมแก่การที่จะได้รับประโยชน์ หรือประโยชน์ที่จะได้รับ พอมันถูกต้องอย่างนี้แล้วมันก็พอใจ มันก็เป็นสุขอยู่ที่ตรงนั้น ไม่ต้องรีบเลิก เลิก เลิกงาน ไปหาเอาความสุขที่สถานเริงรมย์ ไปทำอบายมุข อย่างนั้นน่ะมันไม่เป็นพุทธบริษัทนะ นอกจากจะไม่เป็นพุทธบริษัทแล้ว มันจะไม่เป็นมนุษย์ด้วยนะ มนุษย์แปลว่าจิตใจมันสูงนะ ไม่ใช่เป็นคนเฉยๆ ไอ้คนนี้มันเกิดมาก็เป็นคนน่ะ แต่จะเป็นมนุษย์กันสักทีนี้ ต้องมีจิตใจสูง ต้องอยู่เหนือปัญหา เหนือความชั่ว เหนือความทุกข์ เหนือไอ้สิ่งต่ำ ๆ อะ ทุกอย่างแหละ คือมันอยู่สูงแล้วมันก็อยู่เหนือสิ่งต่ำๆ ทุกอย่าง เราเลิกสิ่งต่ำๆ เสีย เลิกให้มากยิ่งขึ้นจนไม่มีเหลือ ให้ทันกับวันปีใหม่ได้ก็ยิ่งดี เราจะต้องดีกว่าปีเก่า คือทำหน้าที่ของตนบริสุทธิ์ผุดผ่องถูกต้องครบถ้วน ยิ่งกว่าปีเก่า
อาตมาชอบใช้คำเปรียบเทียบอุปมาว่า อย่าให้น่าละอายแก่หัวเผือกหัวมัน เป็นคนทั้งที อย่าทำอะไรให้เป็นที่น่าละอายแก่หัวเผือกหัวมัน ซึ่งต่ำกว่าสัตว์ด้วยซ้ำไป หัวเผือกหัวมัน ข้อนี้คงจะเข้าใจกันได้ทุกคนน่ะว่าหัวเผือกหัวมันที่อยู่ใต้ดินน่ะ พอมันครบปีอะ มันก็เตรียมการงอกใหม่ มัน ต้นมันตาย มันเก็บหัวที่เป็นพืชสะสมไว้ คือความดีที่สะสมไว้ พอขึ้นฤดูใหม่ ปีใหม่ อากาศดีกว่า ปีใหม่มันออกมาต้นใหญ่กว่า ปีใหม่ หัวใหญ่กว่า ปีใหม่ คุณภาพในหัวก็มากกว่าปีใหม่ ฉะนั้นหัวมันนั้นน่ะ ปีใหม่ มัน มันมากกว่าปีเก่า ทั้งจำนวน ปริมาณ ทั้งปริมาณ ทั้งจำนวนด้วย คือทั้ง ทั้งจำนวนและทั้งขนาดด้วย กระทั่งคุณภาพด้วย มันยิ่งดี ยิ่งดี ยิ่งใหญ่ ยิ่งดี คุณภาพยิ่งดี นี้เรียกว่าหัวมันหัวเผือกนี่ พอปีใหม่นี่ มันเพิ่มความมาก ทั้งโดยปริมาณ โดยจำนวน โดยคุณภาพ นี้ถ้าว่าคนเราไม่เพิ่มอย่างนั้น ถึงปีใหม่แล้วไม่ได้เพิ่มจำนวน ปริมาณแห่งความดี มันก็เป็นที่น่าละอายแก่หัวเผือกหัวมันที่อยู่ใต้ดิน
นี่ ขอให้เตรียมตัวเถิด สำหรับว่าปีใหม่นี้ก็จะมีปริมาณความดีมากกว่าเดิม เช่นเดียวกับหัวมันน่ะ พอรุ่งปีหัวมันมากกว่าเดิม ไอ้มันอ้อนน่ะ อาตมาเคยปลูกด้วยพืชพันธุ์ หัวเดียวปลูกเป็นพืช แล้วพอถึงครบปีครบรอบ แล้วมันได้ตั้งกระเชอน่ะ หลายสิบหัว โน่น ปริมาณเพิ่มอย่างนี้ แล้วคุณภาพก็ไม่ต้องสงสัย หัวยิ่งใหญ่ มันก็ยิ่งมีรสดี นี่เมื่อเป็นเด็กๆ เคยปลูก เห็นอยู่กับตา รู้อยู่กับใจว่าไอ้หัวมันนี้มันประหลาด ครบปีแล้วมันก็ได้มากโดยปริมาณ โดยจำนวน โดยขนาด โดยคุณภาพ ไอ้เรามนุษย์ก็เหมือนกัน พอครบปีแล้ว ขอให้มันเพิ่มทั้งปริมาณ ทั้งขนาด ทั้งคุณภาพ ก็ไม่ละอายแก่หัวเผือกหัวมัน นี่ มันเป็นไอ้เครื่องเตือนใจได้ดีว่าปีใหม่นั้นน่ะจะต้องมีธรรมะมากกว่าปีเก่า โดยปริมาณก็มีธรรมะหลายอย่างเพิ่มขึ้น แล้วก็ธรรมะแต่ละอย่างนั้นก็สูงสุดหรือเข้มข้นยิ่งขึ้น นี่เรียกว่า ปีใหม่ดีกว่าปีเก่า มีความเป็นคน เป็นมนุษย์ มันมากกว่าปีเก่า ให้ปีใหม่น่ะ มันมีความเป็นมนุษย์มากกว่าปีเก่า นี่ คือความมุ่งหมาย เป็นเรื่องที่เขาถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาล ถือหลักอย่างนี้กันมาแต่โบราณกาล
ทีนี้ ก็จะพูดกันต่อไปว่าทำอย่างไรอะ ที่เราจะบังคับตัวเราให้ทำอะไรได้ดีกว่าปีเก่า มันก็ธรรมะอีกนั่นแหละ ทีนี้ก็ธรรมะในแง่ของการปฏิบัติ คือว่าเราจะต้องรู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตหรือตัวตน ตัวเองนี่ให้มากขึ้นว่ามันเป็นอย่างไร มันอยู่อย่างไร มัน มันทำชั่วเพราะเหตุใด มันทำดีเพราะเหตุใด รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากิเลสกันจริงๆ ความคิดที่ผิดน่ะ ที่ ที่ความคิดที่ผิด ที่เห็นแก่ตัว ไม่คำนึงว่าชั่ว ว่าดี ไม่เห็นแก่ประโยชน์อะไร อะไร นอกจากประโยชน์ของกู อยากได้ก็เป็นความโลภ เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการก็เป็นความโกรธ แล้วก็สงสัยวิตกกังวลอยู่ในเรื่องที่ยังไม่ได้ ก็เป็นไอ้ความหลง เป็นโลภะ โทสะ โมหะ เดี๋ยวนี้รู้จักกันแต่ชื่อในหนังสือ ไม่รู้จักกิเลสเหล่านี้ที่มีอยู่ในตนจริงๆ ขอให้รู้จักไอ้โลภะ โทสะ โมหะ ที่เรามีอยู่ แล้วก็จะเกลียดมันมากขึ้น แล้วก็ไม่อยากจะมี ไม่อยากจะมี เพราะว่าขืนมีแล้วมันไหว้ตัวเองไม่ได้ มันไหว้ตัวเองไม่ลง ฉะนั้นต้องพยายามขจัดออกไปเสียให้มากเท่าที่จะมากได้ มากยิ่งๆ ขึ้นทุกปี ปีใหม่จะต้องมีความโลภ ความโกรธ ความหลงที่เบาบางกว่าปีเก่านั่นน่ะ เรียกว่ามันก้าวหน้า จะละมันได้ จะลดมันได้ ต้องรู้ว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร มันมีเหตุ มีปัจจัยที่จะเกิด และก็มีมากมายด้วย
จะสรุปเอาแต่สั้นๆ คำเดียวก็เพราะว่า เราไม่รู้จักไอ้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เราไม่รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือสิ่งที่เป็นเหยื่อล่อของจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือความเอร็ดอร่อย กินเหล้าอร่อย สูบบุหรี่อร่อย กินอาหารอร่อย กามารมณ์อร่อย อะไรอร่อยๆ คนโง่เหล่านั้นไม่รู้ว่าไอ้ความอร่อยนั้นมันเป็นสักว่าธรรมชาติ ธรรมดา เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เมื่อมารู้สึกแก่จิตใจของคนโลภ คน คนโง่ แล้วมันก็อร่อยแหละ ถ้าคนมีปัญญา มีสติปัญญา รู้ธรรมะมาก เขาก็โอ้, มันก็เช่นนั้นเอง อร่อยก็เช่นนั้นเอง ไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง มันเช่นนั้นเองตามเหตุตามปัจจัยของมัน เรียกว่าเป็นความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเช่นนั้น เช่นนั้น เช่นนั้น อย่างนั้นเราเรียกว่า อร่อย ไอ้อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ไม่อร่อย แล้วก็โง่ หลงรักที่อร่อย แล้วก็หลงเกลียด เกลียด หลงโกรธที่ไม่อร่อย เราจึงมียินดียินร้ายขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวรักเดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวรักเดี๋ยวโกรธ เพราะว่าเราเป็นทาสของความเอร็ดอร่อย ไม่รู้ว่ามันเช่นนั้นเอง เอาแต่อร่อยไม่ต้องคิดว่าควรหรือไม่ควร ไม่ต้องคิดว่าดีหรือชั่ว เช่น สูบบุหรี่อร่อยนี่ ไปคิดดูสักหน่อย ก็เห็นว่ามันเป็นความโง่ ปอดมันอยู่ดีๆ เอาควัน เอาควันไฟเข้าไปรม ให้มันเสียเร็ว มันจะได้ตายเร็ว มันจะได้เป็นโรคมะเร็งเร็วนี่ แต่สูบบุหรี่อร่อย เราก็รู้แต่ว่ามันอร่อย แต่ไม่รู้ว่ามันให้อะไรเกิดขึ้น ทีนี้ของอร่อยอย่างอื่นก็เหมือนกันอีกแหละ ที่เรียกกันว่า อร่อย นี้ดูให้ดีเถอะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เราโง่ เป็นเรื่องที่ทำให้เราหลง เอากับมันจนเงินเดือนไม่พอใช้ จนต้องโกง จนต้องคอรัปชั่น แต่มีความอร่อยพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ อร่อยของความขี้เกียจ คนจะ ทุกคนจะเคยขี้เกียจมาแล้ว ไม่ต้องทำงานในหน้าที่ มันก็อร่อยเหมือนกัน เช่น นอนขี้เกียจเสีย มันก็อร่อยเหมือนกัน ถ้าอร่อยอย่างนี้ยิ่งโทษมากไปกว่าอร่อยอย่างโน้นอีก
ช่วยดูให้ดีเถอะว่า อร่อยนั้นน่ะ มันทำให้เราโง่ไปอย่างหนึ่ง ไม่อร่อย มันก็ทำให้เราโง่ไปอีกอย่างหนึ่ง อย่างแรกทำให้เราหลงรัก หลงชอบมัน อย่างหลังทำให้เราหลงเกลียด หลงโกรธมัน มันไม่ไหวทั้งสองอย่างแหละ ทั้งรักและทั้งเกลียดแหละ อยู่เฉยๆ อยู่กลางๆ ดีกว่า ที่จะไปรักหรือไปเกลียด ส่วนโมหะ ความหลงนั้น มันก็หลงไม่รู้จริง มันก็สงสัยอยู่นั่นน่ะ มันก็สงสัย อาลัยอาวรณ์ วิตกกังวลอยู่นั่นน่ะ มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักว่า เอ๊ะ, อร่อยมันก็เช่นนี้เองตามธรรมชาติ ไม่อร่อยมันก็เช่นนี้เองตามธรรมชาติ อย่าไปยินดียินร้ายกับมัน ถ้าอย่างนี้ใจมันเป็นอิสระ และมันก็จะไม่ไปหลง