พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 9 กรกฎาคม 2567
มีโครงการหนึ่งน่าสนใจชื่อว่า ฉลาดทำบุญ เติมสุขทุกวัน เป็นการทำบุญที่แม้จะไม่มีเวลาเข้าวัดแต่ก็ทำได้ โครงการนี้มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาเขาเป็นเจ้าภาพผู้จัด อาตมาก็ไปช่วยงานมูลนิธินี้อยู่ เดือนสิงหานี้ 1 ถึง 31 สิงหา ก็จะมีการเชิญชวนจิตอาสาวัยอิสระไปช่วยงานที่สถาบันประสาทวิทยาอาทิตย์ละครั้ง
หลายคนสงสัยว่าวัยอิสระนี้คืออะไร คือวัยที่มีอิสระในการใช้ชีวิต ไม่ต้องพะวงเรื่องการทำงานหรือการหาเงิน สำหรับคนทั่วไปก็หมายถึงวัยเกษียณ แต่วัยอิสระนี้ไม่ต้องรอให้เกษียณก็ได้เพราะบางคนก็อาจจะเกษียณก่อนหน้านั้นแล้ว วัยอายุ 51-70 ปี เขารับมาเป็นจิตอาสา อำนวยความสะดวกที่สถาบันประสาทวิทยา ที่กรุงเทพฯ
ที่สถาบันประสาทวิทยานี้มีคนป่วยเยอะ และจำนวนไม่น้อยนี้ก็มาจากต่างจังหวัด หรือไม่ก็มีฐานะยากจน ไม่คุ้นเคยกับโรงพยาบาล พอหมอนัดให้ไปโรงพยาบาลบางทีทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเข้าช่องไหน ไปหาหมอที่ชั้นไหน ที่ผ่านมานี้ก็มีจิตอาสา เรียกว่าจิตอาสาอำนวยความสะดวก พาผู้ป่วยหรือญาตินี้ไปตามจุดต่างๆ ที่หมอหรือพยาบาลแนะนำ
ที่ผ่านมานี้ก็มีจิตอาสาประเภทนักเรียนนักศึกษานี้มาช่วยเยอะ แต่ว่าส่วนใหญ่ก็เป็นช่วงปิดเทอม พอช่วงเปิดเทอมจิตอาสาที่เป็นนักเรียนนักศึกษานี้ก็ไม่มีแล้ว หรือมีน้อยมาก แต่ว่าความต้องการจิตอาสาที่จะไปช่วยเหลือญาติและผู้ป่วยก็ยังมีอยู่เยอะ เขาก็เลยเปิดรับจิตอาสาวัยอิสระ คือวัยที่ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว และก็ไม่มีภารกิจการงาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็อายุประมาณนี้แหละ 51 ถึง 70 ปี
เขาจะเปิดรับสมัครเดือนนี้ และเวลาทำงานก็คือช่วง 1 ถึง 31 สิงหาคม ไปเป็นจิตอาสาแค่อาทิตย์ละวันคือวันพฤหัส ช่วง 7 โมง ถึง 10 โมง เพราะฉะนั้น เดือนหนึ่งก็เป็นจิตอาสา 4 ครั้ง หรือใครจะทำมากกว่านั้นก็ได้ อันนี้เขาก็ทำมาต่อเนื่องหลายปีแล้ว และก็มีจิตอาสาหลายคนอายุก็มากแล้ว เกษียณแล้ว แต่ก็ติดใจมาเป็นจิตอาสาอยู่เรื่อย ๆ จนบางทีกลายเป็นพี่เลี้ยงไปเลยก็มี
มีคนหนึ่งนี้มาสถาบันประสาทวิทยานี้บ่อยมาก ตื่นแต่เช้าไปโรงพยาบาลสถาบันประสาทวิทยา เพราะว่าต้องไปก่อนผู้ป่วยและญาติก็คือก่อน 7 โมงนั่นแหละ เดินทางก็ไกลทั้งขาไปและขากลับ และก็ทำงานเกือบทั้งวัน ที่จริงไม่ต้องทำงานเกือบทั้งวันก็ได้ทำแค่ช่วงเช้า แต่ว่าโยมคนนี้แกชื่อ หน่อย แกชอบมาทำงานทั้งวันเลย เพราะไม่มีภารกิจหรือความรับผิดชอบในครอบครัวแล้ว
แกบอกเคยมีคนถามแกว่าแกเหนื่อยไหม แกตอบว่ามันวัดไม่ได้หรอก เพราะว่ามันมีแต่ความปีติ มีแต่ความสุข มีความเหนื่อยก็มีเหมือนกันแต่ว่าไม่รู้สึกเพราะว่าความสุขความปีตินั้นมันมาแทนที่ เขามีความสุขมากที่ได้ช่วยเหลือคนที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ตอนที่มานี้ไม่รู้หรอกว่ามีคนลำบากยากจนเยอะ
