แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่ว่าพรที่ประเสริฐกว่า Happy Birthday คือ Happy Death Day หลายคนก็สงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือ Happy Death Day คือตายอย่างมีความสุข ข่าวดีก็คือว่า เดือนหน้า 10 แล้วก็ 11 มิถุนา จะมีการจัด Event ใหญ่ชื่องานว่า Happy Death Day จัดที่ศูนย์สิริกิติ์ 2 วัน เครือข่ายพุทธิกากับองค์กรที่เป็นภาคีหลายองค์กร จะจัดงานนี้เพื่อให้คนได้ตระหนักถึงการใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และรวมถึงการรู้จักเตรียมตัวตายด้วย แล้วก็บอกแนวทางว่า คนเราจะตายดี ตายสงบได้อย่างไร
จะเป็นงานเปิดตัวใหญ่เป็นครั้งแรก ที่จะพูดถึงเรื่องความตายแบบตรงๆเลย แต่ก็ไม่ใช่พูดแบบธรรมะธรรมโมหรือว่าธรรมะจ๋าๆ แต่ว่าจะเป็นการชี้ให้เห็นหรือเปิดประเด็นเกี่ยวกับแง่มุมต่าง ๆ ของความตาย การช่วยเหลือผู้ใกล้ตาย รวมทั้งการเตรียมตัว ทั้งเตรียมตัวเองแล้วก็เตรียมผู้อื่น ในโอกาส Event นี้ ก็มีกิจกรรมหลายอย่างที่มีทั้งห้องสัมมนา บรรยาย กิจกรรมที่จะค่อย ๆ ชวนให้เราใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องชีวิต ก็คิดว่างานนี้คนคงจะสนใจมาก ปกติเครือข่ายพุทธิกาแล้วก็ยังมีองค์กรใกล้ชิดที่ทำกิจกรรมทำนองนี้มานานแล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ทำในวงเล็กๆ แคบๆ เช่น อบรมเผชิญความตายอย่างสงบ ก็ทำมา 13 - 14 ปีแล้ว อบรมแต่ละทีก็มีคนมาเข้าร่วม 30-40 คน ไม่ใช่เพราะว่ามีคนสนใจน้อย แต่การจัดอบรมไม่สามารถจะเปิดรับคนได้มาก ระยะหลังมานี้ คนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นเรื่องแปลก เป็นเรื่องที่น่าสนใจ มีคนขอให้จัดอบรมที่นั่นที่นี่เพื่อเตรียมตัวตายบ่อย อย่างล่าสุดยุวพุทธิกสมาคมรายงานว่าที่จะให้อาตมาไปจัดอบรมเผชิญความตายสงบที่ยุวพุทธิกสมาคมที่กรุงเทพฯ เดือนกรกฎาคม 4 วัน ที่จะรับคนเข้าอบรมประมาณ 100-200 คน ปรากฏว่าคนสมัครถึง 500 คนภายในเวลา 5 นาที ที่เปิดรับสมัครทางออนไลน์ ปรากฏว่าต้องรีบปิดเลย แล้วก็ต้องคิดต่อว่าจะทำยังไงต่อเพราะว่า 500 คนแล้ว รับไม่ไหว
เพราะฉะนั้น ก็มาคิดกันว่า คนที่ไม่มีโอกาสเพราะว่าสมัครทีไร มันเต็มก่อนทุกที มีคนบ่นมาก จึงคิดว่าช่องทางหนึ่งก็คือ งาน Happy Death Day เพราะว่าจัดที่ศูนย์สิริกิติ์น่าจะรับได้เป็นพัน แล้วก็จัด 2 วัน คนคงจะเวียนเข้าเวียนออกกัน รวมแล้วก็อาจจะได้เป็นหมื่น จึงเอามาประกาศตรงนี้ไว้เพราะว่ามีหลายคนบอกว่าอยากจะร่วมกิจกรรมการอบรมทำนองนี้ ที่จริงเดี๋ยวนี้มีการจัดอบรมแบบนี้กันมาก พระอาจารย์ครรชิตก็จัดที่วัดวีรวงศารามกับคณะที่ชื่อว่า I See U ไม่ใช่หน่วยอภิบาลวิกฤต ICU แต่ว่า I See U หมายความว่าฉันไปเยี่ยมเธอ เป็นกิจกรรมจัดอบรม แล้วก็เครือข่ายชีวิตสิกขาก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งจัดอบรม จัดบรรยายเปิดกว้าง จะจัดที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ รับได้ 200 - 300 คน ปรากฏว่าที่มันคับแคบเพราะคนมาเยอะมาก ก็ไปจัดที่สถาบันปัญญาวิวัฒน์ของ CP เป็นห้องประชุมใหญ่จุคนได้ 2000 คน แล้วปีหนึ่งก็จัดหลายครั้ง แต่ว่าคนที่อยากจะมาเข้ารับการอบรม ก็ยังมีอยู่เรื่อยๆโดยเฉพาะคนป่วย คนป่วยมะเร็ง คนป่วยโรคพุ่มพวง และก็ญาติที่ดูแลก็อยากจะมีความรู้เรื่องนี้