หลงของอร่อยจนเงินเดือนไม่พอใช้ มันจะไม่หลงในของไม่อร่อย จนไปฆ่าเขาตาย ความเกลียดน่ะมันเป็นอย่างนั้น เราจะต้องรู้ว่าถ้าเราหลงในเรื่องอร่อย ไม่อร่อยแล้ว มันต้องเกิดกิเลสแหละ นี้เราก็ควบคุมความรู้สึก ถ้ามันมาอร่อย เอ้า, ก็อร่อยเท่านั้นเองโว้ย, อร่อย สักว่าความรู้สึก สักว่าความรู้สึก ไม่ใช่ตัวตนอันแท้จริงอะไร ความอร่อยสักว่าความรู้สึก ก็ไม่หลงกับมัน ถ้าไม่อร่อย เอ้า, ไม่อร่อย คำนี้ไม่อร่อย ก็เอ้า, มันก็สักว่าธรรมชาติเช่นนั้นเอง อย่าไปโกรธมันให้เสียเวลา นี่มันไม่ร้อนเพราะความรัก มันไม่ร้อนเพราะความโกรธหรือความเกลียด มันก็เย็นสบาย ไม่ร้อนเพราะความโง่ ไม่ร้อนเพราะความสงสัยวิตกกังวล มันก็เย็นสบาย
ขอให้พวกเราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทนี้ รู้จักธรรมชาติอย่างนี้ว่ามันมีความเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้ตามที่เป็นจริง เราก็จะต้องโง่ ขนาดหลง หลงรักที่อร่อย หลงเกลียดหลงโกรธที่ไม่อร่อย แล้วก็หลงสงสัยวิตกกังวลที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรแน่ ยังไม่รู้ว่าอะไรแน่ นี่เขาเรียกว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันทรมานจิตใจของคน มันเผาให้ร้อน ความโลภก็เผา ความโกรธก็เผา ความหลงก็เผา มันล้วนแต่เผาให้ร้อน แล้วก็ต้องร้อน ร้อนหนักเข้า หนักเข้า ก็เป็นคนวิปริตน่ะ เป็นคนผิดปรกติ คือมีจิตน้อมเอียงไปในทางฝ่ายต่ำหรือฝ่ายชั่ว แต่ถ้าเรารู้เท่าทันมันยิ่งขึ้น เราก็จะน้อมไปในทางสูง จะไปในทางของมรรคผลนิพพานน่ะ ไอ้ชีวิตนั้นมันจะเดินไปในทางสูง ทางของมรรคผลนิพพาน ไม่ต้องร้อน ไม่ต้องเป็นทุกข์
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี่ ท่านสอนให้มีสติ มีปัญญา เมื่อกระทบกับอารมณ์ นี่ถ้าท่านทั้งหลายสนใจที่จะรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าจริงๆ อะ ขอให้สนใจประโยคที่ท่านตรัสไว้ว่าให้รู้สึกตัว คือมีสติปัญญาเมื่อมีการกระทบอารมณ์ ถ้าเราไม่รู้สึกตัวตอนนั้นน่ะ เราจะต้องโง่จะต้องหลงอย่างที่ว่าน่ะ หลงรักที่น่ารัก หลงโกรธที่น่าโกรธ แล้วก็หลงพะวงหลงใหลที่มันยังเป็นปัญหาอยู่ อย่าดูถูกคำพูดในวัดที่เขาพูดว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ พูดเพียงเท่านี้คือหมดทั้งโลก หมดทั้งโลกอะ โลกนี้มันไม่มีอะไรหรอก นอกจากรูป เสียง กลิ่น โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่เราอาจจะรู้สึกต่อมัน รู้จักมันได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะเรามีตาเราจึงเห็นรูป เพราะเรามีหูเราจึงได้ฟังเสียง เพราะเรามีจมูกเราจึงได้กลิ่น เพราะเรามีลิ้นเราจึงรู้สัมผัสรส เพราะเรามีผิวหนังจึงรู้สึกสัมผัสทางผิวหนัง เพราะมีใจจึงรู้สึกสัมผัสทางใจ มีหกอย่างเท่านั้น ทั้งโลก โลกสวรรค์ก็ดี โลกมนุษย์ก็ดี โลกไหนก็ดี อย่าพูดอย่างนั้นเลย มันมีไอ้สิ่งหกสิ่งนี้ทั้งนั้นน่ะ เรียกเป็นวิทยาศาสตร์หน่อย ก็พูดว่าสิ่งที่จะรู้สึกได้ทางตา สิ่งที่จะรู้สึกได้ทางหู สิ่งที่จะรู้สึกได้ทางจมูก สิ่งที่จะรู้สึกได้ทางลิ้น รู้สึกได้ทางกายคือทางผิวหนัง รู้สึกได้ทางจิตใจ ความคิดนึก มีเท่านั้นน่ะ มันมีหกอย่างเท่านั้นน่ะในโลก
