พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 22 กรกฎาคม 2567
คนเราพออายุมากยิ่งเข้าสู่วัยชรา หลายคนก็กลัวโรคมะเร็งบ้าง โรคหัวใจบ้าง ไตวาย เบาหวาน หรือว่าโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมอง เช่น กลัวหลอดเลือดตีบตัน
ที่จริงยังมีอะไรที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่า 4-5 โรคที่กล่าวมา คือ ปัญหาที่มาจากเหตุปัจจัยที่สะสมกันมานานเป็นสิบปี อาจจะเกี่ยวข้องกับการกินอาหาร พฤติกรรมการบริโภค การออกกำลังกาย และการใช้ชีวิตที่อาจจะมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ก็ทำให้เราเดือดร้อนรวมทั้งคนที่รอบตัวเราเดือดร้อนไม่น้อยไปกว่ามะเร็ง เบาหวาน ไตวาย หรือว่าโรคหลอดเลือดสมอง
นั่นก็คือ การหกล้มและการสำลักน้ำ สองอย่างนี้เป็นสิ่งที่คนแก่จำนวนมาก หรือบางทีก็รวมไปถึงคนสูงวัยที่ยังไม่แก่ เจอเข้าแล้วนี่ ก็ลำบากเลยทีเดียว เพราะว่าเวลาล้มมันไม่ใช่แค่มีโอกาสเกิดแข้งขาหักเท่านั้น บางทีก็อาจจะทำให้กะโหลกร้าว หรือว่าเกิดเลือดออกในสมอง
พวกนี้พอเกิดขึ้นแล้วเรียกว่าลำบากยาวเลย ต้องนอนติดเตียง แล้วพอนอนติดเตียงนานๆเข้าก็อาจจะเกิดลิ่มเลือดอุดตันตามเส้นเลือดดำ แล้วอาจจะถึงตายได้เพราะว่าพอร่างกายไม่ได้เขยื้อนขยับ ไม่เดิน ไม่ออกกำลัง นอน อยู่แต่ในเตียง ก็เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย ในที่สุดก็อุดตัน สุดท้ายสมองก็ขาดเลือดแล้วก็ตาย
หรือบางรายนี้ก็ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ใส่ไปนานๆก็มีเชื้อแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ปอดติดเชื้อ สุดท้ายก็ตาย
สำลักอาหารก็เหมือนกัน สำลักน้ำบางทีตายทันทีเลยเพราะว่าอาหารติดคอ หรือมิฉะนั้นแม้จะเป็นเศษอาหารเล็กๆ แต่ถ้าหากว่ามันเข้าไปในหลอดลม ทำให้ปอดติดเชื้อได้ สุดท้ายก็ตาย
ฉะนั้น ต้องระวังโดยเฉพาะคนที่อายุมากจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะอะไร เพราะว่าร่างกายไม่เหมือนเดิมแล้ว การทรงตัวก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน การสั่งการให้กล้ามเนื้อเขยื้อนขยับก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน ที่เคยเดินได้สะดวกก็กลายเป็นตะกุกตะกัก เดินไม่คล่องเหมือนเมื่อก่อน ก็เลยหกล้มง่าย
กินน้ำก็เหมือนกัน เวลากินอาหาร ขณะเคี้ยวข้าวอยู่ในปาก กินน้ำเข้าไป บางทีเศษอาหารหรือน้ำก็เข้าไปในหลอดลมได้ แต่ก่อนนี้ตอนที่ร่างกายปกติแข็งแรง ไม่ค่อยเกิดปัญหาเพราะกล้ามเนื้อในคอ รวมทั้งวาล์วปิดหลอดลมนี้มันทำงานประสานกันดี เวลากินข้าวมันก็มีการปิดหลอดลม ไม่ให้อาหารหรือน้ำเข้าไปในหลอดลม
แต่พอแก่ตัว กล้ามเนื้อที่คอก็เริ่มเสื่อม การสั่งการให้มีการปิดหลอดลมขณะที่กินน้ำ เคี้ยวข้าว ก็เริ่มมีปัญหา ฉะนั้น เวลากินข้าวนี้ถ้าเกิดพูดคุยกัน เศษข้าวก็เข้าไปในหลอดลมได้ หรือว่ากำลังเคี้ยวอยู่แล้วกินน้ำเข้าไป น้ำก็เข้าไปในหลอดลม แม้แต่เวลากินข้าวหรือกินน้ำ แล้วเกิดจะหันหน้าไปดูนั่นดูนี่ หรือไปพูดคุยกับใคร ก็แย่เลยหากเกิดมีการสำลักขึ้นมา
ตอนที่ยังหนุ่มยังสาว หรือแม้กระทั่งตอนกลางคนอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาแบบนี้ แต่ว่าพอแก่ตัวก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เพราะอะไร เพราะร่างกายเราไม่เหมือนเดิม
