แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมเย็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567
มีคำถามหนึ่งซึ่งอยู่ในใจของหลายคน แล้วก็อาจจะเป็นคำถามที่เราได้ยินจากหลายคนที่เรารู้จัก นั่นก็คือ “เป็นคนดีไม่เบียดเบียนคนอื่นยังไม่พออีกหรือ” เป็นคนดีไม่เบียดเบียนใครยังไม่พออีกหรือ คนที่ถามนี้อาจจะเป็นเพื่อนเรา เป็นลูกหลานของเรา หรืออาจจะเป็นพ่อแม่ เป็นคำถามที่เกิดขึ้นเมื่อมีคนชวนให้ไปปฏิบัติธรรม เขาจะมีคำถามนี้ในใจว่า “ก็เป็นคนดี ไม่ได้เบียดเบียนใคร ยังไม่พออีกหรือ ทำไมต้องไปปฏิบัติธรรมด้วย” ที่จริงเป็นคนดีไม่เบียดเบียนใครมันดี แต่มันก็ยังไม่พอถ้าปรารถนาชีวิตที่มีความผาสุกหรือชีวิตที่ห่างไกลจากความทุกข์ เพราะแม้เป็นคนดีไม่เบียดเบียนใคร ความทุกข์ที่เกิดจากการเบียดเบียนคนอื่นมันก็ตัดทิ้งไปได้ แต่ก็อาจจะเบียดเบียนตนได้
คนดีไม่เบียดเบียนใครแต่ก็ยากที่จะไม่เบียดเบียนตน
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยากที่จะไม่มีความทุกข์ แม้จะไม่ใช่ทุกข์ที่เกิดจากการไปเบียดเบียน ปล้นจี้ เอาเปรียบคนอื่น แต่ก็สามารถจะเจอทุกข์ที่เกิดจากความคิดของตัว คนดีแต่ว่าทุกข์ เพราะความวิตกกังวล เพราะเป็นคนที่ชอบคิดในทางลบทางร้าย เกิดความระแวงไม่มั่นใจในอนาคตข้างหน้า อย่างนี้มีเยอะ หรือว่าคนดีแต่ว่าเจ้าคิดเจ้าแค้น ใครทำอะไรที่มากระทบถึงตัวก็ผูกใจเจ็บ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ไม่ยอมให้อภัยง่ายๆ แบบนี้ก็มี เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขเท่าไหร่ หรือว่าคนดีแต่ว่าขี้น้อยอกน้อยใจ น้อยใจพ่อแม่ น้อยใจเพื่อน น้อยใจครูบาอาจารย์ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับคนที่คิดเล็กคิดน้อย ชอบเปรียบเทียบ
หรือคนดีแต่ว่าฝังใจอยู่กับเรื่องราวที่เจ็บปวดในอดีต สมัยที่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมจากพ่อแม่ จากครูบาอาจารย์ หรือว่าเพราะว่าเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ในวัยเด็ก ใจก็หมกมุ่นหรือว่าฝังใจอยู่กับเรื่องนั้น แม้ชีวิตนี้จะสุขสบายราบรื่น งานก็ดี เพื่อนก็ดี หรือว่าคนรักก็เอาใจใส่ แถมมีลูกลูกก็ดี แต่สีหน้าก็หม่นหมองเพราะฝังใจกับเรื่องราวในอดีต แบบนี้ก็เกิดขึ้นได้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนใครก็จริงแต่มีความทุกข์ บางคนไม่เบียดเบียนใครแต่ว่ากลายเป็นคนที่ซึมเศร้าเจ่าจุก อยู่กับความทุกข์ต่างๆ ความไม่สมหวังทั้งที่อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโต มันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นที่พูดมา กับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี หรือได้ชื่อว่าเป็นคนดีในแง่ที่ว่าไม่ไปเบียดเบียนใคร แต่ว่าความคิด จิตใจ มันก็กลับมาสร้างทุกข์หรือซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้แก่ตัวเอง