ถ้าเรารู้จักหกอย่างนี้ คือรู้จักทั้งโลกอะ ทีนี้หกอย่างนี้มันจะเข้ามาหาคู่ คู่ คู่สัมผัส คู่ คู่ของมันน่ะ รูปจะเข้ามาหาตา เสียงจะเข้ามาหาหู กลิ่นจะเข้ามาหาจมูก ลิ้นจะเข้ามาหารส ผิวหนัง ไอ้โผฏฐัพพะ สัมผัสผิวหนังก็จะเข้ามาหาผิวหนัง ไอ้ความคิดนึกก็จะเข้ามาสู่จิตใจ นี่เรียกว่า อารมณ์เข้ามาสัมผัสหกทาง ถ้าเราไม่มีสติปัญญาพอ เราจะมีแต่หลงรักและหลงโกรธ เมื่อพอใจก็หลงรัก ไม่พอใจก็หลงโกรธ เมื่อไม่เข้าใจก็หลงสงสัยพะวง สงสัยอยู่นั่นน่ะ อย่าให้เพียงแต่พูดให้ฟัง อย่าเพียงแต่ให้จดอยู่ในสมุด ขอให้รู้สึกแก่จิตใจของตนเอง เพราะว่าทุกคนก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตั้งแต่เกิดมา มันก็มีการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดมาก็ลืมตาเห็นโลก หูก็ฟังเสียงขับกล่อม จมูกก็รู้กลิ่น รู้กลิ่นที่มาให้ดม ให้ ลิ้นก็กินอาหารก็รู้รส อย่างน้อยก็ตั้งต้นกินนมแม่ ได้รับความขับกล่อม โอบอุ้มสัมผัสนิ่มนวลทางผิวหนังในอ้อมกอด อ้อมอกของมารดาของพี่เลี้ยง เป็นต้น แล้วก็เริ่มรู้สึกคิดนึกเกิดขึ้น เมื่อมันได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ เมื่อทารกเขาได้เห็นรูปก็คิด คิดขึ้นมาอย่าง เมื่อทารกเขาได้ฟังเสียงก็คิดขึ้นอย่าง เขาได้ดมกลิ่นก็คิดขึ้นอย่าง ลิ้มรสอร่อยไม่อร่อยก็คิดขึ้นอย่าง สัมผัสนิ่มนวลก็คิดขึ้นอย่าง ฉะนั้นเขาจึงมีความคิดต่างๆ ต่างๆ ไปตามสิ่งเหล่านี้ที่มากระทบ
ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างน่าฟังและน่าขบขันอย่างที่สุดว่า ไอ้ทารกเหล่านี้มันไม่มีความรู้ธรรมะมาแต่ในท้อง ท่านเรียกว่าความ ไอ้ทารกเหล่านี้มันไม่มีรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ มาแต่ในท้องอะ ก็ถูกแล้ว มันจะรู้ได้อะไรล่ะ มันก็เพียงแต่รู้สึกไปตามธรรมชาติ ถ้าอร่อยก็ว่าพอใจ ไม่อร่อยก็ไม่พอใจ อร่อยทางตา อร่อยทางหู อร่อยทางจมูก อร่อยทางลิ้น อร่อยทางผิวหนังเนี่ย มันก็เกิดความรู้สึกไปตามนั้น แล้วก็มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น แล้วก่อนน่า น่าอะไรดีอะ น่าเศร้า หรือน่าสงสาร น่าสังเวช ก็ที่ว่า คนเลี้ยงทารกน่ะ มันมีแต่หาเอา เอาของที่ ที่สวย ที่ไพเราะ ที่หอม ที่อร่อย ที่นิ่มนวลอะไรมา มาบำรุงบำเรอทารก จนทารกติดแน่น ยึดแน่นในสิ่งเหล่านั้น พอไม่ได้อย่างนั้น มันก็โกรธ ก็แปลว่าเราได้ทำให้ทารกโง่ มาตั้งแต่วันที่มันเกิดมา เพราะว่าคนเลี้ยงอะ มันหาแต่ที่อร่อยที่สุด ประเสริฐที่สุด ไปเลี้ยงทารก ทารกมันก็เริ่มโง่ โง่ โง่ โง่ จนบัดนี้ จนโต ๆ อย่างนี้แล้ว มันก็ยังโง่ คือหลงใหลในความอร่อย แล้วเกลียดชังความไม่อร่อย แล้วก็เกิดเรื่องเพราะสองเรื่องนี้ ถึงกับฆ่ากันตายน่ะ เดี๋ยวนี้ เรื่องอะไรนิดหน่อยมันฆ่ากันตายแล้วเดี๋ยวนี้ ผิดใจกันนิดหน่อยมันก็ฆ่ากันตายแล้ว ขอให้คิดดูให้ดี เขาคอยแต่จะบำรุงบำเรอให้เด็ก ๆ ให้ทารก ให้ลูกน้อย ๆ นั้นน่ะ ยินดีปรีดาปราโมทย์ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ไอ้เด็ก ๆ เหล่านี้มันก็ไม่รู้ความจริงว่า โอ๋, มันเช่นนี้เอง มัน มันไม่รู้ ไม่มีทางจะรู้ว่าเช่นนี้เอง รู้แต่จะ เอาให้อร่อย เอาให้อร่อย ไม่มีพ่อแม่คนไหนพยายามทำให้เด็ก ๆ รู้เรื่องอร่อย และไม่อร่อย และว่ามันเช่นนั้นเอง เขาพาเด็ก ๆ ไปที่ร้านขายของกิน ขายของเล่น ให้ลูกมันเลือก เอาที่สวยที่สุด น่าดูที่สุด น่าเล่นที่สุด อร่อยที่สุด เข้าใจว่าท่านทั้งหลายทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนแต่มีลูก แล้วก็ทำแก่ลูกอย่างนี้ทั้งนั้นน่ะ ทำให้ลูกมันโง่ยิ่งขึ้น ใครเคยพาลูกไปที่ร้านขายของเล่นน่ะ ของเด็กเล่นน่ะ แล้วก็บอกลูกนั้นว่า โอ้, ทั้งหมดนี้ดูให้ดีเถอะ มันมีไว้สำหรับทำให้เราโง่ มันมีไว้ขายเรา สำหรับทำให้เราโง่ ให้เราต้องเสียสตางค์ และเอามาสำหรับโง่มากขึ้น ไอ้ของเล่นเหล่านั้น ไม่มีอะ มีแต่ว่า ไอ้ ชอบตัวไหน ชอบอันไหน ชอบชิ้นไหน แพงเท่าไร พ่อจะซื้อให้ นี่ มันมีแต่อย่างนี้ ไอ้ลูกมันก็โง่หนักขึ้นเพราะพ่อมันโง่ก่อน มันไม่รู้ว่าไอ้ยินดียินร้าย อร่อยไม่อร่อยนี้มันแป็นธรรมชาติ