ปรากฏการณ์นี้ ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เป็นเรื่องแปลกเพราะว่าเดี๋ยวนี้คนเราพบว่า การตายเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากขึ้น ทุกวันนี้คนเราอยู่สบายก็จริงแต่ตายลำบากมากขึ้น คนสมัยก่อนหรือแม้กระทั่งคนชนบททุกวันนี้ แม้จะอยู่ลำบากกว่าคนเมืองแต่ว่าตายสบายกว่าหรือว่าตายลำบากน้อยกว่า ก็เพราะ หนึ่ง ไม่มีการยื้อเวลาป่วย คนสมัยก่อน โรคที่ทำให้ป่วยมักจะเป็นโรคติดเชื้อ ซึ่งป่วยได้ไม่นานก็ตาย เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาที่ทรมานก็ไม่กี่วัน หรือว่าอาจจะไม่กี่อาทิตย์ แต่สมัยนี้จะตาย ก็ลากยาวไปเป็นปีๆ ไม่ได้หมายถึงคนที่เป็นผัก แต่หมายถึงการยื้อ ยื้อในโรงพยาบาล เจาะคอใส่ท่อแล้วก็ยื้อ บางทีคนไข้ก็ไม่รู้ตัวแล้ว บางทีเป็นโคม่าก็มี เขาก็ยื้อกันไป เพราะว่าจะตายก็ไม่อยากให้ตาย แต่ว่าอาการคนไข้ก็ไม่ดีพอที่จะฟื้นคืนมาได้ อาการแบบนี้เขาเรียกว่า จะหายก็ไม่หายแต่ก็ไม่ยอมตายสักที บางครอบครัวนี้หมดเงินไปเป็น 20 - 30 ล้าน ขายที่ก็มี เป็นหนี้ธนาคารก็ก็มาก แต่เขาก็อนุโมทนา เขาก็บอกว่ายอม ยอมเป็นหนี้เพื่อคนที่ตัวเองรักแต่ก็ไม่รู้ว่า แต่ก็หารู้ไม่ว่าคนที่ตัวเองรักที่ยื้อนั้น เขาก็ทรมานเหลือเกิน ญาติก็ทรมาน อันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
นิตยสาร Economist ที่เป็นนิตยสารที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมือง คนอ่านทั่วโลก 2 ฉบับที่แล้วนี่ขึ้นปกเรื่องการตายที่เลว Bad Death อันนี้เพราะว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับทั้งโลกโดยเฉพาะคนที่มีเงินหรือประเทศร่ำรวยคือยิ่งตายยากแล้วก็ตายทรมานมากขึ้น ทั้งเจ็บปวด ทั้งเครียด ทั้งเป็นโรคซึมเศร้าและญาติก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น สมัยนี้การคิดเรื่องการตายดีมันต้องคิดเอาไว้ ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า เตรียมตัวอย่างเดียวก็ต้องเตรียมตัวให้ถูกไม่ใช่ว่าซื้อประกันอย่างเดียว มันต้องเตรียมใจด้วย เพราะฉะนั้น เนื่องจากเห็นใครต่อใครก็ทุกข์เพราะความตาย ทรมานยืดเยื้อยาวนานเป็นปีๆ ประมาณว่า เดี๋ยวนี้คน 2 ใน 3 ในประเทศที่ร่ำรวย ตายที่โรงพยาบาล หรือไม่ก็ตายที่บ้านพักคนชรา และโดยเฉลี่ยก่อนตาย เจ็บป่วยเรื้อรัง 8 -10 ปี และระยะสุดท้าย ส่วนใหญ่ก็จะประมาณ 1 ใน 3 ของคนที่หลังอายุ 65 จะอยู่ในห้อง ICU 3 เดือนสุดท้าย คือไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทรมานมาก ซึ่งแบบนี้มันไม่มีในสมัยก่อน อันนี้เรียกว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พูดว่าคนเดี๋ยวนี้อยู่สบายแต่ตายลำบาก
ฉะนั้นในการคิดถึงเรื่อง Happy Death หรือ Happy Death Day มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่พูดเล่นๆ แต่เป็นเรื่องจริงจังที่จะต้องคิดกัน เตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