แต่ถ้าเกิดว่ารู้จักหันมามองตน หันมาฝึกจิตให้รู้เท่าทันความคิด เท่าทันอารมณ์ หรือเห็นนิสัย รู้เท่าทันนิสัยที่ก่อทุกข์ให้แก่ตัวเอง การที่จะถอนความทุกข์ออกไปจากใจ ไม่เบียดเบียนตน ไม่หาทุกข์มาใส่ตน มันก็เป็นไปได้ง่าย กายวาจาไม่เบียดเบียนใครก็จริง แต่ความคิดจิตใจมันชอบหาเรื่องมาใส่ตัว ใส่ใจของตน อันนี้เรียกว่า เพราะไม่รู้ทันความคิด ไม่รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น การปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะการเจริญสตินั้น มันมีประโยชน์ตรงนี้ มันทำให้เรานอกจากไม่เบียดเบียนใครแล้ว เราก็ยังไม่เบียดเบียนตน ไม่หาทุกข์มาใส่ตน บางคนอาจจะไม่มีปัญหาที่ว่า แต่ก็มีความทุกข์อีกแบบหนึ่ง คือ รู้สึกเคว้งคว้าง ว่างเปล่า เพราะไม่รู้ถึงคุณค่าหรือความหมายของชีวิต ไม่ใช่แค่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แต่เป็นเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไมด้วย เพราะว่าชีวิตนี้มันประสบความสำเร็จทุกอย่างเลย
มีนักเขียนคนหนึ่งชื่อ ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) เป็นนักเขียนอังกฤษมีชื่อมาก เขาบอกว่า “โศกนาฏกรรมของผู้คนจำนวนมาก เกิดขึ้นเพราะว่าได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการในชีวิต” มีพร้อม ได้พร้อม ไม่ใช่เพราะไม่ได้ แต่ว่าเพราะมีพร้อม ก็เลยไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม เพราะว่ามันไม่มีอะไรหลงเหลือที่จะไขว่คว้าแล้ว อีกคนหนึ่งที่น่าสนใจ แอนโทนี บูร์เดน (Anthony Boudain) คนนี้เป็นเชฟชื่อดัง และจับอะไรก็ประสบความสำเร็จ เป็นเชฟก็เป็นเชฟดัง มาเขียนหนังสือ หนังสือก็ดังเป็น Best Seller เกี่ยวกับเรื่องเป็นเชฟ ตอนหลังก็ทำรายการสารคดีเกี่ยวกับอาหารทุกมุมโลก อาหารแปลกๆ อาหารตามท้องถนนไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน รวมทั้งประเทศไทย ลาว เขมร ซี่งไม่ได้ไปล่าอาหารแถวร้านหรูๆ แบบประเภทที่ว่าได้ดาวมิชลิน 3 ดาว แต่ว่าเป็นร้านที่อยู่ข้างถนนแต่ว่ารสชาติดี รายการเขาก็มีชื่อมาก สปอนเซอร์ก็เยอะ ได้เงินก็มาก ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง ประสบความสำเร็จมาก แล้ววันหนึ่งเขาก็ถามเพื่อนว่า “คุณจะทำอย่างไร ถ้าสิ่งที่คุณฝันมันเป็นจริงไปหมดแล้ว” น้ำเสียงมันเหมือนกับคนที่ไม่มีความสุข ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตนั้นในเมื่อความฝันทั้งหมดมันเป็นจริงแล้ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ฆ่าตัวตาย
ขนาดคนที่คิดว่าได้ทุกอย่างที่ใฝ่ฝันครบถ้วนแล้ว จริงๆ เขายังได้ไม่ครบถ้วนหรอก แต่เขาคิดว่าเขาได้ครบแล้ว ก็เลยไม่รู้จะอยู่ไปทำไม เคว้งคว้าง ว่างเปล่า นับประสาอะไรกับคนที่ประสบความล้มเหลว ประสบกับปัญหาต่างๆ คนดีที่มีความทุกข์ที่พูดถึงนี้ อาจจะไม่ได้มีความทุกข์หรืออุปสรรคใดๆ ในชีวิตเท่าไหร่เลย แค่เจอปัญหาที่มันเป็นธรรมดาสามัญของชีวิต บางคนอาจจะไม่รู้สึกอะไร ชีวิตราบรื่น ก็สมกับที่เป็นคนดีไม่เบียดเบียนใคร แต่วันดีคืนดีเกิดวิกฤตในชีวิต เช่น งานล้มเหลว บริษัทถูกยึด บัญชีเงินในธนาคารถูกกวาดเกลี้ยงเพราะว่าถูกแก๊งมิจฉาชีพ Call Center มาหลอกเอาเงินไปหมดทั้งบัญชีทุกบัญชีเลย หรือว่าเกิดอกหัก