ขอให้สนใจเรื่องนี้สิ ว่ามนุษย์เรานี่ พอโตขึ้นมา มันก็โง่มากขึ้น เพราะไม่รู้ธรรมะ ที่บอกให้รู้ว่าอร่อยก็ธรรมชาติเช่นนั้นเอง ไม่อร่อยก็ธรรมชาติเช่นนั้นเอง หรือยังไม่แน่มันก็ยังธรรมชาติเช่นนั้นเอง เราจะไม่หลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัว วิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง จนฆ่ากันตาย เป็นต้น นี่ ธรรมะ ที่ว่าจะช่วยได้น่ะ คือให้รู้ตามที่เป็นจริงในสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบเรา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ว่ามันอย่างนั้นเองอะ ที่อร่อยมันก็อย่างนั้นเอง ที่ไม่อร่อยมันก็อย่างนั้นเอง ถ้าเราไปโง่ไม่ว่าฝ่ายไหนน่ะ มันจะเป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นเราไม่ต้องโง่ พออร่อยก็รู้ว่าอร่อย จะลองชิมดูก็ได้เพื่อให้รู้ว่าอร่อยเป็นอย่างไร แต่อย่าไปหลงกับมัน ไอ้ที่ไม่อร่อยนั่น ก็ชิมดูก็ได้ ให้รู้ โอ, มันอย่างนี้เอง ถ้ามันมีประโยชน์บ้างก็กินได้ แล้วมัน มันไม่แพงด้วย ที่ไม่อร่อยน่ะ มันไม่สู้แพง มันเป็นประโยชน์บำรุงร่างกายได้ ก็เอาสิ ทำไมไม่สอนเด็ก ๆ อย่างนี้ ไปสอนแต่ให้มันหลงใหลในสวยงาม เอร็ดอร่อย เพราะพ่อมันโง่มาก่อนแล้ว เพราะพ่อมันยังโง่อยู่ตลอดเวลา มันจึงไม่สอนลูกของมันให้ฉลาดได้ นี่ธรรมะสูงสุด มีอยู่ที่ตรงนี้ คือว่า อย่าไปโง่เมื่อมีผัสสะ
ประโยคนี้สั้นนิดเดียว ขอร้องให้ช่วยจำนะ อย่าโง่เมื่อมีผัสสะน่ะ อย่าโง่เมื่อมีผัสสะ หกพยางค์เท่านั้นน่ะ ผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ พอมามีผัสสะ เข้าที่อันไหนแล้วก็อย่าโง่เมื่อมีผัสสะ คืออย่าไปหลงรักหรือไปหลงเกลียด มันจะไม่เกิดโลภโกรธหลง มันจะมีแต่สติปัญญา รู้ว่ามันอย่างนั้นเอง เมื่ออย่างนั้นเอง ก็ปฏิบัติให้ถูกต้องตามอย่างนั้นเอง ต้องเอา เลือกอย่าง เลือกเอาอย่างนั้นเอง ที่ไม่ ไม่เกิดความทุกข์น่ะ เลือกเอาอย่างที่มันไม่เกิดความทุกข์อะ เพราะอะไรๆ มันก็อย่างนั้นเองทั้งนั้นแหละ เราทำผิด อย่างนั้นเอง มันก็เกิดทุกข์ พอทำถูกต่อความเป็นอย่างนั้นเอง มันก็ไม่เกิดความทุกข์ ธรรมะมีอยู่ที่ตรงนี้ พอเราโง่เมื่อผัสสะ แล้วเราต้องเกิดความโลภ โกรธ หลง เราไม่โง่เมื่อมีผัสสะเราก็ไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็รอดตัว เกิดความโง่ เกิดความโลภ ความโกรธ อ่า, ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็ตกนรกตรงนั้นแหละ มันตกนรกทันทีแหละที่มีผัสสะ ที่อายตนะ น่ะ
ข้อนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เอง ท่านว่า นรกอยู่ที่อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์อยู่ที่อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อนโน้นเขาพูดกันว่า นรกอยู่ใต้ดิน ลึกใต้บาดาล สวรรค์อยู่บนฟ้า สูงขึ้นไปโน่น นั่นเขาพูดกันมาก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ไปมัวทะเลาะกับใครอะ ก็ตามใจสิว่าอย่างนั้นน่ะ แต่ฉันเห็นว่า นรกอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์ก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าทำผิดเกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีนรกอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าทำถูกเมื่อมีสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็มีสวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นเราสร้างเอาได้ ด้วยการทำให้มันถูก เมื่อมีสัมผัสที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เขาเรียกว่า ไม่หลงสัมผัส ไม่หลงต่อสัมผัส แล้วก็ไม่เป็นทาส ไม่เป็นทาส ไม่เป็นบ่าว ไม่เป็นขี้ข้า คือไม่เป็นข้าทาสน่ะ ของสัมผัส ของอายตนะ ไม่เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