บางคนเงอะงะ แกก็อาศัยได้เรียนรู้ภาษากาย ไม่ต้องถามเห็นแค่อากัปกิริยาก็รู้แล้วว่า ไปไม่ถูก ไปไม่เป็น แกก็เข้าไปหาเลยไปถามว่าต้องการคนช่วยไหม บางทีอยากจะให้ไปตรวจเลือด บางทีอยากจะให้ไปทำบัตร ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่องไหน ไปทางไหน แบบนี้เยอะเลยเพราะโรงพยาบาลนี้เป็นที่ที่คนต่างจังหวัดนี้เขากลัวมาก ตื่น บางคนนี้จะมาโรงพยาบาลก็ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยเลย เพราะว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ยังไม่นับประเภทว่าต้องเสียเงินเสีย ค่าเดินทางมาโรงพยาบาลแต่เช้า
จิตอาสาอย่างโยมหน่อยนี้แกก็พาไปตามจุดต่างๆ แกบอกว่ามีความสุขมากได้ช่วยเขาทั้งผู้ป่วยและญาติและทั้งหมอและพยาบาล หมอและพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็ทำงานหนัก ผมดีใจที่ได้ช่วยผ่อนภาระของเขา
และมีโยมคนหนึ่งเป็นผู้หญิงอายุก็เกือบ 60 แล้ว และก็มีความสุขกับการที่มาเป็นจิตอาสานี้ แกบอกว่ามาแล้วนี่มันทำให้ลืมความทุกข์ของตัวเลย เพราะว่าไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางอีกต่อไป แกบอกว่าคนเราเวลามีความทุกข์ก็เพราะว่าหมกมุ่นกับตัวเองมากไป แต่พอไปสนใจช่วยเหลือคนอื่นคือคนที่เขาทุกข์กว่าเรานี้ มันลืมความทุกข์ของตัวเองเลย แล้วพอลืมความทุกข์แล้วนี่ความสุขก็จะมาสู่จิตใจของเราได้ง่าย
เพราะฉะนั้น แกจึงมีความสุขมากกับการที่ได้ไปเป็นจิตอาสา และอย่างหนึ่งที่แกได้คือได้เห็นสัจธรรม สัจธรรมของชีวิต ความเจ็บความป่วย บางคนอายุก็ไม่มากแต่ก็ป่วย แต่บางคนก็อายุมากอายุไล่ๆกับตัวเอง มันก็เตือนใจตัวเองว่า สักวันหนึ่งเราก็ต้องป่วยเหมือนกัน มันทำให้เห็นสัจธรรมความจริงของชีวิต รวมทั้งได้ตระหนักว่ามีคนที่เขายากจนกว่าเรา ลำบากกว่าเราเยอะเลย แต่ก่อนไม่รู้ คนเราเดี๋ยวนี้มันมีช่องว่างระหว่างคนมีกับคนไม่มีมันห่างกันมาก ระหว่างคนเมืองกับคนชนบทนี้ห่างกันมาก หลายคนยังไม่รู้เลยว่าคนที่เขามาโรงพยาบาลเขาลำบากจริงๆ แม้แต่อาหารกลางวันยังไม่มีจะกินเลย
ด้วยเหตุนี้ สถาบันประสาทวิทยาจึงมีโครงการอีกโครงการหนึ่ง ปันกันอิ่ม ใครที่ไม่มีเงินนี้เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์เขาก็จะสังเกต และจะให้คูปอง ผู้ป่วยหรือญาตินี้ก็จะนำคูปองไปรับอาหารจากร้านที่เขาอยู่ในโครงการนี้ ตอนนี้มีคนให้เงินอุดหนุนโครงการนี้ ทั้งที่สถาบันประสาทวิทยา โรงพยาบาลราชวิถี ก็สมควรแล้ว แต่จิตอาสานี้ยังขาดอยู่ โดยเฉพาะที่เป็นผู้ใหญ่วัยอิสระ
เพราะฉะนั้น ถือโอกาสเชิญชวน เพราะว่าใครที่ได้ไปเป็นจิตอาสาแล้ว หลายคนประทับใจมากเพราะได้เห็นสัจธรรม ได้เติมเต็มความสุขให้แก่จิตใจของตัวเอง และก็ทำให้ลืมความทุกข์ที่มันรบกวนจิตใจ โยมหน่อยนี้แกบอกเลยว่าแกได้เห็นเลยว่า การทำปัจจุบันให้มีคุณค่านี้มันมีความสำคัญมาก ยิ่งเป็นไม้ใกล้ฝั่งถ้าไปนึกถึงอนาคตมากมันจะทุกข์ มันเป็นเวลาที่จะน้อมใจอยู่กับปัจจุบัน และการอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดคือการทำปัจจุบันให้มีคุณค่าด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น แล้วความสุขมันก็จะมาเติมจิตใจของเรา เรียกว่าเติมเต็มชีวิต เติมเต็มจิตใจให้มีความสุข
เพราะฉะนั้น ใครที่สนใจถ้าเป็นวัยอิสระไปสมัครได้ ติดต่อได้ที่มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา ทาง Facebook ทางเว็บไซต์ก็ได้ :