ขณะที่นิสัยยังเหมือนเดิม เช่น นิสัยเดินเร็วๆ นิสัยกินไปคุยไป นิสัยเคี้ยวข้าวเร็วๆ หรือว่ากินน้ำในขณะที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก พวกนี้เป็นนิสัยเดิมๆที่สะสมมานาน แต่ก่อนไม่มีปัญหาเพราะร่างกายเราปกติ แต่พอร่างกายเราไม่เหมือนเดิมขณะนิสัยยังเหมือนเดิมนี้ มันก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้
ฉะนั้น เมื่อเราตระหนักเช่นนี้ ก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนนิสัยใหม่ เดินให้ช้าลง จะป่ายปีนอะไรก็ต้องระมัดระวัง เพราะว่าการทรงตัวไม่เหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะการกินข้าวนี้สำคัญ ขณะเคี้ยวข้าวอยู่ถ้าอยากจะกินน้ำ ก็พยายามเคี้ยวข้าวให้เสร็จก่อนค่อยกินน้ำ หรือแม้กระทั่งกำลังมีน้ำอยู่ในปาก อยากจะพูดคุยกับใครก็ควรงด จะเผลอหันหน้าหันหลังหันข้างก็ต้องระวัง
เรื่องพวกนี้มันต้องฝึก ฝึกด้วยการสร้างนิสัยใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาแต่ว่ามันเริ่มต้นได้เลย เข้าพรรษานี้คือโอกาสที่เราจะสร้างนิสัยใหม่ บางคนอาจจะคิดว่าเข้าพรรษาเป็นเรื่องของการรักษาศีล ศีล 5 ฉันก็ปกติดีแล้ว เดี๋ยวนี้ฉันก็สวดมนต์ฟังธรรมไปทำบุญที่วัด แต่ว่าเรื่องการปรับเปลี่ยนนิสัยนี้ก็สำคัญเหมือนกัน
ถ้าเป็นคนสูงวัยลองใช้ช่วงเข้าพรรษานี้เดินให้มันช้าลง ถึงแม้ใจยังจะเหมือนเดิม บางคนก็ใจร้อน แต่ก่อนก็เดินได้รวดเร็วฉับไว แต่เดี๋ยวนี้ร่างกายไม่เหมือนเดิมแต่ใจยังร้อนอยู่ อันนี้อันตราย ต้องฝึกใจให้เย็นด้วยการเดินช้าๆ
ใหม่ๆ การปรับเปลี่ยนก็จะมีการต่อต้านขัดขืน หรือว่าเผลอรีบ เช่น การเดิน แต่ไม่เป็นไรถ้าเราตั้งใจว่าในพรรษานี้เราจะฝึกให้เดินช้าๆ เผลอบ้าง หลุดบ้าง ไม่เป็นไรก็เริ่มใหม่ ต่อไปนิสัยใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่นิสัยเก่า
เวลากินอาหารก็เหมือนกัน กินอาหารในขณะที่เราเคี้ยวอาหารอยู่ อยากจะกินน้ำ ก็รอให้เคี้ยวเสร็จก่อนแล้วค่อยกินน้ำ หรือขณะที่กำลังกินอาหารอยู่พยายามงดการพูดคุย เพราะว่าพูดคุยไปพูดคุยมาเดี๋ยวเศษข้าวหลุดเข้าไปในหลอดลม หรือบางทีหัวเราะอาหารก็ติดคอ สมองขาดเลือด กลายเป็นเจ้าชายนิทราไปก็มี เดือดร้อนคนอื่นอีก
ฝึกได้ในช่วงเข้าพรรษานี้ เวลา 90 วันถ้าเราเริ่มจากการเดินให้ช้าลง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินน้ำ หรือว่ารู้จักมีสติระหว่างการกินอาหาร การเคี้ยวอาหาร ไม่พูดไม่คุยขณะที่เคี้ยวอาหาร หรือขณะที่กำลังมีอาหารอยู่ในปากไม่ดื่มน้ำ พวกนี้ต้องใช้สติ
เพราะถ้าเราไม่ใช้สติ เราก็จะทำตามความเคยชินหรือนิสัยเดิม นิสัยเดิมบางอย่างนี้เคยมีประโยชน์ แต่ว่าตอนนี้อาจจะกลายเป็นโทษเพราะว่าร่างกายเราไม่เหมือนเดิม ความทุกข์ของคนเราก็อยู่ตรงนี้ ร่างกายกับนิสัยมันไม่ไปด้วยกัน ร่างกายไม่เหมือนเดิมแต่นิสัยยังเหมือนเดิม อันนี้รวมถึงการกินอาหารด้วย รวมถึงการไม่ออกกำลังกายด้วย
ตอนยังหนุ่มยังแน่นไม่ออกกำลังกายก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอแก่ตัวแล้วไม่ออกกำลังกายนี่แย่แล้ว ที่สำคัญคือเรื่องของการระมัดระวังไม่ให้หกล้ม หรือสำลักน้ำ ที่จริงแม้กระทั่งการดื่มน้ำนี้เขาบอกให้ก้มลงดื่ม อย่าแหงนคอดื่ม นั่นก็หมายความว่า ถ้าเราจะดื่มน้ำถ้าใช้หลอดจะช่วยได้เยอะ แต่ก็นั่นแหละถึงแม้จะใช้หลอดแต่ถ้ายังเคี้ยวข้าวอยู่ในปาก อาจจะเกิดความพลั้งเผลอได้
ฉะนั้น ใช้ช่วงเวลาเข้าพรรษานี้ สำหรับคนสูงวัย หรือแม้แต่คนที่ไม่สูงวัยแต่ว่าเริ่มจะมีอายุ ก็มาสร้างนิสัยใหม่ในการกิน ในการดื่มน้ำ ในการเดินเหิน ทำตั้งแต่ตอนนี้เพราะถ้ายังมีนิสัยใหม่มาแทนที่นิสัยเก่า นิสัยเก่าที่มันจะสร้างปัญหาให้กับตัวเราและครอบครัวของเราในอนาคต หรืออาจจะในเร็ววันก็ได้.