นี่คือธรรมะ ไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะ ไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ไปสูบบุหรี่จนติด มันก็คือโง่ผัสสะที่ลิ้นหรือที่ใจ ที่ไปหลงไอ้เอร็ดอร่อยในสุรายาเมาก็เพราะมันโง่เมื่อมีผัสสะต่อสิ่งนั้น ความเอร็ดอร่อยอย่างอื่นก็เหมือนกันล่ะ ทางกามารมณ์ก็เหมือนกันล่ะ เพราะว่าไม่รู้ตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นอย่างไร หรือมันคืออะไร เราก็ไปหลง พอหลงมันก็ทำผิด ต่อๆ ๆ ๆ กันไปเป็นทอด ๆ จนได้ฆ่ากันตายด้วยเรื่องนิดเดียว เรื่องกามารมณ์นิดเดียว คนเดี๋ยวนี้ยิ่งโง่มาก คนสมัยนี้ยิ่งโง่มาก คือฆ่ากันตายด้วยเรื่องเล็กๆ น้อย ๆ แต่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเราไม่เคยทำอย่างนี้ ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยฆ่ากันตายง่ายๆ อย่างนี้ เพราะท่านมีธรรมะมาในขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมประจำบ้านเรือน ไม่หลงในเรื่อง แม้เรื่องกามารมณ์ ผัวเป็นชู้หรือเมียเป็นชู้ ยกให้มันก็ได้ ไม่ต้องไป ตามไปฆ่ามันเสียทั้งชู้ทั้งเมียทั้งผัวเลย เดี๋ยวนี้นิดหนึ่งก็ไม่ได้ มันจะฆ่าแบบที่เรียกกันว่า ฆ่าล้างโคตรเลย เรื่องมันนิดเดียว นี่ หมายความว่า คนสมัยนี้มันโง่มากขึ้น เพราะไม่มีธรรมะ เพราะไม่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า
ขอให้เรารู้ ให้พอ อย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นก็คือข้อความรวบหมดของพระพุทธศาสนา หรือว่าทั้งพระไตรปิฎก มันมีสอนเรื่อง อย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มีสติปัญญารู้ทั่วถึงแจ่มแจ้งอยู่เสมอ ไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะเหตุนั้น แล้วมันก็ทำถูกหมดแหละ ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายตัวเองน่ะ หมายความว่า ตัวเองมันโง่ แล้วไปทำตัวเองให้ลำบาก อย่างนี้ภาษาธรรมะเขาเรียกว่า ทำร้ายตัวเอง ประทุษร้ายตัวเอง ทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง เพราะความโง่ของตนเอง ถ้าเรารู้ธรรมะ เราควบคุมได้ มันจะไม่มีการทำตัวเองให้เป็นทุกข์ ไม่มีการทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ เมื่อไม่มีใครทำใครเป็นทุกข์ มันก็อยู่กันสบาย นี่คือหลักของธรรมะ
เอาล่ะ ทีนี้จะสรุปยอดที่ว่าไอ้ธรรมะนั้นคือหน้าที่ ธรรมะนั้นคือหน้าที่ อย่างที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเราทำหน้าที่ ก็คือปฏิบัติธรรมะ แล้วแต่ว่าจะมีหน้าที่อะไร มีหน้าที่เทขยะมูลฝอย เป็นกรรมกรชั้นเทขยะมูลฝอย เมื่อเขาทำหน้าที่ของเขา ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะเหมือนกัน เขาเป็นกรรมกรกวาดถนน เขาเป็นกรรมกรล้างท่อสกปรก กระทั่งว่าเป็นกรรมกรถีบรถสามล้อ อะไรก็ตามอะ มันเป็นหน้าที่ เมื่อเขาทำหน้าที่แล้ว จงเคารพเขาเถิดว่าเขาได้ประพฤติธรรมะ เขาไม่โกง ทั้งที่เขาได้เงินเดือนน้อยกว่าเรา เราเป็นครู เราเป็นภารโรง ได้เงินเดือนตั้งพัน สองพัน สามพันน่ะ ถ้าเราทำหน้าที่ไม่คุ้มกัน เราก็เป็นคนโกง ฉะนั้นเราอย่าประทุษร้ายเกียรติยศของเราด้วยการทำงานไม่คุ้มกับหน้าที่หรือประโยชน์ แต่ถ้าเราได้ทำหน้าที่แล้วเราควรจะพอใจ เพราะว่ามันเป็นธรรมะ ยิ่งเหงื่อ เหงื่อออกมากนั้นน่ะ ยิ่ง ควรจะพอใจอะ ไอ้เหงื่อนี่ มันเป็นสัญลักษณ์ของการมีธรรมะ คนที่มีธรรมะคือทำหน้าที่จริงจัง มันก็ต้องออกเหงื่อแหละ มันก็ยิ่งมีเหงื่อ ยิ่งมีเหงื่อมาก ยิ่งรู้ว่ามีธรรมะมาก ก็ควรที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ ขอให้พอใจที่จะทำงานชนิดที่แสดงออกมาว่า มีธรรมะตามหน้าที่ของตน ของตน ตั้งแต่คนล้างท่อถนน คนกวาดถนน คนถีบสามล้อ กระทั่งมาเป็นพวกเรา ที่มีเงินเดือนแพงๆ นี่
