พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 10 กรกฎาคม 2567
มีผู้ชายคนหนึ่งชอบเลี้ยงหมาแปลก ๆ โดยเฉพาะหมาที่มีความสามารถหลายอย่าง และหมาชนิดหนึ่งที่แกชอบเลี้ยงคือ เกรย์ฮาวด์ รวมทั้งเครือญาติมันด้วย เช่น อัฟกันฮาวด์ เกรย์ฮาวด์ พวกนี้จัดว่าเป็นหมาที่วิ่งเร็ว เร็วที่สุดในบรรดาหมาด้วยกัน อัฟกันฮาวด์นี่ไม่ใช่ย่อย ตัวเพรียวแล้วก็วิ่งเร็ว
นอกจากหมาแล้ว แกยังเลี้ยงเสือด้วย ได้ลูกเสือชีตาห์มาตัวหนึ่ง เลี้ยงจนโตแล้วก็เชื่อง เป็นเพื่อนกับหมาเหล่านี้ ชีตาห์นี่ถือว่าเป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก
ชายคนนี้เขาอยากจะทดสอบว่าระหว่างหมาเกรย์ฮาวด์ อัฟกันฮาวด์ กับชีตาห์ ใครวิ่งเร็วที่สุดในโลก ก็เลยจัดแข่งขัน เอาน้องหมาเกรย์ฮาวด์ อัฟกันฮาวด์ 3 - 4 ตัวนี้มาเตรียมวิ่งแข่ง แต่ปรากฏว่าชีตาห์ไม่ยอมออกมาจากบ้าน หรือไม่ออกมาจากกรง จะเรียกว่ากรงก็ไม่ถูก เพราะว่าเขาไม่ได้ขังเอาไว้ เขาทำบ้านให้หมาและเสืออยู่
ปรากฏว่าหมาพร้อมวิ่งแล้ว แต่ชีตาห์ไม่สนใจ ถึงเวลาชายคนนี้ให้สัญญาณ จุดประทัด ทั้งอัฟกันฮาวด์ ทั้งเกรย์ฮาวด์ก็วิ่ง เต็มที่เลย ขณะที่ชีตาห์ไม่สนใจเลย
ชายคนนี้ก็แปลกใจ แกก็ถ่ายรูป ถ่ายรูปหมาเกรย์ฮาวด์ อัฟกันฮาวด์ที่กำลังวิ่งตะบึง ขณะที่ชีตาห์นั่งเฉย ส่งภาพนี้ไปให้ผู้รู้ที่เชี่ยวชาญด้านเสือชีตาห์ว่าทำไมชีตาห์ไม่สนใจเลย พอผู้เชี่ยวชาญเห็นภาพก็เข้าใจเลย แล้วก็พูดมาประโยคหนึ่ง บางครั้งการพยายามพิสูจน์ว่าคุณเป็นสุดยอดนี่นับเป็นการดูถูกอย่างหนึ่ง
เขามองว่าเสือชีตาห์คงรู้สึกว่า เอาฉันไปแข่งกับหมา มันดูถูกฉันมากเลย เพราะอย่างไรฉันก็วิ่งเร็วกว่าหมาเหล่านี้อยู่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ยังพูดอีกประโยคว่า คนเราไม่จำเป็นต้องลงไปอยู่ในระดับเดียวกับคนอื่นเพื่อพิสูจน์ว่าฉันเก่ง ฉันมีความสามารถ
ชายคนนี้คงจะพูดแทนความรู้สึกของชีตาห์ตัวนี้ ชีตาห์ไม่สนใจแข่งกับหมาเหล่านี้เพราะรู้สึกว่าเป็นการดูถูกเสืออย่างฉัน
อันนี้ก็น่าคิด เป็นคติสอนธรรมมนุษย์เราได้อย่างดี เพราะคนเรานี่ชอบอวด ชอบประชันขันแข่ง แต่ลึก ๆ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าไม่มั่นใจก็ได้ว่าตัวเองน่ะเก่ง คนที่ไม่มั่นใจว่าตัวเก่งนี่ก็ต้องการที่จะอวดว่าฉันเก่งฉันมีความสามารถ เพื่อเป็นการสนับสนุน หรือยืนยันว่าฉันเป็นคนเก่ง
แต่จริง ๆ แล้วคนที่เก่งอยู่แล้ว เขาไม่มีความสนใจที่จะไปอวดใคร ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะไปแข่งกับใคร ถ้าเป็นคนที่รู้ตัวว่าเก่งหรือมั่นใจในความสามารถของตัวแล้ว การไปอวดไปประชันขันแข่งกับคนอื่นนี่มันกลับกลายเป็นการดูถูก หรือเป็นการประจานว่า แกยังไม่แน่จริง แกยังไม่มั่นใจ
แล้วมันก็มีคำพูดที่เป็นสำนวน คมในฝัก คือเมื่อคมแล้วแม้อยู่ในฝัก มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถอดฝักออกมาเพื่อที่จะประกาศว่า กูนี่คือมีดที่มันคม
