พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้า 5 กรกฎาคม 2567
ชายคนหนึ่งไปงานทอดผ้าป่าที่วัดแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด ยังไม่ได้ทอดผ้าป่าเลยชายคนนี้ก็เห็นมีศพ ๆ หนึ่งที่วัด ญาติของผู้ตายเป็นแม่ กำลังคุยกับสัปเหร่ออยู่ เจรจาเรื่องค่าทำศพและค่าเผาศพ เพราะว่าแกไม่มีเงิน คงจะเจรจาขอลดราคา แต่สัปเหร่อก็ไม่ยอม เพราะว่าค่างานศพก็เรียกว่าต่ำอยู่แล้ว แต่ว่าแม่ของผู้ตายก็ไม่มีเงิน
ชายคนนี้ก็เลยไปหาเจ้าภาพผ้าป่า ชื่อเอี่ยม แล้วก็ถามพี่เอี่ยมว่าทอดผ้าป่าวันนี้ได้มาเท่าไหร่ จะถวายเท่าไหร่ แกบอก 300,000 ชายคนนี้ก็เลยถามพี่เอี่ยมว่า พี่เอี่ยมตั้งใจจะทำบุญจริงหรือเปล่า “จริงสิ” อยากจะทำบุญ เอามาขยายศาลาให้กว้างกว่าเดิม จะได้บุญเยอะๆ
ชายคนนี้ก็เลยบอกพี่เอี่ยมว่า ขยายศาลามันใช้เงินคงจะไม่ถึง 300,000 หรอก เงินที่เหลืออยากจะให้มาช่วยงานศพนี้ แม่ผู้ตายเขาไม่มีเงินจะจัดงานศพ ช่วยสงเคราะห์แม่ของผู้ตายให้วิญญาณของลูกชายเขาได้ไปสู่สุคติ ให้เขาได้บุญนะ
เจ้าภาพผ้าป่าก็เลยตรงไปหาแม่ของผู้ตาย แล้วก็มอบเงินก้อนหนึ่งให้เป็นค่าทำศพ แม่ผู้ตายดีใจมาก ทำท่าจะก้มลงกราบเจ้าภาพผ้าป่า แต่เจ้าภาพผ้าป่าบอกว่า ไม่ต้องๆ พวกเราอยากจะมาทำบุญ ผมก็อยากให้คนที่ร่วมบุญผ้าป่านี้ได้บุญเยอะๆ ก็ถือว่า เขามาช่วยส่งวิญญาณของผู้ตายให้ไปสู่สุคติ เขาก็ได้บุญเหมือนกัน
แม่ผู้ตายซาบซึ้งมาก ส่วนประธานผ้าป่าแกก็มีความสุข แกก็มาพูดกับชายคนนี้ที่มาชวนแกให้เอาเงินผ้าป่าส่วนหนึ่งไปช่วยงานศพ แกบอกว่านี่มีความสุขมากเลย ไม่คิดว่าการช่วยคนตาย หรือช่วยศพที่ยากไร้ มันจะมีความสุขขนาดนี้ ชายคนนี้ก็เลยบอกว่า การสร้างศาลา
การขยายศาลามันได้บุญก็จริง แต่ว่าการช่วยคนที่เดือดร้อนมันก็ได้บุญเหมือนกัน และอาจจะได้บุญมากกว่าด้วย เพราะมันเป็นบุญที่เห็นชัดเลย ปรากฏว่าพี่เอี่ยมคนนี้หลังจากนั้น ถึงแม้แกก็ยังเข้าวัด ยังทำบุญอยู่ แต่ว่าแกก็เปลี่ยนการทำบุญมาช่วยคนที่เดือดร้อน
แทนที่จะไปเน้นการสร้างถาวรวัตถุ เช่น ขยายศาลา สร้างศาลา แกก็เปลี่ยนมาช่วยคนที่เดือดร้อนแทน เช่น ทุกเดือนแกก็หาเงินไปช่วยเด็กด้อยโอกาส ให้เขามีอาหารกิน มีค่าเล่าเรียน เดือนละ 3,000 แกก็ขวนขวายช่วยเด็กไปหลายคน
แกบอกมีความสุขมากเลย แกบอกว่าการช่วยคนตาย หรือช่วยแม่ของผู้ตายมีความสุขก็จริง แต่ว่าคนที่เขายังมีชีวิตอยู่และต้องการอนาคตที่ก้าวหน้ามั่นคง หรือต้องมีอนาคตต่อไปก็มีเยอะ ก็ควรจะให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ด้วย แกก็เลยนึกถึงเด็กที่ยากไร้ เด็กที่ยากจน ตอนหลังก็เลยหันมาช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเหล่านี้
ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ควรจะทำกันเยอะๆ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ชาวพุทธเราเวลาที่นึกถึงการทำบุญ ก็นึกถึงแต่เรื่องการสร้างถาวรวัตถุ สร้างศาลา สร้างหอระฆัง สร้างโบสถ์ ทั้งๆที่หลายวัดก็มีอยู่แล้ว อย่างวัดที่พี่เอี่ยมจะขยายศาลา ก็มีศาลาอยู่แล้ว จริงๆก็ใช้ไม่บ่อยและขนาดที่มีอยู่ก็รองรับคนได้ดีอยู่แล้ว แต่แกคิดว่าถ้าขยายศาลาให้กว้างกว่านี้จะได้บุญเยอะๆ ทั้งที่ไม่ค่อยมีความจำเป็นเท่าไหร่
เช่นเดียวกันกับโบสถ์ ทุกวันนี้หลายวัดโดยเฉพาะต่างจังหวัด ไม่ค่อยได้มีการใช้สอยเท่าไหร่ บวชก็บวชกันน้อย พระก็มีไม่มาก บางวัดก็มีแค่ 2-3 รูป ส่วนใหญ่โบสถ์ก็ถูกปิดตาย แล้วคนก็ยังคิดว่าถ้าจะทำบุญก็จะต้องสร้างศาลา สร้างโบสถ์
ที่จริงแล้ว เราสามารถจะทำบุญได้หลายวิธี เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่เป็นรูปธรรมเหมือนกับศาลา เหมือนกับโบสถ์ เช่น การช่วยเหลือเด็กยากจน ช่วยเหลือคนยากไร้ หรือแม้กระทั่งส่งเสริมสิ่งแวดล้อม เช่น ปลูกป่า รักษาป่า เพื่อให้เป็นถิ่นรมณีย์ สิ่งเหล่านี้คนจะไม่ค่อยเห็นประโยชน์ เพราะคิดว่ามันไม่ได้บุญ แต่ที่จริงแล้วเป็นบุญมาก
เดี๋ยวนี้คนเรามักจะนึกอะไรเป็นถาวรวัตถุ อบต. เทศบาล จำนวนไม่น้อยมีเงินเยอะ คิดแต่จะเอาเงินไปสร้างสะพาน สร้างถนน แต่ว่าการช่วยเหลือการศึกษาแก่เด็กยากจน ช่วยเหลือคนเฒ่าคนแก่ให้เขามีสุขภาพดี ไม่เป็นโรคซึมเศร้า เรื่องแบบนี้นี่เป็นปัญหาแต่ไม่ค่อยมีคนสนใจ
หลายวัดก็สนใจแต่จะเทปูนสร้างถนน ตัดต้นไม้ เพราะคิดว่าการมีถาวรวัตถุแบบนี้ทำให้เกิดความเจริญขึ้นมา แต่ที่จริงแล้วน่าเสียดายมากกับต้นไม้ที่ถูกตัด ถ้าเราปลูกต้นไม้กันเยอะๆ อย่างมูลนิธิปลูกต้นไม้ ปลูกธรรมะ ตอนนี้ก็เน้นเรื่องการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมให้เป็นถิ่นรมณีย์ในวัด ยิ่งในพรรษานี้ ก็จะต้องช่วยกันปลูกให้มากขึ้น เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้มันดี เป็นที่สงบร่มรื่นแก่ผู้คน
เหล่านี้เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง คนยากไร้ก็ดี เด็กยากจนก็ดี คนเจ็บป่วยก็ดี อันนี้ถ้าเราช่วยกันสงเคราะห์ ก็ถือว่าได้บุญ เหมือนกันอย่าไปคิดแต่เรื่องการสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ขยายศาลา สร้างหอระฆัง สร้างแล้วก็ไม่ได้ใช้ก็น่าเสียดาย.