คนรักล้มหายตายจาก หรือว่าเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาโรคร้ายด้วย ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติ เกิดขึ้นกับสุขภาพร่างกาย เกิดขึ้นกับงานการ เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์หรือคนที่เกี่ยวข้องด้วย มันอยู่ในวิสัยที่จะเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เพราะฉะนั้นคนดีพอเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า หลายคนก็เสียศูนย์ ทุกข์ระทม บางคนไม่อยากอยู่แล้ว อยากตาย หรือไม่ก็เป็นโรคเส้นประสาทที่ซึมเศร้าจนทำร้ายตัวเองก็ไม่น้อย
ฉะนั้นถามว่า “เป็นคนดีแต่ไม่เบียดเบียนใคร มันยังไม่พอหรือ” ก็ตอบว่า ยังไม่พอ ถ้าอยากจะมีชีวิตที่ห่างไกลจากความทุกข์
หรือว่าทุกข์น้อย หรือชีวิตที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง แล้วมันไม่ใช่เท่านี้ ไม่ใช่แค่ว่าถ้าไม่สนใจปฏิบัติธรรม แล้วมันจะโดนทุกข์ท่วมท้นทั้งในยามที่ชีวิตราบรื่นตามสมควร มีขรุขระบ้าง หรือว่าในยามที่เจอวิกฤตในชีวิต เจอความผันผวนปรวนแปร มันไม่ใช่แค่เจอความทุกข์เท่านั้น แม้กระทั่งการที่จะคงความเป็นคนดี รักษาความเป็นคนดีเอาไว้ ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก ถ้าไม่สนใจดูแลจิตใจตัวเองด้วยวิธีที่เราเรียกว่า ปฏิบัติธรรม อย่างเช่นแม้จะเป็นคนดีไม่เบียดเบียนใคร แต่ว่าจิตใจไม่มีภูมิต้านทานต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน มันก็เสียผู้เสียคนได้ง่าย เช่น เพลินกับการกิน-ดื่ม-เที่ยว-เล่น-ช้อป กินของแพงๆ ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน หรือว่าช้อปจนเพลิน ปรากฏว่าเงินหมดเป็นหนี้เป็นสิน แต่ว่าความอยากยังมี สิ่งล่อเร้าเย้ายวนก็ยังมีพลัง มีอำนาจครอบงำจิต ถึงตอนนี้ทำยังไง เงินไม่มีแล้ว ก็ต้องโกงแล้ว ต้องคอรัปชั่น บางทีหยิบยืมเงินเพื่อนแล้วก็ไม่คืน
มีประเภทคนที่ดีเอื้อเฟื้อเพื่อนมาตลอด 30-40 ปี แล้วมาตอนหลังๆ นี้ก็ชอบหยิบยืมเงินเพื่อน ไม่ใช่แค่พัน หมื่น บางทีเป็นล้าน เพื่อนก็ให้เพราะเห็นว่าเป็นคนดี บางทีตนเองไม่มี อุตส่าห์ไปกู้เงินจากธนาคารมาให้ ขายที่เพื่อมาให้เพื่อนยืมเงิน เพราะเห็นว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนดี ปรากฏว่าไม่ได้คืน อุตส่าห์เอาเงินที่เก็บสะสมมาจากเงินเกษียณมาให้เพื่อนยืม ไม่ได้คืน เพิ่งมารู้ว่าเพื่อนคนนี้มันไม่ใช่คนดีอีกต่อไปแล้ว เป็นพวก 18 มงกุฎ เพราะอะไร เพราะว่าเขาคงจะมีปัญหาเดือดร้อนการเงิน อาจจะเป็นเพราะพ่ายแพ้ต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน เงินเป็นหนี้เป็นสินมาก บางทีติดพนัน บางทีติดยา ก็เลยต้องหาเงินด้วยวิธีการอะไรก็ได้ แม้จะทุจริต แม้จะหลอกลวง หลอกลวงเงินจากเพื่อน หรือว่าถ้าคอรัปชั่นได้ก็ทำ ถ้าโกงได้ก็โกง กลายเป็นไม่ดีไปเสียแล้ว
คนดีถ้าไม่ได้ฝึกจิตฝึกใจ พ่ายแพ้ต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวนเมื่อไหร่ ก็กลายเป็นคนที่ไม่ดีหรือดีแตก
มีเยอะ นอกจากตัวเองทุกข์แล้ว ยังปรากฏว่านอกจากเบียดเบียนตน แล้วก็ยังไปเบียดเบียนคนอื่น มันกลายเป็นไม่ดีจริงหรือว่าดีได้ไม่นาน ไม่ต้องพูดถึงนักการเมืองที่มีอุดมคติ แต่เสร็จแล้วก็พ่ายแพ้ต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน เช่น อำนาจ กลายเป็นนักการเมืองที่ประชาชนเสื่อมศรัทธา บางทีก็เรียกว่านักการเมืองน้ำเน่า กลายเป็นไม่ดีไปเสียแล้ว แล้วมันไม่ใช่เฉพาะสิ่งเย้ายวน แต่ที่พ่ายแพ้ก็เพราะไม่ปฏิบัติธรรมหรือไม่ฝึกจิต สิ่งยั่วยุก็เหมือนกัน เจอสิ่งยั่วยุให้โกรธ เจอสิ่งกระทบให้เกิดความขุ่นมัว แล้วสะสมกลายเป็นความโกรธ ก็กลายเป็นความเดือดดาล มันก็สามารถทำให้กลายเป็นผู้ร้ายหรือฆาตกรได้ คนที่ดีๆ สุดท้ายติดคุกติดตะรางเพราะว่าบันดาลโทสะทำร้ายคนใกล้ชิด จะเป็นเพื่อน จะเป็นพี่น้อง หรือแม้แต่คู่ครองก็มีเยอะแยะ เป็นเพราะว่าไม่ได้ฝึกจิต เพื่อที่จะมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งยั่วยุ ไม่ปล่อยให้โทสะหรือความโกรธเข้ามาครอบงำใจ
หมอวิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ เป็นหมอที่ผู้ป่วยศรัทธามาก เป็นอาจารย์แพทย์ก็เป็นอาจารย์ที่ลูกศิษย์เคารพนับถือมาก เพราะว่าสุภาพ ทุ่มเทกับงานการ แต่วันดีคืนดีก็ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ที่จริงโดนประหารชีวิต แต่ตอนหลังถูกลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต เพราะว่าศาลตัดสินว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าภรรยา หลายคนที่เคยเรียนกับหมอวิสุทธิ์ยังนึกไม่ถึงเลย เพราะหมอวิสุทธิ์นี้สุภาพเรียบร้อยมาก เป็นคนที่อ่อนโยน แต่ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ ตอนที่ใกล้จะออกจากคุก หมอวิสุทธิ์ให้สัมภาษณ์หนังสือนิตยสารแห่งหนึ่ง พูดไว้ประโยคหนึ่งว่า “เสียดายที่ทุ่มเทกับงานการมากเกินไป ไม่ค่อยได้สนใจฝึกปฏิบัติธรรม ตอนนั้นในหัวมีแต่เรื่องงาน ตำราวิชาการ และการวิจัย ไม่ค่อยได้ฝึกจิตฝึกใจ เรียนรู้เรื่องการครองสติ ตอนนี้รู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญกว่าวิชาความรู้ ถ้าย้อนกลับไปเป็นหนุ่มได้ จะให้เวลากับการปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น ไม่ใช่มารอทำตอนแก่”
คำพูดนี้เป็นสัจธรรมมาก เตือนใจได้ดีกับคนที่ชอบพูดหรือตั้งคำถามว่า “เป็นคนดีไม่เบียดเบียนใคร แค่นี้ไม่พอหรือ ทำไมต้องปฏิบัติธรรมด้วย” คำตอบของหมอวิสุทธิ์นี้ มันชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าไม่สนใจปฏิบัติธรรม แม้จะทุ่มเทกับงานการ แม้จะใส่ใจกับการทำงาน แม้จะเป็นคนดีไม่เบียดเบียนใคร แต่สุดท้ายวันหนึ่งก็อาจจะพลาดพลั้ง ขาดสติ บันดาลโทสะ และกลายเป็นฆาตกรหรือทำสิ่งที่ไม่ดีขึ้นได้ความเป็นคนดี ถ้าปราศจากการฝึกจิตครองสติ ก็ยากที่จะเป็นคนดีไปได้ต่อเนื่อง หรือไม่สามารถที่จะทำดีไปได้ตลอด ถ้าไม่พ่ายแพ้ต่อสิ่งเย้ายวน จนกลายเป็นคนคดโกงทุจริต ก็อาจจะพ่ายแพ้ต่อสิ่งยั่วยุ จนกระทั่งทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ตัวที่เคยรักก็ได้ มันเกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดีก็มีสิทธิ์พลาดพลั้งเสียทีได้ ฉะนั้น ทั้งหมดนี้ก็เท่ากับเป็นคำตอบว่า