คนเรานี่ไม่ว่าจะเป็นคนเก่งหรือเป็นคนดี ถ้ามั่นใจในตัวเองแล้วมันไม่มีความจำเป็นจะต้องไปอวดไปโชว์ หรือไปพิสูจน์ให้ใครเห็นว่าฉันดี ทำดีแล้วคนไม่เห็นก็ไม่หวั่นไหว ทำดีแล้วคนไม่ชมไม่สรรเสริญก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเพราะว่ามั่นใจในความดี หรือสิ่งดี ๆ ที่ตัวเองทำ
คนที่มีความรู้ก็เหมือนกัน คนที่มีความรู้มากเรียกว่าเป็นปราชญ์ เขาไม่มีความสนใจที่จะไปอวดใครว่า ฉันมีความรู้เยอะ หรือไม่มีความจำเป็นต้องไปข่มใครว่า แกรู้น้อยกว่าฉัน ใครก็ตามที่ไปอวดว่าฉันรู้เยอะ หรือไปข่มคนอื่นว่ารู้น้อยกว่าฉัน ลึก ๆ ก็เพราะว่ายังไม่มั่นใจว่าตัวเองนี่รู้จริงหรือเปล่า
นักปราชญ์ชาวกรีกคนหนึ่งที่เขาถือว่าเป็นบิดาแห่งปรัชญา ชื่อโสกราตีส เขาบอก ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด ผู้รู้ไม่พูดคือไม่อวด ถ้าพูดเพื่อจะอวดนี่ไม่พูด หรือบางทีก็รู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างนี่มันยากเกินกว่าที่จะพูด รู้จนตระหนักว่ามันไม่มีความแน่นอน ไม่สามารถจะพูดฟันธงให้ชัดเจนลงไปได้ ก็เลยไม่พูด เพราะรู้ว่ามันพูดไม่ได้ เพราะรู้ว่ามันซับซ้อนเกินกว่าที่จะเข้าใจ หรืออาจจะรู้กระทั่งว่าตัวเองนี่ยังไม่รู้อะไรบ้าง
คนที่รู้มาก ๆ นี่พอถึงจุดหนึ่งเขาจะรู้ว่า เขายังไม่รู้อะไรอีกตั้งเยอะ เขาจึงไม่พูด ส่วนคนที่ไม่รู้นี่ก็คิดว่าตัวเองรู้ ก็เลยพูดใหญ่เลย
ฉะนั้น คนเราถ้าหากมีความมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะความเก่ง ความสามารถ ความดีหรือความรู้นี่ สิ่งหนึ่งที่จะวัดได้คือว่าเขาไม่อวด ไม่แสวงหาคำชื่นชมสรรเสริญ หรือการยอมรับ เพราะมั่นใจอยู่แล้ว แต่ถ้าไปแสวงหาคำชื่นชม คำสรรเสริญ หรือต้องการอวดนี่แสดงว่าลึก ๆ ยังไม่มั่นใจ
แล้วเดี๋ยวนี้มันก็มีช่องทางในการอวดในการแสดงเยอะมาก ซึ่งทำให้หลายคนก็กลายเป็น ทำตาม เป็นแฟชั่น กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย เช่น Facebook เป็นเวทีในการอวดในการแสดงในการประกาศตัวตน เซลฟี่ เซลฟี่คำนี้ก็บอกอยู่แล้วว่า ตัวกู
เดี๋ยวนี้ผู้คนก็ใช้ Facebook หรือว่า Instagram โซเชียลมีเดียในการประกาศ หรือในการอวดว่า ฉันเก่ง ฉันดี ฉันแน่ ทำความดีแล้วต้องไปอวดทาง Facebook หรือเก่งอย่างไรก็ต้องแสดงออกทาง Facebook แล้วก็คอยดูว่าจะมีคนกดไลค์มากแค่ไหน ถ้าคนกดไลค์น้อยก็ไม่มั่นใจ ไม่สบายใจว่า ฉันแน่จริงหรือเปล่า ฉันรู้จริงหรือเปล่า
อันนี้ก็แสดงว่ายังไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันกลายเป็นค่านิยมไปแล้วก็คือทำอะไรก็ต้องอวด จนคนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา หารู้ไม่ว่ามันเป็นช่องทางให้ตัวกิเลสที่ชื่อว่าอัตตานี่เข้ามาครองใจ รวมทั้งทำให้เกิดการแข่งขันประชันกัน แล้วก็สร้างความทุกข์ให้กับตัวเองและกับผู้อื่น ตัวเองทุกข์เพราะว่า rating น้อย คนไม่ชื่นชมสรรเสริญ หรือบางทีคนวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นก็คือการไปข่มผู้อื่น
ทั้งหมดนี้มันก็เกิดจากการที่ยังไม่มั่นใจว่า ฉันรู้จริง หรือว่าฉันดี ฉันมีความสามารถจริงหรือเปล่า.