อาตมาขอโอกาสพูดอะไรสักอย่างนะว่า ตามความสังเกต รู้สึกว่าสมัยที่ครูประชาบาลมีเงินเดือน แปดบาท สิบสองบาทน่ะ เด็กๆ รู้หนังสือดีกว่า มรรยาทดีกว่า สมัยที่ครูประชาบาลมีเงินเดือนตั้งพันขึ้นไป คุณจะรู้สึกเป็นการด่าใส่หน้าไหม อาตมาพูดอย่างนี้ด้วยความรู้สึกจริงๆ อย่างนี้ เมื่อครูประชาบาลมีเงินเดือนแปดบาท สิบสองบาท อาตมานี้ก็มีศึกษาธิการอำเภอเขามาชวนไปเป็นครู เขาจะให้เงินเดือนทีเดียว สิบสองบาทเลยตอนนั้น ก็ไม่ได้ไปเป็นล่ะ เพราะมันเป็นคนค้าขาย แต่ได้สังเกตเห็นว่า สมัยที่ครูมีเงินเดือนแปดบาท สิบสองบาทนี่ เด็กๆ รู้หนังสือ และมีมรรยาทอ่อนโยน อะไรดีกว่า สมัยที่ครูมีเงินเดือนตั้งพัน สองพัน สามพัน นี่ถ้าทำงานไม่คุ้มค่า ก็ไปทะเลาะกับยมบาลเถิด ถ้าคนไหนทำงานไม่คุ้มค่า ก็ไปทะเลาะกับยมบาลเถิด ไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้ว เราจะต้องทำงานชนิดที่เป็นเครื่องอ้างได้แหละ ยมบาลจะทำอะไรเราไม่ได้ อย่างน้อยก็คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรานั่นแหละคือยมบาล มันจะซักไซ้สอบสวนเรา พอเรารู้สึกว่าเราทำงานไม่คุ้มค่า เราก็เสียใจเหลือประมาณ นี่ เรียกว่ายมบาลเล่นงานเอาแล้ว อย่างนี้ก็ยังได้ หรือจะหมายถึงยมบาลหลังจากตายแล้วอยู่นรกใต้ดินอะไรก็ได้ ได้เหมือนกันน่ะ ไม่ได้ยกเลิก อะนั่นไว้ไปตามเรื่อง แต่มันมองไม่เห็น ไม่พูด ที่มองเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ พอเรารู้สึกว่าเราทำอะไร ที่ไม่ถูก ไม่คุ้ม แล้วก็เราก็ มีจิตใจเหมือนกับตกนรก นี่ ยมบาลเล่นงานเอาแล้ว
ขอให้ทุกคนบูชาหน้าที่การงานก็เพราะว่าเป็นธรรมะ บูชาหน้าที่การงาน ทำงานให้สนุกสนาน เป็นสุขอยู่เมื่อทำการงาน อย่าเป็นสุขต่อเมื่อทิ้งงานไป แสวงหาสถานเริงรมย์ ปู่ย่าตายายของเรามีธรรมะมาก สนุกในการทำงาน ไถนากลางแดด จนเที่ยงจนสาย ลืมกินข้าว ยิ้มกริ่มอยู่กับคัน คันไถ อยู่กลางนากับควายอะ เพราะว่าเขามีจิตใจ รู้สึกว่านี่มันถูกต้องโว้ย, มันทำถูกต้อง เป็นความดีที่ถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ของมนุษย์และพระพุทธศาสนา ฉะนั้นปู่ยาตายายของเราจึงเป็นสุขเมื่อจับคันไถ ไถนาอยู่กลางนา จนลืมกินข้าว จิตใจมันเป็นอย่างนี้ นี่กลัวลูกหลานมันจะไม่เอาอะ มันไม่อยากทำอย่างนี้ มันอยากไปทำงานหยิบหย่ง ได้เงินเดือนแพงๆ ไปสนุกสนานกันอยู่ตามสถานเริงรมย์โน่น ไม่ได้เป็นสุขสนุกสนานอยู่กับควายกับคันไถ เหมือนกับบรรพบุรุษซะแล้ว นี่คือความเปลี่ยนแปลงชนิดที่น่าหวาดเสียว ชีวิตจึงเป็นของร้อนเพราะว่าเราพอกพูนกิเลสมากขึ้น เต็มไปด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ทุกๆ คราวที่มีสัมผัส มีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีวิตนี้เป็นของร้อน ชีวิตนี้ ยุ่งเหยิง ยุ่งเหยิง มีการขาดศีลอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวกับกามารมณ์ เป็นชีวิตยุ่งเหยิง เป็นชีวิตทรมาน เป็นชีวิตที่เรียกว่าเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของอารมณ์ อร่อย ไม่อร่อย อร่อยก็เป็นทาสอย่างหนึ่ง ไม่อร่อยก็เป็นทาสอย่างหนึ่ง คือไปมีความทุกข์กับมัน
เอาแล้ว เป็นอันว่า มันจะปีใหม่แล้ว ช่วยจับฉวยปัญหาเหล่านี้มาพิจารณาดูให้ดี ๆ แล้วก็อันไหนควรแก้ไข ก็แก้ไขเสียเถิด ทิ้งไว้เสียในปีนี้อย่าให้มันติดไปถึงปีหน้า เพื่อว่าปีใหม่นั้นจะได้ดีกว่าปีเก่า มากกว่าปีเก่า ทั้งโดยคุณภาพ โดยปริมาณ นี่อาตมาพูดกับท่านทั้งหลาย มันออก ออกจะตรงไปสักหน่อย แต่ก็ไม่กลัว เพราะว่าเราไม่ได้พูดอย่าง อย่างที่เขามุ่งหมายกันอย่างอื่น แต่พูดโดยมุ่งหมายว่า ตักเตือนเพื่อนกัน เพื่อนกัน ท่านทั้งหลายก็ทำหน้าที่ครู เพียงแต่ว่าสังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ อาตมาก็ทำหน้าที่ครูแต่ว่าสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้าอะ มันเป็นครูเหมือนกัน มันต่างกันคนละสังกัด แต่ถ้าท่านจะคิดว่า ถึงท่านจะเป็นครูชนิดที่ขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการแล้ว มันยังมีการที่ท่านเป็นพุทธบริษัท ข้อที่ท่านเป็นพุทธบริษัทนั้นน่ะเท่ากับต้อง ต้องเป็นครูชนิดที่ขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ฉะนั้นเราก็เป็นครูสังกัดเดียวกัน พูดจาเปิดอกกันได้ เป็นการปรึกษาหารือกันได้ แล้วก็ไม่ใช่เจตนาร้าย เจตนาดี เพราะว่าเราทุกคนมีหน้าที่ที่จะสืบอายุพระธรรม คือสืบอายุพระศาสนา ให้พระศาสนายังคงมีอยู่ในโลก
