พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 4 กรกฎาคม 2567
ตอนนี้การใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน โดยเฉพาะในห้องเรียนกำลังเป็นเรื่องใหญ่ในอเมริกา มีหลายรัฐที่เขาออกกฎหมายห้ามเด็กนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในโรงเรียน หรือบางทีก็ห้ามไม่ให้เข้าไปในห้องเรียน คือต้องริบ ต้องเก็บก่อนเข้าห้องเรียน
รัฐฟลอริด้าออกคำสั่งห้ามไปเมื่อปีที่แล้ว รัฐอินเดียน่าก็ออกประกาศแล้วมีผลบังคับใช้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บางรัฐก็กำลังพิจารณาอยู่ อย่างเช่น นิวยอร์ก หรือว่าแคลิฟอร์เนีย แต่บางเมืองที่เป็นเมืองใหญ่ ๆ เขาก็สั่งการแล้ว ที่ลอสแองเจลิสนั้นคณะกรรมการการศึกษาก็มีมติว่า ปีหน้าจะห้ามนักเรียนนำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องเรียน ก็คิดว่าคงจะมีอีกหลายรัฐมีคำสั่งห้ามตามมาเรื่อยๆ
เพราะว่ามันเห็นได้ชัดว่า โทรศัพท์มือถือเนี่ยเวลาเด็กเอาเข้าห้องเรียน มันรบกวนสมาธิมาก เด็กไม่ตั้งใจเรียน และมิหนำซ้ำบางทีมีการส่งข้อความแกล้งกันขณะอยู่ในห้องเรียน เขาเรียกบูลลี่ เดี๋ยวนี้การบูลลี่ การรังแกด้วยถ้อยคำ เช่น คำด่า คำเหยียดหยาม มันทำกันได้แพร่หลายง่ายดายมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาอยู่ในห้องเรียน เด็กแทนที่จะฟังครูสอนก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเขียนแซว เขียนด่า ส่งข้อความไปให้เพื่อนที่อยู่ใกล้กัน บางทีก็ล้อเรื่องหน้าตารูปร่างสีผิว เด็กก็รู้สึกแย่เวลาถูกล้อเลียน
นอกจากนั้นยังมีการใช้โทรศัพท์มือถือในการโกง ครูให้ทำการบ้านเองแทนที่จะใช้หัวคิดของตัวก็ใช้มือถือนี่แหละ แล้วเดี๋ยวนี้ที่มันมีเอไอด้วยนี่การบ้านอะไรที่เด็กทำ เด็กไม่ต้องใช้หัวเลยสั่งให้เอไอเฉลยคำตอบให้หมด แม้แต่เรียงความเอไอก็ทำได้ ขอให้สั่งเป็นสั่งถูกก็แล้วกัน
แต่ที่สำคัญก็คือว่า เด็กมีปัญหาทางด้านจิตใจมากขึ้น เพราะการใช้โทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะการใช้โซเชียลมีเดีย ปัญหาอะไร ปัญหาวิตกกังวล เครียด แล้วก็ซึมเศร้า เป็นกันเยอะมาก เดี๋ยวนี้เด็ก 9 ขวบ 10 ขวบก็เป็นกันแล้ว เพราะตัวเร่งคือโทรศัพท์มือถือ
ที่จริงอย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่ก็เป็น เพราะว่าถ้าใช้โทรศัพท์มือถือในการเล่นโซเชียลมีเดีย 3 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสที่จะเป็นโรคซึมเศร้า หรือวิตกกังวล หรือปัญหาสุขภาพจิตมากเป็น 2 เท่าของคนที่เขาใช้โทรศัพท์มือถือเล่นโซเชียลมีเดียน้อยกว่า 3 ชั่วโมง
ที่ว่านั่นขนาดในผู้ใหญ่ นับประสาอะไรกับเด็กซึ่งตั้งแต่เกิดมาก็รู้จักโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนด้วย แล้วก็เล่นโซเชียลมีเดียตั้งแต่เล็ก เดี๋ยวนี้อยู่เฉยๆ ไม่ได้ อยู่คนเดียวไม่ได้ต้องคว้าโทรศัพท์มาไถ ไถไปไถมาแทนที่จะเกิดความสบายใจกลับเกิดความเครียด เพราะว่ามีการเปรียบเทียบ คนอื่นเขาสวยกว่า คนอื่นเขาเท่กว่า หรือว่าถูกต่อว่า ถูกล้อเลียนที่แต่งตัวไม่สวย หรือว่าตัวอ้วน ผิวคล้ำ ผิวดำ หรือว่าเป็นเอเชีย