“เป็นคนดีไม่เบียดเบียนคนอื่น ยังไม่พอหรือ” - ยังไม่พอแน่นอน ไม่พอที่จะทำให้ชีวิตนี้มีความสุขหรือว่าห่างไกลจากความทุกข์ แล้วยิ่งกว่านั้นคือไม่พอที่จะค้ำจุนประคับประคองความดีเอาไว้ได้ต่อเนื่อง จนกว่าจะมีการฝึกจิตจนกระทั่งเป็นมิตรกับตัวเองได้ ไม่ซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง แล้วก็มีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน
หลักๆ มีอยู่ 2 อย่าง เพื่อให้ ‘รู้ตัว’ คือ รู้กาย รู้ใจ รู้เท่าทันความคิด อารมณ์ แล้วไม่ปล่อยให้กิเลสเข้ามาครอบงำ หรือพ่ายแพ้ต่อสิ่งเย้ายวน และยั่วยุ จนขาดสติ จนเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือมิเช่นนั้นก็ถูกอารมณ์ครอบงำจนเสียผู้เสียคนไป ต้องอาศัยความรู้ตัว รู้กายรู้ใจด้วยการมีสติ มันจะเป็นกำแพงรักษาใจได้ดีมาก และจะดียิ่งกว่านั้นก็คือ ‘รู้ความจริง รู้สัจธรรม’ จนกระทั่งไม่ยึดติดถือมั่น ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา ว่าเที่ยง ว่าเป็นสุข เพราะว่าอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อมีอะไรมากระทบ หรือมันมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น อารมณ์เหล่านี้ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะความยึดติดด้วยอำนาจของความหลง หลงว่าเป็นเรา หลงว่าเป็นของเรา หรือว่าหลงยึดในอัตตา หลงยึดว่ามีตัวกู
ดังนั้นพอมีอะไรมากระทบ งานของกู รถของกู บ้านของกู หน้าตาชื่อเสียงของกู ก็โกรธคับแค้น หรือว่าถ้าคนรักของกูสูญเสียล้มหายตายจากไปก็เศร้า เป็นเพราะไม่รู้ความจริง มันก็เลยเกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมา แต่แม้จะเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้ว ก็ยังมีกำแพงด่านที่ 2 ก็คือความรู้ตัว รู้ตัว รู้กาย รู้ใจ รู้ทันความคิด และรู้ทันอารมณ์ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่เรียกรวมๆ ว่าอนิฏฐารมณ์ คือ รูปรสกลิ่นเสียงที่ไม่พอใจ หรือเหตุการณ์ในทางลบ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีการกระทบแล้ว เกิดอารมณ์ที่เป็นอกุศลขึ้นมา ก็ยังรักษาใจไม่ให้อารมณ์พวกนี้ครอบงำ
เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็เห็น รู้ทัน แล้วก็วางได้ อันนี้เพราะว่ารู้ตัว หรือถูกมันครอบงำแล้วก็ยังสลัดมันออกไปได้ เพราะว่ารู้สึกตัวได้ทัน นี้คือหัวใจของการปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะที่เรียกว่าภาวนา หรือว่ากรรมฐาน ไม่ใช่เพื่อหลีกเร้นปลีกตัวหาความสงบ ถ้าเป็นความสงบแบบนี้ มันก็ธรรมดาที่คนจะตั้งคำถาม “เป็นคนดีไม่เบียดเบียนใคร แค่นี้ก็พอไม่ใช่หรือ ไม่เห็นต้องมาหลีกเร้น มาหาความสงบเลย เพราะฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”
ตอนนี้มีความสุขก็จริง แต่ว่าวันหน้าจะสุขอย่างวันนี้หรือเปล่า หรือว่ายังสามารถที่จะคงความดีอย่างที่มีในวันนี้หรือเปล่า อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน แล้วก็เปราะบางมากถ้าหากว่าไม่ได้สนใจ เรื่องการฝึกจิตให้รู้ตัวจนรู้ความจริง.