เดี๋ยวนี้ก็ได้ยินว่า การศึกษาของชาติน่ะ ก็น้อมเอียงมาหาศีลธรรมหรือธรรมะมากขึ้น เพราะว่ามันสุดทางไปแล้ว เศรษฐกิจมันก็โกง การเมืองมันก็โกง การปกครองมันก็โกง สังคมมันก็โกง เพราะมันไม่มีธรรมะ มันสุดทางไปแล้ว มันจึงมาหาธรรมะ ให้มีธรรมะควบคุมไว้ อย่าให้การเศรษฐกิจมันโกง อย่างให้การเมืองมันโกง อย่าให้การปกครองมันโกง อย่าให้การสังคมมันโกง ก็จะอยู่กันเป็นสุข เรามีหน้าที่ร่วมกัน แล้วทุกอย่างๆ มันก็ดึงมาสู่ความรับผิดชอบร่วมกัน ขอให้เราทุกคนทำให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่จะช่วยกันทำโลกนี้ให้อยู่เย็นเป็นสุข ตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ประสงค์เฉพาะคนนั้นคนนี้ บ้านนั้นเมืองนี้ ประเทศนั้นประเทศนี้ ท่านตรัสว่า ให้ธรรมะวินัย คือศาสนานี้อยู่เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนทั้งเทวดาแลมนุษย์ คือทั้งหมดทั้งโลก ทั้งจักรวาล ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย เดี๋ยวนี้ประเทศไทยจะอ้างว่า เราเป็นประเทศนับถือพุทธศาสนาสูงสุดกว่าใครๆ ธรรมะเป็นของประเทศเรา พระพุทธเจ้าเป็นของเรา อย่างนี้ไม่ถูกหรอก พระพุทธเจ้าเป็นของทั้งหมด ของชีวิตทั้งหมด เรารู้ไว้ ก็เตรียมตัวไว้สำหรับทำให้มีธรรมะ สำหรับเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทุกคน แก่สัตว์เดรัจฉานทุกตัว อย่าไปเบียดเบียนมัน แก่ต้นไม้ทุกต้นอย่าไปทำลายล้างมัน นั่นน่ะ จึงจะตรงตามพระพุทธประสงค์ว่าสิ่งที่มีชีวิตนี้มันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อาตมาเห็นว่าการบรรยายนี้มันก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งว่า ท่านมาในลักษณะต้องการธรรมะนี้ อาตมาพอใจ เพราะว่าเราจะได้ร่วมมือกันสร้างมนุษย์โลกนี้ให้งดงามขึ้น ให้ดีขึ้น วัดนี้ก็มีความมุ่งหมายอย่างเดียวนั่นแหละ คือทำให้โลกนี้ยังอยู่ด้วยศีลธรรม ท่านมาในวัตถุประสงค์อันนี้ อาตมาก็ยินดีอย่างยิ่ง ขออนุโมทนาด้วย ขอต้อนรับ ช่วยเหลือสุดที่จะช่วยได้ ขอให้จดจำเอาไปโดยหัวข้อสำคัญที่สุดว่า มนุษย์นี้อย่าทำผิดในขณะที่มีผัสสะ ทางตา หู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย ปัญหาก็จะไม่เกิด จะไม่มีใครทำผิดแม้แต่นิดเดียว มีแต่คนทำถูก แล้วก็อยู่กันอย่างคนทำถูก โลกนี้มันก็น่าดู มันทำเพื่อทั้งโลกไปเลย มันมากกว่าเพียงแต่เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรานั้นมันยังแคบอยู่ ธรรมะมันเป็นของทั้งโลก ขอให้มันเป็นทั้งโลก แล้วมันก็ได้แก่ประเทศชาติ ศาสนา มหากษัตริย์อยู่เองอะ ไม่ไปไหนเสีย ฉะนั้นทำทีเดียว ให้มันปลอดภัยไว้ทั้งหมดนั่นแหละจะดี คือตรงตามพระพุทธประสงค์ ซึ่งพระพุทธองค์เป็นคนของโลก เป็นคนของจักรวาล เป็นคนของทั้งหมด สำหรับคนทั้งหมดนี่เราก็เป็นสาวกของพระองค์ ก็ต้องทำตามพระพุทธประสงค์ ฉะนั้นเราควรจะยินดีที่ได้มาพบปะกัน เพื่อปรึกษาหารือในเรื่องนี้
อาตมาจึงขอแสดงความหวังว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ นักการภารโรงทั้งหลายเหล่านี้ หรืออะไรก็ตามนี่ จะรู้จักตัวเองรู้จักชีวิตของตนเองรู้จักความที่ตนจะต้องทำอย่างไร จึงจะเป็นมนุษย์ที่สมแก่ความเป็นมนุษย์ และมีพระพุทธศาสนา แล้วจงอยู่ด้วยความเป็นผาสุกทุกทิพาราตรีกาล เทอญ