เด็กไม่มีภูมิคุ้มกันในการที่จะจัดการกับคำต่อว่าแบบนี้ และมิหนำซ้ำเวลาใช้โทรศัพท์มือถือไปนานๆ ก็เกิดความเครียด เพราะอยากได้โน่นอยากได้นี่ แถมไปเจอคำแนะนำที่ประหลาดๆ เดี๋ยวนี้มีคำแนะนำในเว็บไซต์หรือว่าโพสท์ที่มันประหลาด ๆ เกี่ยวกับเรื่องการกินอาหาร ส่งเสริมค่านิยมผิด ๆ ทำให้เด็กบางคนไม่อยากกินอาหาร กินอาหารเข้าไปแล้วด้วยความเอร็ดดอร่อยด้วยความชอบ แต่ว่ารู้สึกไม่ดีก็ต้องล้วงคอให้อาเจียนออกมา กลายเป็นพวกที่มีปัญหาการกินมาก เพราะว่าข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ทางเฟซบุ๊กหลากหลาย
อันนี้เป็นเพราะว่าพ่อแม่ไม่รู้จักควบคุม แล้วพอมาโรงเรียนเด็กก็หักห้ามใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลายโรงเรียนเลยตอนนี้เขาห้ามเลย บางโรงเรียนก็ถือว่าฉันมีสิทธิ์ที่จะออกกฎ ตอนนี้ก็ 76% ของโรงเรียนในอเมริกามีระเบียบข้อบังคับสำหรับนักเรียนในการใช้โทรศัพท์มือถือในห้องเรียน หรือในโรงเรียนบางเเห่งนี่ก็มีนโยบายห้ามเด็กเข้าถึงโซเชียลมีเดียโดยอาศัย wifi ของโรงเรียน โรงเรียนก็มี wifi แต่ว่าถ้าเด็กใช้ wifi ของโรงเรียนในการเล่นโซเชียลมีเดียนี่อันนี้ไม่ได้ โรงเรียนต้องรับผิดชอบ
น่ก็เป็นเรื่องที่จะเรียกว่า เริ่มตื่นตัวก็ได้ แต่ว่าอาจจะช้าไปหน่อย เพราะว่าตอนนี้เด็กติดโทรศัพท์มือถือ จนกระทั่งยากที่จะไม่เอาเข้าห้องเรียน หรือโรงเรียน หรือถึงห้ามได้ไม่ให้เอาเข้าห้องเรียน แต่ว่าจะไม่ให้ใช้ในโรงเรียนเลยนี่ยากมาก หรือถึงไม่ใช้ในโรงเรียนแต่ว่าไปใช้ที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่ได้สนใจควบคุม ไม่ได้ให้คำแนำ ตอนนี้เป็นปัญหาทุกที่ อย่าว่าแต่โรงเรียนหรือห้องเรียนในเมืองนอก ในเมืองไทยก็เป็น
เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งในวัดก็เจอปัญหานี้ พระก็ใช้โทรศัพท์มือถือกันแบบไม่ยับยั้งชั่งใจ เล่นเกมส์ หรือว่าบางทีก็เล่นการพนัน มันมีพนันออนไลน์เยอะแยะไปหมด เป็นปัญหามาก ประโยชน์ก็มีเยอะ แต่ว่าไอ้การที่มันสามารถสนองปรนเปรอกิเลส มันก็ทำให้คนเราที่ซึ่งไม่รู้จักควบคุมจิตใจพ่ายแพ้ต่อกิเลส พ่ายแพ้ต่อสิ่งเร้าจากโทรศัพท์มือถือ บางวัดนี่เขาก็ห้ามเลยไม่ให้ใช้ แต่ถึงห้ามมันก็คงมีปัญหา จะริบจะเก็บยังไงก็กันไม่ได้ เพราะหลายคนบางรูปมีโทรศัพท์หลายเครื่อง ริบเครื่องหนึ่งไปก็มีเครื่องที่ 2 เครื่องที่ 3 อันนี้ก็เป็นโรคระบาดอย่างหนึ่ง ซึ่งมันสร้างปัญหาทั้งกับผู้ใช้แล้วก็ผู้อื่นด้วย
แต่สำหรับเด็กนี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ซึ่งเมืองไทยเรายังตื่นตัวกันน้อย โรงเรียนต่างๆ ก็ยังปวดหัว กลุ้มใจว่าทำยังไง เพราะที่จริงไม่ใช่เด็กอย่างเดียว ครูก็ติดโทรศัพท์มือถือ ไม่เป็นอันสอน ไม่เป็นอันทำงานก็เยอะ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราควรจะตระหนักเอาไว้.